บทที่ 30
จุดตัดของโชคชะตาปลาคาร์พโทรศัพท์ไปหาอาจารย์สายัณห์ทันทีที่ท็อปบอกว่าท้องเสีย เขาต้องการเช็คให้แน่ใจว่าสิ่งที่เพื่อนบอกนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพราะถ้าท็อปโกหกนั่นหมายความว่า ท็อปไม่อยากมากับเขาและอาจจะไปกับแบงค์ก็เป็นได้ตามที่เขาสงสัยเอาไว้
“อาจารย์สายัณห์ครับ ? ท็อปอยู่บ้านไหม?” เขาถามเกริ่นเมื่อปลายสายรับ
“
ท็อปขับมอเตอร์ไซค์ออกไปแต่เช้าแล้วนี่ เห็นว่าจะไปเที่ยวกาญจน์กับที่ห้องไม่ใช่เหรอ?” อาจารย์สายัณห์ตอบ
“อ๋อ....มันออกมาแล้วใช่ไหมครับ งั้นก็เดี๋ยวก็คงมาถึง” ปลาคาร์พรีบตัดบท เพราะไม่อยากให้พ่อของเพื่อนรับรู้ว่าตอนนี้ท็อปได้เปลี่ยนเป้าหมายการเดินทางไปเรียบร้อยแล้ว
“ฝากดูแลมันด้วยนะ ถ้าถึงแล้วก็ให้มันโทรหาครูด้วย” อาจารย์กำชับ ปลาคาร์พจึงรับปากแล้วรีบตัดสายไป
เขามองออกไปนอกหน้าต่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเสียใจเอาไว้ข้างใน สักพักหวานเดินเข้ามาขอนั่งที่ว่างข้างๆเขา เธอจ้องมองดูหน้าของคาร์พพลางถอนหายใจ
“ท็อปไม่มาเหรอ” หวานถามสั้นๆ
ปลาคาร์พพยักหน้า ไม่ตอบอะไรเพิ่มเติม
“สรุปแล้ว ก็กลายเป็นว่าท็อปเหมือนจะโกรธเราไปเลย แย่เลย” หวานบอก “ตอนนี้แค่เห็นเราอยู่ในรัศมีสายตา ท็อปก็เดินหนีเราไปเลย แถมยังหลบหน้าอีก รู้สึกแย่กว่าตอนที่เขาปฏิเสธเราอีก”
“ขอโทษนะหวานที่ดึงเธอมาเอี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วย” ปลาคาร์พบอก “เราไม่ดีเองแหละ กลายเป็นเรื่องเสียไปหมด”
“ไม่หรอก เราก็ผิดเองด้วย ตอนนี้พี่กายไม่ยอมคุยกับเรา เหมือนยังโกรธที่พวกเราไปแกล้งสองคนนั้นแบบนั้นจนเป็นเรื่องใหญ่โต” หวานบอก “ถึงยังไงก็เหอะ เราปลงแล้วล่ะ ท็อปคงไม่อยากมาคบเราหรอก ปล่อยให้ทั้งสองคนเขาอยู่กันตามลำพังนั่นแหละดีแล้ว เราก็ขอแอบรักอยู่แบบนี้ก็แล้วกัน”
ปลาคาร์พหันหน้ามามอง “คิดจะยอมแพ้แล้วเหรอ?”
“ไม่ถึงกับยอมแพ้หรอก คาร์พ เราแค่ดูความน่าจะเป็น ถ้าขืนฝืนไปมากกว่านี้ เราว่าเราเองก็จะเจ็บ ท็อปก็เจ็บ เด็กคนนั้นก็เจ็บ เราไม่อยากให้มันเสียหายไปมากกว่านี้แล้ว” หวานบอกเสียงเศร้าๆ
“มันหนีไปเที่ยวกับเด็กนั่นแล้วล่ะวันนี้ อุตส่าห์ตกลงกันซะดิบดีว่าจะมาเที่ยวกับพวกเราแท้ๆเลย” คาร์พบ่น
“เราเข้าใจท็อปนะตอนนี้ ถึงมันจะเข้าใจยาก แต่เขาคงรักแบงค์จริงๆนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ทำถึงขนาดนี้ เราก็รอวันเขาเลิกรักกัน ถ้ายังมีโอกาสเราคงจะขอคบกับท็อปอีก” หวานบอก
ปลาคาร์พได้แต่เก็บความอัดอั้นใจนี้ไว้ ไม่พูดอะไรออกมาอีก
