ตอนที่ 25ลีโอ“พี่...โอ ลี... ลีโอ...ลีโอตื่นเถอะ” ใครเรียก เสียงใคร หมูน้อยของผมเรียกผมอยู่ใช่มั้ย ลูกหมูฟื้นแล้ว!?
“ลูกหมู!!...[พรึ่บ!]...แม่ คุณพ่อ ลูกหมูฟื้นแล้วใช่มั้ยครับ” ผมสะบัดผ้าห่มออกและกวาดตาไปรอบตัว เพื่อหาเจ้าของร่างกลมๆและรอยยิ้มสดใสคุ้นตา
แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวัง เมื่อจุดปลายสายตาผมยังคงเห็นลูกหมูนอนอยู่บนเตียงคนไข้เช่นเดิม
“ลีโอ ลูกกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนมั้ย ส่วนลูกหมูเดี๋ยวแม่ดูให้เอง” แทบไม่ต้องคิดว่าผมจะตอบคุณแม่ว่าอย่างไร เพราะยามที่น้องฟื้นคืนสติกลับมา ผมอยากให้น้องเห็นหน้าผมเป็นคนแรก
“ถ้าไม่กลับ ก็ไปทำตัวให้สดชื่นหน่อยไป ถ้าลูกหมูตื่นมาเห็นลูกในสภาพแบบนี้ น้องคงไม่สบายใจนัก” ผมยอมรับคำคุณพ่ออย่างง่ายดาย เพราะรู้ตัวอยู่ว่าตัวเองนั้นโทรมแค่ไหน ด้วยสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำโกนหนวดมาสองวัน เมื่อต้องเทียวไปมาระหว่างโรงพยาบาลและธนาคาร
ผมคงจะพอดูแลตัวเองได้ดีกว่านี้ ถ้าไม่เกิดวิกฤตทางการเงินระหว่างธนาคารคู่สัญญาขึ้น จนผมต้องวิ่งรอกเข้าไปแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นผมคงได้ดูแลลูกหมูอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องคอยพะวงถึงอาการของน้อง จนทำให้เคร่งเครียดเหมือนที่ผ่านมา
ผมตัดสินใจลุกไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำแนะนำของคุณพ่อ แต่ยามเดินผ่านเตียงที่น้องนอนอยู่ ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะเข้าไปลูบแก้มซีดๆ และจูบลงไปยังหน้าผากเกลี้ยงเกลาของน้อง ก่อนเอ่ยกระซิบเหมือนอย่างทุกที
“ลูกหมู ตื่นได้แล้วนะครับ อย่ามัวแต่นอนขี้เซาสิ รู้มั้ยว่าพี่คิดถึงเราจะแย่แล้ว...หมูน้อย ถ้าได้ยินเสียงพี่ ขอให้รีบตื่นมาเจอกันเถอะนะ” ยามลืมตาขึ้นผมแอบหวังทุกครั้งว่าจะได้เห็นลูกหมูยิ้มให้ แต่ก็เหมือนทุกทีเพราะน้องก็ยังคงนอนหลับตานิ่งเช่นเดิม
ผมตัดใจเดินเข้าห้องน้ำ แต่หางตาแอบเห็นว่าคุณแม่ยืนซับน้ำตา โดยมีคุณพ่อโอบไหล่ปลอบประโลม ซึ่งท่านทั้งคู่มองตรงไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง ตามที่เห็นไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่เป็นทุกข์กับอาการนอนไม่ได้สติของลูกหมู สาเหตุนั้นมาจากการที่น้องจมน้ำเมื่ออาทิตย์ก่อน
การที่ลูกหมูนอนไม่ได้สติเช่นนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าน้องขาดอากาศหายใจอยู่นาน เพราะกว่าผมจะช่วยน้องขึ้นจากน้ำได้ ก็เสียเวลาไปกับการควานหาตัวน้องในน้ำ ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าผมไม่เจอลูกหมูในวันนั้น นาทีนี้ผมจะยังคงใช้ชีวิตอยู่ได้มั้ย ถึงแม้ผมจะช่วยน้องขึ้นมาได้ แต่กลับมีเรื่องให้ต้องกังวล เพราะลูกหมูนอนหลับเป็นเจ้าชายนิทรามาไม่รู้สติมาตลอดอาทิตย์
