(ต่อ)
เปลือกตาอันหนักอึ้งเปิดปรือขึ้นช้าๆ เบื้องหน้าเปมทัตคือเพดานสีขาว กลิ่นสะอาดของโรงพยาบาลฉุนกึกจนแสบจมูก แผลตรงสะบักฝั่งขวาเจ็บแปลบจนพ่อครัวต้องนิ่วหน้า
เปรมมองออกไปนอกหน้าต่าง พระจันทร์บนท้องฟ้าสีดำสนิทบอกให้รู้ว่าเขาตื่นขึ้นมากลางดึก เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนตัวเองฝันถึงอะไรบางอย่าง...ทว่ากลับนึกไม่ออก
แต่เอาเถอะ อย่างน้อยที่ยังตื่นขึ้นมาดูพระจันทร์ได้แบบนี้ก็แสดงว่ายมทูตคงไม่ได้พิศวาสอะไรเขามากนัก
เปมทัตขยับหมายพลิกตัว ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงกดทับจากด้านซ้าย
“หึ...”
ดวงตาสีนิลจับจ้องเสี้ยวหน้าหล่อเหลาซึ่งหันมาทางเขา เท็นฟุบหลับเฝ้าคนป่วยอยู่ข้างเตียง พ่อครัวมองอีกฝ่ายที่กุมมือของเขาไว้หลวมๆ แล้วจุดยิ้มออกมา
เปมทัตไล้แก้มสีซีดนั่นเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู
“อือ...” ว่าที่คุณหมอลืมตาปริบ ดวงตายาวรีเปิดปรือจับจ้องพ่อครัวคล้ายยังไม่ตื่นดี ทว่าพอได้สบตากัน ทศทิศก็ตื่นเต็มตา ร้องว่า “กุ๊ก!”
เปรมชะงักเมื่อเห็นหยาดน้ำใสไหลลงจากดวงตายาวรีคู่นั้น พ่อครัวหัวเราะเบาๆ เขายกมือลูบหัวอีกฝ่าย หยอกว่า “ร้องไห้ตอนเห็นฉันฟื้นนี่หมายความว่าไงหืม?”
“กุ๊ก...ฮึก...” เท็นร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ “กุ๊กตื่นแล้ว...ฮือ หลับไปตั้งสองวัน...”
“เด็กดี...” เปรมพูดคล้ายฮัมเพลง เส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายนิ่มมือจนทำให้นึกถึงลูกสุนัขตัวใหญ่ “ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว” นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มสีซีดให้อย่างอ่อนโยน
ตอนนั้นเองที่ร่างสูงชะโงกหน้าเข้ามา
จุ๊บ...ริมฝีปากเหยียดตรงทาบทับลงกลีบปากพ่อครัวอย่างแผ่วเบา เท็นผละออกก่อนจะกดจมูกเข้าข้างแก้มที่เริ่มขึ้นสีเรื่อของคนป่วยอย่างออดอ้อน เปรมสะดุ้งยามอีกฝ่ายล้วงเข้าใต้เสื้อ ร้องอึกอัก
“ทะ...เท็น...”
มือคู่นั้นสัมผัสเขาอย่างทะนุถนอมจนพ่อครัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ เปมทัตหลับตาปี๋ ครางฮือในลำคอยามอีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามากวาดต้อนภายในโพรงปาก
“อื้อ...” มือหนาปลดเชือกเสื้อผู้ป่วยของเปรมอย่างแช่มช้า ตอนนั้นเองที่ทศทิศยกตัวเขาขึ้น
“โอ๊ย!” พ่อครัวร้องลั่น เพราะแรงขยับทำให้แผลตึง เปมทัตน้ำตาเล็ด ร้องเสียงแผ่ว “แผล เจ็บ...”
“...ขอโทษ” ร่างสูงผละออกด้วยแววตารู้สึกผิด ลืมไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บอยู่ ทศทิศมองคนตัวเล็กนอนโอดครวญแล้วคอตก ดวงตายาวรีหม่นแสงจนเกือบไร้แวว
“เราต้องอดทนเหรอ...”
