เสพติดอันตราย...รักผู้ชายพันธุ์โหด
ตอนที่ 21
[/size]
“เห็นตำรวจบอกว่าชื่อเปรม”
เพียงได้ยินชื่อของคนที่พัฒน์รู้จักดี หมัดหนาก็กำแน่นอย่างโกรธแค้น แทบจะออกไปจัดการมันเสียเดี๋ยวนี้ แต่เขาก็รู้ว่าไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม
เพราะไม่ว่าเขาจะจัดการตอนไหน มันก็ไม่มีทางรอดพ้นแน่
“ยังไงฝากคุณพัฒน์ช่วยเฝ้าคุณธีร์ให้หน่อยนะครับ ธินเขามีงานตอนเช้าเลย งานสำคัญมากด้วย นี่ถ้าไม่มีใครเฝ้า ธินก็จะไม่ไปทำงานพรุ่งนี้น่ะครับ” พชรร้องขอ
แต่ถึงอีกคนไม่ขอร้อง เขาก็ยินดีจะทำอยู่แล้ว
เพราะที่ธีร์ต้องเป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็มากจากเขา
“ได้ครับ ส่วนเรื่องของพวกมัน คุณพีชไม่ต้องจัดการแล้วนะครับ ผมจะเป็นคัดการเอง เพราะยังไงเปรมมันก็เป็นคนในบริษัทผม
ผมผิดเองครับ”
“อ๋อ! นี่ที่ธีร์มันเป็นแบบนี้เพาะคนของนายงั้นเหรอ” ธินได้ฟังแบบนั้นก็ตีความเอาเอง
“ใช่! แต่เดี๋ยวก็ไม่ใช่” พัฒน์ตอบสั้นๆ
“ยังไงก็แล้วแต่ นายต้องรับผิดชอบ” ธินชี้หน้าพัฒน์อย่างโมโห
“ไม่ต้องหวง ฉันไม่ให้น้องนายเจ็บฟรีแน่”
ธินนิ่งไปกับความจริงจังของพัฒน์ จนเผลอขยับตัวเข้าหาคนรักอย่างไม่รู้ตัวเพราะใบหน้าและน้ำเสียงที่แข็งกร้าวนั้น ทำให้พวก
เขาแทบไม่กล้าขยับตัว
“เออ...ทำให้ได้ก็แล้วกัน ฝากด้วย ไปเถอะพีช” ธินพูดแบบไม่สบตา ก่อนจะพาพชรออกไป ซึ่งพชรก็ดค้งให้กับพัฒน์เล็กน้อย
ด้วยความขอบคุณ
ที่เป็นการขอบคุณที่ไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะต่อให้ทั้งสองคนไม่บอก
พัฒน์ก็จะอาสาเป็นคนเฝ้าเองอยู่ดี
ในห้องพักผู้ป่วยเหลือแค่ธีร์ที่นอนหลับอยู่กับพัฒน์ที่อยู่ในชุดธรรมดา ร่างสูงเพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเพื่อไม่ให้เย็นจนเกิน
ไป จากนั้นเขาก็เดินไปปิดไฟ แล้วทิ้งตัวที่โซฟานุ่มทันที
“ตั้งแต่กูกับมึงรู้จักกันมา มึงต้องเข้าโรงพยาบาลกี่ครั้งแล้ววะ” พัฒน์ถามตัวเองเบาๆ
เขารู้สึกผิดจริงๆ จากการที่เขาเหมือนจะทะเลาะกับมันเมื่อตอนเกือบ 10 โมง ที่ธีร์บอกว่าจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าแล้วนั้น ยอมรับ
ตรงๆ เลยว่าเขาใจหาย แต่เขาก็พยายามคิดว่ามันดีแล้ว และตอนนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่ห่างๆ กับธีร์ไว้ หากไม่มีงานที่ต้องเจอ
กันจริงๆ เขาก็ไม่ไปเจอเด็ดขาด
ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรจะได้หายไปสักที
แต่ยังไม่ทันข้ามคืน...มันก็มีเหตุการณ์ที่เขาจะทำในสิ่งที่ตั้งไว้ไม่ได้ เพราะร่างโปร่งดันมาบาดเจ็บเสียก่อน และคนทีทำให้ร่าง
ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงตอนนี้นั้น ก็เป็นอริของเขา
“กูแค่รับผิดชอบ...เพราะที่มึงเป็นแบบนี้ก็มีส่วนจากกู” พัฒน์พึมพำ ก่อนจะทิ้งตัวนอนราบ เอามือขึ้นก่ายหน้าผาก
สาบานสิ ว่าเขาไม่ได้เป็นห่วง
ก็แค่รับผิดชอบ รับผิดชอบจริงๆ
…
…
…
เช้าวันรุ่งขึ้น พัฒน์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่พรอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เนื่องจากตัวเองนอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนเพราะธีร์นอนละเมอบ้าง เพ้อ
บ้าง อาจจะเป็นเพราะอะไรก็แล้ว เขาก็ไม่สามารถหลับได้ถ้าหากอีกคนมีอาการเช่นนี้ แล้วเมื่อร่างแกร่งตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้จะทำ
อะไรเลยมานั่งมองร่างโปร่งอยู่ข้างๆ เตียงจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นอีกคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
มันจะได้เวลาอาหารเช้าแล้วนะ
“ขอโทษ” พัฒน์พูดบอกอีกคนเบาๆ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังหลับอยู่ ร่างแกร่งมองใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำ ก็รู้สึกผิด เฝือกที่แขน อะไร
ก็ตามแล้วที่เขาเห็นว่ามันเกิดขึ้นกับธีร์
พัฒน์ก็คิดถึงใบหน้าของเปรมแล้วอยากจะฆ่าทิ้งขึ้นมา
“กูไม่มีทางเก็บอันธพาลไว้ในบริษัทและในบ้านของป้าแน่ๆ” พูดขึ้นมาอย่างแน่วแน่ ก่อนจะโทรศัพท์ไปตามเบอร์ที่พชรไลน์มาบ
อกว่าเป็นเบอร์ของทางตำรวจที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาเอาไว้ก่อนตามความประสงค์ของพชร
โชคดีที่เหตุเกิดขึ้นในจุดที่กล้องวงจรปิดสามารถจับใบหน้าทั้งสี่คนได้อย่างชัดเจน ไม่มีทางที่พวกมันจะดิ้นหลุดแน่ๆ
“กูสัญญา ว่ามึงจะไม่เจ็บตัวฟรี”
“อื้อ...” ร่างโปร่งครางออกมาเมื่อรู้สึกถึงแสงที่สว่างของพระอาทิตย์เนื่องจากเตียงอยู่ฝั่งหน้าต่างพอดี ธีร์พยายามลืมตาที่หนัก
อึ้งขึ้นมามองว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
จะตายหรือยัง...แต่ความเจ็บปวดตามร่างกายก็เป็นคำตอบอย่างดีว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้าตายแล้วคงไม่มีทางมีความรู้สึกเจ็บ
ระบมแบบนี้
“อ้ะ...โอ้ย” ร้องออกมาด้วยความเจ็บเมื่อธีร์พยายามที่จะขยับแขนที่ใส่เฝือกอยู่ แต่มันก็ไม่ได้เจ็บมากแต่ด้วยความพึ่งตื่นนอน
แล้วไม่รู้ว่าแขนเจ็บเลยเผลอขยับแรงไป
“อย่าขยับพรวดพราดสิไอ้ห่า” ธีร์รีบหันไปมองคนที่มีเป็นเจ้าของเสียงที่แสนจะคุ้นเคยที่เมื่อวานเพิ่งจะทะเลาะกันไป และบอกจะ
ไม่มาเจอหน้ากันอีก
แล้วมันมาทำไม...
