ตอนที่ 27
เงียบงันคือคำตอบของหนึ่งตะวัน ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ แน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอด ไม่ไหวติง ไม่แม้กระทั่งบิดกายหนีเมื่อผมฝังจมูกลงไป
กลิ่นของความรักยังคงหอมตลบ เช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่ไม่เคยซัดสาดหายไปตามกาลเวลา คล้ายกับเป็นการยืนยันว่ามันยังมีอยู่จริง
“ที่คลินิกเป็นไงบ้าง”
ช่วงวันที่อากาศร้อนจัด โรงพยาบาลสัตว์ใจกลางตัวเมืองเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผมเงยหน้าขึ้นจากเข็มฉีดยาที่กำลังไล่ลมออกจากสลิงค์เมื่อได้ยินเสียงทัก หมอนุ่นยืนพิงกำแพง ยักคิ้วให้เป็นการทักทาย
“เรื่อย ๆ ครับ ส่วนใหญ่ออกไปรักษาที่ฟาร์มเลยมากกว่า”
“ได้ข่าวว่าไปดูม้าที่ไร่ตะวันฉายบ่อย”
“ปิ่นฟ้องเหรอครับ” ผมหัวเราะ จิ้มเข็มไปบนสะโพกสุนัขที่กอดเจ้าของแน่น กดด้านท้ายส่งวัคซีนเข้าร่างแล้วดึงออก “ก็ไปบ้างครับ ถ้ามีเวลา แต่ไม่ได้ไปหาม้าหรอก”
“หาอะไรที่ดุกว่าม้า”
“ประมาณนั้น”
พี่นุ่นหัวเราะ เมื่อเจ้าตูบตัวโตแต่ขี้กลัวได้รับยาเสร็จเรียบร้อยเจ้าของก็พาเดินเลี่ยงออกไป เหลือเพียงผมกับภรรยาเจ้าของพยาบาลท้องโตตามลำพัง
“แล้วเป็นไง มีข่าวดีหรือยัง หมอกฤชของพี่ดูหน้าตาสดใสขึ้นนะ”
“แรก ๆ ไม่ยอมคุยด้วยเลยครับ ไปหาบ่อย ๆ ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย หลุดคุยด้วยบ้าง แต่ยังโกรธอยู่”
“ก็เล่นทิ้งเขามาตั้งสามปี”
“ตอนนั้นกลัวไปหมด” ผมพูดพลางถอนหายใจ “คู่แข่งผมธรรมดาเสียที่ไหน หนึ่งตะวันเองก็ดูลังเล”
“คุณหนึ่งรำคาญที่กฤชหึงงี่เง่าหรือเปล่า”
“โธ่ ทีเขายังหึงผมกับพี่นุ่นเลย”
“ยังจะเถียงอีก ไปยุคุณหนึ่งให้โกรธนาน ๆ ดีกว่า”
“ทำงี้เอาเข็มแทงผมให้ตายเถอะครับ” ผมฉีกยิ้มกว้าง กวาดขยะบางส่วนลงถัง เก็บอุปกรณ์ที่ไม่ใช้แล้วเข้าที่ “วันนี้ผมขอกลับเร็วหน่อยนะครับ”
“จะโดดไปไหนอีกพ่อคุณ”
“น่า...ไว้ผมง้อคุณหนึ่งเสร็จเมื่อไรจะใช้เวรใช้กรรมให้พี่นุ่นเบื่อเลย”
“ปากดี” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “จะไปไหนก็ไปเถอะ เคลียร์เคสที่นัดเขาไว้ให้เสร็จก็พอ”
“เมื่อกี้รายสุดท้ายแล้วครับ”
“วางแผนมาแบบนี้ฉันคงขัดอะไรไม่ได้แล้วแหละย่ะ” คุณหมอยังสวยประชดประชัน ผมยิ้มเผล่ให้แทนการแก้ตัว
ไร่ตะวันฉายยามพระอาทิตย์อัศดงถูกสาดด้วยสีส้มอบอุ่น ผมใช้เวลาไม่นานนักสำหรับแวะร้านทองแล้วตรงดิ่งกลับมายังเป้าหมาย ไฟในบ้านเปิดสว่างตั้งแต่หัววัน ไม่เห็นไอ้โจ้วิ่งมารับเหมือนทุกทีแต่ก็ไม่ติดใจกระทั่งเสียงเอ็ดตะโรดังลั่นออกมาด้านนอก เป็นเสียงทุ้มของกลุ่มผู้ชาย พอเดินก้าวเข้ามาถึงเพิ่งเห็นกลุ่มของเพื่อนหนึ่งตะวันดวลเกมกันอยู่อย่างเมามัน ภูดิศยืนสูบบุหรี่ริมหน้าต่างเหมือนเคย ขณะที่นายน้อยนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟา
“อ้าว ไอ้กฤช” คุณบดินทร์เป็นคนยกมือทัก ผมผงกหัวลงเล็กน้อย “ยังไม่โดนไอ้หนึ่งฆ่าตายอีกเหรอวะ”
“หุบปากไปไอ้ดิน”
“ตอนนั้นเห็นโกรธเผาพริกเผาเกลือ ร้องห่มร้องไห้ไม่เหลือชิ้นดี”
“ไอ้เหี้ยดิน”
“เฮ้ย อย่าไปล้อมัน” ภูดิศปราม พ่นควันสีขาวเทาออกไปด้านนอก “พอดีได้ลาพักร้อน เลยพากันมาถล่มที่ไร่ ไม่คิดว่าจะได้เจอ”
“ครับ” ตอบรับในลำคอ เดินมานั่งใกล้ ๆ กับเจ้าของบ้าน หนึ่งตะวันผุดลุกหนีอย่างเคย และผมก็รวบข้อมือขาวไว้ได้ทันใจ “หนีอีกแล้ว”
“จะไปนั่งที่อื่น”
“งอนให้เพื่อน ๆ เห็นเดี๋ยวก็ถูกล้อหรอกครับ” ผมว่า ดึงอีกฝ่ายเข้าหาจนแทบนั่งตัก หนึ่งตะวันฟึดฟัดอยู่ในอ้อมแขนไม่นานก็ยอมสงบนิ่งลง “วันนี้เหนื่อยมากเลย เมื่อเช้าไปดูวัวที่ฟาร์มแล้วยังกลับไปที่โรงพยาบาลอีก”
"เหม็นเหงื่อ"
"เออ ไอ้หนึ่งทำทับทิมกรอบไว้ให้ตั้งแต่บ่าย" เสียงของบดินทร์ดังแทรกขึ้นมาทำให้เพื่อนคนอื่นหัวเราะคิกคัก ขณะที่คนถูกเผามองเพื่อนรักตาขวาง
"เงียบไปก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะไอ้ดิน"
"เห็นลีลาอยู่นั่น รำคาญลูกตา จะวิ่งแจ้นมาง้อเขาตั้งแต่สามวันแรกแล้วยังท่ามาก ไม่ได้ไอ้พอร์ชห้ามน้องมันไม่มีวันได้ตั้งตัว ที่จริงก็ดีใจแท้ ๆ ยังทำหยิ่งไม่เลิก"
"ใครจะง้อวะ! ไอ้เด็กกวนประสาทแบบนี้ใครจะอยากได้"
“ไม่มี๊" ภูดิศแทรกเสียงยกเสียงสูงในตอนท้าย หนึ่งตะวันบิดตัวออกจากการเกาะกุมขณะที่ผมเพิ่มแรงกอดรัดแน่นกว่าเก่า
“ขอเติมพลังหน่อยสิครับ”
ผมกดจมูกลงไปบนบ่า นายน้อยเอี้ยวตัวหนีแต่ก็ไม่พ้น ใบหน้าเรียบบึ้งตึง แต่มีริ้วแดงปรากฏอยู่บนแก้ม
“วันนี้หายโกรธผมหรือยัง”
“ถามทุกวัน ไม่เบื่อหรือไง น่ารำคาญ”
“ถามจนกว่าหนึ่งจะหายโกรธ” ผมว่า เอนคอลงซบ ดึงมือขาวมากางออก เขี่ยเล่นที่ฝ่ามือเป็นคำว่ารัก
“ถ้าหายโกรธไปอยู่กับผมที่ร้านไหม เช้า ๆ จะมาส่งที่ไร่”
“วุ่นวาย อยู่ที่ไร่เสียก็จบเรื่อง”
“อยู่ห้องหนึ่งได้หรือเปล่า” ผมถามเสียงอ้อน กระชับกอดอีกฝ่ายแน่น “ผมจะบอกคุณชนินทร์นะว่าเราคบกัน”
“ใครคบกับนาย”
“ให้กำลังใจหน่อยสิครับ จะโดนกระสุนพ่อตาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอดมองออกไปแต่มีแววสั่นไหว ผมรู้ หัวใจของหนึ่งตะวันไม่ใช่หินผา ไม่เคยแข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า ตราบใดก็ตามที่ยังมีรักหล่อเลี้ยงอยู่
“ผมจะขอหนึ่งกับคุณชนินทร์ ขอให้เป็นดวงตะวันของผม ไม่ว่าจะร้อนหรือสว่างจ้าแค่ไหนก็จะไม่ปล่อยมือ ผมไม่ใช่ต้นไม่ที่รอแสงจากคุณหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว จะโอบอุ้มกอดไว้ด้วยสองมือไม่ห่างไปไหน ไม่ยอมให้โดดเดี่ยวบนฟ้าอีกแล้ว”
“ไปหัดพูดจาแบบนี้มาจากไหน”
“กลั่นออกจากใจทุกคำเลยครับ” ผมยิ้มรับ เอ็นดูเมื่ออีกฝ่ายมีทีท่าขวยเขินขึ้นมาทีละนิด
"นายนี่มันหน้ามึนชะมัด"
"เฉพาะกับหนึ่งเท่านั้นแหละ"
"ไอ้..."