เปมทัตแก้มร้อน เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เขาเบือนหน้าหนีพลางตอบตะกุกตะกัก “คะ...คงงั้นมั้ง...”
“...” เท็นมองพ่อครัวตาละห้อย
เปรมหลับตาอย่างข่มอารมณ์ ตัดสินใจหันกลับมา ร้องว่า “...รอฉันหายก่อนสิ!”
พลันดวงตายาวรีคู่นั้นก็เกิดประกาย สุดท้ายเปมทัตก็ถูกคนตัวใหญ่ยื่นหน้าเข้ามาฉกชิมความหวานจากริมฝีปากไปอีกหลายรอบในคืนนั้น
ห้องพักผู้ป่วยในตอนเช้าเต็มไปด้วยความคึกคัก แว่วเสียงโทรทัศน์และเสียงพูดคุยดังมาให้ได้ยิน เปมทัตขมวดคิ้ว เขาลืมตาขึ้นช้าๆ
“ไอ้เปรมตื่นแล้ว!”
โชร้องลั่นก่อนจะพรวดเข้ามาเกาะข้างเตียงกับไดนาไมต์คนละฝั่ง ฝ่ายหลังแทบตะโกน “ไอ้เปร๊มมมม! โอ๊ยยยย มึงจำกูได้ใช่ไหม นี่ใครๆ กูเป็นใครเปรม?”
“เปรมๆ นี่น้องโชเอง!” เด็กประมงร้องทั้งน้ำตา เด็กหนุ่มผมสีชมพูชูสองนิ้วโบกผ่านหน้าคนป่วยรัวๆ “มึงมองเห็นไหม? ตาบอดรึเปล่า นี่กี่นิ้วเปรม?”
“ไอ้เปรมกูอยู่นี่!” เสียงโชดังมาจากด้านซ้าย
“พูดอะไรบ้างสิ! อย่าเย็นชากับกูแบบนี้!” ไดนาไมต์ฟูมฟายอยู่ทางขวา
“...”
เปรมมองทั้งคู่หลับหูหลับตาร้องห่มร้องไห้ด้วยแววตาว่างเปล่า ตอนนั้นเองที่สามสียื่นจานใส่แอปเปิลซึ่งปอกเป็นรูปกระต่ายมาให้ บอกว่า “แม่กูฝากมาให้”
“ขอบใจ” เปมทัตเสียงแห้ง เด็กหนุ่มตัวสูงจึงส่งแก้วน้ำดื่มให้เขา
“ไง พระเอกซีรีส์” ไฟเพิ่งกลับมาจากคุยโทรศัพท์ด้านนอก สัพยอกหน้าตาย “เอาตัวไปบังกระสุนปืนแทนนางเอกงี้ แหม พ่อเต้าหมิงซื่อ”
“ซันไช่ร้องไห้หนักมากกูบอกเลย” โชทำหน้าเหนื่อยยามคิดถึงสภาพเท็นตอนอยู่หน้าห้องผ่าตัด
เปรมหลุดหัวเราะเมื่อนึกภาพออก เขามองไปรอบๆ ในห้องพักตอนนี้มีเพียงพวกเขาห้าคนเท่านั้น ก่อนสามสีจะพูดว่า “เออไอ้เปรมโทรหาแม่มึงด้วย วันก่อนกูโทรไปบอกว่ามึงโดนยิง แม่มึงตกใจใหญ่เลย”
“อา เดี๋ยวกูโทรกลับ” เปรมผงกหัว พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ ทุกเดือนทั้งคู่จะคอยโอนค่าใช้จ่ายเข้าบัญชีให้ นานๆ ทีถึงได้กลับมาเจอกัน
พ่อครัวถามว่า “แล้วคนอื่นไปไหน?”
“วันนี้ไอ้เท็นกับไอ้เมมีสอบ ส่วนออกัสเคลียร์เอกสารให้หมอแปดอยู่ บอกเสร็จเมื่อไหร่เดี๋ยวตามมา” ไฟบอก เปมทัตรับรู้ เปล่งเสียงอีกทีว่า
“ไอ้เอื้อล่ะ?”
