ดิฉันคิดว่าเข้าใจเจ้าของกระทู้นะคะ อาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ อาจเป็นเหตุผลโดยส่วนตัว หรือโดยข้อบังคับของสังคมใกล้ตัว แต่ถึงแม้จะปิดไว้ แต่ก็ไม่อยากให้เครียดค่ะ มันจะพาลเป็นโรคเครียดได้ ถ้าชอบก็อาจเก็บมาเขียนเป็นไดอารี่ก็ได้นะคะ ระบายมันออกมา เก็บไว้อ่านทีหลัง อาจได้ขำกับสิ่งที่ตัวเองเขียนก็เป็นได้
ดิฉันจะยกตัวอย่างของตัวดิฉันให้ฟังค่ะ ที่บ้านมีพ่อ แม่ ลูกชายสาม พี่สะใภ้สอง หลานชายหนึ่ง หลานสาวสองคน และดิฉันซึ่งเป็น "ลูกชาย" คนสุดท้อง เมื่อเด็กแม่เคยเล่าให้ฟังว่า แม่อยากได้ลูกสาวมาก เคยบนบานไว้ว่าคนที่สามนี่ขอให้เป็นลูกสาวทีเถ้อะ แต่ผลปรากฎว่า นังนี่ดันทุรังออกมาเป็นตัวผู้
แต่ก็เหมือนว่าคำขอของแม่จะสำเร็จครึ่งหนึ่ง โฮะๆ ดิฉันก็เลยครึ่งๆ กลางๆ จะหญิงก็ไม่ใช่ จะชายก็ไม่เชิง แต่ด้วยความที่ดิฉันมีแต่พี่ชาย จึงไม่ได้ออกอะไรมาก แม้จะเรียบร้อยแต่ก็ไม่ได้ตุ้งติ้งอะไร คงเพราะมีพี่ชายที่คอยเตะคอยต่อยตลอดเวลา แต่ดิฉันจะไม่ถูกกับพี่ชายคนกลางมาก เพราะแม่จะโอ๋ดิฉันตลอด อะไรๆ ก็ให้น้องๆ ไว้ก่อน จึงทะเลาะกันทุกวัน ส่วนกับพี่ชายคนโตนั้นไม่ค่อยอะไรเพราะแกแก่กว่าดิฉันมากๆ แก่กว่าจนจะเป็นพ่อได้เลยทีเดียว ดิฉันจึงเกรงแกมากที่สุด อีกอย่างสมัยเรียนก็ได้พี่ชายคนโตช่วยส่งเสียอีก แต่ก็เป็นพี่ชายคนกลางนะคะที่ดิฉันสนิทด้วย คงเพราะทะเลาะกันบ่อย และก็เป็นพี่คนนี้แหละค่ะ ที่รู้ว่าดิฉันเป็นและก็ไม่เคยว่าอะไร แกบอกว่า "มันจะเป็นอะไรก็เป็น ไม่เคยฆ่าใครนี่" ดิฉันซาบซึ้งมาก (ครั้งหนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเข้าไปซื้อพวกน้ำปั่น แล้วตรงนั้นมันมีขนมขบเคี้ยวอะไรอื่นอีก พี่คนกลางก็บอกว่า จะเอาอันไหน อันนี้ไหม อร่อยดีนะ เดี๋ยวพี่ซื้อให้ คืออารมณ์แบบยืนใกล้กัน แล้วพี่ดิฉันสูงมากๆ ดิฉันเลยต้องเงยหน้าคุย ไม่ได้คิดเลยตอนนั้นว่ามันดูยังไงต่อคนนอก แต่พอไปจ่ายเงินกับเจ๊เจ้าของร้าน แกถามตรงมากๆ ว่า เป็นแฟนกันเหรอคะ? ดิฉันอึ้งค่ะ เหวอแดกไม่ต่างจากพี่ชาย มองหน้ากันเลิกลัก คือเจ๊แกก็น่าจะเกือบห้าสิบแล้วนะคะ คือแกเป็นสาววายหรือว่าอะไร 555+ ยังสงสัยจนทุกวันนี้ พี่ชายดิฉันตอบเสียงเรียบๆ ว่า เป็นพี่น้องกันครับ ดิฉันไม่กล้าพูดอะไร มันพิพักพิพ่วนมากตอนนั้น)