“มึง”
“ทำไม เอ้า! ดื่มน้ำซะ” พัฒน์เอาแก้วที่เพิ่งจะรินน้ำใส่ระหว่างที่เห็นร่างโปร่งขยับ จ่อเข้าที่ริมฝีปากซีดทันที มุมปากมีรอยช้ำจาก
การโดยต่อยด้วย
ร่างบางมีเพียงแขนข้างเดียวไม่ได้ใส่เฝือก สามารถใช้การได้ แต่ก็เคล็ดนิดๆ จึงขยับแรงไม่ได้เช่นกัน เลยต้องยอมดื่มน้ำเปล่าที่
อีกคนป้อนเพราะกระหายและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“ขอบใจ” ร่างสูงวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วก้มปรับเตียงให้กับธีร์เพื่อที่อีกคนจะได้นั่งสะดวกๆ เดี๋ยวข้าวเช้าก็จะมาแล้ว ไม่อยากจะให้
นอนมากเหมือนกัน
ธีร์หันไปมองรอบๆ แล้วก้มมองชุดตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายใจ ที่ปีนี้เขาเข้าโรงพยาบาลมาสามครั้งแล้ว และน่า
จะมีอีกถ้ายังมีตัวซวยอย่างพัฒน์อยู่ในชีวิตของเขา
ไม่ใช่ว่าก่อนจะหมดสติไปเขาจะจำไม่ได้ว่าคิดอะไร
เพราะฉะนั้น...เขาทิ้งความรู้สึกไปกับความเจ็บทางกายแล้ว แม้ว่าตอนที่ได้ยินเสียงจะแอบตื่นเต้นหน่อยๆ แต่หลังจากนี้ไป เขา
จะพยายาม
ไม่ให้คิดอะไรเกินเลย
“ไปทำอะไรให้ไอ้เปรมมันรุม” พัฒน์ถามด้วยความอยากรู้ แต่เหมือนจะใช้ประโยคผิดไปนิด เพราะร่างเล็กกว่าเข้าใจว่าพัฒน์ว่า
เขาไปหาเรื่องอะไรใส่ตัว
ซึ่งมันก็จริงอยู่ส่วนหนึ่งที่เขาไปยั่วโมโหพวกมัน
“กูยั่วโมโหมันนิดหน่อย”
“ให้ตายสิ ก็รู้ว่ามันไปกันหลายคนยังจะไปวอนตีนพวกมันอีก มึงน่าจะรู้ตัวเองดีว่าก่อนหน้านั้นมึงไปด่ามันไว้เยอะ แล้วไอ้เปรมมัน
ก็เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ตายก็บุญแล้ว” พัฒน์ทั้งบ่นและด่าจนร่างโปร่งถึงกับเสียความรู้สึก
ขนาดเขาเจ็บแบบนี้มันยังไม่คิดที่จะเป็นห่วงกันเลย
“กูจะตายแล้วมันเดือดร้อนอะไรมึงไม่ทราบ การเห็นหน้ากูมันทำให้มึงโมโห มึงก็ควรกลับไปได้แล้วไอ้พัฒน์ กูเป็นคนมีความรู้สึก
นะเว้ย ไม่ได้แกร่งหรือมึนมากพอที่จะมาฟังคนโมโหใส่ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ผิดอะไร” ธีร์ระบายออกไปอย่างโมโหและน้อยใจ
รู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตาแต่เขาก็พยายามที่จะกักเก็บน้ำตาเอาไว้
พัฒน์นิ่งไปนิดๆ เพราะไม่คิดว่าธีร์จะเป็นคนที่คิดมากแบบนี้ แต่ก็ใช่ว่าเมื่อวานเขาจะไม่คิดมากเลยนะที่พูดออกไปแบบนั้น
“เอาเป็นว่าเราลืมเรื่องนี้ไปซะ เมื่อวานกูแค่โมหิวนิดหน่อย” พัฒน์บอก ซึ่งธีร์ก็หันไปมองหน้าพัฒน์แบบไม่เชื่อและรู้สึกได้ว่า
พัฒน์พูดโกหก
ในเมื่ออยากจะโกหกก็โกหกไป...
กูตัดสินใจไปแล้ว
“ยังไงก็เถอะ กูว่าเราสองคนนอกจากงานแล้ว ก็ไม่ควรเจอกัน ไปไหนด้วยกันเถอะ ต่างคนต่างอยู่กันเสียที” ธีร์บอกออกมาอย่าง
ท้อแท้ เริ่มจะเจ็บปากขึ้นมานิดๆ
“ทำไม เกลียดกูมากนักรึไง” พัฒน์ถามเสียงโหด
ธีร์แอบกลัวหน่อยๆ เพราะสภาพเขาตอนนี้ไม่ได้มีแรงที่จะสู้กับอีกคนได้เลย แม้ยามปกติก็ไม่สามารถทัดทานแรงของพัฒน์ได้
แล้ว นับประสาอะไรกับตอนที่กำลังเจ็บกันเล่า
“มึงก็น่าจะรู้ดีนะไอ้พัฒน์...ระหว่างกูกับมึง ก็เริ่มต้นกันไม่ค่อยดีอยู่แล้ว” ธีร์พูดออกมาอย่างแผ่วเบา ไม่มองหน้าร่างสูงที่กำลังตี
สีหน้าดุใส่อยู่ตอนนี้เลยสักนิด
“...” พัฒน์ยังคงเงียบ
“อย่าลืมว่าเราเกลียดกันตั้งแต่แรก และตอนนี้ด้วย โอ้ย...” ธีร์พูดออกมาอีก แต่ด้วยความที่พูดมากจนเกินไป ทำให้ร่างโปร่งรู้สึก
เจ็บๆ ที่ปาก
ตอนที่โดนยังไม่เจ็บเท่าตอนนี้เลย รู้แบบนี้สู้มันไปซะก็ดี อย่างน้อยก็ไม่เจ็บเท่าตอนนี้...
