.
.
.
.
ผมมาถึงร้านที่นัดไว้ก่อนหนึ่งทุ่มเล็กน้อย คนยังไม่เยอะมากแต่ก็ไม่ถึงกับน้อย คงทยอยมาเรื่อยๆ หลังจากส่งเสร็จไอ้ตงก็กลับทันทีเพราะจะไปหาแฟน แฟนมันเรียนบัญชีครับ เป็นคนเป๊ะๆ มันเลยต้องเป๊ะตาม คืนนี้จะกลับคอนโดสงสัยคงต้องใช้บริการพี่แท็กซี่ ที่ไม่รู้ว่าโบกกี่คันกว่าจะได้ขึ้น
เข้าร้านไปอาการสงสัยก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะคนมากินแต่ละโต๊ะแยกกันอยู่ห่างๆ ไม่เห็นมีบรรยากาศงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าสักนิด แต่ความสงสัยก็หายไปเมื่อบริกรหญิงคนหนึ่งเดินมาเรียก
“คุณอินทัชใช่มั้ยคะ?”
“ครับ”
“เชิญด้านบนเลยค่ะ” อย่างนี้นี่เอง ไปจัดห่างๆจะได้ไม่รบกวนคนอื่น ผมเดินตามเธอ ร้านนี้สวยครับ มีสนามหน้าร้าน มีสระเล็กๆ บรรยากาศอย่างชิว เพราะวันนี้ฝนตกด้วยมั้ง ตอนกลางคืนเลยอากาศดีมีลมพัดตลอดเวลา ไม่อยากคิดว่าด้านบนจะบรรยากาศดีขนาดไหน
สงบกว่าที่คิด
ที่จริงแล้วไม่มีใครเลย
“โต๊ะนี้ค่ะ” เธอพาผมไปตรงโต๊ะริมระเบียง จากตรงนี้มองลงไปโคตรสวยเลย – แต่มันใช่เหรอวะ ... ยังไม่ทันจะถามอะไรเธอก็เดินไปแล้วอย่างกับโดนสั่งไม่ให้พูดอะไร ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้างแบบงงๆ มองซ้ายมองขวา อย่างกับที่นี่ถูกกั้นไว้เป็นส่วนตัว เพราะไม่มีใครขึ้นมาเลยนอกจากผมที่นั่งเปลี่ยวเหงาอยู่คนเดียว
โกรธไงไม่รู้ หรือมาเร็วเกินไปวะแต่นี่มันก็หนึ่งทุ่มแล้ว ตามนิสัยของคนปกติก็จะมากันช่วงนี้ไม่ใช่เหรอ มันไม่ควรจะมีแต่ผมอย่างนี้ ผมถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็เซ็งๆ โดนหลอกรึเปล่าวะ สมองด้านมองโลกในแง่ร้ายของผมไปนู่นแล้ว จนกระทั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถูกเลื่อนออกจากใต้โต๊ะตอนที่เวลาผ่านไปแล้วสิบห้านาที
“ขอโทษ รถติด ...หน้าอย่างบูดอะ ฮ่าๆๆ” K
“ไหนคืนสู่เหย้าของนายครับ ทัตเทพยานุตา” ใจจริงอยากพูดมึงมาก แต่เพิ่งเจอกันไม่รู้มันจะรับได้รึเปล่า
“ก็เนี่ย คืนสู่เหย้า คืนแค่สองคนไม่ได้เหรอ” มันยิ้ม
ทัตเทพยานุตา หรือชื่ออะไรก็แล้วแต่เป็นคนหน้าตาดีแบบที่ผมนึกไม่ค่อยออกว่าก่อนหน้านี้มันเคยเป็นใคร ก็หน้าตาสะอาดๆ แต่ก็ติดความเซอไว้นิดๆแบบที่เห็นแล้วรู้สึกว่ามันน่าดึงดูด เวลายิ้มทีจะยิ้มไปทั้งหน้า ซึ่งผมว่ามันดูกวนตีนมาก ไม่เคยเห็นคนยิ้มแล้วกวนตีนขนาดนี้มาก่อนหรือเพราะฟิลเตอร์อคติบังตาของผมรึไงก็ไม่รู้ถึงไม่สามารถยิ้มไปพร้อมกับมันได้ ถึงแม้จะคิดว่าการที่มานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเรื่องบ้าบอมากก็ตาม
