ตอนที่ 4
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูไม่ดังมากฉุดให้ผมซึ่งยืนอยู่ตรงครัวหน้าระเบียงหันไปให้ความสนใจกับเป้าหมายในทันที ทว่าก็พอรู้ว่าเป็นใครเลยต้องรีบวิ่งไปเปิดประตูต้อนรับอย่างเร็วรี่
“เฮ่โย่วมายเฟรนด์!!” เป็นเบียร์กับเพื่อนพ้องที่คณะของผมนั่นแหละ พวกเขายืนยิ้มแป้น ในมือถือของกินและเครื่องดื่มมาแบบจัดเต็มในตอนกลางดึก
ถามว่าเนื่องในโอกาสอะไร ก็คงไม่มีอะไรหรอกเพราะเราสอบปลายภาคเสร็จแล้ว และปิดเทอมที่หลายคนโหยหาก็กำลังมาเยือนอีกครั้ง เบียร์เลยเป็นตัวตั้งตัวตีเสนอตัวเป็นพ่องานจัดปาร์ตี้ใหญ่ แต่ไปไหนไม่ไปดันมาจัดที่ห้องผมซึ่งเล็กยิ่งกว่ารูหนู
“เข้ามาเลย แคบหน่อยนะ บอกแล้วว่าอย่ามาห้องเรา” ผมบ่นเล็กน้อย
“มาห้องมึงอ่ะดีแล้วสิงหา เล็กแบบนี้ได้บรรยากาศเหมือนผับดีไง เบียดบี้อ่ะเข้าใจป้ะ” ผมยอมใจเบียร์เลยจริงๆ ปล่อยให้พวกเขาป่วนห้องกันจนพอใจ ส่วนตัวเองก็รีบมาทำอาหารที่เตรียมไว้สำหรับปาร์ตี้ครั้งนี้ด้วย
เกือบสองเดือนแล้วมั้งที่ผมไม่ได้เจอพี่...
ถ้าถามว่ารู้สึกยังไง มันก็ยังโหวงหวิวพอดู ผู้ชายที่ชื่อภูผาหายไปจากชีวิตผมจริงๆ ไม่มีการติดต่อ ไม่มีการพบเจอ เราต่างฝ่ายต่างเป็นอากาศธาตุ แม้แต่ข่าวคราวของพี่เองก็เงียบหาย ผมไม่รู้ว่าเขาเตรียมตัวไปทำงานที่ไหนบ้างแล้ว เพราะหลังจากวิทยานิพนธ์เสร็จสิ้นพี่ก็เหมือนกับสายลม
พัดผ่านไปไม่กลับมาอีกเลย
แรกๆ นั้นในความฝันของผมมีพี่ มันเหมือนเป็นฝันร้ายเพราะถึงแม้ว่าในนั้นผมจะมีความสุขแค่ไหนมันก็ยังคงเป็นแค่ความฝันอยู่ดี และที่สำคัญมันทำให้ผมลืมพี่ไม่ได้สักที
ความทรงจำเกี่ยวกับพี่บางทีมันก็เป็นอันตรายต่อการจำเหลือเกิน
แต่ผมเชื่อเสมอว่ากาลเวลาเยียวยาทุกสิ่ง แม้มันจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ก็ตาม ในความฝันผมยังมีเขา แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น...มันก็ไม่เจ็บปวดมากนัก อาจเพราะเคยชินไปเสียแล้วผมจึงไม่เคยคาดหวังอะไรอีกเลย เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าพรุ่งนี้ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาจะต้องเจอกับอะไร
“ไอ้สิงหา เหม่ออยู่นั่นแหละหมูไหม้แล้วนั่น เหม็นโว้ยยยยยย!!” เสียงตะโกนโหวกเหวกภายในห้องทำให้ความคิดผมหลุดจากภวังค์กลับมาสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง
“เฮ้ย! เราขอโทษ” ผมพูดเสียงละล่ำละลัก รีบปิดแก๊สอย่างเร็วรี่ก่อนจะใช้ตะหลิวเขี่ยเศษซากอาหารที่ครั้งหนึ่งคิดว่ามันกินได้ออกมาลวกๆ ด้วยความเสียดาย
พังอีกแล้ว จานที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เป็นแบบนี้เวลานึกถึงพี่
“พอเลยมึงเดี๋ยวให้ไอ้เก่งมันไปทำ”
“ไม่เป็นไรเราทำต่อได้”
“ทำอีกก็เหม่ออีก ไปหมดแล้วสมองมึงอยู่ดีๆ ก็ลืมว่าทำอะไร ให้เพื่อนไปทำอ่ะดิละ ส่วนมึงมาเคลียร์กับกูก่อน” ผมยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เดินกลับเข้าไปในห้อง นั่งลงบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบเคียงข้างกับเพื่อนสนิท
“มีอะไร”
“ปิดเทอมทำอะไรดี กลับบ้านมั้ย”
“ว่าจะกลับสักอาทิตย์หนึ่ง เสร็จแล้วก็กลับมาหางานพิเศษทำ ไม่อยากให้แม่ลำบากเรื่องค่าเทอมที่ต้องจ่ายเทอมหน้าน่ะ ไม่ใช่น้อยๆ เลย”
“แล้วเรื่องที่มีคนติดต่อ...”
