เสพติดอันตราย...รักผู้ชายพันธุ์โหด
ตอนที่ 36
ผ่านไปสัปดาห์กว่าๆ สภาพจิตใจของธีร์ดีขึ้นตามวันเวลา แต่ก็ไม่ได้ที่จะฟื้นตัวเร็วขนาดนั้น ในทุกๆ คืนเขาก็จะนอนหลับไปพร้อมกับน้ำตา อินทัชที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พยายามที่จะอยู่กับธีร์ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าเพื่อนจะคิดสั้น เพราะเวลาธีร์เสียใจเขาก็มักจะชอบลงที่ร่างกาย
แม้จะไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่มันก็ไม่ได้ต่างกันนัก
“มึงจะไปทำงานแน่นะธีร์”
“อือ...กูลามาเยอะแล้วว่ะ เกรงใจคุณเพลิงเขา”
“ไม่ไหวก็โทรหากูนะ”
“ขอบใจมากว่ะอิน แต่กูไม่เป็นไรแล้ว” ธีร์ที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ตรงข้ามกับอินทัชบอกแล้วยิ้มบางเบาส่งไปให้ อยู่เฉยๆ อยู่นิ่งๆ มันก็ฟุ้งซ่านพาลจะคิดถึงเวลาที่ยังคงมีกัน
ธีร์ควรจะทำงานให้หนักๆ เพื่อลืมอีกคนไปเลย
“ให้มันจริง”
“ถ้าคืนนี้เที่ยงคืนแล้วกูไม่กลับ ก็คือกูนอนที่บริษัทนะ” ธีร์บอก
“กลับมานอนที่นี่เถอะ”
“ต้องรอดูก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดมากเพื่อน กูไม่โง่ทำร้ายตัวเองหรอกน่า” ธีร์เอ่ยยิ้มๆ
“ก็กูกลัวนี่หว่า”
“อือ...ช่วงนี้งานกูเยอะหน่อยนะ อาจจะไม่ได้กลับนั่นแหละ กูได้รับหน้าที่ให้ออกแบบโครงการใหม่น่ะนะ คุณเพลิงไม่อยากให้กูฟุ้งซ่านเลยเพิ่มงานให้ ไหนจะออกแบบเครื่องเพชรที่แม่ขอร้องเมื่อหลายปีก่อนนั่นอีก”
ธีร์คิดที่จะทำตามที่แม่เขาขอร้องอย่างจริงจังแล้ว คิดว่าเครื่องประดับชุดนี้คงจะต้องออกมาดูงดงามสมกับที่รอคอยมาหลายปีแน่นอน
เพราะช่วงที่ธีร์กำลังหมดอาลัยตายอยากกับความเศร้าที่เกาะกุมหัวใจ ก็มีเพียงกระดาษกับดินสอเท่านั้นที่สามารถคลายอารมณ์ของเขาได้ ภาพที่ออกมากลับกลายเป็นรูปร่างเครื่องประดับเพชรที่ธีรมองตอนได้สติก็รู้สึกว่ามันงดงามแม้ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง
“อิ่มแล้ว กูไปก่อนนะ” ธีร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับเนคไทก่อนจะสวมสูทนอกทับ ในขณะธีร์กำลังจะเดินออกจากห้องของอินทัชไป เพื่อนรักของเขาก็ตะโกนตามหลัง ทำเอาธีร์ต้องหันไปยิ้มให้น้อยๆ
“มึงยังมีกูนะเว้ย!”
