๔.
นกขมิ้นเสียงดีที่ส่งเสียงร้องเจื้อแจ้วกระเบ็งเพลงท่อนสุดท้ายแล้วบินไปจากต้นชมพู่พร้อมกับนกอีกตัว ครั้นนกขยับปีกโผบิน นายก็เริ่มขยับตัว นายหมุนตัวกลับมาพร้อมกับสั่งให้ไปเอาห่อผ้าสีกรักที่วางอยู่ในห้องมา ประเดี๋ยวจะออกไปข้างนอก
นายยังยืนที่เดิม จึงต้องก้มหลังต่ำก่อนเดินสวนตัวนายไป
ไปถึงเรือน เจอไอ้เอี้ยงกำลังกวาดใบไม้แห้งจึงฝากเช็ดถูเรือน ไปกับนายวันนี้ไม่รู้ว่าจะกลับกี่โมงกี่ยาม ไม่รู้ด้วยซ้ำไปที่ไหน นายไม่ได้บอก ไอ้เอี้ยงเป็นคนคุ้นเคยกันอยู่ มันไม่ได้ว่าอะไร แต่เดี๋ยวหากนายกลับไปรับราชการก็คงต้องทำงานคืนมัน
ขึ้นเรือนตรงไปห้องนอนนาย ก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไปยืนในห้องนอนนายแล้ว ขามอยากตีตัวเองเหลือเกิน นายสั่งว่าห่อผ้าสีกรัก สีกรักเป็นแบบไหนขามรู้อยู่ แต่ห่อผ้าวางอยู่ไหน ห่อเล็กห่อใหญ่ มิรู้เลย
แต่เพราะนายเป็นคนสั่งอะไรสั่งชัดเจนจึงพอสังเขปได้ว่า มันต้องวางอยู่ที่ใดที่หนึ่งในห้อง มิต้องไปหาในตู้หรือหีบ เมื่อกวาดตามองรอบห้องถ้วนแล้วไม่เจอ ขามจึงเดินตรงไปที่เตียงนอนของนาย
ห่อผ้าสีกรักขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่ในซอกหนึ่งที่หัวเตียง ซอกนี้ไม่ใช่กล่องลับอะไร มันเป็นแค่ช่องว่างที่เกิดจากการต่อไม้แต่ละท่อนออกมาเป็นลวดลาย ไม่ใช่แกะสลักไม้ทั้งแผ่น แค่เอาท่อนไม้มาต่อเรียงกันให้เห็นแปลกตาหน่อยเท่านั้น แต่ตรงนี้ละที่นายชอบเอาของมาซุกไว้
มิใช่ของสำคัญมีค่าหลายสิบหลายร้อยอัฐ แก้วแหวนเงินทองสิ่งของล่อตาล่อใจบ่าวนิสัยเสียนั้นอยู่ที่เรือนใหญ่ ยกเว้นแต่สร้อยคอทองซึ่งนายใส่ติดตัวตลอดเวลา นอกนั้นนายไม่เก็บหรือใส่ของมีค่าให้รำคาญใจตัวเอง
เพราะไม่รู้ว่าของในห่อผ้าเป็นอะไร ของสูงหรือของใช้ธรรมดา ขามจึงไม่กล้าเอามันเหน็บกับผ้าผูกสะเอว ถือด้วยมือ ยกสูงเท่าหนักอกไว้ตลอดทาง
มาถึงสวน ปรากฎว่านายไม่อยู่แล้ว คงไปรอที่หน้าเรือนใหญ่ ขามจึงเร่งฝีเท้าตัวเอง
“พี่ขาม!”
ขณะที่วิ่งมาจนจะพ้นเสาหน้าของเรือนใหญ่ กลับได้ยินเสียงมะลิร้องเรียกเสียงดังมาจากใต้ถุนเรือนใหญ่ ขามชะงักฝีเท้า หยุดยืน
“อะไร มะลิ? ข้ารีบอยู่ นายกำลังรอ!” ขามพูดด้วยเสียงร้อนใจไม่ต่างจากใจที่ร้อนอยู่ภายใน
มะลิที่กระวีกระวาดวิ่งมาหาพี่ขามตั้งแต่ตนเองพูดจบ เข้ามากระซิบกระซาบ “ฉันฝากซื้อของหน่อยสิพี่ นะ นะ น้า....”
