ตอนที่ 3
ภูผา… ผมเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามแบบฉบับของตัวเองมาโดยตลอด
ตั้งแต่เกิดมาไม่มีครั้งไหนที่ต้องรู้สึกเครียดหรือดิ้นรนทำอะไรเพื่อเอาชีวิตรอด
ผมมีบ้านหลังใหญ่ มีคอนโด มีเงิน และก็มีผู้คนรายล้อมมากมาย
ครอบครัวของผมทำธุรกิจจนรุ่งเรือง ทุกคนมีกันและกัน แต่ผมแค่ไม่มีพวกเขา
ทุกชั่วโมงของพ่อ ทุกวินาทีของแม่คือการจ่ายไปกับธุรกิจ
ส่วนพี่ชายยิ่งแล้วใหญ่ จากที่เคยนอนเล่นเกมคุยกันก็ถูกแทนที่ด้วยการงานมากมาย
คงไม่ผิดอะไรที่ผมจะเกลียดสิ่งที่ทุกคนกำลังบอกว่ามันคือชีวิตของเรา
ผมตัดสินใจเรียนนิเทศฯ เพื่อหักหน้าพ่อของตัวเอง
และมันก็ได้ผลแถมบ้านเราแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตอนที่ผมถูกเฉดหัวออกจากบ้าน
แต่ขอโทษที่แม่ไม่เคยทิ้งไปไหนเพราะคอยให้ท้ายตลอด
ถึงไม่มีเวลาแต่ก็มีเงินเข้าบัญชีให้ใช้ไม่ขาด
ชีวิตผมปกติสุข และก็มักบอกตัวเองว่ามันจะผ่านไปด้วยดีเช่นเคย
ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง กับการหิ้วใครต่อใครเข้ามาเพื่อสร้างความสุขให้ในแต่ละคืน
นั่นคือชีวิตของผมตอนนั้น ปีหนึ่งคือวัยคึกคะนอง
ผมไม่มีแฟน แต่ก็เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า
หลังๆ เพิ่งเข้าใจว่าเด็กผู้ชายตัวเล็กก็เร้าอารมณ์ไม่เบา
จากที่ควงนิสิตด้วยกันเอง ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นหอบหิ้วเด็กมัธยมกางเกงน้ำเงินขึ้นห้องแทน
ผมคิดว่าชีวิตของผมไม่ได้มีปมด้อยและมันไม่ได้ขาดแหว่งอะไร
ที่นี่มีความรักมากมายให้ผมเติมเต็ม แค่กระดิกนิ้วใครต่อใครก็เสนอตัวให้ง่ายๆ
ยิ่งชีวิตปีหนึ่งยิ่งแล้วใหญ่ เพื่อน สังคม ปาร์ตี้ และเซ็กซ์คือปัจจัยสำคัญในชีวิต
ซึ่งผมไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว ผมมีความสุขดี
ใช้ชีวิตเรื่อยๆ ทำสิ่งที่รัก สมหวังในสิ่งที่ต้องการ
นั่นคือสิ่งที่คาดหวังในชีวิตมหา’ลัย จนกระทั่ง...
ใครคนหนึ่งได้เดินเข้ามา พร้อมกับเช้าวันเสาร์ที่อากาศร้อนอบอ้าว
ชีวิตปีสามของผมลิงโลด ราวกับวัย 21 คือจุดพีคสุดในชีวิต
เขาเป็นเด็กปีหนึ่ง ผมเลยให้เขาเรียกว่า ‘พี่’
เราเจอกันที่งานมหา’ลัย เขาสวมเสื้อสีชมพู
นัยน์ตาน้ำตาลเข้มกับผมสีดำตัดกับผิวน้ำนมได้เป็นอย่างดี
ใครคนนั้นตัวเล็กมาก แม้แต่ริมฝีปากกับจมูกก็เล็กตามไปด้วย
มันน่ารักจนผมอยากจะเดินเข้าไปคว้าและกดใบหน้าหวานๆ นั้นลงกับอกซ้ำๆ
ผมไม่รู้ว่าเคยใจเต้นแรงให้ใครไปแล้วบ้าง แต่สำหรับคนนี้มันมากกว่านั้น
หลายอย่างดึงดูดให้ผมเข้าไปทำความรู้จัก และไม่นานผมก็ได้เขามาครอบครอง
‘สิงหา’ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
แทนที่จะเป็นวันไนท์สแตนด์แต่ผมกลับพาเข้ามาอยู่ในคอนโดส่วนตัวง่ายๆ
เขาไม่มีอะไร ไม่ได้ร่ำรวยฟู่ฟ่าเหมือนคนอื่นๆ ที่เคยควง
นั่นทำให้ผมเอาแต่หาเหตุผลว่าทำไมถึงต้องยอมให้เด็กคนนี้มากมายนัก
และสุดท้ายผมก็ได้คำตอบ คงจะเป็น...
