บทที่ 6 จิบชาเหม่อมองฟ้า
น้ำเงิน (กลับมา) talk
ผม เปลว และสมชาย เดินทางมาถึงจุดหมายในเวลาต่อมา พวกเราจ่ายค่าโดยสารด้วยการหารสามอย่างยุติธรมมซึ่งตอนแรกไอ้เปลวก็ทำท่าจะจ่ายคนเดียวอีกตามเคยแต่ผมก็คัดค้านและสั่งให้ทุกคนจ่ายเท่ากัน สมชายผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิดจึงเสียตังค์แบบงงๆ
รายหลังนี่ผมแอบเห็นใจเบาๆ เพราะมันต้องจับพลัดจับผลูมาเป็นคนกลางระหว่างความรู้สึกที่ยังไม่มีการตกลงกันอย่างชัดเจนระหว่างพวกผมแถมยังถูดขูดรีดค่ารถอีก เชื่อว่ามันคงไม่กล้าโดดเรียนไปอีกนาน
โรงเรียนอนุบาลตามตะวัน
ป้ายชื่อโรงเรียนน่ารักมุ้งมิ้งสีฟ้าลายดอกทานตะวันตั้งตระหง่านท้าลมท้าแดดอยู่ด้านหน้ารั้วเตี้ยสีเขียว ด้านในประกอบด้วยบ้านสองชั้นทรงกลมขนาดใหญ่กว่าบ้านปกติจำนวนสามหลัง สระว่ายน้ำและสนามเด็กเล่น
ผมเดินนำอีกสองหน่อเข้าไปอย่างคนรู้จักสถานที่ ผ่านบ้านหลังแรกที่มีป้าย อนุบาลหนึ่งเขียนไว้ เลยไปอีกหลังและอีกหลัง ผมหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน อนุบาลสาม ก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปหาห้องซึ่งน้ำตาลเรียนอยู่
ผมยืนชั่งใจไม่กล้าเปิดประตูเข้าไปอยู่ซักพักก่อนประตูจะถูกเลื่อนโดยนายเปลวตะวันผู้รู้สึกสดชื่นแจ่มใจเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีชื่อคล้ายตัวเอง ล้อเล่นครับ นั่นเป็นแค่ภาพในหัวผมที่อยากให้มันเป็นเท่านั้น ความจริงสีหน้าของเปลวก็ยังแปลกๆจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะตึงก็ไม่ตึงเหมือนคนทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนเดิม
รู้สึกอึดอัดแต่ก็เข้าใจ
ไม่มีใครมองหน้าคนที่ตัวเองเพิ่งสารภาพรักแล้วโดนเดินหนีใส่ติดในวันสองวันหรอก
“ขอโทษนะครับ พวกผมได้รับแจ้งว่าน้องน้ำตาลร้องอยากกลับบ้านก็เลยรีบมาดูครับ ไม่ทราบว่าเอ่อ...”
เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นคนหล่อยิ้มสู้ทุกสถานการ์อย่างเปลวทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ร่างสูงถูกจู่โจมจากกองทัพเด็กน้อยซึ่งกำลังเล่นลูกบอลกันอยู่พอดี
เล่นบอลกันในห้องเรียนเนี่ยนะ คุณครูไม่กลัวข้าวของเสียหายเหรอคร้าบบบ
“พี่ชายมานี่ๆ” เด็กหญิงสองคนตรงเข้าไปดึงขากางเกงเปลว
“ปังงงงง” เด็กชายตัวแสบคนหนึ่งปาบอลยางสีเหลืองอ่อนใส่เต็มๆหน้าหล่อๆของนักร้องนำวงโรงเรียนนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“อย่าไปแกล้งพี่เขาสิลูก มานี่มา เข้ามาก่อนคะเด็กๆ” ครูพี่เลี้ยงเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เรามาที่นี่กันทำไมเหรอ” สมชายที่ยืนหลบขบวนการเด็กนรกอยู่หลังผมถามคำถามที่มันคงค้างคาใจมานานแต่ไม่กล้าถามออกมา นั่นช่วยเตือนสติผมพอดี
แม่บอกว่าน้ำตาลร้องอยากกลับบ้านอาละวาดไปทั่ว....