“หนึ่งตะวัน มองตาแล้วตอบตามความจริงได้หรือเปล่าว่ายังรักกันอยู่บ้างไหม” ทอดปลายเสียงด้วยท่าทีออดอ้อน มือข้างหนึ่งจับปลายคางให้เอี้ยวหันกลับมา เมื่อสบตากันเจ้าของชื่อก็ผินหน้าหนีไม่รีรอ เขาไม่ตอบ ยังคงนิ่งงันผิดกับหนึ่งตะวันเมื่อสามปีก่อนลิบลับ
"บอกไปแล้ว" เสียงนั้นแข็ง แต่ก็สั่นไหว
"บอกว่าโกรธ เสียใจ แต่ไม่ได้บอกว่าไม่รัก ถ้าอย่างนั้นผมติ๊ต่างเอาเองว่าเรายังรักกันเหมือนเดิมนะ"
ความเย็นเยียบจากมือผมถ่ายลงบนฝ่ามือที่กางอยู่ คิ้วบางขมวดเข้าหากัน ผมจับปลายนิ้วของอีกฝ่ายหดกำก่อนผละออกมา เมื่อมันคลายออก สีอร่ามของแหวนทองฝังเพชร ราบเรียบก็ปรากฏขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องมันแน่นิ่ง สูดลมหายใจเข้าพักใหญ่ก็เงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบไม่ให้น้ำตาร่วงหล่นลงมา
“จำได้ไหมว่าผมเคยบอกว่าวันหนึ่งจะซื้อนี่ให้ วันที่ขอให้หนึ่งมาใช้ชีวิตด้วยกัน” ผมกระซิบถาม จมูกซุกอยู่ที่ใบหู ไม่มีคำตอบรับ แต่กลายเป็นหยดน้ำสีใสรินเอื่อยเฉื่อย ฟันขาวเรียงกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย พูดด้วยเสียงสั่นเทา
“ไอ้เด็กบ้า...ใครบอกว่าฉันให้อภัยนาย อยากไปไม่ใช่เหรอ จะกลับมาอีกทำไม”
“หัวใจผมอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หนึ่ง...รับแหวนผมไว้ได้หรือเปล่า รับด้วยความเต็มใจ เป็นคำตอบให้ผมว่าผมยังมีโอกาสครั้งสุดท้ายไหม”
หนึ่งตะวันปาดน้ำตาด้วยหลังมือแต่มันก็ร่วงหล่นซ้ำ ๆ ราวกับก็อกน้ำที่ปิดไม่สนิท
"ฉันเกลียดนาย เกลียดที่นายทำให้ฉันเป็นแบบนี้ เกลียด ได้ยินไหมว่าเกลียด!"
"ได้ยินครับ" ผมจับมือขาวมา กางนิ้วทั้งห้าออกแล้วบรรจงสวมใส่ "แต่ไม่เชื่อหรอกนะ"
"ฉันอยู่ได้แล้วแท้ ๆ"
"แต่ผมอยากอยู่ด้วย"
“ไอ้บ้ากฤช...รู้ตัวบ้างไหมว่าใจร้ายแค่ไหน ไม่เคยมีใครทำให้ฉันเสียใจมากเท่านายแล้ว...อีกครั้ง...แค่ครั้งเดียว ถ้านายทำให้ฉันเสียใจ ฉันจะฆ่านาย ฆ่าหมกท้ายไร่นั่นเลย ไม่ให้เหลือแม้แต่ซากให้กลับมาขอโทษฉันอีกแล้ว”
“ยอมแล้วครับ ยอมทุกอย่าง”
ผมดึงเขาเข้ามากอด ไม่รู้ว่าเสียงเอ็ดตะโรจากเพื่อน ๆ เงียบไปเมื่อไร เมื่อเจ้าของบ้านซุกตัวเข้าอ้อมอก ทุบหนัก ๆ ที่ไหล่ ผมก็จูบที่ศีรษะนั่นเบา ๆ แล้วเงยหน้าสบตากับภูดิศที่ยืนมองอยู่นาน
ริมฝีปากได้รูปยกยิ้ม ชูนิ้วหัวแม่มือให้ เมื่อเหลือบไปมองเพื่อนอีกสองคนก็มีทีท่ายินดีไม่ต่างกัน
“ห้ามทิ้งฉันอีก เข้าใจไหม ที่ผ่านมา...ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ขอโทษที่ทำให้เจ็บ ขอโทษที่ทำให้เสียใจ ขอโทษที่ไม่ฟังนาย ขอโทษที่นิสัยไม่ดี แต่ห้ามทิ้งฉันอีกนะกฤช...วันที่ตื่นมาไม่มีนาย เหมือนมันจะตายให้ได้เลย..อึก...”เสียงทุ้มดังแผ่ว นายน้อยเลิกวางมาดเหมือนตอนที่เราเจอกันใหม่ ๆ กลับมาเป็นหนึ่งตะวันยอดดวงใจคนเดิมของผม ผมคลี่ยิ้ม กอดกระชับเขาเข้าหา แรงสะอื้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ กระนั้น ท้ายที่สุดแล้วมือที่กำแน่นบนบ่าก็วางลงและ โอบกอดผมกลับเช่นเดียวกัน
มื้ออาหารวันนี้ หนุ่ม ๆ ลงครัวกันทุกคนยกเว้นผมที่กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวก็เลยเวลาเล่นสนุกของคนอื่น แม่กับป้าแววช่วยกันจัดโต๊ะ คุณชนินทร์นั่งรอ เรียกไอ้โจ้มาช่วยกันกินด้วย ผมเข้าไปตรวจในครัวอีกครั้งว่าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องก็เดินกลับมาที่โต๊ะ ทว่าแขกคนสำคัญของคุณหนึ่งกลับยืนกอดอกพิงกรอบประตูเพื่อดักคุย
"ขอบใจนะเว้ย ที่กลับมาหามัน"
"ครับ?"
