ตอนที่ 13
วันแรกของความฝัน...
ผมตื่นเช้า เช้ามากๆ ไม่สิผมไม่ได้ตื่นเช้า ผมแค่ไม่ได้นอน ตั้งแต่เมื่อวานหลังจากสิงหากลับไป ผมใช้เวลาในการคุยกับมินตราเกือบค่อนชั่วโมง และหมดไปกับการเก็บบ้านด้วยความขยันขันแข็ง แน่นอนคงไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักเห็นบ้านรกๆ เอาแต่ทำจมูกฟุดฟิดอยู่ตลอดเวลาหรอก
ผมเตรียมกล้องและเช็ดเลนส์ทุกชิ้น วางมันไว้บนโต๊ะทำงานตัวโปรดของไอ้วัชร เขียนแผนการมากมายลงในกระดาษขนาด A4 โดยคาดหวังว่าจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด รูปของสิงหาจะบอกตัวตนทุกอย่างของเขา และความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีก่อนเดินเข้าครัวเพื่อทำอาหารอยู่สองสามอย่าง
ของที่สิงหาชอบกิน...
ผมจำได้ จำได้ว่าเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร รู้ดีว่าอนาคตเราอาจไม่ได้เจอกันอีก สิ่งที่ผมร่างไว้ว่าอยากทำมันไปร่วมกับเขาจะค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างทีละอย่างสองอย่างจนกว่าจะครบ น่าเสียดายที่ผมเขียนความต้องการของตัวเองไม่ได้มากเท่าที่ควร เวลามันน้อยลงทุกทีแล้ว...
กริ๊ง!
สัญญาณกริ่งหน้าบ้านทำให้ผมรีบละมีดจากการหั่นผักลง ล้างมือให้สะอาดก่อนวิ่งไปยังประตูรั้วซึ่งมีคนรออยู่ก่อนแล้ว ผมส่งยิ้มให้คนตัวเล็กยามเราทั้งคู่มีระยะห่างระหว่างกันเพียงเล็กน้อย เปิดประตูให้เขาเข้ามาในตัวบ้านพลางหาน้ำดื่มในตู้เย็นมาให้
“ตัวเล็กนั่งรอก่อนนะ”
“ครับ” เขาตอบเพียงสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวกับจะกลืนหายไปในอากาศ
“นี่น้ำ ถ้าเหงาก็เปิดทีวีก่อน” ผมวางน้ำกับแก้วลงบนโต๊ะ แต่ดูเหมือนเราจะเข้าใจกันผิดเล็กน้อย ร่างบางถึงได้ยื่นมือมารับก่อนที่มันจะวางลงบนโต๊ะกระจก จนมือของเราเผลอสัมผัสกัน
ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นนอกจากชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองด้วยความสงสัย แต่ก็นั่นแหละมันยังมีหลายอย่างที่ผมอยากให้มันหายไปพร้อมกับตัวเอง บางอย่างที่ไม่อยากให้ใครต้องมารับรู้และสมเพชเวทนา
“คุณมือเย็น” สิงหาพูด หากแต่คิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปมแน่น
“เหรอ พี่ถือน้ำเย็นก็ต้องเย็นสิ”
“เปล่าหรอก ปกติคุณมืออุ่นกว่านี้แถมมือข้างนั้นคุณถือแค่แก้วน้ำ”
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก นี่กะว่าจะทำอาหารเช้าให้กิน เดี๋ยวเรากินข้าวด้วยกันก่อนนะ” ผมเลือกไม่ตอบคำถามและมัดมือชกคนตัวเล็กอย่างเห็นแก่ตัว รู้ดีว่าหากผมไม่เห็นแก่ตัวในวันนี้มันก็คงจะสายเกินไป
“ผมทานจากข้างนอกมาแล้ว”
“เหรอ”
“ยังไงก็รอคุณทานข้าวเช้าก่อนก็ได้ ผมโอเคกับการนั่งดูทีวีอยู่ตรงนี้”
“แต่นี่มีแกงจืดของสิงหา”
“ขอโทษจริงๆ ครับ”
“งั้นตอนบ่ายเราอยากกินอะไรบอกพี่ไว้ก่อนได้นะ ถ้ากลัวไม่อร่อยเราอาจจะออกไปซื้อข้างนอกด้วยกัน”
“พี่คินจะมารับไปทานข้าวเที่ยงครับ และจะกลับมาร่วมงานต่อ”
“โอเคเข้าใจแล้ว...”