ดวงตาที่ช้อนมองอันใสซื่อ กับใบหน้าหงอยๆ อ่อนต่อโลกแบบนั้นล่ะมั้ง
เราเริ่มต้นความรักแบบราบเรียบ และก็จบลงด้วยเซ็กซ์
ร่างกายนั้นหอมหวาน มันคับแน่นทุกครั้งเมื่อนึกถึง
หัวใจของผมเต้นถี่ระรัว ยามที่ได้ยินเสียงครวญหวานของคนใต้ร่าง
และไม่อยากปฏิเสธเลยจริงๆ ว่าผมเริ่มเสพติดมัน
ผมหลงใหล อยากครอบครองจนอยากฝากร่องรอยนั้นไว้ซ้ำๆ
ซึ่งก็มีเพียงสิงหาคนเดียวที่ดึงความสนใจทั้งหมดของผมไป
เขามันพ่อมดตัวน้อยชัดๆ
แต่ผมก็ทิ้งชีวิตที่เคยชินกับการเตรดเตร่และเที่ยวแหล่งอโคจรไม่ได้
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะสนองความต้องการของตัวเองกับใครต่อใคร
ทุกครั้งที่แอลกอฮอล์เข้าปาก ความสัมพันธ์ของผมจะถูกสานต่ออีกครั้ง
เป็นสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็น มันเส้นเล็กมาก และมักขาดลงอย่างรวดเร็วชั่วข้ามคืน
พร้อมกับการปรากฏตัวของผมในห้องห้องเดิมอีกครั้ง
หรือจะบอกอีกนัยหนึ่งคือ ถึงจะออกไปมั่วกับใครมาก็ตาม ทิ้งใครไปบ้างก็ตาม
คนสุดท้ายที่ผมจะกลับมาหาก็คือเด็กคนนั้น
แล้วเคยได้ยินประโยคนี้มั้ย ‘ความลับไม่มีในโลก’
เด็กคนนั้นรู้...รู้ว่าผมทำอะไร ผมนอกใจเขา แต่นิสัยเหี้ยๆ ก็แก้ไม่หาย
ถุงยางพวกนั้นถูกปาทิ้งลงพื้น แต่เขากลับไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งที่ผมป้องกันกับทุกคน
และเลือกที่จะปล่อยตัวกับเขาเพียงคนเดียว
คืนนั้นเขาร้องไห้ กอดขาผมเอาไว้ว่าอย่าไป แต่สุดท้ายผมก็ไม่ทำตาม
เราทะเลาะกันค่อนข้างหนัก และผมเลือกที่จะปล่อยมือเขาอีกครั้ง
ผมมีเซ็กซ์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอค่อนข้างเจนจัด
แทนที่จะสนุก เร้าใจ แต่มันกลับตรงกันข้าม...
ผมได้แต่จินตนาการว่าได้กลับไปร่วมรักกับเด็กคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เลือกกลืนน้ำลายตัวเอง ระเห็จกลับไปหาคนที่ร้องไห้อยู่ในห้อง
นอนกอดเขาไว้ให้แน่นที่สุด และสัญญากับตัวเองว่าผม...
จะไม่มีวันปล่อยเขาไป
กระทั่งชีวิตปีสี่เริ่มต้นขึ้น มันยังเหมือนเดิมคือผมรักชีวิตสนุก
สังคมนิเทศศาสตร์ทำให้ผมพบปะผู้คนมากมาย ทั้งหน้าตาดีและมีชื่อเสียง
ทว่าที่พิเศษสุดคงจะเป็นเด็กปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ ยอมรับว่าเขาคล้ายสิงหา
เป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ดูใสซื่อไม่มีพิษมีภัยอะไร เอาใจเก่ง แถมขี้อ้อนอีกต่างหาก
ฐานะของเราก็ใกล้เคียงกัน นั่นยิ่งทำให้ชีวิตของผมเถลไถลออกนอกเส้นทางอีกครั้ง
ผมเคยคิด...ว่าอยากถนอมอีกฝ่ายเอาไว้ เพราะเขามีค่า ไม่อยากให้แปดเปื้อน
เราไม่ได้มีอะไรกัน แต่ผมกอดเขา จูบเขา นอนลูบหัวเขาจนเผลอหลับไป
แต่อะไรก็ไม่หนักหนาเท่าผมลืมใครอีกคนที่รออยู่ในห้อง
ตอนนั้นโลกของผมเหมือนขาดออกซิเจน
การกลับไปในคืนนั้นคือจุดเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต
เราไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ความสัมพันธ์ที่เริ่มร้าวมันกลับต่อไม่ติด
ผมค่อนข้างไม่ชอบเพื่อนของสิงหา มองดูแล้วเจ้ากี้เจ้าการจนน่าขัดใจ
ผมจำประโยคในวันนั้นได้ดี สิงหาขอร้องให้ผมกลับไปรักเขาเหมือนเดิม
เพียงประโยคเดียว มันหยุดความบ้าในหัวของผม
ความคิดที่อยากถนอมใครอีกคนสลายไป
ผมมองแค่สิงหา จ้องมองดวงตาเอ่อรื้นนั้นไม่หลบ
เขารักแค่ผม และยังคงมีแค่ผม
แล้วผมล่ะมีใครอีกตั้งมากมายในชีวิต...?
