ตอนที่ 22
“HAPPY BIRTH DAY!”เสียงประสานตะโกนก้องเมื่อหนึ่งตะวันบ่นหัวเสียเมื่อไม่เจอผมในห้องนอนลงมาด้านล่าง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนลายหมีสีซีดที่ใส่จนขาสั้นเต่อกับรองเท้าหัวโตลายหมีพูห์ที่นาน ๆ หยิบมาสวมที ผมสีน้ำตาลเข้มเปียกน้ำหมาด ๆ ทำหน้าเหรอหราเมื่อพลุกระดาษถูกจุดขึ้นจากด้านล่าง
“พวกมึงมาทำเหี้ยอะไรกันเนี่ย”
“อ้าว มาเซอร์ไพรส์ไง” ภูดิศกล่าว ขณะที่บดินทร์เป่าแตรเสียงหนวกหู ในมือของนภดลยังถือพลุกระดาษที่กระจัดกระจายคาไว้ ตากลมมองเลยมาทางผม ทำหน้าง้ำ
“นายด้วยเหรอกฤช”
“จะขาดมันได้ไง”
“จะเล่นอะไรก็อย่าวุ่นวายกับคนของฉันได้ไหม” เจ้าของวันเกิดเดินมากอดแขนผม ดึงออกไปให้ห่างกลุ่มเพื่อน
“ทำคนดี ๆ เสียหมด”
“เสียตั้งแต่ไปคบกับมึงแล้วไอ้หนึ่ง”
“ปากเสีย” หนึ่งตะวันด่าบดินทร์ แต่กลับมีเสียงหัวเราะตามมา “แต่ก็ขอบใจ นึกว่าลืมกันแล้ว แต่ถึงลืมก็ช่างเถอะ ที่จริงคืนนี้กูแค่อยากอยู่กับกฤช”
“เห่อผัว”
“ไอ้พอร์ช”
“คร้าบบบบ” ภูดิศรับคำเสียงทะเล้น ผมยิ้มเมื่อหนึ่งตะวันยิ้ม รอยยิ้มที่แบ่งปันกันในบรรยากาศอบอุ่น
“คุณหนึ่งน่าจะบอกผมว่าเป็นวันเกิด”
“ก็ว่าจะบอก” เจ้าของงานพูดเสียงแผ่ว “แต่ออกไปข้างนอกก่อน โทรบอกไอ้พอร์ช คิดว่ามันจะมาอยู่เป็นเพื่อนเฉย ๆ ไม่คิดว่าจะยกกันมาทั้งโขยง”
“ให้คุณพอร์ชมาอยู่กับผม?”
“ก็ไม่อยากให้เครียด” หนึ่งตะวันพูด เอนศีรษะเข้าซบ “รู้ว่าไม่ชอบที่ฉันออกไปกับพี่ตุลย์”
“เฮ้ย ๆ พวกกูก็อยู่นี่ อย่าทำเหมือนโลกนี้มีมึงกันแค่สองคนได้ไหม”
หนึ่งตะวันถูกภูดิศผลักจนหงายท้อง คนตัวเล็กมองค้อน กระชับกอดที่แขนผม
“เจ็บจังเลยกฤช”
“ตอแหล”
“เสือก” เสียงนั่นหันกลับตวาดเพื่อนดังลั่นก่อนหันมาทำหน้างอใส่ผม “เป่าให้หน่อย”
ผมยิ้ม แต่ไม่เป่า ก้มลงจูบเบา ๆ ที่หน้าผาก เสียงโห่ร้องแซวเซ็งเซ่ ดูเหมือนหนึ่งตะวันจะไม่เขินถ้ากลุ่มเพื่อนสนิทจะเป็นคนหยอก คล้ายกับอยากอวดเพื่อนนิด ๆ ว่าคบหากับผมแบบไหนเสียด้วยซ้ำ
