(ต่อ)
ท้องฟ้าเวลาหกโมงเย็นเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ภายในโบสถ์อาสนวิหารเปิดไฟแล้ว พร้อมพิธีจุดเทียนซึ่งสิ้นสุดลงอย่างราบรื่นท่ามกลางสายตาของแขกในงานที่มองเจ้าบ่าวอย่างชื่นชม
หมอแปดสวมสูทสีครีมและรองเท้าหนังสีน้ำตาลยืนอยู่ด้านหน้า ดวงตายาวรีคู่นั้นทอประกายสุขุม เส้นผมสีดำหวีเสยขึ้นล้อมกรอบใบหน้าหล่อเหลาอย่างมีภูมิฐาน
พลันเพลงต้อนรับก็ถูกบรรเลงขึ้น เจ้าของท่วงทำนองคือเด็กหนุ่มตัวเล็กในชุดสูทสีงาช้าง ดวงตาแมวคู่งามหลับพริ้ม พร้อมนิ้วเรียวที่พรมลงบนแป้นคีย์บอร์ดเปียโนอย่างพลิ้วไหว เรื่องราวซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านตัวโน้ตโดยโชนั้นช่างงดงามราวกับภาพวาด
ถึงตรงนี้ขบวนเจ้าสาวก็เริ่มทยอยเดินเข้ามาในโบสถ์ นำโดยเด็กน้อยผู้ถือแหวนหมั้น ตามด้วยกลุ่มเด็กหญิงซึ่งกำลังโปรยดอกไม้ไปด้านข้างให้แขกที่ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม
ที่เก้าอี้ยาวใกล้ๆ นั่นเอง สามสีรู้สึกว่าคู่หูของเขาหายไปนานผิดปกติ
เด็กหนุ่มตัวสูงหันไปมองพ่อครัวกับหมอยาที่ยืนข้างกันอยู่อีกฝั่ง เลยไปยังรอบๆ ด้านใน ขมวดคิ้วเมื่อพบว่าจำนวนลูกน้องชาร์ลอตต์บางตาลงจนน่าผิดสังเกต
ด้วยความสงสัยจึงคิดจะเดินออกไปข้างนอก ตอนนั้นเองที่อะไรบางอย่างกดลงตรงสีข้างของเขา
กึก...
สามสีเหลือบตามอง สีดำเมทาลิคแบบนั้นดูแวบเดียวก็รู้ว่าคืออะไร เขากัดฟันกรอด นึกเจ็บใจที่ตัวเองนั่งเหม่อจนเผลอตัวให้ศัตรูเอาปืนเข้ามาจ่อประชิดตัวได้แบบนี้
“อยู่นิ่งๆ”
ชายฉกรรจ์สั่งพร้อมยื่นมืออีกข้างเข้ามาตบตามตัวเด็กหนุ่ม สามสีพยายามส่งสัญญาณให้เปรมกับไฟที่อยู่เยื้องไปด้านหน้าคนละฝั่ง ทว่าก็ไร้ผล
“หึ” ทหารรับจ้างหัวเราะในลำคอเมื่อล้วงกระเป๋าสูทของอีกฝ่าย ในมือปรากฏแฟลตไดรฟ์ที่เด็กหนุ่มคิดจะใช้เปิดโปงนางแบบสาวที่โรงแรม ก่อนจะขยับจมูกฟุดฟิด “เอ กลิ่นคุ้นๆ นะ...”
ชายฉกรรจ์สบตาเด็กหนุ่มแล้วยกยิ้มเหี้ยมเกรียม “อะฮ้า มึงนี่เองหนูสกปรกในห้องคุณชาร์ลอตต์!”
สามสีนิ่วหน้ายามอีกฝ่ายกดปากกระบอกปืนแรงขึ้นจนเขาเจ็บสีข้าง มันพูดเสียงเย็น “เป็นอย่างที่คุณชาร์ลอตต์พูดจริงๆ ด้วย ในที่สุดเหยื่อก็ติดกับจนได้”
ดวงตาเด็กหนุ่มแข็งกร้าว “หมายความว่ายังไง?”
“คุณชาร์ลอตต์บอกกูว่าเธอวางรูปถ่ายไว้ใต้เตียง แต่ตอนที่กูเข้าไปค้นไม่เห็นมีอยู่ หึ...พวกมึงเก็บไปแล้วล่ะสิท่า” ท้ายประโยคคล้ายเยาะเย้ย สามสีกัดฟันกรอด รูปถ่ายนั่นเป็นกับดักล่อเขาจริงๆ!
ตอนนั้นเองที่ทหารรับจ้างยื่นหน้าเข้ามา กระซิบว่า “ส่วนหนูอีกตัวตอนนี้อยู่ในห้องน้ำสินะ?”
“ว่าไงนะ”
เสียงทุ้มนั้นเย็นเยียบ สามสีจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ชายฉกรรจ์เห็นแล้วแสยะยิ้ม หยอกว่า “หึๆ โดนแมวกินไปแล้วมั้ง?”
