Chapter 8สี่หนุ่มถือถุงพลาสติกใส่เครื่องปรุงอาหารทั้งหลายเดินออกมาจากตลาด วันนี้พอเสร็จจากการเรียนประจำวัน เมฆ แหนม ตำลึงและรุ่นพี่ก็พากันไปจ่ายตลาด จากนั้นก็หอบหิ้วกันไปที่อะพาร์ตเมนต์ซึ่งธนากรเช่าไว้ให้ เพราะที่นั่นมีครัวและเครื่องครัวพร้อมสรรพ พวกเขาตั้งใจว่าจะมาทำอาหารกันที่นี่ แล้วแพ็กใส่กล่องเอาไปนั่งรับประทานพร้อมกับช่วยงานของมหาวิทยาลัยไปด้วย และก็จะได้สอนให้รุ่นพี่ทำอาหารไปพร้อมๆ กัน
“วันนี้จะทำอะไรเหรอ”
“เอาอาหารหลักยอดฮิตก่อนเลยพี่ตฤณ ผัดกะเพราไข่เจียว ส่วนหมูนี่ เดี๋ยวหมักทิ้งไว้ พรุ่งนี้ค่อยมาทอด” เมฆอธิบาย
แหนมเดินไปด้อมๆ มองๆ เตาแก๊สภายในครัว จากนั้นจึงหันกลับมาทางชายหนุ่ม จ้องมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและจากปลายเท้าขึ้นมายังศีรษะอีกหลายๆ ครั้ง จากการดูโหงวเฮ้งแล้ว เขาคิดว่ารุ่นพี่คงจะไม่ประสีประสาอะไรแน่ๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของชีวิตทุกคน... “พี่ตฤณมานี่ๆ เดี๋ยวผมจะสอนวิธีใช้เตาแก๊สให้นะ”
ตฤณยิ้มหน้าบาน รีบเดินไปยืนที่หน้าเตาแก๊สแล้วลองเปิดๆ ปิดๆ อยู่หลายหนจนชำนาญ เขารับฟังเลคเชอร์ของรุ่นน้องเรื่องความปลอดภัยสารพัดพลางพยักหน้าหงึกหงัก
“อย่าเอาแต่พยักหน้า จำไว้ด้วยนะพี่ จะได้ไม่เผลอเผาบ้านแฟนพี่อะ”
“เออๆ จำแล้วน่ะ”
“พี่ตฤณๆ มานี่มามะ มาดูวิธีริดใบกะเพรา” ตำลึงเรียกบ้าง
"โอเค” ชายหนุ่มทำตามที่รุ่นน้องสอนอย่างตั้งใจ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของกระเทียมและพริกในน้ำมันร้อนๆ ก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงจามของเหล่าหนุ่มๆ ในห้องครัว
“เอาหมูสับใส่ลงไปได้แล้วพี่ แคกๆ อย่าโยนนะ ค่อยๆ ใส่ แคกๆ”
“แว้ก!” พูดยังไม่ทันขาดคำ ทั้งสี่คนก็กระโดดแผล็ว หลบน้ำมันที่กระเด็นกระดอนออกมา “เบาๆ สิว้อยพี่ตฤณ!”
“ก็น้ำมันมันร้อนนี่หว่า!” ชายหนุ่มโวยวาย
“เอาตะหลิวคนๆ ขยี้ๆ แล้วปรุงรส”
“ปรุงไงวะ”
เมฆส่งช้อนให้คนถาม “ใส่ซีอิ้วดำสามหยด ซีอิ้วขาวช้อนนึงก่อนพี่ แล้วค่อยใส่น้ำมันหอย”
“อันไหนเป็นอะไรบ้างวะเนี่ย” ตฤณหันไปจ้องขวดเครื่องปรุงทั้งหลาย
“หรี่ไฟก่อนพี่ เดี๋ยวหมูดำเป็นตอตะโก”
ในที่สุด... ผัดกะเพราจานแรกในชีวิตของตฤณก็สำเร็จ พวกรุ่นน้องบอกให้เขาทำอีกสี่กระทะ เป็นค่าสอนให้พวกเขาด้วย เสร็จแล้วจึงสอนวิธีทำไข่เจียวต่อ ก่อนจะจัดใส่ปิ่นโตแล้วหอบกลับไปยังมหาวิทยาลัย
ตรงบริเวณลานโล่งกว้างด้านหน้าโรงยิมในตอนนี้มีนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์นั่งกันอยู่เต็มไปหมด เด็กหนุ่มทั้งสามพารุ่นพี่ของพวกเขาเข้าไปนั่งตรงที่ว่าง เพื่อรับประทานมื้อเย็นร่วมกันก่อนจะแยกย้ายไปทำงาน
“พี่ตฤณเอาน้ำไร” แหนมและตำลึงเอ่ยถามพลางลุกขึ้น
“เอาน้ำเปล่าดีกว่า”
“ได้เลยพี่ กินกันไปก่อนเลยนะ”
ตฤณนั่งรับประทานผัดกะเพรากับไข่เจียวฝีมือตนไปพร้อมกับหันมองพวกรุ่นน้องที่กำลังทำงานกันอยู่ไปด้วย แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ใครบางคนซึ่งกำลังเดินเข้ามาในบริเวณลาน ใบหน้าแบบนี้ เขาจำได้แม่นเลยทีเดียว
“เฮ้ย! ไอ้น้ำ!”