===================================================เมื่อปิดเทอมได้สิ้นสุดลงก็ถึงเวลาที่เทอมใหม่ได้เริ่มต้นอีกครั้ง ปิดเทอมระยะสั้นๆนี้ ท็อปไปมาหาสู่ที่บ้านแบงค์ตลอดเพื่อมาใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ส่วนแบงค์ก็เริ่มสังเกตเห็นอาการฮีโมฟีเลียของตนเองที่มีรอยช้ำหลายจุดมากขึ้น และทุกวันอาทิตย์เขากับแม่ต้องแอบพี่ท็อปไปหาหมอเพื่อตรวจดูอาการและความคืบหน้าว่าอาการของแบงค์จะรุนแรงได้มากกว่านี้อีกไหมแต่เมื่อหมอตรวจ ก็เห็นแนวโน้มที่อาการของแบงค์จะแย่ลงเรื่อยๆ นับว่าเป็นปิดเทอมที่จะสุขก็ไม่สุข จะทุกข์ก็ไม่เชิงของแบงค์ และเขายังคงคิดไม่ตกกับอาการที่หนักลงของตนเองทุกวัน
แต่ที่แน่ๆท็อปยังคงไม่รู้อาการของแบงค์เหมือนเดิมแม้จะสงสัยกับรอยจ้ำที่เห็นบริเวณแขนและขาของแบงค์มากขึ้น ไหนจะอาการเลือดกำเดาไหลออกมาเป็นระยะๆ แต่แบงค์ยังคงแสดงสีหน้าปกติและคอยบอกเขาเสมอๆว่าทุกอย่างเป็นเพราะอากาศที่เปลี่ยนไปเท่านั้น
อากาศหนาวและบรรยากาศของปีใหม่เริ่มอวลเข้ามา ในช่วงต้นเดือนธันวาคมปีนี้อากาศแห้งมาไวและนักเรียนทุกคนเริ่มหยิบเสื้อกันหนาวออกมาสวม ทำให้โรงเรียนเต็มไปด้วยสีสันต่าง ๆ ปีนี้ตามพยากรณ์อากาศระบุว่า อากาศจะเย็นลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง เหล่านักเรียนต่างตื่นเต้นและครึกครื้น เนื่องจากบรรยากาศปีใหม่กำลังจะเข้ามาใกล้และเทศกาลของขวัญก็กำลังจะมาถึง
วันนี้เป็นวันเสาร์ ท็อปกับแบงค์และเพื่อนๆ ต่างก็นัดกันไปเดินเที่ยวหาของขวัญปีใหม่ที่พวกเขาต้องนำมาจับสลากในกิจกรรมปีใหม่ที่จัดกันที่โรงเรียน บรรยากาศางร้านต่างประดับประดาด้วยซุ้มต้นคริสต์มาสและเสียงเพลงคริสต์มาสสลับกับปีใหม่ ปลาคาร์พก็ติดสอยห้อยตามท็อปมาด้วย เพราะว่าเมื่อวานหลังเลิกเรียนท็อปบอกว่าถ้าเดินซื้อของเสร็จเร็วจะชวนปลาคาร์พไปตีแบดเล่นด้วยกัน เขาจึงพกไม้แบดติดตัวมาด้วยพร้อมกับมาเดินหาซื้อของด้วยกัน
“วันนี้ตั้งใจจะซื้ออะไรกัน?” เกมส์ถาม “เขาตั้งงบให้เราหาของมาจับเท่าไรนะ?”
“ 300 บาท ไง แก ทำเป็นลืม” เกดพูด วันนี้เธอปล่อยผมยาวที่มัดไว้ตลอดให้เห็นผมสีดำเงาสลวยติดโบว์สีฟ้าที่ปลายผมทั้งสองข้าง “อย่าบอกนะว่าเอาเงินมาไม่พอ”
“โห่ ระดับเสี่ยเกมส์ แค่ 300 มันน้อยไปว่ะ พวก” เกมส์โอ่ เพื่อนๆต่างก็พากันหัวเราะ
“พี่ท็อปกับพี่คาร์พจะซื้ออะไรกันเหรอคะ?” เปิ้ลถาม หันไปมองทั้งท็อปและคาร์พที่เดินอยู่ข้าง ๆ ด้วย
“อ่า...ไม่รู้เหมือนกัน ต้องลองไปดูพวกโซนของขวัญ เผื่อจะได้ไอเดีย จะได้เห็นราคาด้วย” ปลาคาร์พบอก
“โซนของขวัญอยู่ที่ชั้น 5 เดี๋ยวขึ้นลิฟท์ตรงใกล้ๆนี้ไปดีกว่า” ท็อปพูดเสนอความคิด ก่อนที่จะดึงตัวแบงค์เดินตามไปด้วย
“แหม...คู่นี้ เห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัดเลย” เปิ้ลพึมพำ
“แน่ะ อย่ามาอิจฉาเค้าดิ” เกมส์ แซว “ถ้าไม่รังเกียจให้ยืมควงวันนึง” เกมส์พูด ก่อนจะยื่นแขนไปให้
“ยี้” เปิ้ลเบ้หน้าใส่แบบขยะแขยง ก่อนจะวิ่งไปเกาะแขนเกดที่เดินตามแบงค์ไป