“ชิ”
เพียงเท่านั้นสามสีก็อาศัยจังหวะที่คนกำลังสนใจขบวนเจ้าสาวรีบวิ่งออกมานอกโบสถ์ทันที
ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้วทว่าเด็กหนุ่มตัวสูงยังคงสับขาวิ่ง จุดหมายคือห้องน้ำด้านหลังโบสถ์ ตอนนั้นเองที่รอบข้างเกิดเสียงพุ่มไม้ขยับ รู้สึกตัวอีกทีสามสีก็ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าชายฉกรรจ์เสียแล้ว
หนอย...กับดักงั้นเหรอ
“ให้รอซะนานเลยนะ...ไอ้หนู”
หนึ่งในนั้นพูดพลางหักมือกรอบแกรบ สามสีเข้าใจทันที ที่คนด้านในจำนวนบางตาลงเพราะพวกมันออกมารออยู่ข้างนอกกันหมดนี่เอง
“อา โทษทีละกัน” เด็กหนุ่มตั้งสติได้แล้ว เขาจุดยิ้มยียวน ลอบกวาดสายตานับจำนวนอีกฝ่าย
แปดคน...เยอะเอาเรื่องแฮะ
“ปากดีนี่” ชายร่างสันทัดซึ่งยืนอยู่ข้างหลังผิวปากหวือ ตามด้วยอีกคนที่ส่งเสียงขึ้นมาอย่างคึกคะนอง “เดี๋ยวจะดูว่าหลังโดนพวกกูไปแล้วมึงจะยังปากดีแบบนี้ได้อยู่ไหม!”
“ร้อนแรงกันจังนะ” สามสีคลายเนคไทยิ้มๆ เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดว่า
“ออมมือให้หน่อยล่ะ...สูทเค้าแพง”
ท่วงทำนองอ่อนหวานดังก้องไปทั่วสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้บรรเลงบทเพลงยังคงเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กสวมสูทสีงาช้างซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเปียโนหลังใหญ่
ทว่าใบหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก...
จากตรงนี้โชมองเห็นทุกอย่าง เด็กประมงมองเห็นสามสีโดนชายฉกรรจ์ใช้ปืนขู่แต่เขากลับทำอะไรไมได้ ชลันธรพยายามหาจังหวะสบตากับไฟแบบไม่ให้ผิดสังเกต
ตอนนั้นเองที่ทั้งคู่สบตากัน...
โชไม่รอช้า รีบบุ้ยปากไปทางที่นั่งของสามสีทันที
ไฟสบตากับนักเปียโนจำเป็นแล้วขมวดคิ้ว เขาหันคอมองตาม ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อที่ว่างนั้นไร้ร่างเพื่อนตัวสูงอย่างที่ควรจะมี
ถึงตรงนี้เจ้าสาวก็เดินเข้ามาแล้ว แขกทุกคนนั่งลงตามเดิม ไฟกระซิบบอกเปรมที่นั่งข้างกันว่า “มึง...ไอ้สามหาย เดี๋ยวกูออกไปดูข้างนอกแป๊บ...”
กึก!
ตอนนั้นเองที่อะไรบางอย่างจ่อเข้ากลางหลังหมอยา อัคคีชะงักยามได้ยินเสียงแหบห้าวกระซิบ
“อย่าขยับ”
เด็กหนุ่มผมสีแดงหันไปมองหน้าพ่อครัว ฝ่ายหลังขยับตัวเล็กน้อย เผยให้เห็นสีข้างตัวเองที่ถูกลูกน้องชาร์ลอตต์อีกคนเอาปืนจ่อไว้เช่นกัน ไฟกัดฟันกรอด
เสร็จมัน...
ชายฉกรรจ์ยื่นมือมาค้นตัวพวกเขา ไม่นานแฟลตไดรฟ์ที่จะใช้เปิดโปงชาร์ลอตต์ก็ถูกหยิบไปจากทั้งคู่ หมอยาจิ๊ปากอย่างขัดใจ เขาหันไปโวยวายใส่เปรมเสียงกระซิบ
“ไอ้เหี้ย! กูบอกแล้วเห็นไหมว่าเดี๋ยวก็โดนแหกอีก!”
เปรมหน้าเจื่อน ฟังเพื่อนบ่นอีกว่า “แล้วไงทีนี้ ไอ้สามกับไอ้ไดหาย มึงกับกูก็ง่อยแดกแบบนี้ ไอ้โชก็ดีดเปียโนอยู่ตรงโน้น ไอ้เมก็ยังไม่มา...นี่ไม่มาแล้วมั้งเนี่ย!”
“มึงใจเย็นๆ นะ” พ่อครัวพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่อัคคีแทรกว่า
“แผนเราโดนแหกอีกแล้ว! ละนี่ไอ้เอื้อไปไหน...” พลันไฟก็เบิกตาโพล่ง ก่อนจะเปลี่ยนมาทำหน้าสิ้นหวัง พูดเสียงแข็ง “นั่นไง...กูว่าแล้ว ไอ้เหี้ยเอื้อนี่เอง มันรู้แน่ๆ ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ แม่งเลยทิ้งพวกเราไปแล้ว!”