“วันนี้ไม่ได้ดอก ข้าไม่รู้ว่านายไปไหน” ขามบอก
“ไม่เป็นไรๆ ฉันฝากไว้ก่อน ถ้าพี่ไม่ประเหมาะสบโอกาสซื้อก็ค่อยเอามาคืนฉัน” มะลิไม่พูดเปล่า ยัดเยียดของใส่มือพี่ขาม พร้อมพูดต่ออย่างใจเย็น “วันนี้แดดจ้า ตากปลาคงแห้งในแดดเดียว ฉันเอามะขามหวานที่พี่ชอบใส่ไปด้วย เผื่อพี่จะแห้งคอ”
ขามก้มหน้ามองถุงผ้าขนาดใหญ่คับมือ แม้นรีบแต่อดท้วงไม่ได้ “ฮึ๊! ฝักสองฝักจะไปพอกินที่ไหน ว่าแต่เอ็งจะเอาอะไร?”
“ผ้าจ้ะพี่ขาม สีเหลืองสวยๆ ที่ฉันให้พี่ดูคราวก่อนไง นังเจียนมันว่าเจ๊กจะเข้ามาขายที่ตลาดวันนี้ ฉันเอาแค่ครึ่งหราพอ อัฐฉันมีแค่ในถุงละ ถ้ามันแพง ก็ให้พอเย็บสักถุงก็ได้ เท่าถุงที่อยู่ในมือพี่นี่แหละ” มะลิรีบพูด เร็วจนขามเกือบฟังไม่ทัน
ขามถอนหายใจก่อนตอบมะลิ “เฮ้อ..... ข้าไม่รับปากนะ”
“จ้ะพี่ ไม่ได้ไม่เป็นไร ขอบใจนะพี่ขาม” มะลิโปรยยิ้มหวาน
“ข้าไปละ นายรอ”
ขามเร่งก้าวเท้าพลางเอาถุงผ้าของมะลิเหน็บที่ผ้าพันเอวด้านหลัง เดินพ้นเสาหน้าเรือนใหญ่ เห็นนายนั่งรอที่เสลี่ยงแล้ว จึงเปลี่ยนจากซอยเท้าถี่เป็นวิ่งเต็มก้าว
“ขออภัยขอรับ นาย” พูดพร้อมกับคุกเข่ากับพื้น ชูยื่นห่อผ้าสีกรักให้นายตรีเพชร
นายหยิบห่อผ้าอันเล็กไปโดยไม่บ่นว่าอะไร จึงเดาได้ว่าตนเองไปไม่นานเกินนายรอ
“อื้อ!”
ตรีเพชรทำเสียงในลำคอครั้งเดียว บ่าวสี่นายซึ่งมีหน้าที่หามเสลี่ยงลุกขึ้นยืน ขามเองก็ลุกขึ้นด้วย ก้าวขาเดินจังหวะเดียวกับบ่าวที่มีหน้าที่แบกหาม
หากนายไม่ได้พูดคุยด้วย บ่าวที่ติดสอยห้อยตามต้องเดินต่อท้ายเสลี่ยง แต่สำหรับบ่าวคนสนิทอย่างขามนั้นต้องอยู่ข้างนาย เดินค่อนไปทางด้านหลังของนาย ไม่เดินล้ำหน้า
เพราะนายที่คุ้มกะลาหัวมีฐานะดี บ่าวทุกคนในเรือนจึงได้รับเสื้อไว้สวมใส่ ถึงไม่ใช่ผ้าเนื้อดีเด่กระนั้นบ่าวทุกคนก็ยังปลาบปลื้ม
ปกติแล้วนั้น เป็นผู้ชายมีโจงกระเบนใส่ก็พอ ไม่มากเรื่องหลายชิ้นเหมือนพวกผู้หญิง ผู้ชายทำงานออกแรง สวมเสื้อไปมีแต่รุงรัง ขยับตัวไม่สะดวก แต่เจ้านายบอกว่าไม่น่ามอง หากอยู่ในบ้าน เวลาทำงานจะถอดเสื้อ ใส่แค่โจงกระเบนหรือผ้าขาวม้าไม่ว่า แต่หากพบเจอแขกโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำงานหนัก ให้หลีกลี้ไปพ้นๆ ตา ไม่ก็สวมเสื้อซะ เมื่อนอกบ้านกับนายต้องสวมเสื้อโดยไม่มีข้อยกเว้น
