.
.
หลังจากวันที่ยืนยันว่าผมอยากรู้ว่ารสชาติอาหารที่วาทำจะเป็นยังไง สุดท้ายผมก็มารอเจอเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก
วันเสาร์ เวลาสี่โมงกว่าๆ ผมเดินทางมาถึงโรงเรียนสอนดนตรีในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ตอนที่ผมเดินเข้าไป สายตาก็ประสานกับประชาสัมพันธ์สาวที่นั่งตรงหน้าเคาน์เตอร์พอดี
“มารับน้องอะไรคะ”
อาจเพราะไม่คุ้นหน้า เธอจึงเอ่ยทักเช่นนั้น
“ผมมารอวา...เอ่อ...ครูสอนเปียโนที่ชื่อวายุครับ”
“อ๋อ ครูวาหรือคะ สอนเสร็จห้าโมงค่ะ เชิญนั่งรอก่อนนะคะ”
“ครับ”
ภายในโรงเรียนมีผู้ปกครองและเด็กๆ มานั่งรอยังที่นั่งประปราย โชคดีที่บริเวณที่นั่งรอมีทีวีเปิดไว้ด้วย ทำให้ผมทอดสายตามองจอสี่เหลี่ยมระหว่างทีรอเวลาเลิกชั้นได้
บรรยากาศในโรงเรียนแห่งนี้ช่างแตกต่างจากที่มหาวิทยาลัย เสียงเด็กๆ คุยเล่นฟังเจื้อยแจ้วสดใส เสียงโน้ตจากเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ ที่ดังลอดจากห้องซ้อมชวนให้ผ่อนคลาย เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามายุ่งเกี่ยวนัก
นั่งรอจนกระทั่งเวลาห้าโมง ก็เริ่มมีเด็กๆ วิ่งออกมาจากห้องเรียนเพื่อมาหาผู้ปกครอง ผมหันหน้าไปมองยังทางเดิน เผื่อว่าคนที่รออยู่จะเดินออกมาบ้าง และไม่นานนักวายุก็เดินออกมา เมื่อสบสายตากับผม เขาก็ชะงักไปหน่อย ก่อนจะหันไปเขียนอะไรบางอย่างบนเคาน์เตอร์ แล้วเดินมาทางผมที่นั่งอยู่
“โทษที รอนานไหม”
“ตั้งแต่สี่โมง”
อีกฝ่ายหน้าเจื่อน ทำให้ผมหัวเราะหึในลำคอ
วายุที่หยุดยืนอยู่ข้างผมอยู่ในชุดลำลองเรียบง่าย เชิ้ตแขนยาวสีเข้มตัดกับผิวซีด แขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอกเผยให้เห็นท่อนแขนและมือเรียว เขาไม่ใส่เครื่องประดับใดแม้แต่นาฬิกา ข้อมือและเรียวนิ้วสวยจึงยิ่งโดดเด่น
“รอไม่นานหรอก พอดีว่าง เลยมานั่งรอข้างในก่อน” ผละสายตาจากผิวที่ราวกับโปร่งแสงจนเห็นเส้นเลือดบางๆ แล้วเอ่ยต่อ
“อืม...งั้นไปกันเลยไหม”
ผมพยักหน้า ลุกขึ้นเดินนำเขาไปเปิดประตู
ก่อนจะออกจากโรงเรียน มีเด็กๆ รวมถึงผู้ปกครองเข้ามาสวัสดีวาหลายต่อหลายคน ดูๆ แล้วเขาเป็นครูสอนเปียโนที่ป๊อบปูล่าร์อยู่เหมือนกัน หนำซ้ำผมยังเห็นเขายิ้มให้ลูกศิษย์อีกด้วย ถ้าอยู่ที่มหาวิทยาลัย คงไม่มีทางได้เห็นภาพแบบนี้แน่
ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าวายุไม่ได้สนิทสนมกับใครที่มหาวิทยาลัย เวลาเรียนหรือทานข้าวก็ไปคนเดียว แม้จะมีคนเข้าหาเขา แต่วายุก็ออกจะเมินเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย สำหรับเจ้าตัว โรงเรียนสอนดนตรีแห่งนี้คงเป็นที่ที่เขาอยู่แล้วสบายใจมากกว่า
