(ต่อ)
เขาทำตาโตเมื่อเห็นต้นพลับซึ่งเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวเท่าที่ผมพอจะรู้ เขาลังเลนิดหน่อย แต่ก็ขอบคุณด้วยความซึ้งใจมากเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีได้เมื่อผมยอมให้เขาเด็ดเอาผลไม้บนต้นมาประทังความหิว ปากขยับเล่าว่าขนมปังคำสุดท้ายหมดไปเมื่อสองวันก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาคว้ามาได้แค่ขนมปังหนึ่งแถวกับน้ำเปล่าอีกสองสามขวดเท่านั้น ซึ่งสองขวดแรกยกให้คุณแม่ลูกสองครอบครัวหนึ่ง เกาะ (หรือจะเรียกว่ายอดตึก) นั้นสูงกว่าพื้นน้ำแค่ไม่ถึงเมตร คนที่หนีรอดขึ้นมาบนนี้ได้คือส่วนหนึ่งของคนที่กำลังทานอาหารอยู่ในภัตตาคาร ยิ่งฟัง ผมก็ยิ่งชั่งใจว่าระหว่างการนอนโดดเดี่ยวโดยมีต้นไม้บังลมฝนให้ กับการนอนแออัดหลายสิบคนบนพื้นคอนกรีตแบบนั้น อย่างไหนจะดีกว่ากัน
“แล้วนายเอาแพนั้นมาจากไหน” ถึงจะหิวยังกับอะไรดี แต่เขากลับค่อยๆละเลียดกินลูกพลับนั้นราวกับว่ามันเป็นลูกสุดท้าย อย่างหนึ่งที่ผมดีใจนะ อย่างน้อยผู้ชายที่ดีคนนี้ก็เป็นคนที่มาเจอผม ไม่ใช่ไอ้บ้าห้าร้อยที่ไหน
“บนยอดตึกนั้นมีพวกลังไม้พาเลทกองอยู่เต็มเลย มีผ้าใบคลุมกันฝน แล้วก็ยังมีเครื่องมือก่อสร้างกับเชือกวางทิ้งไว้นิดหน่อย ฉันเลยพอจะเอามาต่อเป็นแพลอยน้ำได้” แพนั้นเล็กขนาดสองคนนั่งก็ยังหวาดเสียว ซ้ำยังบวมน้ำจนน่ากลัว ผมไม่แน่ใจนักว่าถ้าเขาไม่มาเจอที่นี่ เขาจะใช้ชีวิตอยู่กลางน้ำได้อีกนานสักเท่าไร จะหิวตายหรือว่าเรือแพพังจนจมน้ำตายก่อนกัน
“นายล่ะ ออกมาคนเดียวเหรอ ทำไมไม่อยู่กับคนอื่น ๆ”
“ที่นั่นไม่มีอาหารเหลือแล้ว” เขาตอบหน้าสลด “ฉันถามแล้ว แต่ไม่มีใครอยากออกมาเสี่ยงกับไม้แผ่นเล็ก ๆ ที่จะพังเมื่อไรก็ไม่รู้”
“อ่า... เป็นฉันก็คงไม่”
“แล้วจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร ไม่มีพื้นดิน ไม่มีอาหาร ไม่มีปัจจัยอะไรเลย” ผมเริ่มคิดตามที่เขาพูด มันถูกทุกอย่างเลย “หลังจากนี้คงมีคนที่ตัดสินใจออกมาแบบฉันเหมือนกัน”
หลังจากนั้นเราก็เงียบไป พอไม่ได้อยู่ตามลำพังแล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนพระอาทิตย์ตกไวกว่าปกติ ท้องฟ้าสีครามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นส้ม ยิ่งทำให้ผืนน้ำดูเวิ้งว้างและแผ่กระจายความเหงาออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เสื้อยืดสีดำของเขายังชื้นๆอยู่ แต่เขาก็หยิบมันมาสวมใส่เพราะลมหนาวที่พัดพามาตามแนวคลื่นน้ำ พอเห็นเขาในตอนนี้ ผมก็นึกอยากให้กระเป๋ามีเสื้อฮู้ดสักตัว แต่น่าเสียดายที่มันมีแค่หนังสือแก้เบื่อสองสามเล่มที่ผมอ่านจนจำบทสนทนาของตัวละครได้แล้ว
เรานั่งอยู่ตรงโขดหิน ไกลจากตรงที่เพิ่งมีศพสุนัขถูกน้ำพัดเข้ามาติดชายฝั่ง (พูดให้ถูกคือพื้นภูเขาที่ไม่ได้ดูเป็นชายฝั่งเอาเสียเลย)
