Celebration 5 : His name's ... “น้องชื่ออะไรเหรอครับ?”
“...”
“???”
“มางานวันเกิดทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเจ้าภาพงานเหรอครับ...”
“พี่ถึงได้ถามอยู่นี่ไงครับ ว่าไง?”
“...น้ำค้าง”
“น้ำค้างเหรอ? ชื่อเพราะดีนะ ส่วนพี่ชื่อว...---”
----------------------------
“อืออ”
ผมลืมตาตื่นในสภาพที่หงุดหงิดใช้ได้ หงุดหงิดมากกว่าทุกๆ วันที่ปกติแล้วเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ในโทรศัพท์จะร้องปลุก
แต่ในวันนี้ออกจะพิเศษสักหน่อยเพราะอาการ ‘ปวด’ เป็นฝ่ายปลุกผมซะเอง... ปวดหัวน่ะพอทนเพราะปวดทุกวันอยู่จนเริ่มจะชิน
อยู่แล้ว(ถ้าไม่หนักถึงขนาดอยากจะระเบิดหัวตัวเองทิ้งล่ะก็นะ) แต่ปวดแผลที่มือนี่สิทำให้ผมเบะปากอยากจะร้องไห้ ไม่รู้ว่า
ตอนนอนเผลอเอามือไปคว้าอะไร หรือแผลเผลอไปโดนอะไรขึ้นมาหรือเปล่า ถึงได้ปวดจนผมสะดุ้งตื่น
พอมาเช็คๆ ดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากยังปวดอยู่กับรู้สึกตึงๆ ที่แผล พอเริ่มชินผมก็เอื้อมมือข้างซ้ายไปหยิบโทรศัพท์
ที่อยู่บนหัวเตียง ปรากฏว่าผมตื่นก่อนเวลาตั้งปลุกนานพอสมควร จะนอนต่อดีรึเปล่านะ แล้วถ้านอนต่อแล้วเรื่องที่ฝันเมื่อกี้
จะต่อกันหรือเปล่า...
คำตอบคงจะ ไม่
พอพูดถึงเรื่องฝันแล้ว ตอนแรกผมเองก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ เพราะปกติก็ฝันเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ กันอยู่แล้ว เรื่องของผมกับผู้ชาย
ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครอีกคน ที่ผ่านๆ มา ภาพผู้ชายคนนั้นก็ออกจะเบลอๆ จนผมมองไม่เห็นหน้า รวมถึงชื่อของเขาที่ไม่ได้ปรากฏ
ในความฝันผมเลยสักครั้ง...
และเพราะครั้งนี้ ภาพของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมองไม่เห็นอยู่ดี แล้วเมื่อครู่นี้... คนๆ นั้นในความฝัน
ก็กำลังจะบอกชื่อของตัวเองด้วย เกือบจะได้รู้ชื่อของผู้ชายที่อยู่ในความฝันของผมมานาน เกือบจะได้รู้ถ้าตัวผมเองไม่ตื่น
ขึ้นมาก่อน คิดแล้วก็เสียดายจังนะ
ผมนอนหลับตาอยู่สักพัก ตั้งใจว่าถ้าหลับต่อได้ก็คงจะดี แต่ดูเหมือนว่านอกจากผมจะหลับไม่ลงแล้วยังคิดฟุ้งซ่านอีก
ฟุ้งซ่านจริงๆ เพราะคิดๆ เรื่องความฝันอยู่ดีๆ ไหงผมไปคิดคุณอัศวินได้ล่ะเนี่ย สงสัยคงจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานแน่ๆ
เขา... จูบผม โอ้ย บ้าเอ้ย หน้าตัวเองร้อนๆ ขึ้นมาเฉยเลย ไม่เอาน่าน้ำค้างอย่าไปคิดๆ เขาแค่เห็นเราเป็นตัวแทนแฟนเก่าของเขาเท่านั้นล่ะ
แค่ตัวแทน.... ตัวแทน.... พอคิดแบบนี้ ในอกผมก็ดันเจ็บขึ้นมาอีก จะอะไรกันนักหนาเนี่ย ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
หลังจากตบตีกับความคิดตัวเองอยู่นานผมก็ตัดสินใจลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน เพราะนึกขึ้นได้ว่าคงใช้เวลานานกว่าปกติ
นิดหน่อยเพราะต้องคอยระวังแผลที่ผ่ามือ ไม่ให้โดนน้ำด้วย แล้วก็ใช้เวลานานอย่างที่คิดจริงๆ กว่าผมจะทำอะไรเสร็จเรียบร้อย
ก็ปาเข้าไปเกินเวลาปกติที่ผมจะออกจากบ้านแล้ว (ขนาดผมตื่นก่อนเวลานะเนี่ย)
ผมกดลิฟท์ลง พอลิฟท์เลื่อนลงมาถึงชั้น G ผมก็ก้าวขาออกมา ไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วถ้าเป็นปกติผมก็ต้องเดินผ่านฟร้อนออก
ประตูหน้า แต่ว่าเพราะมันไม่ปกติเหมือนทุกวันผมถึงต้องรีบดึงตัวเองกลับมาหลบหลังกำแพง ไม่ยอมเดินเลี้ยวไปยังทางออก
ก็ในเมื่อผมดันไปมองเห็นคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่เข้า
“...คุณอัศวิน”
คือ สงสัยกับปฏิกิริยาของตัวผมเอง หน้าที่ร้อนผ่าวกับหัวใจที่สูบฉีดแรงจนหน้าใจหาย แล้วตอนนี้ผมก็พยายามหลบหน้า
เขาด้วย... ทำไมล่ะ?
