[เรื่องสั้น] Birthday Party : อยู่ดีๆ ก็ตกหลุมรัก Ch.05 24/05/2558 {อัพตอนใหม่!}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Birthday Party : อยู่ดีๆ ก็ตกหลุมรัก Ch.05 24/05/2558 {อัพตอนใหม่!}  (อ่าน 3430 ครั้ง)

ออฟไลน์ seijatachi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


สวัสดีค่ะ.. พบกันอีกแล้วนะคะ ครั้งนี้หนีงานมาเปิดเรื่องใหม่ยามค่ำคืน
อะไรไม่รู้ แต่รู้สึกเหมือนจะมีโซ่มาคล้องคอตัวเองอีกหนึ่งเส้นแล้วล่ะ
ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยอีกเรื่องนะคะ

                                                                                - Sei

Birthday Party : อยู่ดีๆ ก็ตกหลุมรัก

วันเกิด... เป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2015 15:15:40 โดย seijatachi »

ออฟไลน์ seijatachi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Celebration 1 : Birthday Party


“พี่สัญญาได้ไหม? ว่าจะอยู่ข้างๆ ผม”


“ได้ครับ”


“สัญญาได้ไหม? ว่าจะไม่ทิ้งผม”


“ได้ครับ”


“สัญญาได้ไหม? ว่าถ้าผมไม่เหมือนเดิมก็ห้ามไปจากผม”


“ได้ครับ พี่สัญญา เพราะงั้นไม่ต้องกลัวนะครับ...”

ริมฝีปากจุมพิตลงบนหน้าผากขาว ก่อนจะยกมือลูบไล้เรือนผมสีขนกา แล้วกระซิบเสียงเบาข้างหู


“หลับตาซะ คนดี พอ... ลืมตาขึ้น ทุกๆ อย่างจะไปเป็นไปด้วยดี”

----------------------------

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ น้ำอุ่นๆ ที่ขังไว้ในดวงตาสร้างความรำคาญไม่น้อยจนผมต้องยกมือขึ้นมาปาดมันออกเร็วๆ
ก่อนที่จะมีคนอื่นมาเห็น การละเมอร้องไห้ตอนหลับฝันถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ส่วนสาเหตุก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ผมฝันเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแรกแล้ว ทุกๆ ครั้งความฝันมักจะเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็น
สิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ


ผมบิดขี้เกียจ ยืนแขนยืดขา แล้วเปิดปากหาวออกมาเบาๆ ก่อนจะต้องชักสีหน้าเบ้ปากเมื่ออาการปวดเมื่อยที่คอและไหล่
จะแล่นเข้าหาทันทีที่ขยับตัว


การฟุบหลับกับโต๊ะทำงานนี่มันไม่ดีเลยจริงๆ


“ค้าง! ค้าง!! นี่แอบหลับอีกแล้วเหรอ” เสียงเรียกชื่อตัวเองที่ดันแล่นซะจนคนทั้งออฟฟิศหันมามอง ผมยิ้มแหยๆ ให้สาวสวย
เช้งที่แต่งหน้าจัดซะจนน้ำหนักของเมคอัพบนหน้าอาจจะหนักประมาณ กิโลฯสองกิโลฯเลยล่ะมั้ง


เอ๊ะ! อะไรนะ??  ผมพูด’เว่อร์ไปเหรอ?


“ครับ ขอโทษครับ เจ๊ชัย”


“ต๊าย !! บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเรียกชื่อเก่าเจ๊น่ะ เรียกซาช่าสิ ซาช่า”

เธอบอกพลางยื่นมือเข้ามาหยิกแก้มผมเบาๆ แล้วเหยียดยิ้มเย็นใส่อย่างน่ากลัว เล่นซะผมเหงื่อตก ก่อนจะรีบขยับหน้า
ตัวเองขึ้นลงเบาๆ


“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ เจ๊ซาช่า”


“ดีมากๆ น่ารักอย่างนี้สิน้ำค้างของเจ๊ เพราะน้ำค้างน่ารักมากหรอกนะ เจ๊ถึงได้ไม่เอาเรื่อง ทั้งเรื่องนอนหลับในเวลางาน
แล้วก็เรื่องเรียกชื่อเก่าเจ๊ด้วย หึหึ”


เธอปล่อยแก้มผมแล้วเอ่ยเสียงเย็น อดลูบแก้มเพื่อเช็กไม่ได้ว่าเนื้อบนแก้มของผมไม่ได้แหว่งหลุดติดมือคนสวยตรงหน้านี่ไป
หรือเปล่า เอ้อ จริงๆ แล้วผมเองก็ลืมบอกไปสินะครับ จริงๆ แล้วเจ๊แกก็ไม่ใช่ผู้หญิงแท้แต่อย่างใด แต่สมัยนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น
เพศไหนก็ตาม ก็มีสิทธิ์สวยหล่อกันได้ทั้งนั้น


ส่วนชื่อ น้ำค้าง เป็นชื่อของผมเองครับ เรื่องที่ทำไมถึงชื่อแบบนี้น่ะเหรอ... เรื่องนั้นผมขี้เกียจจะตอบแล้วล่ะครับ ตั้งแต่เกิดมา
ก็พูดเหตุผลเรื่องตัวเองได้ชื่อนี้มาได้ยังไงซะจนเบื่อแล้ว เอาเป็นว่า.. พ่อผมเป็นคนตั้งให้เนื่องจากคิดว่าผมจะเกิดมาเป็นผู้หญิง
แต่พอดันออกมาเป็นผู้ชายก็หาชื่อให้ไม่ทัน นอกนั้นพ่อเองก็ชอบชื่อนี้มากๆ เลยดึงดันจะใช้ชื่อนี้ตั้งให้ผมให้ได้ [สรุปคือเป็น
ความชอบส่วนตัวของพ่อผมครับ]


“ที่ผมหลับในเวลางานก็เพราะเมื่อคืนผมโต้รุ่งทำประวัติลูกค้าเสร็จหมดแล้วน่ะสิครับ”


ปัจจุบันอายุ 23 ปี ทำงานให้กับบริษัทอะไรสักอย่าง(?) ที่ได้รับตำแหน่งสำคัญที่คนในออฟฟิศเรียกกันว่า Face หรือก็คือ
Face of company นั่นเอง..


“อ้อ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย คืนนี้ว่างสินะ”

เจ๊ถามผมพลางยื่นมือมาหยิบเอกสารข้อมูลลูกค้าที่ผมหยิบจากบนโต๊ะเอกสารขึ้นมาส่งให้


“ว่างสิครับ”

ผมตอบด้วยน้ำเสียงหวาดระแวงเต็มที่.. สายตาจับจ้องสาวสวยหุ่นดีตรงหน้าตาไม่กระพริบ ไม่รู้เจ๊แกมีแผนอะไรอยู่กันแน่


“แต่งหล่อๆ ไปเจอเจ๊ตอน 4 ทุ่ม ที่หน้าร้านเดิมนะ หึหึ”

เสียงหวานที่ผ่านการผ่าตัดมาเรียบร้อยร้องบอก ก่อนที่แกจะหันหน้าเดินจากไป พร้อมกับเสียงตะโกนซะดังลั่นออฟฟิศ


“คืนนี้ 4 ทุ่มร้านเดิม ปาร์ตี้วันเกิด Face เจ๊เลี้ยงเองทุกคน!!”


“เฮ!!!!!!”


เยี่ยม... ที่แท้ก็ไม่ใช่อะไร วันเกิดผมนี่เอง ผมยิ้มกับตัวเอง ก่อนที่ทุกคนจะทยอยกันเดินเข้ามาพูดสุขสันต์วันเกิดที่โต๊ะของผม
สีหน้ายิ้มแย้มที่ฝืดเต็มทนของผมถูกแต่งแต้มเป็นหน้ากากแล้วสวมเข้าหาเพื่อใช้กับทุกคน ปิดบังอาการปวดหัวที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้น
แล้วค่อยๆ รุนแรงซะจนภาพตรงหน้าพร่าเลือน


ผมเก็บของที่จำเป็นต้องใช้บนโต๊ะตัวเองลงกระเป๋าเร็วๆ


“ทุกคน เจอกันคืนนี้ครับ”


บอกลาก่อนจะพาร่างตัวเองเดินออกจากที่ตรงนั้น


วันที่ 16 ธันวาคม เพราะเป็นวันนี้เองสินะ... ความฝันนั่นถึงได้ชัดเจนขนาดนี้ อาการปวดหัวถึงได้รุนแรงขนาดนี้...
เพราะอย่างนี้ผมถึงได้ไม่ค่อยชอบวันเกิดตัวเองสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว... แล้วหกปีที่แล้ว.. ผมทำอะไรอยู่กันนะ

----------------------------

เวลา 4 ทุ่ม 30 นาที

ผมพึ่งถ่อสังขารตัวเองมาถึงร้านเดิมที่เจ๊ซาช่านัดไว้ ไม่ใช่เพราะผมสายหรือผมเป็นคนผิดอะไรทั้งนั้นหรอกครับ ก็ในเมื่อเจ้าของ
งานอย่างผมสมควรจะมาช้านี่นะ...(ไม่ใช่อะไรหรอก กินยาแล้วนอนพัก จากนั้นก็นอนเพลินจนพึ่งตื่นเมื่อ 50 นาทีที่แล้วน่ะ)


“ไอ้บ้าค้าง มึงมันสายยยย!”

