ก่อนจะอ่านบทที่ 31 ขอให้ฟังเพลงนี้ไปพลางๆครับ
เรื่องจริง:Singularบทที่ 31
ความทรงจำ ท็อปกำลังนอนอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มเก่าที่เขาซื้อมาไว้หลายวันแล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มอ่านขึ้นมา พร้อมกับคว้ามันฝรั่งทอดกรอบขึ้นมาเคี้ยวเล่นเพลินๆ อากาศเย็นๆ สบายๆในวันหยุดแบบนี้ ไหนจะได้ไปเที่ยวเล่นกับแบงค์อย่างที่เขารอคอย ก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปได้มากทีเดียว
หลังจากที่อ่านไปได้สักพัก เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า โทรศัพท์มือถือของเขาแบตเตอร์รี่กำลังจะหมดตั้งแต่เมื่อเย็น จึงรีบเดินเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาและพบว่า โทรศัพท์นั้นยังคงแบตหมดและดับไปนานแล้ว ทันทีที่เขาเปิดเครื่องและเสียบสายชาร์จ ก็มีข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับหนึ่งสายขึ้นมา
- - แบงค์ - - “เอ๊ะ ทำไมรีบโทรกลับมาจัง ทั้งๆที่เพิ่งแยกกันได้แป๊บเดียวนี่นา” ท็อปพึมพำ เมื่อมองดูเวลาที่มีสายเรียกเข้ามา “ไหนบอกว่า อยากมีเวลาคิดถึงกันไง” ท็อปพูด ยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนที่จะลองโทรกลับไป แต่ว่า โทรไปกี่ครั้ง โทรศัพท์ก็ไม่มีใครรับสาย
“คงหลับไปแล้วมั้ง ?” ท็อปคิด ก่อนที่จะมีเสียงออดดังขึ้นที่หน้าห้องชุดของเขา
“ท็อปไปดูซิ ว่าใครมา” เสียงพ่อตะโกนบอกจากในห้องทำงานที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขา เขาจึงเดินออกจากห้องของตนแล้วไปดูที่หน้าห้องว่าใครมา
เสียงออดยังคงกดอย่างต่อเนื่องจนน่ารำคาญ ท็อปรีบวิ่งไปเปิดประตูให้เร็วเพื่อให้รู้ว่าใครกันที่มาหายามดึกดื่นป่านนี้
“อ้าว....หวาน เธอมาทำไมเนี่ย? ดึกขนาดนี้” ท็อปอุทาน เมื่อเห็นหวาน ยืนหน้าตาตื่นอยู่ที่หน้าประตู การพบเจอหวานที่หน้าประตูบ้านในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังนัก
“ท็อป....ฟังที่เราพูดให้ดีนะ....” หวานพูด อ้ำอึ้ง เมื่อเห็นหน้าเพื่อน
“ทำไม ? มีอะไร ?” ท็อปถามอย่างรำคาญ เรื่องอะไรที่ทำให้หวานถึงกับจำเป็นต้องดั้นด้นมาถึงบ้านของเขา
“เมื่อกี้มีแจ้งเข้ามาที่โรงเรียน พอดีว่า วันเสาร์นี้ เราอยู่ที่โรงเรียน ช่วยงานเอกสารอาจารย์ที่ห้องปกครองจนดึกกับพวกครูที่เขากำลังวางแผนเรื่องงานปีใหม่ แล้วแม่ของแบงค์ก็โทรแจ้งเข้ามาในโรงเรียน....”