หลังจากผ่านไปนานปีและดิฉันเรียนจบปริญญาตรี ช่วงนั้นหางานทำได้แล้ว และอยู่กับพี่ชายคนกลาง ทีนี้มันมีกรณีว่าดิฉันไปลืมกระเป๋าไว้ที่ห้องพี่คนโต (พี่แกทำงานอยู่อีกที่) และข้างในนั้นน่าจะเต็มไปด้วยการ์ตูนบอยเลิฟแซบๆ ทั้งนั้น 55+ แกคงไปเปิดดูว่าเอ๊ะ นี่มันกระเป๋าใคร แล้วเจอของบางอย่างในนั้น จนต้องอุทาน ว่าเอ๊ะนี่อะไร เอ๊ะนี่อะไร้ 55+ แกก็โทรหาพี่ชายคนกลางในบัดดลเลยค่ะ พี่กลางดิฉันก็ดีมาก บอกไปเลยว่าน้องตัวเองชอบผู้ชาย และกำลังมีแฟนเป็นผู้ชาย (ภรรยาพี่กลางแอบเป็นสาววายนิดๆ ก็เลยสนับสนุนดิฉัน) พี่กลางบอกว่า กูบอกมันว่ามึงชอบผู้ชายนะ มันอึ้งไปห้านาที ซึมไปเลย ผมนี่แบบ...ไม่กล้าคุยกับพี่คนโตอยู่นานมาก แม้เมื่อมาเจอทีหลังก็ยังไม่ค่อยกล้าสบตา แต่พี่แกก็ไม่ได้พูดอะไร บอกแต่ว่า ตั้งใจทำงานนะ เก็บเงินไว้เยอะๆ อย่าใช้จนหมด ซ้ำเมื่อตอนดิฉันเรียบจนกลับมาไทย แอบแรดไปนอนค้างบ้านเพื่อน ไม่มาหาพี่หรือกลับบ้านไปหาแม่ก่อน แม่โทรหาก็ไม่รับ พี่คนโตนี่แหละค่ะ โทรกระหน่ำ และเมื่อรับสายดิฉันก็โดนด่าหูชาทีเดียว ต้องตอบเสียงอ่อยๆ ว่า ขอโทษครับ (เห็นไหมว่ายังต้องพูดครับกับพี่ๆ
) จะไม่ทำอีก จะรีบกลับบ้าน ฯลฯ รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วง ทำไมทำตัวอย่างนี้ คือดิฉันรู้สึกผิดมาก แต่อารมณ์ประมาณว่า ไม่ค่อยได้เที่ยว แต่เล็กจนโตก็เอาแต่เรียน หนูอยากปลดปล่อย
ทีเด็ดอยู่ตรงที่ว่า ตอนช่วงไปเรียนต่อโท ดิฉันต้องฝึกงานสองเดือน ก็เลือกกลับมาฝึกที่ไทย ช่วงนี้ก็อยู่บ้านแล้วก็ฝึกงานไปด้วย วันหนึ่งเป็นวันหยุด ช่วงบ่ายๆ แม่ชอบนอนกลางวัน ก็เรียกดิฉันเข้าไปหาและให้บีบนวดให้ (ช่วงนั้นกำลังมีแฟน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ฮีโทรมาหาทุกวัน แล้วก็หาเรื่องได้หึงตลอด ชอบแกล้งว่ามีไปคุยกับคนอื่น เพราะรู้ว่าดิฉันขี้หึงมาก) ดิฉันก็ทำตามเต็มที่ (อยู่บ้านดิฉันจะไม่แรดเลยนะคะ นิ่งๆ ค่ะ คือจะทำอย่างที่ผู้ชายเขาทำกันทุกอย่าง) นวดไปนวดมา แม่ก็ตาปรือ เรียกว่ากำลังเคลิ้มจะหลับมิหลับแหล่ สบโอกาส ก็เลยหายใจเข้าเรียกความกล้า แล้วบอกออกไป ที่เลือกบอกกับแม่เพราะแม่รักเราอย่างเปิดเผยมากกว่าพ่อ (พ่อก็รักแต่จะไม่ค่อยพูดหรือแสดงออกให้เห็นว่ารัก) ถ้าจะโกรธก็คงไม่โกรธเรามาก ก็เลยพูดไปว่า
"แม่ มีเรื่องจะบอกนะ"
"อะไร" ง่วงเต็มที่ 55+
"ผมชอบผู้ชายนะ"
"อะไรนะ" ความง่วงหายไปหลายเดซิเบล หันมามองดิฉันเลยค่ะ "เมื่อกี้ว่าไง"
"ผมชอบผู้ชาย ตอนนี้ก็มีแฟนเป็นผู้ชาย"
"..."