ไม่ใช่ว่าเขาสู้ไม่ได้ แต่ไม่สู้ต่างหาก สองประโยคนี้มันต่างกันนะ
“พอเถอะ มึงเลิกพูดได้แล้ว พูดไปเดี๋ยวก็เจ็บอีก” พัฒน์พยายามห้ามอีกคนและเป็นการเปลี่ยนเรื่องไปด้วย เพราะถ้ายังคุยเรื่อง
เดิมๆ พัฒน์ก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะตั้งแต่ที่เราเจอกัน มันก็ไม่ได้ชอบหน้ากันอยู่แล้ว
จู่ๆ จะให้โพล่งออกไปว่า...มันไม่เหมือนตอนแรกแล้วนะ!
ถ้าเกิดว่าธีร์ถามเหตุผลขึ้นมา เขาจะตอบอะไร
“ยุ่งน่า มึงกลับไปได้แล้ว กูอยู่คนเดียวได้” ธีร์ไล่อีกคน ซึ่งพัฒน์ก็เดินออกจากห้องไปทันที ทำเอาธีร์ใจหายวาบ คิดว่ามันจะตื๊อ
อยู่ต่อ
“อะไรวะ บทจะไปก็ไป เออดี! เรื่องของมึง”
ในใจจะหวังว่าอีกคนคงจะเป็นห่วงเขาบ้าง ยิ่งเห็นว่าเขาอยู่คนเดียวก็น่าจะอยู่เป็นเพื่อนกันสักหน่อย ทนเขาพูดบ้าง ด่าบ้างมันจะ
ตายเอาหรืออย่างไร ทั้งๆ ทีตัวเองเขายังทนให้โมโหใส่ได้เลย
แกมันคิดเข้าข้างตัวเองไอ้ธีร์ คนอย่างมัน...
ครืด...
คนที่หลับตาอยู่ยังไม่ทันที่จะด่าอีกคนในใจเสร็จก็รู้สึกถึงเสียงเข็นอะไรบางอย่างตรงมาที่เขา ซึ่งธีร์ก็เปิดตามองด้วยความสนใจ
เพราะคิดว่าเป็นพยาบาลแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ คนที่เขาคิดว่ามันจะกลับไปแล้ว เป็นคนเข็นรถที่เป็นอาหารเช้าเข้ามา
“กินข้าว จะได้กินยา” พัฒน์บอกนิ่งๆ จัดแจงเอาฝาปิดจานออก ก่อนจะเลื่อนไปให้ธีร์ทาน ทุกการกระทำของพัฒน์อยู่ในสายตา
ของธีร์ทั้งหมด
ว่าจะไม่รู้สึกอะไรแล้วนะ แต่มุมอ่อนโยนของพ์ฒน์ มันทำให้หัวใจเขาทรยศอยู่เรื่อย
ธีร์มองกับข้าวตรงหน้านิ่ง เพราะแขนข้างที่ถนัดใส่เฝือกเลยทำให้ต้องมาใช้มือซ้ายในการทานข้าวแทน หากแต่ตรงข้อมือมันก็ยัง
รู้สึกเจ็บๆ ทำให้ตักกินได้คำนึงก็ต้องพัก พัฒน์สังเกตเห็นแบบนั้นก็แย่งช้อนมาจากมือขาวแล้วตักข้าวต้มกุ๊ยที่เขาสั่งทางโรง
พยาบาลเป็นพิเศษว่าขอมีรสชาติหน่อย กลัวธีร์จะทานไม่อร่อย
ร่างบางจะรู้บ้างไหม ว่าพัฒน์ก็ใส่ใจอีกคนเหมือนกัน เพียงการกระทำกับคำพูดมันส่วนทางกันก็เท่านั้น