เขาบอกว่ารับงานสอนดนตรีอาทิตย์ละสามหรือสี่วัน หมายความว่าเขาใช้เวลาอยู่ที่นี่อาจจะมากกว่าอยู่ที่มหาวิทยาลัยเสียอีก บางวันก็รับเล่นเปียโนที่ห้องอาหารของโรงแรม มีชีวิตอีกด้านที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน
ในเพื่อนรุ่นเดียวกัน คนที่ทำงานและรับผิดชอบตัวเองแบบเขามีไม่เยอะ ผมค่อนข้างประหลาดใจด้วยซ้ำที่ได้รู้เรื่องนี้
ขณะที่ผมสาวเท้านำเขาไปยังทางออกของห้าง วายุก็เอ่ยขึ้น
“เพลิง...ในห้างนี้ก็มีแผนกเครื่องครัวไม่ใช่หรือ”
ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่หยุดยืน ความจริงเรานัดกันว่าจะซื้อของใช้ในครัวเข้าห้องของวายุ เขาอยากจะลองทำอาหารแต่ไม่มีอุปกรณ์สักอย่าง แรกเริ่มก็ไม่น่าจะรอดแล้ว ตอนไปที่ห้องของคนตรงหน้า ผมลองนับถ้วยชามในห้องแล้ว มีแก้วสองใบ จานสองใบ ชามเล็กหนึ่งใบ ชามใหญ่หนึ่งใบ ช้อนส้อมมีอยู่ไม่ครบคู่ มีอยู่อย่างละสองสามคัน ครึ่งหนึ่งในของเหล่านั้นเป็นของที่แถมมากับอาหารสำเร็จรูป
ผมเข้าใจว่าเขาไม่น่าจะมีเวลาทำอาหาร ดังนั้นจึงคิดว่าการจะให้เขาซื้อของใช้เข้าห้องเพื่อลองทำอาหาร มันไม่สมเหตุสมผล และออกจะสิ้นเปลืองเปล่าๆ
“ทุกห้างก็ต้องมีแผนกเครื่องครัวอยู่แล้ว” เอ่ยกวนไปนิดหน่อย เห็นวายุหัวคิ้วชนกันก็อดยกยิ้มไม่ได้ “ไม่จำเป็นต้องซื้อของใหม่หรอก เดี๋ยวพาไปเอาของ”
“ที่ไหน”
“บ้าน”
“......”
วายุนิ่งเงียบไป ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่คิดจะดึงดันหาคำตอบ สองขาก้าวเดินต่อจนกระทั่งมาอยู่หน้าห้างโดยมีอีกคนเดินตามมาเงียบๆ
ผมเรียกแท็กซี่ จุดหมายคือบ้านในแถบชานเมือง ครั้งสุดท้ายที่นั่งรถแท็กซี่กับวาก็คือคืนนั้น ผมยังจำได้ดีว่าอีกฝ่ายมีสภาพเมาจนไม่ได้สติ ศีรษะเอนพิงกับหัวไหล่ ใกล้ชิดจนได้กลิ่นหอมเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ ถ้าผมไม่ตามไปในคืนนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะถูกซ้อมเอาของมีค่าแล้วถูกทิ้งไว้ข้างทางก็ได้ สถานที่แบบนั้นไว้ใจได้ที่ไหน ยิ่งเจ้าตัวเป็นประเภทดึงดูดคนแปลกๆ ให้เข้าใกล้ด้วย
ผมเคยคิดว่าถ้าหากคืนนั้นไม่เอาตัวเองไปยุ่งกับเขาจะเป็นยังไง จะเสียใจหรือโล่งใจกันแน่ แล้วผมก็ตอบตัวเองได้ในทันทีว่าผมไม่เสียใจที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น แม้จะโมโหแค่ไหนก็ไม่เคยเสียใจ ยิ่งในตอนนี้ พอเห็นแง่มุมของวาที่ไม่ค่อยจะสนใจรอบข้าง และออกจะเปิดโอกาสให้คนคิดมิดีมิร้าย ผมยิ่งรู้สึกว่าหากวันนั้นผมไม่ไป ผมจะยิ่งเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนั้น
