๘.
“......บึงบัวข้างวัดเจียกจร คือบึงที่ไอ้เข้กัดขาวัวใช่หรือไม่?”
นายปิดปากเงียบอยู่นานถึงเอ่ยปากถามในสิ่งที่ขามต้องอึ้งไปชั่วครู่ก่อนตอบ คำถามนี้ตอบไม่ยาก เสียแค่ไม่เข้าใจว่านายต้องการถามไปเพื่ออะไร?
“......ไม่ใช่ขอรับ บึงที่มีไอ้เข้คือบึงดอกโสน คุ้งน้ำกระโน้นขอรับ” ไม่พูดเปล่าขามยกแขนชี้ทิศทางของบึงนั้นให้นายดูด้วย
“งั้นเอ็งมีอะไรจะทำก็ไปทำ เสร็จแล้วมาหาข้า ข้าจะไปวัดเจียกจร”
พูดจบคนเป็นนายก้าวขาเดินสวนทางกับที่บ่าวคนสนิทกำลังนั่ง บ่าวขยับเข่าหันไปหานายพร้อมเอ่ยถาม
“นายจะเอาบัวสีอะไรขอรับ? ประเดี๋ยวกระผมไปเก็บมาให้ แดดกลางบึงมันร้อนไม่มีร่มไม้ นายรอที่เรือนให้เย็นกายดีกว่า”
ตรีเพชรหยุดยืนฟังบ่าวคนสนิทพูดจนจบ แล้วถึงพูดพร้อมอมยิ้มที่มุมปาก “ข้ากลับมาแล้วยังมิได้ไปกราบหลวงปู่ วันนี้เห็นไม่มีธุระอะไร เลยจะเยี่ยมท่านหน่อย”
“อ้าว อย่างงั้นเหรอขอรับ แหะแหะ...” ขามหัวเราะแก้เก้อยกมือขวาขึ้นลูบหลังหัว
ตรีเพชรส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจแบบระอาเล็กน้อยแล้วเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อนายมีธุระ ขามจึงเร่งมือเท้า จัดเก็บถ้วยชามสำรับของนาย ยกลงไปข้างล่างวางไว้ที่หัวกระไดล่างสุด เพราะต้องทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จก่อน
โกยใบไม้แห้งใส่กระบุง ยกไปเทที่หลุมหลังเรือน เอาจอบขุดดินใกล้ๆนั้นกลบหนึ่งชั้นไม่หนา หนึ่งเพื่อกันใบไม้ปลิวออกจากหลุม สองพอใบแห้งผสมเคล้ากับดินตามธรรมชาติ เอาขี้วัวขี้ไก่ผสมทำเป็นปุ๋ยได้
เรือนแยกของนายตรีเพชรมีต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสูงครึ้ม จึงทำให้มีใบไม้แห้งจำนวนหนึ่งทุกวัน กวาดทิ้งไปเฉยๆ น่าเสียดาย
เมื่อคืนรีบเดินมาหาถุงให้มะลิ เลยรีบหยิบผ้าผ่อนมาเปลี่ยนจำต้องไปอาบน้ำที่ท่า ผลัดเปลี่ยนชุดที่บ้าน
เพลานี้สายมากแล้ว อาบน้ำเสร็จผลัดผ้าที่ท่ามิเหมาะ บ่าวผู้หญิงอาจเดินผ่านมาเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นชายใช่ทำอะไรสบายๆ ตามใจ ควรคิดถึงหัวอกฝ่ายหญิงบ้าง เรื่องนี้แม่สอนไว้แต่เด็ก
ยกสำรับไปให้บ่าวในครัว กลับบ้านผลัดผ้า นุ่งผ้าขาวม้าไปอาบน้ำที่ท่า กลับมาผลัดผ้าที่บ้านทำทุกอย่างแบบไม่ชักช้า เสร็จแล้วก็รีบตรงไปหานาย
วัดเจียกจรอยู่ระแวกบ้าน ไปได้สองทางคือเดินไปกับนั่งเรือไป เพราะนายตรีเพชรไม่อยากนั่งเสลี่ยง จึงพายเรือไปวัด
ขามจะเรียกไอ้เอี้ยงไปด้วย ช่วยกันพาย ไปช่วยกันดูแลนาย แต่นายกลับบอกว่าไม่เอา ไม่ชอบเป็นแม่ไก่ มีลูกเจี๊ยบเดินตามเป็นพรวน
เรือสำหรับนายมีหลายลำ ส่วนใหญ่เป็นลำใหญ่คุมลำบาก ขามเลยเอาเรือลำเดียวกับที่พายไปรับนาย พานายไปวัดเจียกจร
นายตรีเพชรนั่งกลางเรือเหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้นั่งหันหน้าไปทางหัวเรือ