ผมชะโงกหน้าออกไปนอกกำแพงนิดหน่อยแบบค่อยๆ มากๆ เพราะกลัวว่าเขาจะเห็น ผมลอบมองคุณอัศวินที่นั่งจิบกาแฟ
อยู่ที่โต๊ะรับแขก ใกล้ๆ เคาน์เตอร์ของ Coffee shop ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม เป็นอะไรที่ดูแปลกตานิดหน่อย เพราะปกติ
เวลาคุณกับผมเขาจะยิ้มให้ตลอด ยิ้มแบบที่ผมเองยังรู้สึกชอบ...
“ชอบ...?” เท่านั้นแหละครับ ภาพที่คุณอัศวินจูบผมแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อวานก็ย้อมกลับมาให้ผมเขินอีกรอบ ผมพยายามเก็บอาการหายใจ
เข้า - ออกลึกๆ ถอยหลังออกจากจุดที่ตัวเองยืน หมุนตัวกลับแล้วรีบเดินออกไปยังประตูทางออกอีกทางที่มันค่อนข้างไกล
จากที่นี่สักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าเจอคุณอัศวินตอนนี้ล่ะกัน...
ตอนนี้ผมไม่พร้อมมากๆ ไม่พร้อมจะเจอหน้าเขา
----------------------------
ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างอยู่บ้างที่วันนี้รถแท็กซี่หาง่าย + กับถนนหนทางค่อนข้างโล่ง รถไม่ติด ผมเลยมาถึงออฟฟิศเร็ว
ผมเดินผ่านโต๊ะเจ๊ชัย(วันนี้ขอเรียกแบบนี้บ้างล่ะกัน กลัวจะเบื่อ ฮี่ๆ) ยังไม่ทันจะพูดสวัสดีเจ๊แกเงยหน้ามามองผมปุ๊บ
ก็เรียบชิงพูดไปก่อน
“เมื่อตอนค่ำๆ ของมาถึงแล้ว... อ้อ แล้วก็ค้าง ลูกค้ารีเควสมาบอกว่าอยากให้ไปดูของด้วยกันหน่อย”
พอฟังจบประโยคผมก็ส่งเสีย เหะ? เบาๆ ในลำคอ +กับเอียงคอทำไร้เดียงสาเป็นเชิงว่าไม่เข้าใจ..
ทั้งๆ ที่ในใจรู้อยู่เต็มอก !!
“ลูกค้าที่ว่า... คุณอัศวินเหรอเจ๊?”
“อ้าว จะมีใครอีกล่ะ?”
ผมนี่เหงื่อตก... รีบมองหาตัวช่วยที่คิดว่าจะช่วยผมได้ นั่น เจอแล้ววว!
“เจ๊! น้องแฟร์กลับมาแล้วนี่นา ให้น้องแฟร์ไปแทนผมสิ นะๆ ๆ ๆ”
ผมกล่าวโดยไม่ลืมงัดลูกอ้อนออกมาเต็มที่ นอกนั้นยังส่งสายตาให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่นั่งอยู่ห่างออกไปจากเจ๊ชัยอีก
สองโต๊ะ แฟร์ เป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก เธอเป็นหนึ่งในพนักงานทำบัญชีของออฟฟิศ แต่เพราะว่าพนักงานตำแหน่งนั้นมีมาก
เพียงพอแล้ว ทั้งหน้าตา บุคคิล และนิสัย ตำแหน่งพิเศษอีกตำแหน่งที่เธอได้ก็คือ Face ใช่ครับ ตำแหน่งเดียวกับผม
และเธอก็เป็น Face ที่เป็นผู้หญิง ถ้าลูกค้าต้องการ ก็มีสิทธิ์เลือก แต่โดยมากแล้วจะเป็นผมมากกว่า น้องแฟร์เขาจะคอย
สนับสนุนทีหลังเวลามีลูกค้าซ้อน
และตอนนี้ผมก็ได้ส่งสัญญาณ SOS ผ่านสายตาไปให้แฟร์ที่เงยหน้าจากงานบัญชีที่โต๊ะขึ้นมามองผมกับเจ๊ชัย
น้องพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกจากโต๊ะเดินมาทางผม
“เจ๊ให้แฟร์ไปแทนก็ได้นะคะ ในฐานะที่เป็น Face เหมือนกัน แล้วพี่ค้างมือก็เจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?”