ท็อปเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับสิ่งที่หวานกำลังพูด ยิ่งนึกถึงโทรศัพท์ที่แบงค์ไม่ยอมรับสาย ยิ่งทำให้ท็อปรู้สึกหวั่นๆในใจ
“แบงค์ถูกคนดักตีตอนระหว่างทางกลับบ้าน ตอนนี้บาดเจ็บสาหัส ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน เสียเลือดมากโข เหมือนว่าแขนจะหักด้วย ตอนนี้ตำรวจกำลังรีบรวบรวมพยานหลักฐานว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราเลยรีบมาบอกท็อปก่อน เพราะเรารู้ว่าท็อปยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้.....” หวานรีบพูด
ท็อปรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่มันอะไรกันเนี่ย ? ทั้งๆที่พวกเขาห่างกันได้ไม่นาน ทำไมถึงเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
“หวาน....เธออำเราเล่นรึเปล่า ไม่ตลกเลยนะ” ท็อปพูด หน้าซีดเผือด หวังในใจลึกๆว่านี่คือเรื่องล้อเล่น
“เราไม่ล้อเล่นกับเรื่องคนเจ็บหรอกนะ...เขานอนอยู่ที่เซนต์หลุยส์ จะไปดูอาการไหม?” หวานบอก
“งั้น เดี๋ยวเราไปเอากุญแจรถก่อน” ท็อปพูด มือสั่น ใจสั่นไปหมด พลางวิ่งไปควานหากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่วางอยู่เมื่อเย็น แต่ด้วยความตกใจกับอารามขวัญเสีย ทำให้หาข้าวของไม่เจอ
“ใครมาน่ะลูก?” อาจารย์สายัณห์เดินออกมาข้างนอก เห็นหวานยืนอยู่ที่หน้าประตู “อ้าว หทัยรัตน์... มาทำอะไรดึกป่านนี้”
“สวัสดีค่ะ อาจารย์ หนูมาบอกท็อปว่า ตอนนี้แบงค์เขาโดนคนทำร้าย อาการบาดเจ็บสาหัสอยู่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนี้ เพื่อนๆกับแม่ของแบงค์น่าจะไปถึงที่โรงพยาบาลกันแล้ว” หวานแจ้งข้อมูล
อาจารย์สายัณห์ก็ตกใจไม่แพ้กันเมื่อได้ยินข่าว หันหน้าไปมองลูกชายที่กำลังหากุญแจรถอย่างกระวนกระวาย ยิ่งหา ยิ่งไม่เจอ มือไม้ของเขาสั่นไปหมด
“งั้น ท็อปกับหนู ตามพ่อมา เดี๋ยวพ่อพาไปเอง อารมณ์นี้ท็อปมันคงขับมอเตอร์ไซค์ไม่ไหวแน่...” พ่อพูด ท็อปหันมามองพ่อด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง เขารีบสวมกางเกงขายาวที่เพิ่งถอดเอาไว้ จากนั้นจึงรีบออกจากห้องตามเพื่อนและพ่อออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะไปดูอาการของแบงค์ที่กำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
“หมอได้บอกอะไรเพิ่มเติมมาบ้างไหม? หวาน?” ท็อปถาม เมื่อรถเริ่มแล่นออกจากคอนโด
“ทันทีที่เรารู้ เราก็รีบออกมาเลย รายละเอียดเรื่องอาการเราก็ไม่รู้อะไรเท่าไร พวกเราคงต้องไปถึงโรงพยาบาลก่อน เดี๋ยวพี่กายก็จะตามมาด้วย เราเห็นว่าพวกเธอทั้งหมดน่าจะสนิทกัน ก็เลยรีบมาบอก” หวานเสริม
ท็อปรู้สึกโกรธตัวเองอย่างมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ็บใจเสียยิ่งกว่าเจ็บใจ ถ้าเกิดว่า เขาอยู่ด้วยแต่แรก เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด น้ำตาลูกผู้ชายค่อยไหลรื้นขึ้นมาจนเต็มเบ้าตา อ.สายัณห์เหลือบมองดูลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่ด้านที่นั่งเบาะหลังของรถ รู้สึกสงสารจับใจ