ผมยุติความสัมพันธ์กับรุ่นน้องปีหนึ่งในคณะทันที
มุ่งมั่นกับการทำกิจกรรมและการเรียนอย่างหนักหน่วง
จนกระทั่งการฝึกงานมาถึง ที่นี่ผมได้เรียนรู้สังคมที่กว้างขึ้น
ผู้คนที่กว้างขึ้น และแสงสีที่กำลังฉุดดึงผมออกไปไกลเรื่อยๆ
เวลาของผมน้อยลงเพราะถูกจ่ายไปกับหน้าที่ตรงหน้า
พอว่างเมื่อไหร่ก็เลือกจะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน
จนรู้ตัวอีกที ใครคนนั้น...เด็กที่ใส่เสื้อสีชมพูในเช้าวันเสาร์...ก็จากไป
ผมมองมือถือที่แทบไม่ได้ใช้มาเนิ่นนานเหมือนมีมันไว้ประดับกระเป๋า
ข้อความมากมายถูกส่งมาไม่ขาดแต่ผมไม่เคยเปิดอ่านสักครั้ง
พอวันนี้ตั้งใจจะอ่านมันกลับกลายเป็นข้อความสุดท้ายไปเสียแล้ว
มือผมสั่น...ใจผมอยู่ตรงตาตุ่ม
จากที่คิดว่ายังไงเขาคงไม่มีทางไปไหนต่อให้ผมเหี้ยยังไงก็ช่าง
สุดท้ายมันก็เป็นเพียงความเชื่อโง่ๆ ของคนหลงตัวเองเท่านั้น
ผมรีบวิ่งออกจากห้องแสดงภาพ ขับรถตรงดิ่งไปยังคอนโด
หวังว่าเปิดประตูเข้าไปจะเจอเด็กชายเสื้อสีชมพูนั่งรออยู่ตรงโซฟาตัวเดิม
แต่ผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้ เขาหายไป รวมถึงของของเขาด้วย
เหลือไว้แต่ทุกอย่างที่เป็นผมเพียงคนเดียว
นาทีนี้ผมไม่รู้จะทำยังไง มันวูบโหวงไปหมด...เขาทิ้งผมไปแล้ว
ผมจะไม่มีทางเห็นเด็กชายเสื้อสีชมพูในห้องอีกแล้ว...
ผมอยากหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ชีวิตยังหาใหม่ได้อีกเยอะ
ก็แค่คนคนเดียว ในห้องที่ผมไม่เคยก้าวเข้ามาหลายเดือนเพราะรู้ว่ามันมีอยู่
แต่ความจริงก็คือ...
ถึงจะรู้ว่าเลวก็เถอะ มนุษย์เราไม่อาจเอาชนะความเดียวดายได้หรอก
และสิงหาเก่งเหลือเกินที่หยิบยื่นมันให้โดยที่ผมไม่อยากรับมันไว้สักนิด
ความเดียวดาย
“สวัสดีสิงหา ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่”
ผมส่งยิ้มแหยๆ ให้เบียร์ หลังจากขึ้นมาถึงห้องพักใหม่สดๆ ร้อนๆ นี่คือห้อง 707 อยู่ตรงชั้น 7 ของหอราคาถูกซึ่งไม่มีลิฟต์ แต่ถ้าเทียบกับราคาที่ผมสามารถจ่ายได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ตอนนี้ไม่รู้สึกเสียดายสักนิดที่เคยอยู่คอนโดหรูหรา แล้วต้องตกลงมาอยู่ในห้องที่เล็กคับแคบเท่ากับรังหนู ผมเคยชินเพราะฐานะทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนคนอื่นเขาอยู่แล้ว ที่นี่จะเป็นบ้านหลังใหม่ ผนังสีขาวมีรอยแตกบางแห่งแต่มันไม่ได้หลอนขนาดนั้น
ผมวางกระเป๋าลง อุ้มเจ้าของขวัญวางไว้บนเตียงซึ่งมีแค่ฟูกแต่ไม่มีผ้าปู ก่อนจะหันไปคุยกับเบียร์อีกครั้ง
“ขอบคุณมาก ถ้าไม่ได้นายเราแย่แน่เลย” ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว ตอนที่ผมไม่เหลือใคร ดีใจที่สุดท้ายก็ยังมีเพื่อนในเมืองใหญ่แห่งนี้
ส่วนเรื่องแม่...ผมไม่อยากให้เขาต้องมาเครียดหรือกังวลใจเพราะความงี่เง่าของผม เลยเลือกที่จะปิดเงียบ เล่าเรื่องราวแต่ละวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมมีความสุขดี ผมบอกแม่แบบนั้น
“ไม่เป็นไร ก็เพื่อนกันนี่หว่า”
“แต่ก็ต้องขอบคุณอยู่ดี มีแต่สร้างปัญหาให้ตลอด”
“ใครบอกมึงสร้าง ถอยห่างแบบนี้น่ะดีแล้ว มีความสุขซะนี่คือสิ่งเดียวที่กูขอ ต่อไปถ้าลำบากอะไรก็ขอให้บอก หอกูก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง มีอะไรโทรมาแล้วกัน”
เบียร์ไม่ได้อยู่หอที่ผมอยู่หรอก เขาพักดีกว่านี้เยอะ แรกๆ เจ้าตัวก็เอาแต่คะยั้นคะยอให้ผมไปอยู่ด้วย แต่เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนแถมเจ้าของขวัญก็ยังซนอีก กลัวจะไปทำห้องเขารกเสียเปล่าจึงตัดสินใจมาอยู่ที่นี่
