ตอนที่ 12
หนึ่งเดือนหลังจากแต่งงาน พูดได้ไม่เต็มปากว่าผมมีความสุขดี แต่ผมก็พยายามหาความสุขให้ตัวเองเสมอ ผมเลิกเหลาดินสอและเริ่มถ่ายภาพอีกครั้งในสตูดิโอเล็กๆ ของตัวเอง ที่นี่อบอุ่นและทำให้ยิ้มได้ ผมเรียกมันว่า ‘บ้าน’ สิ่งสุดท้ายที่อาจเป็นตลอดชีวิตของผม
ตอนเช้ามืดเมื่อสัปดาห์ก่อน ถ้าจำไม่ผิดคือประมาณ 6 โมง 45 นาที ผมได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนในกลุ่มที่หายหน้าหายตาไปสร้างความฝันของตัวเองไกลถึงมิลาน เราพูดกันอยู่กับค่อนชั่วโมงด้วยหัวข้อเดิมๆ ที่มักคุยกันอยู่เสมอ งานเป็นยังไงบ้าง ชีวิตครอบครัวดีหรือเปล่า และ...คิดถึงเขาคนนั้นมั้ย
กับสิงหา ถ้าจะถามอีกร้อยๆ ครั้ง ผมคงตอบได้แค่ ‘คิดถึง’
ใช่! ผมคิดถึงเขามากๆ นานมาแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน แต่อย่างน้อยผมก็ได้เห็นเขาตามหน้านิตยสารและโฆษณาอยู่บ่อยๆ เด็กคนนี้อนาคตไกล เป็นตัวเล็กคนใหม่ในอีกโลกหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จัก และแน่นอน...เราไม่สมควรกลับมารู้จักกันอีกไม่ว่าทางใดก็ตาม
แต่มันผิด ผิดมากๆ ที่ผมยังเห็นแก่ตัวอยากเจอเขาอีกครั้ง อยาก...จนไม่คิดถึงสิ่งใด ผมตอบตกลงเพื่อนคนนั้นอย่างง่ายดายแทบไม่คิดสักวินาที นานมาแล้วเราเคยคุยกันเรื่องโปรเจ็กต์ถ่ายภาพ และตอนนั้นผมก็เคยอยากให้สิงหามาเป็นแบบสำหรับนิทรรศการภาพถ่ายของผมซึ่งนั่นมันอาจเป็นครั้งเดียวในชีวิต
ไม่รู้สิ เหมือนทุกคนจะรู้ว่าผมกำลังตกต่ำ เป็นตากล้องที่ไม่มีใครยอมจ้างนอกจากนั่งๆ นอนๆ กดชัตเตอร์อยู่ในบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งเคยเป็นของเพื่อนเก่าที่ตายไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังมองแบบไหน แต่มันไม่มีเวลามานั่งคิดหรือแคร์อะไรอีกต่อไป
ชีวิตของผมแค่พยายามใช้ทุกวินาทีให้ผ่านพ้นโดยไร้ซึ่งจุดหมาย ผมบอกว่าจะมีความสุข ผมบอกตัวเองเสมอตั้งแต่วันที่ตัดสินใจแต่งงาน แน่นอนความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีขึ้นด้วย พ่อยิ้มได้ แม่เองก็เริ่มปล่อยวางที่ผมเป็นฝั่งเป็นฝาสักที แม้ผมจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องบริหารงานก็ตาม
ผมชอบคิดอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงทุกคนกำลังมีความสุขกับลาภยศที่ได้ การเกี่ยวดองทางธุรกิจ เม็ดเงินมากมายมหาศาลที่ผมไม่เคยอยากเข้าไปรับรู้ ปลีกตัวเองออกมาอยู่บ้านเดี่ยวหลังนี้ โดยไม่มีใครหันมาสนใจเลยสักคน จะมีก็แต่มินตราที่ยังคงอยู่ปลอบใจตอนที่ผมรู้สึกย่ำแย่เท่านั้น
เธอเป็นเจ้าสาวที่ดี ความทรงจำของผมบันทึกเอาไว้แบบนั้น
เรา...คุยกันแทบทุกวัน เธอชวนผมคุย แต่บางทีผมก็เริ่มเอ่ยถามก่อน เธอมักจะย้ำเตือนให้ผมกินยาอยู่เสมอ แน่นอนบางครั้งผมก็รับปากส่งๆ ไป
ผมเคยมีความคิดหลายต่อหลายครั้งที่อยากหายไปจากโลกใบนี้ ตายไปซะก่อนที่จะเจ็บปวดมากกว่าเดิม เพราะแคร์ตัวเองมาก และไม่อยากเผชิญกับความรู้สึกหดหู่ซ้ำซากผมถึงอยากทำลายชีวิตตัวเอง แต่ที่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้อาจเป็นเพราะสิงหาเพียงคนเดียว ผมแค่อยากพบเขา อยากทักทาย อยากทำดีชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนจะสายเกินแก้ ทั้งที่มันก็สายไปแล้ว
นี่คงเป็นโอกาสเดียว เพื่อนผมสามารถช่วยให้เราเจอกันอีกครั้ง แม้จะอยู่ในสถานะนายแบบกับช่างภาพก็ตาม
ผมคาดหวังว่าห้าวันกับโปรเจ็กต์เล็กๆ นี้จะจบลงที่รอยยิ้มและความทรงจำอีกมากมาย
กริ๊ง!