“ติดต่อไม่ได้” อันนี้สามสีเป็นคนตอบ ทั้งห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนชลันธรจะโพล่งขึ้น “แล้วมึงเป็นไงบ้างไอ้เปรม นอนยาวไปสองคืน ไอ้เหี้ย กูนี่ไม่เป็นอันทำอะไรเลย”
พ่อครัวมองอย่างซาบซึ้ง “มึงคงเป็นห่วงกูมาก...”
“เปล่ากูนอน ว่างฉิบหาย ไม่มีคนเล่นด้วย” โชบอกหน้ายุ่ง เปรมยิ้มค้างชูนิ้วกลางให้ “อ๋อเหรอจ๊ะ”
“แต่มึงลุกได้แบบนี้ก็ดีแล้ว อีกสองอาทิตย์สอบ” สามสีนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อไดนาไมต์เดินมานั่งตัก เด็กหนุ่มผมสีชมพูตาเป็นประกาย ร้องว่า
“มึงสอบเสร็จเที่ยวกัน!”
“นัดวันมาเลยดีกว่า” ไฟยิ้มสนุก
สามสีเลิกคิ้ว “ทะเลเป็นไง?”
“เอาๆ!” โชยกมือ ชื่นชอบกิจกรรมทางน้ำเป็นที่สุด
พ่อครัวยังไงก็ได้ เลยถามว่า “ใครไปบ้าง?”
“ติดต่อไอ้เอื้อไม่ได้แบบนี้ ก็คงเป็นเราเจ็ดคนเหมือนเดิม” สามสีตอบ หมอยาทำหน้าตื่นเต้น “ไปชลบุรีกันมึง เขาว่าน้ำสวยแล้ว อยากเห็น”
“เออดี กูอยากกินไส้กรอกซีพีของเซเว่นแถววงเวียนโลมาด้วย” ไดนาไมต์บอก เด็กหนุ่มตัวสูงหรี่ตา “แหม ไปไกลเนาะ”
“เฮ้ยมันอร่อยกว่าในกรุงเทพนะมึง กูเคยกิน” เด็กหนุ่มผมสีชมพูตาโต เปมทัตหัวเราะ ก่อนจะชะงักไปจังหวะหนึ่ง ตัดสินใจถามว่า
“แล้วเชอร์รี่ล่ะ?”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ดวงตาของไดนาไมต์หม่นแสงไปแวบหนึ่ง ตอบว่า “ศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตน่ะ”
“งั้นเหรอ...” พ่อครัวหน้าเศร้า
“เออ ไหนๆ ก็พูดแล้วกูถามเลยละกัน” ตอนนั้นเองที่โชโพล่งขึ้น “ตกลงวิดีโอนั่นใครเป็นคนเปิดวะ?”
ไฟผงกหัว ตอบว่า “ถามมาแล้วล่ะ เห็นว่ามีสตาฟฝึกงานคนหนึ่งเข้าไปตกลงกับทีมงานควบคุมไฟ ติดตั้งเครื่องฉาย จากนั้นก็เปิดวิดีโอเองเลย”
“แล้วเขามีคลิปได้ยังไง?” เปรมขมวดคิ้ว หมอยาไหวไหล่ “ใครจะรู้ จนถึงตอนนี้กูยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสตาฟคนนั้นเป็นใคร หมอนั่นทำงานเร็วมาก แถมยังไร้ร่องรอยราวกับมืออาชีพ”
“แต่ยังไงงานนี้ก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ” สามสีพูดขึ้นมา ไดนาไมต์ถอนหายใจ “อา พวกเราตอนนั้นก็ตกที่นั่งลำบากกันหมด ถ้าไม่ได้หมอนั่นช่วยไว้คงแย่น่าดู”
“ฝีมือใครกันนะ...” เปมทัตทอดมองออกไป
สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบกลับมา
ย้อนกลับไปวันแต่งงานภายในโบสถ์อาสนวิหารระหว่างพิธีจุดเทียน เอื้ออังกูรนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวหลังสุด ดวงตาปิศาจเลื่อนลอยอย่างผิดวิสัย เขาโยนแฟลชไดรฟ์ในมือเล่นอย่างใช้ความคิด
กานต์พาเมธาออกไปได้พักใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลขมวดคิ้วคล้ายรู้สึกสับสน จนสุดท้ายเขาก็คิดออก วิธีเดียวที่จะหาคำตอบได้คือตามอีกฝ่ายไป
ไม่รอช้า...ร่างสูงลุกพรวดออกมาจากโบสถ์ทันที
เอื้ออังกูรหยุดเท้าลงหน้าปอร์เช่สีขาว ดวงตาจับจ้องกล่องเหล็กบนเบาะข้างคนขับอย่างชั่งใจ อุปกรณ์ซึ่งเขาจะใช้เปิดโปงนางแบบสาวที่โรงแรมทั้งหมดอยู่ในนั้น
“...”