เจ้าของชื่อหันขวับไปตามเสียงเรียก “อ้าว! พี่ตฤณ มาทำอะไรแถวนี้” จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปประสานกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
“มาทำงาน แต่แวะมากินข้าวก่อน มานี่ๆ ไม่ได้เจอกันนาน หล่อไม่สร่างเลยนะเอ็งเนี่ย”
น้ำหัวเราะ ตัวเขากับตฤณก็รู้จักกันได้เพราะเพื่อนในกลุ่มนี่แหละ เคยไปดื่มเหล้าด้วยกันอยู่หลายครั้ง “แต่พี่ตฤณดูดีขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย ผมจำแทบไม่ได้” เขาพูดพลางเดินมานั่งยองๆ ตรงข้างเมฆ แล้วหันไปถามเด็กหนุ่ม “รู้จักกับพี่ตฤณด้วยเหรอ”
เมฆพยักหน้าหงึกหงัก “พวกพี่ตั้งใจแนะนำให้รู้จักน่ะพี่”
ตฤณไม่ได้สนใจว่าสองคนตรงหน้าเขารู้จักมักจี่กันได้อย่างไร สนิทสนมกันมากขนาดไหน เขาชวนพูดคุยไปเรื่อยๆ ตามประสาคนช่างพูด “น้ำกินผัดกะเพรามั้ย ฝีมือพี่เองนะเนี่ย”
“ผมเป็นคนสอนให้ด้วยนะ” เด็กหนุ่มรีบใส่เครดิตให้ตัวเอง
“เมฆสอนพี่ตฤณทำผัดกะเพราเหรอ” น้ำขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าพวกเขาไปสอนกันตอนไหน ทำไมเมฆไม่เห็นเคยเล่าให้เขาฟังเลยล่ะ
“ครับ พี่น้ำจะลองชิมมั้ย” เด็กหนุ่มถามพร้อมกับส่งปิ่นโตให้
“อื้ม ลองหน่อยก็ได้” น้ำตอบ แต่เขาไม่รับปิ่นโตมาหรอกนะ นัยน์ตาเรียวชำเลืองมองรุ่นพี่ ก่อนจะอ้าปากกว้างให้อีกฝ่ายป้อน
เมฆย่นคิ้วเข้าหากันอย่างงงๆ แต่ก็ตักอาหารป้อนใส่ปากให้ “นี่ครับ”
“อือ... ยังอร่อยสู้เมฆทำไม่ได้เลย” น้ำตอบ เขาหันไปยิ้มเย็นใส่รุ่นพี่ที่นั่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ตรงหน้า “พี่ตฤณคงต้องฝึกอีกนะครับ”
“พี่ก็ว่าอร่อยออกน้า” ตฤณขมวดคิ้ว “เอาไว้ให้เมฆช่วยติวเข้มให้หน่อยก็แล้วกัน” เขาพูดออกไปโดยไม่ได้สนใจว่าคำพูดจะทำให้รุ่นน้องต่างคณะคิ้วกระตุกรัวๆ
“งั้นผมไม่กวนละ มีธุระกับไอ้พวกตั้งใจนิดหน่อย” คนตอบยกมือขึ้นลูบศีรษะของเมฆอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลุกเดินออกไป
เด็กหนุ่มมองตามรุ่นพี่ต่างคณะเดินจากไปตาละห้อย จากนั้นจึงยกมือขึ้นสัมผัสศีรษะตรงที่อีกฝ่ายลูบเมื่อครู่
หากคราวนี้รุ่นพี่จอมซื่อบื้อกลับสังเกตเห็น “แน่ะ”
เมฆสะดุ้งเฮือก รีบหันมาหาอีกฝ่าย “อะไรพี่”
“เห็นนะ”
“เห็นอะไรพี่!” คนถามทำหน้าเลิ่กลั่ก ปิดอะไรไว้ไม่มิดแล้วทีนี้ “ไม่มีอะไรสักหน่อยนะพี่” แถมยังปฏิเสธด้วยเสียงสูงมาก แสดงความพิรุธออกมาอย่างชัดเจน
ตฤณก้มหน้าลงตักอาหารใส่ปาก เคี้ยวหยับๆ พร้อมกับชำเลืองมองรุ่นน้องไปด้วย “ไอ้น้ำมันเป็นผู้ชายนะ”
“ผมรู้น่ะ ตาไม่ได้บอด