ส่วนหมอเจ้าของไข้เองก็ยืนยันแล้วว่า อาการทางร่างกายของลูกหมูปกติทุกอย่าง แม้จะมีอาการปอดบวมเล็กน้อยหลังจมน้ำ แต่ก็ทำการรักษาจนหายดีแล้ว สำคัญที่หมอไม่สามารถระบุได้เลยว่าน้องจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกหรือไม่ แม้แต่ถ้าน้องฟื้นขึ้นมาก็บอกไม่ได้อีกว่าสมองจะยังคงปกติรึเปล่า
ดังนั้นพวกเราคงได้แต่รอเวลา ผมเองก็ได้แต่ภาวนาให้ได้ลูกหมูคนเดิมกลับมา อย่าให้ผมต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักคนนี้ไปเลย
ผมอดคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดกับลูกหมูนั้นมันไม่ธรรมดา ต้องมีอะไรบางอย่างบันดาลให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะลูกหมูไม่มีทางกระโดดลงไปเล่นน้ำเพียงลำพังเด็ดขาด ด้วยน้องว่ายน้ำไม่เป็น แถมก่อนผมออกจากห้องผมก็เตือนน้องเรื่องลงน้ำไว้แล้ว ต้องมีอะไรดลใจให้ลูกหมูลงน้ำจนจมน้ำในครั้งนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าบุคคลที่จงใจให้เกิดเรื่องต้องการทวงลูกหมูคืน ผมรับรู้มาตลอดว่าลูกหมูพิเศษกว่าทุกคนรอบตัว และแอบคิดว่าสักวันหนึ่งน้องคงต้องกลับไปในที่ที่น้องจากมา แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะมาทวงน้องคืนเร็วแบบนี้
แม้ปากจะเคยสัญญาปาวๆมาตลอดว่าจะทำทุกวิถีทางที่จะให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ลึกๆผมรู้ว่าไม่อาจจะต่อต้านอำนาจของบางสิ่งได้เลย พิสูจน์ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากมองดูลูกหมูนอนหลับอยู่แบบนั้น และเพราะสาเหตุนี้ทำให้ผมที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ได้แต่อ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลใจบุคคลผู้มีอำนาจเหล่านั้น ได้เห็นใจในความรักของผมที่มีต่อลูกหมู และให้โอกาสผมได้ใช้ชีวิต พร้อมให้ผมได้ดูแลลูกหมูมากกว่าระยะเวลาที่ผ่านมาเสียก่อน
“ลีโอกินอะไรสักหน่อยเถอะ ไม่สบายขึ้นมาจะแย่นะ ลูกหมูไม่สบายแล้วคนหนึ่ง แค่นี้คุณพ่อกับคุณแม่ก็เป็นกังวลมากแล้ว และถ้าลูกหมูตื่นมารู้เข้าจะเสียใจนะ ที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ลีโอไม่สบาย” ผมยอมรับความหวังดีของดาด้า ด้วยการตักอาหารเข้าปาก แต่มันก็ฝืดคอเกินกว่าจะกลืนลงไปได้ในแต่ละคำ
ลูกหมูจะรู้มั้ยว่าการที่ตัวเองนอนไม่ได้สติเช่นนี้ มีผู้คนเป็นห่วงมากมายแค่ไหน ไม่เพียงแค่คู่รักสุดหวานอย่างดาด้าและนายปูนที่มาอยู่เป็นเพื่อนผม เพื่อเฝ้าลูกหมูยามนี้เท่านั้น แต่ยังมีเพื่อนๆในคณะที่รู้ข่าวและทยอยมาเยี่ยมน้องไม่ขาดอีก รวมถึงสามหนุ่มสุดสวยอย่างป๋อมแป๋ม ลูกตาล และกุ๊กไก่ก็มาเช่นกัน โดยเฉพาะสามคนหลังนี้ถึงกับปล่อยโฮเมื่อเห็นสภาพน้องนอนไม่ได้สติ พาลให้ผมน้ำตาซึมตามไปด้วย