เจ๊ชัยขึงตาขวับใส่แฟร์อย่างน่ากลัว จนทั้งผมทั้งแฟร์เผลอสะดุ้งเฮือกแล้วกลืนน้ำลาย เตรียมตัวเตรียมใจรับกับคำตอบของเจ๊แก
“ไม่ได้ย่ะ ไม่ใช่ว่าเจ๊ทารุณอะไรหรอกนะ แต่ลูกค้าคนนี้น่ะเป็น VIP ตัวพ่อ เราขัดใจเขาไม่ได้ และเขาก็ยังบอกย้ำๆ
ว่าต้องเป็นค้างเท่านั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเจ๊ไม่ขอให้ค้างพักสักหน่อย”
อ่า... ก็ได้ครับ ถ้างั้นผมยอมก็ได้ พ่อหุ้นส่วนรายใหญ่ผันตัวมาเป็นลูกค้า แถมยังมีประกาศิตแบบนี้
ผมก็คงได้แต่คอตกแล้วทำใจยอมรับ โดยมีแฟร์ยืมส่งสายตาให้กำลังใจผมอยู่ข้างๆ
“สู้ๆ นะพี่”
เสียงใสๆ ของ Face อีกคนกระซิบบอกเบาๆ
“ครับ”
ผมตอบรับคำรุ่นน้อง ถอนหายใจแล้วเผลอมองเจ๊ชัยโดนไม่รู้ตัว
“นี่... อย่ามองฉันแบบนั้นสิย่ะ”
ก็ไม่รู้ว่าผมมองเจ๊ชัยด้วยสายตาแบบไหน เจ๊แกถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา
ผมมาเจอคุณอัศวินตามตำแหน่งที่เจ๊บอกมา ผมพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดอะไร แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่ได้ทำง่าย
อย่างที่คิด กว่าผมจะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาคุณอัศวินที่ยืนรอผมอยู่ก็ใช้เวลานานเสียจนเขาเป็นฝ่ายที่เดินมาหาผม
ด้วยตัวเองแทน
“ค้าง ออกจากคอนโดเร็วเหรอ? ฉันไปรอไม่เห็นค้างออกมาเลยนี่”
ถามตรงประเด็นมาก ก็เพราะว่าเมื่อเช้าผมหลบหน้าคุณน่ะสิ !
แล้วก็ไม่ใช่แค่เมื่อเช้าด้วย ตอนนี้เองก็...
“ค้าง??”
ผมก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมเงยหน้ามองเขา เลยไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าเขาเป็นยังไงบ้าง ส่วนในหัวก็เริ่มไซโคตัวเองให้แยกแยะ
ระหว่างเรื่องนั้น กับเรื่องงานที่เป็นคนละเรื่องกัน สติๆ
ผมบังคับหน้าของตัวเองให้เงยขึ้น ดวงตาของผมสบมองดวงตาของเขา แววตาที่รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านมา
พอดีกับใบหน้าหล่อๆ ที่เต็มไปด้วยความกังวัลอย่างเห็นได้ชัด
“ค้างเป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ?”
โอยยย ไม่ไหวแล้ว ! ผมเบนตาหลบเขา พลางยกเอกสารลิสรายชื่อสินค้าที่ถือในมือยกขึ้นปิดบังหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแดงก่ำของตัวเอง
ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ.. ผมไม่กล้ามองเขาตรงๆ น่ะสิ ผมส่ายหัวปฏิเสธคำถามของอีกฝ่าย โดยที่ยังใช้เอกสารบังหน้าอยู่
ระหว่างนั้นความเงียบก็เข้าครอบงำ คุณอัศวินไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็ยังไม่พร้อม (ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร)
จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แตะเข้าที่ข้อมือ
“แน่ใจจริงๆ นะว่าไม่เป็นไร?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอ่อนโยน พร้อมกับที่มือของเขาดึงรั้งข้อมือผมลง
กระดาษที่ใช้บังหน้าค่อยๆ เลื่อนลงจนพ้น แต่สายตาผมยังคงเบนหลบ ไม่ยอมมองหน้าหล่อๆ ที่ตัวเองเผลอชอบไปตั้งแต่
ตอนไหนไม่รู้นั่น
“ค้าง หันมามองหน้าฉันหน่อย”
((ส่ายหัว))
“วันนี้ดูแปลกๆ นะ”
((ส่ายหัว))
“ไม่สบาย? ปวดหัว? ปวดแผล? หน้าแดงนะ ไข้ขึ้นหรือเปล่า?”