เมื่อไปถึงบริเวณโซนชั้น 5 ซึ่งป็นชั้นที่มีทั้งตุ๊กตา ของขวัญ ของชำร่วย ต่างๆวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ทุกคนต่างแยกย้ายดูของที่ตัวเองคิดว่าสนใจ พร้อมกับดูราคาของสินค้าให้พอดีกับงบประมาณที่ตั้งไว้
“ดูซิ ตุ๊กตาหมีตัวนี้ ฉันอยากได้อะ” เปิ้ลพูด อุ้มตุ๊กตาหมีสีขาวขนาดเท่าเอวขึ้นมา
“อิเปิ้ล เขาให้มาหาของซื้อไปจับฉลากไม่ได้มาซื้อให้ตัวเอง เข้าใจอะไรผิดปะเนี่ย” เกดว่า ก่อนจะหยิบหมีออกจากอกเพื่อนไปวางไว้ที่เดิม
“โห่ แก... เผื่อว่า ถ้ามีคนเอาของพวกนี้มาจับแล้วชั้นได้มาก็คงดีอะ” เปิ้ลพูด
“แหม...งบแค่ 300 ดูราคาไอ้หมีตัวนี้ดิ 999 บาท คงมีคนใจป้ำซื้อไปจับหรอกน่า” เกมส์เสริม
“ใครจะไปรู้ อาจจะมีคนใจป้ำก็ได้เหอะ” เปิ้ลพูด
แบงค์เองก็กำลังเดินๆ เลือกดูของ อยู่กับเพื่อน ๆส่วนพี่ท็อป กับพี่คาร์พก็เดินไปอีกโซนที่เป็นของขวัญที่ดูผู้ใหญ่ๆหน่อย อย่างปากกาหมึกซึมอย่างดี หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องเขียนราคาสูง
“แบงค์ แกจะเอาอะไร?” เกดถาม เมื่อเห็นแบงค์จดๆจ้องๆที่กล่องดนตรี
“อืม....เราว่าเราอยากได้กล่องดนตรีนี้แหละ ราคา 250 บาทด้วยอะ ไม่แพง” แบงค์หยิบขึ้นมาดู เป็นกล่องดนตรีรูปเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจับมือกัน ยืนอยู่หน้าสวนดอกไม้ เขาบิดเป็นวงกลมเบาๆ จนมีเสียงดนตรีดังออกมา
“เพลงอะไรอะ?” เกมส์ถาม เมื่อเดินเข้ามาฟัง
“คงเป็นเพลงคลาสสิคมั้ง” แบงค์บอก “เราเลือกละ เอาอันนี้แหละง่ายดี”
เมื่อทุกคนเห็นแบงค์เลือกของที่อยากได้แล้ว ต่างก็รีบหาของๆตัวเองกันอย่างชุลมุน แบงค์จึงค่อยๆ เดินไปที่มุมชำระสินค้าและบอกพนักงานให้ห่อเป็นกล่องของขวัญเลย
พี่ท็อปกับพี่คาร์พก็พอดี เดินเข้ามาจ่ายเงินเหมือนกัน พี่ท็อปเลือกปากกาคอแร้งยี่ห้อดี แต่ราคาไม่แพงมากใส่กล่องสวยๆ ส่วนพี่คาร์พเลือกเป็น สมุดโน้ตบุหนังเล่มใหญ่ ที่ดูราคาแพงมาด้วย
“โห พี่ๆ เอาแต่ของแพงๆมาจับกันทั้งนั้นเลยอะ” แบงค์อุทาน เมื่อเห็นของที่รุ่นพี่ถือมา
“ห้องพี่เขาตกลงกันว่า ทุกคนต้องเอาของที่ดีที่สุด ราคาไม่เกินพันอะดิ” ท็อปบอก “ดูกระเป๋าตังพี่ดิ แฟ่บเลย เดี๋ยวแบงค์ต้องเลี้ยงข้าวพี่กับพี่คาร์พแล้วแหละ”
“อ้าว...น้องเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ พี่ท็อปไม่ต้องมาหาเรื่องเลย นี่ก็หมดตังแล้ว” แบงค์บอก เมื่อของทั้งสามคนถูกห่อเรียบร้อยแล้ว เพื่อนที่เหลือจึงทยอยกันมาชำระเงินหลังจากที่ทั้งสามเสร็จเรียบร้อย
“เฮ้ย พวกแกจะกินข้าวกันปะ นี่ก็ บ่าย 3 แล้ว หรือจะแยกย้ายกันกลับเลย” เกดถามขึ้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
“เออ เราว่าเราจะกลับเลย แม่นัดกินข้าวไว้อะ” เปิ้ลบอก
“งั้นถ้าไม่อยู่กันหมดก็กลับดีกว่า” แบงค์บอก หันหน้าไปมองทุกคนเพื่อขอความเห็น “พี่คาร์พว่าไงครับ?”