ยังไม่ทันจะก้าวเข้าหน้าร้าน เพื่อนที่ปกติจะนั่งโต๊ะทำงานข้างๆ ก็เข้าชาร์ทซะจนผมเซ ก่อนจะเงินหน้าขึ้นมองหน้าหล่อๆ
แนวๆ เหมาะกับวัยที่พึ่งจบจากมหา’ลัยมา


“ก็ไม่ใช่ว่ามึงสายด้วยเหรอไฟท์”


“โอ๊ย เรื่องนั้นช่างมันเหอะ ป่ะๆ ไปกันดีกว่า เดี๋ยวเจ๊โกรธเอานะ”
 
พอยกเรื่องตัวเองมาพูดถึงกลับตัดบทกันเลยทีเดียว เจ้าของชื่อลากผมเข้าไปในร้านโดยไม่รีรอ พอเข้าไปก็ต้องพบกับ... 


“มวลมหาประชาชน แมร่งยกกันมาทั้งออฟฟิศ!”

 คนข้างๆ บรรยายแทนผมเรียบร้อยแล้ว มันวิ่งอย่างเริงร่าเข้าไปรวมกลุ่มกับพี่ๆ ที่รู้จักโดยไม่ลืมฉุดผมไปด้วย


“สวัสดีครับทุกคน”

ระหว่างที่ไล่ยกมือไหว้ไปเรื่อยๆ ก็ดันไปสบสายตากับเจ๊ซาช่าที่ท่าทางจะอารมณ์เสียเอามากๆ ดวงตากรีดอายไลเนอร์
ซะจนคมกริบจ้องผมเขม็ง


“ช้า”


“ขอโทษครับ”


“ค้างมานั่งนี่” เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยบอก ผมมองหน้าเจ้าของเสียงที่ยันคงตีหน้านิ่ง


ไม่นึกเลยว่าคนที่งานยุ่งขนาดเขาจะมาด้วย ถึงแม้มันจะเป็นวันเกิดผมก็ตามที ผมหุบยิ้มลง มองเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ก่อนจะกวาด
สายตามองผู้ร่วมโต๊ะอย่างเสียมารยาท..


แม้แต่ระดับผู้บริหารยังมา... ให้ตาย


“กูไปนั่งก่อนนะ” ผมโบกมือให้ไฟท์ก่อนจะบลีกตัวมานั่งข้างๆ เขาที่ฝั่งตรงข้ามมีเจ๊ซาช่านั่งอยู่


“สวัสดีครับคุณเอแทน” ผมยกมือไหว้เขา ก่อนจะเริ่มไหว้ระดับผู้บริหารท่านอื่นๆ ที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วย พร้อมกับเจ๊ซาช่า


“หล่อได้แค่นี้เหรอย่ะ”


“ครับ”

ผมตอบเบาๆ คิดว่าตัวเองไม่ได้แต่งตัวแย่ขนาดนั้นหรอกนะ แต่เพราะมันเป็นปาร์ตี้วันเกิด.. ปาร์ตี้วันเกิดผมไง ถึงได้ใส่เสื้อ
แขนสั้นทับด้วยแจ๊คเก็ตหนังสีดำ กับกางเกงยีนส์เอวต่ำ และรองเท้าผ้าใบ...


“ไม่บอกสักคำนะครับว่าระดับผู้บริหารจะมาด้วย” ผมพูดเรียบๆ อาจจะดูเสียมารยาทมากๆ เพราะระดับผู้บริหารหลายคนก็นั่ง
อยู่ด้วย แต่จริงๆ แล้วคนที่ผมเล็งโจมตีจริงๆ คือคนข้างๆ ต่างหาก


“ต้องมาอยู่แล้วสิ วันเกิดค้างทั้งที” เขาเองก็พูดเสียงเรียบไม่แพ้กัน มือหนาๆ เอื้อมมือโอบเอวผมไว้ เพราะตกใจ ไม่คิดว่า
เขาจะทำอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ ผมจริงเผลอหลุดหน้าเหวอๆ ของตัวเองออกไป..


“เอแทน”

พอตั้งสติได้จึงหันไปตวัดสายตาใส่เขาที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มๆ แบบผู้มีชัยชนะแทน


“ยอมเรียกชื่อฉันตรงๆ แล้วเหรอ”

เขากระชับมือที่โอบเอวผมแน่นขึ้น ก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบต่ำข้างหูซะจนผมเหวออีกรอบ คราวนี้ตั้งสติตัวเองได้เร็วหน่อย
จึงแกะมือปลาหมึกที่โอบเอวผมไว้ออก แต่.. ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อย แบบนี้นะ!


“คุณ.. สายไปแล้วครับ”

เพราะงั้นผมถึงจำเป็นต้องงัดประโยคนี้ออกมาพูด ผมจ้องหน้าเขาอย่าเอาเรื่อง ประมาณว่าถ้าไม่ปล่อย เจอมากกว่านี้แน่
และมันก็ได้ผลเมื่อหน้าหล่อๆ ของเขาชะงักนิ่งกลับเป็นสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม มือที่เคยโอบเอวผมไว้ผ่อนแรงลงทำให้ผม
อาศัยจังหวะนั้นพลักมันออกแล้วเขยิบเก้าอี้ออกห่างจากเขา


เขาเอ่ยคำๆ หนึ่งเบาๆ โดยที่ยังไม่มองหน้าผมเลย


“ขอโทษ..”


เพราะคำๆ นั้นทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมา


“เอาล่ะๆ ให้เจ้าของวันเกิดกล่าวอะไรสักหน่อยดิกว่า ค้างขึ้นเวทีสิจ๊ะ”

ผมยิ้มขอบคุณเจ๊ซาช่าที่เข้ามาช่วยได้ทันเวลาพอดี ก่อนที่บรรยากาศจะแย่ไปกว่านี้


ในจังหวะที่ลุกขึ้นยืนก็เรียกเสียงเฮดังสนั่นซะจนผมรู้สึกประหม่านิดหน่อย แน่นอนว่าพอขึ้นไปจับไมค์บนเวทีแล้วมันยิ่งกว่า
ที่คิดไว้


“สวัสดีทุกคนอีกครั้งครับ”


“เฮ!!!!”


เอ่อ.. รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว


“นี่... ครั้งแรกที่มีคนมางานวันเกิดมากขนาดนี้  ขอบคุณเจ๊ซาช่าที่จัดงานนี้ขึ้นมา ขอบคุณทุกคนที่มางาน ขอบคุณมากครับ”

ผมยิ้ม.. ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไรดีแล้ว ระหว่างที่กวาดสายตามองไปรอบร้านโดยเลี่ยงหน้าสุดโต๊ะที่มีเขานั่งอยู่


“ขอให้ทุกคน... สนุกกับงานครับ”


“เฮ!!!!”

พอกล่าวจบเสียงเฮปิดท้ายพร้อมกับเสียงปรบมือก็ดังขึ้น ผมละมือจากไมค์ ในจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ภาพตรงหน้าก็
พร่าเลือนขึ้นมา อาการปวดหัวก็จู่โจมอย่างกะทันหันซะจนแทบไม่มีแรงยืน ผมยกมือกุมหัวที่ปวดหนึบของตัวเอง


“ค้าง!!!/ว้ายยย!!!”

เสียงร้องอย่างตกใจของคนหลายคนดังขึ้นในจังหวะที่ผมปล่อยร่างตัวเองลงไปกับพื้น เตรียมรับแรงกระแทกพื้นเรียบร้อย


หากแต่...


“เป็นอะไรหรือเปล่า?”


ไม่รู้สึกเจ็บแหะ... ผมค่อยลืมตาตัวเองช้า ภาพตรงหน้าทำเอาผมชะงัก เสียงทุ้มนุ่มที่ค่อยข้างคุ้นหูเอ่ยถาม  ผู้ชายหน้าดี
อย่างกับหลุดออกมาจากนิตยาสารโมเดลชาย กับสายตาสีดำสนิทคมสวยที่มองผมด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั่นอีก..


“...” 


แต่ถึงยังไงผมก็ไม่รู้จักคนๆ นี้หรอกนะ


แล้วก็เพราะอยู่ดีๆ อาการปวดหัวก็หายไปเฉยๆ ผมจึงผละตัวเองลุกขึ้นจากอ้อมกอดที่โอบผมไว้ ยังไม่ทันที่จะพาตัวเองยืนบน
พื้นตรงๆ แขนผมก็ถูกใครสักคนดึงเข้าไปในไปหาซะจนผมเซล้มลงไปบนอ้อมกอดใครก็ไม่รู้อีกรอบ


“อะ!” 