((ส่ายหัวรัวๆ)) ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก็ปวดแผลอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน
“จะทำงานได้เหรอ? วันนี้พักหน่อยดีไหม?”
“...” ผมลังเลนิดหน่อย แต่เพราะคำถามเป็นสิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้เลยพยักหน้าตอบเขากลับไปบ้าง
คุณอัศวินหลุดเสียงขำพรืดออกมาโดยไม่มีสาเหตุ ผมเลยเผลอหันหน้ามามองเขาเพราะอยากรู้จนได้
“ขอเช็คดูหน่อยนะว่ามีไข้หรือเปล่า”
“หือ?”
ผมไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าหล่อๆ เลื่อนเข้ามาใกล้หน้าของผม ก่อนที่หน้าผากของเราสองคนจะแตะกันเบาๆ โดยสิ่งที่ย้ำเตือน
นั่นคือสัมผัสเย็นๆ จากหน้าผากของเขา ตาที่เบิกค้างโดยควบคุมไม่ได้ของผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตา กว่าจะดึงสติและเข้าใจ
สถานะการก็ผ่านไปหลายวินาทีเหมือนกัน ผมสะดุ้งแล้วผลักเขาออก
“ท-.... ทำอะไรน่ะครับ!” มันใกล้เกินไป แถมที่ตรงนี้ยังเป็นที่สาธารณะที่คงผ่านไปผ่านมาเยอะอีกด้วย
คนเริ่มเรื่องยิ้มบางอย่างไม่ใส่ใจ ยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่มีไข้นะ ที่หน้าแดงเพราะเขินหรอกเหรอ?”
“ก็แหงน่ะสิ ใครใช้ให้คุณมาทำอะไรแบบนี้ ในที่แบบนี้กันเล่า”
“กับลูกค้าน่ะพูดเพราะๆ หน่อยสิ เสียมารยาทนะค้าง”
“อะ.. นี่ก็เพราะแล้วนะครับ”
“ล้อเล่นหรอกน่า... แต่เรื่องพักน่ะค้างจะเอาไหม?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเหมือนเช่นเดิม แต่ไม่รู้เพราะคิดไปเองหรือเปล่า ผมถึงรู้สึกว่ามัน... ไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไหร่เลยแฮะ
เริ่มจะสังหรณ์ใจไม่ดีซะแล้วสิ
----------------------------
แล้วก็เป็นตามคาด คุณอัศวินชวนผมออกไปนั่งรถเล่น โดยที่บอกกับผมเองว่า เรื่องงานน่ะช่างไปก่อน และไม่รีรอให้ผมได้ตอบ
ตกลงหรือปฏิเสธ คุณอัศวินลากผมขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ตามแบบฉบับลูกค้า VIP ตัวพ่อ อย่างที่เจ๊ชัยได้กล่าวไว้
รู้สึกว่าตัวเองปกพร่องในหน้าที่ ทั้งๆ ที่ Face มีหน้าที่ทำให้ลูกค้าพอใจเท่านั้นเอง
(แล้วตอนนี้ก็เหมือนว่าคุณอัศวินจะพอใจ + อารมณ์ดีเอามากๆ)
“คุณอัศวินจะขับรถพาผมไปไหนเหรอครับ?” ต้องถามเพราะผมดันสังหรณ์ว่าเขาจะพาไปที่แปลกๆ ซะได้
คนขับรถหันกลับมามองผม แล้วกลับไปมองทางเหมือนเดิม ริมฝีปากได้รูปเอ่ยเบาๆ พลางขยับยิ้มเป็นปกติ
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองล่ะครับ”
“หะๆ”
ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วเบนหน้าหนีไปมองวิวผ่านหน้าต่าง เหตุผลที่หนึ่งคือ เพื่อสังเกตเส้นทาง ส่วนเหตุผลที่สอง...
เพื่อหลบหน้าเขา ! คนบ้าอะไรยิ่งมองยิ่งหล่อ โอย บ้าไปแล้ว ตั้งแต่โดนจูบ ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“...”
เอะ? เดี๋ยวนะ ???
ผมหันฃขวับไปมองคนขับที่จู่ๆ ก็ชะลอความเร็วรถลง แล้วเปิดไฟเลี้ยว หรือว่า...