โอ้ คุณอย่าเสนอให้ผมเอามันมาย่างกินเชียวนะ มัน - อืด - แล้ว เราถึงได้ล้มเลิกความคิดข้อนั้นไปตั้งแต่แวบแรกที่กลิ่นเหม็นเน่าลอยเตะจมูก
เพราะเขาเท้าเปล่า ผมถึงได้ไม่ใส่รองเท้าเป็นเพื่อน ปล่อยให้ฝ่าเท้าสัมผัสโขดหินเย็นเยียบพลางมองดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกลงลับขอบฟ้า
“นายว่าน้ำจะลดลงไหม”
ผมครุ่นคิดกับคำถามนั้น เอาเข้าจริงแล้วผมโคตรกลัวกับคำตอบเลยคุณรู้ไหม กลายเป็นว่าในหัวผมคิดถึงยอดตึกที่เขาอยู่มาก่อนหน้า มันคงจะเป็นตึกสูงติดอันดับต้นๆของประเทศนี้ และความสนุกเพียงอย่างเดียวก็คือการที่ผมพยายามงัดความรู้รอบตัวขึ้นมาเดาว่าสองสัปดาห์ก่อน เขาดินเนอร์อยู่ที่ไหน
“เขาทำแบบนี้กับเราทำไมนะ” คนข้างๆผมพึมพำอีก ผมไม่เคยหาคำตอบดีๆให้ได้เลยสักข้อ เสี้ยวหน้าของเขาสะท้อนแสงสีส้มเรืองซึ่งยิ่งขับให้โหลกแก้มและสันจมูกเด่นชัดขึ้น เอาจริง ๆ เขาก็จัดว่าหล่อ ถ้าเขาบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นดารานักร้องสักคนที่กำลังจะเดบิวท์ล่ะก็ผมคงเชื่อสนิทใจ
“เขาไหน”
“คนบนนั้นไง”
ผมยอมรับด้วยใจบาป ๆ นี้เลยว่าเกือบจะเลิกนับถืออะไรก็ตามที่อยู่เหนือธรรมชาติไปแล้ว ถึงแม้เวลาในวัน ๆ หนึ่งจะมีมากพอให้ผมคิดอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย หนึ่งในนั้นคือความหวัง แต่ทุกๆหนึ่งวินาทีมันก็มลายหายไปทีละนิดจนในกรอบสายตาของผมเห็นแค่ความเป็นจริง ความจริงที่ว่าเราน่ะโชคร้ายเหลือเกินที่ไม่ตาย
เราใช้ชีวิตอยู่บนเกาะยอดภูเขา เฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ทั้งหมดหกครั้งถ้วน นับจากที่เขามาถึงที่นี่ เวลาวันแรกเราใช้ทำความรู้จักกัน วันที่สองช่วยกันเลาะไม้พาเลทบวมน้ำมามาทำเป็นเพิงเล็กๆไว้กันสายฝนที่ตกลงมาทุกวัน เรามีขวดน้ำสองขวด แต่เขาฉลาดกว่านั้นที่ใช้ผ้าใบทำหลังคาเพิงนอนของเราโดยให้มันรองเก็บน้ำไว้ได้ด้วย แล้วเขาก็ทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อนอย่างเช่นการเก็บเอาเมล็ดต้นพลับที่กินเหลือไปฝังไว้ในดิน เผื่อว่าเราจะมีโอกาสได้กินในตอนที่มันโตขึ้นออกผล ถ้าไม่ตายก่อนน่ะนะ
ส่วนวันที่สามเรานอนเรียงกันใต้เพิงที่ทำไว้แล้วอ่านหนังสือคนละเล่ม ใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมงเราก็อ่านจบในเวลาไล่เลี่ยแล้วใช้สายตาแย่งหนังสือในกระเป๋ากันอย่างเอาเป็นตาย เล่มในมือของเขาน่ะผมเพิ่งอ่านจบไปหมดๆ เพราะอย่างนั้นตัวเลือกที่เหลืออยู่ก็คือการที่เรานอนเท้าแขนไหล่ชนกันเพื่อแชร์ความสนุกสนานเล่มสุดท้าย พอคล้อยเข้าบ่ายแก่ๆฝนก็ตกลงมา ทั้งที่ปากก็บ่นว่าอยากออกไปอาบน้ำ แต่ตลกดีที่หมอนี่ดันแคร์สายตาผมจนไม่กล้าแก้ผ้าวิ่งโทงๆอย่างที่ผมทำตอนอยู่ที่นี่คนเดียว