เสื้อของบ่าวผู้ชาย อาจเปรียบได้กับผ้าสไบหรือผ้าพันอกสีสวยของผู้หญิง นำมาใช้เวลาสำคัญเท่านั้น เสื้อของบ่าวผู้ชายในเรือน เจ้านายเป็นคนจัดหามาให้ ไม่ใช่สีเดียว แต่ก็ไม่ใช่สีฉูดฉาดอะไร ผ้าสีพื้น ราคาถูก เนื้อหนาทนทาน เจ้านายท่านจะให้เมื่อมีวาระโอกาสสำคัญ มิใช่ได้ให้ทุกปีเหมือนบ่าวของเจ้าขุนมูลนาย โจงกระเบนเป็นผ้าผืนที่ไม่ต้องตัดเย็บอะไรมากนัก ใช้กันทุกคน จึงมีให้ทุกปี บ่าวผู้ชายในเรือนจะซื้อเองก็แค่ผ้าขาวม้า ใครมีเมียก็ลำบากหน่อย ต้องเจียดเงินไปให้เมียใช้ ผ้าขาวม้าสักผืนอาจได้มายากยิ่ง
บ่าวผู้หญิงแตกต่างกับบ่าวผู้ชายราวฟ้ากับเหว บ้างอาจได้ของใช้ตกทอดมาจากเจ้านายทั้งผ้ารัดอก สไบ ผ้านุ่ง รวมถึงเครื่องประดับ แต่ถึงได้มา ก็มิสามารถใส่เล่นหัวได้ ของดีต้องเก็บไว้ใช้ให้ถูกกาละเทศะ ไม่งั้นอาจกลายเป็นหายนะมาสู่ตัวเองได้
บ่าวสาวรุ่นๆ อย่างมะลิหรือกิ่งมักมีเรื่องให้ต้องซื้อ อัฐมีนิดหน่อยไปตามเรื่องซื้ออะไรได้ไม่มากนักหรอก
มะลิชอบแต่งตัว แต่เจ้าตัวไม่เสียเงินไปกับการซื้อผ้าผ่อนมานุ่มห่ม คนสวยสวมผ้าขี้ริ้วก็ยังมีคนชมว่าสวย มะลิชอบเย็บผ้าปักผ้า ฝีมือดีทีเดียว ไม่งั้นไม่ได้เป็นหนึ่งในคนโปรดของเจ้านายหรอก นอกจากเจ้านายแล้วใครให้มะลิทำ แม่ขอแลกด้วยอัฐเสมอ ผ้าที่ฝากซื้อวันนี้ก็คงมีใครสักคนมาจ้าง
“อึ๊ก!” กำลังเดินอยู่ดีๆ กลับมีใบลานฟาดหลังจนรู้สึกแสบๆ คันๆ ขามหันหน้าควับไปมองข้างหลัง พบว่าไอ้ไผ่ที่แบกเสลี่ยงอยู่ทำปากบุ้ยใบ้ กระพริบตามองมันได้ไม่ทันไร เสียงนายพลันดังเรียก
“ไอ้ขาม...”
เสียงนายดิ่งต่ำคล้ายคนหมดความอดทน ขามจึงรีบหัวหน้าไปขานรับ
“ขอรับ!”
นายกวักมือเรียกให้ไปใกล้
“จะให้กระผมทำอะไรขอรับ?”
“จะให้เอ็งเอาใจไว้กับตัวเอง ออกมาข้างนอก เดินใจลอยสะดุดเต่า หกล้มคอหักตาย มันไม่น่าดู”
สะดุดเต่า!!!