เสียงกริ่งจากรั้วสีขาวหน้าบ้านเป็นสัญญาณบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ผมแทบไม่รีรอให้อีกฝ่ายต้องคอย รีบวิ่งลัดสนามหญ้าไปให้ถึงจุดนั้นโดยเร็วที่สุด ลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังวิ่งเท้าเปล่า ลืมไปด้วยซ้ำว่าควรกล่าวทักทายยังไง
สวัสดี?
เชิญครับ หรือ...
“พี่ภู” นั่นแหละเสียงแรกที่ผมได้ยินหลังจากเลื่อนประตูรั้วออกมา แต่คนตรงหน้ากลับไม่ใช่สิงหาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ กลับเป็นรุ่นน้องนายแบบในวงการอีกคนที่ชื่อคิน
“อะ...อ๋อครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย” ผมเริ่มต้นบทสนทนาง่ายๆ หลังจากไม่ได้คุยกับคนนอกมานานพักใหญ่
“ใช่ ไม่ได้เจอกันนาน”
“มาคนเดียวเหรอ แล้ว...นายแบบ”
“อ๋อสิงหาติดงานอยู่ครับ เขาจะเข้ามาคุยเรื่องรายละเอียดและค่าจ้างประมาณ 5 โมงเย็น ผมเลยแวะมาบอกพี่ก่อนกลัวว่าจะรอเก้อ”
“เขาจะมาใช่มั้ย” ผมถามย้ำ เหมือนคาดหวังอะไรที่ดูโง่มาก
“มาครับ”
“เข้าบ้านก่อนมั้ย”
“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวผมก็ต้องแวะไปหาเขา...หมายถึงสิงหาน่ะครับ”
“อ้อ” ทำได้แค่พยักหน้ารับรู้ แต่ภายในใจของผมมันขื่นขมเกินกว่าจะบรรยายออกมา
นั่นทำให้เผลอนึกถึงเมื่อก่อนขึ้นมาทันที ตอนผมไปรับไปส่งเขา เรากินข้าวและนอนหนุนตักกัน ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ผมแค่อยากย้อนเวลากลับไป ทว่ามันเป็นไปไม่ได้ผมจึงได้แต่นอนฝันแม้จะได้ชื่อว่ากำลังหลอกตัวเองอยู่ก็ตาม
สำหรับผม
สิงหายังคงเป็นเด็กชายเสื้อสีชมพูอยู่เหมือนเดิม
ผมทิ้งตัวลงบนโซฟา จำไม่ได้ว่าทำอะไรลงไปบ้างแต่นั่นแหละจิตใจผมเฝ้ารอกับการฟังเสียงกริ่งอย่างจดจ่อ ขณะที่สายตาก็เงยขึ้นมองนาฬิกาฝาผนังนับครั้งไม่ถ้วน บางทีผมอาจลืมไป...ลืมที่จะซื้อถ่านสำหรับนาฬิกาทุกเรือนในบ้าน เพราะมันได้หยุดนิ่งมานับสัปดาห์แล้ว
กระทั่งฟ้ามืดลง ผมจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินไปกดสวิตช์ไฟรอคอยการปรากฏตัวของคนตัวเล็ก นาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังคงใช้งานได้ดี แต่...มันยิ่งย้ำเตือนว่าการรอคอยของผมอาจเปล่าประโยชน์
เลยเวลานัดมาสองชั่วโมงแล้ว สิงหาติดธุระหรือมีอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า