“อื้ม”
“แล้วนี่เดี๋ยวทำอะไรต่อ”
“ว่าจะทำความสะอาดห้องกับจัดของน่ะ”
“ยังมีให้จัดอยู่เหรอวะ ฮ่าๆ”
“แซวกันเข้าไป วันนี้ว่าจะลองทำอาหารกินเองด้วย เห็นมีครัวเล็กๆ อยู่ตรงระเบียง”
“ตามสบายครับคุณสิงหา กูไปก่อนนะ พอดีนัดรุ่นพี่เอาไว้ว่าจะไปเอาของ มีอะไรก็บอกป้าเจ้าของหอละกันแกอยู่ตรงชั้นหนึ่ง บาย...”
“บาย” ผมโบกมือให้ ก่อนร่างสูงโปร่งจะปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอนจากด้านในให้เสร็จสรรพ
ผมพาร่างระโหยโรยแรงของตัวเองมานั่งตรงปลายเตียง อุ้มเจ้าแมวจอมดื้อที่นอนหลับอยู่มากอดไว้แนบแน่น
ช่องว่างระหว่างนิ้วมือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจับมือกับใครสักคน ครั้งหนึ่งผมเคยมอบให้พี่ แต่ตอนนี้คงได้แต่ปล่อยให้มันโดดเดี่ยว โอบอุ้มตัวเองเอาไว้ไม่ให้รู้สึกเหงาอีก
“ขอโทษนะของขวัญที่พามาลำบาก ร้อนใช่มั้ย” ถามออกไปแม้รู้ว่ายังไงก็ไม่มีคำตอบอยู่ดี
ที่นี่ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลมเก่าๆ เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ไม่เหมือนห้องพี่เลยสักนิด แต่ถ้าเทียบกันแล้วชีวิตของผมที่เริ่มต้นใหม่ ณ ที่แห่งนี้อาจจะดีกว่าห้องหรูที่เหลือตัวคนเดียวเป็นไหนๆ
“อย่าโกรธพ่อนะ”
‘พ่อ’ ก็คือพี่
“เขาไม่ได้ตั้งใจทิ้งเราหรอก เขาแค่ลืม”
“...”
“เขาลืมว่าเรารออยู่ตรงนี้ เราทำได้แค่อวยพรให้เขาเจอคนที่ดีๆ เจอคนที่รักจริงและมีอนาคต พร้อมจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ไม่ต้องห่วงตรงนี้ เราอยู่ได้...เราอยู่ได้ใช่มั้ยของขวัญ” ผมพูดทั้งที่น้ำเสียงเต็มไปด้วยแรงสะอื้น น้ำตามากมายไหลอาบข้างแก้มโดยไม่คิดจะเชิดมันออก
อยู่ตรงนี้ผมสามารถอ่อนแอโดยไม่มีใครเห็น ผมตัดพ้อ ผมให้กำลังใจตัวเองได้ในวันที่ชีวิตไม่เหลืออะไรเลย
พี่...คนคนเดียวที่เป็นทุกอย่าง การเลือกเดินออกมามันเจ็บยิ่งกว่าปล่อยให้เท้าเปล่าเหยียบบนเศษแก้วแหลมคมเป็นพันเท่า เคยคิดว่าชีวิตต่อจากนี้และตลอดไปเราจะได้อยู่ด้วยกัน ได้นอนกอดกัน จูบกัน และบอกฝันหวานทุกคืน แต่ความเป็นจริงมันไม่มีทางเป็นไปได้
ยังจำได้ดีตอนที่เห็นสีหน้าของพี่ รอยยิ้มนั้นมันตราตรึงในความรู้สึก และมันก็คงเป็นรอยยิ้มสุดท้ายเพียงเสี้ยววินาทีที่ผมจะได้รับก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก
ผมเป็นคนมีแต่ตัวที่ให้ได้มีแค่ร่างกายกับหัวใจ
แต่ในเมื่อวันหนึ่งมันหมดคุณค่าลงแล้ว ผมก็ควรทำใจให้ได้สักที
เฝ้าแต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่า ‘เขาไม่เอามึงแล้ว’ จะได้เข้มแข็งขึ้น
ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ตาม…
มื้อเย็นเป็นมื้อง่ายๆ ที่มีแต่แกงจืดกับข้าวสวยซึ่งลงไปซื้อถุงละไม่กี่บาทข้างล่าง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบทำอะไรให้นึกถึงพี่ตลอด พี่ชอบทำแกงจืดให้ผมกิน เรามีความสุขมาก ตอนนั้นพี่ตักข้าวให้ พี่รินน้ำให้ แม้กระทั่งป้อนข้าวเหมือนเด็กๆ พี่ก็เคยทำ
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ จ้องมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะไม่วางตา ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวเข้าปาก
“อร่อยดี...” ผมยิ้มกับตัวเองแม้จะรู้สึกขมปร่าจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย
กับข้าวฝีมือพี่ผมไม่มีโอกาสอีกแล้ว...