“อ้อ....” รุ่นพี่หันไปจัดการกับอาหารต่อ แต่สักพักก็ถามขึ้นมาเสียงเบา พอให้ได้ยินกันอยู่สองคนเท่านั้น “ชอบเหรอ”
เมฆเบือนหน้าหนีไปอีกทาง “รีบๆ กินเถอะพี่จะได้รีบไปทำงาน”
ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าการกระทำของน้ำที่มีกับรุ่นน้องของเขาเป็นการการกระทำที่พิเศษหรือเปล่า เพราะเขาก็เห็นว่าไอ้น้ำกับเพื่อนพ้องสนิทสนมกันแบบนี้นี่แหละ
“อืม...”
“หยุดเลยไอ้พี่ตฤณ!”
“ไม่ถามก็ได้วะ” ตฤณพูดไปแบบนั้น แล้วรับประทานอาหารต่อไปอย่างเงียบๆ ได้อีกชั่วครู่ หากความอยากรู้อยากเห็นไม่ยอมลดลงไปเลย พอกลืนอาหารลงท้องแล้วจึงลองถาม “ไม่ลองจีบดูวะ”
เมฆนั่งนิ่ง ทำหูทวนลม ทั้งที่ร้อนไปหมดทั้งหน้าแล้ว
“คนหน้าตาดีก็จีบยากอะนะ สู้หน่อยแล้วกันไอ้เมฆเอ๊ย” ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะรุ่นน้อง พลางหัวเราะเบาๆ พอมองอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้เขานึกถึงตัวเอง ที่เมื่อก่อนเคยตามตื๊อจีบดอกฟ้าอย่างนภเกตน์เช้ายันเย็น กว่าจะสำเร็จได้ ต้องขอบคุณในความหน้าด้านของตนเองมากเหลือเกิน “ของแบบนี้ต้องกล้าหน่อย ด้านได้อายอดว่ะ”
ห่างออกไป เจ้าของสายตาดุดันจ้องมองมายังตรงที่สองหนุ่มนั่งอยู่ สีหน้าของเขาไม่ค่อยพอใจนัก แต่คนหนึ่งก็เป็นรุ่นพี่ที่เขาเคารพ ส่วนอีกคน ก็เป็นคนที่เขาไว้ใจมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
สักพักแหนมกับตำลึงก็ถือขวดน้ำเข้ามาสมทบ แล้วหลังจากนั้นไม่นาน พอจัดการกับผัดกะเพรากับไข่เจียวเสร็จแล้ว ตฤณก็ลุกขึ้นแยกออกจากกลุ่มไปทำงานของตนเองต่อ
ในตอนค่ำของวันเดียวกัน นภเกตน์ปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วยืนกอดอกอยู่ที่หน้าตู้ยามของคอนโดมิเนียม รอให้ลุงยามมาเข้าเวรสักที เขาไม่รู้จะไปปรึกษากับใครแล้ว นึกออกก็แต่ลุงยามนี่แหละ
“อ้าว คุณน่ะเอง ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีมั้ยครับ” ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบยามรักษาการณ์ส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล
“ก็... งั้นๆ แหละครับ แล้วพี่จอห์นนี่เป็นไงบ้าง”
“ไม่ค่อยสบายเลยครับ เมียผมกำลังท้อง ดุฉิบหายเลยช่วงนี้ เลยมาก่อนเวลาเข้าเวรตั้งครึ่งชั่วโมงเนี่ย” ลุงยามยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ
“งั้นพี่จอห์นนี่ก็ว่างอยู่สินะ ไปดื่มกาแฟเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
ภายในร้านกาแฟชั้นล่างของคอนโดมิเนียมนั่นล่ะ นภเกตน์หยิบช้อนขึ้นมาคนกาแฟในถ้วยอย่างปลงๆ สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“มีเรื่องอะไรเหรอคุณ ทำหน้าเหมือนโดนของ”