ผมแค่ห่วงเขา กังวลว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ครั้นจะโทรไปหาก็ไม่มีเบอร์สำหรับติดต่อซะอย่างนั้น ผมเป็นตากล้องที่แย่มากเลยใช่มั้ย ผมรู้...รู้ตัวเองดีว่าทำตัวแย่แค่ไหน บางครั้งรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่าและเฝ้าแต่ถามย้ำๆ ว่าหายใจไปเพื่ออะไร อยู่เพื่อให้คนสาปส่งไปทำไม
แต่ก็ไม่ยักตาย ใช่! ผมยังมีชีวิตอยู่เพื่อรับรู้ทุกอย่างที่เจ็บปวด มองดูรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง ท่ามกลางความรู้สึกหดหู่ในใจลึกๆ
ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า...ผมภูมิใจที่ได้เกิดมา ผมดีใจที่มีพ่อแม่แม้จะไม่อบอุ่นเหมือนคนอื่นก็ตามที ผมได้รักคนที่อยากรัก ได้เป็นเจ้าบ่าวและใส่ชุดหล่อที่สุดในงาน วันนั้นผมยิ้ม ผมยิ้มทั้งที่รู้ตัวดีว่ากำลังฝืนมากแค่ไหน และดีใจเหลือเกินที่ยังมีมินตรา...เจ้าสาวของผม
คิดว่ามันอาจเพียงพอสำหรับชีวิตของคนคนหนึ่ง ผมไม่ได้อยากหวังอะไรมากมายนอกจากใช้เวลาสั้นๆ ที่เหลือกับสิ่งที่ตัวเองรักนั่นคือการถ่ายภาพ ส่วนแมวตัวเดียวที่อยู่ด้วยกันวันหนึ่งมันอาจไม่อยู่แล้ว ของขวัญจะได้กลับไปอยู่กับเจ้านายจริงๆ ของมัน คนที่ดูแลมันได้ดีกว่าผม
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
อาการสั่นครืดจากโทรศัพท์มือถือ บ่งบอกว่ามีข้อความส่งถึงเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า ผมรีบเปิดอ่านอย่างรวดเร็วเพราะอาจจะเป็นข้อความของคนตัวเล็ก
สิงหาติดธุระคงไปพบคุณไม่ได้ ขอโทษที่ให้รอ
พรุ่งนี้ถ้าน้องสะดวกจะรีบติดต่อกลับไป
แม้แต่คำพูดสักคำยังไม่มี ผมได้แต่อ่านข้อความดังกล่าวอยู่หลายรอบ เฝ้าถามถึงสาเหตุที่คนตัวเล็กมาที่นี่ไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่มีทางได้คำตอบแท้จริงนอกจากรอเก้อ
ผมลากเท้าจากจุดที่ยืนอยู่ขึ้นไปบนชั้นสอง ในห้องนอนมีแมวตัวอ้วนนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง ผมยิ้มให้มัน พยายามชวนมันพูดคุยเพื่อคลายเหงา ผมไม่รู้ว่าหลังจากของขวัญจากไปผมจะเหลืออะไร บ้านหลังนี้จากที่เงียบอยู่แล้วก็คงเงียบอีกเป็นเท่าตัว
“ตื่นแล้วเหรอ ไหนมองหน้าพ่อหน่อย” แมวอเมริกันช็อตแฮร์ตัวเดิมจ้องมองราวกับอยากรู้ เพราะในมือของผมยังคงถือกล้องฟิล์มเอาไว้และพยายามจะถ่ายมัน
“ถ่ายรูปกันนะ ของขวัญจะได้มีอัลบั้มรูปเก็บไว้”
“...”