วันนี้ผมกับวานั่งห่างกันคนละฝั่งของรถ ต่างฝ่ายต่างมองออกไปนอกหน้าต่างคนละด้าน ทว่าความรู้สึกในขณะนี้กลับไม่น่าอึดอัด และไม่รู้สึกว่าเราเหมือนคนไม่รู้จักกันเหมือนเช่นวันนั้น
ที่รู้สึกอย่างนี้ อาจเพราะผมอยากเข้าใจเขาให้มากขึ้นก็เป็นได้
รถแท็กซี่มาถึงบ้านผมก่อนหกโมงนิดๆ ผมพาวายุเดินเข้าไปในบ้านเดี่ยวสองชั้น แค่ก้าวผ่านรั้วประตูบ้าน หมาบางแก้วสองตัวก็วิ่งออกมาเห่าทันที ผมดันให้วาไปอยู่ด้านหลัง แล้วส่งเสียงบอกให้เจ้าหมาหยุดอยู่กับที่
พอเห็นว่าแขกที่มาใหม่มากับผม เจ้าไมโลกับคุ้กกี้ก็กระดิกหางเหมือนเข้าใจ แต่สัตว์มีเขี้ยว อย่างไรก็ไว้ใจไม่ได้ ยิ่งกับคนแปลกหน้า เจ้าสองตัวนี้อาจจะพุ่งเข้ามากัดไม่ทันให้ตั้งตัว
เมื่อเข้ามาในบ้าน แม่และครอบครัวพี่ชายผมก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาหันมามองแขกนิดหน่อย ผมจึงกล่าวสวัสดี แล้วแนะนำวายุให้รู้จัก
“นี่วาครับ ที่ผมบอกแม่ไว้ จะขอของที่ไม่ใช้ไปหน่อย”
วาไหว้ครอบครัวของผมด้วยสีหน้าเกร็งอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเขาไม่สนิทสนมกับใครนัก โดยเฉพาะกับผม การแวะมาที่บ้านจึงน่าจะสร้างความลำบากใจให้ไม่น้อย แต่มันช่วยไม่ได้นี่ ในเมื่อหน้าตาของเขาตอนทำอะไรไม่ถูกมันน่าสนใจขนาดนั้น
ผมพาวายุเข้าไปในห้องครัวเพื่อเลือกเอาของใช้ส่งให้ แม่ผมชอบทำอาหาร แล้วยังเป็นครูสอนทำอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ในครัวทั้งที่ซื้อเองและที่มีคนให้มาจึงมีมากจนล้น ผมเปิดตู้เลือกเอาหม้อหุงข้าวขนาดเล็กที่ยังไม่เคยแกะกล่องออกมา ตามด้วยชุดอุปกรณ์ทำครัวที่ยังไม่แกะจากซีล
“เดี๋ยวฉันซื้อเอาก็ได้ บ้านนายเก็บไว้ใช้เถอะ” วารีบเอ่ยขัด และก่อนที่ผมจะตอบอะไร แม่ผมที่เดินเข้ามาในครัวก้ตอบแทน
“เอาไปเถอะจ้า แม่ไม่ได้ใช้หรอก ของบ้านนี้มีเยอะ ปีใหม่คงต้องขนไปบริจาคสักที”
เจ้าของใบหน้าขาวซีดไม่ตอบรับ เรียกได้ว่าแทบจะนิ่งจนไร้ปฏิสัมพันธ์ไม่ต่างจากรูปปั้นที่ตั้งโชว์ตามนิทรรศการ
“วันนี้ลูกค้างที่นี่ไหมเพลิง” แม่ผมเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม
ผมส่ายหน้าให้ “ไม่ครับ เดี๋ยวกลับไปนอนหอ”