“ไปกินข้าวเถอะครับ เพื่อน ๆ ช่วยกันทำเยอะแยะเลย”
“นายทำด้วยหรือเปล่า”
ผมพยักหน้า รอยยิ้มหวานฉีกกว้างสดใส เป็นประกายของความสุข ผมโอบเอวเข้าหาตัว เดินนำทุกคนไปที่ห้องอาหาร ทุกอย่างจัดวางบนโต๊ะตัวยาว ตบแต่งสวยงามคู่กับถังใส่ขวดไวน์แช่เย็น
“ไวน์ของพ่อนี่”
“กูโทรไปขออานินทร์มา” ภูดิศยักคิ้วให้ “เป็นของขวัญวันเกิด วันนี้เมาให้เละไปเลย”
“อย่าเละให้มันมาก มึงนอนห้องกูเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะไอ้พอร์ช”
“ผมให้ป้าจิ๋วช่วยจัดห้องสำหรับเพื่อน ๆ คุณหนึ่งไว้แล้วครับ”
คิดเอาไว้ว่าท่าทางน่าจะหนัก นอกจากไวน์ขวดนี้คุณบดินทร์ยังขนเบียร์มาอีกเป็นลัง หนึ่งตะวันเอียงคอ เขาแทบจะไม่ห่างจากผมเลยสักนาที
“กฤชน่ารักจัง”
เพื่อนอีกสามคนพร้อมกันประสานเสียงอ้วก ผมเลื่อนเก้าอี้ให้หนึ่งตะวัน ป้าจิ๋วตักข้าวให้คนละพอประมาณ ไม่มากไม่น้อย กับข้าวส่วนใหญ่เป็นของโปรดเจ้าของงาน ถึงเพื่อน ๆ จะจงใจแกล้งใส่ของที่ไม่ชอบลงไปในอาหารแต่ก็นับว่าเป็นการหยอกล้อที่น่ารักที่สุด หนึ่งตะวันทานข้าวได้มากกว่าทุกวัน มีเสียงด่าท่อสลับกับหัวเราะสลับกันไป เป็นบรรยากาศน่ารัก ๆ ในวันเกิดอายุครบสามสิบ
นั่นสินะ หนึ่งตะวันอายุสามสิบแล้ว ไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แบบที่ผมเข้าใจฝ่ายเดียว
“ถ้าอิ่มแล้วยกเค้กมาเลยไหม เค้กนี่พวกกูทำเองเลยนะเว้ย”
“จะแดกได้ไหม”
“ไอ้พอร์ชตีครีมจนเหงื่อจากรักแร้หยดลงครีมติ๋ง ๆ” บดินทร์พูดกลัวหัวเราะ “ดูความทุ่มเทของมัน มึงกล้าหยามมันเหรอไอ้หนึ่ง”
“กูจะอ้วก”
“ท้องเหรอ”
“ขยะแขยง”
บดินทร์หลบทิชชู่ที่เจ้าของงานปาใส่ไปใต้โต๊ะ ผมเป็นคนลุกขึ้นจากโต๊ะไปยกเค้กในตู้เย็นออกมา จุดเทียน ปิดไฟ เมื่อเดินออกมาอีกครั้งหนึ่งตะวันก็ยิ้มกว้างรออยู่แล้ว
“วันนี้ต้องเป็นวันที่ฉันเมื่อยแก้มที่สุด”
“ก็เล่นยิ้มเสียขนาดนั้น”
“มีความสุขนี่” เขาตอบตามจริง เช่นเดียวกับแววตาที่สื่อออกมาอย่างซื่อสัตย์ “อธิษฐานแล้วนะ”
“เดี๋ยว ๆ ร้องเพลงก่อนสิวะ”
