ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ แหะแหะ
บทนี้จะเหมือนมานั่งบ่นนะครับ และผมก็ไม่เคยพูดถึงตัวละครบางตัวมาก่อน
ถ้างงในบางจุดก็ปล่อยไปนะครับ อีตาพันไพรก็งงเหมือนกันครับ ว่าไอ้นัสมันเพ้ออะไรฟะ
บทที่ ๖
[เหตุการณ์ปัจจุบัน]
ช่วงนี้สุขภาพร่างกายผมดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด อาการไข้ไอเจ็บคอหอบหืดทั้งหลายก็เริ่มห่างหายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมสามารถออกไปเบื้องนอกได้ตามเดิม
วันนี้พันไพรชวนผมมานั่งจิบกาแฟยามเช้าที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ น่ารักแห่งหนึ่ง ร้านนี้ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง ทว่ามันดูอบอุ่นด้วยการตกแต่งจากเปลือกไม้สวย ๆ กำแพงด้านที่ติดถนนกรุกระจกใสบานใหญ่ให้คนนั่งจิบกาแฟสามารถเฝ้ามองความเป็นไปของผู้คนบนบาทวิถีทางเบื้องนอกได้
ชายหนุ่มเบื้องหน้าผมสั่งคาปูชิโน่ ชอบเสียจริงนะไอ้คาปูชิโน่เนี่ย แต่ผมนี่สิ เคือง นึกไงถึงสั่งนมอุ่นเพื่อสุขภาพให้ผมก็ไม่รู้ แต่ช่างเหอะ ผมไม่ได้เป็นคนจ่ายมื้อนี้นี่นา
“เออ ไพรไม่ไปทำงานเหรอครับ เห็นขลุกอยู่กับผมแบบนี้ทั้งวัน”
“ช่วงนี้ผมลาพักร้อนน่ะครับ เลยอยากจะใช้เวลาช่วงนี้กับคนที่ผมรักที่สุด”
ไพรตอบยิ้ม ๆ แต่ดวงตาของเขาเศร้าสร้อย..
ผมพอเดาได้ว่าฐานะของพันไพรต้องดีมาก ๆ อย่างแน่นอน ถึงจะไม่เท่าท่านผู้นำก็เถอะ จึงไม่คิดที่จะซักไซ้ต่อ ทว่าพันไพรเองก็ไม่ถามถึงงานของผม เขาคงให้คนสืบจนทราบแล้วว่าผมเป็นนักเขียนอิสระ
ผมกระดกแก้วนมดื่มรวดเดียวจนหมด และพยักเพยิดให้คนตรงหน้าทำตาม
ทว่าพันไพรมัวแต่ขำ เขาชี้ตรงริมฝีปากของผม และทำให้ผมรู้โดยอัตโนมัติว่านมอุ่นมันติดจนเป็นไรหนวดสีขาว
เขาดึงกระดาษทิชชูออกมาจากกล่องบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ ตะล่อมเช็ดให้ผม
“ขอบคุณครับ”
พันไพรไม่กล่าวตอบว่ากระไร เขาโบกมือเรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน
เราเดินเคียงคู่กันบนบาทวิถีริมถนน ต้นปาล์มห้อยระย้ากิ่งก้านออกแผ่ให้ร่มเงาแก่ทางเดิน เราไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เพียงแต่เดินเคียงคู่กันเหมือนเพื่อนรักสองคน พันไพรไม่ได้ยื่นมือเข้ามาโอบหรือกุมมือผมไว้ในที่สาธารณะ เพราะเขารู้ว่าผมไม่ชอบ แต่เพียงแค่เดินเคียงข้างกับเขา หัวใจของผมก็เต้นไม่เป็นส่ำชอบกล
คงจะเป็นเพราะบรรยากาศเปลี่ยนไป ไม่ได้มีแต่เขาและผมเท่านั้น แต่มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ มันทำให้พันไพรดูเหมือนมีตัวตนมากขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงความฝันชั่วข้ามคืนอีกต่อไป และผมก็เพิ่งตระหนักด้วยว่า พันไพรมีเสน่ห์มากเพียงไหน ด้วยว่า สาว ๆ มักจะเหลียวมองเขาบ่อยครั้ง ซ้ำบางคนยังจ้องเอา ๆ จนผมรู้สึกไม่พอใจแทน
..หรือว่าผมจะหึง?