“อืม เมื่อวานพี่คุยกับไอ้ท็อปไว้” คาร์พหันหน้าไปถามท็อป “มึงสัญญากับกูว่าจะไปเล่นด้วยกันอยู่ ออกกำลังกายซะบ้าง เส้นยึดหมดแล้ว” พี่คาร์พหันไปหาพี่ท็อป
พี่ท็อปมองหน้าแบงค์แว่บหนึ่ง ก่อนที่จะหันหน้าไปบอกคำตอบ “วันนี้ว่าจะไม่เล่นว่ะ อากาศหนาว มึงชวนไอ้โจ้ไปก็ได้ บ้านมันอยู่อยู่ใกล้ๆคอร์ดแบทตรงสนามกีฬานี่”
พี่คาร์พมองหน้าพี่ท็อปนิ่งๆเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ก่อนที่จะพยักหน้า “อืมๆ งั้นเดี๋ยวกูแยกกลับตรงนี้ก็ได้ถ้ามึงไม่อยากไป”
“ไม่ได้ไม่อยากไปนะ แต่ว่ามันไม่มีอารมณ์เล่นอะดิ” ท็อปตอบ “งั้นแยกกันตรงนี้เลยก็ได้ มึงจะได้รีบไปดูสนาม” เขาโบกมือให้ จากนั้นพี่คาร์พเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จากนั้นจึงได้แยกตัวไป พร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ เหลือแค่เพียง ท็อปกับแบงค์สองคน
“เอ้า เอาไงล่ะทีนี้ เหลือเราสองคน” ท็อปถาม ก่อนจะจับมือแบงค์
“หิวไหมล่ะพี่? จะไปกินอะไรไหม หรือว่าเราจะตรงกลับบ้านกันเลยดี” แบงค์เสนอความคิด
“ยังไงๆ วันนี้ก็ว่างกันอยู่แล้ว เราไปนั่งเรือเล่นเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วหาอะไรเที่ยวดูไปเรื่อยๆดีไหม?” ท็อปถาม
“บ่าย 3 แล้วนะ ถ้าไปกว่าจะกลับก็คงเย็นมากอะ” แบงค์บอก เขาเองก็ไม่อยากจะกลับเย็นมากนัก
“น่า...ไปด้วยกัน นานๆทีเราจะได้ไปเที่ยวกันสองคน” ท็อปบอก
แบงค์ก็พยักหน้าแบบเสียไม่ได้ ใจนึงก็อยากอยู่ด้วยกันนานๆ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากจะกลับบ้านเย็นนัก ยิ่งอากาศในหน้าหนาวนี้ ทำให้ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ
ท็อปพาแบงค์นั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีสะพานตากสินก่อนที่จะนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาที่จอดรอผู้โดยสารอยู่พอดี
“แบงค์ไม่เคยได้นั่งเรือมาเที่ยวแถบนี้เลย พี่ท็อป เปิดหูเปิดตามากๆ” เขาพูด ที่นั่งบนเรือนั้นเต็มไปหมดแล้วเหลือเพียงที่ยืนที่พอให้ทั้งสองคนยืนประคองกันได้ ท็อปโอบน้องเอาไว้ เพื่อไม่ให้น้องตัวน้องโคลงเคลงไปกับแรงโยกของเรือ
“ก็บอกแล้ว ว่าจะพามาเที่ยว นานๆทีได้เที่ยวกันสองคน” ท็อปบอกเขินๆ
“แบงค์ว่าไปกันเยอะๆ มันก็สนุกดีนะ พี่ท็อป อยู่กันแค่สองคนเหงาออก” แบงค์พูด หันหน้ามามองรุ่นพี่ที่กำลังหายใจรดหัวของเขาอยู่
ท็อปเอามือขยี้หัวแบงค์ “อยู่กับพี่นี่ยังจะเหงาอีกเหรอ? เลิกเหงาได้แล้ว”
“มันไม่ได้เหงาแบบนั้น ก็อยู่กับพี่ท็อปมันคนละอารมณ์กัน” แบงค์รีบบอก
“แต่พี่ไม่เคยเหงาเลยนะ ดีใจเสียอีกที่ได้มาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ ได้ไปไหนกันเองมั่ง มีความสุขออก” ท็อปตอบยิ้มๆ “ยืนดีๆนะ ระวังล้ม”
ทั้งสองคนแวะลงแถวท่าช้างซึ่งมีทั้งลานตลาดนัดที่จะแวะนั่งกินอะไรอร่อยๆ จากนั้นจึงนั่งเรือข้ามฟากมาฝั่งพรานนก มาเดินดูของทั่วไปแถววังหลัง ที่ยังพอมีให้เดินดูเล่นได้อย่างเพลิน ๆ แม้ว่าตอนบ่ายนี้จะไม่ค่อยมีอะไรให้ดูมากเท่าไรนัก เพราะตลาดเริ่มวายแล้ว แต่ผู้คนก็ยังเดินกันหนาตา
“พี่ท็อปกินไอติมกันไหม?” แบงค์ถามเมื่อไปถึงร้านสเวนเซนส์ที่ติดกับท่าเรือวังหลัง
“เอาดิ หมาน้อยอยากกินเดี่ยวลิงเลี้ยงให้เอง” ท็อปบอก
“จริงอะ?” แบงค์ย้อนถาม
ท็อปพยักหน้าแล้วคว้ามือแบงค์เดินจับมือกันเข้าไปสั่งไอศกรีมในร้านจากนั้นจึงไปนั่งรอ
“พี่ท็อป” แบงค์เรียก เมื่อเห็นพี่ท็อปพลิกเมนูไปมาแม้ว่าจะสั่งไอศกรีมไปเรียบร้อยแล้ว “สักวันนึงพี่ท็อปจะเลิกรักแบงค์ไหม?”