วันที่สี่หรือก็คือวันนี้เมื่อหลายชั่วโมงก่อน เขาทนไม่ไหวและใช้ไม้แท่งยาว ๆ ต่างไม้พายของเขาเขี่ยเอาศพสุนัขตัวนั้นกลับลงไปในน้ำ ทุลักทุเลพอควรกว่าจะโต้แรงคลื่นในตอนเช้าและทำให้มันจมหายไปได้สำเร็จ มลพิษทางสายตาและจมูกเราหายไปแล้ว แต่เราก็กลับไปกินมื้อเช้าใต้เพิงเล็ก ๆ ที่เพิ่งแต่งตั้งให้มันเป็นบ้าน กินลูกพลับกันคนละลูกแล้วเหลือเมล็ดให้เขาเอาไปฝังดินอย่างทุกครั้ง เรื่องมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมเซอร์ไพรส์เขาด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือที่เก็บตายออกมาเปิดเครื่อง มันมีแบตเตอรี่อยู่ราวสิบห้าเปอร์เซนต์เพื่อให้เราเล่นเกมฟรุตส์นินจา แค่ประมาณสามตา เครื่องผมก็ดับไปทั้งที่เรายังสนุกไม่ถึงสิบห้านาทีเลยด้วยซ้ำ
เอาล่ะ ตอนนี้คุณอยู่กับเราตอนปัจจุบันแล้ว ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีดาวพร่างพราย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถูกบดบังด้วยยอดไม้ที่มีประโยชน์มากในตอนกลางวัน และปล่อยให้ผมกับเขาแบ่งเป้กันหนุนท่ามกลางความมืดและเสียงของจั๊กจั่นดังแซ่ก ๆ ซึ่งผมได้ยินเป็นปกติ เราไม่มีอะไรทำแล้ว ถึงได้เอาแต่นอนแอ้งแม้งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายอยู่อย่างนี้
“ฉันคิดถึงเด็กสองคนนั้น” เขาโพล่งขึ้น พอหันมาสบกับคิ้วที่ขมวดน้อย ๆ ของผมแล้วก็อมยิ้มก่อนจะตอบให้หายสงสัย “ที่ฉันให้น้ำเปล่าไปไง”
“อ้อ ลูกของคุณแม่ยังสาว” เขาเคยพูดถึงครอบครัวหล่อนตั้งแต่วันแรกของการมาที่นี่ ให้ผมเดานะ ในเมื่อเขารู้แก่ใจว่าอาหารหมด ก็คงจะเป็นห่วงว่าคนบนยอดตึกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าแน่ ๆ “พวกเธอยังไม่ตายหรอก”
ผมตอบ ครั้งนี้กลับกลายเป็นเขาที่หันมาตีสีหน้าสงสัย ถึงความมืดจะทำให้เรามองกันไม่ชัดนัก แต่เชื่อเถอะว่าผมเห็นมุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ขณะรอฟังคำตอบของคนที่ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไรอย่างผม
“คิดอย่างนี้แล้วมันสบายใจกว่าใช่ไหมล่ะ แต่ฉันไม่มีเหตุผลดี ๆ ให้หรอกนะ”
ศูนย์คะแนนสำหรับคำปลอบใจที่ทำท่าจะดี กลับกัน เขาหัวเราะออกมาเบาๆพลางขยับศีรษะหล่นจากหมอนแล้วใช้ท่อนแขนเลื่อนมาหนุนแทน เขายกเป้ให้ผมนอนแบบเนียนๆใช่ไหมล่ะแบบนี้ หรือแม้แต่ลูกพลับ อีกคนก็ไม่เคยกินเกินวันละสองลูกเลย เขาแบ่งมันเป็นช่วงสายกับเย็น ซึ่งผมก็เดาอีกว่ารอยซูบตอบบนแก้มนี่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาแบ่งขนมปังให้คนบนตึกนั้นกินแล้วล่ะ
“แค่นั้นก็ดีพอแล้ว” เขาพูดโดยไม่หันมามอง นั่นทำให้ผมรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่กลายเป็นเขาปลอบใจคำพูดสับปะรังเคของผมแทน
เราเงียบกันไปอีกพักใหญ่ อยู่ดีๆผมก็นึกเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวขึ้นมาได้ ผมหันไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเขายังไม่หลับ อย่างน้อยๆผมจะได้ไม่ส่งเสียงออกไปเก้อแล้วไม่มีคนตอบกลับมาเหมือนอย่างที่เขาได้รับจากผมเป็นประจำ
“เคยได้ยินเรื่องเรือโนอาห์ไหม”