ภูดิศขัดขึ้นมา พักเดียวเสียงแหบห้าวของชายหนุ่มทั้งสี่ก็ร้องเพลงวันเกิดผิด ๆ เพี้ยน ๆ หนึ่งตะวันหลับตาลง เมื่อสุดคำร้องก็เป่าเทียนรวดเดียวจนดับสนิท ไฟในห้องอาหารสว่างขึ้นอีกครั้ง ไวน์ถูกเปิด รินใส่แก้วใสทรงสูง หนึ่งตะวันตัดแบ่งให้เพื่อนแต่ละคนเท่า ๆ กัน เผื่อแผ่ไปยังป้าจิ๋ว กระทั่งคนสวน แก้วเครื่องดื่มชนกัน ผมลืมเรื่องที่คาใจไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น รอยยิ้มของหนึ่งตะวัน แก้มใสที่เริ่มขึ้นสีเมื่อหมดไปแค่สองแก้วเท่านั้นก็สามารถก่อความอบอุ่นในใจให้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย กล้องโพลารอยด์ของนภดลถูกหยิบมาใช้งาน ถ่ายกันจนฟิล์มหมด แจกจ่ายกันมากน้อยไม่เท่ากัน
“ไอ้ตะวันมันคออ่อน” ภูดิศบอก หลังจากเราย้ายสัมมะโนกันมาที่ห้องนั่งเล่น เปิดเพลงเสียงดัง คุณโน่กับคุณดินผลัดกันปาถั่วเข้าปากอีกฝ่าย บางครั้งก็ลุกขึ้นเต้นเมื่อดนตรีวนมาถึงเพลงที่ชอบ
"ดูมันดี ๆ เดี๋ยวก็เมาแล้ว”
ผมพยักหน้า มองคนที่ลงไปนั่งบนพื้นกับเพื่อนทั้งสองคน คอยดักถั่วที่โยนข้ามฝั่งด้วยมือเปล่า คุณพอร์ชสูบบุหรี่ในบ้าน กลิ่นของกระดาษไหม้ลอยฟุ้งแต่เจ้าของบ้านไม่ได้ขัดอะไร ซ้ำร้ายยังหันมาขอดูดต่อจากภูดิศอีกหลายครั้ง กระทั่งโดนผมดุผ่านสายตาเลยยอมหยุดอ้อนขอแต่โดยดี
"พวกเราห่วงไอ้ตะวันมาก ทุกคน”
คนข้าง ๆ พูดอีกครั้ง ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ไวน์หมดไปแล้ว ผมเองก็ดื่มไปไม่น้อย ส่วนคนที่ดื่มน้อยสุดแต่กลับเมาสุดกลับเป็นเจ้าของงาน ภูดิศทอดสายตามองไปยังคน ๆ เดียวกับผม คนที่โวยวายกระโจนใส่บดินทร์เมื่อพูดจาไม่เข้าหูจนล้มลุกคลุกคลานลงไปทั้งคู่
“ที่จริงกูไม่คิดว่ามันจะจริงจังกับมึงขนาดนี้นะ”
“ครับ?”
“ไอ้ตะวันน่ะ” ภูดิศยักยิ้ม แววตาเหม่อลอยเมื่อนึกถึงอดีต “มันคบ ๆ เลิก ๆ หลายคน พวกกูคิดว่าคนที่จะเอามันอยู่ต้องเป็นคนแบบพี่ตุลย์ พอมันบอกว่ามันชอบมึง กูเลยคิดว่าจะเล่น ๆ เหมือนเคย”
“คนแบบคุณตุลย์?”