“ก็...ไอ้ตะวันน่ะ”
ผมพยักหน้า สบตากับภูดิศ มีคำถามบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ นานมากแล้วแต่ไม่เคยเอ่ยปากออกไป “ผมถามอะไรอย่างสิครับ ที่คุณพอร์ชเอาหนังสือมาให้ผมอ่านน่ะเพราะอยากให้ผมคิดถึงความแตกต่างระหว่างผมกับคุณหนึ่งให้มาก ๆ หรือเปล่า”
“โอ๊ะ” ภูดิศอุทาน ก่อนเดาะลิ้นกับเพดานปาก “ที่ตะวันว่ามึงซื่อ ๆ คงไม่ซื่อเท่าไรมั้ง ถึงกับจับแผนของกูได้ เจ้าตัวมันยังโง่ ๆ งง ๆ อยู่เลยแท้ ๆ”
ผมจ้องตาคนพูดจริงจัง ทุกอย่างลงตัวเกินไป หลังการกลับมาอีกครั้งของคุณตุลย์ จากนั้นไม่นานภูดิศก็แนะนำหนังสือเชิงธุรกิจให้ผม คุณตุลย์รุกคืบหนักขึ้น ขณะที่หนึ่งตะวันจริงจังกับงานแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนทำให้มีปากเสียงกันกับผม นายน้อยเป็นคนขี้อ้อนช่างเอาใจ เห็นผมอารมณ์เสียนิด ๆ หน่อยๆ ก็มาออเซาะให้หายโกรธเสียทุกครั้ง แต่กับเรื่องตุลย์กลับแข็งขืนเสียจนน่าหงุดหงิด ยิ่งไปกว่านั้นคือป้าจิ๋วที่เปลี่ยนเป็นคนละคนเพียงแค่เพราะผมกลับมาที่ไร่ได้สัปดาห์เดียว
“มึงต้องเข้าใจว่ะกฤช ที่เคยบอกว่าพวกกูห่วงตะวันน่ะเรื่องจริง มึง เองก็มาแต่ตัว กูรู้ว่ามึงมีดี ไม่งั้นไอ้ตะวันไม่หลง คุณชนินทร์ไม่รักขนาดนี้หรอก แต่โลกแห่งความจริงมันไม่ใช่นิทาน กูรู้มึงทำได้...เป็นกฤชที่ทุกคนยอมรับได้”
“เป็นแผนของคุณพอร์ชทั้งหมดเลยสินะครับ”
“อย่าไปโกรธป้าจิ๋วเลย กูเป็นคนขอให้แกพูดแบบนั้นเอง ส่วนเรื่องที่ตะวันมันอี๋อ๋อกับพี่ตุลย์น่ะกูก็บอกมันเองว่ามึงไม่ว่า กูคุยให้แล้ว แค่กระฟัดกระเฟียดนิดหน่อยแต่มึงเข้าใจ มึงโอเค ไม่มีปัญหา แต่ก็แอบคิดไว้แล้วแหละว่ามึงคงไม่ไหว พี่ตุลย์ก็ร้ายเสียขนาดนั้น”
ภูดิศไหวไหล่ มองหน้าผมอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด “ถึงอย่างนั้นกูก็อยากให้มึงทำตัวให้ดีก่อนค่อยมาเอามันไปดูแล ตะวันก็มีเรื่องหนักใจเหมือนกัน ทั้งเรื่องที่มึงหึง ไหนจะเรื่องพ่อ มันไม่อยากให้พ่อรู้ว่ามึงกับมันคบกันจนกว่ามันจะคุมไร่ทั้งหมดด้วยตัวเองได้ มันอยากให้เขาเชื่อว่าที่คบมึงเพราะรัก ไม่ใช่หลอกใช้ให้ดูไร่ต่อมันถึงได้ทุ่มสุดตัวเรื่องพี่ตุลย์ขนาดนั้น มันตั้งใจว่าถ้าเซ็นต์สัญญาเสร็จก็จะกลับมาบอกอานินทร์เรื่องที่คบกับมึงด้วยตัวเอง พอเห็นมันจริงจังขนาดนั้นกูก็ห่วง เข้าใจกูหน่อย...กูก็รักมันไม่ต่างจากมึงหรอก มันเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของกู เคยบอกแล้วใช่ไหม”
ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนภูดิศจะถอนหายใจยาวเหยียด พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง จริงจังแบบที่เห็นได้จากแววตาว่าเขาทั้งรักและห่วงเพื่อนตัวเล็กของตัวเองมากเพียงใด
