ตอนที่ 7
ผมนั่งอยู่ปลายเตียง คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อยู่ในหัว ไม่รู้หรอกว่าพี่กับผู้หญิงข้างนอกพูดคุยหรือทำอะไรกันต่อ แต่โลกของผมมันได้ปิดลงพร้อมกับประตูไม้ที่พี่เป็นคนผลักจนเกิดเสียงดังก่อนหน้านั้นแล้ว เขาบอกว่าผมควรอยู่คนเดียวและสงบสติอารมณ์ที่ยากเกินความคุมนั้นไว้ซะ
ตอนนี้มันเริ่มเย็นลงแล้ว ผมมองเห็นความผิดเล็กน้อยของตัวเองที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในความรู้สึก การกระทำงี่เง่าที่ผมทำลงไป ด้วยการปาข้าวของลงพื้นและกระแทกเท้าเดินเข้าห้องอย่างไม่แยแส มันแย่จริงๆ นั่นแหละ
ถ้าจะให้ผมทบทวนมันก็คงระลึกได้เพียงแค่นี้ เพราะนอกจากนั้นแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรให้รู้สึกอีกเลยนอกจากความเสียใจ
แกร๊ก!!
เสียงลูกบิดถูกหมุน ผมหันกลับไปมองยังประตูไม้บานเดิมอีกครั้ง และก็เห็นว่าคู่หมั้นของพี่กำลังโน้มหน้าชิดกับกรอบประตูและส่งยิ้มให้ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“สิงหาฉันกลับแล้วนะ ไว้ว่างๆ เราไปเที่ยวกัน” เจ้าตัวส่งยิ้มก่อนโบกมือไหวๆ ส่วนผมก็ได้แต่จ้องมองนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“เดี๋ยวไปส่ง” และผมก็ได้ยินเสียงของพี่
“ไม่ต้องๆ ฉันมาเองก็ต้องกลับเองสิ”
ประตูถูกปิดลงพร้อมกับสองร่างที่หายไปจากสายตา ผมได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ชีวิตช่างไร้ค่าสิ้นดีจะทำอะไรก็ไม่ได้ ทำได้แค่หายใจทิ้งไปวันๆ เหมือนคนไร้ประโยชน์
ผมแค่หวังว่าวันต่อไปมันจะดีขึ้น แค่หวังว่าพี่จะทำดีตอบกลับและไม่ทำให้ผมต้องเสียใจอีกก็เพียงพอแล้ว ผมไม่ได้อยากร้องไห้ มันเหนื่อยจนรู้สึกเกลียดน้ำตาบ้าๆ นี่จะตาย แต่ทำยังไงมันก็ไม่เคยเหือดแห้งเลยสักที พยายามหลายครั้งเพราะไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกแย่ แต่พอนึกถึงทุกอย่างที่พี่ทำ ความพยายามทั้งหมดมันก็สูญเปล่าทันที
เกือบสามสิบนาทีได้มั้งที่พี่ภูหายไป...
“ไปล้างหน้าล้างตาซะ” ใบหน้าหล่อเหลาที่แนบอยู่ตรงขอบประตูทำให้ผมกะพริบตาปริบๆ จนกระทั่งร่างสูงเดินเข้ามาใกล้กับผม วางมือไว้บนบ่าแล้วก็ตบเบาๆ
“...”
“ไปล้างหน้าแล้วเช็ดน้ำตาซะ ตาแดงหมดแล้ว” ดูเหมือนพี่ก็ยอมอ่อนลงให้เหมือนกัน ไม่รู้หรอกนะว่าถูกบังคับมาจากผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า
“ผมไม่สำคัญก็ไม่ต้องทำเหมือนว่าผมสำคัญก็ได้นะ” เผลอพูดออกไปอย่างที่คิด ไม่ได้อยากประชด แค่กำลังคิดอย่างนั้นอยู่จริงๆ
“สิงหา...อย่าชวนทะเลาะ”
“...”