“กูกินเองได้” ธีร์ไม่ยอมอ้าปากรับข้าวในช้อนที่จ่อถึงปากของตนเข้าไป
“อ้าปากกินเข้าไป กินเองเที่ยงมั้งถึงจะกินเสร็จ”
“กูบอกว่า...อื้อ” พัฒน์ยัดช้อนที่มีข้าวต้มเข้าปากธีร์ไปทันทีในจังหวะที่อีกคนอ้าปากพูด ธีร์ที่โดนทำแบบนี้ก็ได้แต่มองคนทำตา
ขวาง ปากก็เคี้ยวข้าวไปด้วย
ธีร์รู้ว่าขัดอีกคนไม่ได้ก็เลยต้องอ้าปากกินข้าวที่อีกคนป้อนเรื่อยๆ ตาก็มองอีกคนแบบไม่สบอารมณ์ พัฒน์เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้
สนใจอะไร แอบยิ้มมุมปากด้วยความพอใจอีกด้วย
“พอ กูอิ่มแล้ว” ธีร์เอามือที่ไม่ได้ใส่เฝือกขึ้นยกห้าม ซึ่งร่างสูงก็วางช้อนลงแล้วยื่นยาวกับน้ำเปล่าไปให้ธีร์แทน ร่างโปร่งทานมัน
อย่างไม่อิดออด
มีคนคุมให้กินยาแบบนี้ ใครมันจะไปกล้าเอาทิ้ง
พัฒน์ทำการเก็บของทุกอย่างแล้วเอารถเข็นไปไหว้หน้าประตูเผื่อพยาบาลมาเอามันไปคืน ก่อนจะไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ เตียงของธีร์
หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเงียบๆ
ธีร์นั่งเงียบ มองไปรอบๆ ห้องอย่างไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหน รู้สึกเกร็งทีมีพัฒน์นั่งอยู่ข้างๆ แบบนี้เหมือนกัน แต่อีกคนมี
หนังสืออ่าน แล้วเขาล่ะ
“ถ้ามึงไม่กลับไป ก็เปิดทีวีให้กูซะ” ธีร์สั่งสั้นๆ แบบไม่มองคู่สนทนา พัฒน์เงยหน้าจากหนังสือขึ้นมองธีร์เล็กน้อยก่อนจะลุกจาก
เก้าอี้เพื่อไปเปิดทีวีแล้วเดินเอารีโมทมาให้ร่างเล็กกว่าบนเตียงก่อนนั่งลงอ่านหนังสือที่เดิม
ร่างโปร่งแอบเหล่พัฒน์ที่ยังคงนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่สนใจเขา ก่อนจะหันมาดูทีวีคืนเมื่อพัฒน์ทำท่าจะหันมา นิ้วกดเลื่อนช่อง
ไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะดูอะไรก่อนจะหยุดอยู่ที่ช่องที่กำลังฉายซีรีย์เกาหลีที่เขากดผ่านไปแล้วหลายรอบอย่างจำยอม
กูดูก็ได้วะแม่ง...
“!@#$%^&*@#$%^#$$!”