“...เอ่อ... ขออภัยขอรับ...” ขามอับอายที่รับใช้สะเพร่าจนให้นายต้องออกปากว่า
“ตอนข้าคุยกับเพื่อน พวกเอ็งจะไปไหนก็ไป แต่อย่าชักช้า เย็นนี้ข้าต้องกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้าน” ตรีเพชรทวนประโยคเดิมที่ตนเองพูดไปแล้วให้บ่าวคนสนิทฟังอีกครั้ง
“ขอรับ!” ขามรับคำแข็งขัน
จากนั้นนายไม่ได้พูดอะไรอีก ขามจึงผ่อนเท้าไปเดินด้านหลังของนาย ครั้งนี้ไม่เหม่อใจลอยให้นายว่าได้อีก จดจ่ออยู่แต่กับนายเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งเสลี่ยงเริ่มไปในเส้นทางที่คุ้นตา ขามจึงได้รู้ในตอนนั้นว่าเพื่อนคนไหนที่นายจะไปหา
นายเกรียงไกร...หนึ่งในเพื่อนสนิทที่มีจำนวนน้อยนิดของนายตรีเพชร
ท่านเป็นลูกขุนน้ำขุนนาง รับใช้องค์สมเด็จและชาติบ้านเมืองมาตั้งแต่ต้นตระกูล แม้นไม่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่คุณงามความดีที่สร้างสมไว้ ทำให้มีบารมีและเป็นที่นับหน้าถือตา
ตอนเด็กท่านเกรียงไกรร่ำเรียนวิชากับพระคุณมั่น พระครูท่านเดียวกันกับนายตรีเพชร พอทั้งสองอายุ 10 ขวบถึงแยกกันไปเรียนในสิ่งที่ทางบ้านจัดเตรียมให้ หากนายตรีเพชรเรียกว่าข้าราชการใช้แรง ท่านเกรียงไกรก็คือข้าราชการใช้หัว เมื่อทำงานต่างกัน จึงเรียนวิชาต่างกัน
เพราะต้นตระกูลฝ่ายบิดาของนายตรีเพชรไม่เก่าแก่และมีอำนาจเท่า ความเป็นเพื่อนของทั้งสองจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ขาดช่วง กระนั้นท่านเกรียงไกรก็มิได้เป็น “คนรู้จัก”ของนายตรีเพชร ท่านเกรียงไกรคือเพื่อนของนายตรีเพชรทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในสายตาขาม นายทั้งสองแทบไม่มีอะไรเหมือนกัน อาศัยแค่ความน้ำใสใจจริงเท่านั้นจึงเป็นเพื่อนกันมาจนทุกวันนี้
“ขาม เอ็งมากับข้าก่อน” นายพูดก่อนลุกลงจากเสลี่ยง
ขามรอจนนายยืน และก้าวข้ามคานหาบไปแล้ว ถึงค่อยลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ติดบนโจงกระเบนช่วงเข่าอย่างเบามือ ไม่รีบร้อนรนจนดูเป็นลิงค่าง สาวเท้าก้าวไปเดินตามหลังดุจผีเสื้อโบยบิน ซอยเท้าถี่ ไม่ก้าวยาวพรวดจ้ำๆ เว้นระห่างจากนายให้พอเหมาะพอควร หากนายเรียกใช้เบาๆ ก็ต้องได้ยิน หลังต้องค้อมลงเล็กน้อยตลอดเวลาที่เดิน จะยืดหลังตกหน้าเชิดมิได้เด็ดขาด
อยู่ในบ้านกริยามารยาทวางไว้เท่าไหร่ ออกนอกบ้านเพิ่มเข้าไปอีกสามเท่า ทุกสิ่งเพื่อหน้าตาของนาย เกียรติของนาย มิใช่แค่กริยา กระทั่งอาภรณ์ที่สวมใส่ เนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านก็ต้องใส่ใจดูแลเพื่อนาย
หากลูกเป็นกระจกส่งบุพการี บ่าวก็เช่นกัน เป็นกระจกส่องเจ้านาย
เดินตามหลังนายไปได้ครู่หนึ่ง ขามนึกฉงน
เคยตามนายมาเรือนหลังนี้หลายครั้ง ไม่เคยเข้ามาลึกขนาดนี้ ราวกับกำลังเข้าสู่ชั้นในของเรือน ลึกเกินกว่าแขกควรเข้ามา ครั้นเมื่อบ่าวที่นำทางพาไปถึงห้องหนึ่ง เห็นการตกแต่งและคนที่อยู่ในห้องนั้น ขามจึงหายสงสัย