แม่อึ้งไปราวห้านาที เหมือนพี่ชายคนโตเป๊ะ คือแม่แกนิ่งไปเลย มองหน้าเราแบบอึ้ง แต่ความจริงดิฉันว่าแกน่าจะรู้อยู่แล้ว ที่อึ้งเพราะไม่คิดว่าอีนี่จะกล้ายอมรับออกมาตรงๆ แบบนั้น พอหายช่วงอึ้งลิซึ่ม แกก็พูดออกมาเหมือนติดจะเล่นนิดหน่อย
"เลิกเป็นได้ไหมลูก"
ดิฉันขำในใจ แต่ความจริงนี่โล่งอกมาก ถึงแกจะถามออกมาอย่างนั้น แต่น้ำเสียงของแม่คือ รู้เลยว่า แกไม่ห้ามแน่
"เลิกเป็นไม่ได้แม่ ตอนนี้มีแฟนอยู่" ยังคงย้ำเรื่องนี้
แล้วแกก็พูดเป็นคำขาดว่า "อย่าเป็นผู้หญิงนะ"
ความหมายคือ มีญาติคนนึงอายุอ่อนกว่าดิฉัน ตอนเข้าทำงานที่กรุงเทพฯ ก็ยังเป็นผู้ชาย แต่พอกลับมาเยี่ยมบ้านเท่านั้น เป็นผู้หญิงไปเลย มีนม ผมยาว ตัวขาว สวย แม่ขอร้องว่า "จะเป็นอย่างนี้ก็ได้ แต่อย่าเป็นผู้หญิง"
ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงร่างกายตัวเองอยู่แล้ว พ่อแม่ให้มาเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ไม่ได้อยากจะเพิ่มเสริมแต่ง หลังจากนั้นดิฉันก็สบายใจมาก เมื่อก่อนถึงไม่ได้ห่างเหินจากแม่มาก แต่เพราะมีปมด้านการชอบเพศเดียวกัน ซึ่งสังคมชนบทเหมือนจะคิดว่าคนเหล่านี้ดูตลกดีหรืออยู่ด้วยแล้วสนุก แต่ก็มักจะถูกดันให้ไปคบกับเฉพาะพวกเดียวกัน ทำให้ดิฉันต้องเก็บพอตัว แต่เมื่อบอกแม่แล้วก็สบายใจ กอดแม่ หอมแม่ได้อย่างไม่กระดากเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนสาวกอดกัน หลังจากนั้นดิฉันกับแม่จะคุยกันถูกคอมาก ถูกคอจนคุยกันเหมือนเพื่อน ส่วนกับพ่อนั้น ดิฉันยังไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้ และเวลากลับบ้านก็ยังคงเก็กแมน จนถึง ณ บัดนี้พ่อก็ยังเลียบๆ เคียงๆ ตลอดว่า นี่ ลูกสาวเพื่อนพ่อคนนั้นเขาสวยนะ ถ้ายังไง.... แบบ...ไม่เอาไม่พูด ดิฉันก็จะแค่ยิ้มๆ ทุกวันนี้พ่อก็ยังไม่เลิกความตั้งใจจะจับคู่กับลูกสาวเพื่อนให้ แต่พวกท่านก็ไม่ค่อยได้หวังอะไรมากหรอกค่ะ เพราะว่าพี่ชายสองคนก็มีครอบครัวแล้ว มีหลานให้อุ้มแล้ว จนดิฉันจะมีหรือไม่มีก็คงไม่ห่วงอะไร เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อนดิฉันที่บ้านแต่งงาน ตอนโทรไปหาแม่ ท่านก็ล้อๆ ว่า ถ้าอยากได้เมียก็หาแต่งเอาเองนะลูก แล้วก็หัวเราะ ดิฉันแบบ...เดี๋ยวจะแต่งเขยเข้าบ้านละกันนะแม่ แม่ก็บอก เอารวยๆ หน่อยเน้อ