และพอเงยหน้าขึ้นมองคนที่กอดผมซะแน่นก็ทำเอาคิ้วกระตุก พยายามแกะแขนที่โอบรอบลำตัวออกอย่างยากลำบาก


“คุณเอแทน! ปล่อยผมด้วยครับ”


“อยู่นิ่งๆ ก่อนได้ไหมค้าง?”

นอกจากยังไม่ทำตามที่ผมบอก แล้วยังอุส่าออกแรกกอดมากขึ้นอีก ทีนี้ขืนดิ้นอีกไม่โดนเขารัดตายเลยหรือไง เพราะงั้นผม
จะยอมอยู่นิ่งๆ แต่แค่แป๊ปเดียวนะ...


ผมพยักหน้าช้าๆ หยุดการดิ้น ไม่นานแรงที่กอดก็คลายออก แต่ก็ยังไม่ปล่อยผมให้เป็นอิสระอยู่ดี เอแทนสบสายตากับผู้ชายที่
ช่วยผมไว้ข้างหน้า สายตาของเขาน่ากลัวจนผมลอบกลืนน้ำลาย


“คุณอัศวิน!”

เสียงของเจ๊ซาช่าเข้ามาช่วยไว้อีกรอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมปลีกตัวออกจากอ้อมกอดนั่นได้สำเร็จ ผมเลือกที่จะไม่ใช้บันได
แล้วกระโดดลงจากเวทีแทน อยากจะหนีออกจากสถานการณ์ตึงเครียดให้ได้เร็วที่สุด พอลงมาอยู่ข้างล่างได้เลยเดินไปสมทบ
กับไฟท์ที่มองมาทางผมเช่นกัน


“เมื่อกี้เป็นไรว่ะ?”


“ลื่นล้ม”

โกหกหน้าตาย แถมนอกจากจะไม่มีใครเชื่อยังพากันส่ายหน้าระอาอีก


“สเต็ปการลื่นล้มนี่ต้องมีกุมหัวก่อนเหรอว่ะ? กูพึ่งรู้เลย- อุ๊ฟ!”

นอกจากจะพูดไม่สร้างสรรค์แล้วยังน่าหมั่นไส้อีก ผมกระทุ้งซอกใส่ท้องคนปากดีจนลงไปนั่งตัวงอบนเก้าอี้


ผมเงยหน้าขึ้นมองสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง ทั้งสองคนที่อยู่บนเวทีเดินลงจากเวทีเรียบร้อยแล้ว และก็อย่างว่าคนที่เจ๊ซาช่า
เรียกว่า คุณอัศวิน ก็นั่งร่วมโต๊ะเดียวกับผมด้วย


“คุณคนนั้นเป็นใครกันน้า ไม่เห็นรู้จักเลย”

คนข้างตัวผมในที่สุดก็เริ่มพูดได้อีกครั้ง


“มึงรู้จักเปล่าว่ะ กูเห็นเขาพึ่งเดินเข้ามาเมื่อกี้ พอเห็นมึงกุมหัว เขาแมร่งก็พุ่งขึ้นเวทีมารับเลยโว้ย พร้อมๆ กับคุณเอเทนเลย” 


“เหรอ..กูไม่รู้จักหรอก”

ว่าพลางเดินกลับโต๊ะตัวเอง


“ น้ำค้าง ไหว้หน่อยสิ คนนี้เขาคือคุณอิศวิน หุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัทเรา”

เจ๊ซาช่าที่ยืนรอผมอยู่อธิบายให้เสร็จสับ ผมยกมือไหว้รอบที่ร้อย(?)ให้กับคนที่ยังคงส่งยิ้มบางมาให้ผม ยกเว้นซะแต่คนข้างๆ
ที่นั่งจ้องหน้าคุณอัศวินเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


“คุณอัศวินนี่น้ำค้างค่ะ Face ของบริษัทเรา เจ้าของวันเกิดครั้งนี้ด้วย”


“ยังไงก็ขอบคุณคุณซาช่ามากนะครับที่ชวนผมมางาน”


นี่เจ๊ ชวนแม้แต่หุ้นส่วนเลยเหรอครับ!?


ผมลอบเงียบๆ คนเดียวในใจ


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงก็ขอให้คุณอัศวินสนุกกับงานนะคะ” เจ๊ยิ้มพราว รับรองว่าคนที่ไม่รู้ว่าเจ๊แกจริงๆ แล้วเป็นอะไรต้อง
ตกหลุมที่แกขุดไว้ทุกรายแน่ๆ แต่ดูท่าจะไม่ใช่กับคุณคนนี้หรอกนะ


เพราะดูเหมือนจะจ้องแต่ผมคนเดียวเลย


ซวย


“เอาล่ะทุกคน เจ้าภาพก็กล่าวเปิดงานเรียบร้อยแล้ว เรามาเป่าเค้กกันเถอะ”
 
คำๆ หนึ่งที่ผมได้ยินจากประโยคนั้นทำเอาคิ้วกระตุก ไม่คิดว่าโตขนาดนี้แล้วจะต้องมานั่งเป่าเค้กในวันเกิดตัวเอง...
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้พูดเล่นๆ ไม่ว่าเปล่าเจ๊ซาช่าดีดนิ้วเพลาะ หนุ่มใส่แว่นที่ผมจำได้ว่าเขาอยู่แผนกจัดซื้อก็ลุกขึ้นยืน
ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องเค้กสีน้ำเงินที่วางอยู่เนียนเป็นกล่องของขวัญ


ซึ่งรับประกันได้เลยว่าถ้าไม่บอกว่านั่นคือกล่องเค้กล่ะก็... ก็คงคิดว่าเป็นกล่องของขวัญไปแล้ว


“ปิดไฟจ้ะ”


“เฮ!”


รอบๆ ตัวมืดลงทันทีพร้อมกับไฟสีส้มอ่อนที่เป็นแสงๆ เดียว ส่องสว่างสไหวโดนเด่นในความมืดมิด


“Happy Birthday to you, Happy Birthday to you...” ทั้งเสียงร้องเพลงและเสียงปรบมือเข้าจังหวะดังมาให้จากทิศทางรอบๆ
ทุกทิศ ผมก็รู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังค่อยๆ เข้ามาร่วมล้อมวงผมไว้ 


“...Happy Birthday... to you” พอเพลงจบผมก็ทำหน้าที่อย่างรู้งาน ผมก้มลงไปเป่าเทียนสองเล่มที่ปักไว้บนเค้กที่ถูกยื่นมาไว้
ให้ตรงหน้า


การเป่าเค้กวันเกิดจบลงด้วยดี พอเสร็จเรียบร้อยไฟรอบๆ ตัวก็ติดขึ้นมาเผยให้เห็นภาพเค้กครีมสีขาวที่เขียนไว้ตรงกลางว่า


‘Happy Birthday, Face of company’


ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีเทียนเล่มใหญ่สองเล่มที่ปักเลข 2  กับ 4 อยู่ตรงกลางก็ตาม  ไม่นานเค้กชิ้นใหญ่ก็ถูกตัดแบ่งแจกจ่ายไปทั่ว
ความจริงแล้วเห็นว่ามีเค้กแบบแยกเป็นชิ้นๆ จัดไว้ให้อีกที่ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ของหวานอย่างเค้กก็อยู่คู่กับสาวๆ น้อยนักที่ผู้ชาย
อย่างเราๆ จะสนใจ ส่วนใหญ่เลยไปสนใจอาหารที่เสิร์ฟบนโต๊ะแทน


ในขณะที่ floor เต้นเริ่มเปิดเพลงมันส์ๆ เรียกให้แต่ละคนนั่งไม่ติดที่กันสักเท่าไหร่


“เจ๊ซาช่า! แดนซ์ครับแดนซ์”

ไม่กี่อึดใจเสียงเชิญชวน(?)จากผู้ชายที่ลุกขึ้นไปเต้นที่ floor ก่อนก็ตะโกนมาทางผม เรียกรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้ปรากฏบนใบหน้า
สวยจัดเต็ม


เธอลุกขึ้นยืนตามคำชวน แต่ก่อนหน้านั้นก็เดินมาทางผมแล้วกระซิบข้างหูเบาๆ


“ของขวัญของเรา เจ๊รวบรวมไว้ให้แล้วที่โต๊ะนั้นแล้วนะ อยากแกะก็แกะ อยากเก็บก็เก็บ”

นิ้วมือเรียวสวยจรดปลายนิ้วอย่างสง่างามไปทางโต๊ะตัวยาวที่ผมพึ่งสังเกตเห็นตอนที่เจ๊แกบอกนี่แหละ...ไม่รู้ทำไมทั้งๆ ที่กล่อง
ก็พอๆ กับจำนวนคนตอนนี้แท้ๆ แต่ผมกลับไม่สังเกตเห็นเลย พอเคลียร์ธุระกับผมเสร็จสาวสวยหุ่นดีในชุดราตรีสีแดงก็เดินพริ้วไป
เต้นกับหนุ่มๆ ที่ยืนรออยู่ที่ Floor


ผมนั่งกินอาหารบนโต๊ะตัวเองไปเรื่อยเปื่อย แกล้งไม่ใส่ใจกับสายตาของคุณอัศวินที่มองผมตลอดตั้งแต่เมื่อกี้ อ้อ.. คนข้างๆ ที่
ผมเมินเองก็ด้วยเหมือนกัน จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโต๊ะช้าๆ เมื่อสังเกตว่าแม้แต่ระดับผู้บริหารหลายคนก็ลุกจากโต๊ะไปเต้นเหมือนกัน
หรือคนมีอายุหน่อยก็ปลีกตัวไปนั่งดริ้งค์ที่บาร์...