ภาพตรงหน้าช่างต่างจากคำให้การของผู้เป็นแม่จนนายน้ำเงินเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
ครืดดดด ครืดดดด ครืดดดด
ทันใดนั้นโทรศัพท์เจ้ากรรมก็สั่นขึ้นอีกครั้ง
“ครับแม่”
“น้ำเงิน ลูกออกจากโรงเรียนรึยัง ไม่ต้องไปรับน้องแล้วนะ ครูให้เล่นบอลกับเพื่อนน้ำตาลก็เลยสงบลงแล้ว”
“...”
“ฮัลโหลๆ ฟังแม่อยู่รึป่าวน้ำเงิน? เอาเถอะ แม่ทำงานต่อแล้ว เราก็ตั้งใจเรียนด้วยหละ เจอกันตอนเย็นนะลูก บาย”
ตื๊ดดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด แล้วคุณแม่ผู้น่ารักก็วางสายไป
“ ไม่ทราบว่าเป็นผู้ปกครองของน้องคนไหนเหรอคะ?” ครูพี่เลี้ยงคนเดิมหันมาถามผมแทนเปลวผู้กำลังเล่นบอลกับเด็กๆอย่างสนุกสนานสีหน้ามีความสุขแลดูเต็มใจจนอยากจะร้องไห้
ผมมองหน้าหล่อนอยู่สักพักก่อนจะตอบคำตอบที่คิดว่าหน้าแตกน้อยที่สุดในยามนี้ออกไป
“ขอโทษครับ เหมือนจะเข้าห้องผิด”
.
.
ผม สมชาย และเปลว สามหนุ่มทรีโอ้ก๊วนเดิมเดินเข้ามานั่งในร้านอาหารตามสั่งเล็กๆไม่ไกลจากโรงเรียนอนุบาลตามตะวัน หลังจากยืนตัดสินใจกันไม่ได้ว่าจะกลับโรงเรียนเลยดีหรือไม่จึงหาที่นั่งคุยกันร่มๆก่อน โดยผมกับเปลวนั่งฝั่งเดียวกันส่วนสมชายนั่งด้านตรงข้าม
“กะเพราไก่ไข่ดาว 3 ครับป้า” เมนูสิ้นคิดถูกสั่งออกจากปากผมหลังจากพวกเรายืนมองเมนูกันหลายตลบก็คิดไม่ได้ว่าจะกินอะไรดี เนื่องจากตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงกว่าๆเลยเวลาอาหารเช้ามาไม่นานและยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวันเลยยังไม่หิว
“ตอนนี้สิบโมงสิบห้า กลับไปถึงโรงเรียนก็ประมาณสิบโมงครึ่ง” ผมกล่าว
“ต้องรอเข้าคาบต่อไปตอนสิบโมงห้าสิบสินะ” เปลวพูดเสริม
“งั้นกินเสร็จก็ไปโบกแท็กซี่ตรงไปโรงเรียนกันเลยแล้วกัน” ผมสรุปให้
“ไหนบอกว่าไม่ชอบนั่งแท็กซี่ไง” ขาประจำแท็กซี่เอ่ยแซะผม
“ก็มันจำเป็นหนิ” ผมเถียง
ถ้าผมเป็นสมชายนะ ผมคงเกลียดไอ้ห่าสองตัวที่นั่งคุยกันแค่สองคนแต่จ้องหน้ามันแทนที่จะมองหน้าคู่สนทนาของตัวเองนี่ไปนานแล้ว ดูได้จากการที่มันมองตาผมทีมองหน้าเปลวทีแล้วกระพริบตาปริบๆเหมือนคันปากอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้า
“พวกนายรู้ไหมว่าท่าทางของพวกนายตอนนี้เหมือนอะไร?” สุดท้ายสมชายก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
เหมือนอะไรของมันวะ ผมเลิกคิ้มขึ้นอย่างแปลกใจ?