“ถามอะไรแบบนี้อีกละ หมู่นี้เป็นอะไรเนี่ย ถามบ่อยจังเลย ไม่เชื่อใจพี่เหรอ” ท็อปบอก ขมวดคิ้วอย่างสงสัยมาให้
“เปล่า ๆ” แบงค์รีบปฏิเสธ “ไม่รู้สิ แบงค์แค่คิดว่า สักวันเราสองคนก็จะต้องโตขึ้นจริงไหม? ป่านนั้น เราสองคนจะยังรักกันอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่ท็อปอาจจะต้องแต่งงาน มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีลูก ถ้าทุกอย่างเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดีเนอะ”
“อย่าคิดไกลขนาดนั้น เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว มาพูดเรื่องพี่ไปมีครอบครัว มีลูกเนี่ยนะ ตลกแล้ว พี่ก็บอกอยู่พี่จะมีแบงค์คนเดียว ถ้ามีลูกได้ ก็เดี๋ยวเราไปรับมาเลี้ยงก็ได้นี่ ถ้าแบงค์อยากมี” พี่ท็อปบอก
“เราสองคนยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้จริงๆนั่นแหละ” แบงค์พึมพำเบาๆ “แบงค์รู้ว่ามันจะต้องเกิด แค่ช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง” เขามองออกไปนอกหน้าต่างร้าน เอามือท้าวคางให้เห็นรอยจ้ำเขียวปื้นใหญ่ที่อยู่ขนแขน
“แบงค์ แขนเป็นอะไรอีกแล้วเนี่ย เขียวเลย นี่มันออกม่วงเข้มละนะ เป็นอะไรหรือเปล่าหลังๆมันเขียวบ่อยไปไหม?” ท็อปสังเกตจนต้องพูดออกมา
แบงค์รีบเอามือวางไว้ใต้โต๊ะ “อย่าไปสนใจเลยพี่ แบงค์เวลาเขียวแล้วจะหายช้าแบบนี้แหละ เป็นมานานแล้ว” เขาตอบตีสีหน้าเป็นปกติ “ถ้าวันนึงแบงค์ไม่อยู่หรือต้องห่างกับพี่ท็อปไป สัญญานะ ว่าจะไม่ลืมกัน”
“อะไรของแบงค์อีกเนี่ย คำก็บอกเดี๋ยวพี่จะแต่งงาน คำก็บอกเดี๋ยวจะไม่เจอกัน เป็นอะไรเนี่ย หมอดูเหรอไง สนใจแค่ปัจจุบันก็พอแล้วไอ้หมาน้อย อนาคตจะยังไงก็ช่าง วันนี้ ตอนนี้ พี่รักแบงค์ แล้วพรุ่งนี้พี่ก็จะรักแบงค์ โอเคไหม ? บรรยากาศดีๆจะเสียหมดนะแบงค์นะ” ท็อปบอกเสียงแข็ง
แบงค์หัวเราะออกมาเบาๆ “จำคำของพี่ให้ดีก็แล้วกัน พี่ท็อป...วันที่แบงค์ไม่อยู่แล้ว พี่จะได้รู้ว่าพี่จะลืมแบงค์ไหม”
“แค่ไม่เจอกันสองสามชั่วโมงพี่ก็แทบคลั่งแล้ว ถ้าต้องแยกจากกันจริงๆ พี่ขอเป็นคนจากไปเองดีกว่า” ท็อปบอก “เข็ดแล้วจากหนที่แล้ว อย่าให้เกิดอีกเลย”
“อ้าว แล้วแบงค์ล่ะ ถ้าพี่ท็อปทิ้งแบงค์แล้วแบงค์จะอยู่ยังไงล่ะ” แบงค์โวยวายขึ้นมาแทน
“น่ะ ทีนี้มาพูด เมื่อกี้ก็ถามอยู่ได้ พอพี่พูดมั่งก็มาโวยวายซะงั้น... เอ้า ไอติมมาแล้ว พอ พอ ไม่ต้องคิดมากแล้ว ได้เวลากิน ให้ป้อนไหม?” ท็อปบอก รีบตัดบทเมื่อเห็นไอศกรีมมาเสริ์ฟ
“ไม่เอา คนเยอะแยะ กินใครกินมันดีกว่า” แบงค์พูด แล้วเด็ดลูกเชอร์รี่เข้าปาก
อากาศค่อยๆเย็นลงเรื่อยๆเมื่อเวลาคล้อยมาร่วมหกโมงเย็น ทั้งสองคนนั่งเรือย้อนมาแถวสะพานพุทธ ยืนพิงรั้วริมแม่น้ำ พลางมองคนเดินสัญจรผ่านไปมา ทั้งเรือเอยและแสงไฟที่เริ่มเปิดให้เห็นเป็นแสงสีส้มชวนสบายตา อากาศเย็นๆแสงผากผ้าอ้อมบนขอบฟ้าทำให้ทุกอย่างดูผ่อนคลายและไม่รีบร้อน
“เราคบกันมาจะเกือบปีละเนอะ” แบงค์พูดขึ้น หันหน้าไปมองพี่ท็อป “เวลาผ่านไปไวชะมัดเลย” ทั้งสองคนกำลังยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมสะพาน
“อืม ช่าย ใกล้จะปีนึงแล้วจริงๆ ทุกๆอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนพี่แทบจะจำไม่หมดเลยล่ะ” พี่ท็อปตอบ
“ถ้าวันนั้น เราสองคนไม่ได้เริ่มตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์กัน ป่านนี้เราจะทำอะไรกันอยู่นะ?” แบงค์ถามขึ้นเล่น ๆ
“ก็...ไม่รู้สิ บางทีพี่ก็คงอาจจะเปลี่ยนแฟนไปเรื่อยๆเหมือนเดิม วันๆก็เอาแต่ทะเลาะกับพ่อ แล้วก็เล่นเกมส์ละมั้ง” ท็อปพูด หันหน้ามามองแบงค์
“แต่ถ้าถามแบงค์ล่ะก็ ... แบงค์ก็คงนึกไม่ออก เพราะตั้งแต่มีพี่ท็อปมาอยู่ข้าง ๆ แบงค์ก็คิดไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่มีพี่ท็อป แบงค์จะเดินต่อไปข้างหน้าแบบไหน” แบงค์บอก เขินจนหน้าแดง
“แบงค์” ท็อปเรียก เขาเองก็รู้สึกอึ้งกับสิ่งการที่แบงค์บอกความรู้สึกนี้ออกมา “ถึงแบงค์จะบอกพี่ว่า วันนึงเราอาจจะต้องแยกจากกัน แต่พี่สัญญาว่า เราจะมีกันและกันตลอดไป ถึงแม้อนาคตมันคาดเดายาก พี่ขอสัญญาไว้ตรงนี้วันนี้ ว่าจะอยู่ข้างๆไม่ทิ้งไปไหนแล้ว”
“อืม” แบงค์ยิ้มพยักหน้าตอบ “การจากลาเป็นเรื่องปกติของโลกนะพี่ท็อป มีพบก็ต้องมีจาก มีรักก็ต้องมีเลิก ต่อให้เราสัญญาว่าจะรักกันตลอดไป สักวันไม่เราคนใดคนหนึ่งก็ต้องจากอีกคนหนึ่งไปก่อนอยู่ดี”
“พูดถึงเรื่องจบม.6 หรือเปล่าเนี่ย? จากๆลาๆ” ท็อปถามเริ่มหงุดหงิดที่แบงค์เอาแต่พูดให้เสียบรรรยากาศ
แบงค์แอบปาดน้ำตาออก เขารู้ตัวมาตลอดว่าการพูดถึงการจากลาของเขาหมายถึงอะไร เพียงแต่เขายังบอกพี่ท็อปไม่ได้เท่านั้น
“อือ ถ้าพี่ท็อปจบ ม.6 แล้ว แบงค์ก็อาจจะไม่ได้เจอพี่ท็อปอีกเหมือนเดิม พี่ก็คงยุ่งๆ
“คิดไกลอีกแล้ว ไอ้หมาน้อย” ท็อปบอกลูบหัวน้อง “เดี๋ยวเราค่อยคุยกันก็ได้ว่าจะเรียนม.ไหน พอพี่สอบเข้ามหาลัยได้แล้ว แบงค์ก็สอบตามพี่เข้าไปเรียนด้วยกันสิ ได้อยู่หอเดียวกันได้ด้วยน้า....โดนจัดทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ”
แบงค์ได้แต่หัวเราะร่าไปกับรุ่นพี่ ไม่ได้ตอบอะไรสลักสำคัญนอกจากรอยยิ้มที่มีความสุขของเขาที่มอบให้กับท็อปเป็นคำตอบ
ท็อปล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วค่อยๆจับมือของแบงค์ขึ้นมา พร้อมกับเอากล่องเล็กๆวางใส่บนมือ
“ลองเปิดดูดิ” ท็อปบอก “มีอะไรจะให้”
แบงค์ค่อยๆแกะกล่องน้อยๆออกมาดู ข้างในเป็นจี้สีเงิน รูป แม่กุญแจและลูกกุญแจ โดยที่เป็นจี้แยกกันสองจี้ ส่วนที่เป็นแม่กุญแจเล็กๆนั้น สามารถเปิดออกดูข้างในได้ มีรูปแบงค์และท็อปอยู่กันคนละด้าน ส่วนจี้อีกอันเป็นรูปกุญแจด้านหน้าหลังเป็นรูปของท็อปและแบงคอยู่คนละด้านเช่นกัน
“โห พี่ท็อป สั่งทำเลยเหรอ?” แบงค์อุทานเมื่อเห็นของที่พี่ท็อปให้ “มันสวยมากเลย...แล้วก็ดูท่าจะแพงมากด้วย”
“เรื่องราคาพี่ไม่ยั่น พี่สนที่คุณค่าที่พี่ให้กับใคร...แบงค์เก็บจี้รูปแม่กุญแจไว้ ส่วนพี่จะเก็บรูปลูกกุญแจเอาไว้นะ” ท็อปบอก ค่อยๆ หยิบสร้อยของตนขึ้นมาใส่ให้รุ่นน้อง “
เป็นของหมั้นล่วงหน้า”
แบงค์รู้สึกหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนท็อปหัวเราะออกมา “ไง ดีใจอะดิ.... พี่เป็นคนโรแมนติกไหม?” ท็อปถามขำๆ
“ก็ไม่นะ ก็ยังซาดิสม์เหมือนเดิม” แบงค์ตอบติดตลก