ประจวบเหมาะกับใครบางคนเดินผ่านมาพอดี เอื้ออังกูรมองเสื้ออีกฝ่าย จำได้ว่าเป็นเสื้อทีมของสตาฟฝ่ายออแกไนซ์งานแต่งในครั้งนี้
ปิศาจร้ายเหยียดยิ้มเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก ร้องว่า
“นาย!”
“...ครับ?” เด็กหนุ่มตัวเล็กดวงตาเหมือนแฮมสเตอร์หันมาตามเสียง เอื้ออังกูรกวักมือเรียก
“มานี่”
“มะ มีอะไรเหรอครับ?” สตาฟร่างเล็กวิ่งมาหน้าตื่นๆ ดวงตาปิศาจหลังแว่นกันแดดราคาแพงลอบสำรวจอีกคนตั้งแต่หัวจรดเท้า ถามว่า “มีบัตรห้อยคอแบบนั้น นายเป็นสตาฟฝึกงานสินะ?”
“ใช่ครับ”
“หน้าตาน่ารักดีนี่” เอื้ออังกูรยืนล้วงกระเป๋าสูทด้วยท่าทีสบายๆ แฟลชไดรฟ์บรรจุคลิปนางแบบสาวยังคงนอนอยู่ในนั้น “มาทำงานพิเศษเหรอ?”
“เอ่อ...ครับ” เด็กหนุ่มหน้าอ่อนกระพริบตา ร่างสูงผงกหัวรับรู้ “แล้วนี่จะไปไหน?”
“งานส่วนของผมเสร็จแล้ว กำลังจะไปรับค่าแรงแล้วกลับมหาลัยครับ” คนตัวเล็กตอบเสียงค่อย เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลครางรับในลำคอ “อยู่มหาลัยอะไรล่ะ?”
เอื้ออังกูรเลิกคิ้ว แปลกใจนิดหน่อยเมื่อได้รับคำตอบว่าอีกฝ่ายอยู่มหาลัยเดียวกับตัวเอง ปีหนึ่งเหมือนกันเสียด้วย อดถามไม่ได้ว่า “เรียนคณะอะไร?”
“คณะเกษตรครับ” สตาฟหน้าอ่อนตอบยิ้มๆ
“แบบนี้นี่เอง ฉันก็มีเพื่อนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน” เอื้ออังกูรหันไปเปิดประตูรถ ก่อนจะพูดว่า “ช่วยอะไรหน่อยสิ”
“เอ๊ะ?” คนตัวเล็กร้อง เป็นจังหวะที่ร่างสูงหยิบกล่องเหล็กด้านในออกมา เขายื่นมันให้สตาฟฝึกงานพร้อมแฟลชไดรฟ์ อธิบายเสียงทุ้ม
“ในกล่องเหล็กมีเครื่องฉายภาพกับโน้ตบุ๊กเครื่องเล็ก เมื่อเจ้าสาวเดินมาหยุดหน้าเจ้าบ่าวให้นายดับไฟแล้วฉายวิดีโอในแฟลตไดรฟ์อันนี้ซะ เข้าใจไหม?”