ผมหวังว่าลูกหมูจะรับรู้ถึงความห่วงใยของคนที่รักลูกหมู และรีบตื่นขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสบายใจเสียที เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความหวังและความกังวลใจของผมกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“บางครั้งฉันก็คิดนะ ว่าอยากอดข้าวประท้วง หรือทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองป่วย เผื่อลูกหมูจะเป็นห่วงและรีบตื่นขึ้นมา จะมาต่อว่าหรือทำอะไรฉันก็ได้ เพราะขอเพียงแค่ให้น้องฟื้นขึ้นมาเท่านั้น” ผมไม่ได้อยากให้คนที่ฟังผมอยู่เป็นห่วงผมไปอีกคนหรอกครับ แต่ผมคิดแบบนี้จริงๆ
ขอแค่น้องฟื้นขึ้นมา จะให้ผมทำอะไรก็ยอม แม้แต่จะให้ผมนอนป่วยแทนน้อง ผมก็ยอมแลกได้เช่นกัน
“ผมรู้ว่าพี่คิดแบบที่พูดจริงๆ แต่ผมว่าพี่พยายามดูแลตัวเองให้ดีก่อนดีกว่ามั้ย เพราะถ้าพี่ป่วยขึ้นมาอีกคน คราวนี้คุณลุงกับคุณป้าคงจะตรอมใจแน่นอน ตอนนี้พี่ควรจะเป็นหลักให้กับทุกคนนะครับ และอย่าลืมคำพูดที่เคยพูดกับผมสิ ว่าพี่จะดูแลและรักลูกหมูอย่างดีที่สุด ช่วงเวลานี้นี่แหละที่พี่จะพิสูจน์ให้ผมเห็น ว่าพี่ทำได้อย่างที่พูด ผมเชื่อนะว่ายังไงซะลูกหมูก็ต้องฟื้น เพราะคนที่รักลูกหมูและคนที่ลูกหมูรักทุกคนน่ะอยู่ที่นี่”
จากน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาสื่อถึงกำลังใจของปูน ทำให้ผมยกยิ้มได้ในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยทีเดียว ก่อนผมจะถอนใจเฮือกใหญ่เพื่อไล่ความท้อแท้ใจออกไป
“เฮ้อออ...ขอบใจนายมากที่เตือนสติฉัน นายเองก็รู้จักคิดเหมือนกันนี่ ฉันคิดไม่ผิดจริงๆที่คอยเชียร์นาย จริงมั้ยดาด้า” ผมหันไปกระตุกยิ้มใส่นักร้องขวัญใจวัยรุ่น ด้วยต้องการคลายบรรยากาศตึงเครียดที่เคยปกคลุมไปทั้งห้อง
“สองคนคุยกันอยู่แท้ๆ เกี่ยวอะไรกับดาด้าล่ะ...ปูนยิ้มอะไร” ปากปฏิเสธไปอย่างนั้น แต่แววตาเขินอายและแก้มแดงๆปิดความจริงไม่มิดหรอก ว่าเจ้าตัวรู้ดีว่าผมพูดถึงอะไร
“ก็ยิ้มให้คนปากแข็งไงครับ เพราะถ้าผมไม่ดีจริง ระดับนักร้องดังอย่างคุณดาด้าจะยอมโน้มกิ่งลงมาหาเหรอ ใช่มั้ย” สิ้นคำนายปูนเท่านั้นแหละครับ ดอกฟ้าดาด้าของนายปูนก็สบถคำว่าบ้าออกมาได้อย่างน่ารัก ด้วยแก้มแดงแจ๋และมีอาการหลบตาเราทั้งคู่ ก่อนจะทำทีขอตัวลงไปซื้อน้ำและของว่างขึ้นมาให้ผม
แน่นอนว่านายปูนไม่ปล่อยให้แฟนคนสวยห่างสายตา ด้วยปูนหันมาขอตัวกับผมตามแฟนตัวเองไปติดๆ
ผมได้อยู่ตามลำพังกับลูกหมูอีกครั้ง หลังจากเมื่อเช้าต้องพยายามทำตัวให้สดชื่น เพื่อให้บุพการีไม่ต้องเป็นห่วงผมมากนัก ก่อนผมจะทานมื้อเช้ากับพวกท่าน สายหน่อยท่านทั้งคู่ก็เข้าธนาคารไปดูงานแทนผม ในส่วนที่ไม่สำคัญมากนักแต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหาร
หลังจากคุณพ่อคุณแม่ออกไปไม่นาน อเล็กซ์กับน้องนลินที่รู้ข่าวลูกหมูได้มาเยี่ยมน้อง แต่ทั้งคู่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะมีนัดต้องไปทำธุระต่อ และยังไม่ถึงเที่ยงดีดาด้าก็โทรมาว่าจะเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนผมช่วยเฝ้าลูกหมู ทำให้ตลอดเวลาผมยังไม่มีเวลาส่วนตัวอยู่กับน้องมากนัก
กระทั่งตอนนี้ผมจึงได้มีโอกาสนั่งมองลูกหมูนิ่งๆ ทำให้รู้ว่าร่างกายของน้องซูบซีด และผ่ายผอมลงกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นเพราะน้องนอนอยู่แต่ในห้อง ทำให้ไม่โดนแดดเลย แถมยังต้องให้น้ำเกลือแทนการกินข้าวแบบปกติเสียอีก ถ้าน้องตื่นมาผมคงต้องขุนน้อง ให้กลับมาเป็นหมูน้อยของผมตามเดิมให้ได้ในเร็ววันเชียวล่ะ
“รีบตื่นมาเสียทีเถอะนะลูกหมู รู้มั้ยว่าทางนี้มีแต่คนเป็นห่วงเรา ที่สำคัญพี่คิดถึงหมูน้อยของพี่จะแย่แล้ว ช่วยตื่นมาคุย ตื่นมายิ้มมาหัวเราะกับพี่ได้แล้วครับ พี่ขาดเราไม่ได้นะลูกหมู...ถ้าพวกท่านได้ยินเสียงผม ผมขอร้องนะครับ ส่งลูกหมูคืนให้ผมเถอะ ผมรักลูกหมู ผมอยากดูแลน้อง ให้โอกาสผมได้ดูแลน้องเถอะครับ หรือไม่ก็เอาผมไปแทน ขอแค่ให้ลูกหมูได้มีโอกาสใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป...ฮึกๆ”
ผมพยายามกลั้นสะอื้น และใช้นิ้วกดหัวตาที่ร้อนผ่าว เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องหลั่งน้ำตาไปมากกว่านี้ นาทีนี้ผมไม่อายที่จะมีใครเข้ามาเห็น ว่าผมได้กลายเป็นคนอ่อนแอไปเสียแล้ว ขอเพียงคำภาวนาของผมจะส่งไปถึงบุคคลพิเศษเหล่านั้น ด้วยผมหวังว่าพวกเขาจะได้ยินและเห็นใจในคำอ้อนวอนของผม
หากชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็ยอมที่จะเสียสละให้ลูกหมูได้ใช้ชีวิตบนโลกที่แสนงดงามใบนี้ต่อไป เพราะยังมีสิ่งสวยงามอีกมากที่น้องยังไม่เคยพบเห็น
“เจ้าขอให้ลูกหมูใช้ชีวิตเพียงลำพังต่อไป โดยปราศจากเจ้าน่ะรึ” เมื่ออยู่ๆก็มีเสียงปริศนาดังขึ้น ผมรีบเงยหน้าจากหลังมือขาวจัดของลูกหมู และผมต้องตกตะลึงจากการปรากฏกายของบุคคลหนึ่ง ผู้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงที่ลูกหมูนอนอยู่
บุคคลตรงหน้าไม่มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไป จะมีต่างก็ตรงใบหน้าเรียวสวยและเส้นผมดำขลับที่ระไปตามแผ่นหลัง ทำให้ผมแยกไม่ออกแต่แรกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ท่วงท่างามสง่าและแววตาจริงจัง ให้ความรู้สึกพิเศษแฝงพลังอำนาจบางอย่างที่ทำให้ผมยำเกรง และได้แต่นั่งเกร็งไม่กล้าขยับหนี ด้วยผมรู้แก่ใจดีว่าได้เผชิญหน้ากับหนึ่งในบุคคลที่ผมภาวนาขอให้ได้ยินคำขอของผมแล้ว ที่สำคัญท่านนั้นย่อมไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ยืนยันได้จากการปรากฏกายขึ้นมาต่อหน้าผมได้อย่างน่ามหัศจรรย์เช่นนี้