“วันไหนที่พ่อไม่อยู่แล้ว ของขวัญจะได้มีรูปของตัวเอง”
ผมเหมือนคนบ้า พูดกับสัตว์ขนฟูตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจหรือเปล่า หรือบางทีหากมันพูดได้ก็คงจะตอบเหมือนคนอื่นๆ ว่าเบื่อผมเสียเต็มประดา
“ไปอยู่กับแม่แล้วอย่าลืมพ่อนะ อย่าลืม...” ก็แค่ความคิดเด็กๆ ผมถูกคนทั้งโลกหันหลังให้ หลงลืมจนเหมือนไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ แล้วมันจะผิดอะไรที่ผมยังหวังให้ใครคนหนึ่งจดจำชื่อของผมได้บ้าง แม้มันจะเป็นแค่แมวตัวหนึ่งก็ตามที
ผมถ่ายภาพเยอะมาก ดีที่มีห้องอัดรูปอยู่ด้านล่างและง่วนอยู่กับมันได้ทั้งวัน ผมทำอัลบั้มทุกอย่างที่เป็นภูผาเอาไว้มากมาย รูปภาพพอร์ตเทรต ผลงานวิทยานิพนธ์ พอร์ทโฟลิโอ เรื่องราวและภาพบรรยากาศงานละครเวทีนิเทศศาสตร์ รูปถ่ายครอบครัว ภาพแมวหน้าตาซื่อบื้อ และ...สิงหา
ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน มีรูปของสิงหาถูกจัดเก็บไว้เยอะมาก แต่ความฝันของผมก็ยังไม่หมดลง เพราะยังเหลืองานสุดท้ายที่อยากทำมานานแล้ว ตอนแรกคือตั้งใจทำกับเพื่อนในก๊วน แต่...สุดท้ายก็เหลือตัวคนเดียว
ผมวางกล้องไว้ตรงโต๊ะข้างหัวเตียง ลากเท้าไปหยิบปลอกคออันใหม่มาให้ แมวตัวนี้ค่อนข้างแปลก มันกลัวเสียงกระดิ่ง ดังนั้นการก้าวเดินของมันภายในบ้านจึงเต็มไปด้วยความเงียบ เหงา ยิ่งเหงาเป็นเท่าตัว
“ของขวัญ นี่อะไร” ถามพลางชูปลอกคอสีฟ้าอ่อนไว้ในมือ แมวขนเทานุ่มมองมันตาแป๋วแต่กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ ก็ดูตลกดี
“ให้ของขวัญนะ”
“...”
“สิ่งสุดท้ายที่พ่อซื้อไว้ให้เก็บมันไว้ดีๆ รักแม่ให้มาก อยู่กับเขาให้นานๆ แล้วสักวันเราจะได้พบกันอีก”
ผมคงพูดได้แค่นี้ มองดูเขาค่อยๆ จากไปกับคนตัวเล็ก และหวังว่าสักวันทั้งคู่จะมีความสุขและได้เจอสิ่งดีๆ อีกมากมาย
ผมลืมไปเลยว่านั่งลูบขนแมวอเมริกันช็อตแฮร์ตัวนี้นานเท่าไหร่ แต่การอยู่กับมันก็ทำให้ความทรงจำเก่าๆ ซ้อนทับเข้ามาจนใจหายเหมือนกัน เรานอนด้วยกันบนเตียงหลังนี้ พูดคุยและหลับไปด้วยกัน
เช้าวันต่อมาผมรีบอาบน้ำแต่งตัว หาอาหารให้มันกินก่อนย่างเท้าลงมาด้านล่างของบ้านเพื่อนั่งรอใครบางคน ไม่รู้หรอกว่าคนตัวเล็กจะมาเมื่อไหร่ ผู้จัดการของเขาไม่ได้บอกไว้ ผมคิดว่าบางทีกริ่งตรงรั้วบ้านอาจจะเสียเพราะมันไม่ยอมส่งสัญญาณเสียที
ผมทำอาหารง่ายๆ เพื่อต้อนรับแขก จากเช้า ย่างเข้ากลางวัน และฟ้าเริ่มมืดอีกครั้งในตอนเย็น
ไม่มีแม้แต่เงาของสิงหา...
โปรเจ็กต์อะไรอย่ามาพูดหน่อยเลย คนตัวเล็กอะไรอย่ามาพูดหน่อยเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่เคยมีและว่างเปล่าไปหมดแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง ผมควรเลิกหวังลมๆ แล้งๆ ได้แล้ว คนดังแบบนั้นทำไมต้องลดตัวลงมาทำงานกับตากล้องที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แถมยังถูกแบนจากคนในวงการอีกต่างหาก
ผมผิดเอง ผิด...ที่คิดเข้าข้างตัวเอง
ด้วยไม่อยากสร้างความหวังโง่ๆ อีก ผมจึงตัดสินใจต่อสายหาเพื่อนที่อยู่มิลานอีกครั้ง หวังจบเรื่องทุกอย่างลงเพียงวันนี้ และ...เวลานี้
[ว่าไง]
“เซน นายแบบที่กูอยากได้...ยกเลิกให้กูด้วยนะ”
[อ้าวทำไมอ่ะ มีปัญหาอะไรเหรอ] ปลายสายตอบกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เขาคงไม่อยากทำงานร่วมกับกู”
[แต่สิงหากับมึงเคย...]