“ไงไอ้เกลอ ดำเมี่ยมเชียวนะ” ชายที่นั่งยืดสองขาบนตั่งตัวยาวกล่าวทักทายแขกด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
“ปากดีแบบนี้ งั้นข้ากลับละท่าน” นายตรีเพชรกล่าวแบบนั้น แต่มิได้หันหลังกลับตามที่ตนเองพูด ยังคงเดินตรงไปนั่งเก้าอี้เดี่ยวตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ตั่งยาว
เมื่อบ่าวของเรือนที่เดินนำทางมานั่งลง ขามจึงเดินไปนั่งด้วยกันกับเขา เยื้องมาข้างหลังหน่อย
“ได้มาไหม? ถ้าไม่ได้เอ็งกลับไปเลย!” ท่านเกรียงไกรถามตั้งแต่เพื่อนยังไม่หย่อนก้นลงนั่ง
“อาจเอามาให้ช้าไป แต่ก็เก็บติดตัวไว้นะท่าน” นายตรีเพชรยื่นสิ่งที่กำอยู่ในมือให้เพื่อน
“ไหน ไหน ไหน....” ท่านเกรียงไกรพูดพลางรับสิ่งนั้นมาแกะดู
เพราะในห้องไม่มีใครอื่น ซ้ำท่านเกรียงไกรมิใช่คนบ้าพิธีรีตอง ขามจึงเงยหน้ามองเจ้านายได้ ด้วยเหตุนี้ถึงได้เห็นสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าสีกรักที่ตนเองไปเอามาจากห้องนอนนาย ขามนึกดีใจที่ตัวเองคิดเยอะ ถือห่อผ้าไว้สูงๆ เพราะเวลานี้นายเกรียงไกนเอาของที่อยู่ในห่อผ้าสีกรัก พนมใส่ในมือ ยกสูงท่วมหัว
ไม่ใช่พระเครื่องก็ต้องเป็นของสูงมีอาคม
“ขอบใจนะ พ่อตรี คงลำบากแย่” ท่านเกรียงไกรพูดพลางชื่นชมสิ่งที่อยู่ในมือตัวเอง
“มิใช่เรื่องใหญ่ดอก ท่านเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง?” นายตรีเพชรเอ่ยถาม
“มิใช่เรื่องใหญ่ดอก แผลหายก็ลุกเดินได้” ท่านเกรียงไกรตอบคล้ายล้อเลียนเพื่อน
“ฮื้อ...... ระวังตนไว้บ้าง ทำสิ่งใดให้นึกถึงหน้าพ่อแม่ลูกเมียไว้...” นายตรีเพชรพูดโทนเสียงทุ่มต่ำเตือนด้วยความจริงใจ
“รู้แล้วๆๆ ข้าได้ยินจนหูชาละ อย่าพูดอีกเลย” ท่านเกรียงไกรทำหน้ารำคาญมาก “เจ้าเถอะ ปีนี้จะแต่งเมียได้รึยัง? ข้าอยากหมั้นลูกสาวเจ้าให้ลูกชายข้าเต็มแก่ละ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” นายตรีเพชรหัวเราะร่า “บุตรลูกท่านพระยาหมั้นหมายธิดานายกองไร้ชื่อเสียง ได้ประโยชน์อันใด?”
“ประโยชน์คือความพอใจของพ่อ” ท่านเกรียงไกรกล่าวเสียงหนักแน่น
นายตรีเพชรยังคงอมยิ้ม “...ถ้าเลือกได้ ข้าอยากให้ลูกข้าได้เลือกเอง”
“ลูกมักเป็นความปรารถนาของพ่อแม่ สิ่งใดพ่อแม่ทำไม่ได้ มักอยากให้ลูกทำแทน” ท่านเกรียงไกรกล่าวเสียงเรียบรื่น
นายตรีเพชรไม่โต้เถียง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม สายตาแม้มองไปทางเพื่อน แต่หลุบลงเล็กน้อย มิได้จ้องตาเพื่อน เฉกเช่นเมื่อกี้ที่พูดคุยกัน
ท่านเกรียงไกรเป็นคนคุยสนุก ไม่ชอบความเงียบ จึงไม่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่นาน
“ไม่เจอหน้ากันนานนะ ไอ้ขาม สบายดีหรือไม่?”