ผมรักพี่ อยากเจอ อยากอยู่เคียงข้าง พรุ่งนี้ซื้อขนมมาให้ผมอีกนะ มารับผมที่คณะเหมือนที่ทำตลอด พาไปกินข้าว พาไปดูหนัง นอนกอดผมจนถึงเช้า ทำเหมือนที่พี่เคยทำ บอกรักเหมือนที่พี่เคยบอก...
ทำไมกัน ทำไมถึงเลือกทิ้งกันไว้ข้างหลังในวันที่ชีวิตไม่เหลือใคร
ทำไมถึงเลือกปล่อยมือกันง่ายๆ ในวันที่รักหมดใจไปแล้ว พี่บอกผม...ควรทำยังไง
ถึงจะตัดใจได้สักที
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
ไม่นานแรงสั่นครืดของโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น ผมรีบวางช้อนลง สะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวพร้อมกับปาดน้ำตาออกจากแก้มลวกๆ
มองปลายสายที่ติดต่อมา เดาว่าคงเป็นเบียร์เหมือนทุกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่
‘พี่ภู’
นั่นทำให้ความรู้สึกที่เคยแตกละเอียดถูกเหยียบย้ำซ้ำๆ อีกครั้ง ปลายสายเป็นพี่ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บมากมายขนาดนี้ก็ไม่รู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่เขาโทรมาผมอาจดีใจยิ่งกว่าสอบได้อันดับหนึ่งของคณะ หากแต่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเพราะในหัวมีแต่คำถามว่าทำไม และเพื่ออะไรเต็มไปหมด
โทรมาทำไม เพื่อหวังตัดสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายหรือยื้อกันไว้ให้ทรมานกันแน่
สำหรับผมสามเดือนก็มากพอแล้ว มาก...จนผมทนไม่ไหว
มันเจ็บในอกไปหมดกับการต้องมานั่งรอให้ใครสักคนกลับมาห้อง ต้องฝันร้ายซ้ำๆ ไม่รู้กี่คืน หรือต้องฟังถ้อยคำเสียดแทงใจสารพัดว่าผมไม่สมควรทำอะไรได้ทั้งนั้นนอกจากนอนรอพี่อยู่บนเตียง
ผมตัดสินใจไม่รับสาย รอจนอีกฝ่ายหมดความอดทนแล้วก็วางไปเอง อาหารมื้อนี้คงไม่อร่อยอีกแล้ว ผมเบือนหน้าหนีมองดูเจ้าแมวอเมริกันช็อตแฮร์หลับอุตุอยู่บนเบาะรองตัวนุ่ม ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนพื้นข้างๆ กับมัน พร้อมกับฟังเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ปล่อยให้น้ำตายังคงไหลเอ่อจนกว่าจะเหือดแห้งไป
ได้โปรดหยุดสักที...หยุดทำร้ายผมได้แล้ว
สี่ทุ่มผมเตรียมเข้านอน จากเตียงคิงไซส์แปรเปลี่ยนเป็นเตียงเหล็กขนาดสามฟุตครึ่ง กับฟูกเก่าๆ ซึ่งไม่ได้นุ่มเหมือนตอนอยู่ห้องพี่ แต่ผมทำใจแล้วและควรรับสภาพตัวเองให้ได้เสียที
มาแต่ตัวก็คงต้องกลับแต่ตัว จะหวังอะไรให้มากอีก
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
พี่ยังโทรมาไม่หยุด ในเวลาที่ผมล้มหัวลงบนหมอน นี่เป็นสายที่เท่าไหร่กัน ผมไม่อยากสนใจ แต่ก็คงยี่สิบกว่าครั้งแล้วที่ผมไม่ยอมรับสายแล้วเลือกที่จะไม่ปิดเครื่องหนี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกทำแบบนี้ เพราะสุดท้ายความอดทนก็คงหมดลงและผมเลือกรับสายอย่างง่ายดาย
“...” ผมถือสายเงียบ ได้ยินเสียงปลายทางพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนเต็มทีหลังจากกดรับ