-----------------------------------------------------------------------------
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แม่ของแบงค์ที่รออยู่หน้าห้อง นั่งร้องไห้ไม่หยุดเรื่องลูกชายของเธอถูกทำร้าย พร้อมป้าอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ผ่านมาเจอแบงค์นอนสลบเหมือดอยู่จึงเรียกรถพยาบาลและตำรวจมาช่วย ป้าคนนี้จำแบงค์ได้ว่าเป็นลูกชายของบ้านหลังไหน จึงรีบไปแจ้งข่าว พร้อมกับช่วยให้การกับตำรวจเรื่องสถานการณ์ทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น
เปิ้ลและเกด ต่างยืนร้องไห้สงสารเพื่อนอยู่หน้าห้อง จะมีเหลือก็เพียงเกมส์ที่ยังนั่งอยู่อย่างกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นพี่ท็อปอ.สายัณห์ และหวานเดินเข้ามา จึงรีบวิ่งไปหา
“มันเกิดอะไรขึ้น เกมส์ บอกพี่มา มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงเกิดเรื่องแบบนี้” ท็อปถามเสียงสั่น
“เท่าที่ผมได้ยินจากป้าแก้วที่เจอแบงค์ ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ เพราะไปถึงก็เจอแบงค์นอนจมกองเลือดอยู่ ตอนนี้แบงค์ยังไม่รู้สึกตัวครับพี่ แล้วหมอก็ยังตอบอะไรไม่ได้ เพราะว่า แรงตีสาหัสจนกระโหลกด้านหลังเหมือนจะร้าว” เกมส์บอก ตัวเขาเองก็รู้สึกใจหายไม่แพ้กัน “ผมเพิ่งรู้อีกอย่างจากแม่ของแบงค์” เขาเสริม
“รู้อะไรเหรอ เกมส์ บอกพี่มาเดี๋ยวนี้” ท็อปถามอย่างร้อนใจ
“แบงค์เป็นฮีโมฟีเลีย... ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือโรคอะไรจนพี่พยาบาลมาเล่าให้ผมฟังว่า มันคืออาการเลือดไหลไม่หยุดกับพวกเลือดออกตามข้อแล้วก็กล้ามเนื้อได้ง่าย”
ท็อปแทบจะทรุดลงทั้งยืน แต่มีพ่อช่วยพยุงตัวเอาไว้ “ทำใจดีๆไว้ท็อป ไปนั่งที่เก้าอี้ก่อน” พ่อพูด โอบตัวลูกชายที่อยู่ในสภาวะตกใจขึ้นมา
เขานึกถึงอาการต่างๆที่แบงค์มีหลังจากเกิดเรื่องที่คาร์พชกหน้าของน้อง ไม่ว่าจะเป็นเลือดกำเดาที่ไหลมาให้เขาเห็นเป็นระยะ อาการเขียวเป็นจ้ำๆของแบงค์ตามแขนและขา หลายครั้งที่เขาไปนอนด้วยกันและได้เห็นแบงค์ถอดเสื้อบ้าง ถอดกางเกงบ้าง เขามักจะเห็นว่าแบงค์มีรอยเขียวจ้ำเยอะกว่าที่เคย แต่แบงค์ก็มักปฏิเสธว่าเขาเดินชนของบ้าง ล้มบ้าง จนท็อปต้องคอยบอกว่า
“อย่าซุ่มซ่ามสิ”“พ่อ...ท็อปปล่อยให้น้องกลับบ้านคนเดียว ถ้าท็อปไปส่ง น้องก็คงไม่โดนเรื่องแบบนี้” ท็อปโวยวายอย่างเจ็บใจ หันหน้าไปซบพ่อกอดพ่อร้องไห้ลั่น
“โทษตัวเองไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอก ตั้งสติก่อน”
“นี่น้องท็อปใช่ไหมครับ?” ตำรวจที่เพิ่งคุยกับป้าแก้วเสร็จก็เดินเข้ามาหาท็อป “เท่าที่ผมตรวจดูหลักฐานจากโทรศัพท์ที่โทรออกเบอร์สุดท้าย เหมือนว่าเบอร์น้องจะเป็นเบอร์สุดท้ายที่โทรออก ผมอาจจะต้องให้น้องไปให้ปากคำเล่าเรื่องนิดหน่อยว่า เรื่องมันเกิดขึ้นอะไรมายังไง ทำไมถึงมีมูลเหตุจูงใจให้ผู้เสียหายถูกทำร้ายสาหัสขนาดนี้”
ท็อปเงยหน้าขึ้นมา “ดะ..ได้ครับ”
“งั้นเชิญห้องนี้เลย ผมจะขอเก็บข้อมูลคร่าวๆก่อน จะได้นำไปทำเรื่องต่อที่สน.” ตำรวจจึงนำพี่ท็อปไปสอบสวนที่ห้องว่างที่จัดไว้
“พวกหนูรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมแบงค์ถึงมีคนมาดักตีแบบนี้? เขาไปทะเลาะอะไรกับใครที่ไหนหรือเปล่า?” แม่ของแบงค์ถามขึ้นเมื่อทุกๆคนมาอยู่กันพร้อมหน้า แต่ไม่มีใครที่พวกเขารู้สึกว่าสงสัยมากพอที่จะเป็นเหตุจูงใจถึงขั้นมาทำร้ายกันซึ่งหน้าแบบนี้ ยิ่งตอนนี้ทุกคนไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องรอให้แบงค์ฟื้นเพียงอย่างเดียว
ปลาคาร์พที่รู้เรื่องทีหลังจากแม่จึงรีบตามมาหาที่โรงพยาบาล มาถึงก็เจอแค่หวานกับอาจารย์สายัณห์และกลุ่มเพื่อนรุ่นน้องที่กำลังนั่งซึมกันอยู่ทั้งหมด “ตอนนี้ทุกอย่างเป็นยังไงมั่ง” ปลาคาร์พถามขึ้น
หวานจึงเรียกคาร์พมานั่งใกล้ๆ แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
“แล้ว...ใครล่ะที่เป็นคนทำแบบนี้?” คาร์พพูด เขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงแบบนี้ หวานได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออกเพราะตัวเธอเอง เมื่อเห็นสภาพท็อปที่เสียใจอย่างหนัก ทำให้เธอรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆไปด้วย
“เรื่องนี้ แบงค์เท่านั้นที่จะให้คำตอบเราได้ เรามารอฟังคำตอบหลังจากที่น้องฟื้นขึ้นมาแล้วจะดีกว่านะ” หวานบอกจบ พอดีกับที่ท็อปออกมาจากห้องที่เข้าไปให้ปากคำกับตำรวจเพียงลำพัง
“เป็นไงมั่งท็อป” คาร์พทักเพื่อนเมื่อเห็นเพื่อนคอตกเดินมา
“กูจะฆ่ามัน ไม่ว่ามันจะเป็นใครที่ไหน ที่มาทำแบบนี้กับแบงค์” ท็อปพูด กัดฟันกรอด “ไม่ว่ายังไง กูจะต้องรู้ให้ได้”
ปลาคาร์พมองเพื่อนที่ส่งสายตาอาฆาตแค้นไปให้กับบุคคลที่ไม่รู้จักแม้แต่หน้าตาหรือชื่อแซ่ หน้าของท็อปแดงไปหมดด้วยความโกรธ เกลียด แค้น เขากลืนน้ำลาย ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นท็อปในโหมดแสดงความโกรธมากขนาดนี้มาก่อน
พี่กายรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาที่ห้องฉุกเฉินไล่ๆกัน สายตากวาดหาทั้งท็อปและหวานที่ส่งข่าวไปบอกเขา “ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ? มันเกิดอะไรยังไงกันแน่ ทำไมถึงปล่อยให้แบงค์โดนทำร้ายได้ยังไง” เขาโวยวาย เดินปรี่ไปหาท็อป
ท็อปที่ร้องไห้และโกรธจนหน้าแดง ก้มหน้าหลบสายตาพี่กายอย่างสำนึกผิด “ผมผิดเองครับพี่ ผมไม่ได้ไปส่งน้องที่บ้าน เรื่องมันเลยเกิดแบบนี้”
“แล้วมึงรู้ไหมว่าแบงค์ไม่สบายอยู่ แบงค์บอกมึงไหมว่าเขาเป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด” พี่กายร้องไห้ออกมาทันที ปากยังคงโวยวาย เขย่าตัวท็อปอย่างแรง ท็อปไม่ได้ตอบ ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น จนอาจารย์สายัณห์ต้องรีบเดินเข้ามาห้าม
“กายสิทธิ์ อย่าไปถามหาเลยว่าใครผิดใครถูก เรามาช่วยกันภาวนาเถอะให้ปาฏิหาริย์มันเกิด ขอให้เจนภพฟื้นขึ้นมาก็พอแล้วตอนนี้ อย่าได้เป็นอะไรมากเลย” อาจารย์สายัณห์บอก