ผมถอนหายใจ หมดอารมณ์แม้แต่จะถามชื่อแต่มันก็ยังมองอยู่ ผมกับมันจ้องตากันอยู่สักพักก็เป็นผมที่หมดความอดทนหันไปทางอื่นก่อน โคตรเซ็ง เห็นหน้าแล้วเซ็ง ไม่ชอบเลยโดนหลอกอย่างนี้ หงุดหงิดที่เชื่อมันง่ายด้วย เห็นเป็นเพื่อนเก่าหรอกเลยเชื่อไม่นึกว่าจะมาไม้นี้จริงๆ
“ขอโทษ” มันพูดขึ้นมา ขณะเดียวกันบริกรก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี เบียร์สด กับยำสลัดทูน่ามั้ง ของโปรดแต่ตอนนี้ไม่อยากกิน “ก็กลัวว่าถ้าบอกว่าอยากเจอ จะไม่มา”
“แล้วตกลงชื่ออะไร” เห็นแก่หน้าซื่อๆผมเลยถอนหายใจพร้อมกับเอาความเซ็งออกมา ก็ยังดีวะ คืนสู่เหย้าสองคน ได้เจอเพื่อนก็ยังดี ....มั้งนะ ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย เรื่องแค่นี้
“ยังไม่รู้ชื่อเราอีกเหรอ งั้นบอกก็ได้ อินทัช”
“ชื่ออะไร?”
“เมื่อกี้บอกไปแล้ว”
ผมเงยหน้ามองมัน ขมวดคิ้ว ไอ้คนตรงหน้าเหยียดยิ้มเล็กน้อย – ไอ้ยิ้มแบบนี้ ยิ้มไปทั้งหน้าที่ใครๆก็ชอบทำไมมันคุ้นๆชอบกล โครงหน้าแบบนี้ก็ด้วย จมูกก็เหมือนคุ้นๆว่าเคยต่อยจมูกทรงเดียวกับแบบนี้หรือแม้แต่ตาชั้นเดียวที่คิดว่าเคยต่อยจนช้ำมาก่อน – อย่าบอกนะว่า...
“เฮ้ย ไอ้อินทัช”
“เออ กว่าจะระลึกได้เนอะ” มันขำ – อารมณ์เซ็งๆตอนแรกไปแล้วครับตอนนี้อึ้งปนขำมากกว่า เชี่ย มันจริงๆเหรอวะเนี่ย “... อ้ะๆ อึ้งอะดิ จำไม่ได้อีก เบื่อคนขี้ลืมว่ะ”
“ใครจะจำได้วะ” ตอนนั้นมันก็ยังเป็นไอ้เด็กตี๋อยู่อะแหละแต่ไม่ใช่แบบนี้ ผมขำเบาๆแบบไร้เหตุผล มองหน้ามันแล้วภาพนึงก็โผล่เข้ามาในความทรงจำ ภาพของเด็กชายอินทัชสองคนยืนอยู่ข้างกันในห้องปกครอง สภาพเหมือนเพิ่งโดนหมาฟัดมาทั้งคู่ – ตอนนี้กลายเป็นนายอินทัช กับหมอหมาอินทัชแล้ว
“กูหล่อขึ้นอะดิ จำไม่ได้อะ”
“กูหล่อกว่าเหอะ” ผมข่มทับ หน้ามันตี๋สะอาดๆ ติดภาพผู้ชายอบอุ่นแต่ผมใครๆก็บอกว่าแบดบอย “ปาร์ตี้ชอบกูมากกว่ามึงอีก”
“แต่ปาร์ตี้เคยหอมแก้มกู”
“แค่หอม เคยจุ๊บกูด้วยเหอะ จุ๊บปากอะ จูบแรกกูเลยนะ” ไม่รู้จะคุยกันเรื่องปาร์ตี้ทำไม ได้ข่าวว่ามีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตนแล้ว ถ่ายรูปคู่หวานกันทุกวัน – ผมยิ้ม ยังไงก็เป็นความหลังที่น่าจดจำอยู่ดี
“ไม่ใช่กูเหรอ?”