[สิงหาอยู่ไหน! ทำไมไม่รับสาย]
“ผะ...ผมอยู่ในที่ของผมแล้วครับพี่” พูดออกไปทั้งน้ำเสียงอู้อี้เต็มที
อย่าร้องไห้สิงหา...อย่าร้อง
เขาไม่ได้รักนายแล้ว เขาทิ้งนายไปแล้วจำไว้ซะ
[ที่ไหนก็บอกมา เดี๋ยวพี่ไปรับ]
“พี่ภู พี่ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว ไม่ต้องฝืน ผมไม่เป็นไร” สุดท้ายผมก็ร้องไห้อีกจนได้ ไอ้สิงหา ไอ้โง่...รู้ว่าถ้ารับสายแล้วยังไงก็ต้องเจ็บทำไมถึงเลือกที่จะทำ ตอกย้ำตัวเองซ้ำๆ ด้วยคำว่าไร้ค่าและของตาย
[…]
“ความจริงแล้วเราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อคบกันนานๆ ก็ได้ ผมอาจจะมีตัวตนในชีวิตพี่ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ที่พี่เคยบอก...เราปลูกต้นไม้ได้หลายต้นก็จริง แต่สำหรับความรัก เราทำแบบนั้นไม่ได้เพราะขณะที่ต้นหนึ่งกำลังโต อีกต้นหนึ่งก็อาจตายลงช้าๆ ทั้งที่ดูแลเหมือนกัน”
[พอแล้วสิงหา โกรธอะไรก็มาเคลียร์กันก่อน]
“ผมรู้...พี่หมดรักผมแล้ว พี่แค่อยากรั้งผมไว้เพราะสงสาร”
[…]
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ใครคนนั้น...”
นั่นทำให้ผมนึกย้อนกลับไปตอนกลางวัน ช่วงเวลาที่ผมเห็นผู้หญิงสวยๆ คนหนึ่งถือดอกไม้ช่อโตมาให้พี่ วินาทีนั้นชีวิตผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เราต่างกันทุกอย่าง ไม่มีอะไรเทียบได้เลย
“เธอสวย เธอรวย เธอคู่ควรกับพี่แม้จะเดินควงไปไหนก็ไม่น่าอาย เธอไม่ทำตัวน่ารำคาญเหมือนที่ผมกำลังเป็นอยู่” มือที่กำไว้แน่นทุบอกตัวเองซ้ำๆ เพราะทนอยู่กับความเจ็บปวดแทบไม่ไหว
[หยุดร้อง...ขอร้องล่ะสิงหา]
“เหมาะสมกันดีครับ ผมไม่โกรธพี่สักนิดเลยถ้าวันนี้มันจะมาถึง”
[…]
“แต่ผมแค่ไม่เข้าใจทำไมพี่ไม่บอกสักคำ อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมรู้ว่าไม่สมควรรอแล้ว จะไล่ก็ได้ จะตัดความหวังยังไงก็ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ผมโง่งมอยู่คนเดียว ในขณะที่โลกของพี่กำลังเต็มไปด้วยความสุข”
[…]
“พี่ภูผมทำอะไรผิดเหรอ นอกจากไม่รักแล้วไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากนี้แล้วใช่มั้ย”
[รู้ได้ยังไงว่าไม่รัก ทำไมเอาแต่คิดแบบนั้น]
“พอเถอะ จากวันนี้ไปผมสัญญาว่าจะไม่ไปกวนพี่อีกแล้ว ขอให้พี่มีความสุขมากๆ เจอคนที่ดีกับพี่ รักพี่ และก็จับมือไปด้วยกัน ตรงนี้ไม่ต้องห่วงแล้วนะครับ ของขวัญเองก็สบายดียังไงมันก็คือความทรงจำของเรา...ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าผมรักพี่มากแค่ไหน”
ผมรีบตัดสายโดยไม่ฟังเสียงอีกฝ่ายค้านอะไรทั้งนั้น ได้แต่นอนซุกหน้าลงหมอนปล่อยให้เสียงสะอื้นดังระงมไปทั่วห้องพร้อมกับน้ำตาทุกหยาดหยด ผมไม่อยากร้องไห้แต่มันก็ร้องไปแล้ว ผมไม่อยากเจ็บแต่มันก็เจ็บไปหมด
ยังไงโลกก็ยังต้องหมุนต่อไป
แม้มันจะไม่หมุนให้พี่กลับมาอีกก็ตาม...