“ตะวันมันรักมึงมากนะเว้ย มากจนกูลังเลเลยว่าจะสารภาพเรื่องที่วางแผนให้มึงออกจากไร่ไปสร้างเนื้อสร้างตัวดีหรือเปล่า ตอนนั้นอยู่ได้วันเดียวก็จะกลับมาง้อแล้ว แต่กูห้ามไว้ก่อน ให้มันลองคิดว่าถ้ากลับมาแล้วมีอะไรดีขึ้นไหม หรือทะเลาะกันแบบเดิม เรื่องพี่ตุลย์ก็ตัดขาดไม่ได้อยู่แล้ว ครอบครัวพี่ตุลย์เป็นมาเฟียการตลาดแค่ไหนคนวงในเขารู้กันหมด แม้แต่อานินทร์ยังเกรงใจเลย ถึงเวลานั้น เวลาที่มึงตั้งตัวได้ ตะวันมันก็จะได้พิสูจน์ตัวเองเพื่อมึงเหมือนกันว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับพี่ตุลย์ มันจะรอมึงแบบนี้ ต่อให้มึงไม่กลับมา มันก็จะรอ”
ผมนิ่งเงียบ มือใหญ่วางลงบนบ่า ตบเบา ๆ สองสามทีแล้วพูดต่อ “ถึงได้ขอบใจมากที่กลับมา กูเองก็กลัวว่าจะทำลายความสุขของเพื่อนตลอดชีวิตแล้วเหมือนกัน”
“ผมแค่ทำตามหัวใจของตัวเอง ผมทนคิดถึงมานานพอแล้ว นานเกินกว่าจะหาคำตอบว่าเรื่องราวทั้งหมดใครถูกหรือผิด ใครเป็นต้นเหตุ นานควรให้อภัยความไม่พร้อมของเราในตอนนั้นได้แล้ว แต่ที่มีวันนี้ได้ก็คงต้องขอบคุณคุณพอร์ชนะครับ ไม่อย่างนั้นผมก็คงเป็นไอ้ขี้ขลาดที่เฝ้าจับตามองหนึ่งตลอดเวลา ขอบคุณที่ดูแลหนึ่งมาตลอดช่วงที่ผมทิ้งเขาไว้คนเดียว” ยกมือขึ้นไหว้ แม้จะน่าเจ็บใจแต่ก็ยอมรับว่าวิธีการของภูดิศสะกิดเสี้ยนเล็ก ๆ ที่เป็นปมในใจให้หลุดหายไป ทำให้กลายเป็นผมในวันนี้ ผมที่ยืนข้างหนึ่งตะวันที่แข็งแกร่งคนนั้นได้ ผมคนที่โอบกอดดวงตะวันได้ด้วยสองมือของตัวเอง
“ตะวันมันไม่เคยโกรธมึงจริง ๆ หรอกรู้ไหม มันก็รู้สึกผิดเรื่องพี่ตุลย์ ตอนมึงไม่อยู่ มันด่าตัวเองไม่น้อยไปกว่าที่เอาแต่ด่ามึงที่ทิ้งมันไปเลย”
ผมยิ้ม พยักหน้า นอกจากภูดิศแล้ว คนท่ามากแบบนั้นก็คงมีเพียงแค่ผมที่จับได้ถึงความอ่อนไหวในน้ำเสียงตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันอีกครั้ง
หนึ่งตะวันเป็นคนที่รักผมเต็มหัวใจ
อาหารมากมายวางเรียงกันบนโต๊ะกว้างในเวลาถัดมา หน้าตาดูดีบ้าง แย่บ้าง เป็นงานเลี้ยงจำเป็นเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นด้วยวัตถุดิบในครัวไม่กี่อย่าง คุณชนินทร์แปลกใจเล็กน้อยเมื่อนภดลขอเปิดไวน์ราคาแพงแต่ก็ไม่ขัด ผมทราบมาว่าสามหนุ่มสามมุมจะมาเยี่ยมหนึ่งตะวันบ่อย ๆ เท่าที่ทำได้ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นห่วงว่าหลังจากเลิกรากับผมไปครั้งนั้นนายน้อยคนเก่งจะทำใจไม่ได้ ซึ่งจากการสอบถาม ถ้าผมเห็นภาพหนึ่งตะวันเซื่องซึมด้วยตาตัวเองคร้านจะทนไม่ได้ไม่ต่างกัน