โอ้...ภาษาเกาหลี เปลี่ยนทันที ฟังไม่ออกและไม่มีซับด้วย ทำดีมาก...แต่พอเขาเปลี่ยนมาดูอีกช่องหนึ่งที่เป็นหนังฝรั่ง ธีร์ถึงกับ
หยุดดูนิ่งๆ
“โอ๊ะ! หุ่นดีนี่หว่า” พัฒน์ที่อยากรู้ว่าธีร์พึมพำอะไรก็เงยหน้าขึ้นมองทีวีพบว่าธีร์กำลังดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งที่ตัวเองกำลังนัวเนียถอด
เสื้อผ้ากันใหญ่
พัฒน์หัวเราะในลำคอน้อยๆ ก่อนจะก้มอ่านหนังสือต่อ แต่ปากก็เอ่ยถามร่างบางไป
“คงสนุกสินะ”
“ก็ดี”
“อยากปลดปล่อยหรือไง ถึงได้ดูแบบนี้”
“มันก็เป็นปกติของหนัง เดี๋ยวก็ตัดไปฉากอื่นแล้ว ทำไมแค่นี้กูต้องดูแล้วมีอารมณ์ด้วยไม่ทราบ” ธีร์ตอบกลับไป แอบใส่อารมณ์
น้อยๆ
ทำอย่างกับดูหนังโป๊...มึงมีอารมณ์ก็บอกมาเถอะ
“เปล่า...ถ้ามีก็บอกแล้วกัน จะได้ช่วย” พัฒน์พูดขำๆ แต่ทำเอาธีร์ถึงกับตวัดหน้ามามองคนพูดแบบโมโหปนกับความอาย
“ฝันไปเถอะมึง”
“หึหึ”
หลังจากที่ธีร์หลับไปงีบไปสักพักก็ตื่นมาในเวลาเที่ยงพอดี แล้วพัฒน์ก็จัดการให้อีกคนทานข้าวทานยาเรียบร้อยก็กลับมาหาธีร์ที่
กำลังเดินไปรอบๆ ห้อง เพราะไม่อยากจะนั่งจะนอนและกินอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นกล้าหน้าท้องจะหายแล้วมีแต่พุงก็เป็นได้
ตอนแรกก็ต้องให้พัฒน์ช่วยพยุง แต่ธีร์ไม่ต้องการ ก็เลยแอบลุกขึ้นเองตอนที่พัฒน์เอารถเข็นไปไว้หน้าห้อง เพราะพยาบาลบอกว่าทานเสร็จให้ทิ้งไว้ด้านหน้าแทน
“กูจะไปทำธุระ เย็นๆ จะมาเฝ้า” พัฒน์บอกธีร์
“ไม่ต้องกลับมาก็ได้ กูดูแลตัวเองได้” ธีร์เถียง
“เดี๋ยวคุณเพลิงจะมาเยี่ยม” พัฒน์ไม่สนใจที่ธีร์แต่พูดเรื่องอื่นแทน
“มึงโทรบอกคุณเพลิงหรือวะ” ถามเสียงเครียด
“ก็ถ้าไม่บอกจะลางานให้มึงยังไง” พัฒน์ถามกลับ
“เออ!!” ธีร์ถึงกับเถียงไม่ออก ก่อนจะค่อยเดินกลับมานั่งที่เตียงด้วยความเมื่อย
“งั้นกูไปแล้ว อย่าซนล่ะ” พัฒน์กำชับ ใบหน้าดุๆ มีรอยยิ้มนิดๆ จนธีร์หมั่นไส้ ก่อนจะตะโกนไล่หลังอีกคนไปจนเจ้าของแผ่นหลัง
กว้างนั้นเปิดประตูออกจากห้องไป
“กูไม่ใช่เด็กโว้ย!! แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกนะเว้ย!!”
ร่างโปร่งขึ้นไปนอนที่เตียงอย่างหัวเสียที่ไม่สามารถเอาคืนพัฒน์ได้ แต่พอทุกอย่างคงที่ ธีร์นอนนิ่งอยู่บนเตียง มองไปรอบๆ ห้อง
ก็มีแต่ความเงียบ
เงียบเชียบ เงียบจนเหงา
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นมีใครอีกคนอยู่ด้วย แม้มันจะเงียบแบบนี้แต่ก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจที่ไม่ได้อยู่คนเดียว ที่ไล่อีกคนไม่ต้องมาเฝ้า
นั้น แท้จริงในใจก็อยากให้เขาดูแลต่อ
“แล้วคุณเพลิงจะมาตอนไหนเนี่ย ไม่รีบมาจะหลับอีกรอบแล้วนะ” ธีร์บ่นเพราะเริ่มจะง่วงเพราะฤทธิ์ยา
…
…
…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ยังบ่นได้ไม่ทันไร เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นเจ้านายจะเข้ามาตามด้วยลูกน้องคนหนึ่งที่ถือกระเช้า
ผลไม้มา
“ไง ไอ้ลูกน้อง นอนโรงพยาบาลอีกแล้วสินะ”
“แหม...เจ้านายครับ มาถึงก็หาเรื่องเลยนะ”
“แล้วไปปากหมามีเรื่องกับใครล่ะ” อัคนีนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย ถามลูกน้องอย่างกวนๆ
“คนแถวๆ นั้นแหละครับ ผมก็ไปปากหมาใส่พวกมันจริงๆ” ธีร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“สี่รุมหนึ่ง ปกติถ้าเป็นแกนะไอ้ธีร์ ถ้าสู้นี่ก็รอด” อัคนีพูดด้วยความสงสัย แปลกใจตั้งแต่ได้รับข่าวเมื่อเช้านี้จะพัฒน์แล้ว
คงจะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้ธีร์ไม่สู้พวกนั้นแน่ๆ อาจจะเป็นเพราะเมาหรือเปล่า แต่หมอบอกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ใน
ร่างกายของธีร์ไม่ได้มากขนาดที่ไม่มีสติอะไร
“แล้วทำไมไอ้พัฒน์ถึงได้บอกว่าจะไปจัดการพวกมันล่ะ” คำบอกเล่าของอัคนีทำให้ธีร์ถึงกับเบิกตากว้าง
อย่าบอกนะว่ามันรู้...