ผมไม่อยากตื่นมาเพื่อพบกับความสูญเสียอีกแล้ว
ฉะนั้นจึงได้แต่หลับตาลง แล้วขอให้ตัวเองฝันดีทุกคืนวัน
“เป็นอะไรตาบวม เมื่อคืนร้องไห้อีกแล้วเหรอ” นี่คือคำทักทายแรกจากเบียร์ คำทักทายเดิมๆ ที่ผมควรชินได้แล้ว แต่ก็ไม่ตอบอะไรนอกจากส่งยิ้มแหยๆ กลับไปให้
“แล้วห้องใหม่โอเคมั้ย”
“อืม...โอเคทุกอย่างแหละ”
“ดีแล้ว ย้ายที่อยู่ใหม่ไม่ใช่แค่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเดียวนะเว้ย เปลี่ยนตัวเองด้วย ตอนนี้หน้ามึงซีดเป็นไก่ต้มเลย แถมตัวยังอ่อนปวกเปียกเป็นผัก แบบนี้หาแฟนใหม่ยากนะมึง”
“ไม่มีความคิดจะมีอยู่แล้ว” ผมตอบตามจริง ผมยังเข็ด หรืออีกอย่างหนึ่งคือไม่สามารถลบภาพของพี่ออกจากหัวได้ นั่นทำให้ชีวิตของผมก้าวไปไม่ถึงไหนสักที
“เปิดใจให้ตัวเองบ้างเถอะ รู้ป่ะมีคนแอบมองมึงโคตรเยอะเลย นี่ถ้าไม่ติดว่ามึงมีไอ้เหี้...” พูดไม่จบประโยคอีกฝ่ายก็เงียบไป คงกลัวจะแทงใจดำผมล่ะมั้ง
“ไม่เป็นไร เราโง่เอง”
“เลิกพูดเรื่องเครียดๆ เถอะว่ะ รีบเข้าเรียนเถอะ ตอนเย็นไปเที่ยวสยามกัน”
“อืม...”
“ทำหน้าให้มันร่าเริงหน่อย”
“ครับ” สุดท้ายก็โดนตบหัวเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อแทน
ผมอยากขอบคุณเบียร์ที่อยู่เคียงข้างเสมอในวันที่ลุกไม่ไหว เขาคือเพื่อนเพียงคนเดียวที่เป็นทุกอย่าง และถึงแม้จะไม่มีพี่ ผมมั่นใจว่าผมอยู่ได้ด้วยตัวเองและกำลังเข้มแข็งขึ้นในทุกๆ วัน แค่ขอเพียงอย่าให้เราได้เจอกันอีกเลย
แต่เหมือนยิ่งหวังสวรรค์ก็ยิ่งกลั่นแกล้ง ทันทีที่เดินลงตึกหลังเลิกเรียนผมก็ได้พบกับพี่
ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังเหมือนเดิม ไม่ได้ดูทุกข์ร้อน เขาก็แค่เฉยชาอย่างที่เคยเป็น
แต่กับผม คนที่มันมีใจรักกับคนคนเดียวมาตลอด พอมาเจอกันอีกครั้งก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งจ้องหน้าอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ก่อนจะหลบตาและทำท่าเบี่ยงตัวหนี
“เดี๋ยวก่อน!” คนตัวสูงยื้อข้อมือผมเอาไว้ เราจึงได้มองหน้ากันตรงๆ อีกครั้ง
“ครับ” ผมตอบเสียงราบเรียบ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดทั้งที่อยากร้องไห้เต็มแก่
เขาเรียนใกล้จบแล้ว ต่อไปก็ต้องออกไปทำงาน ไม่ได้หวังจะมาเจอแบบนี้เลยจริงๆ
“คุยกันให้รู้เรื่องก่อน ทำแบบนี้ต้องการอะไรทั้งที่เรายังไม่ได้เลิกกัน”
“เลิกหรือไม่เลิกมันก็ไปไม่รอดแล้ว คนไม่รักกันจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“แล้วรู้ได้ไงว่าไม่รัก”
“หยุดให้ความหวังผมสักที หยุดพูดเหมือนห่วงผม เหมือนอยากยื้อให้กลับมาทั้งที่ใจพี่มันว่างเปล่า ผมไม่ใช่ตัวตลกในชีวิตพี่นะ หัวใจของผม...” มือทุบที่หน้าอกตัวเองซ้ำๆ น้ำตาซึ่งเอ่อคลออยู่ไหลไม่หยุด เอาแต่จ้องมองคนที่เหมือนไม่มีความรู้สึกตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
“หัวใจที่มันพังพี่เล่นจนพอใจหรือยังครับ ปล่อยมือผมเถอะ”
“จะให้ปล่อยได้ไง เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ”
“ตอนที่ผมต้องการพี่ พี่ยังปล่อยผมง่ายๆ โดยไม่คิดอะไรเลย ตอนนี้ก็คงไม่ต่างกันนักหรอก”
“สิงหามันไม่ใช่แบบนั้น สามเดือนที่ผ่านมาถึงจะห่างกันแต่...”
“พอเถอะพี่ภู ผมเจ็บจนจะตายอยู่แล้ว”
“...”