“อะไร?”
“เปล่า ช่างเหอะ กินๆ” มันเปลี่ยนเรื่อง อาหารเต็มโต๊ะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อย่างกับมันลืมว่างานคืนสู่เหย้าชาวปอหกมีคนมาร่วมแค่สองคน อาหารอร่อยจริงๆ แล้วก็ได้รู้อีกเรื่องที่น่าตกใจแต่ไม่เท่ากับเรื่องที่มันคือไอ้อินทัช คือร้านนี้มันเป็นร้านพี่ชายมันครับ ถึงว่าสิปิดชั้นบนได้ไม่เกรงใจลูกค้าคนอื่นเลย อย่างนี้ผมก็มีร้านประจำเพิ่มขึ้นอีกแล้วป่ะ วันหลังชวนเพื่อนมาถล่มร้านพี่มันดีกว่า
ผมคุยกับมันหลายเรื่อง ตอนที่เคยทะเลาะกันมันกลายเป็นความทรงจำขำๆแล้ว คุยกันเรื่องที่ไม่เจอกันตั้งแต่ม.1 ถึงปีสาม เล่าตามประสาผู้ชาย คุยเรื่องบอล เรื่องเรียน ถามมันว่าทำไมอยากเป็นสัตวแพทย์มันก็บอกว่าเคยประชดเพื่อนว่าเดี๋ยวจะไปรักษาหมาในปาก แล้วก็โดนยุให้เรียนเลยเรียนจริงๆ แม่งเก่งนะ เรื่องเรียนมันสูสีกับผมตั้งแต่ประถมแล้ว ผลัดกันได้ที่ 1 ที่ 2 ตลอด ไม่แปลกใจเลยที่มันจะเข้าเรียนคณะยากๆอย่างสัตวแพทย์ได้
บรรยากาศชิวๆก็นั่งย้อนความหลังกัน แปลกมั้ยครับ ทั้งที่ตอนแรกผมไม่รู้จักว่าไอ้ทัตเทพยานุตานี่คือใคร แต่ตอนนี้กลับจำได้แทบทุกเรื่องซะอย่างนั้น คุยกันเหมือนคนแก่มากจนแปลกใจตัวเองว่าทำไมจำได้มากขนาดนี้ เรื่องของผมกับมันเหมือนกับเป็นตะกอนอยู่ในสมองที่นอนอยู่นิ่งๆ จนกระทั่งสร้างคลื่นเล็กๆขึ้นมาลูกหนึ่ง ตะกอนก็ถูกกวนขึ้นมาจนคลุ้งไปหมด
“มึงจำตอนวันคริสต์มาสตอนป.4ได้ไหม?” มันถาม โรงเรียนผมเป็นเอกชนครับ เวลาจัดกิจกรรมอะไรจะจัดเว่อร์ๆตลอดรวมถึงวันคริสต์มาสด้วย ผมพยักหน้าแล้วยิ้ม แต่ไม่ได้พูดหรอกว่าวันนั้นมีอะไร อยากรู้ว่าคนอย่างมันจะจำอะไรได้บ้าง “ที่กูจับฉลากได้ตุ๊กตาจระเข้ แล้วมึงได้ตุ๊กตากระต่าย มึงก็ร้องไห้อะ”
“เชี่ยก็กูรับไม่ได้ กระต่ายมันสีชมพูมากเลยนะเว้ย” สีชมพูบานเย็น ถือมาตอนแรกนี่โดนล้อเลย ยังจำได้ติดตาตรึงใจ ไอ้คนเริ่มล้อก็ไม่ใช่ ไอ้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเนี่ยแหละ ร้องจนเหนื่อยก็มันที่เริ่มล้อผมก่อนเพื่อนเนี่ยแหละ จู่ๆก็เอาจระเข้มาแลกกันซะงั้น ตอนนั้นผมยังงงๆแต่ไม่อยากถือกระต่ายเลยรีบรับไว้เลย “... มึงเอาจระเข้มาให้กู กูยังเก็บไว้อยู่เลย”
“จริงปะ” มันยิ้มกว้าง แสงแถวนี้มันสว่างขึ้นป่ะวะ “กูก็ยังเก็บกระต่ายมึงนะ”