“มันบอกแบบนั้นหรือครับ”
“ใช่! แล้วสรุปเรื่องมันเป็นมายังไง เล่าให้ฟังสิ”
“ไม่มีอะไร มันเป็นคนรู้จักของไอ้พัฒน์น่ะครับ แล้วผมก็หลุดปากด่ามันไป เมื่อคืนมันเลยเอาคืน ก็แค่นั้น ที่สำคัญผมก็ไปท้าทาย
มันเองนั่นแหละ กวนมันเอง ก็เลยโดนรุม” ธีร์เล่าไป
“ถึงแกจะเป็นคนท้าทาย มันก็ผิดที่ทำร้ายร่างกายอยู่ดี”
“เอาเถอะ ไอ้พัฒน์มันจะจัดการยังไงก็เรื่องของมัน เพราะพวกมันก็อริกันอยู่แล้ว” ธีร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีก
แล้ว
ถ้าเขายังตัดมันไม่ขาดแบบนี้ รับรองว่าไม่มีทางได้ความเป็นตัวของตัวเองมาแน่ๆ
“หึหึ แกมีท่าทางแปลกๆ นะ” อัคนีหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์
“อะไรกันเจ้านาย ผมก็ปกติ” ธีร์เถียงออกมาด้วยท่าทางที่ดูร้อนรนจนอัคนีหัวเราะออกมาอย่างขำๆ
มันต้องมีอะไรสักอย่างระหว่างมันสองคนแน่ๆ
“มีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า” อัคนีต้อนธีร์อย่างสนุก
“ม่ะ...ไม่มี เจ้านายถามอะไรเนี่ย ผมกับไอ้พัฒน์ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ธีร์พูดออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว ทำเอาอัคนีแทบจะกลั้น
ขำไม่ทัน
หลุดปากพูดมาเองนะ ยังไม่ทันได้ถามเลยว่าเป็นอะไรกัน แสดงว่าสองคนนี้มันมีความสัมพันธ์ลับๆ กันจริงๆ สินะ...
สำหรับอัคนีเรื่องเพศเขาไม่ได้อะไรมากมายหรอก ที่สำคัญมันเป็นเรื่องส่วนตัวของลูกน้องด้วย ฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่เข้าไปยุ่งก็ได้
ถ้าอีกคนลำบากใจ
“โอเคๆ ว่าแต่ว่า ตั้งแต่ทำงานมานี่แกลาบ่อยมากเลยนะ” อัคนีเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวลูกน้องจะอึดอัด
แต่ความจริงแล้ว เราก็รู้อะไรอยู่บ้าง เพราะพัฒน์กับธีร์สนิทเกินไปที่จะไปไหนด้วยกันได้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเกลียดกันจะตายไป
“ก็มันมีเหตุจำเป็นนี่ครับ”
“ฮ่าๆ เข้าโรงพยาบาลบ่อยนะปีนี้”
“อย่าแซวน่าเจ้านาย ผมเองก็ไม่อยากจะเข้ามันเท่าไหร่หรอก” ธีร์บ่นกระปอดกระแปด
“นี่ถ้าไม่ใช่แก ลามากขนาดนี้ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มงาน ฉันไล่ออกไปนานแล้วนะ แล้วนี่หมอบอกว่าจะหายประมาณกี่อาทิตย์” อัคนี
ถามอย่างจริงจัง
เพราะถ้าหากไม่มีธีร์ในการทำงานล่ะก็ งานเขาคงจะเยอะมากน่าดู
“ถ้าผมหายเจ็บขาแล้ว ผมจะเอางานมาทำที่คอนโดจนกว่าจะถอดเฝือกนะเจ้านาย ขืนไปทำงานสภาพแบบนี้อายคนในบริษัทแย่
เลย” ธีร์บอกในสิ่งที่เขาคิดเอาไว้นานแล้วตั้งแต่ตื่นให้กับอัคนีฟัง