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พี่ชายผมปลูกไว้ให้ครอบครัว เดิมทีมีสี่ห้องนอน ลูกชายสามคนในบ้านต่างครองห้องคนละห้อง ส่วนแม่ของผมนอนห้องใหญ่ ทว่าตั้งแต่ที่พี่สะใภ้ย้ายมาอยู่ด้วย ห้องของผมจึงกลายเป็นห้องของน้องชาย ส่วนห้องของน้องชายก็กลายเป็นห้องที่ไว้ให้พี่ชายและพี่สะใภ้ใช้งาน ผมที่ย้ายออกไปอยู่หอตั้งแต่มัธยมปลายจึงไม่อะไรนัก เมื่อก่อนจะแวะกลับมาอยู่บ้านทุกเสาร์อาทิตย์และปิดเทอม แต่ปัจจุบันเมื่อพี่ชายผมมีลูก ผมจึงแวะมาทานอาหารหรือช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าจะนอนค้าง
“งั้นทานข้าวด้วยกันก่อนสิ ชวนเพื่อนลูกด้วย”
“ครับ” ผมวางของที่จะให้วาทั้งหมดไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปทางมารดาของตน “วันนี้แม่จะทำอะไรครับ เดี๋ยวผมช่วย”
“ขอบใจลูก ไปคั้นน้ำส้มให้เพื่อนทานก่อนสิไป”
ผมรับคำแล้วเดินไปหยิบผลไม้ออกจากตู้เย็น ส่วนวายุเริ่มลนลานและเอ่ยกับผมที่กำลังเตรียมน้ำให้เขา
“ไม่ต้องลำบากหรอก แค่น้ำเปล่าก็พอ” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบากับผม ราวกับไม่อยากให้แม่ผมได้ยิน
ผมหยิบส้มไปล้าง แล้วหยิบมาหนึ่งผลแกะเปลือกออก ส่วนวายังคงเดินตามผมมาไม่ห่าง
“เพลิง...ไม่...”
ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบ ผมก็แกะส้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง และยื่นไปตรงหน้าริมฝีปากของวา
“ลองดูสิ”
กลีบส้มแตะกับเนื้อปากอิ่ม ทำให้อีกฝ่ายต้องอ้าปากรับไว้อย่างเสียไม่ได้ ขณะที่เคี้ยวผลไม้ วายุก็หันหน้าไปทางอื่นทั้งที่คิ้วขมวดมุ่น ผมมองท่าทีของเขาอย่างไม่วางตา รอให้เขากลืนเนื้อส้มลงคอ แล้วแบมือยื่นไปใกล้ๆ ปากเขาอีกครั้ง
วายุผงะเล็กน้อยอย่างตกใจ นัยน์ตาหวานโศกช้อนมองอย่างฉงน
“ไม่มีใครเขากินส้มแล้วกลืนเม็ดเข้าไปด้วยหรอกนะ”
คนตรงหน้ากัดปากตนเอง ดวงตาเสมองทางอื่นอย่างลังเล
“คายเม็ดออกมาสิ มือจะได้ไม่เลอะไง”
ผมเอ่ยย้ำ เวลาผ่านไปนานพอดู กว่าที่ริมฝีปากอิ่มก็เผยอออก และคายเม็ดส้มออกมาในที่สุด
“เดี๋ยวนายไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นกับพี่ฉันก่อน ตรงนี้ฉันจัดการเอง”
วายุรีบเดินกลับออกไป และผมคิดว่าเขาคงจะทำตัวเป็นแขกที่ดีไปอีกสักพัก เมื่อวาเดินออกจากครัวไปแล้ว แม่ผมที่ยืนอยู่ที่ครัวอีกฝั่งก็เอ่ยถามขึ้น
“สนิทกันหรือลูก”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “เคยเป็นรูมเมทกันครับ”
แม่ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ และให้ผมไปช่วยเป็นลูกมือท่านสำหรับอาหารมื้อนี้
.
.
TBC
___
ขอบคุณที่รอค่า
เคยแอบคิดนะ ว่าน้องวาก็ดีขนาดนี้ อิพี่เพลิงไม่เหมาะกับน้องเล้ย แต่ก็เกลียดเพลิงไม่ลงแหะ