“ไม่หรอก...”
“ไม่หรอกอะไร นี่ไง...ทิ้งกูไว้กลางทางของแท้เลยไอ้เหี้ย!” ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววโกรธขึ้ง ก่อนไฟจะเหลือกตาเปล่งเสียงร้องทื่อๆ แบบประชดว่า “ทำ...ถูก...แล้ว...ที่เธอเลือกเขา...และทิ้ง...ฉันไว้...ตรงกลางทาง...”
“...”
เปรมมองเพื่อนอย่างไม่รู้จะขำหรือสงสารดี ถึงตรงนี้เหมือนหมอยาจะปลงแล้ว พูดว่า “ทำไงทีนี้ แผนพังหมดแล้ว...ก็จบแบบเดิมอะเหรอ?”
ทว่าในเวลาแบบนี้ พ่อครัวก็ยังยิ้มออกมา
“ไม่จบแบบเดิมหรอก...”
ชาร์ลอตต์หยุดลงตรงหน้าหมอแปดที่ยืนรออยู่แล้ว เปมทัตมองภาพนั้น ก่อนจะหันมาสบตากับไฟแล้วพูดว่า
“เพราะครั้งนี้เรามีเอื้ออังกูรไงล่ะ” พรึบ!
สิ้นคำไฟทุกดวงในโบสถ์ดับลง เกิดเสียงฮือฮาจากทั่วสารทิศ ตามด้วยเสียงกุกกักตรงบริเวณแท่นพิธีด้านหน้า ไม่นานนักก็เกิดลำแสงฉายภาพขึ้นปรากฏบนฝาผนังโบสถ์
“นั่นมัน...” หมอยาอ้าปากค้างอย่างนึกอึ้ง
บนฝาผนังโบสถ์ตอนนี้แสดงภาพวิดีโอหลักฐานที่พวกเขาตัดต่อเอาไว้ แขกในงานเริ่มซุบซิบกันวิจารณ์อย่างสนใจ แว่วเสียงใครบางคนสั่งให้ปิดเครื่องฉาย ทว่าก็ไม่นานก็เงียบหายแล้วปล่อยให้วิดีโอเล่นต่อไปแบบนั้น
เปมทัตรู้สึกได้ถึงอาการลนลานจากชายฉกรรจ์ที่นั่งข้างๆ เขาสบตาไฟในความมืด ก่อนจะอาศัยจังหวะนี้ขยับตัวหันไปวาดขาใส่ลูกน้องชาร์ลอตต์เสียงดัง
ปึง! โครม!
เก้าอี้ยาวเอียงล้มกระเท่เร่ตามด้วยแขกในงานที่ลุกพรวด เสียงหนึ่งตะโกน “มีคนตีกัน!” ตามด้วยพวกผู้หญิงที่พร้อมใจกันกรีดร้องแล้วพากันวิ่งออกจากโบสถ์ไป
ภายในโบสถ์เกิดความโกลาหลวุ่นวาย โชเห็นแบบนั้นจึงรีบลงจากแท่นเปียโนมาช่วย ตอนนั้นเองที่วิดีโอเกิดเสียงดัง...
ปัง!
ปัง...
สามสีลืมตาขึ้นช้าๆ หูเหมือนได้ยินเสียงปืนดังมาจากที่ไกลๆ
“อึก...” เด็กหนุ่มนิ่วหน้ายามขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ตะลุมบอนกับชายฉกรรจ์แปดคนตึงมือกว่าที่คิด ดวงตาสีนิลกวาดมอง รอบตัวเขาเต็มไปด้วยร่างไร้สติของเหล่าลูกน้องชาร์ลอตต์
“อะไรเนี่ย...ฉันตื่นก่อนเหรอ”
สามสีบ่นกลั้วหัวเราะพลางลุกขึ้นปัดกางเกง ดูเวลาแล้วเหมือนเขาจะน็อคไปประมาณสิบนาทีได้ เด็กหนุ่มมองด้านในโบสถ์ที่ปิดไฟมืดอย่างแปลกใจ
แต่ก่อนอื่นคงต้องไปหาตัวการที่ทำให้เขาโดนหลอกออกมาเสียก่อน
ใช้เวลาไม่นานสามสีก็มาถึงห้องน้ำหลังโบสถ์อย่างปลอดภัย แว่วเสียงกดชักโครกดังมาให้ได้ยิน ตามด้วยประตูห้องน้ำบานด้านในสุดที่ถูกเปิดออก
“ไอ้สาม?”
สามสีมองคู่หูที่เดินเสียบหูฟังออกมาหน้างงๆ แล้วถอนหายใจ พูดว่า “ไง เพลินเลยสิมึง”
“ดูหนังจบไปเรื่องนึงได้” ไดนาไมต์ถอดหูฟังกลั้วหัวเราะ ใบหน้าของเขากลับมาสดใสเมื่อได้ปลดปล่อย
เด็กหนุ่มตัวสูงมองเพื่อนที่ยังเป็นปกติดีด้วยแววตาเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถามเสียงแผ่ว “ไม่ได้โดนทำอะไรใช่ไหม...”