พี่กายทิ้งตัวลงนั่งข้างท็อป แล้วทั้งคู่ต่างก็ร้องไห้ออกมา เสียใจกับสิ่งที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในวันนี้เหลือเกิน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ผ่านมาแล้วห้าวัน ข่าวเรื่องแบงค์ถูกทำร้าย กระจายไปทั่วทั้งโรงเรียน ทำให้โรงเรียนต้องออกกฏให้นักเรียนกลับบ้านให้เร็วขึ้นและพยายามอย่าเดินในที่เปลี่ยว เนื่องจากภัยร้ายในมุมมืดเหล่านี้ เราไม่ทราบแน่ชัดว่าจุดประสงค์ของผู้ก่อเหตุคืออะไร ตำรวจยังพยายามหาหลักฐานแวดล้อม เพื่อให้ได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนก่อเหตุ พยานบุคคลนั้นก็หาได้ยากเต็มที ยิ่งผู้เสียหายยังคงไม่ฟื้นและนอนหลับอยู่ตลอดหลายวันแบบนี้ยิ่งทำให้การตามล่าตัวคนร้ายยังอยู่ในความมืดบอด
ท็อปไม่เป็นอันเรียน ต้องคอยเทียวไปเทียวมาทั้งเช้าและเย็น ยิ่งแม่ของแบงค์นั้น ถึงกับผอมซูบตอบลงไปในเวลาไม่กี่วัน เนื่องจากตัวเธอเองอยู่ลำพังกับลูกชายมาตลอด ถ้าหากว่าแบงค์เกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา เธอก็คงไม่ให้อภัยตัวเองเช่นกันที่ย้านถิ่นฐานมาที่นี่
ในช่วงบ่ายวันนี้ ท็อปแอบโดดเรียน มาเฝ้าแบงค์ที่ยังคงนอนหลับไหลไม่รู้ตัวอยู่ ตอนนี้แม่ของแบงค์กลับไปที่บ้านเพื่อนำเสื้อผ้าและของใช้บางอย่างมาเปลี่ยน จึงฝากท็อปให้ช่วยดูแลแบงค์ชั่วคราวตอนช่วงบ่ายนี้ ท็อปได้แต่จ้องมองแบงค์ที่ยังคงสลบ มีเครื่องช่วยให้ออกซิเจนเสียบอยู่ที่ปาก ชีพจรยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง หมอที่ตรวจอาการได้แจ้งให้เหล่าเพื่อนๆทราบว่า แบงค์นั้นยังไม่พ้นขีดอันตราย บวกกับยังมีเลือดคั่งในกระโหลกและมีทีท่าว่าจะยังไม่หยุดไหล เจ้าตัวก็ยังไม่รู้สึกตัว ทั้งนี้หมอก็กำชับทุกๆคนว่าจะพยายามเต็มที่ที่จะยื้อชีวิตของแบงค์เอาไว้ให้ได้ สมองของแบงค์ยังได้รับการกระทบกระเทือนกว่าจะฟื้นตัวรอบนี้จึงอาจจะนานเป็นพิเศษ บวกกับอาการเลือดไหลไม่หยุดของเขาที่ต้องคอยให้เลือดและฉีดแฟ็คเตอร์เข้าเส้นอยู่เป็นระยะเพื่อรักษาลิ่มเลือดให้ทำงานอยู่ในสภาพปกติ
พี่กายก็เช่นเดียวกัน เขาแวะเวียนมาหาแบงค์ทุกวันไม่ต่างจากท็อป เขาสารภาพกับท็อปว่า เขาเป็นอีกคนที่รู้ว่าแบงค์มีอาการฮีโมฟีเลียและแบงค์ก็กำชับเขาเช่นกันว่าอย่าได้บอกเรื่องนี้กับใคร เขาไม่อยากให้ใครเป็นห่วง
ยิ่งได้ฟังแบบนั้นแล้ว ท็อปยิ่งปวดใจ “ทำไมแบงค์ไม่ยอมบอกพี่ ทำไมแบงค์ถึงปิดพี่แบบนี้ ถ้าพี่รู้ว่าแบงค์ไม่สบายแบบนี้ พี่จะได้ดูแลแบงค์ให้ดีกว่านี้” เขาร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเดิมๆ
“อย่าไปโกรธน้องเลยนะ ท็อป” พี่กายบอกเมื่อมีโอกาสได้อยู่กับท็อปตามลำพัง “แบงค์เขาบอกแล้วก็กำชับพี่ตลอดว่า อย่าบอกพี่ท็อปนะ เขากลัวมึงจะเป็นห่วงจนไม่ทำอะไร แค่เห็นน้องเลือดไหลมึงก็เป็นห่วงจนอยู่ไม่สุขแล้ว ถ้ามึงรู้ว่าน้องเป็นโรคที่รักษาไม่หายแบบนี้ น้องมันเลยเดาได้เลยว่ามึงจะยิ่งไม่เป็นอันทำอะไรแน่”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องปิดผม ทำไมแบงค์เขาไม่คิดบ้าง ว่าถ้าผมรู้เข้าจะได้คอยช่วยดูแล ผมเห็นอาการน้องหลายครั้งหลายหนก็ได้แต่สงสัย ถามกี่ทีก็บอกปัดว่าไม่มีอะไร แล้วผมมารู้ทีหลังแบบนี้ มันโคตรเจ็บใจเลยนะพี่ ผมโคตรรู้สึกแย่มากกับการที่ผมไม่รู้อะไรเลย ไม่แม้แต่จะฉุกคิดจริงจัง” ท็อปบอก น้ำตาไหลออกมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่