“หล่อ รวย เอาใจเก่ง เป็นผู้ใหญ่ เข้าใจไหม ไอ้ตะวันมันเป็นพวกเอาแต่ใจ เกิดวันดีคืนดีอยากบินไปเที่ยวเวนิช มึงทำให้มันได้เหรอ”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง ยอมรับอย่างหาข้อโต้แย้งไม่ได้
“แต่บางทีพวกกูก็มองผิด มันไม่เคยให้คนอื่นโดนตัวได้ขนาดนี้ เคยเมา ๆ แล้วหลอกถามไปครั้งหนึ่งว่าคบไอ้พวกนั้นแบบไหน แฟนคนเก่า ๆ น่ะ มากสุดก็ใช้ปากให้ ถ้าขอมากกว่านี้มีเลิก มันไม่ได้รักนวลสงวนตัวหรอก แต่ไม่เคยอดทน จะให้มาเจ็บกับเรื่องแบบนั้น...ไม่มีทาง แค่มดกัดยังร่ำ ๆ ฟ้องกูได้เป็นวัน”
“ผมไม่อยากรู้เรื่องพวกนั้นหรอกนะครับ อดีตของคุณหนึ่ง”
“แค่จะบอกว่ามึงพิเศษกว่าใคร แต่มันก็เป็นแบบนี้ นิสัยพื้นฐาน...จะพูดตรง ๆ ก็สันดานน่ะแหละ เอาแต่ใจ คิดแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ใช่ไม่รักนะ แต่มันดันคิดว่าคนอื่นจะเข้าใจความคิดของมันไปเสียหมด เรื่องพี่ตุลย์มันอาจจะทำอะไรเกินไปบ้างก็อย่าคิดมากเลย ตะวันมันแค่ปั่นหัวทางนั้นขายของน่ะ” ภูดิศมองหน้าผม ตบบ่าปุ “อย่าเบื่อนิสัยเสีย ๆ ของมันเข้าล่ะ มีอะไรไม่เช้าใจก็ถามมันตรง ๆ ไอ้หนึ่งมันเล่าไม่เก่ง บางทีก็ต้องสังเกตเอาเองบ้าง"
ผมแน่นิ่ง จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ “กลัวเขาจะเบื่อผมเสียก่อนน่ะสิครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าผมเองจะเป็นคนถูกปั่นหัวแทนคุณตุลย์เข้าให้สักวันหรือเปล่า”
เป็นประโยคที่จริงจัง แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากคู่สนทนาได้ดังลั่น หนึ่งตะวันหันหน้ากลับมา แดงก่ำตั้งแต่แก้มลงไปถึงคอ แดงไปทั้งตัวเลยก็ว่าได้
“คุยอะไรกัน”
ผมส่ายหน้า คนเมาคลานขึ้นมานั่งบนตักโอบรอบคอแล้วซบผมออเซาะ “ไปนอนกันเถอะ ง่วงแล้ว”
ผมครางรับ พยุงเจ้าของวันเกิดลุกขึ้นยืนทุลักทุเล ไม่รู้ว่าเมาจริงหรือเมาหลอก ฟังเรื่องราวอีกฟากที่ตัวเองไม่คิดว่าจะได้ยินจากภูดิศแล้วเริ่มระแวง หนึ่งตะวันร้ายกาจอย่างที่พี่นุ่นเคยบอกไว้ไม่มีผิด
“เออ ขึ้นไปเลย ตามสบาย พวกกูกินอีกสักพักก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน ไอ้โน่เริ่มไม่ไหวแล้ว”
ผมพยักหน้า พยุงเจ้าของบ้านขึ้นห้องมาเพียงลำพัง
“นายไม่มีของขวัญวันเกิดให้ฉันเหรอ”
หลังจากผมเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนเมาหนึ่งครั้งแล้วเลี่ยงมาอาบน้ำ หนึ่งตะวันก็นั่งอยู่ปลายเตียง เตะเท้าไปมาในอากาศ มองกล่องของขวัญที่ยังไม่แกะจากเพื่อน ๆ ตาไม่กะพริบ ภูดิศซื้อหนังสือเพลงบรรเลงของต่างประเทศจากเอเชียบุ๊คให้ ผมคิดว่ามันเข้าท่าไม่น้อย ส่วนนภดลดูจะเป็นกระเป๋าสตางค์รุ่นใหม่มีราคา ส่วนบดินทร์ก็อย่างที่ว่า ถุงยางอนามัยลายหมีคุมะ
“คุณหนึ่งไม่แกะของขวัญเหรอครับ”
“ยัง อยากได้จากนายมากกว่า”
“อยากได้อะไรจากผม”
เจ้าของวันเกิดยิ้มตาปิด แก้มยังเป็นสีแดงด้วยฤทธิ์ของน้ำเมาที่ดื่มไป “กฤชผูกโบว์นอนแก้ผ้าบนเตียงล่ะมั้ง”
“ทะเล้นนะครับ ถ้าได้จริง ๆ จะทำยังไง”
“ฟาดให้เรียบ” หนึ่งตะวันพูดเสียงใส เรียกเสียงหัวเราะได้ผมไม่สวมเสื้อผ้า ยังอยู่ในผ้าเช็ดตัวสีขาว ท่อนบนเกาะพราวด้วยหยดน้ำที่กลิ้งหลุน ๆ ตามแรงโน้มถ่วงและการขยับเขยื้อนของกล้ามเนื้อ
“ตอนแรกผมว่าจะซื้อแหวนให้ แต่ไม่แน่ใจขนาดนิ้วเลยซื้อมาเป็นสร้อยดีกว่า ใส่ตอนอยู่ไร่ก็ไม่หาย ทองคำขาวนะครับ ถ้าเป็นสร้อยทองกลัวว่าจะอันตราย”
ผมหยิบซองกำมะหยี่จากถุงกระดาษที่ซ่อนไว้ สร้อยสีเงินประดับด้วยจี้รูปเครื่องบินกระดาษ ไม่ได้มีความหมายอะไรสลักสำคัญ เพียงแค่อยากให้มันไม่เรียบไปเท่านั้น
“ไว้คราวหน้าผมจะซื้อแหวนให้ใส่แทนจี้อันนี้”
“แล้วทำไมไม่ซื้อทีเดียว”
“วันนี้วันเกิดคุณหนึ่ง” ผมแกะสร้อยแล้วเหยียดให้เป็นเส้นยาวตรง โอบแขนรอบคอไปด้านหลังเพื่อสวมให้คนตัวเล็กกว่า “อันนี้เป็นของขวัญวันเกิด ส่วนของขวัญสู่ขอค่อยว่ากันอีกที”
หนึ่งตะวันเอนกายลงซบบ่า ลมหายใจร้อนปะทะกับผิวเนื้อโดยตรง ดูเหมือนจะร้อนกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ ผมกอดเขาไว้ จูบที่ศีรษะแล้วไล่จมูกมาข้างแก้ม กดจูบย้ำ ๆ หลายครั้ง ไม่หนักนัก เพียงแผ่วเบาให้เหมือนออดอ้อนขอความเห็นใจจากคนในอ้อมแขนเสียมากกว่า
“หนึ่ง...” เสียงเรียกคล้ายเป็นสัญญาณวอนขอ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันเกิดของหนึ่งตะวันแท้ ๆ แต่ผมกลับรู้สึกอยากเป็นฝ่ายได้ของขวัญจากเขา มองริมฝีปากสีสดแน่นิ่ง โหยหาจุมพิตอ่อนหวานอีกสักครั้ง “เมื่อกี้ว่า...ถ้ามีผมนอนเปลือยอยู่บนเตียง จะทำอะไรนะครับ”
เราสบตากันระยะใกล้ ใกล้กันขนาดนี้เสียงพูดเลยกลายเป็นกระซิบ คู่สนทนากัดปาก แต่ไม่หลบสายตา วันนี้ดูนายน้อยของผมจะกล้ามากกว่าทุกวัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฤทธิ์ของไวน์ที่เป็นของขวัญวันเกิดจากบิดา
