{ เรื่องสั้น } ชั่วโมงต้องมนต์
เห้อ...วันที่สุดแสนจะน่าเบื่อ
ตื่นไปเรียนก็สาย ตอนจะไปเรียนวินที่เรียกอยู่ทุกวันก็ไม่รู้หายหัวไปไหนกันหมด และพอเดินไปถึงหน้าปากซอย ผมก็ค้นพบว่าตัวเองลืมเอากระเป๋าสตางค์มา ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยอภิมหาซวย
ยังครับ ยังไม่พอ แน่นอนว่าการที่ผมไปสายผมก็ต้องถูกด่าจากอาจารย์ที่สุดแสนจะน่ารัก เพื่อนร่วมคณะแม่งก็มองเป็นเรื่องโจ๊กไปซะฉิบ ล้อผมทั้งวี่ทั้งวัน เห้อออออ ผมจะบันทึกเอาไว้ว่าวันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตของผมเลย
เพราะมันทั้งซวยทั้งหงุดหงิด วันนี้ผมก็เลยจะอินดี้ ไปเดินห้างดูหนังแม่ง ทายสิครับว่าผมไปกับใคร หึ หน้าตาหล่อๆสาวกรี๊ดตรึม(แล้วก็วิ่งหนี)แบบผมนี้จะไปกับใคร
ไปคนเดียวสิครับ...เกิดมาอาภัพรัก เคยมีแฟนกับชาวบ้านเขาซะที่ไหน พูดแล้วอยากจะร้องไห้ T^T
เรื่องนั้นช่างมันเถอะ อยู่คนเดียวจนชินแล้วดูหนังคนเดียวไปเที่ยวคนเดียวแบบนี้ผมสบายใจมากพูดเลย อยากแวะดูนั่นดูนี่นานเท่าไหร่ก็ได้ไม่ต้องเกรงใจใคร อีกทั้งยังได้ดูหนังตามใจตัวเองอีก แต่ผมก็มีเพื่อนคบนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะ
ห้างที่ผมเลือกในวันนี้ก็คือ แอ่น แอน แอ๊น... เซ็นทรัลเวิร์ล จากมอผมมันต่อรถง่ายดี ไปทางเรือได้อีกต่างหาก สบ๊ายสบาย
หลังจากที่เดินขาลากมาตากแอร์ในห้างเย็นๆ ผมก็เริ่มคิดกับตัวเองว่าจะทำกิจกรรมอะไรให้ตัวเองหายเซ็งดีระหว่างดูหนังกับช็อปปิ้ง แต่ในระหว่างที่ผมกำลังคิด และก็กำลังก้มหน้าก้มตาเลือกเพลงอยู่นั่น ผมก็เดินไปชนเข้าไปเสาหรืออะไรสักอย่างจนต้องหยุดชะงัก
ไม่ใช่เสา นั่นหลังคน และไอ้เหี้ยนี่ก็สูงมากซะจนหัวผมอยู่ที่ไหล่เขาแค่นั้นเอง
ตอนเด็กๆมึงแด๊กเสาเป็นอาหารมาเรอะ...
“ขอโทษครับ”
แน่นอนว่าผมเป็นผู้ดีมีมารยาท ผมบอกขอโทษเขาไปเพราะเขาต้องรู้สึกได้ว่ามีหัวทุยๆของผมชนเขา และทันทีที่เขาหันหน้ามาหาผม...
ผมก็ได้แต่ยืนอึ้ง สตั๊นไปหลายวิ
หล่ออะไรปานนั้นวะ
ผมกระพริบตาปริบๆมองดูไอ้หล่อที่พยักหน้าให้ผมนิดหน่อยเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ปกติผมไม่ยอมรับเท่าไหร่ว่าใครหล่อ แต่ไอ้นี่มันหล่อจริง มันสูง ดูผอมกำลังดี ใบหน้าเล็ก จมูกโด่ง ริมฝีปากเผยอนิดๆเห็นฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบ ไอ้เชี่ยนี่มันเป็นเด็กของโมเดลลิ่งสังกัดไหนทำไมเพอร์เฟ็คแบบนี้วะ
ดูจากชุดนักศึกษา อื้อหือ ขาวสะอาด เสื้อออกมาจากกางเกงนิดๆอย่างไม่ค่อยใส่ใจแต่ดูดีอย่างน่าประหลาด กระเป๋าที่มันสะพายก็ราคาแพงกว่าค่าเทอมผมสองเทอม เอาเป็นว่า...ไอ้นี่มันดูดีราศีจับสุดๆแบบที่สไตล์อาร์ตๆอย่างผมเทียบไม่ติด
เสื้อตัวใหญ่กว่าตัวเอง กางเกงสีน้ำเงินขาสามส่วน กระเป๋าผ้า หน้าตาและท่าทางของผมบ่งบอกได้เลยว่าผมเป็นเด็กศิลปกรรม
ผมกับมันสไตล์แตกต่างกันลิบลับ...มันสะอาดสะอ้าน ผู้ดี...ส่วนผมอาร์ตติสต์ เหมือนจะซกมก...