“ทำไมเจ้าไม่ตอบข้า เจ้าต้องการให้ลูกหมูใช้ชีวิตเพียงลำพังโดยที่ไม่มีเจ้าน่ะรึ ลีโอ” ชื่อตัวเองที่ดังขึ้นท้ายประโยค ทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว จึงรีบลุกขึ้นและยกมือไหว้ท่าน เพื่อทำความเคารพในแบบที่ผมคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ไม่ครับ ถ้าเลือกได้ผมก็อยากใช้ชีวิตอยู่กับลูกหมูครับ แต่ถ้ามีใครต้องไป ผมขอเป็นคนๆนั้น เอ่อ แล้วคุณ เอิ่ม...ท่านคือ” ผมรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน ด้วยรู้ว่าคำว่าคุณไม่เหมาะกับสถานะของบุคคลตรงหน้า
ท่าทางที่ขาดความมั่นใจของผมเรียกรอยยิ้มมุมปากของท่านได้ ก่อนท่านจะเบือนหน้าก้มลงดูลูกหมู และยื่นมือไปลูบแก้มน้อง
ไม่นานนักท่านก็เงยหน้ากลับมาจ้องตาผมอีกครั้ง ประกายตาแวววาวเหมือนดวงดาวที่กำลังส่องแสงระยิบระยับที่ผมเห็นนั้น คุ้นตาผมมาก จนทำให้ผมคิดถึงดวงตาของคนที่นอนหลับอยู่เบื้องหน้า ยามที่ลูกหมูถูกใจหรือดีใจในอะไรบางอย่าง น้องจะมีแววตาแบบนี้เลยทีเดียว
“ฮึๆ ดวงตาข้า ทำให้เจ้าคิดถึงลูกชายของข้าขนาดนั้นเชียวหรือ...ใช่แล้ว เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ข้าคือมารดาที่แท้จริงของเมอร์คิวรี่ หรืออีกในหนึ่งคือลูกหมูนั่นแหละ” แม้ผมจะคาดเดาถึงสถานะของท่านไว้แล้ว แต่ผมก็อดตกใจไม่ได้
“ทะ...ท่านคือ เทพเมอา มารดาผู้ให้กำเนิดเทพเมอร์คิวรี่ เทพเมอร์คิวรี่คือลูกหมูเหรอครับ” ขาของผมอ่อนแรงไปพร้อมกับการตอบรับโดยการพยักหน้าของท่านเมอา
ถึงกลับลงไปนั่งยังเก้าอี้ข้างเตียงตัวเดิมอีกครั้ง แต่สายตาผมก็ยังไม่ละไปจากดวงหน้างดงามของท่านเมอา จึงได้เห็นสายตาอ่อนแสงฉายแววเมตตาของท่านที่ใช้มองผม
“ความจริงเป็นไปตามที่เจ้าเข้าใจนั่นแหละลีโอ และการที่ข้ามาปรากฏกายให้เจ้าเห็นในครั้งนี้ เพราะได้ยินคำภาวนาของเจ้า ที่สำคัญข้าต้องการมาแจ้งข่าวสำคัญบางอย่างแก่เจ้าด้วย” ผมที่กำลังดีใจกลับชะงักงันขึ้นทันที เพราะสังหรณ์ในข่าวสำคัญที่ท่านเมอาจะแจ้งแก่ผม
ผมหวังว่าคงไม่ใช่การที่ลูกหมูต้องกลับไปยังที่ที่จากมาตลอดกาลหรอกนะครับ
“ได้โปรดเถอะครับ ท่านอย่าเพิ่งพาลูกหมูกลับไป ผมยังต้องการดูแลลูกหมู ต้องการสร้างครอบครัว ต้องการมีโอกาสเห็นหน้าและดูแลลูกของเรา ท่านเมอาโปรดเมตตาผมให้มีโอกาสเหล่านี้เถอะนะครับ” พูดจบประโยค ผมเดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียง และย่อตัวลงนั่งคุกเขาต่อหน้าท่านเมอา