“พี่ก็ตั้งใจว่าจะไม่มายุ่งกับพวกมึงแล้ว แต่ก็อดไมได้ ต้องคอยถามอาการแบงค์อยู่ตลอด หลังๆมานี่ เหมือนแบงค์มีความเสี่ยงเรื่องเส้นเลือดในสมองแตกอีกด้วย เพราะบ้านนี้เขามีประวัติเรื่องฮีโมฟีเลียอยู่ ทุกวันอาทิตย์แบงค์มันไปเช็คร่างกายตลอดเลยนะ เพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด เพราะตอนนี้อาการมันเพิ่งเห็นได้ชัดกว่าแต่ก่อน” พี่กายบอกข้อมูล
“ถ้าวันนั้นปลาคาร์พไม่ต่อยน้องจนเลือดออก แบงค์ก็คงไม่มีอาการนี้ใช่ไหมครับพี่? เหมือนมันไปกระตุ้นโรคนี้หรือเปล่า?” ท็อปถาม พยายามโยงเรื่องทั้งหมดให้มาเป็นความผิดของตนเองให้ได้ “ผมเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด”
“ไม่ใช่หรอกท็อป แบงค์เขาเป็นโรคนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ได้แสดงอาการมากนักเท่านั้นเอง เขามีประวัติเข้ารับการรักษาเพราะเลือดไหลไม่หยุดอยู่ด้วยนะตั้งแต่เด็ก แค่ตอนนี้น้องโตแล้วและอาการของโรคมันพัฒนาขึ้นจนเห็นได้ชัดมากขึ้นแค่นั้นแหละ” พี่กายบอกอย่างเศร้าใจ
“แล้วแบบนี้ แบงค์จะตายไหมครับพี่ ถ้าแบงค์ตาย ผมคงไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิตแน่ๆ” ท็อปร้องไห้ออกมา
พี่กายได้แต่นิ่งเงียบ ไม่สามารถหาคำไหนมาปลอบใจตัวเองและท็อปได้อีก
“พี่ไม่รู้ว่ะ พี่ตอบอะไรไม่ได้เลย ตอนนี้ หมอบอกว่าเลือดน้องยังคั่งอยู่แล้วก็มีทีท่าว่าจะหยุดไหลยาก ถ้าเกิดผ่านไปอีกอาทิตย์แล้วยังไม่ดีขึ้น พี่ว่าแบงค์อาจจะ.....” พี่กายพูดไม่จบประโยค เสียงสั่นเครือ
“ผมจะทำยังไงดี ผมจะช่วยน้องได้ยังไง ให้ผมตายแทนน้องได้ไหม ผมจะอยู่ยังไงต่อล่ะ พี่กาย ผม.....ผม.....” ท็อปสะอึกสะอื้น ร้องไห้ออกมาไม่หยุด กายลากน้องเข้ามากอดได้แต่ตบหลัง
“น้องต้องหาย เชื่อพี่ น้องต้องหาย” พี่กายพูดสั้นๆ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผ่านไปหลายสัปดาห์จนปีใหม่ได้มาถึง บรรยากาศรอบๆตัวในเมืองนั้นต่างก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีในการเตรียมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ แต่สำหรับท็อปนั้น ไม่มีอะไรจะน่ายินดีไปกว่าการที่ได้เห็นแบงค์ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อทักทายเขาอย่างเช่นทุกวัน ยิ่งท็อปมองหน้าแบงค์ที่หลับไม่รู้เรื่องก็ยิ่งรู้สึกจุกอยู่ในอกและลำคอ ถ้าเพียงเขาอยู่ด้วยในวันนั้น ป่านนี้พวกเขาก็คงจะหัวเราะมีความสุขและเตรียมตัวรับเทศกาลแห่งความสุขพร้อมๆกับคนอื่นๆเหมือนกัน
“แบงค์” ท็อปพูด “แบงค์จำได้ไหม? ว่าเราเจอกันครั้งแรกทีไหน” เขาพึมพำ แม้จะไม่หวังว่าผู้ฟังจะได้ยินเขาก็ตาม “เราเจอกันครั้งแรกที่โรงอาหาร ตอนปฐมนิเทศน์ แต่ตอนนั้นจะเรียกว่าเรารู้จักกันก็คงไม่ถูก เพราะจริงๆแล้ว เรามาเจอกันจริงๆ ตอนลูกบาสนำโชคนั่นต่างหาก” ท็อปพูดพลางหัวเราะ น้ำตาค่อยๆไหลลงมา “ถ้าไม่มีลูกบาสลูกนั้นลอยมา เราก็คงไม่ได้เจอกันจริงๆ มันคงเป็นโชคชะตาที่นำเรามาเจอกัน” ท็อปเริ่มสะอื้น “แล้วทำไม โชคชะตาถึงต้องพาให้เราเจอกอะไรแบบนี้ด้วยนะ....”