“ขอบใจว่ะ”
ร่างโปร่งเดินทางไปทำงานด้วยหัวใจที่เริ่มจะดีขึ้น มันยังเจ็บอยู่ มันยังทรมานอยู่ แต่ถ้าเราไม่ก้าวข้ามมันมา สิ่งเหล่านั้นมันก็จะครอบครองตัวเรา ธีร์จะไม่จมอยู่กับมัน แต่ก็ใช่ว่ามันจะลืม
“สวัสดีค่ะคุณธีร์ หายดีแล้วหรือคะ” เอมิกาเลขาของธีร์ถามอย่างร่าเริงที่เห็นเจ้านายมาทำงานด้วยท่าทางที่เต็มร้อย และดีใจที่ธีร์มาเสียทีเพราะงานระหว่างที่เจ้านายไม่อยู่มันเยอะมากจนเธอโดนหลายๆ คนบ่น
“หายดีแล้วครับ”
“ตอนคุณธีร์ไม่อยู่เนี่ย งานเยอะมากๆ เลยนะคะ รีบเข้าไปเคลียร์เถอะค่ะ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น ถ้างั้นขอตัวนะครับ”
ร่างโปร่งเดินเข้าไปในห้องทำงานของตนแล้วเห็นกองเอกสารมากมายก็พร้อมที่จะจัดการมัน ธีร์ใช้เวลาทั้งวันในการทำงานต่างๆ โดยที่ไม่ทานข้าวเที่ยงหรือจนกระทั่งข้าวเย็นก็ไม่แตะ ใช้เวลาอยู่ในห้องทั้งวันไม่ออกไปไหน จนกระทั่งพนักงานต่างก็พากลับไปหมด บรรยากาศภายนอกมืดแล้ว แต่ธีร์ก็ยังคงปล่อยให้มันมืดอยู่แบบนั้น เคลียร์งานที่หน้าคอมฯ ของตนต่อ เสียงท้องร้องประท้วง ทำให้ธีร์ต้องหยุดชะงักงานในมือ
“ทั้งวันไม่หิว มาหิวอะไรตอน 3 ทุ่มวะ” ร่างโปร่งบ่นอย่างหัวเสีย
ด้านนอกหน้าห้องทำงานมีคนคุ้มกันที่อัคนีส่งมาให้เฝ้าเขาประมาณ 2 คน ธีร์เลยเดินออกไปข้างนอกห้อง สั่งให้คนใดคนหนึ่งไปซื้ออาหาร รวมทั้งซื้อของตัวเองขึ้นมาทานด้วย
“ฉันขอข้าวต้มพอ ส่วนพวกนายจะซื้ออะไรกินกันก็ตามใจ ส่วนเงินไม่ต้องทอนนะ กินเต็มที่” ธีร์บอก ซึ่งหนึ่งในลูกน้องของธีร์ก็รับคำสั่งก่อนจะลงไปซื้ออาหารตามคำสั่ง อีกคนก็นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องเหมือนเดิม
ร่างโปร่งเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน จัดการเปิดไฟให้สว่างแล้วเอาเอกสารขึ้นมาเทียบกับข้อมูลในคอมพิวเตอร์ต่ออย่างเครียดๆ
หายไปนาน งานก็มากเป็นธรรมดา และมันก็เป็นเรื่องดี ที่ทั้งวันนี้ ธีร์ไม่มีเวลาคิดถึงใครอีกคนเลยสักนิด สนใจแต่งานของตัวเองเท่านั้น
“ตรงนี้มันหายไปไหนวะ”
“เฮ้อ...คิดสิวะธีร์ ถ้าเป็นแบบนี้มันจะต้องหาจากตรงไหน”
ธีร์พยายามที่จะคิดแต่มันก็คิดไม่ออก ทั้งๆ นี่เป็นงานสุดท้ายของเขาแล้วแท้ๆ แต่กลับมาตายตอนจบเสียได้ ธีร์ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดินไปยืนมองวิวยามค่ำคืนอย่างเงียบๆ ในชั้นสูงสุดของบริษัท มีเพียงเขาแค่คนเดียวที่ยังอยู่ อยู่คนเดียวเดียว ไม่มีใครโทรถามเหมือนที่ผ่านมา
ไม่มีแม้แต่ความห่วงใยที่เคยได้รับ
“เมื่อไหร่ถึงจะผ่านจุดๆ นี้ไปได้กันนะ”
แม้จะไม่มีน้ำตาตลอดเวลาอย่างกับแรกๆ ที่โดนปฏิเสธ แต่เมื่ออยู่เฉยๆ มันก็ฟุ้งซ่าน คิดแต่เรื่องของพัฒน์ เห็นใบหน้า เห็นรอยยิ้ม คำพูดที่เอาใจใส่ เรื่องที่เคยทะเลาะกัน ทุกๆ ความทรงจำมันก็ตีย้อนขึ้นมาเพื่อตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจจะผ่านไปได้ง่ายๆ
ในแวบหนึ่งของจิตใจ เขายังคิดว่ามันเป็นความฝัน แต่ธีร์ก็ไม่ใช่คนที่ชอบโกหกตัวเองเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ที่ผ่านมาเขาไม่ได้ทำร้ายตัวเองอย่างเคยก็ถือว่าดีแล้ว ต้องขอบคุณอินทัชที่คอยปลอบ คอยให้กำลังใจอยู่เสมอ อยากจะโทรคุยกับครอบครัว แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีใครรับได้ ที่ลูกชายคนสุดท้องอย่างเขาเองก็รักชอบผู้ชายเหมือนกับพี่
ถ้าในมุมของครอบครัว การที่พัฒน์ไม่รักเขามันเป็นเรื่องดี แต่สำหรับธีร์ มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเจอเลยล่ะ...