“เปล่านี่?” ไดนาไมต์เลิกคิ้ว ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นสภาพเพื่อนเต็มตา ร้องว่า “เฮ้ย! นี่มึง...”
ปึก!
ตอนนั้นเองที่ร่างสูงโถมลงมากอดเขาแล้วทรุดฮวบ ไดนาไมต์รวบร่างใหญ่เอาไว้แน่น แทบตะโกนถาม “สาม! มึงเป็นอะไร? ใครทำอะไรมึงเนี่ย สาม...”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เสียงทุ้มนั้นดังอยู่ข้างหู เด็กหนุ่มผมสีชมพูกระพริบตาอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าของเขาฉายแววร้อนรน
“สาม! ตอบกูก่อน! เฮ้ยทำไมมึงเละงี้อะ ใครทำอะไรมึง...” เสียงนั้นสั่นคล้ายจะร้องไห้ สามสียกมือลูบหัวเพื่อนกลั้วหัวเราะ กระซิบว่า
“กูไม่เป็นไร...แค่ตาลายนิดหน่อย พากูเข้าโบสถ์ที”
“ขะ เข้าใจแล้ว!” แม้ยังตามไม่ทันแต่ไดนาไมต์ก็พยักหน้ารับ เขาจับแขนเพื่อนตัวสูงพาดบ่าตัวเอง ก่อนจะออกแรงประคองให้เดินไปด้วยกัน
ไดนาไมต์ประคองสามสีมาหยุดอยู่หน้าประตูโบสถ์ที่มืดสนิท พลันไฟด้านในก็สว่างโร่ พวกเขาปรับสายตาครู่หนึ่ง แล้วภาพเบื้องหน้าก็ปรากฏแก่สายตา
เก้าอี้ยาวด้านในโบสถ์ปราศจากผู้คน บนพื้นมีร่างของลูกน้องชาร์ลอตต์อีกส่วนที่ถูกจัดการจนนอนหมอบกระแตอยู่ เลยไปยังตรงแท่นพิธี บัดนี้เหลือเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว ออกัสและพวกเปรมเท่านั้น รวมทั้งทีมงานออแกไนซ์บางส่วนที่ยังคอยดูลาดเลาจากวงนอกอยู่ประปราย
คู่หูมาทันตอนที่ไฟกำลังพูดกับหญิงสาวว่า
“คุณเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม และวิดีโอเมื่อกี้นี้คือหลักฐาน”
ตามด้วยเปมทัตที่ร้องขึ้น
“คุณต้องการอะไรกันแน่!”
ทุกสายตาพุ่งไปทางชาร์ลอตต์เป็นจุดเดียว เจ้าสาวผมสีทองในชุดแต่งงานสีขาวยืนก้มหน้านิ่ง บรรยากาศในโบสถ์เงียบไปชั่วอึดใจ
ตอนนั้นเองที่หมอแปดพูดว่า
“...”
เมธาลืมตาขึ้นมาด้วยท้ายทอยอันหนักอึ้ง ข้างขมับปวดตุบเพราะไข้หวัด ดวงตาสีนิลหยาดเยิ้มพร้อมแก้มขาวที่ขึ้นสีจัด เนื้อตัวสั่นระริก รู้สึกร่างกายร้อนผ่าวแปลกๆ
เบื้องหน้าเขาคือเพดานห้องสีขาวตกแต่งไฟสีส้ม เด็กหนุ่มหรี่ตาอย่างสู้แสงจ้าไม่ไหว จำได้แล้วว่าหลังขึ้นรถมากับคุณกานต์เพียงครู่เดียวเขาก็หมดสติไป
แกร๊ง!
เสียงประหลาดเรียกครูคณิตตื่นจากภวังค์ เมธาเบิกตากว้าง ขยับแขนทั้งสองข้างอย่างตกใจ
แกร๊งๆ!
“ไง้ ตื่นแล้วเหรอ”
“คุณกานต์!” เมธาหันไปทางต้นเสียง จ้องชายหนุ่มโกรกผมสีทองอย่างตื่นตระหนก “ทะ ทำไมถึงล่ามผมเอาไว้แบบนี้ล่ะครับ”
ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาหา เขาจ้องดวงตาสีนิลที่สั่นระริกนั่นอย่างนึกเอ็นดู กานต์ยกมือแตะแก้มเนียน จุดยิ้มพอใจเมื่อเห็นอาการขัดขืนนิดๆ จากอีกฝ่าย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มสบายหู
“เพราะเธอต้องเป็นของฉันไงล่ะ”
เมธาขมวดคิ้วคล้ายตามไม่ทัน พลันอาการปวดหัวก็จู่โจมจนต้องนิ่วหน้า ถามเสียงแหบ “คุณกานต์พูดอะไร...ปล่อยผม...อ๊ะ!”