“ไปล้างหน้าซะ เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน”
“ไปไหนครับ”
“ไปเที่ยวห้าง แล้วอย่าคิดมากอีกล่ะ”
“พี่จะพาผมไปจริงๆ เหรอ”
“หรือไม่อยากไป” ผมรีบส่ายหัวไปมา เดินเข้าห้องน้ำเพื่อกวักน้ำล้างหน้า อย่างน้อยก็ชะล้างความเศร้าหมองและคราบน้ำตาออกไปบ้าง เพราะตอนที่เห็นหน้าตัวเองในกระจกมันชวนให้ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน
นี่คือสัญญาณที่ดีใช่มั้ย ดีแล้ว...แค่นี้ก็ดีแล้ว
“แล้วคู่หมั้นของพี่ภูจะไม่ว่า...” พูดไม่จบประโยคผมก็ได้รับสายตาขวางๆ จากพี่ซะแล้ว เราสองคนกำลังเดินอยู่ที่ห้าง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ เดินกับพี่ พูดคุยกัน แม้ว่าหัวข้อสนทนาหรือในความคิดของเราทั้งคู่จะมีแต่คนอื่นก็ตาม
“เลิกพูดถึงมินตราเถอะน่า”
“แค่เห็นพี่สนิทกัน”
“ก็เคยทำงานด้วยกันมาก่อน” เราเดินผ่านช็อปต่างๆ อย่างไร้จุดหมาย แค่เดินไปเรื่อยๆ ลากเท้าไปตามพื้นเหมือนกำลังใช้ช่วงเวลานี้ตอบคำถามที่ค้างคาใจเสียมากกว่า
“พรุ่งนี้...”
“...”
“พรุ่งนี้ผมจะไปขอโทษเขาครับพี่ภู”
“ช่างเถอะยัยนั่นไม่ว่าอะไรหรอก” มือหยาบใหญ่วางไว้บนหัวผม โยกไปมาเหมือนเด็กน้อยราวกับไม่ถือสาความผิดที่เคยเกิดขึ้น พี่เปลี่ยนไปจริงๆ กลายเป็นภูผาใจดีคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก สุภาพ อ่อนโยน ถึงจะนิ่งไปบ้างแต่ก็ไม่เคยละเลย
“แล้วพี่โกรธผมมากมั้ย”
“ถ้าเชื่อฟังพี่จะโกรธเราทำไมล่ะ แค่อย่าดื้อ แล้วนี่อยากได้อะไรหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“เสื้อผ้าล่ะ”
“ไม่...ผมมีพอแล้ว” ผมส่ายหัวไปมาไม่กล้ารับอะไรจากเขาอีก ไม่รู้สิแค่ความรู้สึกที่มีให้กันก็เพียงพอแล้วมั้ง ถึงไม่รู้ว่ามันจะยาวนานแค่ไหนก็เถอะ หวังว่าสักวันเราจะไม่ติดค้างกันอีก ผมแค่ใช้ความรู้สึกแลก ถ้าจะติดมันก็มีเพียงความรู้สึกของเราเท่านั้นแหละที่เหนี่ยวรั้งกันเอาไว้
“อยากกินไอติมมั้ย”
“ครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของพี่อีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้อยากปฏิเสธ สุดท้ายเราก็มานั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมสุดในร้านไอศกรีมแห่งหนึ่ง
“อยากกินอะไรสั่งเลย”
“เหมือนเดิม” ผมตอบ
“เหมือนพี่อ่ะเหรอ”
“ครับ” ผมชอบกินไอศกรีมรสเดียวกับพี่ แต่ความจริงแล้วมันคือความเคยชินที่ติดมาตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งแล้วต่างหาก ช่วงที่จีบกันใหม่ๆ มันมีแต่ความเขินอาย พอพี่ภูสั่งอะไรผมก็จะสั่งตามหมดจนกระทั่งเคยชิน...รสชาติแบบนั้นมาจนถึงตอนนี้
จากนั้นพี่ก็หันไปสั่งพนักงาน เรารอกันสักพักก่อนไอศกรีมจะถูกยกเสิร์ฟ