“เอ่อ ถึงแล้วเหรอครับ?”
เขาพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไป
พอผมรู้เท่านั้นแหละว่าที่นี่ที่ไหนเล่นเอาสมองกระตุกวูบ พร้อมกับอาการปวดตุบๆ ในหัว ผมมองคนขับรถสลับกับตัวสถานที่
ด้วยใบหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าซีดแค่ไหน และที่ๆ เขาพามา คือ...
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง“คุณอัศวิน... ไม่เอานะ” ยังไม่ทันที่จะได้พูดคำอะไรที่มากไปกว่า
‘ไม่เอานะ’ รถ SLK Night Edition สีดำ
ก็เคลื่อนเข้าสู่ที่จอดรถ VIP ในเวลาไม่ถึงนาที รถก็ถอยเข้าจอดก่อนหยุดนิ่งสนิท
เขาเปิดประตูลงจากรถ เดินมายังประตูรถฝั่งที่ผมนั่ง ไม่รอช้า คุณอัศวินเป็นฝ่ายเปิดประตูรถให้ผม
ราวกับว่าเขาเป็นคนขับรถให้ผมเสียเอง
บอกตรงๆ ว่าผมโครตจะเสียมารยาท ที่ให้ลูกค้าทำอะไรแบบนี้ให้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
ผมก็ไม่แม้แต่จะขยับตัวออกจากเบาะนั่งข้างคนขับแม้แต่นิดเดียว
“ค้างลงมาสิครับ”
“เอ่อ คุณพาผมมาที่นี่ทำไม?”
ผมถามคำถาม และยังคงนั่งนิ่ง ความรู้สึกคลื่นไส้ที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้น พร้อมกับอาการปวดหัว
“พาค้างมาล้างแผลไง”
“ถ้าแค่ล้างแผล เรื่องแค่นั้นผมล้างเองก็ได้ หรือไม่ก็ไปอนามัยหรือโรงพยาบาล... ที่ไม่ใช่โรงพยาบาลแพงๆ แบบนี้”
ผมเริ่มนั่งตัวเกร็ง กัดปาก จิกเล็บลงบนตัก ไม่รู้เหมือนกันว่าคนตรงหน้าที่ยืนมาผมอยู่สังเกตเห็นหรือเปล่า
เวลาจะพูดอะไรแต่ละคำก็เริ่มลำบาก
“เอาเถอะน่า... ไหนๆ ก็มาแล้ว”
คุณอัศวินไม่ฟังคำพูดของผม เขาลดตัวลงแล้วยื่นมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยของผมออกให้
“คุณ.. แน่ใจนะว่าพาผมมาแค่ล้างแผลน่ะ”
พอผมตามออกไป คนตรงหน้าไม่มีท่าทีครุ่นคิดหรือลังเล เขาตอบออกมาแทบจะในทันทีที่ผมถามจบ
“ฉันเห็นอาการค้างไม่ค่อยดี ก็เลยว่าจะพามาตรวจ----”
“ไม่!!”“ค้าง...”
“ไม่ไป... ผมไม่ไป... ไม่เอา” เขาส่ายหัว ในระหว่างที่ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“ค้าง หมอคนที่จะมาตรวจให้ค้างเป็นเพื่อนฉันเอง ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก”
“ไม่เอาครับ..” ยังยืนยันคำเดิม ผมเปลี่ยนตำแหน่งของเล็บนิ้วมือจากตักที่มีผ้ายีนส์ของกางเกงขายาวรองรับไว้มาเป็นแขนทั้งสองข้างของตัว
เองแทน และแรงจิกมันก็แรงพอที่จะทำให้เล็บนิ้วมือของผมฝังเข้าไปในเนื้อ คนตรงหน้าเริ่มสังเกตเห็น เขาทำสีหน้าเครียด
ออกมา ก่อนจะเลื่อนมือเย็นๆ มาจับข้อมือของผมแล้วออกแรงดึง เพื่อให้ผมปล่อยแขนตัวเอง
“ค้าง.. อย่าทำแบบนี้”
“หยุด! ปล่อยผม” ผมไม่เชื่อฟังคำพูดของคุณอัศวิน พยายามสลัดแขนของของออกจากแขนของตัวเอง
รวมทั้งดิ้นและขัดขืนแบบสุดฤทธิ์ จนกระทั่ง...
ใบหน้าหล่อเหลามีเคล้าความโกรธก่อนที่เขาจะใช้เสียงทุ้มนุ่มนั่นตวาดใส่ผม
“หยุดดื้อได้แล้วดิว! พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าที่พี่ทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงเราน่ะ”“...”