เขาปฏิเสธผมทุกทาง มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่มัวคิดเล็กคิดน้อยและพยายามตอกย้ำตัวเองในใจตลอดเวลา ชีวิตของผมผิดแผกไปจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ค่อยๆ ถูกกลืนกินไปกับโลกมืดทึบของตัวเอง ยังดีที่มีสิงหาเป็นแสงสว่างสุดท้ายในชีวิต เขาเหมือนทางออกที่เหลือเพียงหนทางเดียวของผม หลังจากค้นพบมันก่อนรู้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่น้อยลงทุกที ผมก็อยากใช้เวลาเหล่านั้นให้มากที่สุด
รีบปลีกตัวกลับเข้ามายังห้องครัว เก็บวัตถุดิบในการทำอาหารใส่กลับเข้าไปในตู้เย็น มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นกับการกินข้าวเปล่าเพียงลำพัง ผมไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลว่าเช้าวันต่อมาหรือในมื้อถัดไปจะต้องกินอะไรให้มันยากลำบาก รู้แค่ว่ากินมันเพื่อให้มีชีวิตรอดสำหรับห้าวันที่เหลือก็คงจะดี
จำไม่ได้แล้วว่าตักข้าวเข้าปากไปแล้วกี่คำ ความรู้สึกของเม็ดข้าวที่ขมเฝื่อนส่งผลให้ต้องกลั้นใจกินต่อไปเรื่อยๆ แม้จะต้องนั่งคุดคู้อยู่ตรงซอกมุมหนึ่งของครัวก็ตาม
ไม่รู้สิ! ทำไมผมถึงไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับร่างบางซึ่งอยู่ข้างนอก ผมรู้สึกละอายใจจนต้องหลบมานั่งอยู่มุมเคาน์เตอร์เพื่อทานข้าวเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ
ผมคงคิดผิด ความจริงแล้วเราไม่สมควรกลับมาเจอกันอีก ผมน่าจะปล่อยให้เขาผ่านไปโดยไม่ต้องเหนี่ยวรั้งหรือทำอะไรเลย ชีวิตคนเราก็แปลก...เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตร่วมกันเพียงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นก็ตายจากกันไป ไม่มีความนิรันดร์อยู่ในนั้น ไม่มีความคงอยู่ซึ่งการคิดถึง และความทรงจำสุดท้ายก็อาจเป็นผมเพียงคนเดียวที่ยังคงจดจำมัน
แต่ทำไมผมถึงโลภอยากให้มีคำว่าตลอดไปในใจของเรากัน
ตลอดไปที่ไม่ใช่อดีตหรืออนาคต แต่เป็นความทรงจำของเราที่อยู่ด้วยกัน...
“คุณภูผาครับ”
“...”
“คุณกินข้าวเสร็จหรือยัง” เสียงหวานเรียก ฉุดให้ผมรีบลุกขึ้นเต็มความสูง เดินปรี่ไปยังซิงก์น้ำก่อนวางจานซึ่งมีข้าวอยู่เกือบครึ่งลง
“อ้อ! พี่กินเสร็จแล้ว ขอโทษด้วยนะที่ช้า”
“ไม่เป็นไรครับ เราคุยเรื่องงานกันเถอะ” สองเท้าก้าวตามกายบางกลับไปยังโซฟาห้องนั่งเล่น เราทิ้งระยะห่างระหว่างกันค่อนข้างมาก ผมนั่งอยู่บนอาร์มแชร์อีกตัวหนึ่งไกลออกไป จ้องมองริมฝีปากบางที่เอาแต่ขบเม้มอยู่แบบนั้น คล้ายกับว่าเขาก็กังวลและอึดอัดไม่ต่างกัน
ผมอยากขอโทษ แม้ช่วงเวลาสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกันเขาก็ยังไม่มีความสุข
“เราจะถ่ายแบบในคอนเซ็ปต์อะไรเหรอครับ คุณน่าจะมีรูปแบบที่แพลนเอาไว้อยู่แล้ว”
“ธีมของมันมีแค่สิงหา”
“...?”
“มันคือความทรงจำ...Memory”
“เมมโมรี่?”