เอ.. ไปมั่งดีกว่า


กำลังจะเดินไปยังเป้าหมายตัวเองถ้าไม่ติดที่


“จะไปไหน?”

เสียงเข้มของคนข้างๆ ถาม ผมแกล้งทำเป็นเมินแล้วเดินหนีออกมาเฉยๆ โดยไม่ลืมพูดไว้อีกประโยคหนึ่ง..


“เรื่องของผม แล้วก็อย่าตามมา”

ก็แค่พูดดักไว้ ในเมื่อเอแทนทำท่าจะลุกตามอยู่ทุกเมื่ออยู่แล้ว

ผมเดินเร็วๆ ออกมา ตั้งใจจะออกจากตรงนั้นให้ได้เร็วๆ ระหว่างเดินไปที่บาร์ก็สวนเข้ากับไฟท์ที่พึ่งเดินกลับมาหาเครื่องดื่มที่โต๊ะ


“ไม่เต้นเหรอว่ะ?”


“ไม่ล่ะ”


“กลัวเต้นๆ อยู่แล้ววื้ดสิมึง ฮ่าๆ”


“ไอ้ไฟท์!”


จากนั้นก็วิ่งไล่กันรอบ floor สองสามรอบ เสียเวลาสักพักกว่าผมจะเดินมาถึงเคาน์เตอร์บาร์ พอเลือกมุมสงบๆ ได้เรียบร้อยก็หัน
ไปสั่งกับบาร์เทนเดอร์


“Martini”

ไม่นานเกินรอ เครื่องดื่มสีใสในแก้วสวยก็ถูกบรรจงวางตรงหน้า จริงๆ ก็เป็นคนไม่ชอบดื่มอะไรพวกนี้หรอกนะ โดยเฉพาะ Martini
ที่ค่อนข้างแรง ดื่มนิดเดียวก็มึนๆ เบลอๆ แล้ว ปกติไม่ได้เป็นคนสั่งเองแต่เป็น...


“จะคิดถึงทำไมล่ะเนี่ย”

พึมพำอย่างหงุดหงิดตัวเองเมื่อพึ่งนึกได้ว่าเผลอไปคิดถึงคนที่พึ่งเมินมาเมื่อครู่ มือของผมลูบไล้สัมผัสกับผิวเรียบเนียนของ
แก้วค็อกเทลก่อนจะยกมันขึ้นจิบ


“ขอนั่งด้วยได้ไหม”

เสียงเข้มของคนที่เดินมาใกล้ผมเอ่ยถาม  ผมเงยหน้าไปมองใบหน้าหล่อเหลาระดับที่สาวๆ แทบจะกรี๊ดกันสลบของอีกฝ่าย


“ได้สิครับ คุณอัศวิน”

ผมเอ่ยรับเสียงเบา พลางพยักหน้าหงึกหงักให้ ไม่ใช่อะไรหรอก... ก็เพราะว่าไม่มีเหตุผลที่สำคัญพอจะให้ปฏิเสธคำขอของหุ้น
ส่วนรายใหญ่ของเรา พอได้รับคำตอบเขาก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์


จะสั่งอะไรผมเองก็ไม่รู้หรอก เริ่มมึนๆ เบลอๆ หลังจากดื่มไปแค่แก้วเดียว จริงๆ ตัวเองก็ไม่ใช่คนคอแข็งอะไรอยู่แล้ว ที่มาสั่งก็
แค่ดื่มพอรู้รสชาติ... ไม่ได้กะให้เมา


“ค้างมีแฟนหรือยังครับ?”


หา... !?


ผมเงยมองหน้าหล่อๆ ของเขาที่จ้องลงมาแล้วทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อกี้นี้ผมหูฟาดไปเองหรือเปล่า คุณอัศวินยิ้มบางๆ ให้ก่อน
จะหยิบแก้วที่บรรจุน้ำสีเหลืองทองขึ้นจิบ


ระหว่างที่ผมประมวลผลคำพูดที่ได้รับ ดูเหมือนฝ่ายรอจะไม่ปล่อยเวลาเปล่า


“....ชีวิตเป็นไงบ้าง? ลำบากไหม? แล้วครอบครัวเราล่ะ?”


ผมตีหน้างง ก่อนจะเอ่ยถามเขา


“นี่อย่าบอกนะว่าคุณจะจีบผม?”


“แล้วค้างคิดว่าไง?”

อีกฝ่ายยกยิ้มก่อนให้ผม ใบหน้าหล่อๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของผม... ที่ยังคงนิ่งค้างเพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ ดวงตาคม
สีดำจ้องลึกเข้ามาในดวงตาราวกับจะสะกดตรึงผมไว้จนผมไม่กล้าขยับหนีไปไหน วินาทีที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ก็เป็น
จังหวะเดียวกับที่ผมรวมรวบสติที่มึนเบลอเพราะ Martini ที่ดื่มเข้าไปแก้วหนึ่ง จัดการยกแขนที่รู้สึกไม่ค่อยมั่นคงของตัวเองผลัก
ไหล่ของเขาออกห่าง


“ไม่.. ถึงตอนนี้ผมจะไม่มีแฟน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะจีบผมได้นะครับ”


“นี่เขาเรียกว่าเล่นตัวหรือเปล่า?”

รอยยิ้มจากใบหน้าหล่อๆ นั่น ตอนนี้มันดูกวนประสาทสิ้นดี


“ใครว่าผมเล่นตัว เหตุผลเพราะผม... ผมไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย!”

ผมเสียงดังใส่เขาอย่างลืมตัว ลุกขึ้นยืนพรวดพราดจนอาการปวดหัวนั่นเกิดขึ้นกะทันหันทำบวกกับอาการมึนๆ ของฤทธิ์แอลกอฮอล์  ทำเอาผมทรุดล้มลงไป แน่นอนว่าคงน็อคพื้นแน่ๆ ถ้าเขาไม่ได้เอื้อมมือมาฉุดผมลงนั่งอ้อมแขน


“!!”


“...อีกแล้วเหรอ?”

ยกมือของตัวเองขึ้นกุมหัว พยายามลืมตามองสีหน้าของเป็นห่วงของคุณอัศวิน.. ใบหน้าและสถานการณ์แบบเดียวกันเป็น
ครั้งที่สองของวันแล้ว


“ปล่อย.. ผมครับ”

ผมดิ้นออกจากอ้อมแขน เหมือนที่เคยดิ้น แต่นอกจากแรงกอดจะไม่ลดลงแล้ว มือหนาๆ เย็นๆ ก็เลื่อนจากแผ่นหลังมาลูบไล้เบาๆ
บนหัวผมแทน


จะว่าไงดี.. ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ แต่ว่า..


“ปล่อย”


แต่ว่า.. รู้สึกร้อนๆ จนแทบอยากจะละลาย


“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

ผมได้ยินเสียงของบาร์เทนเดอร์เอ่ยถามอย่างสุภาพ ถึงแม้ตัวผมเองอย่างจะตอบ แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้


“เอ่อ ไม่ครับ รบกวนช่วยติดต่อเจ้าของ เปิดห้องที่ดีที่สุดให้ด้วยครับ”

ได้ยินเสียงคนที่ประคองผมในอ้อมแขนตอบกลับไป... และเนื้อความในประโยค ก็ทำให้ผมรู้สึกได้เลย


ไม่ดีแน่ๆ


นอกจากจะขัดขืน แล้วยังทำอะไรไม่ได้สักอย่าง... สติที่ค่อยๆ ลืนลางเรื่อยๆ ในที่สุดก็ดับวูบไป


TBC-----------------------------


ตอนที่หนึ่งเคลียร์ค่ะ ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ^^

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
เป็นเรื่องสั้นที่ตอนแรกยาวมากค่ะ
สรุปหนูค้างเป็นอะไรอ่า ความจำเสื่อมหรอคะ
แงๆๆๆ หนูก็ค้างค่ะคนเขียน รีบมานะคะ
 :L2:

ออฟไลน์ boy2gether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
อ่านแล้วต้องสมาธิดีๆ อันไหนเรื่องจริง อันไหนเรื่องฝัน

สำนวนเขียนชอบนะคะ เท่ดี

แต่เราเป็นคนอ่านหนังสือไม่แตก จะพยายามไม่อ่านแบบข้ามๆ นะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หวังว่าน้ำค้างจะรอดเงื้อมืออัศวินนะ

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
อัศวินนี่เป็นคนในฝันน้ำค้างหรอ
แล้วพาเปิดห้อง? คือไรอะ
มาดีมาร้ายละเนี่ยะ

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
เอ๊ะ ๆ ใครคือพระเอกกันแน่ คุณเอแทนหรือคุณอัศวิน  :hao7:

ออฟไลน์ seijatachi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Celebration 2 : Customer


“พี่(...) อ...อย่า”


“คิกๆ น่ารักจังน้า----”


“อ่ะ!! อ้า...”

   เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มยังคงดังเบาๆ ก่อนที่ริมฝีปากจะประทับจูบลงบนลำคอขาวฝากรอยสีกุหลาบแดงตัดกับสีผิว
แสงจันทร์กระทบใบหน้าหล่อเหลาที่แลดูพึงพอใจกับเสียงครางหวานของคนใต้ร่าง มือใหญ่ลูบไล้ผิวกายเนียนก่อนจะเลื่อนไล้เข้าไปใต้เรือนผมสีขนกา


“ไม่ต้องกลัวไป พี่จะทำเบาๆ”

----------------------------

เฮือก!


“!!!”

ผมสะดุ้งตื่นจากฝัน พร้อมกับอาการปวดหัวและมึนงงที่ไม่ได้รุนแรนขนาดที่ผมจะทนไม่ไหว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือ
ขึ้นกุมเอาไว้ตามความเคยชินราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาได้สักนิดหน่อย


หลังจากที่พยายามลืมตาเต็มๆ ตาอยู่นานในที่สุดก็สำเร็จ ผมกวาดสายตามองรอบๆ ไปทั่ว และก็ได้รู้ว่าตัวเองกำลังนอน
ห่มผ้าอยู่บนเตียงขนาดคิงไซน์ที่นอนสบายสุดๆ จนแทบไม่อยากจะลุก ผมเลยตัดสินใจนอนคิดทบทวนลำดับเหตุการณ์
สักพัก...


ประโยคหนึ่งประโยคที่ดังก้องอยู่ในหัวเมื่อความทรงจำถูกเรียกตรวจสอบ


“เอ่อ ไม่ครับ รบกวนช่วยติดต่อเจ้าของ เปิดห้องที่ดีที่สุดให้ด้วยครับ”


“!!!”

แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ โดยคราวนี้ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงใหญ่ และเพราะลุกเร็วไปทำให้หน้ามืดนิดหน่อย ไม่รู้จะดีใจ
หรือเสียใจดีเมื่ออาการดังกล่าวนั่นทำให้ผมได้สังเกตเห็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนหลับอยู่ข้างๆ กับที่ๆ ผมนอนอยู่เมื่อครู่


ใบหน้าหล่อแต่ออกแนวยุโรปนิดหน่อยจากสายเลือดที่ได้ทางโน้นมาครึ่งหนึ่งกำลังหลับแบบสบายสุดๆ โดยสีหน้าก็ยังคงนิ่งเฉย
เป็นปกติ


“เอแทน?”


“ห..หือ? ไม่เอาน่า ขอนอนต่ออีกหน่อย”

ยังไม่ทันจะได้คำตอบที่ทำให้ผมหายข้องใจ มือใหญ่ๆ ก็คว้าหมับลงมาที่เอวก่อนจะฉุดผมลงไปกับเตียงอีกรอบ


“เอแทน!”


“....”


“เอแทน... ผมปวดหัว”

แน่นอนว่าครั้งนี้เขายอมปล่อยผมแต่โดนดี นอกจากนั้นดวงตาสีฟ้ายังลืมขึ้นมองผมอีก


“ปวดมากหรือเปล่า เอายาไหม?”

แล้วก็ยังไม่ทันที่ผมจะตอบเขาอีกนั่นล่ะ อีกฝ่ายก็ลุกออกจากเตียง เดินออกจากห้อง ไม่เข้าใจเอแทนเหมือนกันว่าถ้าจะ
ตัดสินใจเองแล้วจะถามผมทำไม  สักพักก็กลับมาพร้อมกับยาพาราและแก้วน้ำ


“ยา”

ผมรับยากับน้ำที่เขายื่นมาให้ตรงหน้า พอจัดการกับมันเสร็จเรียบร้อยก็ส่งแก้วเปล่าคืนให้ เอแทนรับมันไปวางบนโต๊ะวางโคมไฟ
ข้างเตียง  และเป็นโอกาสให้ผมกวาดสายตามองรอบๆ ตัวอีกรอบ


ห้องนอนค่อนข้างใหญ่ มีทั้งตู้เสื้อผ้า ตู้หนังสือ แล้วก็โซนโต๊ะทำงานที่อยู่ติดกับกระจกยาวจรดพื้น... จะว่าหรูก็หรู แต่ผมก็ไม่ได้
แปลกใจเท่าไหร่ ก็คนอย่าง ‘เอแทน  อาร์รอน’ ซะอย่างให้ทำธรรมดาคงไม่ได้


“ที่นี่ที่ไหน?”


“คอนโดฉันเอง”

พอได้รับคำตอบผมก็หันไปมองหน้าคนตอบ จนคนถูกมองอดไม่ได้ที่จะต้องอธิบายเพิ่มเติม


“คอนโดคนละที่กับที่ค้างรู้จัก”

แล้วผมก็ได้รู้ความจริง คอนโดคราวนี้ไม่เหมือนกับคราวที่แล้ว ออกแบบจัดวางคนละสไตล์อย่างเห็นได้ชัด
 

“แล้ว... ผมมาที่นี่ได้ยังไง? เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? คุณได้ทำอะไรผมรึเปล่า?”

ถามไปอย่างนั้นจริงๆ ผมก็กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งเรื่องมาได้ยังไง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น และ... ตัวเอง
โดนทำอะไรบ้างหรือเปล่า.. แต่เสื้อผ้ายังอยู่ครบแฮะ


เนื่องจากไม่มีคำตอบใดๆ ออกมาจากปาก ผมจึงเริ่มถามในสิ่งที่ผมสงสัยที่สุดไป


“แล้วเรื่องคุณอัศวินล่- อ้ะ เดี๋ยวก่อน เอแทน!!”

ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ไม่รู้อีกฝ่ายเกิดบ้าอะไรขึ้นมา อยู่ดีๆ ถึงได้ผลักผมลงบนเตียงก่อนจะขึ้นรวบข้อมือสองข้างของผมไว้
แล้วขึ้นคร่อมโดยลงน้ำหนักทับขาของผมไว้ ไม่ให้ดิ้นหนี


“ทำบ้าอะไรน่ะ หยุดนะ!”

เขาไม่สนใจฟังที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากร้อนๆ ลงประทับจูบบนต้นคอก่อนจะใช้ลิ้นไล้เลียไปทั่ว ตามด้วยฟันคมๆ ที่กัด
ลงแรงๆ จนผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บ และของเหลวที่ซึมไหลออกมา โชคดีที่กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นได้ทันที่จะสกัดกั้นเสียงคราง
น่าเกลียดที่เผลอหลุดออกมาทุกครั้งที่ถูกริมฝีปากนั่นสัมผัส


“อ... เอแทน!”

หลังจากพยายามเรียกสติอีกฝ่าย พยายามดิ้น แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลกับคนที่ตัวใหญ่กว่าค่อนข้างมาก..
 

“I just broke up with you (ผมเพิ่งเลิกกับคุณนะ)!!”


“!”

ผม... ไม่คิดว่าประโยคแค่นี้จะหยุดเขาได้จริงๆ เอแทนชะงักค้าง เขาหยุดการกระทำทุกอย่าง มือที่รวบข้อมือผมไว้คลายออก
พร้อมกับค่อยๆ ลุกออกไปจากตัวผม


“...ขอโทษ”

คำพูดแผ่วเบาที่แถบจะเป็นเสียงกระซิบ น้ำเสียงที่ใช้พูดมันออกมาก็ฟังดูแย่มากๆ แต่ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องจริง ผมยกมือขึ้น
กุมหัว แล้วเหลือบมองอีกฝ่ายที่นั่งสำนึกผิดอยู่ที่ขอบเตียง ไม่นานเขาก็ลุกขึ้น แล้วพูดประโยคหนึ่งกับผม


“เดี๋ยวจะไปหยิบยามาทาให้”

นิ้วของเขาจิ้มเบาๆ ลงบนคอของผม ซึ่งพอลองก้มลงไปดูก็พบว่ามันเป็นรอยแดงขนาดไม่เล็กเลย นอกนั้นยังมีรอยแบบเดียวกัน
อีกสามสี่รอยอยู่กระจายๆ กันไปด้วย บางรอยก็.. มีเลือดซึมๆ นิดหน่อย


ก่อนที่เอแทนจะหมุนตัวเดินออกไป ผมก็เอื้อมมือไปจับชายเสื้อเขาเอาไว้


“ก่อนจะไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อนได้หรือเปล่า”


“เรื่องอะไร?”


“เรื่องเมื่อวาน”

พอพูดถึงปุ๊บอีกฝ่ายก็ชักสีหน้าใส่ทันที

“ค้างบ้าไปแล้วหรือไง สั่งของแบบนั้นมาดื่มในขณะที่ไม่มีฉันอยู่เนี่ยนะ”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายชักสีหน้ากลับบ้าง


“แล้วทำไม... เวลาผมสั่งของพวกนี้ดื่ม ต้องมีคุณอยู่ด้วยตลอดหรือไง?”