“เพื่อน! เลิกพูดเรื่องเครียดเหอะว่ะ วันนี้มันวันทิ้งโลกของเรานะเว้ย เอ้าชน!!” เบียร์พูดไม่ทันจบประโยค เพื่อนในวงล้อมก็หยิบยื่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แถมคะยั้นคะยอให้ดื่มอีกต่างหาก ผมจึงรับไว้ไม่ให้เสียน้ำใจ เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังแตะแอลกอฮอล์ไม่ได้ ทั้งแพ้ และไม่ชอบแบบสุดๆ
ช่วงเวลาของความสนุกเริ่มขึ้น เสียงเพลงถูกเปิดสร้างบรรยากาศในห้องได้เป็นอย่างดี ทุกคนดูจะเมามายกันได้ที่ ดูได้จากจำนวนขวดเบียร์และเหล้าซึ่งพร่องลงไป พร้อมกับสายตาหยาดเยิ้มกึ่งพร่าเบลอที่เริ่มทยอยแสดงอาการ
“สิงหามานี่ดิ” เบียร์กวักมือเรียก ผมเลยปราดเข้าไปพยุงร่างโปร่งให้นั่งแถวๆ นั้นเพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวก็แทบทรงตัวไม่ไหว
“ง่วงเหรอ ถ้าง่วงก็นอนนี่แหละ ไม่อยากให้นายกลับทั้งสภาพแบบนี้”
“ใครง่วงวะ บ้าป่ะ”
“ดูท่าจะไม่จริง”
“อย่าพยายามเปลี่ยนเรื่องน่า กูแค่กรึ่มๆ สรุปปิดเทอมเอาไงที่มีคนติดต่อให้ลองไปถ่ายแบบอ่ะ ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสแบบนี้นะเว้ย ลองดูก็ไม่เสียหายหรอก” สุดท้ายก็เรื่องนี้เองที่เบียร์คิดอยู่ในหัว
จริงๆ แล้วผมลืมไปซะสนิทว่าเคยเก็บนามบัตรใครคนหนึ่งเอาไว้ด้วย เพราะช่วงสองเดือนมานี้เราต่างยุ่งกับการเรียนและการสอบชนิดหัวหมุน อีกอย่างโลกของผมตอนนั้นมันมืดยิ่งกว่าอะไรดี เพราะความสัมพันธ์ของผมกับพี่จบลงไม่สวยสักเท่าไหร่ แม้แต่ความเป็นพี่น้องเราก็ไม่หลงเหลือให้กัน
การที่จะลืมทุกสิ่งที่คิดว่าไม่สำคัญตอนนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ไม่แน่ใจ กลัวจะไปสร้างปัญหาให้พวกเขาอีก”
“โธ่ไอ้บ้า!! คิดโง่มากเลยครับเพื่อน ถ้าใครบอกเหตุผลนี้กับกูแล้วมันไม่ใช่มึงกูคงกระทืบไปแล้ว ไร้สาระสิ้นดี”
“...”