คุณตุลย์เข้าพิธีหมั้นหลังจากเลิกจีบหนึ่งตะวันราว ๆ สามเดือนจากนั้น เมื่อปีที่แล้วจัดงานแต่งใหญ่โต นายน้อยก็ไปร่วม แม้จะมีทีท่าว่าคล้ายเหลือเยื่อใยอยู่แต่ความเมินเฉยตลอดหลายเดือนของคนรักเก่าก็ทำให้คุณตุลย์ถอดใจ เปลี่ยนไปจีบนายแบบหนุ่มที่เข้าถึงง่ายมากกว่า เรื่องนี้เป็นที่รู้กันในวงแคบ ๆ
ผมนั่งข้างนายน้อย ฝั่งตรงกันข้ามกับคุณชนินทร์ พักเดียวไอ้โจ้ก็ลากป้าแววกับแม่มานั่งด้วยกันจนครบ นับเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่สุดเท่าที่ไร่ตะวันฉายเคยมีมาทีเดียว
“นั่นแหวนอะไรน่ะ”
ประมุขของบ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นความแวววาวบนนิ้วนางข้างซ้ายของลูกชาย หนึ่งตะวันหน้าแดงฉาน อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่ตอบในทันที
“แหวนแทนคำขอดูแลไปตลอดชีวิตน่ะครับ”
“หืม?” สายตาคมจากคุณชนินทร์เหลือบมองมาทางผมที่เป็นคนพูด “เจ้าหนึ่งไปมีแฟนกับเขาตั้งแต่เมื่อไร”
“นานแล้วครับพ่อ สามปีกว่า ๆ ได้”คราวนี้ภูดิศเป็นคนตอบ ตักต้นหอมให้บดินทร์ที่หัวเราะคิกคัก
“เจ้าของเดียวกับโทนาฟ”
“โทนาฟพ่อมึงสิไอ้ดิน” นภดลตบหัวเพื่อน “เจ้าของเดียวกับสร้อยบนคอมันนั่นแหละครับ”
คุณชนินทร์เหลือบตามองไปมา เล่นโยนคำตอบใส่กันไปเรื่อยแบบนี้สุดท้ายสายตาคาดคั้นก็กลับมาที่ลูกชายตัวเองอีก หนึ่งตะวันยังคงนิ่งเงียบ ตักหอมหัวใหญ่เข้าปากทั้ง ๆ ที่ตัวเองเกลียดนักหนา
“เอ้า ไม่มีใครเฉลยสักคนเลยหรือ”
“ผมครับ”
เสียงวางช้อนของหนึ่งตะวันวางลง หดมือเข้าหน้าตัก ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาบิดาเมื่อผมตอบคำถามนั้นสั้น กระชับ ผมเอื้อมมือไปจับฝ่ามือนุ่มใต้โต๊ะ บีบเบา ๆ เรื่องที่หนึ่งตะวันเป็นแบบไหน คุณชนินทร์ทราบดี แต่เรื่องที่จะตกลงใจมอบลูกชายให้ผมหรือไม่ยังเป็นสิ่งที่เราต่างไม่อาจพบคำตอบ
“ผมคบกับหนึ่งตะวันเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่คุณหนึ่งมาที่ไร่ใหม่ ๆ”
“ตอนนั้นก็เห็นทะเลาะกันทุกวันนี่”
“ครับ” ผมตอบ สบตากับนายท่านแม่นมั่น “ก็ทะเลาะกัน จนเข้าใจกัน แล้วก็เข้าใจกันดีไปหน่อย”
“แล้วหลังจากนั้น?”
“ผม...” อึกอักในลำคอเล็กน้อยเมื่อต้องพูดถึงตรงนี้ “...ผมไม่อยากให้มีคำครหาเกี่ยวกับความรู้สึกของผมกับหนึ่งว่าคบกันเพราะความรู้สึกฉาบฉวย แล้วก็ไม่อยากคบกับหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่มีอะไรเลยถึงได้ลาออกไปช่วยงานที่โรงพยาบาลสัตว์ เอาความรู้มาเปิดร้าน...ผมอาจจะไม่มีเงินทองมากเท่าคุณชนินทร์ แต่ว่า...”