“เหมือนพวกที่เป็นมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนเลยทำแทนไม่ได้ เอ๊ย ทำอะไรไม่ถูกตอนอยู่ใกล้กัน”
“!?”
ผมขอเอาน้ำปลาพริกกรอกปากสมชายนายธรรมดาให้ลาลับไปจากโลกซะตอนนี้เลยได้ไหมครับ?
.
.
ว่ากันว่าช่วงหนึ่งของชีวิตคนเราจะมีเรื่องประหลาดใจประดังเข้ามายิ่งกว่าน้ำตกไหลกระทบก้อนหินจนเรารู้สึกทำอะไรไม่ถูก และ
ช่วงที่ว่านั้นคงเกิดกับผมในตอนนี้
ผมแยกกับสมชายตรงบันไดเพราะมันเรียนอยู่สายศิลป์คำนวณเลยเรียนคนละชั้นกับพวกผม สีหน้ามันตอนโบกมือลานี่สัมผัสได้
ถึงความยินดี เชื่อว่าพอคล้อยหลังพวกผมไปมันคงกางแขนออกสองข้างเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วตะโกนว่า อิสรภาพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ!!!! เป็นแน่
แต่ช่างสมชายมันเถอะครับ มันไปสบายแล้ว(?) มาห่วงผมตอนนี้ดีกว่า
คาบที่ควรจะเป็นวิชาแนะแนวแสนสบายของอาจารย์กุ๊กไก่กลับถูกอาจารย์สุชาติมหาปลัยเจ้าของวิชาภาษาไทยควบตำแหน่งฝ่ายปกครองโจทย์เก่าผมบุกเข้ายึดครอง(สอนแทนนั่นแหละ)
ผมที่กำลังจะเดินเข้าห้องหันหลังกลับแทบไม่ทันเมื่อเห็นบรรดาผองเพื่อนนั่งรับกรรมโดนอาจารย์แกเทศนาสั่งสอนเรื่องการโดดเรียนจะถูกหักคะแนนและโดนทำโทษอยู่หน้าชั้น
ตายห่า แล้วกูจะไปอยู่ไหนวะเนี่ย
นายน้ำเงินนักเรียนดีเด่นไม่เคยโดดเรียนมาก่อนไม่สมกับหน้าตาตกอยู่ในสภาวะยืนอึนอยู่บนระเบียงห่างจากห้องตัวเองที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ทันใดนั้นสายตาของเค้าก็เหลือบไปเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์(?)ผู้กำลังเดินเนิบนาบไปยังห้องของตนอย่างสบายใจ
“เปลวๆ” เจ้าของชื่อเดินมาหาผมด้วยความสงสัย
“สุชาติสอนแทนหวะ” ผมบอกมันหน้าเครียด ยังไงผมก็ไม่มีทางเข้าเรียนคาบเรียนของฝ่ายปกครองหลังจากถูกจับได้ว่าโดดเรียนแบบคาหนังคาเขาแน่นอน แต่ยังหาที่ไปไม่ได้เลยหาเพื่อนมาช่วยระดมสมองหาทางออก
“ฮ่ะๆๆ น่าสงสาร ตามมาๆ” ถูกหัวเราะเยาะก็ต้องกัดฟันทนไว้เพราะมันพูดอย่างงี้แสดงว่าจะหาที่หลบภัยให้
ผมเดินตามมันลงมาจากอาคารเรียนต้อยๆไม่ต่างอะไรกับลูกเป็ดแรกคลอดที่คอยเดินตามแม่เป็ด ไม่นานนักพวกเราก็เดินทางมาถึงจุดหมาย...ห้องซ้อมดนตรี...