เห็นนายไม่รีบ ทั้งเห็นนายหันหน้ามองซ้ายมองขวา คล้ายว่าดูทัศนียภาพสองข้างคลอง ขามจึงค่อยๆ วาดพายแหวกเกลียวน้ำ พายด้านซ้ายสองสามที เปลี่ยนมาพายด้านขวาสองสามที สลับกันไป
หลวงปู่ที่วัดเจียกจร ก่อนนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาส ราวห้าปีก่อนท่านชราภาพมากแล้วจึงให้พระรูปอื่นเป็นแทน
หลวงปู่เป็นครูคนแรกของนายตรีเพชร ชื่อตรีเพชรก็หลวงปู่เป็นคนตั้งให้
ขามจำได้ขึ้นใจ ครั้งแรกที่ติดตามนายไปวัดเจียกจร ตัวเองราวอายุ 4 ขวบ ตอนนั้นยังไม่ใช่บ่าวคนสนิท บ่าวรับใช้ก็มิใช่ เป็นแค่บ่าวเพื่อนเล่นกับนายเท่านั้น
เจอหน้ากันครั้งแรก หลวงปู่ถามว่า: ชื่ออะไร
ตอบหลวงปู่ว่า: ขามขอรับ
หลวงปู่บอกว่า: มีบ่าวชื่อขามก็ดี น่าเกรงขาม
แย้งหลวงปู่ไปว่า: ไม่ใช่เกรงขาม กระผมชื่อมะขามต่างหากขอรับ
พูดความจริงกลับโดนหัวเราะใส่ ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่านายตรีเพชรกับหลวงปู่หัวเราะเพราะอะไร เวลานั้นยังเด็กมาก ถึงสงสัย ถึงไม่ค่อยพอใจ แต่วันนั้นก่อนออกจากวัดกลับบ้านก็ลืมไปซะแล้ว
ลืมไปสนิทเลยจริงๆ กระทั่งโตมาอายุได้ราว 14 หรือ15 นี่ละ ใครสักคนกระแซ็วนายว่ามีบ่าวคนสนิทชื่อขาม น่าเกรงขามจริงๆ
เป็นนายที่รื้อฟื้นความทรงจำให้ เลยได้รู้ตอนนั้นว่าเพราะอะไรตัวเองถึงโดนหัวเราะใส่
“อย่าเพิ่งไปวัด ไปเก็บดอกบัวก่อน” ตรีเพชรบอกบ่าวคนสนิททันทีที่เห็นตัววัด
บ่าวคนสนิทพอเข้าใจความคิดของเจ้านาย จึงเอ่ยปากว่า “เดี๋ยวบ่าวส่งนายที่ท่าก่อน ค่อยไปเก็บให้ ดีไหมขอรับ?”
แดดมันเริ่มแรงแล้ว น่าจะใกล้เวลาตะวันตรงหัว ไม่อยากให้นายตากแดด บ่าวคิดด้วยความหวังดี นายกลับไม่รับความปรารถนาดีจากบ่าว
“ไม่ดี!”
บ่าวอ้าปากเตรียมจะพูดต่อ นายเหมือนมีตาหลังพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เอ็งอย่ามากเรื่อง ข้าแค่จะเก็บดอกบัวไปถวายพระ มิใช่ให้เอ็งดำลงไปเก็บรากบัว เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ!”
นายสั่งแล้ว บ่ายเบี่ยงคงไม่พ้นโดนเอ็ด ไม่อยากให้นายมีน้ำโห จึงพายตรงต่อไป ผ่านหน้าวัด แล้วโค้งไปทางข้างวัด
ที่ตรงนี้เรียกกันง่ายๆ ว่าบึงดอกบัวข้างวัดเจียกจร มันมีบัวดาษเดื่อนไปหมด หย่อมนั้นสีชมพู หย่อมนั้นสีขาว บางหย่อมก็มีสีแปลกตา สืบสาวราวเรื่องไม่มีใครรู้ว่ามันมาได้ยังไง
แม้นในคลองมีบัวไม่ใช่เรื่องแปลก แต่บัวบางหย่อมที่สวยแปลกตานั้นมิใช่บัวทั่วไปตามคลองหนองบึง ต้องมีคนตั้งใจปลูกมันตรงนี้ มันถึงขึ้นมาได้ สมัยเด็กตัวเองคิดว่าหย่อมที่แปลกตานั้นต้องมีคนทำหล่นไว้แน่ พูดให้นายตรีเพชรฟัง นายขำใหญ่
กอบัวขึ้นหนา ไม่สามารถพายเรือฝ่าเข้าไปได้ จึงพายเรือพานายเลาะเก็บแค่ขอบๆ
นายนึกสนุกหรืออย่างไรไม่แน่ใจ กอนี้ดอกไม่ใหญ่ กอนี้ไม่สวยให้พายอยู่นั่นละ ถ้ายามตะวันไม่ตรงหัว ขามจะไม่พูดสักคำ กระนั้นพูดไปแล้วนายทำเป็นหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน ดอกบานไม่เอา จะเอาดอกตูม ดอกเล็กก็ไม่เอา จะเอาดอกใหญ่ๆ....