“หรือกลัวไม่ได้เงิน”
คราวนี้ผมพยักหน้า
“กลัวโดนหลอก อีกอย่างถ้าทำงานได้ไม่ดีเดี๋ยวเขาจะว่าเอา”
“คิดอะไรมาก เริ่มต้นใหม่ได้แล้ว ลืมๆ ไปซะเถอะสิงหา กูรู้ในใจของมึงยังมีพี่มันอยู่ แต่มึงต้องเข้าใจนะว่าโลกที่ไม่มีมันมึงก็อยู่ได้ ดูดินี่จะสองเดือนแล้ว ชีวิตมึงโอเคดี แมวมึงกินอิ่มนอนหลับ ไม่จำเป็นเลยที่มึงจะหวนนึกถึงอดีตอีก”
เบียร์ไม่เคยพูดถึงพี่ แต่ในเวลาที่เมาเจ้าตัวมักจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเสมอ ผมเดาว่ามันอาจเป็นสิ่งที่สมองของเขาพยายามสั่งการ เพราะมันค้างคาเกินไป เลยเลือกที่จะเก็บเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายผมเสียมากกว่า
“ก็พยายามไม่นึก แต่เบียร์...เราอยู่กับเขามาเกือบสองปีเลยนะ เรามีเขาคอยโอบอุ้มคอยเป็นห่วงตลอด แต่พอมันล้มครืนลงมาเวลาสองเดือนมันเยียวยาแผลให้หายสนิทไม่ได้หรอก”
“มัวแต่คิดแบบนี้แล้วคุณค่าในตัวมึงล่ะ ภูผาไม่ใช่ผู้ชายที่จะหยุดอยู่กับใครได้ตลอดหรอกนะ บางทีตอนที่มึงร้องไห้หามันจะเป็นจะตาย มันอาจจะนอนอยู่กับใครอีกคนก็ได้”
“...”
“ค่าของตัวมึงน่ะมันอยู่ที่ว่ามึงเป็นคนของใครต่างหาก”
ผมเม้มปากแน่น ไม่ตอบอะไรออกไป เบียร์อาจจะพูดตรงๆ เหมือนไม่ถนอมน้ำใจ แต่มันคือความจริงที่สุดและเขาก็เป็นคนเดียวที่ฉุดดึงให้ผมผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมาได้ ถึงแม้มันจะทุลักทุเลก็ตามทีและผมเองก็ไม่คิดย้อนกลับไปอีกแล้วเช่นกัน
“พรุ่งนี้มั้ย กูจะติดต่อกลับไปให้ ไปลอง ไปใช้ชีวิตที่เป็นมึงจริงๆ สักที”
“อืม...ถ้านายว่าดีเราก็จะทำ”
คงไม่มีอะไรหนักหนากว่าการเดินไปจากพี่อีกแล้ว ชีวิตจากนี้ต่อให้โดนหลอก ต่อให้ล้มอีกสักกี่ครั้ง ความเจ็บที่ได้รับมันก็คงไม่ทำให้ผมตายหรอกมั้ง
“ชื่อสิงหาเหรอ หน้าตาน่ารัก”
ใครคนหนึ่งพูดถึงผม เพราะไม่รู้จะตอบยังไงเลยได้แต่ส่งยิ้มแก้เก้อ จำได้ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนหลังจากที่เบียร์ติดต่อกลับไปหาพี่ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น ผมก็ได้มาลองงานถ่ายแบบนิตยสารวัยรุ่นเล็กๆ เป็นครั้งแรก พวกทีมงานมักพูดว่าผมเหมือนกับเด็กมัธยมฯ ทั้งที่อายุก็ขึ้นเลขสองไปแล้ว โชคดีหน่อยที่หน้าตาแบบนี้ขายได้ในปกหนังสือที่วัยรุ่นมักอ่านกันตามแผงหนังสือ
“ไปแต่งหน้าก่อนเลย เอ้า! คอสตูมเร็วพาน้องไป” เท่านั้นแหละผมก็ถูกดึงไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีจนปวดหัวไปหมด และที่โชคร้ายคือวันนี้เบียร์ดันไม่อยู่เพราะกลับไปทำธุระที่บ้านซะนี่
“วันนี้เราต้องถ่ายแบบคู่ รู้แล้วใช่มั้ย” พี่สาวใจดีเดินมาบอก ขณะที่พี่สาวประเภทสองผู้แต่งตัวจัดจ้านกำลังลูบๆ คลำๆ หัวของผมจนแทบปั้นขึ้นมาเป็นปราสาทอยู่รอมร่อ
“ครับ แต่ผมยังไม่เคยถ่ายงาน ยังไงแนะนำด้วยนะครับ” ผมค้อมหัวให้เล็กน้อย เธอเลยส่งยิ้มมาให้
“ได้เลยจ้า เดี๋ยวรอเพื่อนที่ถ่ายแบบอีกคนก่อนนะ ได้ข่าวว่ารถติดสักพักเดี๋ยวคงมา”
“ครับ”