“ขอบคุณที่อยู่ข้างกันเสมอมานะ” พี่ท็อปบอกก่อนจะลากตัวแบงค์เข้าไปกอด
“อายเค้า พี่ท็อป คนเดินไปเดินมาเยอะนะ” แบงค์บอกเขิน ๆ
“หกโมงกว่าแล้ว มันมืดอยู่ อีกอย่างไม่มีใครสนใจหรอกน่า ขอพี่กอดแบงค์นานๆสักพักนึงนะ ยิ่งอากาศเย็น การได้กอดแบงค์มันทำให้พี่อุ่นไปถึงหัวใจเลย” ท็อปพูด
แบงค์จึงไม่ขัดขืน กอดตอบรุ่นพี่ เขาเองอยากให้ช่วงเวลานี้หยุดไปนานๆแสนนาน
“พี่ท็อป....ต่อไปนี้ ถ้าต้องอยู่คนเดียวบ้างก็อย่าเหงานะ” แบงค์บอกเบาๆ แอบอิงไปกับหน้าของพี่ท็อป เขารู้ตัวดีว่าถ้าหากอาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆมากกว่านี้ เขาอาจจะไม่ได้อยู่เที่ยวเล่นกับท็อปแบบนี้อีกแล้ว
“อะไรของแบงค์อีกเนี่ย พูดอะไรแปลกๆเรื่อยเลยนะ มีอะไรปิดพี่หรือเปล่า” ท็อปถาม มองหน้าน้องอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร เผื่อแม่จะพาแบงค์กลับไปหาญาติที่เชียงใหม่ตอนปีใหม่น่ะ เลยบอกไว้ก่อน” แบงค์ปด
“อ๋อ ปีใหม่มันกี่วันกันเชียว...เดี๋ยวก็ได้เจอกันอยู่ดีแหละน่า” ท็อปบอก มองไปบนท้องฟ้า “มืดแล้ว เดี๋ยวเรากลับกันเถอะ แม่แบงค์จะเป็นห่วงเอา” พี่ท็อปบอก แล้วพาน้องกลับมาที่ท่าเรือ
เมื่อถึงเวลาที่ควรจะต้องกลับบ้านเสียที ทั้งสองคนจึงรีบนั่งเรือแล้วย้อนกลับมาที่เส้นทางเดิม
“พี่ท็อป แล้วตอนนี้พี่มีโทรศัพท์ใหม่ใช้หรือยัง?” แบงค์ถาม เพราะทั้งสองคนเดี๋ยวนี้ตอนกลางคืนจะคุยผ่านการแชทในเฟซบุคมากกว่า
“ก็ใช้รุ่นปกติอะ ไม่ใช่สมาร์ทโฟน พ่อพี่ให้ยืมมาแทนเครื่องเดิม” ท็อปบอก ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ธรรมดาๆ เครื่องเล็กๆขึ้นมาให้ดู “เดี๋ยวเดือนหน้าก่อนว่าจะซื้อใหม่แหละ ตอนนี้ใช้แบบนี้ไปก่อน เก็บตังอยู่”
“แล้วเบอร์ จะยังใช้เบอร์เดิมใช่ไหมอะ?” แบงค์ถามอีก
“อือ..ก็ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรมาก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวพี่จะกลับบ้านไปชาร์จก่อนแบตจะหมดแล้วแหละ” ท็อปแนะนำ
“งั้น วันนี้แบงค์เดินกลับบ้านเองก็ได้นะ พี่ท็อปไม่ได้เอารถมอเตอร์ไซค์มานี่นา เดี๋ยวจะกลับดึกเกินไป” แบงค์บอก “แน่ใจนะว่าเดินกลับเองได้อะ พี่ไปส่งดีกว่าไหม?” ท็อปถามย้ำ ใจจริงเขาอยากตามไปส่งแบงค์มากกว่า
“น่า วันนี้อยู่กันนานละ ให้แบงค์กลับเองบ้าง จะได้มีเวลาคิดถึงพี่ท็อปไง” แบงค์บอก
ท็อปยิ้มก่อนจะเอามือยีหัวคนรัก “ก็ได้...คิดถึงให้เยอะๆล่ะ”
แบงค์และท็อปโบกมือลากัน จากนั้นจึงแยกกันกลับ แบงค์เดินกลับบ้านไปยังตรอกเล็กๆตรอกเดิม ที่พาไปสู่บ้านอันแสนอบอุ่น วันนี้แม่บอกว่า แม่จะกลับเร็ว เป็นไปได้ที่แม่อาจจะทำกับข้าวเอาไว้เผื่อเขาด้วย แบงค์เดินเลาะเข้าตรอกไปเรื่อย ๆ พลางเอามือจับจี้รูปแม่กุญแจที่พี่ท็อปสั่งทำให้เขา เป็นของสำคัญอีกหนึ่งชิ้นที่เขาได้รับจากพี่ท็อป