ขามอยากเอาหัวมุดน้ำ ถามปลาในน้ำว่า
กลางวันแสกๆ แบบนี้ บัวดอกใหญ่ที่ไหนมันไม่บานบ้าง?!ด้วยเหตุนี้ กว่าเรือจะได้จอดท่า เข้าไปหาหลวงปู่ปรากฎว่าเป็นเวลาที่พระกำลังฉันเพล นายบ่าวจึงจำต้องนั่งรอก่อน
หากต้องการมาหาหลวงปู่ ควรตรงมาศาลาวัดเป็นที่แรก ท่านมักทำทุกอย่างที่ตรงนี้ กุฏิ...ท่านว่าไว้สำหรับพักผ่อนเท่านั้น ซ้ำการอุดอู้อยู่แต่ในห้องหับทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง
ข้าวต้มปลาของเจ้านาย แม้อร่อยแต่ไม่อยู่ท้อง ขามทั้งทำงานซกๆ ไม่ได้หยุดทั้งพายเรือพานายมาถึงบ้าน ทั้งพายวนให้นายเลือกเก็บดอกบัว ท้องไม่ร้องหิวสิแปลก
เพราะนั่งอยู่ไกล เสียงท้องร้องจึงได้ยินกันเพียงสองคน สำหรับขามยอมอายคนทั้งศาลาดีกว่าอายนายตรีเพชรคนเดียว กริยาไม่งามอีกแล้ว
ตรีเพชรหัวเราะในลำคอ ก่อนพูดทั้งอมยิ้ม “หึหึ... รอไหวไหม? เดี๋ยวขอข้าวหลวงปู่กิน”
“มิต้อ---”
“กินเถิด ขากลับข้าไม่อยากพายเรือเอง”
อายแทบซุกแผ่นดินหนี แย้งเหตุผลของนายไม่ได้ คุณพระช่วยไอ้ขาม พระท่านฉันเสร็จพอดี จึงรีบคลานเข่าไปหาหลวงปู่
กราบหลวงปู่แล้วเงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันพูดอะไร หลวงปู่เอ่ยถามมาก่อน
“เจริญพร นายเอ็งกลับมาแล้วรึ”
คล้ายเป็นแค่คำทักทาย มิใช่หลวงปู่ต้องการคำตอบ ขามจึงรับคำแล้วรีบเข้าประเด็น “ขอรับ เห็นทีวันนี้ต้องขอฝากท้องกับที่วัดแล้วล่ะขอรับ”
“อืม... เอาไปซี” หลวงปู่พูดจบก็มองไปด้านหลัง พูดกับอีกคน “เจริญพรเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? หึหึ หน้าตาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะนะ”
ตรีเพชรคลานเข่าเข้าไปชิดติดกับยกพื้น นั่งพับเพียบเรียบร้อย พนมมือค้างไว้พร้อมกับพูดคุยกับหลวงปู่
“มิเจ็บมิไข้ขอรับ พยายามเอาคำสอนของหลวงปู่มาใช้ จึงเอาถ่านขึ้นบ้าง”
หลวงปู่ยกสำรับอาหารให้แล้ว ขามยกมือพนมก่อนยกถาดขนาดกลางลงไปวางที่พื้น ไกลจากระยะที่นายตรีเพชรนั่งมาหนึ่งวา ตนเองนั้นไม่มีธุระพูดคุยกับหลวงปู่จึงลุกออกไปจากที่ตรงนั้น เพื่อหาจานมาให้เจ้านายกินข้าว
“ประเดี๋ยวกินเสร็จแล้ว ตามไปที่กุฏิ อาตมามีของจะให้”
หลวงปู่พูดเท่านั้น แล้วขยับหันไปคุยกับญาติโยมกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นกลุ่มซึ่งมาถวายภัตตาหารเพล
ตรีเพชรไหว้หลวงปู่หนึ่งครั้ง ก่อนขยับออกมานั่งใกล้ถาดสำรับของหลวงปู่ รอไม่นาน บ่าวคนสนิทก็นำจานมาให้
“เอ็งเอาบัวนี่ไปล้างน้ำให้สะอาดสิ ล้างแต่ดอก ก้านข้าไม่เอา” ตรีเพชรยื่นดอกบัวหลวงสองดอกที่เลือกไว้ให้บ่าวคนสนิท