“ฟาดให้เรียบ” หนึ่งตะวันกระซิบเสียงแหบพร่า หรี่ตามองท้าทาย
“ตอนนี้อยากฟาดแล้วหรือยัง”
ผมหลุบตาลงมองริมฝีปากนั้นอีกครั้ง เสียดายที่อีกฝ่ายใช้ฟันขาวงับไว้ พักเดียวก็แทนที่ฟันเรียงด้วยปากของตัวเอง กลิ่นเมนทอลอ่อน ๆ ผสมกับไวน์ชั้นดีเด่นชัดที่ปลายลิ้น ลมหายใจของเขามีกลิ่นบุหรี่ เย้ายวนกว่าครั้งไหน ๆ
เตียงนอนยวบลงตามน้ำหนัก ผมวางมือบนแก้มชายหนุ่มทั้ง ๆ ที่ยังจูบกันอยู่ หนึ่งตะวันเองก็ไล้ฝ่ามือลงเหนือแผ่นหลัง ลูบไปมาจนทั่วทุกที่ ผมกอดเขาไว้ เกี่ยวรัดทั้งตัวไม่เว้นแม้กระทั่งขาไม่ยอมปล่อยให้ห่าง
“เดี๋ยวสิ...อึก...” ไม่ปล่อยให้อุทธรณ์ ผมผละให้หนึ่งตะวันหายใจครู่เดียวก็จูบใหม่ “...ไหนว่าจะให้ฉันฟาด ทำไมทำเหมือนจะเขมือบกันทันทีแบบนี้”
“เหมือนกันแหละครับ” ผมว่า ปลดกระดุมเสื้อนอนตัวโปรดของคนเบื้องล่างไปด้วย “ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่าได้เสียเหรอ”
“พูดมากว่ะ”
“หนึ่งชวนผมคุยเองนะ”
“จะทำก็ทำเถอะ”
ผมดึงมือเขามาจูบ จ้องตาจริงจัง “เต็มใจหรือเปล่า”
“ถ้าฉันขัดนายไม่ได้มานอนทับเอาไอ้นั่นจิ้มฉันแบบนี้หรอก”
ผมหัวเราะ งับปลายจมูกไปหนึ่งที “มันแข็งเพราะคุณ”
“รู้แล้ว” หนึ่งตะวันว่า “ก็จะช่วยให้ลงอยู่นี่ไง”
ทุกสรรพเสียงของเราสลับกันพูดแหบพร่า หนึ่งตะวันเลื่อนมือไปหยิบ รีโมทแอร์ ปรับอุณหภูมิให้ลดลงอีกนิด “ร้อน”
ผมพยักหน้า ไซ้ไปตามลำคอ วนเวียนกลับมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง หนึ่งตะวันบิดตัวไปมาเมื่อปลายนิ้วผมเขี่ยที่ยอดอก ทันทีที่ริมฝีปากเผยอออกก็ฉกลิ้นเข้าสำรวจอย่างรวดเร็ว เสียงครางเกิดขึ้นแผ่วเบา ผมนวดเฟ้นไปบนผิวลื่น ทีละจุด ทีละจุด ตามด้วยริมฝีปากที่จูบไปตามผิวร้อน ๆ อย่างเนิบช้า เมื่อได้จังหวะก็สอดกายที่ตื่นตัวอยู่ก่อนเข้ามา กดไหล่ทั้งสองข้างของคนเบื้องล่างให้แน่นิ่ง กระซิบเรียกชิดใบหู
“หนึ่ง”
เจ้าของชื่อแน่นิ่ง เขาหลับตาลง ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยแต่ไม่ทุลักทุเลเหมือนครั้งก่อน ผมจูบอีกครั้ง และอีกครั้ง พักเดียวขนตาเป็นแพหนาก็ขยับ เปลือกตาเผยอขึ้นเปิดให้ผมพบสีน้ำตาลเข้มของดวงตา ผมยิ้ม แม้เหงื่อโซมกาย เมื่อขยับตัวเข้าลึกอีกหน่อยหนึ่งตะวันก็ผวาตัวขึ้นกอดผมไว้แนบแน่น
“กฤชชช”
“ครับ”
“มันแน่น”
ดวงตะวันร้องบอก น้ำเสียงอ้อนวอนอย่างคนสมควรถูกรังแกเป็นที่สุด ผมจูบที่หัวคิ้วสองสามครั้ง เม็ดเหงื่อไหลลงมาจากลำคอโดนแก้มอีกฝ่าย ผมไล่ลงมากวาดเก็บด้วยกลีบปาก ทั้งแก้ม ปลายจมูก ริมฝีปาก เมื่อนายน้อยเคลิบเคลิ้มก็ใช้จังหวะที่ว่าดันตัวเข้าไปอีกที