เราทอดน่องมาเรื่อย ๆ จนถึงสวนสาธารณะร่มรื่นอันผู้คนบางส่วนยังวิ่งหรือออกกำลังกายอยู่ภายใน พฤกษชาตินานาพรรณเขียวขจีคลี่คลุมไปทั่วสวน กำจายกลิ่นบุปผชาติกรุ่นหอมหวนอบอวลมาตามลมชื่นใจจนผมแทบละความกังวลใจทั้งหมดไปเบื้องหลัง พันไพรพาผมนั่งลงบนม้าไม้ตัวหนึ่งริมถนนเล็ก ๆ ในสวน ผมจึงนั่งท้าวคางจ้องมองความเป็นไปของธรรมชาติ นกพิราบฝูงหนึ่งเดินออกหาอาหารอยู่ทั่วทางเดินปูอิฐตัวหนอน พันไพรยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูแล้วกระซิบบอกให้ผมรอเขาสักครู่ ก่อนจะเดินหายไปอีกทาง
ผมเฝ้ามองฝูงนกพิราบอันประกอบด้วยคู่นกผัวเมียหลายคู่ บ้างก็ถลาลมหยอกเย้ากัน บ้างก็เดินท่อม ๆ เคียงคู่กันไปในวิถี บางกลุ่มก็ร่าเริงกระดี๊กระด๊า พลางตีปีกพั่บ ๆ ส่งเสียงจอแจ มันอาจจะดูร่าเริง แต่ก็เสียดแทงหัวใจของผมพิกล เพราะว่าความรักของผม ไม่อาจแสดงต่อสายตาของสังคมได้ ผมไม่อาจแสดงความรักต่อใครโดยเปิดเผยได้เช่นดั่งนก...
ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวัน สังคมจะเข้าใจ หวังว่าสักวันผมจะยืนเคียงข้างใครสักคนได้ โดยที่ไม่ต้องทานทนกับสายตาและเสียงซุบซิบนินทา ผมไม่ได้ต้องการอะไรมาก ผมไม่อยากได้สิทธิ์อะไรเป็นพิเศษ เพราะว่าผมก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เป็นผู้ชายธรรมดาที่บังเอิญไปรักผู้ชายอีกคนหนึ่ง
แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...
อย่างน้อย ผมก็มีครอบครัวที่ไม่ได้เห็นว่าการแต่งงานหรือการสืบตระกูลสำคัญที่สุด พวกเขาจึงไม่ถามบ่อยนักว่าว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน? หรือเมื่อไหร่จะมีแฟน? ก็นับว่ากดดันน้อยกว่าคนอื่น ๆ อยู่
พันไพรก้าวเข้ามาขัดภวังค์ความคิดของผม เขาเข้ามาพร้อมข้าวโพดทอดถุงใหญ่ ด้วยความตะกละ ผมล้วงมือลงไปหวังจะหยิบกิน แต่เจอไพรตีมือเพี๊ยะ!