คนฟังเลิกคิ้ว เอาเป็นว่าจากแสงสลัว ๆ นี่ผมเดาว่าเขาเลิกคิ้ว แน่ล่ะ มีใครบ้างที่จะไม่รู้จักเรือโนอาห์ เพียงแต่อาจต้องคิดหนักสักหน่อยนั่นแหละว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือว่าลวงโลก ผมไม่เคยเอาใจไปเชื่อกับตำนานเลย มันเป็นแค่เรื่องเล่าเสริมสร้างศรัทธาเท่านั้นแหละ
“บางทีพรุ่งนี้เช้า อาจจะมีเรือบรรทุกสัตว์ร้อยชนิดนั่นมาจอดเทียบบ้านเราก็ได้นะ”
ผมลืมบอกคุณไปอย่าง เราเรียกเกาะนี้ว่าบ้าน เรียกเพิงผ้าใบที่มีฐานเป็นไม้พาเลทอับๆนี่ว่าที่นอน ใต้ต้นพลับนั่นเป็นห้องอาหาร ส่วนตอนที่ฝนตกก็ให้ตรงชายฝั่งเป็นห้องอาบน้ำ คิดอย่างนี้แล้วมันผ่อนคลายดี อย่างน้อยก็รู้เรื่องกว่าตอนที่ผมกับเขาคุยกันเรื่องโขดหินก้อนนั้น แต่เรียงเป็นตับไม่รู้ว่าหมายถึงก้อนไหน
“ไม่มีหรอก”
อ้าว นี่เป็นครั้งแรกที่คนดีออกปากขัดเรื่องอะไรแบบนี้ สงสัยความหวังหมอนี่จะดับวูบไปเสียแล้วล่ะมั้ง
“ฉันว่านี่แหละโนอาห์” ผมงงกับคำตอบของเขา แต่พอนิ้วมือนั้นชี้ตัวเองและจรดปลายนิ้วลงบนอกของผมก่อนจะชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางเป็นสอง ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังเล่นมุกน่ารักๆเกี่ยวกับเรื่องคู่เข้าให้แล้ว “นี่ไง เรามีสองคน”
ทั้งที่เมื่อครู่เราเพิ่งจะหัวเราะเอิ้กอ้าก แต่พอนาฬิกาในหัวตีบอกเวลาว่าเรารู้จักกันเกินแปดสิบชั่วโมง ผมก็ตื่นจากความขบขันเพื่อพบว่าเรากำลังจูบอย่างดูดดื่มใต้เพิงนอนที่ออกแรงสร้างมาด้วยกัน
ใช่ ผมรู้ว่าเราต่างไม่มีใคร และไม่มีอะไรจะเสียถ้ายอมให้มันเกิดขึ้น เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ซึ่งหลังจากเริ่มครั้งแรกได้แล้ว มันก็ไม่ยากเกินไปที่เขาจะขยับตัวขึ้นมาคร่อมผมไว้เพื่อมอบจูบครั้งที่สองแทนคำพูดทั้งหมดที่เรานึกไม่ออก
ปลายเท้าของเรายาวเลยแผ่นไม้จนเสียดถูกันเหนือพื้นดิน ปลายลิ้นชุ่มสอดเข้ามาเพื่อกอบโกยห้วงลมหายใจไปตามผม ตวัดไล้เล็มในโพรงปาก สะบัดหยอกล้อกับผมที่เก้กังๆในการตอบรับสัมผัสของเขา ไรหนวดนั้นทิ่มคางผม แต่มันก็ไม่จั้กจี้เท่ากับมือหยาบกร้านที่สอดเข้าไปภายใต้เสื้อยืดค้างปีแล้วลูบวนอยู่ระหว่างช่วงท้องกับเอว
ผมเริ่มหายใจติดขัด ลอบลืมตามองแล้วก็เห็นดวงตากลมโตนั้นจับจ้องมองมาเหมือนกัน
อา ให้ตายเถอะ ผมควรจะทำยังไงดีกับตัวเองในตอนนี้ ทั้งร่างกายมันแข็งทื่อ แต่ก็โอนอ่อนให้เขากอดรัดได้ตามใจอย่างกับตุ๊กตา ผมไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ต้องอาศัยอยู่กับชายแปลกหน้า แต่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ผมหวั่นไหวให้เขาเสียแล้ว
เขาถอนริมฝีปากอ้อยอิ่ง จรดหน้าผากลงชนกับของผมเพราะเขารู้ตัวว่าควรขออนุญาตให้เป็นเรื่องเป็นราว
“รู้สึกดีไหม”
เขาถาม แล้วผมก็ไม่กล้าตอบ จากนั้นริมฝีปากของเขาจึงเลื่อนมาวนเวียนอยู่ที่สันกรามของผมแล้วจูบลงไปบนพวงแก้มแช่มช้า