“ตัวเล็กไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น จะไม่มีการจัดแสงหรือเซตฉาก พี่แค่อยากให้เราเดินหรือทำอะไรในบ้านหลังนี้ตามสิ่งที่เราอยากทำ พี่ทำหน้าที่เป็นแค่คนถ่ายภาพ โดยที่เราจะลืมไปเลยก็ได้ว่ามีพี่อยู่ตรงนี้”
มันคงไม่ดีนักหากคนตัวเล็กเอาแต่ห่วงหน้าพะวงหลัง การจินตนาการว่าอยู่ตัวคนเดียวในบ้านหลังหนึ่งให้ความรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก แน่นอนสิงหาเคยผ่านความโดดเดี่ยวนั้นมา ส่วนผมก็กำลังเผชิญกับมันเช่นกัน
ความเหงามันโหดร้ายมาก เมื่อมันฆ่าเราให้ตายทั้งเป็นได้
“ให้ผมทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ จะทำอะไรก็ได้”
“ผมเกรงว่ามันอาจกระทบต่อข้าวของบางชิ้นที่เป็นของภรรยาคุณ”
“ไม่มีหรอก เธอไม่ได้เก็บของอะไรไว้ที่นี่ มีแค่ชุดเจ้าบ่าวของผมแขวนอยู่ในตู้ตรงห้องนอนเท่านั้น”
“เธออยู่ที่นี่ทำไมถึงไม่มีข้าวของอะไรเลย” สิงหายังคงสงสัย แต่คำตอบของผมนั้นมันถูกเตรียมเอาไว้แล้ว อย่างน้อยเขาจะไม่มีวันรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อวันสุดท้ายมาถึงเขาจะจดจำได้เพียงว่า ผมเป็นตากล้องคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว และ...ผมมีความสุขดีเท่านั้น
“มินตราเก็บของออกไปเพื่อให้ง่ายต่อการทำโปรเจ็กต์นี้น่ะ อีกอย่างเธอจะไม่อยู่ที่นี่เกือบสัปดาห์เพราะต้องเดินทางไปถ่ายแบบที่เมืองนอก”
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้น...เราเริ่มกันเลยมั้ยครับ”
“ได้สิ มาเริ่มกันเลย”
เก็บความทรงจำอบอุ่นของเรา ดื่มด่ำมันทีละน้อยและก็ปล่อยมันวนเวียนอยู่ในนี้...ในใจของผม
สิงหาเดินไปยังมุมหนังสือซึ่งอยู่ด้านในสุดหลังม่านสตูดิโอขนาดย่อม มือเล็กเอื้อมมือไปบนชั้นพร้อมกับเขย่งปลายเท้าไปด้วย เขาตัวเล็กนิดเดียว แม้จะเอื้อมไม่ถึงแต่ก็พยายาม หนังสือเล่มนั้นเป็นของแดน บราวน์ สิงหาชอบแนวสืบสวนสอบสวน เขาอ่านมันได้ทั้งวันตอนที่เราเริ่มใช้ชีวิตด้วยกันใหม่ๆ
ผมทำได้แค่ถือกล้องถ่ายภาพ เดินตามถ่ายเขาทุกมุม ทุกห้วงอารมณ์ที่อยากเก็บไว้เป็นภาพแห่งความทรงจำ มือที่จับปุ่มลั่นชัตเตอร์นับครั้งไม่ถ้วน ถึงจะพยายามทำให้มันเงียบเชียบแค่ไหนแต่ก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจนได้
สิงหาไม่ได้สนใจตรงจุดนี้ หนังสือเล่มนั้นสำคัญกว่า เขาโฟกัสไปที่มัน ยืนเปิดอ่านอย่างตั้งใจขณะเท้าทั้งสองข้างย่ำเดินไปยังเก้าอี้โยกตัวหนึ่งและทิ้งตัวลงโดยไม่ละสายตาจากตัวหนังสือแม้แต่เสี้ยว
เขาเป็นธรรมชาติมากตอนอยู่ในบ้านหลังนี้ มีบางครั้งเท่านั้นที่ใบหน้าหวานจะเงยขึ้นและสบตากับกล้องสักครั้ง ตอนนั้นมือผมสั่นไปหมด ผมได้สบตากับเขาผ่านเลนส์ราคาแพง พร้อมกับมือที่ยังกดชัตเตอร์เก็บความทรงจำเอาไว้มากมาย
สิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ในภาพที่ผมถ่าย เฉกเช่นกล้องถ่ายภาพซึ่งเหมือนดวงตาที่ผมมอง คิดถึงเนาะ...ช่วงเวลาเก่าๆ ที่เคยได้ทำร่วมกันมา มันดีแค่ไหนที่ได้นอนหนุนตักหรือกินข้าวไปด้วยกัน ผมไม่เคยรู้สึกหนาวในวันที่อากาศลดลงเรื่อยๆ มันไม่ได้อุ่นเพราะผ้าห่ม แต่มันอุ่นเพราะอ้อมกอดที่มอบให้กันต่างหาก