“อยากได้แต่แรกก็บอกเห๊อะ”
“กูทุเรศมึง ยืนถือตุ๊กตากระต่ายชมพูแหกปากขี้มูกยืด โคตรขี้เหร่เลย ฮ่าๆๆ” เชี่ย ใครจะไปสนวะตอนนั้น ไม่พอใจมากๆก็แหกปากดิ
“ขี้เหร่สุดๆของกูก็ยังหล่อกว่ามึงอะ” ผมพูดแก้เขิน
“หรา เชื่อดีป่ะ ให้ปาร์ตี้ตัดสินปาร์ตี้ก็ชอบกูกว่านะ”
“ตัดสินตอนนี้เลยป่ะล่ะ”
“มาดิ” มันลุกขึ้นก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆผม โทรศัพท์ของอินทัชถูกเปิดแอพกล้องขึ้นมา เซลฟี่ครับ ผมขยับไปใกล้ มองโทรศัพท์ที่อยู่สุดแขนของมันแล้วยิ้ม ยิ้มมุมปากสร้างภาพแบดบอยเหมือนทุกทีอะแหละ ส่วนมันก็ยิ้มกว้างตามสไตล์ผู้ชายอบอุ่น เราขยับมาใกล้กันกว่าเดิมจนหัวเกือบติดกัน ได้กลิ่นน้ำหอม ยังดีไม่ได้กลิ่นสัตว์ติดมา
เมื่อนิ้วแตะที่ปุ่มชัตเตอร์แล้วได้ยินเสียงแชะตามมาก็เป็นอันเสร็จ อินทัชแยกกลับไปนั่งที่เดิม สักพักโทรศัพท์ก็สั่นเบาๆเพราะมีโนติเด้งขึ้นมาจากแอพเฟสบุ๊ค ผมหันไปมองมันขำๆ รีบอัพจริงๆ
ทัตเทพยานุตา ชัชชวามหรรณพภพนพรัตน์ > Partyy Pathita
ตี้ๆ ตัดสินได้ยังว่าใครหล่อกว่าใคร -- with Inn Intouch
“แค่นี้มึงไม่ต้องถามปาร์ตี้หรอก กูอยู่แล้ว” ผมขำ คือแฟนของปาร์ตี้จะมากระทืบพวกผมสองคนมั้ยวะไปถามเหมือนจะม่อเขาอย่างนี้ ไอ้อินทัชยิ้ม ไม่พูดอะไรแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม “ถามจริง ทำไมต้องตั้งชื่อยาวๆด้วยวะ อ่านยากชิบหายเลย”
“ก็ชื่อกูซ้ำกับคนอื่น มึงรู้ป่ะคณะเดียวกะกูนะมีอินทัชตั้งสามคน มีพี่อินทัช กู กะอินทัชเพื่อนกูอีกคน แล้วก็มีมึงชื่ออินทัชอีก กูเลยตั้งประชดแม่งเลย อยากซ้ำดีนัก” ถุยย
“นี่ชื่อเรากลายเป็นชื่อโหลแล้วเหรอวะ กูว่าชื่ออินทัชมันยูนีคสุดๆแล้วนะเว้ย”
“ก็ไม่รู้ แต่รอบตัวกูนี่โคตรโหล มีชื่อซ้ำกันสามสี่คน กูก็ว่ายูนีคนะ แม่งลอกมาจากแม่กูแน่ๆเลยอะ ... เพื่อนเรียกมึงว่าไรวะอินทัช” ผมกับมันไม่เคยเรียกชื่อเล่นกันเลยครับ ชื่อเล่นผมชื่ออิน ส่วนมันชื่อเล่นว่าทัช เลือกใช้คนละคำจะได้ไม่สับสนแต่เป็นพวกผมเองเนี่ยแหละชอบตะโกนเรียกชื่อจริงกัน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
“เรียกอิน มึงอะ”
“ทัช” ว่าแล้ว ผมยิ้ม เมื่อก่อนมันเคยถามด้วยทำไมเพื่อนไม่เรียกมันว่าอิน มันชอบชื่ออินมากกว่าเพราะเหมือนพระอินทร์ แต่ผมจองก่อนแล้ว ครูไข่ขวัญเป็นคนบอกให้เรียกอย่างนี้ด้วยจะได้ไม่สับสน แต่เวลาเรียกพร้อมกันก็งงอยู่ดี ต้องเรียก น้องอิน น้องทัช ถึงจะหัน