“ผมไม่เหลืออะไรให้พี่เหยียบย่ำอีกแล้ว ขอร้อง...”
“...”
“หยุดทำร้ายผมสักที”
โลกของผมหยุดนิ่งที่ผู้ชายคนนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน เกือบสองปีที่ผมเอาแต่รักจนหัวปักหัวปำ แต่ไม่เคยมองกลับไปยังอีกฝ่ายเลยสักครั้งว่าเคยให้ความรักตอบกลับบ้างหรือเปล่า โง่งมกี่ครั้งที่ให้อภัยเขา ยอมทนเป็นของตายรอคอยให้เขากลับมาโอบกอด แค่หวังว่าจะช่วยให้อีกฝ่ายหันกลับมารักบ้าง
หมดแล้วล่ะ แม้แต่ร่างกายก็ไม่มีค่าให้เขากอบโกยอีกต่อไป
เป็นคนที่ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ
“พี่ภู ถ้าพี่ยังสงสารผมสักนิด สมเพชกับความงี่เง่าของผมสักเสี้ยวหนึ่ง ขอร้อง...”
“...”
“เราอย่าเจอกันอีกเลย ไปตามทางที่พี่เลือกเถอะ”
ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฝ่ามือหนาซึ่งกอบกุมมือของผมอยู่เริ่มคลายออก แววตาแสนเจ็บปวดนั้นไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของพี่ เขายังคงนิ่ง จ้องมองด้วยสายตาอ่านยากก่อนจะปล่อยให้ผมเดินผละออกไปทั้งน้ำตา แม้เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเดินต่อไปนั้นแทบจะไม่หลงเหลือแล้วก็ตาม
ผมรักพี่ แต่ผมอยู่กับพี่ไม่ได้
ได้โปรดอย่ากลับมาอีกเลย
“ไอ้สิงหา!! เป็นอะไรเนี่ย หยุดเว้ย! เฮ้ยหยุดร้องไห้” เบียร์ที่เพิ่งเดินออกมาจากตึกทำหน้าแตกตื่น ก่อนจะรวบตัวผมเข้าไปกอดปลอบอย่างรวดเร็ว สองมือลูบหลังราวกับเป็นเด็กน้อยและผมก็ทิ้งตัวทั้งหมดไว้ที่เพื่อนเพียงคนเดียว
“เจ็บ...เมื่อไหร่จะหายสักที”
“ใจเย็นๆ แผลมันใหญ่ต้องรักษาแต่ไม่นานมันจะมีวันหาย”
“แล้วระหว่างนั้นล่ะต้องทำยังไง ต้องเจ็บปวดอีกแค่ไหน”
“ก็แค่ตั้งรับ ไม่มีใครตายเพราะถูกทิ้งหรอก ความรักมันเหี้ยแต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดดับชีวิตมึง ป่ะไปล้างหน้า เดี๋ยวไปเดินเล่นหน้าบึ้งๆ แม่ค้าจะได้ตบเอา” ผมยอมเดินตามแรงรั้งของเพื่อนโดยไม่คิดหันมองกลับไปยังด้านหลัง เพราะไม่อยากรู้ว่าเขาจะยังยืนอยู่ตรงนั้นมั้ย
ในเมื่อเลือกที่จะก้าวออกมาก็ควรต้องยอมรับความจริง
“น้องครับ...”
“...”
“น้อง” ผมเดินเล่นกับเบียร์เรื่อยเปื่อย จนกระทั่งใครคนหนึ่งตะโกนเรียกเสียงดังจนผมต้องผละหนี ใครกันผมไม่รู้จัก หรือจะเป็นพวกมิจฉาชีพ
“เฮ้ย! ปล่อยนะ” ผมรีบสะบัดมือออกอย่างแรงทันทีที่ถูกคว้าไปจับอย่างง่ายดาย
“พี่ทำอะไรเพื่อนผม” เบียร์ปราดเข้ามาขวางเอาไว้ สายตาแข็งกร้าวของเขาทำให้ใครคนนั้นเงียบลง ก่อนจะจ้องมองผมด้วยสายตาแปลกประหลาด
“พี่เปล่าทำ”
“ก็เห็นอยู่ว่าจับมือเพื่อนผม”
“คืองี้นะ พี่เป็นโมเดลลิ่งกำลังหานายแบบหน้าตาประมาณเพื่อนน้องเนี่ยแหละ” เสร็จแล้วแกก็หยิบนามบัตรขึ้นมายื่นให้กับเบียร์
“แล้วไง”
“คือน้องครับ น้องตัวเล็กๆ น่ะ ถ้าสนใจอยากถ่ายแบบนิตยสารลองติดต่อมาได้นะครับ”
ดูเหมือนเขาจะพยายามพูดกับผมอยู่
“อะ...อะไรนะครับ ถะ...ถ่ายแบบ?”
“ใช่ครับถ่ายแบบ”
เขาเล่นอะไรกัน หลอกผมอีกแล้วหรือเปล่า?