“ต้นทุนคนเรามันต่างกัน” ชายวัยกลางคนกล่าว เขาก้มหน้าทานข้าวต่อสบาย ๆ เมื่อเห็นภาพนั้น มือที่จิกเกร็งแน่นของนายน้อยก็คลายลงเล็กน้อย
“ฉันไม่ถือหรอก ทั้งเรื่องที่เป็นผู้ชาย ทั้งเรื่องที่ฐานะด้อยกว่า แค่มีความรับผิดชอบกับดูแลเจ้าหนึ่งได้ก็พอใจแล้ว”
“หนึ่งไม่ได้ต้องการคนดูแลนะพ่อ หนึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าหนึ่งดูแลตัวเองได้ ดูแลน้องก็ได้”
“ดูแลกันและกัน” คุณชนินทร์ว่า เขายิ้มให้ลูกชายอย่างอบอุ่น หนึ่งตะวันสบตาบิดาในที่สุด “พ่อจะตายวันนี้วันพรุ่งก็ไม่รู้ ขออย่างเดียวคือลูกมีความสุข ถ้าตกลงใจกันแล้วก็ฝากไว้ด้วยแล้วกัน สายใจว่ายังไงล่ะ”
“ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นค่ะ แค่อยากให้เขามีความสุข”
“อดีตเราผิดพลาดกันมาพอแล้ว ไม่ใช่ว่าพ่อไม่รักแม่หนึ่งนะลูก แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นได้ต่างฝ่ายต่างทรมานใจกันทุกคน”
เสียงถอนหายใจดังออกมา ผมผละมือที่กอบกุมอีกฝ่ายออกมายกขึ้นขอบคุณ คุณชนินทร์ยิ้มรับ ยังคงเปี่ยมไปด้วยเมตตาเหมือนทุกครั้ง
“จะหนักจะเบาก็ขอให้อดทนกันหน่อยแล้วกัน กว่าจะคบหากันได้ สามปีกว่าแล้วใช่ไหม ทุกครั้งที่ทะเลาะกันก็นึกถึงวันนี้ไว้ วันที่รวบรวมความกล้ามาบอกพ่อ”
ผมครางรับ หนึ่งตะวันเองก็เช่นกัน ภูดิศลุกขึ้นยืน ใช้ช้อนเคาะกับขวดไวน์ดังแกร๊งกรั๊ง หนึ่งตะวันจิ๊ปาก หงุดหงิดที่เพื่อนรักทำอะไรบ้า ๆ ไม่ปรึกษาตนเหมือนเคย
“ถ้าอย่างนั้นเรารออะไรครับ วันแต่งงานลูกชายคนเดียวของไร่ตะวันฉายแท้ ๆ ฉลองครับฉลอง”
“อย่าบ้าน่าไอ้พอร์ช”
“อะไรวะ วันดี ๆ ทั้งที”
“หาเรื่องเมามากกว่า” หนึ่งตะวันค่อนขอดเพื่อน แต่คุณชนินทร์กลับเห็นดีเห็นงาม วานป้าแววไปหยิบแก้วทรงสูงสำหรับใส่ไวน์แจกทุกคน
หนึ่งตะวันทำทีเป็นดุ แต่แท้ที่จริงกลับกลั้นยิ้มจนน่าตึง ผมเอื้อมมือไปหยิกเท่านั้นก็หลุดหัวเราะออกมา
“ขอบคุณครับพ่อ”
คุณชนินทร์ขยิบตา ไวน์ที่ถูกหมักบ่มไว้หลายปีเปิดออก ส่งต่อให้สู่มือถึงมือ เสียงของความสุขเกิดขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มของไร่ตะวันฉาย หัวใจที่ชุ่มฉ่ำ
ผมสบตากับนายน้อยหนึ่งตะวัน นึกถึงภาพวันที่เจอกันครั้งแรกบนคอกม้า ภาพยามกระเง้ากระงอดเอาแต่ใจ แม้กระทั่งภาพตอนเอียงอาย หรือโกรธเกรี้ยว เราใช้เวลานานแค่ไหนที่จะตกหลุมรักคนคนหนึ่ง ใช้เวลาแค่ไหนที่จะยอมรับว่าไม่อาจถอนตัวได้แล้ว ใช้เวลาแค่ไหนเพื่อพิสูจน์มันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะข้ามผ่านมันมาได้
สำหรับผม คำตอบของสิ่งเหล่านั้นคือตลอดชีวิต
หนึ่งตะวันหันไปหัวเราะกับเพื่อน มุกตลกสัปดนของคุณบดินทร์ยังใช้ได้ดีเสมอมา แอลกอฮอล์ทำหน้าที่ของมัน แม้แต่อาหารที่ไม่อร่อยที่สุดยังนุ่มลิ้นในเวลานี้
ผมเอื้อมมือไปจับฝ่ามือขาว แก้มของนายน้อยไร่ตะวันฉายแดงก่ำ พิษของเครื่องดื่มมึนเมาคงเล่นงานเข้าให้ เขาหันหน้ากลับมา ดวงตาสีน้ำตาลหวานหยดเมื่อตกอยู่ในความเมา เสียงพูดคุยหยอกล้อยังดังเอ็ดตะโร แต่เมื่อผมสบตากับเขา ทุกอย่างกลับคล้ายดูเงียบงัน
ใบหน้าขึ้นสีของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมกระซิบถามว่าไหวไหมหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบ ไม่ทันได้นับ ลมหายใจร้อนก็ปะทะกัน ผมหลุบตาลงมองกลีบปากนั่น ใกล้จนเรามองไม่เห็น
รสจูบรสปร่าด้วยไวน์องุ่นคลุ้ง ริมฝีปากบดเคล้าอย่างเป็นธรรมชาติ ผมเอื้อมมือไปโอบรอบต้นคอ บังคับให้เอนเอียงเพื่อลิ้มรสของจุมพิตให้แนบแน่นกว่าเก่า ปลายเล็บจิกลงบนบ่า หนึ่งตะวันผละออกมา ปากวาวมันวับ
“คิดถึงเหลือเกิน”
หนึ่งตะวันสารภาพในที่สุด ผมยิ้มรับ ลูบนิ้วหัวแม่มือบนแก้มเนียน สายตาเว้าวอน น้ำเสียงร้องขอ หนึ่งตะวันกลับมาเป็นแมวน้อยในอ้อมแขนผมอีกครั้ง
“หนึ่งเมาแล้ว”
“ฉันชอบให้นายเรียกว่าหนึ่ง”
“ครับ” ผมขานรับ ยืดตัวไปจูบบนหน้าผากกว้าง
“จากนี้ไป จะเรียกจนกว่าชีวิตจะหาไม่เลย...”