“กินเลย”
“พี่ก็กินด้วยสิครับ มันเป็นของที่พี่ชอบ”
“อืม...” ไม่ปล่อยให้บอกซ้ำสองมือหนาที่ถือช้อนใบเล็กก็จิ้มตักไอศกรีมเข้าปากสองสามคำ ก่อนความเงียบจะค่อยๆ ปกคลุมพื้นที่จนกระทั่งผมรู้สึกอึดอัด ใจจริงอยากถามถึงช่วงเวลาที่เราห่างหายกันไป อยากถามเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่ก็กลัวพี่จะโกรธ
พี่ภูอารมณ์ดีได้แค่แป๊บเดียว และผมกลัวว่าจะทำอะไรพลาดให้เขารู้สึกโมโหอีก
มันค่อนข้างแย่
“มีอะไรเหรอสิงหา” กลายเป็นเสียงทุ้มพูดทำลายความเงียบซะเอง ผมจึงเงยหน้าขึ้นและได้สบตากับอีกฝ่ายตรงๆ อีกครั้ง ทั้งที่รู้สึกกลัวเป็นเท่าทวี
“เปล่าครับ”
“จะถามอะไรก็ถามมา นี่เปิดโอกาสแล้ว”
“สามเดือนที่ฝึกงาน...พะ...พี่คิดถึงผมบ้างหรือเปล่าครับ เคยคิดที่จะกลับมาที่ห้องของเราสักครั้งมั้ย” จริงๆ นี่อาจเป็นสิ่งที่ค้างคาที่สุดในหัวของผมก็ได้ มันสำคัญมากกว่าเรื่องของคู่หมั้นซึ่งรู้คำตอบอยู่แล้วเป็นไหนๆ
“จริงๆ ตอนแรกก็คิดถึง อยากกลับ...” เจ้าตัววางช้อนลง ชันแขนทั้งสองข้างกับโต๊ะพร้อมกับพูดเสียงราบเรียบและสายตาเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่มีความรู้สึก
“...”
“แต่เพราะงานมันรัดตัว อะไรๆ มันก็ยุ่งยากไปหมดจนรู้สึกว่าเวลาที่อยากเดินทางไปไหนมาไหนมันน้อยลง ระยะทางจากที่ทำงานและคอนโดของเราก็เหมือนห่างขึ้น ความวุ่นวายของการทำงานมันมีอิทธิพลจนทำให้ลืมไปเลยว่าต้องทำอะไร ไปที่ไหน รู้แค่สิ่งที่จำเป็นต้องทำในเวลานั้นจริงๆ”
“งั้นตอนนั้นผมก็คงไม่จำเป็น”
“ก็คงงั้น”
เจ็บจัง บางทีพี่ก็ตอบตรงเกินไป ผมรู้ว่าพี่ภูเหนื่อยที่จะต้องมาพูดถนอมน้ำใจ แต่ช่วงเวลาของคนรอที่ไม่รู้ว่าปลายทางมันอยู่ตรงไหนก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน ต้องร้องไห้ ต้องโดดเดี่ยว กอดเข่าตัวเองหลับบนโซฟา ขณะที่ริมฝีปากก็เอาแต่พึมพำว่าคืนนี้ขอให้พี่กลับห้องนับร้อยนับพันครั้ง
แต่ไม่มีเลย...มันว่างเปล่าไปหมด
“สิงหาขอโทษนะ”
“...!!”
“สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”
“รู้มั้ยผมอยากโกรธพี่ อยากเกลียดพี่ อยากเลิกรักพี่ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยทำได้เลย ถึงแม้รู้อยู่เต็มอกว่าจะต้องเจ็บสักแค่ไหนแต่ผมก็ยังยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นไอ้โง่ดักดานอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะถ้าพี่ยืนยันว่าจะจับมือของผมต่อไป ผมก็จะจับมือของพี่ไว้เช่นกัน”
“สัญญาแล้วนะว่าจะไม่ปล่อยมือ” เสียงทุ้มถามย้ำ เลื่อนมือมากุมมือของผมเอาไว้จนแนบสนิท
“ครับ ถ้าวันไหนที่มันหลุดคือพี่เลือกที่จะปล่อยมันเอง”
“...”