ผมทำตาปรอย ๆ จนเขาต้องถอนหายใจ
“อาหารนกครับ เดี๋ยวเลี้ยงพวกมันหมดแล้วผมพานัสไปกินข้าวก็ได้ หิวเร็วจริง ๆ เลย”
ผมหัวเราะร่า เมื่อพันไพรรู้ทันผมราวกับเป็นพยาธิในท้อง
เราทั้งคู่ช่วยกันหว่านข้าวโพดให้แก่นกพิราบ พวกมันฮือเข้ามาล้อมรอบราวกับพวกเราตกอยู่ท่ามกลางคลื่นของกลุ่มก้อนสีเทาที่ผงกหัวไปมาเพื่อจิกกินเมล็ดข้าวโพดบนพื้นอิฐ
ผมรู้สึกได้ว่าพันไพรจ้องหน้าของผมอยู่ และรู้สึกจะจ้องมองจากเบื้องข้างนานแล้ว ผมจึงหันไปสบตาของเขาที่มีประกายนุ่มนวลอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น เขาอมยิ้มนิด ๆ ก่อนเฉลย
“ผมชอบมองใบหน้าแจ่มใสของนัสครับ มองได้ไม่รู้เบื่อ ผมไม่อยากให้นัสจมอยู่กับความเศร้าของตน และความทรงจำในอดีตมากนัก”
“ชอบแค่ใบหน้าของผมเองเหรอครับ”
ชายหนุ่มยิ้มซุกซนก่อนเอาใบหน้าของเขามาพาดไหล่ผมไว้
“ถ้าจะว่ากันตามจริง ผมชอบนัส...ทั้งตัวเลยครับ”
ผมเขินกับวาจาสองแง่สองง่าม พันไพรนี่ทะลึ่งจริง ๆ เลย แต่ก็น่ารักดีแฮะ
“ข้าวโพดหมดถุงแล้วครับ ไหนใครว่าจะเลี้ยงข้าวผมนะ”
พันไพรลุกขึ้นก่อน เขายื่นมือให้แก่ผม แล้วฉุดร่างผมให้ลุกขึ้นตาม นกพิราบแตกฮือเนื่องจากการกระทำอันกะทันหันของเราสองคน ผมค่อย ๆ ดึงมือออกจากเขาช้า ๆ ท่ามกลางแววตาเสียดายของพันไพร
“เจ้ามือนำเลยครับ หึหึหึ”
เขายิ้มรับ แล้วจึงก้าวขายาว ๆ นำไปก่อน ผมมองแผ่นหลังอบอุ่นของเขา แล้วย่างเท้าตามไปติด ๆ
เรานั่งรับประทานอาหารทะเลกันที่ร้านอาหารริมทะเล ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมทางเลียบระหว่างชายฝั่งกับภูเขา ตัวร้านเกิดจากการก่อเรือนไม้ยื่นล้ำออกไปในทะเล จนดูราวกับภัตรคารกลางน้ำ
พันไพรสั่งเทือกทะเลเผา โป๊ะแตก ต้มยำ ปูผัดผงกระหรี่ และข้าวผัด ส่วนผมเหรอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า อ้าปากรอคนป้อนน่ะสิครับ
แต่ล้อเล่นนะ ผมไม่กล้าทำแบบนั้นจริงหรอก พันไพรเริ่มการรับประทานอย่างช้า ๆ ตามธรรมเนียมคุณชายตระกูลใหญ่ ขณะที่ผมฟาดเอาฟาดเอาด้วยความเร็วสูง เนื่องจากว่าหิวโหยมาแต่เช้า จนพันไพรต้องรีบเบรก
“กินเยอะแบบนี้เดี๋ยวก็อ้วนหรอกครับ”
“หึ หึ หึ อ้วนก็ดีครับ จะได้ไม่มีคนมารัก คุณสมบัติเวลาประกาศหาคู่นอนทางเน็ตจะได้เป็น ‘หนุ่มหัวหินอารมณ์เปลี่ยวห้องว่าง 23/185 อ้วน’ ”
“แหม ปากคอเราะร้าย แต่ไม่ว่านัสจะเป็นอย่างไรผมก็รักอยู่ดีนะครับ”
“ให้มันจริงเถอะน่า ไม่ใช่สักวัน ไพรก็ทิ้งผมไป ..เหมือนทุกคน”
อีกฝ่ายชะงักงันกับน้ำเสียงเศร้าของผม
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับนัส”
ผมยิ้มบางให้เขา และกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเล่าดีหรือไม่ ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้...
“ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง จากเพื่อนที่ผมรักมากคนหนึ่ง....”