อะโหยยย นึกว่าจะมีฐานทัพลับเอาไว้ซ่องสุมกับพรรคพวกเวลาโดดเรียนที่มันเจ๋งกว่านี้...ผมเดินเข้าไปยังห้องซ้อมดนตรีดังกล่าวด้วยท่าทางผิดหวังนิดๆ และดูเหมือนคนนำทางจะจับสังเกตได้จึงเอ่ยขัดขึ้นมาว่า
“โรงเรียนก็มีอยู่เท่านี้จะเอาอะไรมากมาย เด็กบางคนโดดเรียนไปดูดบุหรี่ในส้วมด้วยซ้ำ มีห้องให้อยู่สบายๆอย่างงี้ก็หรูแล้ว”เปลวหันมากล่าวเสียงเข้ม เหมือนเดาใจผมได้
ภายในห้องขนาดประมาณ 5x5ตารางเมตรบรรจุด้วยเครื่องดนตรีสำหรับวงร็อคหนึ่งวง กีตาร์ เบส กลอง คีย์บอร์ด ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นห้องซ้อมส่วนบุคคลสำหรับวงเซเลปประจำโรงเรียนของไอ้เปลวและไอ้ฟงมัน
“โรงเรียนเราใจปล้ำขนาดยกห้องให้พวกมึงห้องนึงเลยเหรอ”ผมถามขณะเดินเข้าไปก้มๆเงยๆสำรวจเครื่องดนตรีต่างๆ แม้ว่าโรงเรียนจะมีจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตบ่อยๆก็ตามแต่ก็ไม่มีห้องซ้อมเป็นจริงเป็นจัง ใครอยากเล่นต้องไปหาเช่าห้องเอาเอง ถ้าผอ.อนุมัติยกห้องให้พวกมันส่วนตัวขนาดนี้ก็เกิน
หรือว่ามันจะเป็นลูกชายผอ.?
“เปล่า ห้องนี้แต่ก่อนเป็นของชมรมวรรณคดีแต่พักหลังมานี้สมาชิกไม่ค่อยมีไอ้ฟงมันเลยไปอ่อยอาจารย์ดาแล้วก็ยึดมาเป็นของตัวเองเลย” อาจารย์ดาที่มันพูดถึงคืออาจารย์อารดาผู้สอนภาษาไทยม.ต้นที่อายุงยังไม่ถึงเลขสามดี...
“แล้วเสียงมันไม่ดังรบกวนชาวบ้านเขาเหรอวะ?”
“ไอ้ฟงมันไปอ่อยป้าขายข้าวไข่เจียวที่โรงอาหารขอลังไข่มาบุซะหลายชั้น”เปลวพูดหน้าตาเฉย เหมือนเจ้าตัวจะชินชากับความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของเพื่อนตี๋แล้วผิดกับคนนอกที่ได้ฟังวีรกรรมของฟงเป็นครั้งแรก...
“คงใช้เวลาทำนานพอดูเลยสิ กระดาษรังอันกระจิ๊ดนึงถ้าเทียบกับขนาดห้องอะนะ”เดินไปเคาะๆตามผนังที่ทาสีน้ำตาล ฟ้า เหลือง เอาไว้อย่างสวยก็อดชื่นชมไม่ได้ งานประณีตมากจนไม่อยากเชื่อว่านักเรียนไทยหัวใจร็อคห้าคนจะตกแต่งได้เท่านี้
“ก็ฝีมือฟงอีกนั่นแหละ มันไปอ่อนพวกผู้หญิงชมรมหัตกรรมกับชมรมวาดเขียนให้มาช่วย”
“...!?...”คนเชี่ยอะไรอ่อยเก่งชิบหาย ว่าแต่...ทำไมถึงใช้คำว่าอ่อยไม่ใช้คำว่าจีบวะ?
หลังจากได้ยินสิ่งที่เปลวพูดแล้วผมก็อดชื่นชมทักษะการม่อของไอ้ฟงไม่ได้
ขนาดครูบาอาจารย์พี่ท่านยังไม่ละเว้น...ข่าวลือที่ว่าหมอนี่ขอแค่หน้าตาดีก็ฟันเรียบไม่เว้นชายหญิงซึ่งไอ้แชคคาบมาบอกเห็นทีว่าจะเป็นเรื่องจริง
ดีนะที่เพื่อนสนิทของมันอย่างเปลวมาชอบผม ไม่งั้นคนหน้าตาดีอย่างผมมีหวังเสร็จไอ้ฟงแน่ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ...ซะที่ไหนเล่า!! อย่างงี้มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ!