แต่ทำไมผมละสายตาจากมันไม่ได้เลยวะ
มันก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปของมันแหละครับ ไม่ได้สนใจอะไรผมหรอก ผมที่เห็นมันอยู่ข้างหน้า ก็เลยเลิกเลื อกเพลงที่เสียบหูอยู่และก็มองข้างหลังมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันพาผม(ต้องพูดอย่างงี้เพราะผมตามมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้)มายังชั้นบนสุดที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร และก็โรงหนัง
ผมเห็นมันเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดอยู่ที่หน้าจอดูเวลาหนังฉาย มันยืนดูนิ่งๆ ในขณะที่ผมผู้เดินตามมาพยายามทำท่าทางให้เป็นธรรมชาติ ด้วยการทำท่าเหมือนจะเดินไปนู่น แต่ก็หยุดและก็หันมามองดูมัน
มันจ้อง จ้อง และก็จ้อง ทันทีที่มันเลือกได้ มันก็เดินไปซื้อตั๋วหนัง
และผมจะตามมันไปเพื่ออะไรครับ...ผมอยากรู้จักมันเหรอ ผมปลื้มมัน หรือผมชอบมัน เกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมตามมันไม่หยุดเลยล่ะ
“รอบ 17.50 นะคะ กี่ท่านคะ”
พนักงานสาวถาม ดูเธอยิ้มหวานสุดจิตสุดใจให้ไอ้หล่อนี่เหลือเกิน
“ที่เดียวครับ”
ที่เดียว...ที่เดียว...ที่เดียว...
มาคนเดียว มาดูหนังคนเดียว หน้าอย่างมันควงสาวมาดูเป็นสิบคนก็ยังได้
“ที่นั่ง B12 นะคะ”
มันซื้อตั๋วเสร็จสรรพ ก่อนที่มันจะเดินไปมันหันมามองหน้าผมแว้บหนึ่งด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะมองผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไรมาก คงคิดว่าผมไม่ได้เดินตามมันมั้ง แต่ขอโทษ กูตามมึงมาเต็มๆ
“เชิญลูกค้าท่านต่อไปเลยค่ะ”
ผมสะดุ้งตอนที่พนักงานเรียก รีบเดินไปหาเธอและก็บอกรอบหนังพร้อมกับที่นั่ง...
“B13 ครับ”
อีกสิบนาทีจะถึงรอบหนัง
ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่หน้าโรงหนัง มองหาไอ้หนุ่มเจ้าสำอางคนนั้นอย่างสุดฤทธิ์ ชะเง้อคอหาจนดูประหลาดไปแล้ว ไปไหนวะ ทำไมไม่เจอ หรือไปช้อปปิ้งก่อนดูหนัง กินข้าว รอแฟนมาซื้อที่นั่ง B11 จะอะไรก็แล้วแต่ ทำไมมันหายหัวไปแบบนี้วะ
ผมจะพลาดหนังตัวอย่างไม่ได้ครับ ผมชอบมาก มันจะทำให้ผมรู้ว่าหนังเรื่องต่อไปที่จะเข้าคือเรื่องอะไร เพราะงั้นเมื่อใกล้เวลา ผมก็ไม่สนใจห่าสนใจเหวแล้ว ขึ้นบันไดเลื่อนไปยังโรงหนังของตัวเองอย่างด่วน
ในโรงหนัง ผมก็ดูหนังตัวอย่างปกติครับ ยอมรับบ้างว่ารอ B12 แต่ว่าไม่ว่าหนังกี่เรื่องต่อกี่เรื่องที่ฉายตัวอย่างไป ไอ้ B12 มันก็ไม่ยอมเข้ามาดูหนังสักที สงสัยชิ่งและก็ทิ้งตั๋วไปแล้วมั้ง
แอบเซ็งนิดๆ...ผมจะได้เจอมันอีกไหม...มันไม่ได้มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยมากนัก...การที่ผมได้เจอคนที่อยากรู้จัก บางครั้งผมก็อยากทำมากกว่าที่เดินตาม หรือแอบมองเขาอยู่ห่างๆ
ไอ้หล่อเอ๊ย มึงโดนใจกูมากแค่ไหนมึงรู้มั้ยวะ...