“แดน บราวน์ไม่ออกเล่มใหม่มาอีกแล้วเหรอครับ” เจ้าตัวเล็กถาม แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“คงยังหรอก แต่ Inferno จะเข้าฉายในปีหน้า ปี 2016”
“จริงเหรอครับ” ดวงตาใสช้อนมองผม เป็นอีกครั้งเหมือนกันที่ผมเลือกวางกล้องและมองคนตัวเล็กตรงๆ
“เท่าที่ได้ยินข่าวมา”
“ใครเป็นผู้กำกับครับ”
“รอน ฮาวเวิร์ด ส่วนทอม แฮงค์สก็รับเล่นนะ”
“อ่า...ผมชอบทอม”
“พี่รู้”
“คุณอ่านหนังสือเยอะ แถมยังติดตามหนังเกือบทุกเรื่องอีกต่างหาก ปีหน้าผมจะไปดูครับ” เจ้าตัวตอบด้วยรอยยิ้ม
“...”
“แล้วคุณล่ะ คงไม่พลาดใช่มั้ย”
“บางทีพี่อาจเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นหนังที่อยากดูที่สุดเรื่องหนึ่ง” แต่ไม่มีโอกาสได้ดู...
มันนานเกินไป ผมคงอยู่ไม่ถึงวันนั้นหรอก เพราะแน่ใจแล้วว่าคงทนกับความเจ็บปวดที่เป็นอยู่ไม่ไหวขึ้นทุกที ห้าวันมันก็มากเกินพอ ผมมีความสุขแล้ว พอใจที่ได้เจอสิงหาก่อนจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ถึงตอนนั้นผมจะได้ไม่ต้องมานั่งเหลาดินสอ ไม่ต้องกล่าวโทษตัวเอง และไม่ต้องโดดเดี่ยวอีก
“คุณคงอยากไปดูกับภรรยาของคุณ” สิงหาเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนขยับริมฝีปากพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เธอไม่ชอบดูหนัง”
“อ้อ...น่าเสียดายนะครับ แล้วพรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันต่อ หรือว่าถ่ายวนอยู่ในบ้านหลังนี้ไปเรื่อยๆ”
“ลืมมันไปก่อน ไม่มีเมื่อวาน ไม่มีพรุ่งนี้ มีแต่ตอนนี้เรากำลังทำอะไร”
“งั้นผมขออ่านหนังสือไปเรื่อยๆ แล้วกัน”
“ตามสบายเถอะ คิดซะว่าบ้านหลังนี้เป็นของเรา ลืมว่ามีพี่อยู่ตรงนี้ซะเราจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด”
ร่างบางพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนหันไปจดจ่อกับหน้ากระดาษถนอมสายตาและอ่านมันอย่างตั้งใจ ผมเก็บภาพช่วงที่เขาอ่านหนังสือได้มากพอสมควร อย่างน้อยก็...หลายร้อยภาพ กระทั่งกายที่นั่งตรงเริ่มเอนอยู่บนเก้าอี้โยกและเผลอหลับคาหนังสือไป
เขาอ่านมันไปได้แค่ 40 กว่าหน้า ผมรู้...เพราะเอาแต่มองอยู่ตลอดเวลา
คนตัวเล็กตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงกริ่งจากหน้าบ้าน ผมไม่อยากให้มันดังเลยแต่ก็นั่นแหละ...ควรยอมรับความจริงได้แล้ว สิงหาออกไปทานอาหารกับรุ่นพี่อย่างคิน เขาดูเข้ากันดี คงไม่เสียใจเท่าไหร่ที่เขาเจอคนที่ดูแลได้ดีกว่าผม ดีกว่าเป็นไหนๆ
ระหว่างรอทั้งคู่กลับ ผมเดินไปยังห้องเก็บของรื้อค้นเอาอุปกรณ์เก่าๆ ซึ่งมีฝุ่นเกาะออกมา ถือมันมาจนถึงประตูบ้านก่อนย่อเข่าลง
ต้องเอากริ่งหน้าบ้านออก
ใช่! ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ งานอดิเรกใหม่ของตากล้องตกงานแถมชีวิตมืดมนคือการปลดของทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ออกให้หมด อีกหน่อยมันคงไม่เหลืออะไรในบ้านหลังนี้อีกแล้วแม้กระทั่งเจ้าของ...