สมัยเด็กดิฉันก็จะเรียบร้อยแค่ตอนอยู่บ้านเท่านั้น พอไปโรงเรียนเท่านั้นแหละ ออกเลย 55+ สมัยนั้นจำได้ว่าวงดีทูบีกำลังดังเป็นพลุแตก แล้วเพื่อนจะซื้อหนังสือเอ็กคลูสีฟที่ประมวลภาพ บิ๊ก แดน บีม ดิฉันกับเพื่อนๆ ก็จะมาคุยกันว่า แกชอบใคร ฉันชอบแดน ฉันชอบบีม แหวะ พี่บิ๊กหล่อกว่า พี่แดนหล่อสุดเว้ย ฯลฯ มโนเต็มที่ ดิฉันเคยโดนเพื่อนผู้ชายพูดตอกหน้าอย่างแรง และไม่ถนอมน้ำใจเลย (เพื่อนคนนี้ตัวสูง ผิวดำ แล้วก็น่ากลัว ไม่ได้หมายถึงหน้าตาน่ากลัวนะคะ แต่เขามีออร่าน่ากลัว คือประมาณว่า อย่ามาแหยมกับกูนะ) เขาบอกว่า เป็นกะเทยเหรอ เราไม่ชอบกะเทยนะ คือคำพูดคงไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่น้ำเสียงและสีหน้านี่แบบ ดิฉันอึ้งเลยค่ะ ไม่เคยโดนใครจู่โจมขนาดนี้มาก่อน แล้วตอนที่โดนถามเนี่ย มีเพื่อนผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาแล้วกอดแขนดิฉันดึงไปใกล้ แล้วตอบกลับเพื่อนชายคนนั้น เขาไม่ชอบก็ไม่ได้ไปกับเขา มากับพวกเราดีกว่า 55+ ชีไม่กลัวใครเลยค่ะ จากนั้นดิฉันก็อยู่กับพวกชีตลอด (จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ ม.๑ กำลังเป็นเด็ก สงสารตัวเองมาก กำลังเป็นกะเทยน้อยใสๆ ไม่แรดมาก แต่กลับโดนตอกหน้าหงายว่า มึงเป็นตุ๊ดเหรอ 55+)
คืออยู่บ้านดิฉันจะเป็นแบบนึง อยู่ข้างนอกก็จะอีกแบบนึง อาจเพราะดิฉันโชคดีด้วยที่ว่า ไปเรียนไกลบ้าน ทำงานก็ไกลบ้าน ดังนั้นพ่อแม่ก็จะไม่ค่อยได้เห็นพฤติกรรมอันไม่น่าพิสมัยของเรา ซ้ำยังแบ่งเงินเดือนให้ที่บ้านทุกเดือนเลย พ่อแม่ก็เลยประมาณ เออ มันก็ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ลืมพ่อลืมแม่ เป็นอะไรก็อย่าไปว่ามัน (ตอนนี้พ่อน่าจะรู้แล้วล่ะ แต่แกเลือกไม่พูดมากกว่า) กลับบ้านช่วงสงกรานค์ครั้งหนึ่ง ดิฉันเอากระเป๋าตังค์ที่เพื่อนสาวซื้อให้ เพราะทนเห็นกระเป๋าเก่าๆ ของดิฉันไม่ไหว หล่อนเลือกที่แบบแสบเซี้ยวเปรี้ยวซ่ามากๆ ตอนอยู่บ้านควักออกมาจ่ายเงินอะไรสักอย่าง พ่อเห็นก็เลยแอบเลียบเคียงบอกว่า "ใช้กระเป๋าตังค์ให้เหมือนผู้ชายหน่อยได้ไหม"