“เอ่อ...เดี๋ยวนะครับ คุณเป็นใคร?” ดวงตาแฮมสเตอร์คู่นั้นฉายแววระแวง
“ฉันเป็นเลขาของหมอแปด”
เอื้ออังกูรยิ้มร้าย ยื่นนามบัตรที่เขาได้มาจากเลขาลูกครึ่งตอนเอาดอกไม้ไปแสดงความยินดีกับหมอแปดเมื่อตอนเย็นให้ด้วยท่าทางลื่นไหล
สตาฟตัวเล็กรับนามบัตรไปดู ใบหน้าอ่อนใสคลายความแคลงใจลงอย่างเห็นได้ชัด
“หมอแปดต้องการเซอร์ไพรส์เจ้าสาวน่ะ ช่วยหน่อยนะ” ร่างสูงตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เสริมว่า
“เสร็จงานแล้วเอาอุปกรณ์ใส่กล่องไปเก็บในโรงแรมที่ใช้จัดงานตอนค่ำ และมันเป็นเซอร์ไพรส์เพราะงั้นอย่าให้ใครรู้ได้ว่านายเป็นคนทำ เข้าใจไหม?”
“ทราบแล้วครับ” สตาฟหน้าอ่อนรับคำ เอื้ออังกูรยกยิ้มถูกใจ “เข้าใจอะไรง่ายดี”
ในจังหวะที่คนตัวเล็กหันหลังให้ ร่างใหญ่ก็ร้องอย่างนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวก่อน”
“ครับ?” อีกฝ่ายหันมา เอื้ออังกูรเอี้ยวตัวไปเปิดที่เก็บของหน้ารถ หยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้วส่งให้ “ค่าจ้างของนาย เอาไปสิ”
มือขาวรับมาถือ ก่อนจะเบิกตาโพล่ง “นี่มัน...”
“บัตรกำนันพักโรงแรมสุดหรูริมทะเลแถวพัทยาฟรีสองคืนแบบจำกัดสิทธิ์แค่สองท่าน ที่นั่นบรรยากาศดีนะ รีบใช้ก่อนบัตรจะหมดอายุก็แล้วกัน” เอื้ออังกูรบอกอย่างไม่ยี่หระ โรงแรมนั้นเป็นหนึ่งในเครือของธุรกิจของบ้านเขา
คนตัวเล็กลอบกลืนน้ำลาย รีบยื่นคืนมือสั่น “พะ แพงขนาดนี้ ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ...”
“ง้องแง้งน่า รับค่าจ้างแล้วก็ไปทำงานซะ ฉันมีธุระต่อ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลตัดบท เขาก้าวเข้าไปนั่งบนเบาะคนขับแล้วปิดประตูรถ ก่อนจะเลื่อนกระจกลงถามว่า “ชื่ออะไรล่ะเรา?”
“เอ่อ ผมชื่อ...”
พลันเอื้ออังกูรก็ยกมือห้าม
“เสียเวลา หัวนายเป็นแบบนั้นฉันเรียกว่า ‘นายหัวหลิม’ ก็แล้วกัน” สิ้นคำก็ยกยิ้มร้ายแล้วขับรถออกไป ทิ้งสตาฟตัวเล็กให้ยืนโวยวายอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง
“ผมไม่ได้ชื่อหัวหลิมสักหน่อย!”****************************************************** *
สวัสดีค่าาาา า

หายไปเกือบสองอาทิตย์อีกแล้ว เขินจน 555555555 5
จบปมชาร์ลอตต์แล้วค่ะ ฮุเร่ !
ตอนหน้าจะพาพวกตัวแสบไปทะเลแล้ว พักผ่อนบ้าง 55555555 5
จากตอนที่แล้วอีเอื้อคือพลีชีพสุด
ได้รับการพูดถึงแบบอลังการมาก สงสารมันจน 555555 5
ขอบคุณทุกคนที่อ่านและอินกับนิยายเรื่องนี้นะคะ
ทั้งความคิดเห็นที่เป็นบวกและลบ จูนขอรับไว้ด้วยความเต็มใจค่ะ
ส่วนข้อข้องใจทั้งหลายนั้น จูนจะขอตอบผ่านเนื้อเรื่องนะคะ
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะจบแบบไหน นั่นก็คือคำอธิบายและบทสรุปจากจูนค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามและให้กำลังใจนิยายเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ ไม่มีพวกคุณจูนก็คงมาถึงตรงนี้ไม่ได้เลย
ขอให้อ่านนิยายอย่างมีความสุขนะคะ

เจอกันตอนที่ยี่สิบห้าค่าาาาา า