เข็มนาฬิกาที่ไหลกินคาบเรียนแนะแนว(ที่ถูกครอบครองโดยวิชาภาษาไทยของอ.สุชาติ)ไปกว่าครึ่งทางแล้วฉับพลันที่คำว่าชอบจากปากของผู้ชายอีกคนที่อยู่ในห้องแคบๆนี้ดังก้องขึ้นในความทรงจำมันกลับหมุนช้าลงราวกับมีเวทมนต์มาหยุดเวลา
“คาบต่อไปเรียนอะไรเหรอ”ต้นตอแห่งความว้าวุ่นใจเอ่ยถามขณะที่ทิ้งร่างลงนั่งที่พื้นมุมหนึ่งของห้อง
“ภาษาไทย...”หากเปิดแอร์จะถูกจับได้ว่าในนี้มีคนซ่อนอยู่ เด็กเหลวไหลทั้งสองจึงตัดสินใจอยู่ทนร้อนอีกสักพัก ในห้องแคบๆไม่มีหน้าตาต่างระบายอากาศเพราะต้องเก็บเสียง พัดลมตัวน้อยถูกเปิดจ่อมาปะทะใบหน้า
“ของสุชาติ?”เสียงทุ้มที่เอ่ยถามเรียกสติของผมที่พล่าเลือนเพราะความร้อนให้กลับเข้าที่
“ปกติห้องกูไม่ใช่สุชาติสอนแต่วันนี้พี่แกเข้าแทนตั้งแต่คาบแนะแนวกูเลยไม่แน่ใจว่าเค้าจะสอนยาวเลยไหมวะ”ผมตอบเสียงเรียบ
“งั้นก็โดดยาวไปเลยละกัน”ร่างสูงข้างกายเงยหน้าขึ้นมองเพดานขณะที่คำกล่าวที่เอ่ยออกมานั้นใช้สนทนากับผม
เป็นอีกครั้งแล้วที่เราไม่สบตากันระหว่างพูดคุย...
“แล้วมึงหละ? โดดยาวด้วยเลยไหม?”
ในทีแรกคำถามที่จะถามนั้นถูกตั้งขึ้นเพื่อไล่อีกฝ่ายให้กลับห้องเรียนไปเสีย แต่ทำไมนะทำไมประโยคที่เปล่งออกมาในชั่วพริบตาที่หัวใจบีบตัวเต้นระรัวในอกนั้นช่างคล้ายกับคำเชิญชวนเสียอย่างนั้น
เห็นแม่อยากให้ลูกชายเรียนหมอ ผมเลยซ้อมเป็นปลาหมอไปก่อน...อืม ซ้อมตายเพราะปากอะนะ
“โดดสิ จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ”
“...”
“...”
“มองหน้ากูให้ติดก่อนแล้วก็มาหยอด”ปลาหมอตัวใหญ่กล่าวก่อนจะตัดสินใจกัดลิ้นฆ่าตัวตายไปในที่สุด(?)
“ใคร...ใครมองหน้าใครไม่ติด?”
“ยังมีหน้ามาย้อนก็มึงไง เขินจนไม่กล้ามองหน้ากูเนี่ย จ้องเข้าไปสิพัดลมอ่ะ”
“อยากให้มองติดขนาดไหนหละ
.
.
หน้าหนะ”
“หืม?”ไม่พูดเปล่า เปลวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะที่ไม่ชิดนักแต่ก็เพียงพอให้น้ำเงินเอนตัวหลบตามสัญชาตญาณ
“ละ...แล้ววันนี้มึงจะพาสมชายไปด้วยทำไมวะ?”คิดว่าเอาไปเป็นกขค.ซะอีก
“กูกลัวมึงนั่นแหละจะหนีหน้ากู กูเลยต้องหาคนไปช่วย”ต่างคนต่างกลับมาเข้าที่ตามเดิม เปลวตะวันส่ายหัวสองสามทีอย่างระอากับคนที่คิดไปไกล”ระดับกูไม่มีเขินหรอก เหลือแต่มึงนั่นแหละ”
“กูไม่ได้เขินสักหน่อย เชี่ยนี่ ดูถูกหวะ!!”