มันเป็นตัวตนของหนูค่ะพ่อ แต่ดิฉันจะพยายามทดแทนพ่อแม่ด้วยอย่างอื่นมากกว่าการพยายามเป็นผู้ชาย เช่น ช่วยจุนเจือครอบครัว หรือทำตัวดีๆ ไม่ให้ท่านต้องกังวล อีกอย่างพอกลับบ้านช่วงสงกรานต์ก็จะให้ท่านมานั่งเก้าอี้ แล้วก็เอาน้ำลอยดอกไม้น้ำหอมมารดเท้าท่าน แล้วก็ขอขมาต่อสิ่งที่ได้ล่วงเกินหรือทำผิดต่อพวกท่าน เท่านั้นพ่อกับแม่ก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอก ขอให้ตั้งใจทำงานนะลูก ให้ประสบความสำเร็จ นี่แหละค่ะ แม้เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจอะไรมา ดิฉันก็คิดถึงพ่อแม่ มันทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ เพราะยังไงก็ยังมีคนที่รักเรามากที่สุด
อุ้ย ตอบไปซะเยอะ แค่อยากบอกเจ้าของกระทู้ว่า อย่าเครียดนะคะ ทำเหมือนดิฉันก็ได้ หาที่ปลดปล่อยในโลกออนไลน์ ชอบใครก็มาโพสต์กรี๊ดก็ได้ ดิฉันนี่ถ้าเจอคนที่หล่อถูกใจก็จะเอามาจิ้นเป็นพระเอกในนิยายเสียเลย นี่...หล่อนักใช่ไหม เป็นพระเอกในนิยายฉันเถอะแก!
แม้ตอนนี้สังคมจะเปิดมาก แต่ก็มิใช่ว่าจะสะดวกดายทุกอย่าง คนเรามีพื้นฐานครอบครัวไม่เหมือนกัน สิ่งที่ทำได้คือ หาความสุขให้กับตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ
ดิฉันไม่ได้อะไรนะคะ แค่อยากให้เจ้าของกระทู้ได้ยิ้มเวลามาอ่านสิ่งที่ดิฉันเขียนไปเท่านั้นค่ะ
ดูอย่างดิฉันสิคะ แม้ว่าในเล้าเป็ดจะพูดจาคะขาอย่างไร จะ...แป้งจี่ฯ อย่างนั้น แป้งจี่ฯ อย่างนี้แค่ไหน แต่อยู่ข้างนอกก็ต้องคอยควบคุมตัวเอง ไปไหนมาไหนกับเพื่อนสาวก็ยังทำหน้าที่ของผู้ชายด้วยการถือของให้ ไปชอปปิ้งก็จะต้องถือถุงใส่เสื้อผ้าของพวกหล่อนบ้าง แล้วก็ไปยืนรอดูพวกหล่อนเลือกของ หรือมิฉะนั้นก็จะช่วยบอกว่า ชุดนี้สวยนะ หรือไม่เข้ากับพวกหล่อนอย่างไรตอนออกมาจากห้องลองเสื้อ ขอแค่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอต้องไปร้านหนังสือกับฉัน 55+
ขอกอดหน่อยนะคะ จุ๊บๆ