คืนนี้.. ในฐานะของ ชาดาริกา
แล้วเรื่องราวบางอย่างที่ฉันหวาดกลัวก็ดำเนินมาถึง
หนึ่งในคนรัก ..หนึ่งในผู้ที่มาขอพรต่อนางฟ้า
กำลังเดินจากไปแล้ว
ปล่อยมือฉันแล้วเดินจากไปแล้ว
...ฉันสงสัยมาเนิ่นนาน แต่พยายามคิดในแง่ดี
สุดท้าย.. ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
ไม่ได้แม้แต่จะพูดคำอวยพรดีๆ
เขาหายไปแล้ว..
หลงเหลือเพียงความทรงจำ
..ฉันนั่งร้องไห้อย่างคนบ้าคลั่ง ขณะที่กำลังนั่งอ่านสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกของเขาเท่าที่ผ่านมา
ความลับหลายสิ่ง..ถูกเปิดเผย
คำพูดของฉัน..ภาพเหตุการณ์ของเรา.. อยู่ในบันทึกพวกนั้นด้วย
มัน.. บาดหัวใจ
คุณ..เคยเป็นไหม?
รู้สึกเหมือน..หัวใจกำลังถูกบีบ..กด
ฉัน..เจ็บปวด
มันคือสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นมาเนิ่นนาน
ฉันรู้สึกเหมือนว่า..กำลังสูญเพื่อนรัก
สูญเสีย..ภาพเงาในกระจกตรงหน้า
สูญเสีย..คนที่จะเข้าใจทุกสิ่ง
สูญเสีย..คนรัก
ที่เคยบอกว่า.. จะอยู่กับฉัน
ฉันอยากแข็งใจ..โบกมือลา
แต่ฉันกลับล้มหน้าคะมำ..
ฉันแสดงออกว่าปกติดี
ฉันถามเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง..ถึงหลายๆเรื่อง
คนรักคนนั้นของฉัน..กำลังมีความรัก
ความรักในแบบที่เขาต้องการ
เขา..คงไม่ต้องการ..ชาดาริกา..อีกต่อไป
ชาดาริกา..ที่ไม่มีค่าอะไร
แต่ยินดีและดีใจ ที่ครั้งหนึ่งได้โอบกอดเขาด้วยความรักทั้งหมดเท่าที่มี
เด็กผู้หญิงคนนั้น..ขอโทษฉัน เธอคิดว่าเธอคือต้นเหตุ
เธอบอกว่า..ความจริง เธออิจฉา..
เธอ..ต้องการ..ความรัก แบบของฉัน
เธอขอให้ฉันเป็นชาดาริกาของเธอ
..ชาดาริกาฤา.. จะสามารถปฏิเสธ..
ทั้งที่ฉันกำลังร้องไห้เสียงดัง..
แต่ก็ตอบรับเธอไปด้วยความยินดี
ถ้าอย่างนั้น..จงเชื่อในคำพูดของชาดาริกา
จงวางมือลงบนมือของชาดาริกา..
อย่ากังวล อย่าหวาดกลัว
เรื่องที่ผ่านแล้ว..จงผ่านไป
ฉันได้แต่พูด ฉันทำเองไม่ได้หรอกนะ
วันนี้มันเป็นวันแย่ๆ.. วันที่ฉันได้รู้ความจริง และวันที่ฉันสูญเสียหนึ่งคนรัก
ฉัน.. หายใจไม่ออก
มันแน่นอยู่ในอก
มัน..เหมือนมีแก้วกำลังบาดหัวใจจนเหวอะหวะ
สำหรับ..หนึ่งคนรัก ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร จะเคยทำอะไร ผ่านเรื่องอะไรมา แต่ฉันยังคงรักคุณเหมือนเดิม
ชาดาริกาที่คุณร่วมสร้าง..ยังรักคุณเหมือนเดิม
ไม่เคยนึกอะไรไม่ดีกับคุณ..ไม่เคยสักครั้ง
ความรักของฉันไม่แบ่งแยก ไม่จำกัด คุณก็รู้..