เรื่องที่ทะเลาะกับมันหนักที่สุดก็เรื่องชื่อนี่แหละ จำไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้นมีอะไร แต่ประเด็นหลักคือพวกผมไม่อยากให้มันชื่อเหมือนตัวเองก็เลยต่อยกัน ใครแพ้ต้องไปเปลี่ยนชื่อที่เขตว่าขี้หมา โคตรเหี้ยเลย โชคดีที่ครูมาก่อนไม่งั้นคงมีสักคนชื่อขี้หมาจริงๆ
“มึงๆตี้บอกว่าอินทัชหล่อ” ไอ้อินทัชยื่นโทรศัพท์มาให้ดู ขำก๊ากเลย อินทัชไหนล่ะมีสองอินทัช “หมายถึงกูแน่ๆ ฮ่าๆ”
“มึงถามซิว่าอินทัชวิศวะปิโตรหรืออินทัชหมอหมา”
“โห หมอหมา เรียกซะดรอปเลย” มันขำ หรือไม่จริงล่ะ หมอหมาอะไรก็ไม่รู้ไปรักษาหมาในปากตัวเองก่อนเถอะ
“ก็หมอหมาจริงป่ะล่ะ แฟนรับได้ป่ะเนี่ยเรียนเป็นหมอหมา”
“ยังไม่มีเหอะ ผู้หญิงเขาไม่ชอบผู้ชายรักสัตว์เหรอวะ” ผมเลิกคิ้ว หน้าตาอย่างนี้อ่ะนะไม่มีแฟน หาไม่ได้หรือเลือกมากวะ แอบคิดว่าคงอย่างหลังมากกว่า หรือไม่ก็เป็นพวกรักสนุกแต่ไม่อยากผูกพันอะไรทำนองนั้น ไม่อยากชมเท่าไหร่แต่หน้าตามันสมควรมีแฟนจริงๆนะ “มึงล่ะอินทัช”
“มีแล้วเลิกแล้วว่ะ”
“โถถถ ใครเค้าจะอยากฝากความรักกับคนอย่างมึง เดี๋ยวก็ไปอยู่กลางทะเล”
“เขาไม่เข้าใจ รักของกูหนักแน่นดั่งแท่นขุด เจอน้ำเจอคลื่นก็ไม่หวั่นไหว”
“ถุ้ยย”
หยอกกันไปตามประสา มุ้งมิ้งดี ใครเงยหน้าขึ้นมาข้างบนคงเห็นผู้ชายสองคนคุยกระหนุงกระหนิงกันอยู่ใต้แสงจันทร์
เบียร์หมดแล้ว พวกผมไม่ได้ดื่มเยอะเท่าไหร่ ไอ้อินทัชต้องประคองสติของมันขับรถกลับบ้านส่วนผมก็ต้องออกไปโบกแท็กซี่ ดื่มกันแค่มึนๆเท่านั้นแหละ มองนาฬิกาอีกทีก็พบว่าเวลาผ่านมาถึงสามทุ่มครึ่งแล้ว นั่งนานขนาดนี้เชียว ผมไม่รู้ว่าระหว่างที่เรานั่งอยู่ด้วยกันเราคุยเรื่องอะไรกันบ้าง บางทีอาจจะคุยแทบทุกโมเม้นต์ที่ผ่านมาก็ได้ แซวกันเป็นระยะว่าเรื่องแบบนี้ยังจะจำอีกเหรอ ทั้งๆที่แค่เกริ่นขึ้นมา ก็นึกออกแล้วว่าจะพูดถึงอะไร
ถ้าไม่นับเรื่องที่ทะเลาะกันบ่อยๆบางทีผมอาจจะสนิทกันที่สุด หรือเพราะทะเลาะกันบ่อยเลยสนิทกัน ผมก็ไม่รู้ทำไม แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะ สุดท้ายอินทัชจะเป็นคนพูดขอโทษก่อนทุกครั้งไม่ว่าจะโดนครูบังคับหรือไม่ก็ตาม ผมเลยใจอ่อน ติดเป็นนิสัยว่ายังไงมันก็ต้องขอโทษ นานไปก็กลายเป็นนิสัยเสีย ผมไม่เคยเป็นคนแรกที่ขอโทษ แล้วก็เป็นคนนิสัยเสียที่คิดว่ายังไงมันก็ให้อภัยผมเสมอ