ตอนที่หนังเริ่มครับ ขอย้ำ ตอนหนังเริ่ม ไอ้ B12 มันถึงได้เดินเข้ามานั่งที่ข้างๆผมพอดี
ผมมองไปข้างหน้าอย่างเดียวเลยครับ มันต้องคิดแน่ๆว่าผมคิดอะไรกับมัน เอางี้ ที่ข้างซ้ายของของ B12 ว่างมาก ว่างชนิดที่ว่าเหมาให้เด็กอนุบาลครึ่งห้องมาดูหนังด้วยกว่ายังได้ และข้างขวาของ B13 เช่นของผมมันก็ว่างมากพอสำหรับเด็กอนุบาลครึ่งที่เหลือเหมือนกัน
เอาเป็นว่าที่ผมกับมันได้นั่งข้างกันสองคนไม่มีทางใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
มันต้องรู้ว่าผมจงใจ แต่ว่า...พอหนังเริ่มไปได้สักพัก ไม่ถึงสิบห้านาทีของหนัง มันคงอึดอัดล่ะมั้งที่ต้องนั่งข้างผมทั้งๆที่ที่ว่างมันก็มีเยอะแยะ มันก็เลยย้ายไปนั่งที่ B11 ทิ้งให้มีที่ว่างคั่นกลางระหว่างผมกับมัน
F A I L
อ่านว่า เฟล แปลว่า เฟล
เฟล เฟล เฟล และก็เฟล
แทบอยากจะเดินหนีออกจากโรงและก็นอนชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นห้างเสียตั้งแต่เดี๋ยวนั้น นี่คือการแสดงออกว่ามันรังเกียจผมขั้นสุด ไม่มีทางเล่นด้วยแน่ๆ เพราะงั้นผมจึงคอตก แต่ก็หน้าด้านดูหนังต่อ(คือกูเสียดายเงิน) พยายามไม่สนใจไอ้หล่อต่างมหาลัยข้างๆ แต่ก็สังเกตได้ว่าตลอดเวลาที่หนังดำเนินเรื่อง ไอ้หล่อมันลุกไปฉี่บ่อยมาก สงสัยท่อจะสั้นมากเลยสินะ
จนกระทั่งหนังจบ ผมเดินดุ่มๆอย่างรีบๆออกไปจากโรงทันที ไม่ใช่ต้องการหลบหน้าใครตอนที่แสงไฟสว่างครับ เปล่า ผมปวดฉี่ (....)
แม้จะแลดูเป็นเด็กอาร์ตซกมก แต่เวลาฉี่ผมไม่ชอบฉี่ที่โถฉี่ ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ และก็จัดการฉี่ซะให้สบายใจเฉิบ ตอนนั้นเองที่เพื่อนมันโทรมาตามงานที่อาจารย์สั่ง ผมคุยไปฉี่ไป คุยเสร็จก็วางโทรศัพท์ จนกระทั่งผมออกไปจากห้องน้ำนั่นแหละ
ทำไมคนต่อคิวเยอะงี้วะ นี่ไม่ใช่ห้องน้ำผู้หญิงนะเว้ย และคิวที่ผมเจอะอย่างจังคิวแรกเป็นของ...ไอ้ที่มันปฏิเสธผมอย่างไร้เยื่อใยด้วยการย้ายที่นั่งนั่นแหละครับ
ไม่มองหน้าแม่ง...โดนใจแค่ไหนก็ไม่มอง ผมรีบก้มหน้างุดแล้วเดินหนีทันที พยายามเลิกคิดถึงมัน ไอ้นี่มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ทำใจซะ...หาคนใหม่
หาง่ายที่ไหนล่ะ...
แม่งอดผิดหวังไม่ได้จริงๆ ผมอยากรู้จักมันจริงๆนะ...
เอาวะ อย่างน้อยได้แอบมองมันตอนกลับก็ยังดี
ผมนี่สร้างป้อมปราการไว้รอยิงมันเลยครับ(ไม่ใช่) ผมนั่งในจุดที่มองเห็นทุกคนที่เดินออกมาจากโรงหนัง ผมรู้ว่าไอ้หล่อนั่นยังไม่ออกมาจากโรงแน่ๆ เพราะงั้นผมก็เลยปักหลักรอ
แต่ทำไมมันนานนักวะครับ...
“ประกาศ เจ้าของโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ XXX สีขาว เคสโทรศัพท์สีเทา กรุณามารับโทรศัพท์ของท่านที่จุดบริการลูกค้าด้วยนะคะ”
เออเนอะ...ไอ้คนทำหายโทรศัพท์ยี่ห้อเดียวกันกับผม สีเดียวกัน เคสก็สีเดียวกันอีก แม่งก๊อปนี่หว่า
แต่...เดี๋ยวนะ
ผมลองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าผ้า ไอ้ชิบหาย...โทรศัพท์ผมหาย หายตอนไหน!
เพราะงั้นไอ้เครื่องที่พนักงานประกาศตามหาเจ้าของก็คือของผมอ่ะดิ!
ไอ้บ้าหล่อแค่ไหนก็ไม่สนแล้ว...วิ่งไปเอาก่อนละ...ป๊าอุตส่าห์ซื้อให้ตอนที่มันเพิ่งออกเลยนะ
ถ้าบนฟ้าเขาต้องการ...เราอาจคงได้เจอกันอีกครั้ง