ฉันรักคุณ..รักคุณนะ รักมากๆ
แต่ฉันไม่อาจที่จะส่งเสียงออกไป
ชาดาริกาฤา.. จะสามารถส่งเสียงออกไป
ในเมื่อฉันมองเห็นแล้วว่า คุณกำลังมีความสุข
คุณถูกแวดล้อมด้วยคนรัก..ความรัก..แล้ว
ความรักของชาดาริกา.. ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
แต่ชาดาริกายังคงต้องดำรงอยู่ เหมือนที่ใครคนนึงได้บอก
"ยังมีผู้คนที่ต้องการชาดาริกานะคะ..ถึงจะ..ไม่ใช่ทั้งชีวิต..แค่ไม่นาน ก็ยังต้องการชาดาริกา"
ฉันคงต้องมีชีวิตต่อไป ถึงจะสูญเสียคนรักไปก็ตาม
ถ้อยคำเหล่านี้ยังคงดังก้องอยู่ในภวังค์ของผม จนกระทั่งมืออบอุ่นเอื้อมมาแตะไหล่ของผมเบา ๆ
“เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”
“อืม.. ครั้งหนึ่ง ผมว่าผมเคยมีความรัก ความรักในอีกแบบที่ซับซ้อน ความรักที่คล้ายกับหลงใหลเงาในกระจกของตน และเฝ้าจ้องมองอย่างไม่รู้เบื่อ เราร่วมกันสร้างหลาย ๆ สิ่งขึ้นมา และบางอย่างเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต”
ผมหลับตาลงช้า ๆ แล้วลืมมันขึ้นมาใหม่เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึก
“วันหนึ่ง เมื่อผมเชื่อว่าผมสามารถวางความรู้สึกทั้งหมดลงในมือของเธอ ผมก็บอกความลับที่สำคัญยิ่งสำหรับผม ความลับที่ผมไม่เคยบอกใครแม้แต่พ่อแม่ หรือเพื่อนที่เคยสนิทที่สุด
ไพรรู้มั้ยว่าเธอตอบว่าอะไร?”
พันไพรส่ายศีรษะช้า ๆ และนิ่งเงียบรอคำตอบ
“เธอตกใจ แต่เธอก็เชื่อคำพูดของผม เพราะว่า..อะไร ผมก็ไม่รู้
เธอยิ้มให้กำลังใจผม เธอบอก ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไร ผมก็จะเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนที่รักยิ่งของเธอเสมอ...”
“ผมดีใจ แกมโล่งใจ ที่ต่อแต่นี้ผมแทบจะไม่เหลือความลับอะไรกับเธออีกต่อไป ผมไม่มีความจำเป็นต้องพูดโกหกอีกต่อไป”
เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงดังจากพันไพร เขาคงรู้ดีว่าเรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิด
“แต่แล้ว ผมก็รู้ ว่ารอยยิ้มของเธอซ่อนน้ำตาไว้ภายใน ผมรู้ว่าเธอคงเข้าใจถึงความกดดันและความเศร้าของผม โอ ชาดาริกาเอย เจ้าจักโศกในเรื่องที่มิใช่เรื่องของตนเช่นนี้เสมอ
เธอเศร้าใจต่อชะตากรรมของผม ผู้ที่ใกล้ชิดเธอ บอกกล่าวกับผมอีกทีว่าเธอร้องไห้ตลอดทั้งคืน
ผมรู้ ...ผมรู้... ความจริงผมไม่ควรจะบอกเธอ ไม่ควรใช้เธอเป็นที่ปลดเปลื้องความกดดัน
ผมใช้ข้ออ้างของความเป็นเพื่อนเพื่อความเห็นแก่ตัว ยัดเยียดสิ่งที่เธอไม่ต้องการรู้
..ให้เธอรู้”
พันไพรยังคงนิ่งเงียบรอฟังต่อ ผมก้มหน้านิ่งก่อนบอกเล่าจุดหักเหสุดท้าย
“จากนั้นเราไม่เหมือนเดิม และไม่มีวันจะเหมือนเดิม ไพรรู้มั้ย เธอบอกกับผมว่า มือของเราสองคน คงไม่ได้สัมผัสกันตรงที่เดิมแล้วล่ะนัส
ผมไม่รู้ว่าใครเปลี่ยนไปเพราะอะไร ผมพยายามบอกว่าตนเองเหมือนเดิม
แต่ไม่รู้จริง ๆ ผมอาจจะทำอะไรผิดพลาดไปสักอย่าง
แล้ววันหนึ่ง เราทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย แล้วเธอก็บอกผมว่า ‘ไปให้พ้น อย่ามายุ่ง’