“ถามมาได้ ไม่รู้ตัวเหรอ ว่าตัวเองคออ่อนแค่ไหน”


“...”

ประโยคที่อีกฝ่ายตอบกลับทำเอาผมสะอึก จริงๆ แล้วเป็นอย่างที่เขาพูดตั้งแต่แรกแล้ว จะเถียงข้างๆ คูๆ ต่อไปก็คงไม่ไหว
ผมก้มหน้าลงสารภาพผิด แต่ก็ยังคงอยากรู้ในสิ่งที่จำเป็นต้องรู้


“ผมขอโทษก็ได้.. ตกลงเรื่องเมื่อวานเป็นไง”


“ก็ค้างบอกไม่ให้ตามไป ตอนแรกก็กะจะไม่ตาม แต่เห็นว่าไอ้อัศวินนั่นลุกตามค้างไป ฉันถึงได้เดินออกไปด้วย เห็นมองค้าง
ตั้งแต่บนเวทีแล้ว”


“ระหว่างทางเจอพวกแผนกบัญชีเข้ามาทักเลย ไปถึงบาร์ช้าไปหน่อย กว่าจะไปถึงก็เจอมันอุ้มค้างจะพาขึ้นห้องอยู่แล้ว”

จากตรงนี้ที่ฟังก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วไงต่อ?


“???”


ผมเอียงคอมองคนตรงหน้า จนในที่สุดเขาก็เล่าต่อ


“ฉันก็เลยไปขอตัวค้างคืนมา”


“ยังไง?”


“ก็เข้าไปบอกดีๆ”


“เขายอมคืนให้เหรอ เอแทนน่าสงสัยน้อยกว่าซะเมื่อไหร่”

อันนี้พูดตามจริงเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนฝ่ายเล่าจะรับความจริงขึ้นมาไม่ได้ซะงั้น ดวงตาสีฟ้าตวัดมองผมกลับ ก่อนริมฝีปากนั่น
จะยกยิ้ม


“ก็บอกไปไง ว่า ‘นี่แฟนฉัน ขอตัวคืนด้วย’ น่ะ ”

คำตอบของเขาชวนให้ผมเริ่มปวดหัวอีกรอบ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณ เพราะประโยคนี้ทำให้ผมปลอดภัยมาได้ อะ... ว่าแต่พอพูด
ถึงเรื่องความปลอดภัย


“ขอถามเรื่องสุดท้ายครับ”
 

“อะไร?”


“คุณไม่ได้ทำอะไรผมใช่ไหม?”

ถามแบบซื่อๆ เลยนะ ไม่อ้อมค้อมอะไรทั้งนั้น จริงๆ แล้วตัวผมที่ไปเมากับเอแทนน่ะ อันตรายสุดๆ แล้ว


“ทำ”


“...”

คำตอบที่ได้รับทำเอาผมเบิกตากว้าง มองอีกฝ่ายที่ก็มองผมตอบเช่นกัน ด้วยไปหน้านิ่งเรียบ ไร้วี่แววพูดเล่น หรือมีพิรุทว่า
โกหกเลยสักนิด


“พูดจริงนะ!?”


เอแทนพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ นั่นทำให้ผมแทบอยากจะล้มลงไปนอนกับเตียงคิงไซน์นุ่มนิ่มนี่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็จะเชื่อคำพูด
ของเขาอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องถามร่างกายตัวเองก่อน


ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงใหญ่ที่มีเขานั่งมองผมอยู่ที่ขอบเตียง เปิดโอกาสให้ผมได้ใช้ความคิดเงียบๆ คนเดียว เขาไม่คิดเลยสักนิดหรือไงว่าผมต้องการคำอธิบายสักอย่างสองอย่าง เนื่องจากคำตอบที่ให้ดันขัดแย้งกับร่างกายที่อาการเป็นปกติดีทุกอย่างไม่ได้มีความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น 


“ทำ? ทำอะไร? ร่างกายผมไม่ได้รู้สึกผิดปกติเลยนะ”

ถามออกไปเท่านั้นล่ะ คนตรงหน้าหลุดขำเบาๆ ทันที แล้วก็ขำไม่หยุดสักทีจนผมหมั่นไส้หยิบหมอนใบใหญ่ขึ้นมาปาใส่คนที่
นั่งอยู่ปลายเตียง


“หึหึๆ”


แน่นอนว่าพลาด เขาหลบได้แบบสวยงาม


“ก็แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่ได้ทำถึงขั้นสุดท้ายสักหน่อย”


“...”

ผมก้มหน้าไม่ยอมมองหน้าเขา จะว่าไงดีล่ะ ถึงเรื่องพวกนี้ผมเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสา แต่ให้พูดกันตามตรงก็มีอายๆ บ้างเหมือนกัน


“ไม่ถึงขั้นสุดท้าย? อย่างคุณยอมหยุดด้วยเหรอ?”


“หยุดสิ ก็ค้างร้องไห้นี่”


“ร้องไห้  ผมเนี่ยนะ?” 


และนั่นก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกรอบ รู้สึกตกใจปนแปลกใจเหมือนกัน เพราะผมเป็นคนประเภทไม่ชอบร้องไห้
โดยเฉพาะกับคนอื่นแล้วด้วย เอแทนหุบยิ้มเเล้วเลื่อนมือมาวางทาบไว้ที่หัวผม


“อืม ร้องไห้แล้วบอก ‘หยุด’ บ้าง ‘ไม่เอา’ บ้าง ‘อย่า’ บ้าง ขืนฉันทำต่อก็คงใจร้ายแย่ แต่แปลกดีนะ พึ่งเคยเห็นค้างร้องไห้เป็น
ครั้งแรกด้วย ดูยั่วดีเหมือนกัน-”


“พอแล้ว”


ผมพูดตัดบท ก่อนจะกระโดดหนีคนที่ทำเนียนขยับเข้ามาใกล้ผมขึ้นเรื่อยๆ  บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่
หัวเตียง ผมเลยตัดสินใจ พาเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เกิดอะไรอันตรายกับตัวเองจะดีกว่า


“สายแล้วนะครับ วันนี้คุณว่างหรือไง”


“ไม่นะ ว่าแต่ค้างเถอะวันนี้ไม่เข้าออฟฟิศเหรอ?”


นั่นสินะลืมไปเลย สงสัยโดนเจ๊บ่นแหงๆ เลย พูดแล้วก็ยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่ ทำอะไรไม่ถูก  แล้วจู่ๆ เอแทนที่ลุกขึ้นไปเปิดตู้
เสื้อผ้าก็ยื่นผ้าขนหนูกับชุดคลุมสีขาวมาให้ตรงหน้าผม แล้วอธิบายเพิ่มเติมหนึ่งประโยคยาวๆ


“ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวฉันโทรไปบอกวนิษาให้ว่าค้างจะเข้าออฟฟิศตอนบ่ายโมง แล้วก็พวกแปรงสีฟันกับเสื้อผ้าของค้างน่ะ
ฉันเก็บจากคอนโดเก่ามาให้แล้ว”
 

ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำ ก่อนจะพาร่างตัวเองลุกจากเตียงเดินตรงไปยังห้องน้ำที่อีกฝ่ายชี้ไม้ชี้มือบอกอีกที


อ้อ แล้วก็ไม่ต้องทำหน้างงขนาดด้วยครับ วนิษา ที่พูดถึงเนี่ยคือชื่อจริงใหม่ของเจ๊ซาช่าปลี่ยนมาจากชื่อเดิม
ชื่อ วิชัย น่ะนะ

----------------------------

หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย เอแทนก็อาสาจะพาไปกินข้าวแล้วก็ไปส่งที่ออฟฟิศ เรื่องไปส่งที่ออฟฟิศน่ะไม่ค่อย
อย่างจะเอ่ยปากปฏิเสธเท่าไหร่ แต่ว่าเรื่องที่จะพาไปกินข้าวเนี่ยสงสัยคงจะไม่ได้ ผมก็เลยปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลที่เราไม่ได้มี
อะไรเกี่ยวข้องกันแล้วมาอ้าง


ตอนแรกก็ไม่ค่อยยอมเท่าไหร่หรอก ผมก็เลยบอกว่าท่าจะกินข้าวก่อนเข้าออฟฟิศให้ได้ล่ะก็ ผมจะไปออฟฟิศเอง เท่านั้นล่ะ
เขาก็เลยยอมทำตามที่ผมบอก พอมาถึงออฟฟิศเราก็แยกกันบนลิฟท์เพราะไปคนละชั้น


ประโยคสุดท้ายก่อนที่ผมจะเดินออกจากลิฟท์ยังคงดังก้องอยู่ในหัว


“ขอโอกาสให้ฉันอีกครั้งได้ไหม ?”