“พอเถอะ บอกเขาว่ากูขอบคุณมาก แต่กูคงไม่มีความสามารถพอที่จะทำมันออกมาให้ดีอย่างที่หวัง ส่วนแมว...ถ้าเขาไม่อยากเข้ามาก็บอกให้ส่งคนมารับได้ทุกเมื่อ”
[แล้วมึงจะทำอะไรต่อไป]
“กูเหรอ...ไม่รู้สิ กูทำหน้าที่ลูกที่ดีไปแล้ว ต่อไปคงทำหน้าที่เจ้าบ่าวที่ดีล่ะมั้ง”
[มินตราคงดีใจจนเนื้อเต้น]
“เขาดีกับกู”
[รู้ แต่มึงก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ คิดถึงเพื่อนก็มาหา ตั๋วเครื่องบินไม่ได้แพงขนาดทำให้ขนหน้าแข้งของมึงร่วงหรอก]
“ขี้เกียจว่ะ ถ้าเมื่อไหร่ที่กูคิดถึงเพื่อน บางทีกูอาจต้องนอนฝันถึงไอ้วัชร”
[…]
“แล้วถามไถ่ว่ามันกำลังถ่ายภาพอยู่ที่ไหนระหว่างสวรรค์หรือนรก”
สามวันต่อมา...
กริ๊ง!
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ผมจึงค่อยๆ ชันตัวจากโซฟาเดินไปยังหน้าบ้านด้วยสีหน้าค่อนข้างอิดโรย เดาว่าคงเป็นบุรุษไปรษณีย์มาส่งพัสดุเหมือนทุกวัน ก็นะ...ไม่ค่าโทรศัพท์ ก็คงจะเป็นข้อความจากทางไกล หรือบางทีผิดคาดหน่อยก็อาจเห็นการ์ดแต่งงานของคู่บ่าวสาวในรุ่นสักคู่หนึ่ง
“สวัสดีครับ” น้ำเสียงคุ้นเคยกล่าวทักทาย ทันทีที่ผมเดินจวนจะถึงประตูรั้ว
“สิงหา...”
นี่คือความฝัน หรืออาการหลอนประสาทไปเองของผมกันแน่ ถึงได้เห็นว่าคนตัวเล็กยืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ แถมยังส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรอีกต่างหาก
“นึกว่าคุณจะไม่อยู่”
เขาพูดอีก ไม่สิ! นี่ไม่ใช่ความฝัน ผมเฝ้าภาวนาแบบนั้น
“ตัวเล็ก เอ่อ...คุณมายังไง”
“ผู้จัดการพามาส่ง สักพักเขาคงกลับมารับ”
“จะมารับของขวัญใช่มั้ย มันอยู่ข้างในคุณเข้ามาก่อนสิ” เรากลายเป็นคนอื่นโดยสมบูรณ์ กลับไปเป็นคนที่รู้จักกันในวงการซึ่งผูกติดกับคำว่าหน้าที่ แต่การได้เจอคนตัวเล็กแบบนี้มันทำให้ผมอยากร้องไห้ เขาดูดีขึ้นมาก น่ารักขึ้นมาก น่ารักกว่าตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายในวันแต่งงานซะอีก
ผมเปิดประตูให้สิงหาเข้ามาภายใน เท้าเล็กก้าวฉับๆ เข้าไปในตัวบ้าน ก่อนจะถลาไปหาเจ้าแมวอ้วนซึ่งนอนหน้ายับอยู่บนโซฟา
“ของขวัญคิดถึงกันมั้ย” เสียงใสเอ่ยอย่างมีความสุข โอบอุ้มไอ้ตัวขนฟูไว้ในอ้อมแขนทั้งพูดและหัวเราะไปพลางๆ
ผมไม่อยากถามไอ้วัชรแล้วว่ามันอยู่ที่ไหน ต่อให้ลงนรกผมก็ยินดี เพราะครั้งสุดท้ายอย่างน้อยเราก็ได้เจอกันแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” ว่าพลางเดินไปยังมุมครัว หยิบแก้วน้ำสีใสในตู้และน้ำดื่มซึ่งยังไม่ได้แกะขึ้นมา
ผมไม่ค่อยมีแขก ดังนั้นจึงแทบไม่ได้หยิบแก้วน้ำหรือจานชามออกมาจากตู้เลย
วันนี้ดีใจที่ผมอาจได้ล้างจานมากกว่าจำนวนที่ตัวเองเคยล้าง
“ของขวัญมันวิ่งเล่นบ้างมั้ย” เจ้าของร่างบางถาม
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ บางทีมันอาจเหงาและเบื่อที่ต้องอยู่กับผม ถ้าไปอยู่กับคุณผมคิดว่ามันคงมีความสุข”
“ไม่หรอก เมื่อก่อนของขวัญเคยเหงากว่านี้”
“...”