อาจจะดูเหมือนถ้อยคำเล็กน้อย แต่ผมเจ็บปวด ตอนนั้นผมกำลังอ่อนแอ ผมถูกปัญหาหลายอย่างรุมเร้า
และหนึ่งในหลายคนที่ผมรักที่สุด โกรธผม เธอไล่ให้ผมไปให้พ้น
ผมเชื่อ ว่าถ้าผมทนฟังต่อ ถ้าผมถูกทำร้ายอีกครั้ง ผมคงต้องสลายเป็นผุยผง
ผมจึงเลือกที่จะเดินเป็นฝ่ายจากมา
ผมไม่ได้บอกลา ผมหายไปเฉย ๆ ผมหวังว่าเธอคงจะคิดไปว่าที่ได้พบเจอผมน่ะเป็นเพียงความฝันชั่วข้ามคืน
ในคืนนั้น ตอนตีสอง ผมเดินกลับที่พัก เดินแบบหุ่นไขลาน ไม่มีความรู้สึกอะไร มันโหวงไปหมด
เหมือนกับไม่เหลืออะไรสำคัญแล้วในชีวิต ผมชาไปหมด ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป
ผมไม่ได้ร้องไห้ ดวงตาผมแห้งเหือดจากการร้องไห้เมื่อเช้าแล้ว ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ผมมีอยู่เรียกว่าความเศร้าหรือเปล่า
เพราะถ้าเป็นความเศร้าจริง เป็นความเศร้าที่ผมคุ้นเคยดี ผมควรจะมีความสุขมากกว่านี้สินะ ผมควรจะมีแรงใจที่ถูกส่งมาจากความเศร้าสหายเก่ามากกว่านี้สินะ ฮะ ฮะ ฮะ”
เสียงหัวเราะแหบ ๆ ของผมกลับทำให้พันไพรสีหน้าไม่ดีเข้าไปใหญ่ แต่เขายังคงทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี นิ่งเงียบรอฟังเรื่องของผมอยู่
“แล้วในที่สุด จดหมายอีกฉบับก็ถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทของผมอีกคน คนที่ผมไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะถูกนำเข้ามาพัวพันด้วย
เขาคนนั้น เป็นเพื่อนสนิทของผมในช่วงมหาลัย ผมจำไม่ได้หรอกนะว่าผมรู้จักกับเขาได้อย่างไร
แต่ผมจำได้ ว่าเขานับว่าเป็นคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเพื่อนแท้ เขาเป็นห่วงผมในหลาย ๆ เรื่อง แต่เขาไม่เข้าใจผม
หลายครั้งที่เขาเคยตะโกนใส่หน้าผมว่า ใครมันจะไปเข้าใจแก ก็แกเล่นบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก ซะทุกครั้ง แล้วจะมีใครรู้ความรู้สึกของแกมั้ยล่ะ
แต่ผมไม่โกรธเขาหรอกนะ ผมไม่เคยน้อยใจเขาเลย ผมเพียงแค่รู้ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่ยืนข้างผม ไม่ว่ากรณีใด ๆ อยู่ ก็เพียงแล้ว
ในที่สุด เขาก็บอกว่าผมเปลี่ยนไปเช่นกัน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เลย ผมไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ผมฝืนทนดำรงอยู่ในรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ตัวตนของผมเองได้ ผมไม่อาจเป็นคนดี ผมไม่อาจเป็นคนรับผิดชอบ ผมไม่อาจเป็นคนที่มีความเสียสละ และผมไม่อาจเป็นคนที่รักษาน้ำใจของใครไว้ได้อีกเช่นกัน
ผมรู้...ว่าผมจะยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงในเรื่องที่เขาทำอะไรไม่ได้ ผมรู้ว่าผมจะยิ่งทำร้ายจิตใจของเขา ผมเลยเลือกที่จะเดินจากมา
ผมทำผิดหรือเปล่าที่ผลักไสความปรารถนาดีของผู้อื่นแล้วตอบแทนมันด้วยความเย็นชา ดื้อดึง
ผมผิดมั้ยที่เลือกที่จะหันหลังให้แก่เพื่อนของผมเอง ...