“งั้นก็ดี หึหึ”
เสียงสัญญาณเวลาหมดคาบดังขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง คาบเรียนมรณะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเหล่านักเรียนห้องคิงที่รับกรรมฝ่ามรสุมนายสุชาติผู้มาสอนแทนถึงสองคาบในวันเวลาที่แสนเหมาะเจาะเดินออกจากห้องด้วยท่าทีอิดโรย
ใช้เวลาหนึ่งคาบสำหรับการเทศนาสั่งสอนว่าการละเมิดกฎของโรงเรียนจะได้รับบทลงโทษเช่นไร
ในใจของนักเรียนกว่าห้าสิบชีวิตอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆว่า พวกตรูไปทำผิดอะไรมาเมื่อไหร่ไม่ทราบ ทำไมอาจารย์ไม่เอาเวลาด่านักเรียนผู้ไม่มีความผิดมาสอนหละค้าบบบบ
เหตุผลที่สถาบันกวดวิชาได้รับความนิยมเพราะอาจารย์ในรั้วโรงเรียนสอนไม่ดี...แม้จะเก็บภาษีเพิ่มทุกคนก็เลือกความรู้มากกว่าคำด่า...
หัวข้อเด่นประจำวันของนักเรียนม.ห้าห้องคิงคงหนีไม่พ้นอาจารย์ขาโหดกับอีกหนึ่งหน่อที่ยังคงหายสาบสูญ...
ตัวการของเรื่องราวทั้งหมดกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขซบไหล่ของเด็กหนุ่มรูปหล่อจากต่างห้อง โดยไม่รับรู้ถึงจิตอาฆาตจากเพื่อนร่วมห้อง
หากกลับไปที่ชั้นเมื่อไหร่คงเจอดีไม่น้อย...
.
.
.
ผมทำอะไรผิดเหรอครับ?
“มึงอะเลว เอาตัวรอดไปเสวยสุขคนเดียว!”นาวกล่าวพร้อมบ้องกะโหลกผมดังป้าบ
ที่ผมต้องโดดโรงเรียนออกไปก็เพราะคุณแม่ที่เคารพรักผู้หาความฉิบหายมาให้ลูกชายไม่มีเว้นวันสั่งให้ไปรับน้อง
“เพราะมึง ทางหนีของพวกกูเลยถูกปิดตาย”แก้มหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นมองผมด้วยความแค้น เดี๋ยวนะเดี๋ยว...เธอเป็นผู้หญิง
เรียบร้อยไม่ใช่รึไง ทำไมถึงปีนกำแพงโดดเรียน!?
ที่ผมเลือกปีนออกจากรั้วทางด้านหลังห้องวงโยก็เพราะไอ้เปลวแนะนำ ซึ่งไอ้ฟงก็แนะนำให้ไปถามไอ้เปลวอีกต่อหนึ่ง
“ถ้าจะเกเรก็ทำให้มันเนียนๆหน่อย เสือกโง่โดนจับได้ทำไมย๊ะ”หนึ่งในสี่ตุ๊ดด่าขึ้น
ที่ผมโดนสุชาติจับได้ก็เพราะไอ้สมชายมันพรวดพราดออกมา
“น้ำเงินกลับมานานแล้ว ทำไมไม่เข้าห้อง เพื่อนเดือดร้อนหมดเลยเห็นมั้ย”สตรี(ชะนี)นางหนึ่งกล่าวตัดพ้อ
ที่ผมไม่กลับเข้าห้องเรียนก็เพราะผมกลัวตาย หรือถ้าคนอื่นมาเจอสถานการณ์แบบผมเขาจะยืดอกรับเดินเข้าห้องอย่างสง่างามเหรอครับ?