“คุณธีร์ครับ ข้าวต้มได้แล้วครับ” เสียงของลูกน้องก็ดังแทรกความคิดที่กำลังล่องลอยไปอย่างไม่มีสติ ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาจากความวุ่นวายของสมองที่ตีวนไปมาให้ธีร์สับสนและปวดหัว
“ขอบใจมาก วางไว้ที่โต๊ะนั่นแหละ เดี๋ยวฉันไปกิน”
“ครับคุณธีร์”
“นายกับอีกคนก็ไปกินข้าวเถอะ เที่ยงคืนก็กลับไปนอนซะ ฉันจะนอนที่นี่แหละ” ธีร์บอกไป
ห้องพักในห้องทำงานของเขาแม้ว่าจะเล็ก แต่ก็ครบครัน เตียง ตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำ เขาเตรียมทุกอย่างเพื่อมาปักหลักที่นี่เรียบร้อย ความจริงจะกลับคอนโดของอินทัชก็ได้ แต่ตนก็อยากจะให้เพื่อนได้พักผ่อนและออกไปเที่ยวตามที่ตัวเองอยากไปบ้าง ไม่ต้องเอาเวลามาอยู่กับเขามากนัก
เพียงแค่นี้ก็เกรงใจจะแย่
“คุณเพลิงสั่งให้เราสองคนเฝ้าทั้งคืนครับ พวกเราผลัดเวรกับคนอื่นแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น นี่ก็เป็นงานสินะ”
“ครับ”
“ถ้างั้น จะนอนก็ได้ ฉันไม่กว่า อยู่บนนี้ไม่มีอะไรหรอก ข้างล่างก็มีรปภ. แล้ว” ธีร์บอก
“ครับคุณธีร์ ขอบคุณนะครับ”
“อืม...ไปพักไป”
ธีร์เดินไปประจำที่นั่งทำงานของตนก่อนจะลงมือทานข้าวต้มของตัวเองด้วยความหิวทันที ทานเสร็จแล้วสมองของเขาก็กลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง เขาเริ่มทำงานที่ค้างต่อจนเสร็จ เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ธีร์ก็ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟ ล็อกประตูหน้าห้องแล้วเดินเข้าไปในห้องพัก จัดการชำระร่างกายเพื่อพักผ่อน
ฟุบ!!
“เฮ้อ”
ธีร์ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม พยามข่มตานอนให้หลับแต่ก็หลับไม่ได้ ภาพและสัมผัสที่แผ่นหลังยามใครอีกคนลูบมันเบาๆ ก็เข้ามาทำให้ธีร์รู้สึกอยากจะร้องไห้
ความอ่อนโยนของปลายนิ้วแกร่งที่สัมผัสแผ่นหลังเขา จูบราตรีสวัสดิ์ที่แสนจะหอมหวาน ทุกๆ อย่างตามหลอกหลอนธีร์จนต้องน้ำตาไหล
“ฮึก...คิดถึง กูคิดถึงมึง”
ในทุกๆ คืนธีร์จะรู้สึกแบบนี้ตลอด ยิ่งห่างกันแค่ไหน ที่คิดว่าจะลืมได้ กลับไม่ลืมเลย ที่สำคัญมันยิ่งจำ และยิ่งทำร้ายเขาทุกๆ คืนแบบนี้
“มึงจะเป็นแบบกูไหม ฮึก...ทำไมถึงมีกูคนเดียวที่เจ็บปวด ทำไมต้องมีกูคนเดียวที่นอนไม่หลับ ฮือ...ทำไมต้องมีกูคนเดียว อึก ที่ร้องไห้”
และเพราะการนอนไม่หลับนี้แหละ ที่ทำให้ร่างโปร่งต้องพึ่งยานอนหลับทุกๆ คืน เพราะไม่เช่นนั้น ธีร์จะนอนร้องไห้จนถึงเช้า
2 วันแรกที่ออกจากคอนโดมาก็เป็นเช่นนั้น อินทัชเลยต้องหามาช่วยอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากว่าธีร์ไม่นอนร่างกายก็จะอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ และหวังในสักวัน ว่าเพื่อนคนนี้ จะลับมาแข็งแกร่งได้อย่างเดิม
...