ผมเงียบ หยุดการกระทำทุกอย่าที่ตัวเองกำลังกระทำ จ้องมองเขาที่ทำหน้าเหมือนกับว่าเผลอหลุดพูดอะไรที่ไม่ควรไป
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าผมจะเริ่มสงบสติอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ใช่ว่าผมจะเข้าใจในประโยคที่เขาพูด
คุณอัศวินถอนหายใจแล้วค่อยๆ คลายแรงที่รั้งข้อมือผมออก เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ขัดขืน หรือทำร้ายตัวเองอีก...
“ขอโทษทีนะค้าง ฉันคงสับสนนิดหน่อย”
“....”
“เข้าไปข้างในเถอะ”
“แต่ผม...”
“ไปเถอะ มีฉันอยู่ทั้งคน”
ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้น รอยยิ้มบางที่เป็นเอกลักษณ์เองก็กลับมาแล้ว มือใหญ่ของเขายกมือขึ้นทาบลงบนหัว
ผมเลยตัดสินใจยอมลุกออกจากเบาะนั่ง ก่อนจะสังเกตเห็นยามของโรงพยาบาลที่พึ่งวิ่งมาถึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า
แน่นอนว่าผมส่ายหน้า แต่ผู้ชายที่ยืมอยู่ข้างผมเขายิ้มรับคำถามยามก่อนตอบ
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่พา
เด็กกลัวโรงพยาบาลมาหาหมอน่ะครับ”
----------------------------
“อ่าว คุณอัศวิน สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“วันนี้นัดคุณหมอไว้เหรอคะ?”
“ครับ”
“นั่นสินะคะ ดิฉันก็ว่าทำไมวันนี้คุณหมอถึงเข้า เชิญค่ะ คุณหมอคงรออยู่ห้องตรวจที่ 4”
พอสอบถามกับพยาบาลสุดสวยแผนกประชาสัมพันธ์ที่มองคุณอัศวินราวกับจะกลืนกินเขาทางสายตาเสร็จเรียบร้อย
คุณอัศวินก็หันมาวางมือลงบนหัวแล้วลูบหัวผมสักพักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือของผมแล้วจูงให้เดินตามไปแทน
ยังไงไม่รู้สิ แต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยง ที่ถูกเจ้าของพามาโรงพยาบาลยังไงยังงั้น
และแล้วเขาก็พาผมมาหยุดอยู่ที่ห้องตรวจที่มีเลข 4 แปะโชว์เด่นหรา ผมมองประตูห้องแล้วกลืนน้ำลายลงคอ
สลับกับมองคุณอัศวินที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน
“เข้าไปกันเถอะ-----”
ยังไม่ทันที่คุณอัศวินจะพูดจบ ประตูห้องตรวจที่ 4 ก็เปิดออก พร้อมกับร่างของผู้ชายหน้าสวยใส่ชุดกาวน์สีขาวที่สูงประมาณผม
แทรกผ่านประตูออกมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเรา
“น้องค้างใช่ไหมครับ?”
ผมพยักหน้าให้ช้า พยายามอ่านป้ายชื่อที่ติดไว้บนอกเสื้อของคนที่คิดว่าจะเป็นหมอตรงหน้า
นพ.. ---
“ของแบบนี้อย่าไปสนใจเลย เรียกว่าหมอแพตก็ได้” ไม่ว่าเปล่า มือขาวๆ ที่โผล่พ้นเเขนเสื้อยาวๆ ของเสื้อกาวเลื่อนไปดึง
ป้ายชื่อออกแล้วโยนเข้าไปในห้อง
“เริ่มตรวจกันเลยไหม”
หมอแพตที่ว่าถามอีกรอบ และผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตอบคำถาม คุณอัศวินพยักหน้าตั้งใจจะเดินเข้าไปในห้องหากแต่...
“อะแฮ่มๆ คุณอัศวินครับ กรุณานั่งรอด้านนอกด้วยนะครับ”
พอได้ยินประโยคที่หมอบอกผมก็สะดุ้งโหยง หันกลับไปมองคุณอัศวินที่ทำหน้าซังกะตายใส่หมอ ก่อนจะหันมาพูดกับผม
“ฉันรออยู่ข้างนอกนะค้าง”
“เอ๋!!?” ก็ไหนบอกจะอยู่ด้วยไง!!
ผมกระพริบตาปริบๆ ตั้งใจจะเอ่ยปากขอ แต่ไม่ทันการเพราะข้อมือของผมถูกหมอที่พาฉุดให้เข้าไปในห้องแล้ว
หมอหน้าสวยคนดังกล่าว ยิ้มร่า หัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ พลางบอกให้ผมนั่งลงตรงหน้าเขาด้วย
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ครับน้องค้าง พอรู้นะว่าน้องกลัว งั้นเปลี่ยนเป็นเรียกหมอว่าพี่แพตดีไหมครับ?”