เมื่อเจ้านายทักทาย ขามรีบก้มลงกราบ ก่อนเอ่ยตอบ “มีสุขตามสมควรขอรับท่าน”
“ดี มีทุกข์อันใดมาบอกข้าได้ บ่าวของเพื่อนข้าก็เหมือนบ่าวของข้า” ท่านเกรียงไกรกล่าว
แต่ก่อนบ่าวจะเอ่ยคำขอบคุณ เจ้านายกลับกล่าวขึ้นมาก่อน
“ขอบคุณที่ท่านพระยาเมตตา” ตรีเพชรกล่าวด้วยน้ำเสียงนบนอบ
“อุวะ! เอ่ยถึงตำแหน่งเยี่ยงนี้ เอ็งว่าข้าเสือกรึ?!” ท่านเกรียงไกรเร่งเสียงดังขึ้น
“ปากท่านก็ช่างหาเรื่อง ไว้ครั้งหน้าข้าจะหาพระอุดมาให้ท่าน!”
“ฮึ๊ด...” ขามรีบตะครุบปากตัวเองได้ทันเส้นยาแดงผ่าแปด
“เอ็งกล้าขำรึ ไอ้ขาม!” ท่านเกรียงไกรตวาดเสียงดังลั่น แต่แบบทีเล่นทีจริง
“ไอ้ขาม เอ็งไปรอข้าข้างนอก ข้ามีธุระจะคุยกับท่านเกรียง” ตรีเพชรกล่าว
“ฮึ๊!” ท่านเกรียงไกรทำเสียงขึ้นจมูก
“ขอรับ...” ขามรับคำเจ้านายของตัวเองแล้ว คลานออกจากห้อง เมื่อพ้นประตูมาแล้วถึงค่อยลุกขึ้นยืน ปรากฎว่าบ่าวประจำเรือนนี้ก็คลานตามออกมาด้วย กำลังปิดประตูห้อง
บางเรื่องของเจ้านาย มิใช่สิ่งที่บ่าวควรฟัง แม้เป็นบ่าวปากหนักแค่ไหนก็ตาม
ขามยืนรอจนบ่าวคนนั้นปิดบานประตูเรียบร้อยแล้วถึงเอ่ยพูด “...พี่ รบกวนช่วยบอกทางข้าหน่อยได้ไหม ขามาข้ามิได้จำทางไว้”
แม้นพูดแบบนั้น ความจริงถึงตั้งใจจำ ขามก็จำไม่ได้อยู่ดี เรือนใหญ่โตโอ่อ่า ห้องหับซ้อนทับซับซ้อน มิได้เดินทุกวัน หลงไม่ใช่เรื่องแปลก
“ได้สิ ตามข้ามา...” บ่าวคนนั้นพูดจบก็เดินนำไป
ขามเดินตามหลังเขาไปในระยะที่ใกล้หน่อย หน้าตรง ไม่หันรีหันขวาง แม้นมีของสวยงามแปลกตายั่วให้มองก็มองมิได้ กริยาไม่งาม แม้จะชวนบ่าวที่เดินนำทางคุยเล่นก็ไม่เหมาะ ในเรือนชั้นในแบบนี้ ถึงมองไม่เห็นเจ้านาย แต่ท่านอาจอยู่ในห้องไหนก็ได้ หากท่านกำลังพักผ่อน อาจเป็นการรบกวนได้
บ่าวที่เดินนำ คล้ายว่าพาเดินไปอีกทาง นึกสงสัยอยู่ก็จริง แต่เขาอาจเดินนำไปที่พักของผู้ติดตามแขกที่มาเยือนก็เป็นได้ เพราะนายบอกแล้วว่าจะอยู่นานหน่อย ให้ไปซื้อของได้ พวกที่หามเสลี่ยงมาน่าจะไม่ได้ยืนตากแดดอยู่หน้าบ้าน และก็เป็นดังคาด ทางเส้นนั้นทะลุมาเจอศาลาเล็กๆ หลังหนึ่ง ขามมองเห็นเพื่อนร่วมเรือนนั่งเล่นกันอยู่
“ด้านหลัง หลังคาสีเขียวนั่นเป็นโรงครัว หากหิวไปที่นั่นได้” ชายที่เดินนำมาหยุดที่ปลายทางไม่เดินออกไปจากตัวบ้าน หันหน้ามาบอกด้วยสีหน้าเอื้อเฟื้อ
“ขอบคุณจ้ะพี่” ขามกล่าวขอบคุณพร้อมยกมือพนมไหว้ อีกฝ่ายน่าจะเป็นบ่าวคนสำคัญในเรือน เพราะการแต่งตัวดูดี ซ้ำเขาดูมีอายุมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
บ่าวคนนั้นรับไหว้ ยิ้มตอบรับ แล้วเดินกลับเข้าไปในเรือนโดยไม่พูดอะไรเพิ่มอีก
เป็นการวางตัวที่ดูรื่นหูรื่นตามากสำหรับขาม ใจนึกอยากจดจำท่วงท่าของบ่าวคนนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วน ฝันไว้ในใจว่าสักวันตนเองจะทำได้แบบนี้บ้าง ต่อหน้าคนอื่นดี แต่ลับหลังมีแต่เรื่องประมาทสะเพร่าให้นายต้องอายเหมือนเช่นทุกวันนี้ ขามละอายใจเหลือเกิน
มองจนบ่าวคนนั้นลับตาไปแล้ว ขามจึงเดินไปรวมกับบ่าวร่วมเรือนสี่คนนั้น
“ดื่มน้ำสิ” ไอ้ไผ่พูดพลางยื่นขันน้ำมาให้
ขามรับไปจิบสองสามอึกก่อนส่งคืน “ชื่นใจดี... เอ้อ ข้าจะไปตลาดพวกพี่จะไปด้วยไหม?”