...
...
“ถามจริง แกเป็นอะไร มานอนห้องฉันเป็นอาทิตย์แล้วเนี่ย” พีรพุฒิหรือพุฒิ พี่ชายของพัฒน์ถามขึ้น ร่างสูงที่นั่งเหม่อลอยมองดูบรรยากาศด้านนอกยามค่ำคืน ตั้งแต่วันแรกที่พุฒิเปิดประตูรับน้องชายที่มาหาเขาที่คอนโดด้วยสภาพที่ดูไม่ได้สุดๆ เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอามา มาอาศัยเขาทุกๆ อย่าง
และวันนี้ก็เหมือนวันก่อนๆ พัฒน์ทำงานเลิกดึกๆ แล้วก็มานั่งดื่มเหล้าคนเดียวในห้องของเขา ทั้งเหม่อ บางครั้งก็ทำลายข้าวของจนพุฒิด่าไปหลายรอบ ถามหาเหตุผลกี่ทีๆ ก็เงียบ
“จะตอบได้หรือยัง”
“ไม่ต้องยุ่ง” พัฒน์พูดบอกน้ำเสียงไม่พอใจ
“บางทีนะ ถ้าแกพูดออกมา ฉันก็อาจจะมีทางออกให้ก็ได้”
พุฒิไม่ใช่คนโง่ที่มองไม่ออกว่าน้องชายกำลังเป็นอะไร ทุกๆ คืนเขามักจะแอบมองพัฒน์นั่งดื่มเหล้าพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ถ้าไม่ได้อกหัก ก็คือยังคงสับสนกับชีวิต และพัฒน์ที่มักจะอยู่ติดกับธีร์เสมอกลับออกมาแบบนี้ นั่นก็หมายความว่า ปัญหาทั้งหมด เกิดจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่
“ขนาดตัวฉันเองยังไม่รู้เลย แล้วแกจะรู้ได้ยังไงวะ”
“อ้าว ไอ้น้องเวร นี่พี่ชายกำลังจะช่วยนะเว้ย ทำเป็นปากดี แต่ก็ร้องไห้ทุกคืน” จบประโยคนี้ พัฒน์ก็หันมามองหน้าคนพูดทันที พี่ชายอย่างพุฒิก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเดินมานั่งข้างๆ พัฒน์แล้วแย่งแก้วเหล้ามาดื่มเอง ท่ามกลางความมืดของห้องนอนที่พุฒิให้พัฒน์เป็นแหล่งพักพิง
“แอบดูหรือไง”
“ไม่แอบดูแล้วจะรู้หรือไงว่าแกกำลังทุกข์ใจ”
“ไม่ได้ทุกข์ใจ”
“อย่าเถียงไอ้พัฒน์ แกตอนนี้สภาพเหมือนคนอกหักเว้ย แค่นี้ยังไม่รู้ตัวอีก ทำไม…เด็กนั่นไม่ได้รักมึงหรือไง” พุฒิถามเข้าประเด็นไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
ถึงว่าน้องชายเขามันจะน่าหมั่นไส้ แต่ถ้าไม่ได้พัฒน์ เขากับคนรักก็คงไม่สมหวังกัน เขาคงไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะน้องชายของพุฒิทั้งนั้น ที่ทำให้เขาเป็นพีรพุฒิได้จนถึงทุกวันนี้
“ไม่ได้อกหัก” เถียงแล้วแย่งแก้วในมือของพุฒิมาเติมแล้วดื่มต่อ ทำเป็นไม่สนใจ แต่ข้างในใจมันช่างทรมานเหลือเกิน ความคิดถึง ความห่วงหา มันยิ่งบีบรัดหัวใจ อยากจะเห็นหน้า อยากจะกอด อยากจะจูบ อยากจะสัมผัส และอยากจะร่วมรัก อยากจะทำทุกๆ อย่างกับธีร์จริงๆ
คนๆ เดียวที่ทำให้เขาคลั่งแทบเป็นแทบตายแบบนี้
“งั้นก็หมายความว่า แกเป็นคนทิ้งเด็กนั่น” เลิกคิ้วสงสัย
“ไม่ได้ทิ้ง” อีกคนยังตอบนิ่งๆ
“แล้วมันยังไงวะ ความสัมพันธ์ของพวกแกถึงได้เป็นแบบนี้”