ท็อปเริ่มสังเกตเห็นแบงค์เริ่มขยับมือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือก เปลือกตาเริ่มขยับ
เขาตกใจระคนดีใจ จ้องมองปฏิกิริยาร่างกายของแบงค์ตาไม่กะพริบ “แบงค์” เขาตะโกน “แบงค์รู้สึกตัวแล้วเหรอ?” แบงค์ค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ มองเกลือกตาไปมารอบๆอย่างตาลอยๆ ท็อปเห็นอาการดังนั้นจึงรีบกดปุ่มเรียกพยาบาลให้เข้ามาดูอาการ ไม่เกินห้านาที เมื่อหมอและพยาบาลต่างกรูกันเข้ามาในห้อง ท็อปจึงขอให้รออยู่ด้านนอกของห้อง เพื่อให้หมอได้เช็คอาการของคนไข้อย่างละเอียด เขาได้แต่กระวนกระวายใจ จึงรีบโทรไปแจ้งแม่ของแบงค์เพื่อให้รีบกลับมา เพราะตอนนี้แบงค์มีอาการตอบสนองและลืมตาได้แล้ว
เมื่อแม่ของแบงค์มาถึงก็พอดีกับที่หมอตรวจอาการของแบงค์เสร็จ จึงเชิญทั้งแม่และท็อปเข้ามาฟังผลตรวจเพิ่มเติม
“ยินดีด้วยนะครับ ตอนนี้น้องมีการตอบสนองที่ค่อนข้างดีมาก ยังดีที่ส่วนที่กระโหลกร้าวนั้น ไม่ได้ทำลายสมองไปด้วย ตอนนี้เท่าที่คุยกับน้องเมื่อกี้ น้องก็สามารถพูดโต้ตอบได้ แต่ยังแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะร่างกายยังไม่ฟื้นเต็มที่ อาการเลือดไหลไม่หยุดคงที่แล้ว ปาฏิหาริย์เหมือนกันนะครับที่เจ้าตัวมีอาการที่ดีขึ้นหลังจากรักษามาร่วมเดือน”
ท็อปกับแม่ได้ยินดังนี้ก็ดีใจจนแทบจะกระโดดร้องไชโยลั่นโรงพยาบาล
“แต่ข้อเสียนิดนึง ตรงที่ว่า ความจำของน้องจะขาดๆหายๆไปเป็นบางช่วง เหมือนตอนนี้ น้องยังเข้าใจว่าตัวเองเพิ่งย้ายลงมาจากเชียงใหม่ เท่าที่คุยกับคุณแม่เมื่อหลายวันก่อนว่า คุณแม่พาน้องย้ายมาจากเชียงใหม่เมื่อต้นปี ตอนนี้น้องเข้าใจว่า เขากำลังรอเรียนเทอมใหม่ที่กรุงเทพอยู่ เหมือนว่า ความทรงจำที่เกิดขึ้นตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ หายไปเฉยๆ ดื้อๆเลย”
แม่ฟังดังนั้นก็รู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไรนัก ถ้าความทรงจำบางอย่างหายไปในระยะเวลาสั้นๆแบบนี้ ก็น่าจะเริ่มใหม่ได้ไม่ยาก “โอ้ คุณพระช่วยแท้ๆเลย ยังดีที่ลูกชั้นไม่ได้สมองเสื่อมไปเลย นี่แค่จำเรื่องหลังลงมาจากเชียงใหม่ไม่ได้ คุณพระคุณเจ้ายังเมตตา” แม่แบงค์พูด น้ำตารื้น แต่สำหรับท็อปนั้น เขามองหน้าหมออย่างตกใจ
“ยังไงเดี๋ยวต้องลองให้คุณแม่ช่วยคุยกับคนไข้นิดนึง เพื่อเช็คอาการนะครับ” คุณหมอพูดก่อนที่จะนำแม่ไปยังเตียงคนไข้ ที่แบงค์ยังลืมตาปรือๆ มองมา
“แม่...” แบงค์พูด “แบงค์ปวดหัวจังเลย ทำไมแบงค์มานอนที่โรงพยาบาลล่ะแม่?” แบงค์ถามช้า ๆ