“และผมยินดียอมรับความจริง”
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
อาการสั่นครืดจากโทรศัพท์เครื่องหรูทำให้เจ้าของหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดรับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ริมฝีปากได้รูปขยับตอบอยู่สองสามประโยคก่อนจะวางสายไป และผมก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร เพราะถ้าเจ้าตัวอยากบอกเขาก็คงเป็นฝ่ายบอกผมเองนั่นแหละ
“รีบกินไอติมเถอะ พี่มีธุระต้องเข้าไปจัดการ”
“ถ้ารีบมากพี่ภูไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับเอง”
“...”
“ผมไม่หนีพี่ไปไหนหรอก” หนีไปก็ไม่เคยพ้น สุดท้ายก็ถูกตามตัวกลับมาอยู่ดี หนำซ้ำอาจเจ็บตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ ฉะนั้นผมถึงไม่อยากดิ้นรนจะหนีไปไหนอีก เพราะถ้าวันไหนมันไม่ใช่แล้วพี่เหนื่อย เขาก็คงจะหยุดเอง
“ไม่ต้องพูด เดี๋ยวไปด้วยกัน”
“ที่ไหนครับ?”
“สตูดิโอเล็กๆ ของพวกช่างภาพนี่เอง ไม่มีอะไรหรอก”
ไอศกรีมในถ้วยนั้นไม่ได้พร่องลงไปมากนัก เราสองคนต่างก็เร่งรีบไปงานสำคัญของพี่เสียก่อน จนกระทั่งมาถึงจุดหมายในเวลาอันรวดเร็ว
ที่นี่เป็นสตูดิโอเล็กๆ อย่างที่พี่บอกไว้จริงๆ มันเหมือนบ้านหลังหนึ่งซึ่งถูกปรับแต่งเป็นออฟฟิศสำหรับใช้ทำงานของช่างภาพอิสระที่อยากหาความเป็นส่วนตัว เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เหมือนกับบ้านสวน แต่ดีไซน์และการตกแต่งภายในนั้นแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง เมื่อมันเต็มไปด้วยภาพถ่ายจำนวนมากถูกแขวนอยู่บนฝาผนัง
“นั่งตรงนี้ก่อน” พี่ภูสั่ง ผมเลยทิ้งตัวลงบนโซฟา ปล่อยให้คนตัวสูงเดินไปพูดคุยกับเพื่อนตากล้องที่รู้จักกันอีกคนหนึ่ง
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคุยอะไร จากที่นั่งรอก็กลายเป็นเริ่มหาว พอเริ่มหาวจากคนไม่มีอะไรทำสุดท้ายก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาจนเผลอหลับไปซะดื้อๆ
ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกนิ้วแกร่งสะกิดไหล่เบาๆ เนี่ยแหละ
“สิงหาตื่นก่อน” เสียงเรียกของพี่ และใบหน้าของเขาอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซ็นต์
“ครับ” ผมขยี้ตาเพื่อปรับโฟกัสสายตาอีกครั้ง
“ค่ำแล้ว แต่พี่ต้องออกไปทำธุระข้างนอกกับเพื่อนเพราะงั้นนอนอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน หรือไม่ก็นั่งดูทีวีไป”
“ให้ผมไปด้วยได้มั้ยครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
“พี่ไปไม่นาน เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว รออยู่ที่นี่เนี่ยแหละ” ก็ได้แต่พยักหน้าเข้าใจยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ทั้งที่จริงๆ แล้วในใจมันอยากวิ่งตามร่างสูงที่เดินผละห่างออกไปใจแทบขาด
กลัว...
ความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้ในตอนนี้ ด้วยไม่ชินกับบรรยากาศและสถานที่ทำให้ผมไม่กล้าลุกจากโซฟาเดินไปไหนเลยนอกจากนั่งนิ่ง ควานหารีโมตกดดูรายการอย่างมั่วๆ เพื่อทำลายความเงียบเพียงเท่านั้น
กุกกักๆ แกร๊ก!!