“ฉันแค่...ไม่ได้รักมัน” พัฒน์ตอบออกไปไม่เต็มเสียงนัก
เป็นประโยคที่เขาไม่มั่นใจเอาเสียจริงๆ ว่ามันถูกหรือผิดกันแน่
พุฒิมองหน้าน้องชายนิ่งๆ แล้วส่าหน้าไปมาอย่างระอากับความซื่อบื้อและความงี่เง่าของน้องชาย ที่แม้กระทั่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่ากำลังเสียคนที่รักไป
“ไม่ได้รัก? จริงๆ หรือเปล่า ทำไมที่ผ่านมาฉันเห็นแกดูมีความสุขนักที่อยู่กับเด็กนั่น ทั้งยิ้ม ทั้งเอาใจใส่ ไหนจะเอามันมาอยู่ด้วยอีก นี่ไม่ได้เรียกว่ารัก แล้วให้เรียกว่าอะไร” พุฒิที่ทนไม่ไหวกับความโง่เง่าของพัฒน์ ก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้ร่างแกร่งรู้ใจตัวเอง
ถ้าหากปล่อยให้รู้เองล่ะก็ วันนั้น...พัฒน์อาจจะเป็นคนที่รู้สึกผิดและเสียใจแบบนี้ไปตลอดชีวิต
“รัก...มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง” พัฒน์เริ่มเครียด
ทำไมพุฒิถึงพูดว่ารักออกมาง่ายๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่คิดว่าความรักมันจะง่ายเลยสักนิด เอาแค่เขาเป็นที่ตั้งก็พอ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้สึกรักใครมาก่อน ยกเว้นพ่อกับแม่ที่เป็นความรักอีกอย่างหนึ่ง
“แล้วจะทำให้มันยากทำไม” สวนถามกลับมา
“หมายความว่ายังไง”
“ถ้าฉันถาม ก็ต้องตอบมาตรงๆ ใจคิดยังไง ก็ตอบออกมาอย่างนั้น” พัฒน์พยักหน้าตามอย่างจำยอม ไม่ว่าอะไรก็ยอมหมดแล้วตอนนี้ ขอให้ความเจ็บปวดนี้ ความสับสน ความทรมานมันหายไปจากเขาก็พอ
ให้เขากล้ามองหน้าธีร์อีกสักครั้งด้วยเถอะ
“เวลาอยู่กับเด็กนั่น แกรู้สึกยังไง?...เฮ้อ...เอาเป็นว่าคิดตามแทนก็แล้วกัน รอให้แกตอบ ฉันว่าก็คงโง่อยู่แบบนี้นั่นแหละ” เมื่อถามไปแล้วไม่เห็นว่าพัฒน์จะตอบ พุฒิจึงต้องเปลี่ยนวิธี
พัฒน์ไม่กล้าที่จะบอกพี่ชายว่าตนรู้สึกยังไงกันแน่
ทิฐิของเขามันช่าง...สูงเกินไปจริงๆ
“ถ้าหากว่าแกอยู่กับเด็กนั่น แล้วรู้สึกลมหายใจสะดุดทุกครั้งที่มองรอยยิ้ม...ใจเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้ๆ” พุฒิหยุดพูดมองหน้าพัฒน์นิดๆ ก็พบว่าสีหน้าของอีกคนเปลี่ยนไป
“รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ชายที่ดีเยี่ยมเมื่อทำให้คนๆ นั้นมีความสุข”
ทั้งหมดที่พุฒิพูดออกมา ทุกอย่างคือความรู้สึกที่เขามีมาตลอดมา... ตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มนั่น เขาก็คิดมาตลอดว่าต้องปกป้องมันเอาไว้ รอยยิ้มที่เป็นแสงสว่างของเขา คนที่หัวใจมืดบอดมาตลอด 20 ปี ใจเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความอบอุ่นที่ก่อร่างขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่อาจจะจำได้ แต่เขาก็รู้สึกสบายใจทุกครั้งกับความอบอุ่นนั่น