ผมว่าไอ้วัชรคงไม่โกรธเท่าไหร่หรอกที่ผมทำข้าวของมันพัง มันคงเข้าใจ เราอยู่บนความรู้สึกเดียวกันโดยเฝ้าแต่ถามว่าจะทรมานไปเพื่ออะไร หากแต่ความทรมานของผมมันสวยงาม มันมีสิงหาอยู่ในนั้นซึ่งผมคิดว่าแค่นี้ก็คุ้มค่ามากพอที่จะเสี่ยงและมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย
หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงสิงหาก็กลับมา เราเริ่มต้นถ่ายภาพตรงสวนหน้าบ้าน ปล่อยให้เขาเดินเท้าเปล่าย่ำไปบนพื้นหญ้า ในมือถือกล้องโพลารอยด์ตัวโปรดของผมเอาไว้ แน่นอนว่าผมไม่ได้หวงของที่ตัวเองรักเท่าไหร่หรอก มันเป็นของสิงหาทั้งหมด เขาสามารถถ่ายภาพเท่าที่อยากถ่าย เพราะยังมีฟิล์มสำรองเอาไว้อีกมากมาย
นึกไม่ออกเลยถ้าเกิดหายไป ของทุกชิ้นมันจะเป็นของใคร หรือบางทีผมควรหาเวลาส่งของรักเหล่านั้นไปให้เพื่อนแต่ละคนด้วยดี
“บ้านหลังนี้ร่มรื่นดีนะครับ” สิงหาเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างเราอีกครั้ง
“เจ้าของเดิมปลูกต้นไม้ไว้เยอะ”
“คุณทานข้าวหรือยัง”
“พี่ไม่หิว” ว่าพลางส่ายหน้าไปมา
“ทานข้าวไม่ตรงเวลาแบบนี้บ่อยเหรอครับ”
“ชินแล้ว”
“ดูแลตัวเองบ้างนะ คุณดูโทรมไปเยอะเลย มือก็เย็นเฉียบ ถ้าไม่สบายอย่าลืมไปหาหมอนะครับ” ผมเหมือนกำลังร้องไห้ แต่ผมไม่กล้าแม้จะเอื้อมมือไปปาดน้ำตาที่คลออยู่ออก นอกจากผินตัวไปอีกด้านแล้วเอาแต่กะพริบตาถี่
“ขอบคุณนะ เราก็...ดูแลตัวเองให้ดีๆ พี่อยากเห็นตัวเล็กเป็นคุณครู ได้ทำตามความฝันจริงๆ ของตัวเล็ก แต่ถ้าการแสดงเป็นสิ่งที่ชอบก็ทำมันให้ดีทั้งคู่”
“ผมยังอยากเป็นครูอยู่ครับ”
“เราจะทำมันได้ดี”
“คุณก็ต้องเป็นตากล้องที่ดีเหมือนกัน”
“มีเพียงไม่กี่คนที่ปลอบพี่แบบนี้ หนึ่งคือเพื่อน สองคือมินตรา และสามก็คือเรา แต่งานนี้อาจเป็นงานสุดท้ายที่พี่จะทำแล้ว ดีใจจริงๆ ที่เรารับข้อเสนอ”
“คุณจะไม่ถ่ายภาพแล้วเหรอ” เขาถามเสียงอ่อน เหมือนต้องการคำตอบเป็นนัยๆ
“ไม่ล่ะ พี่จะเดินทาง”
“...”