เสียงตะกุกตะกักจากประตูทางเข้าทำให้ผมหันหลังไปมองด้วยความขยาด ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้เป็นพี่กับเพื่อน ผมจะได้ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรแบบนี้ แต่ภาพที่เห็นและเงามืดของร่างสูงซึ่งสะท้อนไฟนั้นกลับไม่ใช่พี่ แต่เป็นใครก็ไม่รู้อีกสองคนที่กำลังย่างกรายเข้ามา
“ไอ้วัชรอยู่มั้ย” เสียงเข้มแตกพร่าโพล่งถาม
เขาเป็นตากล้องเหมือนกันเหรอ หรือว่าเป็นทีมอาร์ตคนไหนในออฟฟิศแห่งนี้หรือเปล่า
“มะ...ไม่อยู่ครับ อะ...ออกไปกับพี่ภู”
“อ๋อเหรอ ไปนานหรือยัง”
“ได้สักพักแล้วครับ” ผมรีบลุกขึ้นเต็มความสูง ถอยกรูดไปด้านหลังอย่างไม่คิดชีวิต ไม่รู้หรอกว่าสองคนนั้นปลอดภัยหรืออันตรายแค่ไหน ผมแค่ปกป้องตัวเองจากความหวาดระแวงที่ถูกสร้างขึ้นในจิตใจก็เท่านั้น
“แล้วนี่น้องเป็นใคร”
“ผะ...ผมเป็นแฟนพี่ภูครับ”
“อยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ” เจ้าของคำถามยิ้มกริ่ม มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวมากในความคิดของผม แต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากถอยหลังไปเรื่อยๆ
“ครับ แต่เดี๋ยวพี่มา”
“มันไม่มาตอนนี้หรอกน้อง เพราะมันเพิ่งสั่งให้พี่ดูแลน้องแทนเนี่ย”
“มะ...ไม่นะ!”
โครม!!
ไวเท่าความคิด หลังจากที่ผู้ชายสองคนนั้นกำลังพุ่งจู่โจมมายังผม ร่างกายที่มันสั่นกลัวก็ตอบสนองอัตโนมัติด้วยการหันตัวและวิ่งหนี แต่มันดันพลาดที่ข้างหลังไม่ใช่ประตูหรือพื้นที่โล่งอะไร แต่มันกลับเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะตัวใหญ่ซึ่งถูกผมเหวี่ยงแขนใส่จนล้มครืนลงมาต่อหน้าต่อตา
“ฮืออออออ อย่า...อย่าทำผมเลย” แข้งขาอ่อนเปลี้ยไปหมด ได้แต่ทรุดเข่าลงพร้อมกับยกมือไหว้ขอร้องทั้งน้ำตา
“เฮ้ยน้องเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย”
“ฮืออออไม่คะ...ครับ พี่อย่าทำผมนะ กลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว” ผมบอกไปแทบไม่เป็นภาษา ดวงตาทั้งสองข้างฟ่าฟางไปหมด และที่สำคัญความเจ็บก็กำลังแผ่ซ่านไปทั่วปลายเท้าเมื่อเห็นว่าข้าวของอะไรบางอย่างหล่นร่วงลงมาทับจนขยับไปไหนไม่ได้
“พี่ไม่ได้จะทำอะไร น้องเข้าใจผิดแล้ว”
“อย่า..อย่าแตะผมนะ” ผมรีบสะบัดแขนอย่างแรงเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะดึงตัวผม
“ฟัง!! น้องฟัง!!”
“ฮึก...”
“ไอ้ภูสั่งให้พี่มาอยู่เป็นเพื่อน ตอนนี้มันติดธุระสำคัญ แต่เห็นทีคงต้องโทรตามมันกลับมาซะล่ะมั้ง” ผมได้แต่เงียบ ประมวลผลทุกอย่างอยู่ในหัว
อยู่เป็นเพื่อน...แล้วสิ่งที่คิด สิ่งที่กลัวล่ะ ผมคิดไปเองอย่างนั้นเหรอ
หวาดระแวงไม่เข้าเรื่อง จนทำให้คนอื่นพลอยลำบากไปด้วย
แย่จริงๆ สิงหา แกจะเป็นภาระกับคนอื่นไปอีกนานแค่ไหน
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!!”