คาบพักกลางวัน ห้องของผมกลายเป็นหม้อสุกี้เดือดๆ ส่วนผมผู้รับบทหมี่ยกราคาถูกถูกหย่อนลงหม้อด้วยน้ำมือของคนที่เรียกว่าเพื่อน
“ช้าก่อนสหายทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ความแค้นแผดเผาจิตใจ มิตรภาพของพวกเราแน่นแฟ้น...แอ่ก”ยังไม่ทันที่ผมจะแก้ตัวเสร็จวัตถุแข็งปริศนาก็ลอยมากระแทกหัวอย่างจัง คาดว่าคงลอยมาจากมือมืดที่ต้องการล้างแค้น...
“สมน้ำหน้า ฮ่าๆๆๆ”เหล่ามิตรรักแฟนเพลงรอบห้องพากันหัวเราะผมอย่างสามัคคีก่อนแยกย้ายกันไปตามที่ตามทางของตนเมื่อสาแก่ใจแล้ว
“เออ...หน้าเสาธงพวกคณะกรรมการนักเรียนประกาศรับสมัครวงดนตรีคืน First night หวะ”ไอ้ปอผู้รักกิจกรรมหันมาบอกผมด้วยสายตาคาดหวัง...หวังว่าผมจะตอบว่าดีเลย เรามาตั้งวงกันเถอะ...ฝันไปเถอะมึง
“พอเลยมึง แค่นี้กูก็ฮ็อตจนไม่รู้จะฮ็อตยังไงแล้ว ขืนตั้งวงร้องเพลงอีกพวกไอ้เปลวก็ไม่ได้เกิดกันพอดี ฮ่าๆๆๆ” ไม่หลงตัวเองก็ไม่ใช่ผมสิครับ
ความจริงคือขี้เกียจแต่ต้องพูดให้ตัวเองดูดี(?)ไว้ก่อน
“พูดถึงไอ้เปลว ตกลงพวกมึงไปสนิทกันขนาดชวนกันโดดเรียนได้ไงวะ”นาวสหายรักถาม
“จริง มึงจะแยกใช่มั้ย ดังแล้วแยกวงเหรอมึง!?”อาร์ตกล่าวอย่างอาฆาต กูไปตั้งวงกับมึงเมื่อไหร่? ไอ้นี่เป็นคนรักเพื่อนครับ ไปไหนไปกันเป็นฝูง คิดอะไรไม่ออกก็คิดถึงเพื่อนตลอด มีแฟนแล้วก็เหมือนไม่มีตีกันทั้งปี
“ใจเย็นพวกมึง ใจเย็นๆ วางถุงกาวในมือมึงลงด้วยไอ้อาร์ต เรื่องนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยจริงๆกูอธิบายได้...”
เรื่องก็คือไอ้เปลวมันเจอกูตอนกำลังอ่อยเกย์ที่ศูนย์อาหารหลังจากนั้นมันก็ตามตูดกูไปถึงบ้านก่อนจะสารภาพรักกับกูในวันถัดมา...ความจริงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง กระผมนายน้ำเงินผู้มีจิตสำนึกไม่แพร่งพรายเรื่องใดใดที่จะส่งผลต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของเพื่อนไม่มีวันหลุดออกจากปากแน่
“กูกับเปลวก็แค่...”ผมเว้นคำทำให้พวกตัวแสบลุ้นตัวโก่ง ในสมองกำลังแล่นยิกเพื่อหาข้ออ้าง
“แค่...”
“แค่คุยกันตามภาษาคนหล่อ!!”
“ถรุ้ยยยยย!!”มีคนฟังอยู่ห้าคนก็โห่กันทั้งห้าคน แม้แต่ซีซีกับอ่อนไอซ์ที่ปกติจะเรียบร้อยยังถุยเลยครับ
ตกลงผมทำอะไรผิดเหรอครับ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาทิตย์นี้ขยัน ลงหลายตอนแล้วก็ยาวด้วย(เหรอ) อิอิ