“กะ...กฤชชช”
ผมขอบเวลาที่เขาเรียกชื่อ กระซิบแผ่วเบาและสั่นพร่าคล้ายคนใกล้ร้องไห้ ผมละริมฝีปากลงมายังลำคอ ตลอดจนไปถึงหัวไหล่ สัมผัสบางเบาแต่ล้ำลึก เน้นส่งอารมณ์ถึงอีกฝ่ายมากกว่าทำให้เสร็จลุล่วงเหมือนครั้งก่อน
ร่างกายแทบเป็นตะคริวเมื่อต้องอดทนให้อีกฝ่ายปรับสภาพได้ หนึ่งตะวันจับหัวไหล่ผมแน่น ท่านี้ทำให้เราจูบกันได้ถนัด ผมจูบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายกับจะกลืนกินริมฝีปากคู่นั้นไปเสียเลย
“กฤช...” เรียกสลับกับหอบ มีบางครั้งที่หลุดครางออกมาเสนาะหู ผมมองร่างที่มันวาวไปด้วยเหงื่อไคล กล้ามเนื้อแต่ละสัดส่วนที่เห็นชัดเจน บิดนูนได้รูปทุกครั้งที่เกร็งตัว เว้าโค้งในรูปแบบของผู้ชาย สวยงามจนไม่อาจละสายตาไปทางไหน
ถ้าเป็นรูปปั้น ก็นับเป็นปะติมากรรมชั้นเยี่ยม
ไหล่ลาดของหนึ่งตะวันคลื่อนขึ้นลงเป็นจังหวะ สั้นบ้างยาวบ้างเมื่อผมขยับสะโพก เส้นผมสีน้ำตาลตกสยายไปบนปลอกหมอน ใบหน้างดงามแดงก่ำ แม้กระทั่งผิวนวลก็เป็นสีเดียวกัน หนึ่งตะวันปรือตาคล้ายคนใกล้หลับ ริมฝีปากเผยอขึ้นร้องขอชีวิตเมื่อถูกแทรกซึมลึกลงไปเรื่อย ๆ
หัวใจผมเต้นระส่ำ
ภาพตรงหน้าแทบทำให้ผมเป็นบ้า ไม่อาจหักห้ามตัวเองได้ ยิ่งหนึ่งตะวันทรมานเท่าไรก็ยิ่งปริ่มเปรมในอก เขาบิดตัวร้องร่ำเรียกชื่อผม บีบรัดและคลายออกจนสติที่มีพังภิณท์ เราจ้องตากันยามขยับเคลื่อนสลับกันเรียกชื่ออีกฝ่ายเมื่อความสุขพุ่งเข้าทะลักทลาย สุดท้ายก็กลั่นกรองออกเป็นหยาดสาย ผมปลดปล่อยในกายเขาโดยปราศจากเครื่องป้องกันเลยด้วยซ้ำ
“กฤช”
เสียงนั่นเรียกปนหอบ ผมครางรับคำ ไม่ถอนตัวออกในทันที ได้แต่จูบซ้ำ ๆ บนโคนผมชื้นเหงื่อ ก้มลงเอาหน้าผากชนแล้วหัวเราะกันทั้งคู่
“คราวนี้เสร็จพร้อมกันเลยแฮะ”
“ผมแย่ลงหรือหนึ่งเก่งขึ้น”
“ทั้งสองอย่าง” คนว่าอมยิ้ม ผมเลยจิ้มแก้มแดงไปหนึ่งครั้ง
“คราวนี้ไม่เขินแล้วเหรอ”
“นิดหน่อย” ดวงตะวันตอบเอียงอาย “แต่ไม่เท่าครั้งก่อน”
“ที่ไล่ผมออกจากห้อง”
“ก็มันทำตัวไม่ถูก”
“หนึ่ง” ผมเรียกเสียงจริงจัง มองสร้อยที่เหนียวเหนอะบนตัวอีกฝ่ายแล้วก้มลงไปจูบทับ “เป็นเมียผมแล้วนะ”
“พูดอะไรอีโรติกชะมัด”
“ผมพูดความจริง ปล่อยลูก ๆ เข้าไปข้างในเลยด้วยครั้งนี้ จะท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ตลกแล้ว อยากโดนไล่ออกจากห้องอีกหรือไง”