“พี่จอห์นนี่ เคยกลัวเมียจะมีกิ๊กมั้ย”
ลุงยามหลุดหัวเราะเสียงดัง “ใครจะเอามัน นอกจากพ้ม!” แต่พอเห็นท่าทางเคร่งเครียดของชายหนุ่ม เขาก็รีบหุบยิ้มทันควัน “คุณไม่เชื่อใจเมียคุณเรอะ ถึงได้ถามน่ะ”
หัวใจกระตุกวาบเมื่อได้ยินคำถามนั้น “...อยากจะเชื่อ”
“เมียคุณ คุณก็น่าจะรู้ดีที่สุดว่าเขาเป็นคนยังไง เขาแย่มากเลยเหรอ คนที่หนีกลับบ้านนอกไปนั่นอะนะ”
“พี่จอห์นนี่ความจำดีจังนะ” นภเกตน์ผ่อนลมหายใจออกยาว “ถ้าเมียพี่จอห์นนี่แอบไปซื้อทองหรือซื้อมอเตอร์ไซค์โดยไม่บอกพี่จอห์นนี่ก่อน พี่จะว่าไง”
“อืม... ถ้ามันแอบซื้อ มันก็คงเพราะอยากจะเซอร์ไพรส์พี่มั้ง”
“พี่จะไม่โกรธเหรอ”
“ต้องฟังเหตุผลของมันก่อนสิ”
“.....”
“ถ้าคุณกลัวว่าเมียจะมีกิ๊ก ก่อนจะนั่งกลุ้มใจคุณก็ต้องมั่นใจก่อนว่าเขามีกิ๊กจริงๆ ไม่งั้นเสียเวลาดราม่าไปเปล่าๆ”
“นั่นสินะ... แล้วถ้าพี่จอห์นนี่จับได้คาหนังคาเขา พี่จะทำไง”
“ตบมันสักทีแล้วค่อยเลิก ผัวดีขนาดนี้หาไม่ได้อีกแล้ว” ลุงยามหัวเราะ “แต่ผมรู้นะคุณ เมียผมเป็นคนยังไง ถึงผมจะจน เป็นแค่ยามกระจอกๆ แต่เมียผมก็คอยดูแล เอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี เพราะงั้นผมเลยเชื่อใจ”
“แล้วพี่จอห์นนี่เคยคิดนอกใจเมียบ้างมั้ย”
“หูย ไม่เคยแม้แต่จะคิด” อีกฝ่ายส่ายหน้ายิก ถ้าขืนมี “มันคงฟาดผมตายคาไม้แขวนเสื้อแน่ๆ”
“ไม้แขวนเสื้อ?”
“อาวุธสากลของเมียคร้าบ” ลุงยามทำสีหน้าสะพรึง ก่อนจะรีบปั้นหน้าให้กลับเป็นปกติอีกครั้ง “ผมไม่ได้กลัวเมียนะคร้าบคุณ ผมแค่เกรงใจ”
นภเกตน์ยิ้มบาง “ผมอิจฉาพี่กับเมียจัง”
“ได้เวลาที่ผมต้องไปประจำป้อมแล้วล่ะ ขอบคุณที่เลี้ยงกาแฟนะครับ” ลุงยามยิ้มกว้าง เขาลุกขึ้นพร้อมกล่าวลา “การใช้ชีวิตคู่ คุณต้องให้พื้นที่ส่วนตัวกับเมียคุณบ้าง แล้วก็พยายามรับฟังเหตุผล พยายามเข้าใจเขาบ้างนะ ถ้าต้องการใช้บริการที่ปรึกษาปัญหาหัวใจของลุงเมื่อไหร่ ก็แวะมาที่ป้อมนะครับ”
“ขอบคุณนะพี่จอห์นนี่”
ร่างโปร่งนั่งอยู่ที่เดิมอีกสักพัก จึงค่อยเดินกลับขึ้นไปยังห้องพักของตน ระหว่างทาง มือขาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดสวิตช์ แล้วข้อความที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยจากคนรักก็เด้งขึ้นมานับสิบ
นภเกตน์กัดริมฝีปากแน่น เขารีบเดินกลับเข้าไปในห้อง หยิบแล็ปท็อปขึ้นมาพิมพ์ข้อความสั่งการลงไปสั้นๆ บอกกล่าวกับเลขาสาวของเขาให้จัดการเคลียร์งาน เพราะเขาต้องการจะไปดูงานที่ไซต์งานพัทยา ให้เธอช่วยจองโรงแรมและแจ้งทางธนากรให้เรียบร้อยด้วย
..