มีแค่เรื่องเดียวที่มันไม่เคยขอโทษ เป็นเรื่องที่ผมเคยคิดว่ามันผิดที่สุด ผิดจนไม่น่าอภัย แต่มันก็ไม่ขอโทษ ไม่เคยพูดจนกระทั่งวันสุดท้ายที่เจอกัน
ผ่านมาแปดปี ไม่ได้ลืม แต่ผมก็มั่นใจว่าคนอย่างมันคงไม่พูดเรื่องนั้นออกมา
“กลับไงอะอินทัช” คนตรงหน้าผมถาม อภิสิทธิ์ของน้องชายเจ้าของร้านคือไม่ต้องเรียกบริกรมาเช็คบิลครับ กินเสร็จก็เดินลงมาเลย จะว่าไปไม่ได้ถามว่าทำไมมันต้องจองทั้งชั้น หรือลูกค้าน้อยวะ ก็ไม่นะ คนค่อนข้างเยอะทีเดียว ที่จอดรถนี่เต็มทุกช่อง ล้นไปถึงถนนด้านนอกร้าน
“แท็กซี่อะ”
“บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวไปส่ง”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร รบกวนเยอะแล้ว” ผมหมายถึงเรื่องอาหารนะ กินอิ่มแล้วลืมเลยว่าโดนมันหลอกให้มา ไอ้อินทัชเงยหน้าขึ้นจากกุญแจรถตัวเอง จ้องผมเขม็ง “อะไรของมึงอินทัช”
“กูอยากไปส่ง อยากคุยต่อ ขึ้นรถเหอะ”
“ตามใจ”
รถมันเป็นรถสปอร์ต มองแค่หางตาก็รู้แล้วว่าราคาขนาดไหน แต่บุคลิกมันไม่เข้ากับรถแบบนี้เลยน่าจะขับรถโฟล์ครถเฟียตอะไรอย่างนั้นมากกว่า ไอ้อินทัชบอกว่ารถพี่มัน โถ มองมันเหยียดๆจนมันหลุดหัวเราะ
“เออดิ กูมันจน ไม่มีตังซื้อสปอร์ตให้มึงนั่งหรอก”
“กูยังไม่ทันจะพูดเลยว่ามึงจนต้องเกาะพี่สร้างภาพลักษณ์ตัวเอง นี่กูแค่คิดเฉยๆนะเว้ย ยังไม่ทันจะพูดเลยนะ”
“ไอ้เชี่ยอินทัช”
“มึงด่าตัวเองทำไมวะอินทัช ฮ่าๆๆ” ดีใจว่ะแกล้งไอ้แป๊ะยิ้มให้ทำหน้าบูดได้ มันมีอุปกรณ์มายึดมุมปากรึไงก็ไม่รู้ ยิ้มได้ตลอดเวลา หมั่นไส้ว่ะ
ทั้งๆที่มันบอกว่าอยากคุย แต่อันที่จริงก็ไม่ได้คุยกันหรอกครับนอกจากถามทางไปคอนโด ผมนั่งเงียบๆ มองนอกกระจกบ้าง หันมามองมันบ้าง ส่วนสายตาของอินทัชอยู่ที่ถนนตลอดเวลา ปล่อยให้เสียงเพลงจากวิทยุทำลายความเงียบระหว่างคนสองคน
I apologize and I hope that I'll make it clear
That I appreciate the fact that you were near me
Well, maybe I can change my wrong to right,
Baby, if I try
Maybe I can send you back into my life
Come back to me. Where are you now that I'm ready?