“อวยพรให้พี่ด้วยนะ”
เราถ่ายภาพอยู่ตรงสวนหน้าบ้านเกือบชั่วโมง แต่ก็ต้องรีบพาเจ้าตัวเล็กเข้ามาเพราะแดดค่อนข้างแรง แม้จะมีร่มไม้คอยกันแสงอยู่บ้างก็ตาม ผิวขาวๆ ของสิงหาไม่สมควรต้องมาโดนอะไรแบบนี้
ผมทำชาง่ายๆ ให้คนตัวเล็กดื่ม ขณะกำลังนั่งดูหนังเก่าๆ ในสต็อก ผมถือกล้องเดินตามคนตัวเล็ก วนไปทั่วบ้านด้วยความสุข มันเหมือนความฝันเลย เราดูเรื่อง About Time ด้วยกัน มันดีเกินคาดจนอยากขอบคุณคนเขียนบทเรื่องนี้ขึ้นมาซะจริงๆ
เมื่อนานมาแล้ว เราต่างมีความฝันว่าอยากมีงานแต่งงานเหมือนในหนัง งานแต่งในวันฝนตก ทุลักทุเลแต่มีความสุขที่ได้จับมือและวิ่งฝ่าฝนไปด้วยกัน มีเพื่อนและพ่อแม่ให้คำอวยพร และเช้าวันต่อมาเราจะกลายเป็นสามีภรรยาที่น่าอิจฉาที่สุดคู่หนึ่ง
ตะวันเริ่มคล้อย ความมืดกำลังปกคลุม อีกไม่นานสิงหาจะกลับไป และวันแรกในความฝันของผมจบลงในเวลาอันรวดเร็ว ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ อยากต่อเวลาไปเรื่อยๆ โดยมีเขาเคียงข้างอีกสักหน่อย นั่นทำให้ผมไม่รอช้าจัดการวางกล้องไว้ตรงจุดเดิมที่มันควรอยู่
ก่อนสาวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง หยิบเสื้อตัวหนึ่งที่ตัดสินใจซื้อเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่รู้ข่าวว่าจะได้ร่วมงานกับสิงหา ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะตอบตกลงหรือเปล่า ทว่านี่อาจเป็นอีกสิ่งท้ายๆ ที่ผมอยากทำ
“สิงหาพี่ซื้อเสื้อให้เรา อยากให้เราเก็บไว้ตอนที่ไม่เจอกัน” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปรู้สึกได้ถึงอาการสั่นแกว่ง
“...”
“ตัวนี้พี่เลือกนานมาก เราเหมาะกับสีชมพู”
“ความจริงไม่ต้องลำบากก็ได้ ผมก็มีเสื้อผ้าอยู่เยอะแยะไปหมด”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่เต็มใจ รับมันไปสิ” มือบางเอื้อมมือมาหยิบเสื้อสีชมพูไป คงจะดีกว่านี้ถ้าผมใส่กล่องและผูกริบบิ้นให้ดีอีกสักหน่อย ก็นะ...ไม่ทันแล้ว
“ขอบคุณครับ”
“ของขวัญเป็นยังไงบ้าง” ถามถึงแมวอเมริกันช็อตแฮร์ตัวอ้วน
“สบายดีครับ ตอนแรกที่พากลับมันก็ดูซึมไปนิดหน่อย แต่ช่วงสองวันให้หลังพี่ผู้จัดการชอบเล่นกับมัน เดี๋ยวนี้วิ่งซุกซนไปทั่วห้องเลย”
“ดีแล้ว ของขวัญมีความสุขซะที”
“คุณอยากเจอมันอีกมั้ย”
“ไม่ล่ะ เรากล่าวลากันแล้ว พี่ไม่อยากเจออีก” กลัวคิดถึง กลัว...สุดท้ายจะทิ้งไปทั้งที่เราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ สัตว์เลี้ยงบางทีมันก็จดจำ ถึงแม้ผมจะเลี้ยงมันได้ไม่ดีก็ตาม
“สิงหา”
“...” ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมา เราสบตากันแน่นิ่ง
“ไปที่คอนโดของเรากันมั้ย บ้านเก่าของเรา”
“ผม...”
“พี่เองก็ไม่ได้ไปนานแล้วตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่ตรงนั้นยังเหมือนเดิม มีแม่บ้านทำความสะอาดตลอด ข้าวของหลายอย่างก็ยังคงอยู่ คงจะดี...”
“ไม่ครับ ผมไม่อยากไป” เขาตอบโดยไม่ปล่อยให้ผมพูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“พี่อยากถ่ายภาพเราที่นั่น อยากเห็นเราในห้องๆ นั้น”
“...”
“ถือว่าพี่ขอร้อง”
“คุณภูผา ผม...”
“แค่อยากกลับไป ไม่ต้องคิดถึงมันก็ได้อดีตน่ะ ลืมมันไปก็ได้ ให้พี่...ให้พี่คิดถึงมันก็พอ มันอาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยากขอ”
“ถ้าความต้องการของคุณมันอยู่ภายในเงื่อนไขห้าวันล่ะก็ โอเคผมจะไป”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