ใช้เวลานานโขจนเกือบจะหลับ ผมก็ถูกพี่ๆ พาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วก็มานั่งรอนายแบบอีกคนแบบง่วงหงาวหาวนอน รู้ตัวอีกทีก็ถูกสะกิดเบาๆ จากพี่สาวคนเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ในม่านสายตาไม่ได้มีแค่ผม แต่กลับเป็นใครอีกคนที่ตัวสูงมากๆ แถมยังดูดีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“สิงหานี่คิน เขาจะมาเป็นคู่ถ่ายแบบกับเราในวันนี้ ทำความรู้จักกันซะ”
“วะ...หวัดดี” ผมยกมือขึ้นเหมือนเป็นการทักทาย แต่ใครคนนี้กลับทำหน้านิ่ง นิ่งซะจนผมอดกลัวไม่ได้ ทว่าไม่นานก็ต้องแปลกใจเมื่อเจ้าตัวยื่นอะไรบางอย่างมาให้
“กินซะ ให้เดาว่าคงไม่ได้กินอะไร” มันคือแซนด์วิชห่อเท่าฝ่ามือ
“ขอบใจนะ” ผมไม่กล้าสบตากับเขาด้วยซ้ำ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้ามอง เพราะเขาดูฮอตจริงๆ แค่มองอยู่ตรงนี้ยังเห็นออร่าล้อมรอบตัวเต็มไปหมด แถมพี่ๆ ทีมงานก็ดูจะชอบกันด้วย
เขาไม่ค่อยยิ้ม แต่พอยิ้มทีไรโลกพลันสดใสในทันตาเห็น ถึงว่าใครๆ ต่างก็รัก
“สิงหาเดี๋ยวกินขนมรอคินไปก่อน ถ้าพี่ตากล้องมาเราจะได้สแตนบายเลย เพราะวันนี้ตากล้องคิวทองเขารับหลายงานก็เลยมาช้าหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผมเริ่มแกะแซนด์วิชและกินมันเพื่อประทังความหิวไว้ก่อน มันเป็นแซนด์วิชทูน่าแต่กลับอร่อยอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครมาทำดีด้วยนานแล้วล่ะมั้ง ถ้าไม่นับรวมแม่กับเบียร์ ผมก็ไม่มีใครอีกแล้ว
จนกระทั่งผ่านไปราว 20 นาที...
“มาแล้วเหรอ แล้วคุณตากล้องสุดหล่อหายไปไหน” พี่สาวใจดีที่เป็นเหมือนแม่งานใหญ่ร้องขึ้นทันทีที่ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามา เขาสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัว แต่กลับไว้ผมยาว แถมหนวดเคราแทบทิ่มหน้าสมเป็นตากล้องตัวพ่ออย่างที่ใครต่อใครบอกเอาไว้จริงๆ
“ก็ผมไง” เขาพูดเพราะมาก
“ไม่เอาน่า”
“ทำหน้าแบบนั้นมาต่อยกันเถอะ”
“ตากล้องแก่ๆ เตรียมปลดระวางไม่อยากได้ จะเอามือใหม่สุดหล่อแถมฮอตเว่อร์อ่ะ”
“เลือกมองคนที่หน้าตาจริงๆ นั่นไงมันมาละ” ใบหน้าเคราคร้ามโบ้ยไปยังคนมาใหม่ นั่นทำให้ผมมองตามไม่หลุดโฟกัส หัวใจที่เคยเต้นอย่างเงียบสงบคราวนี้แทบระเบิดทะลุอกอยู่รอมร่อ ในใจได้แต่ภาวนาว่าขอให้ไม่เป็นอย่างที่คิด
ไม่ใช่...ไม่ใช่พี่
แต่โลกกลมๆ ที่ไม่เคยปรานีกลับเหวี่ยงผู้ชายที่ชื่อภูผากลับมาอีกครั้ง
นาทีนี้หมดสิ้นแล้วทุกอย่าง ความพยายามที่อยากจะลืม ความอดทนที่ต้องฝืนมายาวนานจบลงเพียงวันนี้ เพียงเพราะได้เจอพี่อีกครั้ง
‘พี่ครับ...นานแค่ไหนผมก็ยังคงรักพี่ เพียงแต่ผมกลับไปหาพี่ไม่ได้อีกแล้ว’
“หวัดดีครับพี่ ขอโทษที่มาช้าครับ” เสียงทุ้มนั้นยังเหมือนเดิม พี่ยังไม่เปลี่ยน ไม่อ้วน ไม่ผอม แถมดูจะหล่อขึ้นด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรเลยภูไปเตรียมตัวได้แล้ว น้องนายแบบก็พร้อมแล้วด้วย”
เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปเตรียมกล้องและอุปกรณ์ มีเพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาของพี่หันมาปะทะกับผม แต่ผมเองเลือกเป็นฝ่ายบ่ายเบี่ยงเช่นเคย
ร่างสูงยืนอยู่กับที่ รู้สึกได้ว่าเขายังคงยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งถูกทีมงานเรียกตัวไป
ผมอยากให้เวลานี้มันผ่านไปเหลือเกิน รีบถ่าย รีบกลับ แล้วเราจะไม่ได้เจอกันอีก
“สิงหาพร้อมหรือยัง”
“อะ...เอ่อพร้อมมั้งครับ”
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม คินพาน้องไป” เจ้าของชื่อสาวเท้าเข้ามาหา เขาหรี่ตามองผมเล็กน้อยก่อนจะฉุดรั้งข้อมือให้เดินตามไปนิ่งๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่กลางเฟรม
“ฉันชื่อภาคิน อายุมากกว่านายปีนึง ถ่ายแบบวันนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ตากล้องบอกให้ทำอะไรก็ทำ หรือไม่ถ้าประหม่ามากก็ทำตามที่ฉันบอก โอเคนะ”
ผมพยักหน้าตอบ ก่อนแสงไฟสว่างจ้าจะสาดส่องมาที่เรา และการถ่ายแบบก็เริ่มต้น
“วันนี้ถ่ายทั้งหมดหกชุด แรกๆ ถ่ายเดี่ยวก่อนแล้วกัน”
“อ้าวไหงเป็นงั้น” ถามอย่างไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ภูคิด และแววตาที่เขามองมายังผมด้วย
“ตากล้องบอกเถียงได้ที่ไหน สิงหาก็ไปนั่งรอก่อนแล้วกัน” คินบอก
“โอเค ได้ๆ”
การถ่ายงานของคินเริ่มขึ้น มันดูง่ายดายไปหมดราวกับมืออาชีพ แต่สำหรับผมเนี่ยสิ ลมหายใจติดๆ ขัดๆ แม้กระทั่งมือที่กุมอยู่นั้นยังสั่นไหวยากเกินควบคุม การถ่ายแบบครั้งแรกว่าน่ากลัวแล้ว แต่การเจอพี่มันน่ากลัวกว่าเป็นร้อยเท่า
“สิงหา...”
“...”
“สิงหาตาเราแล้ว เร็ว!”
“ฮะ?” ทุกอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีคินก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ทิ้งให้ผมค่อยๆ ย่างเท้าไปยืนอยู่ตรงกลางสปอตไลต์ดวงใหญ่ พร้อมกับตากล้องเพียงคนเดียวที่ผมมองเห็นในม่านสายตา
พี่ดูเย็นชามาก เขาไม่พูดอะไรสักคำนอกจากกดชัตเตอร์รัวๆ ขณะที่ผมได้แต่ทำหน้าเอ๋อ ยืนนิ่งๆ ไม่รู้จะวางมือหรือเท้าไว้ตรงตำแหน่งไหน
“คะ...คุณครับ คุณอยากให้ผมทะ...ทำหน้าแบบไหน” ผมถามเหมือนตัวเองจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทั้งกดดัน ทั้งท้อแท้ ยิ่งมาเจอกับพี่ภูที่วางตัวเฉยชาอีกผมยิ่งรู้สึกแย่
“คุณอยากให้ผมยิ้มมั้ยครับ”
“อืม...” เขาขานรับสั้นๆ แต่มือรัวชัตเตอร์ไม่หยุด
คิดถึงเบียร์จัง พี่โมเดลลิ่งที่ติดต่อผมก็หายต๋อมบอกจะไปทำธุระ ทิ้งให้ผมต้องเผชิญเรื่องแบบนี้อยู่คนเดียว
ตอนนี้ในหัวผมมันโล่งไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลยสักนิด เขาบอกให้ยิ้มผมก็ยิ้ม ทว่าสายตาเอาแต่มองหาตัวช่วยไปทั่วจนกระทั่งพี่ลดกล้องลงจากใบหน้า
“มองอะไร” เสียงทุ้มถามอย่างมีอารมณ์ รู้สึกได้ว่าเขาค่อนข้างไม่พอใจในตัวผม
“ปะ...เปล่าครับ”
“นี่มาถ่ายแบบหรือยืนเป็นหุ่นไล่กากัน ทำตัวซื่อบื้อเหมือนเด็กๆ นึกว่ามันน่ารักหรือไง!”