“ฉันมีคำถาม ตอบมาตามจริง”
ตอนนั้นเองที่คนตัวสูงล็อคคางเล็กไว้แน่น ดวงตาลูกคนจีนทอประกายเย็นชา ใบหน้านั้นมืดดำไปครึ่งซีก เสียงทุ้มดังยะเยือก
“เธอเคยอ้าขาให้ไอ้เอื้อหรือยัง?”
เมธาเบิกตากว้าง ร่างกายร้อนผ่าวยามได้ยินชื่อของชายหนุ่มผมสีน้ำตาล ดวงตาสีนิลทอประกายกร้าว “คนสกปรก! โอ๊ย!”
คนตัวเล็กร้องออกมาเมื่อมือหนาเพิ่มน้ำหนักมือ เจ็บจนน้ำตาเล็ด กานต์ชายตามองเหยื่อตัวน้อยอย่างโหดเหี้ยมราวกับเป็นคนละคนที่เห็นในตอนแรก
“ฉันถามก็ตอบมาซะ” เขาชูมีดพกเล่มเล็กขึ้นในระดับสายตาครูคณิต ประกายของมันล้อแสงไฟอย่างน่าหวาดเสียว “แค่อยากรู้เท่านั้นแหละว่าเคยไหม เร็วๆ!”
เมธาสะดุ้งยามใบมีดแนบกับใบหน้า ดวงตาสีนิลไหววูบ “ผม...”
“...”
“ทำไมผมต้องบอกคุณด้วย!”
เพียะ!
เด็กหนุ่มถูกตบจนหน้าหัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั้งปาก กานต์เหยียดยิ้ม บีบคางอีกฝ่ายให้หันมาเผชิญหน้าอีกครั้ง พูดเสียงลอดไรฟัน “อย่าวอนให้มากนัก เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ใช่คนใจดี”
“อึก”
“ฉันจะถามอีกครั้ง...”
“...”
“เธอเคยอ้าขาให้เอื้อมันรึยัง?”
เมธาพยายามคายเลือดออกจากปาก น้ำตารื้นอย่างหวาดกลัว “มะ ไม่...”
“...”
“ฮึก ไม่เคย...”
“ก็แค่นั้นแหละ” กานต์สะบัดร่างเล็กทิ้งอย่างไม่ใยดี เมธาครางแผ่วยามโซ่เหล็กบาดข้อมือจนเลือดซิบ พยายามร้องอ้อนวอน “ปละ ปล่อยผมไปเถอะครับ”
“โง่น่า คิดว่าฉันจีบเธอไปเพื่ออะไรกัน” หนุ่มหน้าตี๋แสยะยิ้ม เมธาตัวสั่นอย่างหวาดกลัว สะดุ้งยามอีกฝ่ายพลิกตัวมาขึ้นคร่อม ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาแทบชิด
“รู้ตัวไหมเนี่ยว่าถูกหลอกมาน่ะ?” น้ำคำนั้นดูแคลนอย่างชัดเจน เมธาเบิกตากว้าง หรือว่า...
“แหม ต้องขอบคุณเอื้อเพื่อนรักเลยนะเนี่ยที่กรุยทางให้ เรื่องง่ายขึ้นเยอะเลย” กานต์ยิ้มเยาะ ครูคณิตพยายามก้มหน้าหลบตา เขาไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น ก่อนจะถูกกระชากผมจนหน้าแหงน
กานต์ตกใจไม่น้อยที่เห็นหยาดน้ำใสไหลออกจากดวงตาสีนิลคู่สวยนั้น ครูคณิตเม้มริมฝีปากแน่น ดูท่าคงพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้น่าดู
เสือร้ายแสยะยิ้ม จุ๊ปากพูดว่า “แต่เอาจริงๆ เธอก็น่ารักตรงสเปคฉันเลยนะ เอาล่ะนี่เป็นกรณีพิเศษ ถ้าฉันจะให้เธอเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันจะเปิดตัวว่าคบด้วย เธอจะว่ายังไง?”
เมธาสบตาคนพูด ตอบคำถามเสียงแผ่วทว่ามั่นคง
“ขอปฏิเสธ”
“ว่าไงนะ?” กานต์แนบใบมีดลงบนลำคอขาวคล้ายขู่ “คิดก่อนพูดก็ดีนะ เธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกัน”
ครูคณิตมองประกายมีดล้อแสงไฟ ดวงตาสีนิลหมดอาลัยตายอยากเหลือเกิน
“ลองใช้ปากนั่นทำให้ฉันดูหน่อยเป็นไง” กานต์ยั่วเย้า กระตุกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายพยายามขยับหน้าหนีสัมผัสจากมือเขา “อย่าดื้อไปหน่อยเลยน่า เดี๋ยวก็ติดใจเองแหละ”
“อย่ามาแตะตัวผม!”