“แต่ผมก็ยังคิดถึงมัน” สิงหาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ค่อยๆ ย่างเท้ากลับมานั่งบนโซฟาโดยไม่คิดปล่อยเจ้าแมวอเมริกันช็อตแฮร์ให้หลุดมือไป
“ผมเปลี่ยนปลอกคอให้มันใหม่ ไม่อยากให้คุณทิ้งเพราะดูเหมือนมันจะชอบ”
“จริงเหรอ”
“ใช่...อ้อ ยังมีอัลบั้มของมันอีก ผมถ่ายรูปเก็บไว้เผื่อคุณอยากหยิบมาดูเล่น รูปของคุณเองก็มี ผมเก็บใส่กล่องเอาไว้ถ้าคุณต้องการ อีกอย่างคือในนั้นมีเงินสำหรับค่าจ้างเมื่อครึ่งปีก่อนที่ผมเป็นคนรับมา คิดว่าคุณอาจต้องการมัน”
“ผมลืมไปแล้ว” ดวงตากลมโตจ้องมองกลับ
“แต่ยังไงมันก็เป็นของตัวเล็กนะ พี่อยากให้เราเก็บไว้”
ยอมรับว่าอึดอัด ผมไม่อยากใช้สรรพนามแบบนั้นกับคนที่ผมรัก ผมอยากเรียกเขาในสิ่งที่ใจอยากเรียก อย่างน้อยมันก็คือความสุขสุดท้ายในชีวิตของผม
“งั้นผมขอรับมันหลังจากการจ้างงานเสร็จสิ้นดีกว่า”
“หมายความว่ายังไง”
เอียงคอถามด้วยความสงสัย มันยังมีการจ้างงานอื่นๆ อีกเหรอ
“เรื่องโปรเจ็กต์ของคุณ ผมตกลงจะมาเป็นนายแบบให้ พี่เซนเขาขอร้องว่ามันเป็นความฝันของคุณ และผมก็คงใจร้ายเกินไปหากปฏิเสธมัน”
“เรารับงานของพี่เหรอ”
“ใช่ครับ ที่มาวันนี้ก็ตั้งใจมาคุยเรื่องรายละเอียด คงจะดีกว่านี้ถ้าคุณนั่งลงและพูดคุยกันดีๆ”
“อ้อๆ” ผิดคาด โชคยังเข้าข้างและใจดีต่อเวลาให้ผมได้อยู่กับเขาอีกสักหน่อย ขอบคุณ...ผมไม่รู้ว่าจะพูดขอบคุณอีกกี่แสนล้านครั้งให้เทียบเท่ากับความสุขในตอนนี้
“โปรเจ็กต์ของคุณใช้เวลานานเท่าไหร่”
“ห้าวัน คิดว่าไม่เกินนั้น แต่ระหว่างนี้พี่ขอให้เราไม่รับงานอื่นนอกเหนือจากงานของพี่ ส่วนค่าตัวและค่าเสียเวลาพี่จะจ่ายชดเชยให้”
“ผมไม่มีปัญหา เรื่องเงินยังไงก็ได้ ที่ตอบตกลงแค่อยากช่วยให้ความฝันของคุณสำเร็จเท่านั้น”
“ขอบคุณ พี่ขอบคุณตัวเล็กมากนะ”
“ไม่เป็นไร แล้ว...ภรรยาคุณไม่อยู่เหรอครับ” ใบหน้าหวานหันซ้ายหันขวา คล้ายพยายายามสำรวจบริเวณต่างๆ ของบ้านเพื่อมองหาคนที่กำลังกล่าวถึงไปในตัว
“ไม่อยู่หรอกเขาออกไปทำงาน” ผมตอบแบบนั้น
“กลับตอนเย็นสินะครับ”
“ใช่กลับตอนเย็น”
“...”
“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย”
“ไม่ล่ะครับ ผมเกรงใจ อีกอย่างภรรยาของคุณกลับมาเราจะอึดอัดกันเปล่าๆ”
“แต่วันนี้เขาอาจกลับดึก” พูดออกไปอย่างคนเห็นแก่ตัว
“คุณภูผา...พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ ผมสงสารภรรยาของคุณ ดูแลเธอให้ดีเถอะ” คนตัวเล็กพูดเหมือนอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนผมเคยพูดว่าจะเป็นสามีที่ดี แต่ตอนนี้ผมกำลังทำตัวเป็นพวกสร้างปัญหาให้ภรรยาอยู่ร่ำไป
“แล้วตอนนี้เราเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ เรียนก็โอเค งานก็ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ ผมสนุกไปกับมัน”
“ดีแล้ว”
“คุณล่ะ หมายถึงคุณเป็นยังไงบ้าง”
“พี่สบายดี ก็ถ่ายรูปแล้วก็ทำโปรเจ็กต์ของเรานี่ไง”
“ถ้าเกิดผมไม่รับงานนี้ล่ะ คุณจะทำอะไร”
“พี่คิดไว้แล้วว่าจะไปอยู่กับเพื่อน”
“ไกลมากสินะ”
“ใช่คงไกลมากๆ”
“แล้วหลังจากจบงานนี้คุณได้วางแผนอะไรไว้มั้ย”
“พี่คงไม่รู้จะทำอะไร แค่ได้ถ่ายรูปเรามันก็คือความสุขทั้งหมด แต่คิดว่าหลังจากนั้น...”