....
..
โพรเจคต์ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นขึ้นหลังจากการแก้ไขซ็อฟต์แวร์อยู่หลายวัน ทว่านั่นทำให้งานล่าช้าไปกว่ากำหนดมาก ตฤณกับวิศวกรลูกน้องของเขาจึงต้องทำงานทั้งในวันเสาร์และอาทิตย์ด้วยเพื่อเป็นการชดเชยเวลาที่เสียไป ส่วนธนากรก็มาปักหลักอยู่ที่ไซต์งานเช่นกัน เพื่อคอยดูแลและนั่งลุ้น ขอให้ปิดโพรเจคต์ได้ตามกำหนด
ธนากรนั่งหายใจทิ้งอยู่หลายครั้ง เพราะสภาพวิศวกรที่ทำโพรเจคต์แต่ละคนในตอนนี้ช่างดูน่าสงสาร ตาโหล เส้นผมชี้ฟูไม่เป็นทรง หน้าดำคร่ำเครียดกันเป็นแถบ
“มึงไปถอนหายใจไกลๆ กูหน่อย เสียสมาธิ” ตฤณต่อว่าเพื่อนรักโดยไม่หันหน้าไปมอง
“กูออกไปเดินยืดเส้นยืดสายแป๊บ” ขณะที่เดินไปเดินมาอยู่นั้น เซลล์หนุ่มก็ได้รับอีเมลจากเลขาสาวของนภเกตน์ เขาหยิบขึ้นมาอ่านดู แล้ววิ่งกลับเข้าไปรายงานเพื่อนรักทันที
“ไอ้ตฤณ มะรืนนี้คุณนภเกตน์จะมาดูงานที่นี่!”
เจ้าของชื่อเรียกที่กำลังก้มหน้าก้มตาป้อนคำสั่งลงในอุปกรณ์เงยหน้าขึ้นพรวด “ฮะ!? คุณนภเนี่ยนะ”
“เออ บอกวันเวลามาแล้วด้วย นี่ไง” ธนากรส่งโทรศัพท์มือถือให้อีกฝ่ายดู
ตฤณเผลอยิ้มกว้าง มีแรงทำงานขึ้นมาทันใด
“คืนนี้ทำให้ถึงกำหนดนะเว้ย มีแรงแล้วใช่มะ”
“เออๆ” เขาต้องเร่งทำงานให้เสร็จทันกำหนดการที่วางไว้แน่ๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาว่างให้กับนภเกตน์สักนิด อยากจะพาอีกฝ่ายไปเดินดูมหาวิทยาลัยที่เคยเล่าเรียนมาจะแย่
ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งแทบจะลืมความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมาตลอดสัปดาห์ ตอนนี้เขาก็ทำอาหารได้หลายอย่างแล้วด้วย ทั้งผัดกะเพรา ไข่เจียว หมูทอด ผัดผัก ต้มยำกุ้ง และที่ไฮโซที่สุดก็คือต้มข่าไก่ ซึ่งเพิ่งหัดทำไปเมื่อวานนี่เอง
เขาอดยิ้มไม่ได้เลย ถ้าหากนภเกตน์ได้ชิมฝีมือเขาบ้าง อีกฝ่ายจะว่าอย่างไรกันนะ จะเซอร์ไพรส์มากขนาดไหน
เฮ้อ... คิดถึงคุณนภใจจะขาดอยู่แล้ว
TBC~*นี่มัน... เรื่องอะไรกันแน่เนี่ย 55555555555 หรือคู่แท้ในเรื่องจะเป็นพี่ตฤณกับน้องเมฆ แงรรรร~
เอาเป็นว่าพี่ตฤณน้องนภใกล้กลับมาสวีทกันแล้วค่ะ รออีกนี้ดดดด
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะค้า รักนะจุ๊ฟฟฟฟ