ผมหัวเราะ มองหน้าอีกฝ่ายเจ้าเล่ห์ “ออกไปตอนนี้เพื่อนคุณหนึ่งได้ล้อแย่”
“ไอ้พวกนั้นก็อย่าไปสนิทด้วยมากเลย นิสัยเสีย”
ผมไม่ตอบ จูบอีกครั้งที่ปาก “ยังไม่หนำใจเลย”
“พอแล้ว พรุ่งนี้ทำงาน”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ทำอีกได้หรือเปล่า”
หนึ่งตะวันไม่ตอบ ไล่ปลายนิ้วมาบนบ่าผม เขายิ้มแต่ไม่ห้าม เมื่อจูบกันอีกครั้งอีกฝ่ายก็ครางอือเบา ๆ
“นี่กฤช ฉันว่าฉันรู้แล้วนะว่าทำไมถึงชอบนาย”
ผมเลิกคิ้ว มองแววตาสีน้ำตาลเข้มที่จับจ้องอยู่ที่กลีบปากผมแน่นิ่ง
“บางทีฉันอาจจะเรียกร้องการยอมรับว่าสามารถทำอะไรได้จากใครสักคนมานานแล้วก็ได้ พอได้อยู่กับนายแล้วสบายใจ เหมือนกับว่าฉันไม่ใช่น้องเล็กที่ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา นายด่าฉัน ดูถูกฉัน บอกว่าฉันไม่สำคัญ แต่ก็ไม่เคยปล่อยมือให้ฉันเจอเรื่องแย่ ๆ คนเดียวสักที ทั้ง ๆ ที่ถูกทำตัวไม่ดีใส่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็ยังหน้าด้านหน้าทนมาสอนนั่นนี่อยู่ได้ แถมหลังดุก็ชอบมาง้อฉันเหมือนเด็ก ๆ ที่รู้สึกผิดหลังเผลอก้าวร้าวใส่ผู้ใหญ่ด้วย ใครจะไปโกรธลง”
ดวงตาคู่นั้นละจากริมฝีปากมาสบตาผมในที่สุด
“นายน่ารัก...และฉันอาจจะตกหลุมรักนายเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง” แก้มคนพูดเป็นสีระเรื่อ เขาหลบตาวูบหนึ่งเพื่อพูดประโยคนั้นแล้วกลับมาสบตาใหม่
“ขอบคุณนะ ทุกเรื่องเลย” มือเล็กวางลงบนแก้ม ยิ้มจนตาปิด หนึ่งตะวันตอนนี้น่าหยิกยิ่งกว่าคราวไหน ร่างกายที่ยังร้อนด้วยอุณหภูมิร้อนขึ้นอีก เสียงทุ้มพูดเบา แต่ได้ยินทุกถ้วนถ้อยคำ
“นายเป็นของขวัญที่ดีที่สุดของฉันเลยกฤช”
ผมจูบฝ่ามือนั้น ไม่มีคำพูดอื่นโต้แย้ง ที่ส่งต่อไปให้อีกฝ่ายคือแววตา
สิ่งที่สื่อสารว่าหนึ่งตะวันก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของผม....ไม่ต่างกัน
TBCตอนต่อไปจะเริ่มกรุ่น ๆ ดราม่าแล้วค่ะ แต่ยังไม่พีค หน่วงๆประมาณ 4-5 ตอนก่อนจบสไตล์เวสต์เวสต์ (แง) ใครรออ่านตอนจบเลยก็ได้น้าา หรือจะช่วยกฤชฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันก็จักขอบพระคุณอย่างสูง
อนึ่ง ทุกคำแนะนำเราเอามาคิดเพื่อปรับบทให้สมเหตุสมผลค่ะ เพราะฉะนั้่นกลิ้งตัวสามตลบก่อนกราบแนบตัก ยินดีรับฟังทุกความเห็นนะ
แล้วเจอกันใหม่วันอาติ๊ด พร้อมมาม่าสิ้นเดือนค่ะ แฮร่