“ภูใจเย็นๆ น้องยังใหม่” ใครหลายคนต่างเข้าไปปรามคนตัวสูง หลังจากเขาเผลอตะคอกผมออกมาด้วยเสียงดังลั่น จิตใจที่ปิดปลิวไปไกลตอนนี้ยากจะกู่กลับแล้ว หลงเหลือแต่ความกลัวเต็มไปหมด
กลัว...จนอยากร้องไห้
“เคยดูคอนเซ็ปต์บ้างมั้ย ถ้าจะมาถ่ายแบบก็ต้องรู้สิว่าความสามารถตัวเองถึงหรือเปล่า ผมไม่ใช่ตากล้องที่ต้องมาแนะนำทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นหรอกนะ” เสียงตวาดของพี่ดังก้องอยู่ในหัว ร่างกายเผลอสะอื้นออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ จนกระทั่งทีมงานวิ่งเข้ามาพาตัวผมเดินออกไปจากสถานการณ์ตรงนั้น
ผมไม่รู้ว่าพี่รู้สึกยังไง แต่สำหรับผม...มันแย่...แย่มากๆ
ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน ครั้งหนึ่งเราพูดด้วยภาษาดอกไม้และคำบอกรัก
แต่ตอนนี้มันกลับเหลือเพียงถ้อยคำรุนแรงที่ส่งต่อมาให้ แค่ลืมก็เจ็บแล้ว แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือพี่ไม่เคยคิดจะทำดีต่อกันเลย
“เฮ้ยขี้แย ตรงนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับคนเจ้าน้ำตาหรอกนะ” คินเดินมานั่งข้างผม เขาพูดด้วยประโยคราบเรียบเหมือนเป็นการปลอบใจ
“อึก...ขอ...ขอโทษครับ ผมไม่ดีเอง”
“มือใหม่ก็อย่างนี้แหละ เมื่อปีก่อนตอนที่ฉันเริ่มทำงานนี้ครั้งแรกฉันถูกด่าเยอะกว่านายอีก”
“ละ...แล้วจะผ่านมันไปได้ยังไง”
ผมหมายถึงพี่...
“ก็ทนสิ ทนโดนด่า ทนต่อคำสบประมาทแล้วพัฒนาตัวเองซะ เดี๋ยวก็เก่งขึ้น นี่มันแค่ก้าวแรกเท่านั้นเอง หนทางมันยังอีกยาวไกลนะ”
งั้นหมายความว่าผมต้องทนกับการเจอพี่ ทนต่อคำด่าทอ คำสบประมาทต่อไปเรื่อยๆ สินะ
ผมจะเข้มแข็งใช่มั้ย ผมจะไม่อ่อนแอเหมือนตอนนี้ใช่หรือเปล่า
“ให้พักห้านาทีเดี๋ยวเราไปถ่ายคู่กัน ทำใจให้ว่างๆ ล่ะ”
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งอีกครั้ง ดีหน่อยที่เป็นการถ่ายแบบคู่ จึงมีคินคอยช่วยคอยสอนทุกอย่างตั้งแต่คิดท่าทางหรือแม้กระทั่งบอกว่าควรแสดงอารมณ์แบบไหน
“หันหน้าไปทางซ้ายนิดหน่อย คุณนั่นแหละ!” แต่พี่ก็ตะคอกไม่หยุดเหมือนกัน
“ซ้ายหน่อย ส่วนมือจับไหล่ของฉันไว้แล้วยิ้มให้กว้างๆ เลย”
แต่เสียงทุ้มของคินก็เหมือนน้ำเย็นคอยชโลมหัวใจของผมไม่ให้รู้สึกเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า รีบยกฝ่ามือขึ้นทาบไหล่กว้างเบาๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างที่อีกฝ่ายบอกไว้
แชะ! แชะ! แชะ!