“จะทะเลาะกัน จะเถียงกัน จะด่าจะว่ากัน คนๆ นั้นก็ยังดีในสายตา”
ธีร์ดูน่ารักเสมอเมื่อโกรธ ดูสวยเสมอเมื่อเจ้าตัวแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจ
“ไม่พอใจที่มีคนมาชอบคนของเรา และทำทุกอย่างเพื่อกันคนๆ นั้นไม่ให้เข้าใกล้ ความรู้สึกนี้เรียกว่า...หึงและหวง”
จะผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าคิดไม่ซื่อกับธีร์ เขาจะไม่เก็บเอาไว้ ต่อให้กลายเป็นผู้ชายใจร้ายและใครจะมองว่าเขาเลว แต่ทั้งหมดนั่น ก็เพื่อให้ตัวเองเป็นคนๆ เดียวที่สามารถรู้สึกแบบนั้นได้คนเดียว
“จะเป็นจะตายทุกครั้งที่ได้ยินว่าคนๆ นั้นป่วย ไม่สบาย หรือว่าเจ็บหนัก”
ถ้าหากว่าเขาสามารถเจ็บแทนอีกคนได้ ก็อยากจะเป็นแทน แต่ที่ผ่านมาก็ทำได้เพียงดูแลธีร์ไม่ห่างก็เท่านั้น คนที่ไม่เคยดูแลใครอย่างเขา ทำไมถึงดูแลธีร์ล่ะ
ความชัดเจนยิ่งฉายชัดในความรู้สึก ความโง่เง่าของตนเริ่มจะหายไปกับความเข้าใจความรู้สึกของตัวเองทีละนิด
“เป็นคนแรกในหลายๆ อย่าง ที่ไม่เคยทำกับใคร และยอมทุกอย่างแม้ว่าเราจะไม่ชอบ ยอมขัดใจและไม่อยากขัดคนๆ นั้น”
เรื่องของเรามันเริ่มจากเซ็กส์...ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถทำให้เขาเต็มอิ่ม คนแรกที่ทำให้พัฒน์ยิ้มจากใจ คนแรกที่เขาเฝ้าไข้ เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าว ป้อนยา คนแรกที่เถียงเขา ด่าเขา แต่เขาไม่คิดที่จะโกรธจริงๆ ทั้งเข้ามาในที่ส่วนตัว ทั้งเปิดเผยชีวิตส่วนตัว พาไปเที่ยว คอยรับส่ง โทรศัพท์หาทุกวัน ทั้งๆ ที่ไม่ชอบคุย ยอมให้จัดห้องในแบบที่ไม่ชอบ ยอมลูบหลังให้ก่อนนอน และอีกหลายๆ อย่าง ที่ต้องยอมรับว่ามันเป็นความจริง
มึงมันโง่อย่างที่ไอ้พุฒิพูดจริงๆ
“นอนไม่หลับเมื่อต้องไกลห่างกัน รู้สึกคิดถึงตลอดเวลาเมื่อไม่เจอกัน”
เพิ่งจะเกิดได้ไม่นานตอนที่ธีร์ต้องไปทำงานต่างจังหวัดหนึ่งอาทิตย์ แค่วันแรก เขาก็นอนไม่หลับแล้ว เลยต้องโทรไปหาเพื่อฟังเสียง และก็ตอนนี้...เขาจับโทรศัพท์อยู่หลายครั้ง แต่ก็วางมันไว้เที่เดิมไม่กล้าที่จะมอง หักห้ามใจไม่ให้โทรไปหาธีร์...คิดถึง
เขาคิดถึงธีร์เหลือเกิน
“ฉันไม่พูดตรงๆ เรื่องแบบนี้ แกต้องรับรู้และยอมรับได้ด้วยตัวเอง” พูดว่า สบตาที่ฉายแววเจ็บปวดของน้องชายนิ่งๆ ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวด แต่ความหมายแฝงอีกอย่างที่พุฒิรู้สึกได้ มันคือความเข้าใจ...