เมธาตะโกน ก่อนร่างกายจะรู้สึกร้อนรุ่มแปลกๆ มันครั่นเนื้อครั่นตัวจนอยู่ไม่สุข ตามด้วยมือหนาที่กระชากท้ายทอยเขาจนหน้าเชิด
“เธอจะปากดีได้ก็แค่ตอนนี้แหละ”
“อะไรนะ...เอ๊ะ!” เมธาสะดุ้งยามร่างสูงใช้ผ้าสีดำสนิทมาคาดปิดตาเขาไว้ ครูคณิตออกแรงดิ้น ปฏิเสธโลกสีดำที่อีกฝ่ายมอบให้สุดฤทธิ์ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจขัดขืนได้
“คุณจะทำอะไร! อุ๊บ!” เมธาร้องในลำคอยามร่างสูงก้มลงมาประกบปาก ครูคณิตเม้มริมฝีปากแน่น ครางขู่ในลำคอ “ฮื้อ!”
ร่างผอมสะดุ้งเฮือกยามมือหนาล้วงเข้าใต้เสื้อเชิ้ตสีขาว ลูบไล้กายบางอย่างย่ามใจ เมธาพลิกตัวหนี ร้องห้ามยามอีกฝ่ายซุกไซร้ลำคอระหง “อย่า ฮึก...ไม่เอา...อ๊ะ!”
ร้องเสียงหลงยามยอดอกสีอ่อนถูกครอบครองด้วยโพรงปากร้อน คนตัวเล็กนิ่วหน้า พยายามดิ้นหนีสัมผัสอันน่าขยะแขยงนั่น
“ปละ ปล่อยผม แฮ่ก...” ทว่าความร้อนรุ่มประหลาดที่ตีวนในช่องท้องกลับทำให้ขัดขืนได้ไม่เต็มที่นัก
กานต์แสยะยิ้ม “ฉันเล่นตุกติกกับร่างกายเธอนิดหน่อย คงไม่โกรธกันหรอกนะ?”
“คุณทำอะไร!!” เมธาตะโกนปนหอบ พยายามจับความรู้สึกเพื่อเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของอีกฝ่าย หนุ่มหน้าตี๋มองภาพนั้นยิ้มๆ
“วางใจเถอะน่า ก็แค่ยาปลุกเอง”
เมธากัดฟันกรอด เกร็งตัวยามมือหนาเลื่อนลงต่ำ เขาสะบัดแขนจนเหล็กบาดข้อมือ ตะโกนเสียงสั่น “คุณมันเลวที่สุด! ฮึก...ปล่อยนะ!” พยายามโงหัวขึ้นมาขัดขืน กานต์เอามือกดลำคออีกฝ่ายไว้จนกระดูกเล็กนั่นแทบหักเป็นชิ้นๆ
“อะ อึก”
“เธอสู้ฉันไม่ได้หรอกน่า” เสือร้ายจูบใบหูเล็กอย่างหยอกล้อ ก่อนจะถามว่า “จริงๆ ฉันมีอีกคำถาม...”
ทั้งห้องเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนคนตัวเล็กจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดหน้า
“เธอน่ะ...รักไอ้เอื้อมันใช่ไหม?”
“อึก...” เมธาชะงัก โดนคำถามของอีกฝ่ายกรีดแทงหัวใจเสียจนเจ็บปวด “ระ เรื่องนั้น...”
“จริงๆ ด้วยสินะ” ดวงตาลูกคนจีนจับจ้องเรือนร่างตรงหน้า หัวเราะในลำคอ “หึ ก็สงสารเธออยู่หรอกนะที่โดนมันหลอกแบบนั้น แต่เลิกหวังกับไอ้เอื้อจะดีกว่าล่ะมั้ง”
เมธานิ่งไป ก่อนทำนบน้ำตาจะพังทลายลงมา
“ผมทำไม่ได้หรอก...”
กานต์เงียบเสียงไปแล้ว ครูคณิตอาศัยช่วงเวลานี้พูดมันออกมา
“ผมทำไม่ได้ ถึงเขาจะเกลียดผม หรือทำร้ายผมสารพัด...ฮึก” เมธาสะอื้นจนเจ็บหน้าอก เขากำมือแน่นอย่างขมขื่น “แต่ผมก็ตัดใจจากเขาไมได้!”
เสือร้ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“ได้โปรดเถอะครับ...” เมธาอ้อนวอน
“แค่นี้...ฮึก”
น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงข้างแก้มขาว
“แค่นี้เขาก็เกลียดผมมากพออยู่แล้ว”
ริมฝีปากสีซีดสั่นระริกอย่างน่าเวทนา
“อย่าทำให้ผมต้องถูกเกลียดไปมากกว่านี้เลย ขอร้องล่ะครับฮือ...” เมธาสะอื้น ตอนนั้นเองที่ประตูห้องเกิดเสียง
ก๊อกๆ!
“นั่นใคร!” กานต์หันไปตะโกนถาม แว่วเสียงตอบกลับมา “รูมเซอร์วิสครับ!”
“ชิ...” เสือร้ายจิ๊ปากอย่างขัดใจ เขาใช้ผ้าอีกผืนมัดปากคนตัวเล็กเอาไว้ เมธาดิ้นพล่าน “อึก...อื้อ! อื้ออออออ!”