“ครับ” ผมพยักหน้าให้ คิดว่าคงจะไม่เป็นไร เพราะหมอ... เอ่อ พี่แพตเขาเป็นเพื่อนของคุณอัศวินและก็ยังน่ารักมากๆ มากๆ
ทั้งนิสัย แล้วก็หน้าตาด้วย ระหว่างที่สอบถามอาการผมอยู่ก็เป็นธรรมชาติราวกับเรากำลังคุยเล่นกัน จนกระทั่งพี่เขาบอกให้ผมลุก
แล้วเดินนำไปเอกซเรย์ จริงๆ ถ้าแค่เอ็กซเรย์ผมคงจะไม่อะไรเท่าไหร่ แต่นอกจากนั้นก็ยังพาไปตรวจอะไรต่อมิอะไรอีก
หลายอย่าง ทั้งวัดความดัน เจาะเลือดไปตรวจ บลาๆ หลายอย่างจนผมแถบอยากจะร้องไห้ออกมา (ถ้าไม่ได้พี่แพตที่ใช้หน้าตา
น่ารักๆ นั่นหลอกล่อผมล่ะก็... อย่าหวังว่าผมจะยอม)
กว่าจะเสร็จก็เล่นเอานานอยู่ (รวมล้างแผลด้วย) ผมเดินตามพี่แพตมาหาคุณอัศวินที่นั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่เก้าอี้แถวหน้า
เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เขาอย่างหมดแรง
“เสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม คิดว่าอีก 2-3 วัน ผลตรวจคงออกน่ะ เดี๋ยวติดต่อไปทีหลัง”
พี่แพตตอบรีบๆ ก่อนจะขอตัวเดินกลับไปประจำห้องตรวจ โดยที่ผมไม่ลืมจะยกมือไหว้พี่เขาเป็นการขอบคุณ ส่วนผู้ชาย
ที่นั่งข้างๆ ผมก็หันมาเหล่สายตามอง ก่อนฉีกยิ้มขว้าง แขนหนาๆ นั่นรั้งหัวของผมให้เอนมาสบไหล่เขาก่อนจะเอ่ยกระซิบเบาๆ
“เก่งมากครับเด็กดี”
“...”
พอได้ยินแบบนั้นแล้ว พลันอาการเหนื่อยล้าเมื่อคู่หายเป็นปลิดทิ้ง ผมดิ้น ออกแรงรั้งหัวตัวเองออกจากแขนของคุณอัศวิน
ผมหลบสายตานั่งก้มหน้าก้มตามองตักของตัวเอง เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นเข้า...
“เสร็จแล้ว... กลับกันเถอะครับ”
...ใบหน้าของตัวผมเองที่เริ่มแดงขึ้นมา
----------------------------
ความจริงพวกเราควรจะกลับไปทำงาน ทำหน้าที่ให้เรียบร้อย เพราะโดดมานานพอสมควรแล้ว และตัวต้นเหตุก็หาใช่ใครไม่
นอกเสียจากลูกค้า VIP ที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถจำเป็นให้ผม ส่วนตอนนี้เป้าหมายที่เขาจะพาผมไป คือ คอนโดของผม
เองครับ
ผมหมดสภาพนั่งกุมหัวที่ปวดตุบๆ จนแทบอยากจะอ้วกออกมา อาการที่ขึ้นเกิดขึ้นได้เมื่อสักครู่ คุณอัศวินก็เลยบอกให้ผมพัก
โดยเขาจะขับรถไปส่ง แล้วเดี๋ยวจะโทรไปบอกเจ๊ซาช่าให้ บอกตามตรงว่าผมโครตเกรงใจ แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะลืมตา
มองดูทาง
“ค้างปวดมากเลยเหรอ”
((พยักหน้า))
“ไปโรงพยาบาลไหม?”
เมื่อกี้ก็พึ่งไปมาไม่ใช่เหรอครับ แน่นอนว่า...
((ส่ายหัว))
ได้ยินคุณอัศวินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเงียบไป ผมทนกับอาการปวดหัวของตัวเองเงียบๆ คนเดียวสักพัก ไม่แน่ใจว่านาน
หรือเปล่า แต่ในที่สุดรถการเคลื่อนที่ ผมลืมตาขึ้นมองเห็นตึกใหญ่ๆ ที่สุดแสนจะคุ้นเคยของตัวเอง ผมกัดฟันระงับอาการปวดหัว
แล้วฝืนมือที่สั่นเกร็งของตัวเองไปปลดเข็มขัดนิรภัย แต่มัน...ยาก คุณอัศวินเลยเอื้อมมือมาปลดให้เอง
“ค้าง เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่ห้อง”
“ม.. ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ก็รบกวนจะแย่”
ไม่เป็นไรบ้างเอ็งสิน้ำค้าง ! จะยืนยังไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่าเลย...