ผม -- ผมไม่รู้หรอกว่านี่เรียกรู้สึกดีหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าใจของผมมันไม่ได้มีความคิดที่จะปฏิเสธเขา แล้วความคิดติดตลกยังแวบขึ้นมาอีกว่า ถ้าผมเอาแต่ต่อต้านความต้องการของตัวเอง พอไม่มีวันพรุ่งนี้ขึ้นมาแล้วจะเสียใจ
เพราะอย่างนั้น ผมถึงตอบรับทุกสัมผัสของเขา ให้ความร่วมมือแล้วก็แลกเปลี่ยนอย่างที่สัญชาตญาณของผมบอกว่าควรทำ เราแก้ความเคอะเขินด้วยการจูบอีกพักใหญ่ เขาจึงค่อยๆคืบหน้าด้วยการถอดเสื้อผ้าของผมออก แล้วก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นเรือโนอาห์อย่างแท้จริง
อ้อ คุณคงไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไรใช่ไหม
เพราะผมอยากให้มีวันพรุ่งนี้ ให้มีวันต่อๆไป นี่คือความหวังที่กลับเด่นชัดขึ้นมาในใจผมเสียแล้ว
เราไม่ได้นอนจนถึงเช้ามืด ก็ไม่ใช่ว่าทำเรื่องอย่างนั้นกันตลอดเวลาหรอกนะ โอเค เรานอนแก้ผ้า คุยกันเรื่อยเปื่อย และพอหายเหนื่อยหรือว่าบรรยากาศเป็นใจ เราก็อาจจะเริ่มทำไอ้สิ่งที่คุณกำลังล้อในใจนั่นอีกครั้งสองครั้ง ลมเย็นพัดผ่านจนเราสะท้านไปทั้งร่าง จากนั้นไม่นานฝนก็ตกลงมาทั้งที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง พอเป็นตอนนี้ นอกจากจะไม่อายในการออกไปอาบน้ำฝน เขายังจับมือผมลากไปด้วยกันทั้งร่างเปลือยเปล่า อีกครั้งที่ผมกำลังรู้สึกสดชื่น แต่พอตัดภาพมาอีกทีก็ลงไปขลุกอยู่กับเขาบนพื้นดินชุ่ม ๆ อีกแล้ว
การไม่มีอะไรให้ทำมากนักส่งผลให้เราเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากวันนั้น เรื่องแบบนี้ชอบเป็นความฝันก่อนตายของตัวละครในซีรีส์หลาย ๆ เรื่อง เอาเป็นว่าผมเข้าใจ และคิดว่ามันคงไม่เลว
ตอนนี้ผมใส่เสื้อผ้า หยัดตัวเองลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วกวักเอาน้ำในแอ่งผ้าใบขึ้นมาลูบหน้าลูบตาให้พอสดชื่น เช้าวันนี้เขาตื่นก่อนผม ไม่รู้ว่าหายไปไหน แต่คิดไม่ทันขาดช่วงดี เสียงทุ้มต่ำก็ตะโกนโหวกเหวกเรียกชื่อผมเพื่อเป็นคำตอบ
ผมรีบรุดมาตามน้ำเสียงตื่นเต้นของเขาที่ยืนอยู่บนโขดหินตรงชายฝั่ง เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมอุทานถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ คุณเดาไม่ถูกหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น! เขาวิ่งเหยาะ ๆ มาทางผม ชี้ย้ำให้ผมแน่ใจสายตาตัวเองว่าน้ำลดลงบ้างแล้วจริง ๆ เรามีพื้นดินให้เหยียบมากขึ้น แต่น้ำก็ยังสูงจนกลบบริเวณรอบอุทยานนี้เอาไว้อยู่ดี
“ป่านนี้ในเมืองคงมียอดตึกผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด” ผมพูด นึกถึงที่ที่เขาจากมาว่าคนบนนั้นจะมีโอกาสได้อยู่จนถึงตอนนี้ไหม จะมีใครรอดชีวิตอยู่บนตึกสูง ๆ หลังไหนอีกหรือเปล่า
แต่แล้วผมก็เห็นประกายอย่างหนึ่งในดวงตาสีเข้มนั้น เขาคิดจะไปจากที่นี่ ในขณะที่ผมเชื่อแล้วว่ามันเป็นเรือโนอาห์ของ
เรา(มีต่อ)