“อ๋อ อุบัติเหตุน่ะลูก นอนพักสบายๆไปก่อน เดี๋ยวถ้าหายแล้ว ก็ได้กลับไปนอนอยู่บ้านเราแล้ว” แม่พูด น้ำตาไหลด้วยความยินดี เธอเขยิบไปนั่งข้างเตียง มองไปที่คุณหมออย่างปลื้มใจที่ลูกชายจำตัวเองได้”
สิ่งที่ท็อปกลัวที่สุดกำลังจะมาถึง แม่เรียกท็อปให้เดินมาข้างเตียงอีกฝั่ง ท็อปจ้องมองแบงค์อย่างหวั่นๆ “แบงค์ จำพี่คนนี้ได้ไหม? พี่เขามารับแบงค์ไปเที่ยวเล่นวันเสาร์บ่อยๆไง แถมมานอนค้างที่บ้านเราก็หลายหนนะ”
แบงค์หันหน้ามามองท็อปอย่างพินิจพิเคราะห์ ตั้งแต่หัวจรดเท้า อยู่พักนึง ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่อะครับ เราเพิ่งลงมาจากเหนือไม่ใช่เหรอแม่ ทำไมถึงมีรุ่นพี่มารู้จักไวจัง”
“แน่ใจนะว่าลูกจำไม่ได้จริงๆ” แม่ถาม ดึงตัวท็อปเข้ามาใกล้แบงค์ให้เขาเห็นชัดๆ
นี่นับเป็นครั้งแรกที่ท็อปได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของแบงค์นับตั้งแต่วันที่แบงค์นอนป่วย แววตาที่ปรากฏให้เห็นนั้นไร้วี่แววของความรัก ความถวิลหา ความรู้สึกเดิมที่แบงค์เคยเป็น มันคือแววตาหวาดกลัวเหมือนครั้งแรกที่เขาทั้งสองได้พบเจอกัน เขากลั้นใจมองหน้าแบงค์อย่างจริงจัง แต่ก็กลัวคำตอบที่แบงค์จะพูดออกมาเหลือเกิน
“ขอโทษนะครับพี่...ผมจำพี่ไม่ได้จริงๆ” แบงค์บอกเสียงสั่น
แม่ส่งสายตาเสียใจมาให้ท็อปที่กำลังยืนเม้มปากกลั้นน้ำตาอยู่ คุณหมอและพยาบาล ต่างจดบันทึกเหตุการณ์และสภาพของคนไข้ที่ดีขึ้น เมื่อเห็นว่าแบงค์จำเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนไม่ได้ คุณหมอจึงบอกให้คนไข้พักผ่อน และให้ญาติออกมาจากห้อง
ท็อปแอบเดินออกมานั่งร้องไห้ลำพังที่ระเบียงโถงทางเดินมืดๆที่ไม่มีใครเห็น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ความทรงจำดีๆที่มีขึ้นมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้นั้นกลายเป็นเพียงความฝันและอากาศธาตุไปหมดเสียแล้ว ทุกครั้งที่เขารู้สึกว่าเริ่มรักใครสักคนจริงๆจังๆ ทุกคนก็มักจะจากเขาไปแบบนี้เสมอไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง ที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมา เขาปล่อยโฮออกมาอย่างคุมตัวเองไม่ได้ ต่อจากนี้ไป ... คำว่า
"เรา" คงไม่มีสำหรับ เขาและแบงค์อีกต่อไป เพราะความทรงจำเหล่านั้นไม่มีเหลืออีกแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------
จบบทที่ 31 ครับ ...
ตอนต่อไปขอมาวันศุกร์ครับ
มาเม้นกันมั่งนะครับ อิอิ