“หือ... นายจะใช้ทำสิ่งใดหรือขอรับ?” ขามนึกสงสัยไหนนายบอกว่าจะเอาบัวไปไหว้พระประธาน
“ข้าเห็นว่าเมี่ยงคำกับลาบ แต่เบื่อใบชะพลูละ จึงว่าจะกินกับกลีบบัว” ตรีเพชรกล่าว
ขามพยักหน้าพร้อมยื่นมือไปรับดอกบัวจากนาย แล้วลุกไปทางหลังศาลาอีกที
เมื่อครู่ที่ยกถาดลงมา ไม่ทันได้มองสำรวจว่ามีกับข้าวอะไรบ้าง กินกลีบบัวแทนใบชะพลู สิ่งนี้จำได้ว่าเริ่มมาจากนายหญิง ท่านทราบมาจากใครไม่รู้นัยว่าชาววังเขาทานกัน จึงสั่งบ่าวให้ทำขึ้นไปให้ จากแรกเห็นว่าแปลก เวลานี้ไม่รู้สึกแปลกกระไร
เอากลีบบัวที่ล้างใส่ชาม หยิบจานดินขนาดพอเหมาะติดมือไปด้วยอีกหนึ่งเผื่อให้นายใช้วางแยกกับจานข้าว เดินกลับมาขดข้าวใส่จานให้นายก่อนตักให้ตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งกินไป
ตั้งแต่เด็ก หากกินข้าววัด หลวงปู่สั่งให้กินด้วยกัน ไม่แยกใครบ่าวใครนาย อาหารที่คนนำมาถวายพระ มิใช่กับข้าวของนายหรือกับข้าวของบ่าวอีกต่อไป เป็นอาหารที่กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน ดังนั้นกินร่วมถาดเดียวกันได้
กระนั้นพวกที่เป็นบ่าวติดสอยห้อยตามนายก็มักแยกถาดของบ่าวกับถาดของนาย รวมกลุ่มใครกลุ่มมัน หากคนน้อย ได้สำรับมาแค่ถาดเดียวก็จำเป็นต้องกินรวมกับเจ้านาย และแน่นอนว่าของดีๆ ต้องให้เจ้านายกินก่อน บ่าวกินช้าหน่อย รอนายอิ่มแล้วถึงค่อยซัดให้เต็มที่
ขามก็กำลังทำเช่นนั้น หากแต่นายตรีเพชรกลับเอากลีบบัวที่ใส่ลาบไว้แล้วกลีบหนึ่งวางที่จานข้าวบ่าวคนสนิท พร้อมพูดว่า “ประเดี๋ยวไม่มีแรงพายเรือ”
“พุธโธ่ นา---”
บ่าวยังไม่ทันได้พูดสักคำ นายก็พูดแทรกขึ้นมา
“เมื่อกี้หลวงปู่บอกให้ไปหาที่กุฏิ ประเดี๋ยวไปไหว้พระประธานก่อนค่อยไปที่กุฎิท่าน”
“ขอรับ” ขามรับคำแล้วหยิบดอกบัวเข้าปาก ลาบรสชาติอ่อนเข้ากันได้พอดีกับกลีบบัว คาดว่าคนทำมาถวายน่าจะตั้งให้หลวงปู่ได้กินถนัดปาก สับหมูเสียชิ้นเล็กละเอียด คนไม่มีฟันก็กินได้อร่อย
“อร่อยไหม?” ตรีเพชรถามบ่าวคนสนิท ปากอมยิ้ม
ยังเคี้ยวอยู่จึงพูดไม่ได้ เลยใช้การพยักหน้าแทนคำตอบ
“งั้นก็กินไปอีก ไม่ต้องมากพิธี เมื่อกี้หลวงปู่เพิ่งชมข้าว่าดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นแล้ว เอ็งอย่าทำให้ข้าต้องเอาคำชมคืนท่านเร็วขนาดนั้น”
“...นายกินให้อิ่มก่อนเถิด ประเดี๋ยวบ่าวค่อยตามเก็บ” กลืนลงคอแล้วจึงพูดได้
“เอ็งคิดว่าเอ็งเกรงใจข้าเป็นฝ่ายเดียวรึ มิคิดเลยหรือว่าข้าก็เกรงใจเอ็ง” ตรีเพชรพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
ขามทำตาโต “อะไรกันนาย นายจะมาเกรงใจกระผมทำไม!”