Long time, no see. Long time, no see
It's been a while since I felt so strong, I'm telling you much too long,
Long time, no see
Long time, no see. Long time, no see. Long time, no see. Long time, no see
ไม่ได้เจอกันนานมากจริงๆ
“อินทัช ถึงแล้ว”
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนมืออุ่นของมันเขย่าที่ไหล่เบาๆ ผมปรือตา หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อินทัชหัวเราะเล็กน้อยตอนที่ผมเหยียดแขนยาวบิดขี้เกียจไล่ความง่วงแต่สุดท้ายก็อ้าปากกว้างหาวยาวๆเหมือนเดิม มันไม่ได้เข้าไปจอดรถในคอนโดแต่จอดอยู่ซอยข้างๆ โคตรเปลี่ยว แต่ผมเดินผ่านซอยนี้ตอนกลางคืนหลายรอบแล้ว
“ขอบใจที่มาส่งนะเว้ย”
“เออ” มันบอก ก่อนจะยิ้มออกมา ยิ้มเป็นเอกลักษณ์ “ฝันดีนะอินทัช”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังไม่ได้ลงจากรถ
อินทัชนั่งมองคนข้างๆ แววตาคู่ที่ไม่ได้เห็นมาตลอดแปดปี ทั้งๆที่ควรจะลืมไปแล้วแต่มันยังติดอยู่ชัดเจนในใจ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของเขามองหาอีกฝ่ายเสมอ เขารู้ว่าไม่ใช่เพราะอยากทะเลาะด้วย แต่ก็แปลกใจเหมือนกันที่ทุกครั้งมันจบลงแบบนั้น เคยเสียใจที่เผลอหลุดมือต่อยเข้าเต็มๆเบ้าตานั้นแต่ก็ได้แผลกลับมาเหมือนกัน
ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง คงเป็นเพราะความหมั่นไส้เรื่องที่ชื่อซ้ำกันทำให้พวกเขาจ้องจะแขวะกันตลอดเวลา เป็นความหมั่นไส้แบบเด็กๆที่คิดถึงทีไรก็เผลอยิ้มทุกครั้ง เพราะมันไร้สาระ มีแต่เด็กที่ทะเลาะกันเรื่องไร้สาระอย่างนั้น และมีแต่เด็กเช่นกันที่ลืมมันไปอย่างรวดเร็ว แค่มีคำว่าขอโทษก็ลืมความเจ็บไปแล้ว
อินทัชอีกคน ยื่นมือมาใกล้ สัมผัสความอุ่นนั้นข้างแก้มของตัวเอง มือที่วางอยู่นั้นค่อนข้างสากแต่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สมกับเป็นมือของผู้ชาย ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ได้รู้สึกแย่กับสัมผัสนั้นเลยแม้แต่น้อย มันอุ่นแบบที่ไม่ควรจะเป็น เพราะมันไม่ได้แค่รู้สึกอุ่นที่แก้ม แต่มันอุ่นไปถึงหัวใจ ทั้งๆที่อวัยวะนั้นอยู่ห่างออกไปจากเซลล์ประสาทรับความรู้สึก เขาไม่ได้รับสัมผัสแบบนี้มานาน จนจำไม่ได้ว่าหัวใจที่เต้นอยู่มันเพิ่งเริ่มเต้นตอนนี้รึเปล่า เพราะมันเต้นแรงเหลือเกิน
ตอนที่ถูกจูบ อินทัชคิดว่าตัวเองกำลังจะบ้าตายให้ได้อยู่แล้ว