ผมคงจะผิดไป แต่ในใจลึก ๆ เขาเองก็ยังเป็นคนสำคัญคนหนึ่งสำหรับผมเสมอ
และเธอ..อีกคนหนึ่งก็รู้ดีถึงข้อนี้”
“ ลองพูดใหม่สิ...
คุณน่ะนะ มีความสำคัญกับนัสมากนะ รู้ตัวมั้ย ?
เป็นความจริงหนึ่งที่ผมไม่อยากให้เธอเปิดเผยแก่เขา ผมไม่อยากให้เขามองผมเป็นคนอ่อนแอ
ผมไม่อยากให้เขารู้ว่า ผมเองเป็นที่เสียใจที่สุดเมื่อหันหลังให้แก่เขา
แต่คุณเป็นเพื่อนเค้า คบมานานแค่ไหน
ยังไม่รู้จักเพื่อนตัวเองอีกหรือ ?
น่าเสียดาย ว่าเธอไม่รู้ความจริงอีกข้อ ว่าเธอเป็นเพียงผู้เดียวในโลก ที่ผมเคยยอมวางทั้งหมดลงในมือคู่บอบบางนั้น เธอจึงถามเขาเช่นนี้
ไพรก็คงจะเข้าใจได้ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เมื่อสองคนที่รู้จักผมในต่างมุม กลับมาปะทะกัน
มันย่อมจบลงด้วยความไม่เข้าใจและเสียใจ...
สุดท้าย เขาพยายามถามเธอ ว่าที่แท้แล้ว ผมมีความรู้สึก มีความลับความคิดอะไรบ้าง
เขาพยายามจะทำความเข้าใจผม แต่เธอยืนกรานให้มาถามผมเอง
เธอคงโมโหมาก จึงผละไปจากการสนทนานั้นในทันทีที่กล่าวจบ...”
“เขาส่งจดหมายมา ?”
“ใช่ เขาส่งมันมา เขาบันทึกถึงสิ่งที่เขาและเธอโต้เถียงกันไว้ให้ผมอ่าน แล้วในที่สุด เขาก็ถามผมด้วยคำถามเดิม ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ? ผมมีปัญหาอะไร ? ผมรู้สึกอย่างไร ? ทำไมผมและเธอคนนั้นถึงมีปัญหากัน ?”
“ผมตอบทั้งหมด ...ทุกคำถาม ด้วยคำเพียงประโยคเดียว ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง
งั้นมันก็จริงสินะ ที่ว่าผมโกหกทุกครั้ง ผมไม่ควร ไม่ควรเลยจริง ๆ ที่จะลากคนอื่นเข้ามาพัวพันกับวังวนแห่งความเศร้าของตน
ผมควรจะทำอย่างไรดีไพร”
พันไพรรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาเช็ดข้างแก้มผม
“เช็ดน้ำตาก่อนนัส เข้มแข็งไว้ ผมยังอยู่ข้าง ๆ คุณ”
ผมพยายามกลั้นสะอื้น เพราะบางคนในโต๊ะรอบ ๆ เริ่มหันมามองชายหนุ่มผู้นองไปด้วยน้ำตาแล้ว
ผมนั่งนิ่งปล่อยให้เขาทำความสะอาดรอบดวงตาให้
“ผมคงช่วยตัดสินใจไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าผมไม่รู้จักทั้งสองคน
สิ่งที่ผมทำได้ มีเพียงแค่ภาวนาให้นัสเลือกทางที่ถูกต้อง ทางที่จะทำให้นัสมีความสุขที่สุด
และผมจะยืนเคียงข้างเป็นกำลังใจให้ ยืนอยู่บนเส้นทางสายเดียวที่นัสเลือกเสมอ”
“ขอบคุณมากครับ
เอาล่ะ จุดที่ตลกที่สุดของเรื่องนี้
ตลกมาก ๆ ผมไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย แต่มันชาไปหมด เหมือนกับหัวใจไร้ความรู้สึก
ไม่เจ็บ ไม่ปวดร้าว... มีเพียงความรู้สึกว่างเปล่าที่ยังคงหลงเหลือ
แต่น่าแปลก จนบัดนี้ผมยังไม่สามรถหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาได้ คงจะเป็นน้ำตาแห่งความสุขน่ะสินะ ฮ่ะฮะฮะ”