“ลีโอ เจ้ายังไม่ทันฟังในสิ่งที่ข้าต้องการบอกเจ้าเลย ทำไมถึงคิดไปไกลขนาดนั้น ลุกขึ้นก่อนเถอะ...ข้าไม่ใช่มารดาใจร้ายที่จะทำให้บุตรของตัวเองต้องทุกข์ทรมานกายใจหรอกนะ การที่ข้าต้องตัดใจส่งบุตรของข้ามาที่นี่ ก็เหมือนว่าได้ทำร้ายบุตรทางอ้อมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข่าวที่ข้าต้องการมาบอกเจ้า จึงไม่ใช่ข่าวร้ายอย่างที่เจ้าคิดไปเองหรอก”
หากว่าท่านเมอาเป็นมนุษย์เหมือนเราๆ ผมคงเข้าไปกอดท่านด้วยความดีใจแล้วครับ ด้วยแน่ใจแล้วว่าอย่างไรเสีย ลูกหมูคงต้องฟื้นขึ้นมาเจอผมเร็วๆนี้อย่างแน่นอน แต่ขืนผมทำอย่างใจคิด เชื่อได้ว่ายังไม่ทันที่ผมจะถึงร่างท่าน ตัวผมคงสูญสลายไปในพริบตา ที่บังอาจตีตนเสมอเทพผู้มีบารมีก็เป็นได้
“ข่าวอะไรครับที่ท่านต้องการแจ้งแก่ผม” ท่านเมอาอมยิ้มเล็กๆและมีแววตาระยิบระยับส่อแววซุกซน จนผมรู้สึกผ่อนคลายไปกับบรรยากาศรอบกายท่าน
“ในความเป็นจริงแล้ว ณ เวลานี้เป็นเวลาที่เมอร์คิวรี่ต้องกลับคืนสู่อ้อมอกของมารดาอย่างข้า แต่ข้าจะให้โอกาสตามที่เจ้าวอนขอ เพราะรับรู้ถึงความจริงใจและความรักที่เจ้ามีต่อลูกของข้า และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดที่ทำให้ข้าต้องตัดใจและเฝ้ารอต่อไป เพื่อผ่อนปรนให้ลูกของข้าได้มีความสุขกับคนรัก เพียงเพราะข้าไม่สามารถทนเห็นเมอร์คิวรี่บุตรรักเป็นทุกข์ได้...ลีโอ เจ้าต้องสัญญากับข้าข้อหนึ่ง หากเจ้าต้องการโอกาสจากข้า เจ้าจะให้สัญญาได้มั้ย”
ผมไม่แม้แต่เสียเวลาคิด รีบตอบรับคำสัญญาของท่านเมอาที่เมตตาผมให้ได้อยู่กับลูกหมูอีกครั้งทันที
“อีกสิบหกปีหลังจากนี้ เจ้าต้องมอบดวงแก้วล้ำค่าที่เจ้าครอบครองอยู่ให้แก่ข้า”
“ดวงแก้วอะไรครับ ผมไม่มีดวงแก้วในครอบครองสักชิ้น” หรือท่านจะหมายถึงพวกเครื่องประดับจำพวกอัญมณีกันแน่ แต่ไม่ว่าท่านต้องการชิ้นไหน ผมก็จะมอบมันให้แด่ท่าน
“เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้เอง ว่าดวงแก้วที่ข้าพูดถึงนั้นคืออะไร ลีโอ เจ้าสัญญาได้มั้ยว่าจะมอบดวงแก้วล้ำค่าให้แก่ข้า” แม้ท่านเมอาจะระบายยิ้มชวนมองจนยากที่จะละสายตา แต่แววตากดดันกึ่งบีบคั้นของท่าน ทำให้ผมรู้ได้เลยว่าขืนผมไม่รีบรับปาก ผมคงได้สูญเสียลูกหมูไปตลอดกาลเป็นแน่
“ครับ ผมสัญญา” ถึงแม้ว่าผมจะเริ่มไม่สบายใจกับคำสัญญา เพราะอยู่ๆก็เกิดสังหรณ์ใจขึ้นแปลกๆ ว่าดวงแก้วที่ท่านเมอาเอ่ยปากขอผมนั้น ไม่น่าจะใช่อัญมณีธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไป แต่ไม่แน่ว่าผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
“จงอย่าลืมคำสัญญาของเจ้าเชียวล่ะ...อืม ในเมื่อเจ้าให้สัญญาแก่ข้าแล้ว ข้าก็จะทำตามสัญญาเช่นกัน เพราะเจ้าคงอยากให้เมอร์คิวรี่ฟื้นขึ้นมาเสียทีใช่หรือไม่”
“ครับ ผมต้องการให้ลูกหมูฟื้นตื่นขึ้นมาเจอทุกคนอีกครั้ง เพราะไม่ใช่แค่ผมที่เป็นทุกข์ แต่ทุกคนที่รักลูกหมูก็ต่างมีความทุกข์ใจไปตามๆกัน ท่านเมอาได้โปรดให้ลูกหมูลืมตาตื่นเสียทีเถอะครับ”