“คิดแต่เที่ยวเล่นนะมึง!”
ไอ้ไผ่ติติง พี่คนๆ อื่นพลอยทำตาดุใส่ด้วย
“ไม่ใช่! นังมะลิมันฝากซื้อของ เมื่อกี้พี่ไผ่ก็ได้ยิน นายบอกว่าจะไปไหนก็ได้ นี่เมื่อกี้นายก็ไล่ฉันออกมา ไม่มีอะไรให้ฉันต้องรับใช้ดอก ตลาดอยู่ไม่ไกลด้วย ไปสักหน่อยจะได้ไม่โดนนังมะลิมันบ่น”
เหตุผลกลบปิดได้ทุกหลุม ขามจึงไม่โดนพี่ๆ แย้ง ในกลุ่มขามอายุน้อยสุด แม้เป็นคนสนิทของนายแต่เป็นเด็กก็ควรเชื่อฟังผู้ใหญ่ เคารพความอาวุโส พี่คนอื่นอายุอานามมิใช่น้อย จึงไม่เห็นตลาดเป็นของน่าตื่นเต้น มีแค่ไผ่ซึ่งอายุใกล้เคียงกับขามเท่านั้นที่ไปด้วย แม้ตลาดไม่น่าสนใจ แต่ไผ่ก็ยังไม่ถึงกับเบื่อตลาด
ดื่มน้ำกันอีกคนละอึกสองอึก จากนั้นขามกับไผ่ก็พากันเดินไปตลาด
ตลาดอยู่ห่างจากเรือนท่านเกรียงไกรพอควร พอเริ่มเหนื่อยก็เดินถึงพอดี เวลานี้ไม่เช้าแล้ว ของที่ขายจึงมีแต่ของใช้ ไม่ใช่ของกินหรือของสด
ระหว่างที่เดิน ไผ่ถามว่ามาซื้ออะไรให้มะลิ ขามนึกสะกิดใจว่าไอ้ไผ่จะเป็นหนึ่งในชายที่หมายเด็ดดอกมะลิหรือไม่ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครแสดงออกหรอกว่าชอบหรือแอบชอบมะลิ ไอ้ขันมันหมาหวงก้าง ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับหมาหรอก แต่ปรากฎว่าเดาผิด
พอบอกว่ามาซื้อผ้าให้มะลิ ไอ้ไผ่ก็ถามอีกว่ามะลิคิดเงินค่าเย็บปักผ้ายังไง บอกว่าอยากให้ของขวัญสาวที่ตามจีบอยู่ แล้วก็ปรึกษาว่าให้ของที่ผู้หญิงอื่นทำ สาวจะโกรธไหม
ไอ้ไผ่มันคนโผงผาง พูดคุยกับผู้หญิงไม่ค่อยเป็น ไม่เคยคบหาใครเลยด้วยซ้ำ ส่วนขามไม่ใช่คนเจ้าชู้เยี่ยงไอ้ขัน แต่ที่พูดคุยกับผู้หญิงได้สบายปาก น่าจะเพราะอยู่กับแม่สองคนตั้งแต่เด็ก เพื่อนเล่นที่สนิทกันตอนเด็กก็คือกิ่ง จึงเข้ากับผู้หญิงได้ ไม่เคอะเขิน
ทว่าก็เข้าใจความรู้สึกผู้หญิงในระดับพื้นฐานเท่านั้น ขามไม่กล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจผู้หญิงทั้งหมด ใจนางลึกเกินหยั่งถึง ส่วนที่เกินพื้นฐานนั้นเป็นไปตามนิสัยของแต่ละนาง
คำถามของไอ้ไผ่ ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน ขามจึงตอบได้
ค่าปักมันต่างกันไปตามเนื้องาน จึงบอกแค่คร่าวๆ ให้ไอ้ไผ่ฟัง ส่วนประเด็นที่ว่าสาวจะโกรธไหมหากเอางานฝีมือของสาวอื่นไปให้เป็นของขวัญ ต้องถามกลับว่าสาวที่ไอ้ไผ่ไปจีบมีฝีมือในการเย็บปักไหม?