“อย่าริส่งเสียงเชียว” แผ่นโลหะเย็นเยียบแนบแก้มขาว ครูคณิตตัวสั่น ก่อนจะรู้สึกได้ถึงร่างสูงที่ผละออกไป หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัว พยายามส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“ฮื่อออออ ฮึก! อื้อออ!”
ปัง!
พลันประตูห้องก็ถูกปิดลง หัวใจดวงน้อยร่วงไปที่ตาตุ่มเมื่อความหวังสุดท้ายของเขาอันตรธานหายไป
“ฮึก...”
หูครูคณิตได้ยินเสียงฝีเท้า อีกฝ่ายกลับเข้ามาแล้ว ตอนนั้นเองที่ร่างสูงพรวดเข้ามาล็อคคางเขาเอาไว้แน่นก่อนจะก้มลงประกบปากอย่างดุดัน เมธาสะดุ้งเฮือก ตะโกนเสียงสั่น
“อย่า! ฮึก!”
มือหนาล้วงเข้าใต้เสื้อก่อนจะบีบเนื้อขาวจนขึ้นรอยมือ เมธาพลิกตัวหนีอย่างหวาดกลัว “ย่ะ อย่า...ฮือ ไม่นะ ได้โปรดเถอะคุณกานต์” เด็กหนุ่มร้องไห้ยามนิ้วยาวสอดเข้ามาในโพรงปาก เล็บคมจิกครูดเพดานสีอ่อนอย่างโหดร้าย
“เจ็...บ ฮึก มะ...”
มือหนากระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวจนกระดุมเม็ดบนร่วง ลิ้นร้อนแลบเลียยอดอกสีหวานก่อนจะดูดดุนจนมันตั้งชันอย่างหื่นกระหาย คนตัวเล็กเกร็งหน้าท้อง พยายามควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน “อึก ฮะ...ฮื้อ!”
อีกฝ่ายพยายามปลดเข็มขัดเขาออก เมธาส่ายหน้าร้องเสียงสั่น “อย่า ฮึก หยุดนะ ค...คุณกานต์!” กายบางสะท้านยามท่อนล่างถูกถอดออกไปจนหมด ครูคณิตหนีบขาแน่น หวังให้ชายเสื้อเชิ้ตช่วยบดบังส่วนน่าอายเอาไว้
ทว่ามือหนากลับเลิกชายเสื้อเขาขึ้นมาถึงหน้าอก เมธาร้องไห้ กัดริมฝีปากด้วยความอัปยศ
“มะ ไม่เอา...” ครูคณิตร้องไห้ออกมา “คุณกานต์อย่าทำแบบนี้ ฮือ ปละ ปล่อยผมไปเถอะ...”
นิ้วยาววนรอบยอดอกนิ่ม ถูจนแข็งเป็นไต เล็บคมจิกอย่างวาบหวาม เมธาเกร็งต้นขา หยัดสะโพกจนหลังแทบไม่ติดเตียง หอบหนักราวกับวิ่งร้อยเมตรอยู่ภายใน
“ขะ ขอร้อง...ฮึก” เมธาอ้อนวอนยามลิ้นร้อนแลบเลียติ่งหูนิ่ม ความต้องการพลุ่งพล่านทว่าเขาก็พยายามขัดขวางมัน “ได้โปรด พอเถอะครับ คุณกานต์...”
เด็กหนุ่มหนีบต้นขาไว้แน่นเมื่อมือร้อนรุกไล่เข้าด้านหลัง เท้าเล็กๆ พยายามถีบลำตัวแข็งแกร่งนั่นออกไปก่อนจะถูกขายาวของอีกฝ่ายกดทับเอาไว้ ร้องเสียงหลงยามนิ้วยาวพยายามสอดเข้าช่องทางด้านหลัง
“ไม่!!!” เมธาหวีดร้อง ดิ้นทั้งน้ำตา “อย่า ฮือ ผมขอร้อง...” กายบางกระตุกยามนิ้วร้อนสอดเข้าไปได้สำเร็จ คนตัวเล็กเม้มปากแน่น ดวงหน้าหวานเหยเกด้วยความกระสันระคนเจ็บปวด
“ไม่เอา...” เสียงนั้นแผ่วระโหยก่อนจะไอออกมาดูท่าไข้จะกลับเสียแล้ว เสียงโซ่กระทบกันดังหนวกหูบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มพยายามต่อต้านผู้บุกรุกมากเพียงไร
ร่างสูงเพิ่มจำนวนนิ้ว เขามองเมธานอนหอบอย่างทรมาน โน้มตัวไปประกบริมฝีปากบวมแดงนั่น ใช้มืออีกข้างล็อคหน้าผากอีกฝ่ายพบว่ามันร้อนจัดจนน่ากลัว
“ฮึก แค่ก! แค่กๆๆ...อะ อึก” เมื่ออีกฝ่ายถอนปากออกไปเมธาก็ไอจนตัวโยน เขาพยายามดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว
ตอนนั้นเองที่นิ้วยาวถอนออกไป ก่อนจะคนตัวใหญ่จ่อความเป็นชายตรงปากทางแล้วดันเข้ามาสุดแรง
“อ๊าาาา! ฮึก” เมธาหวีดร้อง เสียงโซ่กระทบกันดังแกร๊ง!