เสียงสบถของพี่ภูดังลั่นสตูดิโอจนทำให้ผมสะดุ้งโหยง หลังเขากลับจากธุระ ใบหน้าเรียบเฉยก็ขมวดคิ้วมุ่น เอาแต่กัดฟันกรอดมองดูสารรูปของผมที่นั่งก้มหน้างุดอยู่ตรงโซฟา พร้อมกับคอมพิวเตอร์ราคาแพงซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
“ผมไม่ได้ตั้งใจครับ” ตอบกลับไป แม้รู้ดีว่ามันไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นเลยสักนิด
“ก็ไม่ได้ตั้งใจตลอดแหละ แล้วคิดยังไงนึกว่าไอ้พวกนี้เป็นโจร”
“ปะ...เปล่า เขา...เขาเข้ามาแบบ...”
“หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้างสิ ไม่ใช่อะไรก็กลัวไปหมด แล้วรู้มั้ยว่าทำข้าวของพังไม่พอไหนจะงานที่อยู่ในนั้นอีก มันเร่งส่งแต่ก็ทำให้มันล่าช้าไปอีกนะสิงหา!!” ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งขึ้นเสียงสูงเรื่อยๆ จนเพื่อนพี่ภูต่างพากันตบบ่าและปรามเอาไว้ไม่ให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านไปมากกว่านี้
“ใจเย็นภู ไฟล์มันไม่หายหรอกแค่หน้าจอพัง เดี๋ยวกูทำในพีซีก็ได้”
“ก็ไง เสียเวลาอีกมั้ย”
“ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมเอาแต่บอกประโยคซ้ำๆ เดิมๆ อย่างไม่มีเบื่อหน่าย ด้วยหวังว่าพี่จะเห็นใจสักนิด คือผมไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ยอมรับว่ากลัวไม่เข้าเรื่องและมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่เพราะผมไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวในสถานที่แบบนี้เลยเผลอทำเรื่องไม่เข้าท่าออกไป
“พี่ไม่น่าพาเรามาเลย น่าจะให้กลับตั้งแต่กลางวัน ก็ไม่คิดว่าเราจะเป็นแบบนี้”
“ขอโทษครับ”
“ไม่น่าโง่ขนาดนี้เลยจริงๆ”
“มึงจะพูดทำไมวะเชี่ยภู อีกอย่างน้องมันก็เจ็บ พามันกลับก่อนเหอะ งานที่เหลือจะส่งยังไงเดี๋ยวกูจัดการเองไม่มีอะไรแล้ว ไปๆ วันนี้กูงดรับแขก” พี่วัชรที่เป็นเจ้าของสตูดิโอดันหลังร่างสูงให้เดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับดึงข้อมือของผมยัดใส่ในมือของพี่ ก่อนจะผลักเราออกนอกตัวบ้านอย่างหน้าตาเฉย
ผมปวดเท้า จำไม่ได้แล้วว่าอะไรร่วงลงมาทับแต่ก็พยายามเดินตามอีกฝ่ายให้เป็นปกติที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาโกรธไปมากกว่าเดิม
“กลับไปที่ห้องคงต้องคุยกันอีกยาว”
“...”
“ยังจะยืนนิ่งอยู่อีก รีบตามมาสิ!!”
“ครับ”
ผมวิ่งปนเขย่งไปจนถึงตัวรถ และพี่ก็ขับกระชากออกไปด้วยอารมณ์โกรธอยู่เต็มเปี่ยม ผมเองที่รู้ว่าผิดอยู่เต็มเปาจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ นอกจากกลับมายังห้องและฟังคำบ่นของพี่จนหูชา
ผมนึกว่าวันนี้จะเป็นวันดีซะอีก
สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่า ไม่น่าตั้งความหวังไว้เยอะเลยสิงหา...