แต่คุณอัศวินก็ดื้อพอผมควร เขาดึงดันจะขึ้นไปส่งผมถึงห้อง เอาเถอะ ผมไม่มีแรงมาแย้งเขาหรอก แต่ถึงงั้นก็เถอะ
อยากขอบคุณจากใจจริงๆ เพราะมีเขา ผมถึงได้ถึงห้องของตัวเองอย่างปลอดภัย ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์
แล้วส่งกุญแจห้องให้คุณอัศวินที่แบมือรอรับ ระหว่างที่เขาไขห้อง ผมก็ยืนกุมหัวพิงพนัง ขอบคุณตัวเองที่ยังคงมีแรงยืนอยู่
พอคุณอัศวินไขเสร็จ เขาก็หลีกทางให้ผมเดินผ่านประตูเข้าไปในห้อง และด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว...
“พี่ค้างงง เซอร์ไพรส์!” เจ้าของเสียงยิ้มร่าก่อนจะพุ่งออกจากห้องนอนเข้ามากอดผมโดยที่ไม่ได้สนใจจะดูสภาพผมตอนนี้เลย เพราะการกระโจน(?)
เข้ากอดทำให้ผมที่ไม่มีแรงจะยืนอยู่แล้วเสียหลักเซถอยไปด้านหลัง โชคดีที่ถอยไปชนคุณอัศวินพอดีเลยไม่ได้ล้มลงไปบนพื้น
ใบหน้าหล่อที่ติดจะหวานไปสักหน่อยเงยขึ้นมามองผม
“Happy Belated Birthday my Bro---- อ่ะ..”
น้ำเสียงสดใสร่าเริงเอ่ยบอกผมทั้งรอยยิ้ม แต่ยังไม่ทันที่จะจบประโยครอยยิ้มน่ามองที่อยู่บนหน้าของ
น้องชายตัวดี
ของผมก็สลายหายไป ดวงตาสีน้ำตาลมองเลยไปยังคนด้านหลังของผม
“นิ้ง?” ผมเรียกชื่อน้องชาย ในขณะนิ้งถอยออกห่างจากผม ริมฝีปากบางสีสวยนั่นเอ่ยคำบางคำออกมา...
“พี่วิน?”
พี่วิน.... ? เป็นคำๆ เดียวที่ฉุดให้อาการปวดหัวของผมปะทุอีกครั้ง ผมยกมือขึ้นกุมหัวที่มีแต่ชื่อนั้นดังอยู่ในหัว..
แต่เสียงเรียกชื่อที่ดังในหัวไม่ใช่เสียงของนิ้ง มันเป็นเสียง...
พี่วิน..... พี่วิน.... พี่วิน..... ของผม
ผมปล่อยตัวเองทรุดลงกับพื้นโดยคำสุดท้ายที่ได้ยินจริงๆ ผ่านหูคือเสียงเรียกของทั้งน้องชายของผมและคุณอัศวิน
“พี่ค้าง/ดิว!!” TBC-----------------------------
สวัสดีค่ะ หายไปนานคิดถึงฉันไหม !?
//โดนคนอ่านตบตี
ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านนิยายของเรานะค่ะ น่ารักมากเลย ฮรือ ขอบคุณที่ยังอ่านอยู่ค่ะ
ไหนๆ เราก็กลับมาอัพเดรตนิยายเรื่องนี้เเล้ว คิดว่ายังมีคนตามอ่านอยู่นะคะ ><
ขอบคุณคอมเมนต์ที่เป็นกำลังใจให้เราเสมอมา เม้นยาวๆ นี่ชอบมากค่ะ //ฮา
Talk about ตัวละครกันหน่อยดีกว่า ตอนนี้มีตัวละครใหม่โผล่ออกมาล่ะ #เย้
ชื่อของเชาคือ นิ้ง หรือ
'คะนิ้ง' น้องชายแท้ๆ ของน้ำค้างที่ห่างกัน 2 ปีค่ะ !
ส่วนเรื่องจะอะไรยังไง ก็ต้องติดตามกันในตอนต่อไปน้า รักทุกคนนนน
หมอแพตเป็นคนๆ เดียวกับแพตที่ปรากฏตัวใน Ch.00 ของเรื่อง The Betray คนทรยศ ค่ะ
(การทีนางโผล่ออกมาในเรื่องนี้ก็เป็นการสปอยล์แล้วว่านางรอด ฮา)