พันไพรมองผมด้วยความสงสาร ทว่าผมไม่ต้องการความสงสาร ผมจึงเลือกที่จะหลบสายตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
“นัสเคยได้ยินเพลงนี้มั้ย
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue”
ผมส่ายศีรษะเบา ๆ เมื่อได้ยินพันไพรฮัมทำนองเพลงที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงร้องเพลงฉบับเต็มให้ผมฟัง
ผู้คนในร้านอาหารต่างพากันจ้องมองพวกเราราวกับตัวประหลาด แต่พันไพรไม่สน เขาลุกขึ้นยืนร้องเพลงด้วยเสียงนุ่มของเขา
I feel your pain
I feel the rain
What happened to you
I can't get to you
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
I know your soul
I know I'm home
Just come here to me
I'll let you run through me
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
We'll break down all the troubles we have found
And I'll find a way to mend your broken pieces
We'll hold hands and be friends
Until the end and our love will be forever
But there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
[/b]
“จะให้ผม เป็นคนทำลายกำแพงของจิตใจของนัสได้หรือเปล่าครับ
ยื่นมือมาให้ผมได้มั้ย ให้ผมช่วยดึงนัสขึ้นมา ไว้ใจผมได้มั้ยครับ...”
น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นเมื่อครู่ พลันพรูประดังออกมาอีกครั้ง เราทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน ตราบกระทั่ง...
ผมยื่นมือออกไป
ยื่นมือข้างนั้นลงไปวางลงบนมือของพันไพรที่ยื่นรอไว้อยู่
เรายังคงสบตากัน แต่ไม่มีถ้อยคำใด ๆ ที่ต้องสื่อถึงกันแล้ว
พันไพรพลันฉุดผมดึงเข้าสู่อ้อมกอดของเขา และกอดผมไว้อย่างนั้น
หลาย ๆ คนอาจจะมองด้วยสายตาที่ไม่สู้ดี แต่เสียงปรบมือนำขึ้นมาหนึ่งเสียง แล้วก็มีเสียงปรบมือดังเซ็งแซ่รอบ ๆ ตัว ราวกับจะยืนยันความรักระหว่างเราสองคน...
ผมทั้งอาย และตื้นตัน ทว่ารู้สึกได้ ถึงแสงสว่างที่เล็ดลอดมาระหว่างกำแพง แสงนั้นส่งความอบอุ่นมาสู่หัวใจของผม ผมพริ้มตาในอ้อมกอดของพันไพร นับต่อแต่นี้ไป ... นับต่อแต่นี้ไป
ไม่รู้สิ ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ...
christiyaturnm : พี่น้องท้องชนหลัง อิอิ แต่ผมว่านัสเป็นคนเย็นชามากกว่าอบอุ่นนะเนี่ย
iamtoey : ง่า ยังไม่ได้ถามเลยครับ เดี๋ยวไปถาม ฮ่าๆๆ
Tifa : กล้าหาญชาญสมรมาก ๆ ครับ ช่วงนั้นเป็นเด็กเลว ฮ่าๆๆ
cj : จะสลับกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตในบทหน้าครับ
mackerel : แอร๊ยยยย กรี๊ดดดดด << ออกอาการแล้ว
nartch : ขอบคุณมากครับ ดีใจมากเลยที่คุณชอบ ^ ^