นับตั้งแต่วันที่ทั้งสองคนได้ตกลงกันว่าจะเป็นคนรักกัน ทุกวันของแบงค์ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากเด็กที่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ จากชีวิตที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เมื่อมีพี่ท็อปเข้ามาแต่งแต้มสีสันของชีวิต มีทุกข์ มีสุข แบงค์ก็เข้าใจและรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า นี่คือ ความรัก รักครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกของเขา แต่มันคือ “รักจริงๆ” ที่เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่พี่ท็อปมอบให้และเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขากล้าเรียกได้ว่า รักครั้งนี้นั้น เขาและพี่ท็อปเป็นเจ้าของใจร่วมกัน
ในขณะที่กำลังคิดสระตะเพลินๆ อยู่นั้น ก็มีเงาดำโผล่ขึ้นมาจากมุมตึกด้านหลังของแบงค์ พร้อมกับถือไม้หน้าสามขนาดใหญ่ ในตรอกค่อนข้างมืด จะมีก็เพียงแสงไฟนีออนที่ทิ้งห่างเป็นระยะไกลๆอยู่ให้เห็น เงาดำนั้น ค่อยๆเคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆไม่ทันให้แบงค์รู้ตัว เมื่อถึงระยะประชิด เงาดำนั้นจึงฟาดกระหน่ำไม้หน้าสามลงที่ท้ายทอยของแบงค์อย่างแรง แบงค์ล้มลงกับพื้นทันที เลือดสีแดงไหลออกมาจากบาดแผลเป็นก้อน ๆ จากนั้นเงาดำนั้น จึงถีบแบงค์ที่กำลังฟุบลงกับพื้นให้กระเด็นหลบไปกองอยู่ข้างทาง ก่อนจะฟาดไม้ลงที่หลังและแขนของแบงค์อีกครั้งจนเขากระอัก
ไม่ทันที่แบงค์จะได้ร้องขอความช่วยเหลือ โลกทั้งโลกหมุนติ้ว อากาศที่เขาสามารถหายใจเข้าออกได้นั้น เริ่มขาดเป็นช่วง ๆ เขาเห็นเงาดำนั้นค่อยๆวิ่งหนีไป เขาไม่ทันได้เห็นว่า คนที่เข้ามาทำร้ายเขานั้นเป็นใครและเข้ามาทำร้ายเขาทำไม เพราะไม่มีวี่แววของการชิงทรัพย์อะไรทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่เขาคิดเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมามากมายตรงหน้า....คือเสียงของหมอที่เฝ้าพร่ำบอกกับเขาอยู่ตลอดที่เขาไปหาหมอ
“อย่าให้เป็นแผลใหญ่หรือโดนกระแทกอะไรแรงๆก็พอ เพราะเลือดหนุ่มไหลหยุดช้า”แบงค์พยายามออกแรงสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ในการพยุงตัวขึ้นมา อย่างน้อยก็ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ใกล้ที่สุด เพราะถ้าขืนนอนอยู่ในตรอกนี้ต่อไป เขาคงไม่มีทางรอดเป็นแน่ ยิ่งทั้งตรอกนี้นั้น ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมามากนัก แต่ด้วยเหมือนแขนเขาจะหักเพราะแรงฟาดที่ถูกกระทำมา และเลือดที่ไหลไม่หยุด ทำให้เขาค่อยๆหน้ามืดลง ๆ ยิ่งเขาพยายามดิ้นเท่าไร หัวใจก็ยิ่งสูบฉีดเลือดมากขึ้นๆ จนเขาเริ่มมึนหัว อาการฮีโมฟีเลีย ชนิดเอ กำลังทำงานกับระบบร่างกายแบงค์อย่างหนัก
แบงค์ล้มตัวลงนอนขด ภาพที่เห็นเริ่มพร่าและแตกลาย เขารีบใช้มือข้างที่ยังปกติดีล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา พยายามกดเบอร์พี่ท็อปที่เขายังพอจำได้อยู่แล้วกดโทรออก แต่ทว่า....สติของเขาก็ได้หลุดลอยออกไปก่อนที่ปลายสายจะพูดตอบกลับมาว่า
“หมายเลขที่คุณเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ Sorry the number you’ve dialed is not available in this time.....”
จบบทที่ 30 ครับ ....
สำหรับ ตอนต่อจากนี้ผมขออัพเดทเฉพาะวันศุกร์นะครับ ^ ^
ยังไงก็ขอคอมเมนต์มั่งนะครับ ^^ เป็นกำลังใจให้โผมหน่อยยย