เสียงชัตเตอร์ดังไม่ขาดตอน เหมือนการทำงานของตากล้องมือโปรที่ไม่มีท่าทีว่าจะเหน็ดเหนื่อย
“ตอนนี้นายขึ้นมาขี่หลังฉัน”
“วะ...ว่าไงนะ”
“ขี่หลังน่ะ เหมือนเพื่อนกันไง เร็วเข้า!” สุดท้ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย การถ่ายแบบที่มีคินมันเป็นอะไรที่ง่ายดายไปเสียหมด จนกระทั่งทุกอย่างจบลงและพี่วางกล้องด้วยสีหน้าฮึดฮัดพอดู ผมไม่รู้ว่าพี่ไม่พอใจอะไร บางทีอาจเป็นผมที่ขวางหูขวางตาเขาไปหมด
แต่ทำไงได้ เดี๋ยวเราก็ไม่ได้เจอกันแล้ว
“ขอบใจทุกคนมากที่ทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อ้อ! สิงหาเดี๋ยวเรากลับยังไง” พี่สาวใจดีหันมาถามผม
“อ๋อ...เดี๋ยวพี่ที่ดูแลจะมารับครับ” ผมตอบพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย
ไม่นานก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามา ผมไม่ได้สนใจนัก แต่เมื่อตั้งท่าเดินออกไปก็เป็นอันต้องชะงักเท้าเพราะคนที่มองเห็นในกระจกคือพี่ และเขากำลังส่งสายตาซึ่งอ่านไม่ออกมาให้ผมอยู่
“พี่ภู...”
“เป็นไง เดี๋ยวนี้คิดจะเข้าวงการแล้วเหรอ เก่งไม่เบา”
“ครับ พี่ก็เหมือนกัน” พูดจบจึงเดินหลบอีกครั้ง ทำยังไงก็ได้ให้หนีไปจากสถานการณ์ตรงนี้ ไปให้ไกลจากความรู้สึกเดิมๆ ที่กำลังถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“เดี๋ยวสิจะไปไหน” มือหนารั้งแขนผมไว้
“ปล่อยผมเถอะ ต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว”
“พูดเหมือนง่าย ดีเนอะตอนคบก็คบด้วยกัน แต่พอจะไปทำไมถึงคิดเดินไปคนเดียวล่ะ”
“พี่พูดเหมือนผมผิด ทั้งที่พี่เองเป็นฝ่ายทิ้งผมไปจำไม่ได้หรือไง”
“...!!”
“พี่จะมีใครมันก็เรื่องของพี่ เราคงไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ก็แค่ต้องยอมปล่อยมือที่รั้งพี่ออกมาเพื่อกอดตัวเองบ้าง ส่วนพี่ถ้าอยากทำอะไรก็เชิญเลย ตามสบาย”
“ใช่สิ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่”
“...”
“แต่ขอโทษที่มันไม่ง่ายอย่างนั้น”
ปัง!! แรงมหาศาลผลักให้หลังของผมกระแทกกับประตูห้องน้ำอย่างแรง ก่อนร่างสูงใหญ่จะดันไหล่ผมเข้าไปภายในพร้อมกับกดล็อกประตูแน่นหนา ผมกลัวไปหมดพยายามขัดขืน แต่เรี่ยวแรงก็ไม่เพียงพอจะสู้อีกฝ่ายได้นอกจากดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่งเท่านั้น
“ปะ...ปล่อยผม พี่ภู!” พยายามสะบัดตัวอย่างแรงแต่ก็ขยับไม่ได้มากนัก เพราะข้อมือทั้งสองข้างถูกตรึงไว้เหนือหัว พร้อมกับร่างกายที่ถูกผลักติดกับกำแพงจนขัดขืนไม่ไหว
“เราหนีพี่ไม่พ้นหรอก” เขาไม่รอให้ผมตอบโต้ รีบใช้แรงที่มากกว่าตรึงร่างของผมเอาไว้ให้อยู่กับที่ เลื่อนใบหน้าคมซุกไซร้ซอกคออย่างจาบจ้วงและรุนแรง มัน...เจ็บใจ ทรมาน และก็กลัวไปหมด
พี่เปลี่ยนไป พี่ไม่ใช่คนอ่อนโยนแบบนั้นอีกแล้ว