“อือ...ฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะ ว่ามาสิ” พัฒน์ก้มหน้ามองแก้วเหล้านิ่งๆ คิดถึงธีร์จนแทบจะทนไม่ไหว
“เหมือนขาดอากาศหายใจ เมื่อเห็นน้ำตาของคนๆ นั้น ทั้งสายตาตัดพ้อ ทั้งแววตาที่แสนเจ็บปวดที่มองมา ทุกครั้งที่เราทำร้ายจิตใจไป” สิ้นประโยคนี้พัฒน์ก็ฟุบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่สามารถที่จะห้ามได้ ไม่สนว่าพุฒิจะยังนั่งอยู่
ให้เขาตายดีกว่า ถ้าต้องเห็นน้ำตาของธีร์
“ทั้งหมดนี่ที่บอกแกไป สำหรับฉันคือเจ็ม...แล้วแกล่ะ รู้สึกกับเด็กนั้นแบบที่ฉันรู้สึกกับเจ็มหรือเปล่า คงไม่ต้องบอกนะว่ามันเรียกว่าอะไร” พุฒิไม่อยากจะพูดอะไรต่ออีกแล้ว
มันคือความรัก...
ถ้าทั้งหมดที่พูดมาของพุฒิคือเจ็ม สถานะของพุฒิและเจ็มคือเป็นคนรักกัน คนที่อยู่เคียงข้างกันและกัน ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนได้เคียงข้างกันจนถึงทุกวันนี้...
“เหี้ยเอ้ย!!” พัฒน์สบถเสียงดัง น้ำตายังคงไหลลงบนฝ่ามือที่ปิดหน้าของเขาอย่างไม่ขาดสาย
เขารู้ตัวว่าทำร้ายหัวใจอีกคนอย่างไม่ใยดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พัฒน์จะไม่เจ็บเลย ร่างสูงรู้ตัวเองดีว่าเขากำลังเจ็บแค่ไหน และมันก็ไม่ได้ต่างจากร่างโปร่งเลยสักนิด
ธีร์มีน้ำตาเพราะเขาไม่รัก...
พัฒน์มีน้ำตาเพราะทำร้ายคนที่รัก...
คนโง่คนนี้รู้แล้วว่ารักธีร์มากแค่ไหน รู้แล้วว่าที่ผ่านมารู้สึกยังไงกับอีกคน อยากอยู่ข้างๆ กันไปตลอด อยากนอนกอดกันทุกคืน อยากมองหน้ากันทุกวัน อยากให้มีกันและกันจนวันตาย....
“กูทำอะไรลงไป...กูทำร้ายหัวใจของตัวเองได้ยังไง”
“แกแค่ไม่รู้พัฒน์ อย่าโทษตัวเอง”
พุฒิที่เคยผ่านจุดๆ นี้มาแล้วปลอบใจน้องชาย เขาก็เคยโง่แบบนี้ โง่จนเกือบเสียเจโรมีไป
“อึก...” พัฒน์กัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นดังออกไป
เขาไม่อยากให้ใครมาเห็นความอ่อนแอของตัวเองทั้งนั้น และในขณะที่พัฒน์กำลังคิดว่าจะทำทุกอย่างเพื่อเอาธีร์กลับมาเคียงข้างกาย เสียงที่คอยทำให้พัฒน์สับสนก็เล่นงานเขาอีกครั้ง
‘พัฒน์คือความภาคภูมิใจของแม่’
(มีต่อ)