“...”
“เพื่อนมันอาจมารับไปอยู่ด้วยกัน”
เราพูดคุยด้วยเรื่องทั่วไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง บางทีผมก็อยากให้นาฬิกาตายบนฝาผนังโกหกเราต่อไป ผมอยากให้นาฬิกาทุกเรือนบนโลกหยุดเราไว้แค่ตรงนี้ มีพ่อ แม่ ลูก มีครอบครัวอบอุ่นอย่างที่ผมฝัน แต่เกลียดเหลือเกินที่มันเป็นแค่ฝันไม่ใช่ความจริง
“ผมคงต้องกลับแล้ว พี่ผู้จัดการโทรมาบอกว่าพี่คินจะมารับ” ร่างบางลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับอุ้มเจ้าของขวัญเอาไว้แนบอก
“จะพากลับไปเลยใช่มั้ย”
“ครับ”
“มีตะกร้า แล้วก็ของใช้อีกสองสามอย่าง รอแป๊บนะ” รีบเบี่ยงตัวเดินไปยังชั้นสอง หยิบเอาของใช้สำหรับสัตว์เลี้ยงจากห้องนอนลงมาให้กับคนตัวเล็ก ผมมองแมวตัวอ้วนเป็นครั้งสุดท้าย เอื้อมมือลูบหัวมันสองสามครั้งก่อนส่งยิ้มให้
“ดูแลแม่ดีๆ นะ”
“ผมต่างหากที่จะดูแลมันอย่างดี”
“สิงหา”
“ครับ”
“เสื้อผ้าของเราพี่ยังเก็บเอาไว้ ระหว่างทำโปรเจ็กต์ถ้าไม่รังเกียจเรามานอนที่นี่ได้นะ คิดว่าคงใส่เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้บนห้องได้อยู่”
“ไว้ผมคิดดูก่อนแล้วกันครับ รู้สึกจะได้ยินเสียงรถของพี่คินแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาแต่เช้าคุณเองก็พักผ่อนบ้างนะครับ รู้สึกจะผอมลงไปเยอะ”
“ขอบคุณมากนะตัวเล็ก และพี่ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”
“มันผ่านไปแล้ว ผมไม่ได้ใส่ใจ ดูแลพี่มินตราให้ดีนะครับ”
“อืม...” ผมพยักหน้ารับ มองดูร่างบางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งย่อตัวเข้าไปนั่งในรถยนต์คันหรู ก่อนเคลื่อนไปข้างหน้าจนลับสายตา
ผมคงทำได้เท่านี้ ขอ...ให้เขาโชคดี
บ้านหลังนี้เงียบสงัดอีกครา ไม่มีของขวัญอีกแล้ว ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตัวของผมและเงาสะท้อนในกระจก ผมเดินกลับเข้าไปยังห้องนอน เปิดคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดซึ่งโชว์หน้าโซเชียลเอาไว้ ผมมีเรื่องเล่าให้มินตราฟังมายมาย อย่างน้อยก็เชื่อว่าเจ้าสาวของผมจะดีใจด้วย
ผมเฟซไทม์หาเธอ
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคือผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังโบกไม้โบกมือให้ผม ขณะที่ตัวเธออยู่อีกซีกโลกหนึ่ง
ใช่! เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ หลังจากแต่งงานกัน เราต่างตั้งคำถามติดตลกว่าการเข้าหอเป็นยังไง เพราะเมื่อคืนแต่งงานผ่านพ้น เช้าวันต่อมาสาวเจ้าก็ออกเดินทาง พร้อมกับบอกพ่อแม่ของเราถึงเหตุผลที่ควรแยกกันอยู่
[ไฮ! ยิ้มเชียวนะคุณภูผา วันนี้มีข่าวดีอะไร]
“วันนี้เขามาที่บ้าน ตอบรับโปรเจ็กต์ของฉัน” ผมบอก