“อึก...อึก” ผมได้แต่กลั้นเสียงตัวเองไว้ในลำคอ ไม่ให้ส่งเสียงออกมา ขณะที่ร่างกายพยายามต่อต้านคนตรงหน้าสุดความสามารถ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการขยับตัวไปมาจนร่างกายเสียดสีกัน
“ยะ...หยุด” บอกด้วยเสียงสั่นพร่า ทว่าเขากลับไม่รับฟัง หนำซ้ำยังเลื่อนริมฝีปากปิดเสียงทั้งหมดให้กลืนหายไปในลำคอ
คนตัวสูงบดเบียดริมฝีปากร้อนไม่ถนอมนัก ใช้คมฟันกัดเม้มจนรู้สึกเจ็บและเผลอเผยอริมฝีปากโดยไม่ทันตั้งตัว ลิ้นร้อนชื้นเกี่ยวกระหวัดเข้ามาในโพรงปากฉับพลัน ทำราวกับจะกลืนกินทุกอย่างจนหมดสิ้น แม้แต่ร่างกายก็เสียสมดุลแทบทรงตัวไม่อยู่
ร่างกายนี้เหมือนไม่ใช่ของผม เมื่อมันถูกควบคุมโดยคนที่มีประสบการณ์มากกว่า
ผมรู้สึกถึงกลิ่นคาวของเลือดที่ปะปนอยู่บริเวณริมฝีปาก เพราะถูกใครอีกคนขบเม้มอย่างเอาแต่ใจจนได้เลือด ได้แต่หลับตาลงและปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำอย่างย่ามใจ เพราะถึงยังไงซะก็ไม่มีทางสู้คนตรงหน้าได้อยู่วันยังค่ำ
หลังจากที่ผละออก พี่กลับใช้ลิ้นเลียริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะสาดซัดคำพูดแสนปวดใจมาให้
“ไม่ได้เจอกันนาน อ่อยคนอื่นก็ทำไปทั่ว”
“...”
“งั้นขอหน่อยแล้วกัน”
“อื้ออออออออออ”
ร่างกายของผมมันชาไปหมด ได้แต่ปล่อยให้พี่ทำทุกอย่างที่ต้องการ เสื้อผ้าของผมถูกปลดออกลวกๆ พร้อมกับกางเกงขายาวที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อครู่ และเขาก็ทำลายมันอีกครั้ง
ทั้งหัวใจ ร่างกาย และความรู้สึก
กลับมาทำไมครับพี่ภู กลับมาเพื่อให้ทำให้ผมเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำไม
กลับมา...เพื่อขืนใจผมแล้วก็ทิ้งไปอย่างนี้ใช่มั้ย
ความสุขของพี่
“พี่ภูขอร้อง ฮึก...”
“...”
“สงสาร...หัวใจผมบ้าง”
ผมจำไม่ได้แล้วว่าออกมาจากห้องน้ำในสภาพไหน แต่พี่ภูเป็นฝ่ายพาผมกลับมาทั้งที่ผมเผ้าไม่เป็นทรงพร้อมกับเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ไม่ต่างกัน
พี่เข้ามายังคอนโดของเขา ที่ที่ผมเคยอยู่ ทิ้งผมไว้บนเตียงกว้างก่อนจะหายเข้าไปในห้องห้องน้ำ กลับมาอีกทีเขาก็สาดซัดทุกอย่างเข้ามาราวกับต้องการจะเข่นฆ่าให้ตายกันตรงนั้น
ไม่เคยถนอม ไม่เคยดูแล ดีแต่จะทำลาย
นี่แหละผู้ชายที่ชื่อภูผา
“เราต้องอยู่ที่นี่ อย่าคิดหนีไปไหน”
“...”
“ถ้าพี่บอกให้อยู่ก็ต้องอยู่”
“...”
“แต่ถ้าพี่บอกให้ไปตาย เราก็ต้องไป!!”
และเขาก็เดินจากไป จากไปเหมือนทุกครั้งแต่ไม่เคยเหลียวแลกันเลยสักนิด
หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงอยากขอเวลาเพิ่มเพื่อให้ได้อยู่กับพี่นานๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมต้องอยู่ในสภาพน่าสมเพชขนาดนี้อีกนานแค่ไหนถึงจะแน่ใจว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