“ไม่นะ!!! อย่า!!! ฮือ...ได้โปรดเถอะ” คนตัวเล็กร้องไห้ออกมาด้วยหัวใจที่แตกสลาย ช่องทางที่ไม่เคยมีใครรุกล้ำมาก่อนบัดนี้กลับถูกรุกรานจากคนใจร้าย
ในตอนที่รู้สึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายลงไปตรงนั้น ราวกับรู้ทัน เมื่ออีกฝ่ายยื่นนิ้วมาขัดขวางเขาเอาไว้ เมธากัดมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี ด้วยความโกรธและความหวังที่ว่าจะหนีความอัปยศนี้ไปให้พ้น
ร่างสูงไม่พูดอะไรก่อนจะกระแทกแก่นกายเข้ามาตามจังหวะ เมธาส่ายหน้า ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง
“ฮะ...ฮ้า” ครูคณิตกัดนิ้วอีกฝ่ายจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือด ก่อนร่างสูงจะถอนมือออกไป เมธาตัวสั่นคลอนไปตามจังหวะอีกฝ่าย พยายามกลั้นเสียงอันน่าอาย ตอนนั้นเองที่เขาร้องออกมา
“เอื้อ...”รู้สึกได้ว่าจังหวะช่วงล่างชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าแค่เสี้ยววินาทีก็กลับมาเป็นปกติ
“ฮึก ช่วยด้วย...”
ตอนนั้นเองที่ช่วงล่างหยุดลงตามด้วยมือหนาปราดเข้ามาบีบคางเล็กให้เชิดขึ้น คิดว่าอีกฝ่ายคงโกรธที่เขาพูดอะไรไร้สาระ ทว่าเมธาก็ยังยืนยันที่จะพูดต่อ “เมขอโทษ...”
หยาดน้ำใสไหลริน
“อย่าเกลียดเมเลยนะ ฮือ...”
สิ้นคำกายหนาก็กระแทกเข้ามาอย่างดุดัน จังหวะสุดท้ายนั่นเองที่เมธาหวีดร้องทั้งน้ำตา สะท้านไปทั้งกายยามความกระสันกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำมารวมที่ส่วนปลายแล้วปะทุออก
คนตัวเล็กหัวหมุนคว้าง กายบางหนักอึ้งราวกับโดนเหล็กถ่วง เขาหอบหนัก เวียนศีรษะสติเจียนหลุดอยู่รอมร่อ
“อะ ฮึก” เมธานิ่วหน้าด้วยความเจ็บยามอีกฝ่ายถอนกายออกไป รู้สึกได้ถึงมือหนาที่จับหน้าผากเขาเอาไว้ ตามด้วยผ้าคาดตาที่ถูกดึงออก
แสงไฟสาดเข้ามาจนตาพร่า ดวงหน้าหวานอ่อนล้า ฝืนเปิดตาด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
“มะ ไม่จริง...” ตอนนั้นเองที่เมธาร้องออกมา
เบื้องหน้าเด็กหนุ่มปรากฏบุคคลที่เขาคาดไม่ถึง เมธามองภาพนั้นด้วยแววตาสั่นระริก
“ทำไมล่ะ...”
แทนที่จะได้พบกับหนุ่มหน้าตี๋ เขากลับกลายเป็นร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลล้อมกรอบใบหน้าหล่อร้าย ผู้ชายที่คอยกลั่นแกล้งและผลักไสไล่ส่งเขาเสมอมา คนที่ปฏิเสธความรักของเขาได้อย่างเย็นชา คนที่ไม่เคยเห็นเมธาในสายตาเลยสักวินาทีเดียว
แต่ทำไมคนๆ นั้นถึงได้มาอยู่ที่นี่...ในเวลาแบบนี้
“เอื้อ...”****************************************************** *
สวัสดีค่าาา า

หายไปเกือบสองอาทิตย์เลยอะ เขิน 555555555 5
ตอนหน้าจะเฉลยปมแล้วค่ะ โอ๊ย สักทีเนาะ
อยากให้ไอ้พวกนี้พักบ้าง รู้สึกจะเล่นคุ้มค่าตัวกันเหลือเกิน
ใครว่าง ๆ ไปเล่นแท็ก #เสื้อกาวน์รุกเสื้อกุ๊กรับ ในทวิตเตอร์ได้นะคะ
พอพ้นตอนที่ 24 เรื่องก็จะกลับมาเลิฟคอมเมดี้เหมือนเดิมแล้วค่ะ
ตบมือแมะ ถถถถถถถ ถ
ขอบคุณคนที่ยังติดตามและให้กำลังใจนิยายเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ

เจอกันตอนที่ยี่สิบสี่ค่าาาา า