“ข้ากลัวไม่มีคนพายเรือพาข้ากลับบ้าน”
“พุธโธ่ มิต้องเอาลาบมาแลกดอก แค่ข้าวเปล่าๆ ไอ้ขามก็รับใช้นายทูลเกล้าถวายหัวแล้ว”
“เชียวรึ! แค่ข้าวเปล่ายังได้ขนาดนั้น แล้วถ้าข้าให้ทองหยอดเม็ดขุนเอ็งหมดนี่เลย ประเดี๋ยวข้าจะได้อะไรบ้าง?”
“ยกเว้นดาวกับเดือนขอรับ นอกนั้นไอ้ขามให้นายได้ทุกอย่าง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...”
“ฮึฮึฮึ...”
น่าแปลกเหลือแสน ทุกครั้งที่เข้ามาอยู่ในเขตพัทธสีมา ราวกับกฎเกณฑ์รัดรุงต่างๆ นาๆ คลายลง ภายในวัดมีแค่ 2 สถานะ พระและญาติโยม
เป็นสถานที่สำหรับหาความสงบ
สถานที่ที่ทำให้จิตใจสงบ
.
.
.
กินไป คุยถึงสมัยเด็กไป ไม่ทันไรก็อิ่ม ญาติโยมที่มาถวายเพลยังนั่งทานกันอยู่ ขามจึงยกสำรับของตัวเองไปไว้ที่หลังศาลา
เจอเด็กวัดนั่งกินอยู่ จึงเอากับข้าวไปให้เพิ่ม กลีบบัวเหลือไม่กี่กลีบจึงบอกพวกเด็กๆ ให้เข้าใจว่ากินได้ กินแทนใบชะพลู เด็กบางคนไม่เชื่อว่าหลอกกัน แต่มีคนหนึ่งบอกว่าเห็นพี่เขากินจริง ยังนึกแปลกใจอยู่ จึงบอกเด็กๆ ไปว่า คนในวังเค้ากินกันไม่ได้แกล้ง ทุกคนจึงเชื่อ
ขามฝากเด็กๆ ล้างจาน กล่าวขอบใจอย่างมีมารยาท แล้วเดินมาสมทบกับนายตรีเพชร ปรากฎว่าผู้ใหญ่ในกลุ่มที่มาถวายเพลกำลังนั่งคุยด้วยอยู่ จึงไปนั่งเยื้องหลังนายเล็กน้อย
คาดว่ามิใช่คนรู้จัก เพราะนายเห็นบ่าวมาแล้วก็รีบออกตัวว่า ต้องไปแล้ว พอดีมีธุระต้องคุยกับหลวงปู่
ระหว่างทาง นายบอกว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนต่างถิ่น มาเยี่ยมญาติที่อยู่ที่นี่ เห็นเราพูดคุยกับหลวงปู่เลยเข้ามาสอบถามพูดคุยด้วย เรื่องว่าวัดนี้มีชื่อ แต่มิรู้ว่าเด่นดังด้านของมีอาคมหรือของขลังอย่างไรบ้าง
ทีแรกขามก็ฟังไปเฉยๆ จนนายพูดคำสุดท้ายจึงขำคิก
'ไม่รู้ของขลังมันวนอย่างไรมาถึงตัวข้า เขาถามข้าว่ามีเรือนหรือยัง หากไม่มีเขามีลูกสาวหลายคน ลองมองดูก่อนได้ เผื่อต้องตาต้องใจ'
เพราะรู้จักเจ้านายตัวเองดีจึงได้ขำ
หากอยู่ในขอบเขตวัด นายตรีเพชรจะพยายามไม่ทำผิดศีล 5 เป็นอย่างน้อย พอไม่ตอบให้ตรงประเด็น เกรงว่าฝ่ายนั้นคงคาดคั้นหนัก ทว่าเมื่อบอกความจริงว่ายังไม่มีเมียเลยโดนรั้งไว้ใหญ่ เช่นนี้เห็นบ่าวมาจึงรีบขอตัวลา มิสนคำเรียกไล่หลังกันเลยทีเดียว