มันไม่ใช่จูบอ่อนโยน จูบโรแมนติกหรือจูบที่ทำให้รู้สึกเหมือนละลายเป็นของเหลว แค่จูบธรรมดา ไม่ได้สัมผัสกันมากกว่าเวลาสิบวินาทีน่าจะทำได้ กลิ่นเบียร์ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากโดยไม่รู้ว่ามันมาจากเขาหรือมาจากอีกฝ่าย ไม่หวานเลย อีกฝ่ายแซวแก้เขิน แต่เขาไม่ได้ฟัง เพราะกำลังสงบจิตใจอยู่ จนเมื่อจูบกันอีกครั้ง เขาถึงจะเริ่มดึงสติกลับมา ก่อนจะปล่อยให้ทุกอย่างไปตามอารมณ์ที่หยุดไม่ได้ของตัวเอง
จูบที่อินทัชมั่นใจว่ามีความหมายมากกว่าจูบแรกของเขา หรือของอินทัชอีกคน เพราะมันกำลังย้ำเตือนความอบอุ่นที่ถูกฝังลึกในใจยาวนานถึงแปดปี ความคิดถึงค่อยๆล้นออกมาช้าๆ พอรู้ตัวอีกทีมันก็ท่วมท้นจนกลั้นไม่อยู่ คิดถึงเสียงที่พูดอะไรไม่เคยเข้าหู คิดถึงตาที่มองมาเหมือนจงใจกวนประสาท คิดถึงสัมผัสจากมือของอีกฝ่ายที่มักจะเริ่มอย่างรุนแรง แล้วจบที่เลื่อนมาลูบใต้ตาเวลาที่ร้องไห้ คิดถึงทุกๆอย่างที่เป็นอินทัช แปลกใจที่ก็ไม่ได้ห่างกัน อยู่มหาลัยเดียวกันแถมยังเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊ค แต่เพิ่งได้เจอกัน
โทษตัวเองที่เคยปล่อยให้ความรู้สึกในวันนั้นเมื่อแปดปีก่อนมันบังตา จึงทำเป็นมองไม่เห็นกันและกันจนกระทั่งตอนนี้
ถูกดึงมือขึ้นมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยๆลากนิ้วบนฝ่ามือเป็นประโยคหนึ่ง มันเคยถูกใช้ในวันสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะไม่เจอกันอีก
Please keep in touch
เขาไม่เคยลืมมันเลย
.
.
.
.
.
.
Partyy Pathita > Touch Intouch
อะไรคะสองคนนี้ ต่อยกันอยู่แป้บๆ ได้กันแล้วเหรอ 5555 – with Inn Intouch
Inn Intouch เดี๋ยวๆ ใครได้ใคร 55
Touch Intouch @Inn Intouch กุได้มึงไง
Partyy Pathita แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมนะ
Touch Intouch -///-
Inn Intouch กระแดะว่ะข้างบน ^
Partyy Pathita นี่มีลูกให้ชื่อไรดีเนี่ย อัชทิน ดีมั้ย
Touch Intouch ชื่ออินทัชนี่แหละ ผู้หญิงชื่อ อินทัชชา
Inn Intouch มึงท้องได้ด้วยเหรอ
Touch Intouch มึงไงท้อง
Inn Intouch olo
Partyy Pathita อ่านแล้วเขินอะ ///-/// เดี๋ยวนี้ลืมเราแล้วอะดิ ได้กันเอง 555 ทำไมกุเป็นผู้หญิงรันทดจัง
Inn Intouch ก็เกินไป 555
Partyy Pathita อย่าลืมมางานคืนสู่เหย้าชาวปอหกนะ เพื่อนรอล้ออยู่ อิอิ
Inn Intouch ไม่อยากไปเล้ยย
Partyy Pathita อ้าวทำไมอะ
Touch Intouch 555
Partyy Pathita มีอะไรกันสองคนนี้
Inn Intouch มีความทรงจำที่ขมขื่น
Partyy Pathita แน่ะ ///-///
Inn Intouch อย่าคิดลึก
Partyy Pathita โอ้ยยอะไรเนี่ย ทัชๆๆบอกเลย ดูอินดิ
Touch Intouch ไม่บอกหรอก ความลับของอินทัชกะอินทัช
....ความลับของคนสองคน
--end--