ก่อนเหลือบตามองใครอีกคนที่โผล่เข้ามาบนจอพร้อมกับโบกมือไหวๆ
“บอกแซจิโอ้ไปไกลๆ ก่อนไป ฉันเกลียดหน้ากวนตีนของมัน”
[นายนี่พาลชะมัด] ดวงตาสวยจิกขวาง แต่ก็ไม่วายหันไปพูดคุยกับคนเคียงข้างอีกครู่ใหญ่
เราไม่เคยรักกัน ผมกับมินตราเคยคุยกันเรื่องนี้ เธอมีคนรักอยู่แล้วและพร้อมจะตั้งหลักปักฐานอยู่อังกฤษ มันเป็นผลดีกับเราทั้งคู่ เพราะสุดท้ายเรื่องของเงินทองมันก็ไม่มีผล ผมมีความสุขที่อยู่กับตัวเอง เธอมีความสุขกับผู้ชายต่างชาติผมสีบลอนด์ เรายึดเหนี่ยวกันแค่ใบทะเบียนสมรสแต่ไม่ใช่ชีวิต
เราต่างมีอิสระต่อกัน เธอมีความรักกับคนอื่นได้ ส่วนผมก็เช่นกัน เพราะการแต่งงานมันก็แค่เรื่องบังหน้าเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เพียงเท่านั้น
[แล้วเป็นยังไง สิงหายังน่ารักเหมือนเดิมมั้ย]
“เขายังน่ารักเหมือนเดิม น่าทะนุถนอมเหมือนเดิม”
[แน่ล่ะ ฉันโหลดซีรีส์ของเขามาดูด้วยแหละ น่ารักชะมัด คนจีบเยอะชัวร์เร่งมือหน่อยนะคุณ]
“ปล่อยให้เขาเจอคนที่ดีก็พอแล้ว ฉันคงไม่สามารถดูแลเขาได้ เพราะอะไรรู้มั้ย”
[…]
“เพราะเขาหมดรักไปแล้วยังไงล่ะ มีแค่ฉันที่ยังรักเขา”
[เฮ่ๆๆ อย่าร้องไห้ อย่าเป็นผู้ชายขี้แยนะฉันเกลียดมาก ไม่งั้นฉันจะเรียกแซจิโอ้มาต่อยนาย]
“เปล่าร้องซะหน่อย แค่คิดถึงของขวัญ”
[ไปแล้วเหรอ]
“อืม...คิดถึงทั้งคู่เลย”
[อย่าเอาแต่พูด พรุ่งนี้ใช่มั้ยที่เริ่มงาน พยายามเข้าล่ะ ฉันเชื่อว่าความรักของนายมันมีค่าสำหรับสิงหาเสมอ]
“ขอบคุณ”
[อย่าลืมกินยา]
“ไม่ลืมหรอก” ผมโกหก เพราะผมแทบไม่แตะต้องมันเลย
ไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่จำเป็น...
[หมอนัดวันที่เท่าไหร่]
“ถ้านับดีๆ ก็...วันจัดนิทรรศการภาพถ่าย คิดว่าจะรีบไปทันทีไม่ลืมหรอกน่า”
[ให้มันจริง]
ผมนั่งพูดคุยกับอีกฝ่ายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมกับการทำหน้าที่เป็นสามีที่ดี คิดว่าแบบนั้น เพราะตอนนี้ภรรยาของผมกำลังมีความสุข ผมอยากชดเชยทุกอย่างที่เธอต้องเสียไป มันอาจดูเห็นแก่ตัวแต่...ที่เหลือทั้งหมดผมอาจต้องชดใช้ให้ในเร็ววัน
เพราะเหตุผลที่ผมตัดสินใจแต่งงานก็คือ...
ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากทุกอย่าง ครอบครัว พ่อ แม่ พี่ชาย แม้กระทั่ง...สิงหา
ผมแค่อยากใช้ชีวิตทั้งหมดกับตัวเองในบ้านหลังเล็กๆ และเก็บความทรงจำในอดีตเอาไว้ให้ดีที่สุด ผมไม่ได้อยากมีความทรงจำใหม่เพิ่มเข้ามา เพราะกลัว...ว่าวันหนึ่งจะหลงลืมเรื่องราวในอดีตไป ผมถึงได้จมจ่อมอยู่กับการทำอะไรเดิมๆ ที่เหมือนไม่มีความหมาย อย่างน้อยก็ตอนที่หลับตา...
ผมยังจะได้เห็นใครคนนั้นอยู่ในความฝันทุกคืน
สิงหา...
เด็กผู้ชายเสื้อสีชมพู