“เราจะทำตามที่เจ้าต้องการ ลีโอขอให้เจ้าดูแลบุตรแห่งเรา และดวงแก้วที่จะถือกำเนิดเร็วๆนี้อย่างดีด้วย” ท่านเมอาระบายยิ้มบางเบาส่งให้ผม ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนหน้าผากลูกหมู พลันปรากฏแสงสว่างจ้าขึ้นในพริบตา จนผมไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป
“ลีโอ...พี่ลีโอ...ทำไมถึงมานอนบนโซฟาได้ล่ะ เมื่อคืนนอนไม่พอเหรอครับ” ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงและสับสน
ท่านเมอาไปไหน แล้วทำไมผมถึงมานอนอยู่ตรงนี้ ไหนจะนายปูนกับดาด้าที่หิ้วของพะรุงพะรังมองผมด้วยความแปลกใจอีกล่ะ ความทรงจำล่าสุดของผมคือแสงสว่างเจิดจ้าจากปลายนิ้วของท่านเมอา ทำให้ผมต้องปิดตาลง และตื่นขึ้นมาพบความจริงว่าผมฝันไปเช่นนั้นหรือ
“ลูกหมูล่ะ” ผมดันตัวนายปูนออกจากรัศมีสายตาที่ผมจะมองเห็นน้อง
“ก็นอนอยู่นั่นไง ละ...ลูกหมู...ฟื้น ลูกหมูฟื้นแล้วพี่!”
“จริงด้วย ลูกหมูตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ โอ๊ย! ดีใจจัง ขอบคุณพระเจ้า”
เมื่อเห็นไม่ต่างจากนายปูนและดาด้า ผมแหวกคนทั้งคู่ออกห่าง และถลาลงจากโซฟา รีบไปยืนข้างเตียงคนไข้ทันที ลูกหมูกำลังกระพริบตาถี่ๆ ก่อนยกมือขยี้ตาด้วยความงัวเงีย แสดงอาการไม่ต่างจากยามที่น้องตื่นนอนตอนเช้าใหม่ๆสักนิด จนผมต้องรั้งข้อมือน้องไว้เหมือนทุกที ด้วยกลัวว่าตาจะช้ำพาลจะเจ็บตาเสียเปล่าๆ
“อย่าขยี้ครับ เดี๋ยวเจ็บตา...ลูกหมู~” ผมถึงกลับครางเสียงพร่า เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของคนที่ผมรักและคิดถึงจับใจอีกครั้ง
“พี่ลีโออรุณสวัสดิ์ครับ” ลูกหมูยื่นมือออกมาโอบรั้งรอบคอผม และซุกหน้าบดบี้ไปตามซอกคอ กิริยาไม่ต่างจากตอนน้องตื่นนอนมาอ้อนผมเหมือนทุกเช้า
“ครับ อรุณสวัสดิ์และยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ หมูน้อยของพี่” ผมกอดตอบร่างน้องจนแน่นและยิ้มทั้งน้ำตา น้ำตาที่หลั่งไหลเพราะความดีใจ
ผมได้คนรักของผมกลับคืนมาแล้ว แสดงว่าผมไม่ได้ฝันไป ท่านเมอามาพบผมจริงๆ และคืนลูกหมูให้แก่ผม นั่นย่อมหมายความว่าผมต้องทำตามสัญญาที่รับปากท่านไว้ คือการมอบดวงแก้วให้แก่ท่านในอีกสิบหกปีต่อจากนี้
.............................................
โปรดติดตามตอนต่อไป^^ในที่สุดหมูน้อยก็กลับคืนสู่อ้อมกอดของพี่ลีโอเสียที
ถ้านานกว่านี้พระเอกของพวกเราคงตรอมใจแน่ๆ

ตอนหน้าเรามาตามดูกันว่าลีโอจะตามหวงตามห่วงคนรักที่เพิ่งฟื้นอย่างไร
เพราะปกติก็ห่วงขั้นสุดอยู่แล้วนี่เนอะ
เจอกันอีกที่วันศุกร์นะคะ อ้อ!!! ห้ามพลาดใครมาเร็วได้ของที่ระลึกเป็น magnet ด้วยน้านับถอยหลังอีก 5 ตอนก็จบแล้ว ขอแรงใจเชียร์ลีโอลูกหมูด้วยค่า
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