ยังไงธีร์ก็เป็นห่วงงานมากๆ เพราะตัวเองลางานบ่อยมากจริงๆ
“เอาแบบนั้นก็ได้ เพราะช่วงนี้งานบริษัทเราเยอะมากๆ” อัคนีพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ก็อย่าหักโหมก็แล้วกัน ฉันจะบอกเลขาของ
แกให้ว่าเตรียมงานให้ทุกวัน แล้วคนของฉันจะเอามาถึงห้องแก” อัคนีเสนอ
“นี่ผมมีเลขาแล้วหรือ” ธีร์ถามอย่างมึนงง เพราะตั้งแต่ทำงานมาเดือนกว่าๆ ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีเลขาส่วนตัวเหมือนใครเขา ทุกๆ
อย่างเขาต้องลงจัดการเองทั้งหมด
“มี ทำงานวันนี้วันแรก ช่วงเดือนกว่าๆ ที่แกทำงานฉันแค่จะลองดูว่าแกทำงานโดยไม่มีเลขาได้ไหม แต่แกก็ทำได้ ฉันเลยให้ฝ่าย
บุคคลจัดหามาให้” อัคนีตอบ ก่อนที่ธีร์จะร้องอ้อด้วยความเข้าใจ
“อ้อ! ผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะ” ธีร์ถามด้วยความตื่นเต้น ภาวนาในใจว่าขอให้เป็นผู้หญิง
“ระริกระรี้ใหญ่เลยนะ”
“ตอบสิเจ้านาย ผู้ชายหรือผู้หญิง” ธีร์อยากรู้เต็มแก่
“ผู้หญิง...” อัคนีตอบยิ้มๆ ทำเอาธีร์ดีใจจนแทบลุกขึ้นเต้น
“รุ่นเดียวกับเลขาฉัน เพราะฉันเลือกคนที่มีประสบการณ์และอายุมากกว่า แน่นอนว่าจบใหม่ๆ ฉันไม่รับขึ้นมาตำแหน่งสูงๆ หรอก”
คำตอบของอัคนีทำเอาร่างบางไหล่ลีบไปด้วยความผิดหวัง
คิดว่าจะมีอาหารตาสวยๆ งามๆ ให้พอมีกำลังทำงาน
สุดท้าย ห่อเหี่ยวเหมือนเดิม
“หน้าเหมือนคนกำลังจะตายเลยนะแก ฮ่าๆ” อัคนีหัวเราะอย่างชอบใจ
“เจ้านายนั่นแหละ เฮอะ!! น่าเบื่อจริงๆ ว่าแต่เจ้านายไม่มีงานหรือไง ถึงได้มานั่งคุยกับผมได้ตั้งนาน” ธีร์ถามอย่างแปลกใจ
“มีสิวะ แกคิดว่าฉันจะว่างงานอะไรขนาดนั้น นี่เห็นว่าลูกน้องคนสำคัญหรอก ถึงได้ปลีกตัวได้นาน”
“ผมล่ะซึ้งใจจริงๆ” ธีร์ทำเป็นปาดน้ำตาทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำตาสักหยด
ทั้งคู่นั่งคุยกันอีกหลายเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน เพราะนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำงานมา เขาสองคนก็ไม่ค่อยที่จะได้มีโอกาสคุยกันอย่าง
เป็นกันเองแบบนี้เลยสักครั้ง ทำให้ทั้งลูกน้องและเจ้านายต่างก็มีความสุขและสนุกสุดๆ ธีร์ที่คิดว่าตัวเองต้องเหงาแน่ๆ ถ้าพัฒน์
ไป
แต่ทุกอย่างกับตาลปัตร ในเมื่ออัคนีน่าสนใจกว่าพัฒน์เยอะ เขาสองคนสามารถคุยอะไรกันก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงว่าใครจะไม่พอใจ และนี่คือเหตุผลที่อัคนีชอบในตัวของธีร์
เพราะความเป็นตัวของตัวเองนี่ล่ะ
...
...
(มีต่อ)