รอยยิ้มนั้นผุดขึ้นที่มุมปาก ละอองของความรักซัดสาดปกคลุม จากนี้ ตลอดไป ความรักที่เคยหลุดลอยหวนกลับมาอีกครั้ง ในเวลาที่เหมาะเจาะ บนความเหมาะสมและยินดีของทุกฝ่าย เรากระชับมือเข้าหากันแน่น ระหว่างช่องว่างของนิ้วสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของโลหะ หากแต่ความอบอุ่นแผ่ซ่านลงลึก
...ลึกไปถึงส่วนที่ลึกที่สุด ของหัวใจ
- จบบริบูรณ์ -

จบแล้วค่ะ พยายามเต็มที่แล้ววว แง ลุ้นกระแสมาก ไม่มีเรื่องไหนลุ้นเท่าเรื่องนี้เลย 55555555555 ธีมของเรื่องนี้คือใส ๆ เลยไม่อยากยืดดราม่าให้นาน ตอนจบคีย์แมนคนสุดท้ายออกมาปรากฏตัวแล้ว ความผิดทั้งหมดในครั้งนี้โยนไปที่เขาได้เลยค่ะ อย่าด่ากฤชกับหนึ่ง พระนายของเราไม่ได้ทำอะไรผิด ด่าเขาเลยค่ะ
ส่วนป้าจิ๋วเคลียร์เนอะว่าทำไมนางแปรพักตร์ มันมีตัวเสี้ยมค่ะ กลับไปด่ามันค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ อาจมีตอนที่ถูกใจ ไม่ถูกใจบ้าง ที่หนึ่งยังคงท่ามากเพราะนิสัยของนางตั้งแต่แรกเริ่ม ถ้างอน ไม่ได้ดั่งใจ นางจะดูกวนประสาทสำหรับคนอยู่ใกล้นิด ๆ อย่าคิดว่าสามปีจะทำนางเปลี่ยนค่ะ นางสามสิบแล้ว ไม้แก่ย่อมดัดยาก เรื่องพี่ตุลย์ต้องยอมรับว่าในวงการธุรกิจจริง ๆ เราไม่สามารถหักหน้า หรือตัดสัมพันธ์กับใครคนหนึ่งได้โดยสิ้นเชิง ที่หนึ่งทำได้คือทำให้ตุลย์เห็นว่าพยายามต่อไปก็ไม่ได้อะไร ที่นัยยะต้องเป็นแฟนเก่ากันเพราะจะให้หนึ่งรู้นิสัยตุลย์ว่าทำแบบไหนเจ้าตัวถึงจะถอย เป็นต้นว่าหลอกให้อดทนแต่ไม่ได้สมประสงค์เหมือนครั้งก่อน
เป็นถอล์กที่ยาวมากเลย ราวกับสั่งเสียก่อนตาย เดี่ยวมีตอนพิเศษในส่วนของหนึ่งมาค่ะ เรื่องนี้ตั้งใจจะรวมเล่ม ราคาไม่เกิน 450 บาท บอกไว้ก่อน ยังไม่เปิดจองเผื่อใครอยากหยอดกระปุกหมู(ฮา) เป็นช่วงเดินทางสู่ความยุ่งเหยิงในชีวิตค่ะ สามารถติดตามได้ทางแฟนเพจเน่อ
จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ คิดถึงรอไว้เลย ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น จะเก็บไว้พัฒนางานเขียนชิ้นต่อไปนะคะ ^^