“ไหนดูเท้าซิ” ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงตรงพื้น เอื้อมมือมาดูข้อเท้าของผมที่กำลังแดงช้ำและปูดบวมจนห้อเลือด
“ไม่เป็นไรครับ ทายาเดี๋ยวก็หาย”
“ก็เดี๋ยวจะทาให้ไง” มือหนาหยิบยาหลอดสีขาวมาทาไปทั่วบริเวณที่บวม ความเจ็บจากการสัมผัสทำให้ผมชักเท้ากลับเป็นครั้งคราว แต่พี่ก็ไม่เบามือเอาซะเลย
“ขอบคุณครับ”
“ก่อเรื่องอะไรไว้อย่าคิดว่าจะลืม”
“ผมไม่รู้ นึกว่าเพื่อนพี่ภู...”
“ไม่รู้ๆๆ วันๆ รู้จักแต่คำนี้หรือไง ขอร้องเถอะสิงหาพี่แม่งโคตรเหนื่อยเลยว่ะ ทำให้สบายใจสักเรื่องได้มั้ย วันไหนเชื่อฟังไม่ต่อต้านดันเสือกก่อเรื่องอีก อยากให้พี่บ้าตายเหรอ”
“...”
น้ำตาหนึ่งหยดเริ่มไหลแหมะอีกครั้ง ทว่าผมต้องรีบใช้หลังมือเช็ดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้มหน้าไม่พูดไม่จา พี่จะว่ายังไงก็ได้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระ เหมือนคนไม่มีประโยชน์ยังไงชอบกล
“ที่สตูดิโอตอนนี้มีโปรเจ็กต์ใหญ่และต้องการนายแบบหน้าใหม่ เตรียมตัวไว้ให้ดีเพราะพี่จะเลือกเรา”
“ฮะ?”
“เดี๋ยวใกล้ๆ จะบอกรายละเอียดอีกทีหนึ่ง แล้วเมื่อตอนเย็นเอเจนซี่ของเราเขาโทรมา พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า พี่ก็รับงานถ่ายแบบของเราเอาไว้แล้วด้วย”
“...”
“เตรียมตัวซะ ขืนยังเป็นแบบนี้โดนใครต่อใครที่ไม่ใช่พี่ว่าเราจะเจ็บยิ่งกว่า”
“ผะ...ผมไม่อยากไปถ่ายแบบครับพี่ภู” ใบหน้าของเขามองผมแน่นิ่ง เหมือนพยายามข่มความรู้สึกโมโหแทบทะลุเอาไว้สุดความสามารถ
ใช่! พี่คงผิดหวังกับคนอย่างผมที่มันไม่มีอะไรดีเลย พอตั้งใจจะทำอะไรมันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ทำไมไม่อยากไป อยากเข้าวงการไม่ใช่เหรอ”
“...”
“พี่ถามให้ตอบ!!”
“ผมเป็นภาระ ผมอาจทำให้คนอื่นเดือดร้อน”
“...”
“ผมรู้พี่ก็คิดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ เพราะผมทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่าง...พี่หรือคนอื่นก็เอาแต่พูดแบบนั้น มันเจ็บ...” แล้วน้ำตาก็ยังคงไหลลงมาเงียบๆ
เหมือนมีใครสักคนหนึ่งด่าเราว่าโง่ แรกๆ นั้นเจ็บปวดแสนสาหัส ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่านานๆ ไปมันอาจจะชิน แต่ไม่เลย หัวใจของผมไม่ได้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงถึงขนาดไม่รู้สึกอะไร
“ผมอยากเป็นเหมือนคนอื่น เป็นเหมือนคู่หมั้นของพี่ที่ดูมั่นใจไปซะทุกอย่าง ไม่ต้องกลัวผิด ไม่ต้องกลัวจะโดนพี่ด่า ไม่กลัวอะไรเลย”
“...”
“ผมอยากเป็นเธอ”
“คิดได้แค่นี้ใช่มั้ย”
“...”
“นี่คือความคิดของคนที่ชื่อสิงหาเหรอเนี่ย”
“...”
“ไม่น่าเกิดมาเลยจริงๆ”