กุหลาบเหมือนกัน ไม่ควรให้มันแข่งกันบาน นายตรีเพชรเคยสอนไว้ เสียแต่ตอนนั้นนายไม่ได้เทียบกับดอกไม้ นายเทียบกับเสือ...เสือเหมือนกัน อยู่ในกรงเดียวกัน ไม่ควรให้มันแข่งกันเป็นเจ้าป่า
สาวที่ไอ้ไผ่จีบอยู่แค่พอเย็บผ้าเป็น แต่เก่งเรื่องทำอาหาร เช่นนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหากับของขวัญชิ้นนี้
ไปถึงตลาด เจอผ้าสีเหลืองแบบที่มะลิเคยเอามาให้ดู ถามราคาแล้วแพงบรรลัย ถามเจ๊กว่ามีสีนี้ ผ้าแบบอื่น ราคาถูกกว่านี้ไหม ปรากฎว่าไม่มี อัฐที่มะลิให้มาก็พอซื้ออยู่ แต่ไม่ถึงครึ่งหลาได้แค่ครึ่งของครึ่งเท่านั้น ก็ต้องเอา ไม่มีทางเลือก
เจ๊กกำลังวัดผ้าตัดแบ่งให้ ไอ้ไผ่กระซิบว่ามีเงินอยู่เท่านี้ ไม่รู้จะได้ออกมาอีกไหม ถึงออกมาก็ซื้อผ้าไม่เป็น เลยให้ช่วยเลือกให้หน่อย ทำถุงผ้าแบบถุงใส่เงินของมะลิก็พอ
ผ้าที่มีลาย ไม่ต้องเสียเวลาปัก เย็บเป็นถุงก็ดูดีแล้ว ขามจึงเน้นถามราคากับเจ๊กเฉพาะผ้ามีลาย บวกลบราคาผ้ากับเงินที่ไอ้ไผ่มี จิ้มให้ไอ้ไผ่เลือกเอง 5 ลาย ไอ้ไผ่กลับบอกว่าไม่อยากได้ผ้าลายอยากได้ผ้าพื้นสีสด
นึกด่าไอ้ไผ่ในใจว่า มึงไม่แย้งตั้งแต่ตอนกูไล่ถามราคาเจ๊กวะ?!
มันก็บอกหน้าซื่อๆ เหมือนไม่ได้มีเจตนาเรื่องมาก เลยถามสีพื้นใหม่ คราวนี้ถามสีที่มันอยากได้มาเลย จะได้เลือกแต่เนื้อผ้า สุดท้ายเพราะถุงเล็ก ใช้ผ้าแค่นิดเดียว เลยได้ผ้าจีนเนื้อดีสีเขียวใบตองอ่อน
ธุระมีแค่นี้ เสร็จแล้วจึงพากันเดินกลับเรือนคุณเกรียงไกร
เดินออกมาพ้นตลาดได้ไม่เท่าไหร่ ไอ้ไผ่ก็หยิบผ้าขึ้นมาลูบ มันว่านิ่มมือดี ขามเห็นด้วยกับไอ้ไผ่ พอมีคนชื่นชมด้วยไอ้ไผ่จึงภาคภูมิใจมั่นใจมากขึ้นว่าสาวเจ้าน่าจะชอบเหมือนกัน
ความรักแบบนี้สิค่อยน่าสนหน่อย ตรงมาตรงไปไม่มีเล่ห์เหลี่ยม วกวนซับซ้อนแบบไอ้ขันกับมะลิ ปวดหัวมากกว่ามีความสุข