แน่นอนว่าผมไม่ได้ตอบอะไรเขาไปสักคำ ปล่อยให้ประโยคสั้นๆ นี้ ลอยหายไปในอากาศ


ผมเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะบรรยากาศที่ดูอึมครึมต่างจากทุกๆ วันที่ผ่านมา รวมถึงสีหน้าของทุกคนที่แลดูราวกับคน
อดหลับอดนอนกันมาทั้งคืน อยากรู้จริงๆ ว่าเมื่อคืนเลิกปาร์ตี้กันกี่โมง


“มาแล้วครับ”
 
พอดีว่าต้องผ่านโต๊ะนี้ก่อนที่จะเดินไปถึงโต๊ะของผม ผมเลยเอ่ยทักทายเจ๊ซาช่าที่นั่งทำงานมือเป็นระวิงอยู่ที่โต๊ะของเธอเอง


แล้วผมก็ได้เข้าใจ... ว่าเจ๊ซาช่ายังคงเป็นคนเดียวที่ดูสวยเป๊ะทุกระเบียบนิ้ว


นอกจากจะไม่ชายตาแลแม้แต่นิด ก็ยังไม่เอ่ยทักทายตอบผมสักคำ ผมเลยตัดสินใจ เดินผ่านโต๊ะเจ๊ไปแบบเงียบๆ แทน พอถึง
โต๊ะก็ถึงกลับชะงักกับปริมาณกล่องของขวัญที่วางซ้อนกันบนโต๊ะเต็มไปหมด


“เย็นนี้ต้องขนทั้งหมดนี่กลับบ้านเหรอเนี่ย”

แค่คิดอย่างนั้นก็เหนื่อยแล้ว ผมถอนหายใจ จากนั้นก็จัดการเคลียร์พื้นที่โต๊ะให้เป็นระเบียบ


“ค้าง! ค้าง!!”

เสียงเรียกชื่อทำเอาผมสะดุ้ง ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าของเสียง เจ๊ซาช่าเดินมาทางผมโดยที่ตัวเธอเองยังคงไล่อ่านเอกสาร
ในมือที่ถืออยู่


“ครับ?”


“เจ๊ฝากลงไปรับลูกค้าคนใหม่ที่ฟร้อนท์หน่อยสิ ให้เกดลงไปสแตนด์ให้แล้ว ตอนนี้มีพรีออเดอร์จากลูกค้าคนเก่าด้วย”


“ได้ครับ”

ผมตอบรับเบาๆ ก่อนจะเดินออกมา ได้ยินเสียงเจ๊ซาช่าดังไล่หลังว่าจะส่งข้อมูลลูกค้ารายนี้ไปให้ทีหลัง คิดว่าช่วงนี้คงจะยุ่งๆ กัน
ทุกคน แล้วหน้าที่งานที่ผมต้องทำก็เหนื่อยน้อยที่สุดด้วย


ลิฟท์เลื่อนลงช้าๆ แต่ไม่นานมันก็พาผมลงมาจากชั้น 16 มาอยู่ที่ชั้น 1 ได้แบบด่วนจี๋ ผมเดินไปที่ฟร้อนท์เร็วๆ ไม่อยากให้ลูกค้า
รอนานด้วย


พอเข้าเขตบริเวณฟร้อนท์ ผมก็เห็นผู้หญิงผมสั้นตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่ยืนรออยู่ พอเธอเห็นผมก็กวักมือเรียกผมทันที


“พี่ค้าง ลูกค้ารออยู่”

ลูกเกดกระซิบบอกเบาๆ  พลางพยักเพยิกไปที่ลูกค้าที่นั่งหันหลังให้


“เข้าใจแล้ว เกดไปทำงานต่อเถอะ”


“ขอบคุณมากพี่”

พอตกลงกันเรียบร้อย น้องเกดก็เดินจากไป


คราวนี้ถึงตาผมบ้าง ผมเช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไป


“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ-”
 
ทันทีที่ได้เห็นหน้าของลูกค้ารายนี้ก็ทำเอาผมชะงัก นิ่งค้างแบบเสียมารยาทสุดๆ อีกต่างหาก 


นอกจากนี้ยังรับรู้ได้ถึงความ ชิบ(    ) ที่กำลังจะมาเยือนผมในไม่ช้า


“ไม่เป็นไรครับ รอนานกว่านี้ก็รอมาแล้ว”

ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมามองผม ส่งรอยยิ้มบางๆ แบบเดียวกับที่ผมเคยเจอให้ ก่อนเสียงทุ้มน่าหลงใหลจะเอ่ยตอบ


“คุณอัศวิน!?”


ใครก็ได้บอกผมที ว่าอัศวินที่เห็นตรงหน้า ไม่ใช่คนเดียวกับอัศวินเมื่อวานที่ผมเจอ ก็จำได้นี่ครับว่าเขาเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่
ของบริษัท



ไม่ใช่ ลูกค้า!



TBC-----------------------------


ตอนที่สองมาแล้วค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ
ไว้เราจะมาตอบคอมเม้นต์รวบยอดใน Ch.03
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยค่า >< เจอกันในตอนหน้า


ปล. ใบ้ให้นิดนุงพระเอกเรื่องมีพยัญชนะต้นเป็น อ.อ่าง ค่ะ //โดนตบ 


บอลไทยได้แชมป์ค่ะ !!!

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
สนุกมากค่ะ ทำเรางงเดาเรื่องไม่ถูกเลย
ชอบหนูค้างนะ ดูมีอะไรดี
ส่วนพระเอกของเรื่องนี่เอแทนหรืออัศวินเรายังดูไม่ออก
ปล. เมื่อวานกรี๊ดบ้านแตกเลยค่ะ 555

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ทำไมทำมิสุดทางเล่า    :z1:   

ตอนนี้คุณเอแทนมาวิน แต่เหมือนตอนหน้าคุณอัศวินก็จะมาเรียกคะแนนนิยมด้วย 

ใครหนอคือพระเอกของเรา(?)    :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43

ออฟไลน์ seijatachi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Celebration 3 : Dew


ตอนนี้... ไม่ว่าจะคิดยังไงก็... คิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนักหรอก...


“ยังไงก็ช่วยบอกมาด้วยครับ คุณอยากได้แบบไหน?”


“อะไรก็ได้”


“สไตล์ไหน?”


“แล้วแต่ค้าง”


“... โทนสีหรือหรือบรรยากาศที่อยากให้เป็น?”


“เอาที่ค้างชอบ”


“....”


ครับ


“chocolate soft fudge cake หนึ่งที่ได้แล้วค่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ”


สาวสวยน่ารักในชุดเมดที่แลดูวาบวิวเล็กน้อย(?) เดินถือถาดอาหารมาตรงหน้าผม ก่อนจะบรรจงวางจานขนมให้ โดยไม่ลืม
ที่จะใช้ดวงตากลมโตจนแทบจะไม่เหลือตาขาวนั่นส่งสายตาให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมด้วย


“เมนูที่สั่งได้ครบนะคะ ขอให้ทานให้อร่อยค่ะ”

ริมฝีปากบางสีชมพูที่ถูกฉาบไปด้วยลิปกลอสเปล่งเสียงหวานเอ่ยบอกอย่างมีมารยาท เธอยิ้มจนตาหยีเมื่อผู้ชายที่ว่าส่งยิ้มบางๆ
ตอบกลับมา จานนั้นก็โค้งอย่างสวยงามก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างอายๆ


“หล่อมากเลยผู้ชายโต๊ะนั้น”


จะว่ากันตามตรงผมก็ได้ยินประโยคคล้ายๆ อย่างนี้มาตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามานั่งในร้านนี่แล้ว และผู้ชายคนที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...
คุณอัศวิน ลูกค้าคนปัจจุบันของผมเอง


“ค้างทานสิครับ ชอบไม่ใช่เหรอ? chocolate soft fudge cake น่ะ”


“....”

อ่า.. จะว่าไปก็ชอบครับ แต่ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนสั่งหรอกนะ คนตรงหน้าต่างหาก [ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปรู้มาได้ยังไง]


พอเงยมองหน้าหล่อๆ ของเขาเข้าก็ดันรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนแปลกๆ แหะ.. พอเถอะ ทางเลือกที่เหลืออยู่เพียงทางเดียว
ก็คือก้มหน้าลงไปจับส้อมแล้วจัดการกับเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม


“อร่อยไหม?”

คุณอัศวินพูดขึ้นทันทีที่ที่ผมตักเค้กเข้าปากเป็นคำแรก จากนั้นก็พยักหน้าตอบอีกฝ่ายช้าๆ พอเห็นเห็นผมพยักหน้า เขาก็ยิ้มอีก
แล้ว ยิ้มเหมือนปกติ เป็นยิ้มที่ทำเอาสาวๆ โต๊ะข้างๆ มองกันตาเยิ้มกันทุกคน


ว่ากันตามตรงรู้สึกว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมานั่งทำอะไรอยู่ในร้านเค้กที่ตกแต่งด้วยอะไรน่ารักๆ แบบสไตล์สาวน้อยขนาดนี้
ผมคงไม่กล้าเข้าร้านที่เต็มไปด้วยหญิงสาวเต็มไปหมดแบบนี้หรอก คงไม่กล้าเข้า ถ้าไม่ติดที่ลูกค้าคนปัจจุบันของผมอยากให้
เปลี่ยนบรรยากาศมาคุยเรื่อง ‘งาน’กันที่ร้านนี่ล่ะก็นะ


ผมวางส้อมในมือหลังจากที่จัดการเค้กตรงหน้าไปได้ครึ่งชิ้น


“เอ่อ... ขอโทษนะครับ แต่เรามาคุยเรื่องงาน-”


“รู้ไหมว่าทานของหวานๆ แล้วทำให้สมองแล่นนะ”

ไม่ว่าเปล่า ยกแก้วกาแฟตัวเองขึ้นดื่ม โดยที่สายตายังไม่ละจากผม


จริงๆ ก็คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะนะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะคุยงานเลยแม้แต่น้อย จากคำถามที่ตอบๆ มา จุดประสงค์ของการที่
หุ้นส่วนรายใหญ่ผันตัวมาเป็นลูกค้าเองนี่ก็...


ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่ดูยังไงๆ ก็ดูเหมือนพยายามเข้าใกล้ผมชัดๆ หรือจะบอกว่าแค่บังเอิญ?


“คุณอัศวินครับ ผมอยากให้คุณจริงจังสักนิดได้ไหม ไม่งั้นผมคงคอนโทรลงานของคุณไม่ได้”

ผมใช้สายตากับน้ำเสียงจริงจังกับเขา เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมซีเรียสแค่ไหน แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงแค่หุบยิ้มลงเล็กน้อย
เท่านั้น ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผมเหมือนเดิม แล้วก็เป็นสายที่สะกดผมไว้เหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
 

“ฉันเองก็ตอบคำถามที่ค้างถามมาไปหมดแล้วนี่”


ผมมุ่นคิ้วลงกับประโยคที่ได้รับ จริงๆ แล้วคุณอัศวินเขาก็ตอบทุกคำถามจริงๆ แต่…

 
“จะให้ผมทำตามที่คุณบอกจริงๆ น่ะเหรอครับ”

แน่นอนว่าเขายิ้มแล้วพยักหน้า


“เอาอย่างนั้นล่ะ แบบไหน อะไร ยังไงก็ได้ที่ค้างชอบ ที่ค้างพอใจ”

ก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ เอาแบบไหน อะไร ยังไงก็ได้ แบบที่ผมชอบ? แบบที่ผมพอใจ? เอาตามใจผม? บางทีเขาอาจจะคิดว่า
แบบนี้มันจะง่ายกว่าสินะ แต่เปล่าเลย มันยากมากต่างหาก เพราะเขาดันไม่ให้เงื่อนไขอะไรมาเลยทั้งสิ้น แล้วเรื่องอะไรที่ผม
จะต้องมาคิดเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองล่ะเนี่ย


แย่ชะมัด



“ถ้างั้นการคุยของเราก็เสร็จแล้วล่ะครับ ผมขอตัว”

ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้ประชดหรอกครับ การคุยของเราจบลงแล้วจริงๆ ผมมีหน้าที่แค่ทำตามสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ในเมื่อต้องการ
อย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกันแล้ว ถ้าไม่ติดที่... อีกฝ่ายจะยอมปล่อยผมไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ?


“เดี๋ยวก่อนสิ”


ก็บอกแล้วไง...


ผมที่ตั้งท่าจะลุกจำต้องหยุดชะงักเพราะคำร้องของเขา ก่อนจะดึงสติตัวเองให้กลับมาตั้งสมาธิกับลูกค้าตรงหน้า


“คราวนี้ทางฉันเป็นฝ่ายถามได้ไหม?”


“ครับ”


“เป็น Face มีหน้าที่ทำให้ลูกค้าพอใจสินะ?”


“...ครับ จนกว่างานจะออกมาเรียบร้อย”

รู้สึกว่าในคำถามของเขามันฟังดูมีอะไรแอบแฝง ผมหรี่ตามองคนถามคำถาม และตอบอย่างระมัดระวัง


“ทำให้พอใจ... รวมถึงเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า?”

ผมเอียงคอกับประโยคต่อมาที่เขาเอ่ย ยังไม่ทันที่สมองของผมจะได้ประมวลความหมายของประโยคนั้น


“!!!”

มือหนาๆ ของเขาก็เลื่อนขึ้นมาแตะสัมผัสกับมือที่วางอยู่บนโต๊ะของผม ทำเอาผมสะดุ้ง รีบชักมือกลับเลยเผลอบัดไปโดน
ถ้วยน้ำชาของผมเอง และในจังหวะที่มันจะหล่นพื้นผมก็เอื้อมมือไปรับไว้ได้ทัน แต่....


เพล้ง!!


ถ้วยน้ำชาหนาๆ ที่น่าจะแข็งแรงทนทานดี แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวมันหล่น ผมเลยเผลอบีบมันแรงจนแตกคามือเลยหรือเปล่า
และเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นก็เรียกสายตาของคนในร้านให้หันมามอง


“ดิว-... ค้าง !! เป็นอะไรหรือเปล่า!?”

คุณอัศวินที่รู้สึกว่าจะตั้งสติได้แล้วก็ถึงกับลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเดินเข้ามาหาผม พร้อมๆ กับพนักงานสวมชุดเมด
ในร้านที่วิ่งเข้ามาดู


เมื่อกี้ถ้าผมไม่ได้หูฝาดรู้สึกเหมือนจะได้ยินคุณอัศวินพูดว่า ‘ดิว’ ?


ถึงจะติดใจหน่อยๆ แต่ยังไงก็ต้องประมวลผลสถานการณ์ตอนนี้สักก่อน...


“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณลูกค้า? ว้าย!”

ก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าอยู่ดีๆ พนักงานคนนั้นจะวี๊ดว้ายอะไร หนักหนากับอีแค่แก้วแตกเอง.. หรือว่าแก้วนี้มันแพงมาก?


“ค้างเจ็บหรือเปล่า? ไปโรงพยาบาลเถอะ!”

อ่า นี่คุณพูดอะไร เจ็บ...  เหรอ? ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย...


เพราะมัวแต่มองโน่นมองนี้เลยไม่ได้ก้มลงไปดูมือของตัวเอง จนกระทั่งคุณอัศวินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ากางเกง
เท่านั้นล่ะ ผมก็เลยจำต้องมองลงไปที่มือตัวเอง


“เลือดไหลเยอะมากเลย ไปโรงพยาบาลทีกว่านะคะ!”

พนักงานหญิงร้องออกมา น้ำเสียงดูตื่นตระหนกมากๆ พอๆ กับเสียงวี๊ดว๊ายของคนในร้าน


คุณอัศวินพยักหน้าให้พนักงานล้วงมือข้างที่ว่างหยิบนามบัตรส่งให้ พร้อมๆ กับมือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้


“ค้างปล่อยมือจากเศษแก้วก่อนได้ไหม?”

เสียงทุ้มเอ่ยบอก ด้วยน้ำเสียงที่คล้ายๆ จะเป็นการออกคำสั่งมากกว่า และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกตัวว่าตัวเองยังคงไม่ได้ปล่อยมือ
จากแก้วที่แตก ผมคลายมือที่กำซากถ้วยน้ำชานั่นช้าๆ จนมันหล่นลงไปกระทบพื้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกรอบ ตามด้วย
เลือดที่ไหลออกมาจากแผลถูกปาดที่ตอนผมเห็นแผลในมือตัวเองยังตกใจ 


“บ้าเอ้ย”

เขาสบถเบาๆ เมื่อกดผ้าเช็ดหน้าลงบนปากแผลแล้วเลือดไม่ยอมหยุดไหล คุณออัศวินจับข้อมืออีกข้างของผมแล้วบอกให้
ผมลุกจากที่นั่ง แน่นอนว่าผมก็ต้องยอมลุกอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะทรงตัวยืนได้อย่างมั่นคงก็รู้สึกเหมือนขาไม่มีแรงไปเสีย
ดื้อๆ จนเกือบจะเซล้มถ้าไม่ติดที่เขาเข้ามายืนให้พิงไว้


“..คุ.ณ...อัศ..วิ...น ”


ผมพยายามจะบอกเขาไปแต่คำพูดที่จะพูดออกมาแต่ละคำมันลำบากมากพอๆ กับที่ผมพยายามจะยืน...


แล้วเขาเองก็ไม่ฟังที่ผมพูดแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยมีรอยยิ้มตลอดเวลาเคร่งขรึมขึ้น


“กดผ้าเอาไว้”

เขาออกคำสั่งอีกครั้ง ก่อนจะย่อตัวลงช้อนข้อผับใต้ขาแล้วอุ้มผมขึ้น


“!” ตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าเขาอุ้มผมอยู่ แบบง่ายๆ เลยด้วย ถึงจะอายที่โดนผู้ชายมาอุ้มแบบนี้ก็เถอะ...


"ช่วยอดทนจนกว่าจะถึงโรงพยาบาลด้วยนะ"


แต่ก็... มันจำเป็นนี่นา


การมองเขาที่มีใบหน้าจริงจังในมุมที่ต่ำกว่าแบบนี้ ทำไมนะ.. หัวใจมันถึงได้เต้นแรง 


 
TBC-----------------------------


อ่า สวัสดีค่ะ ! ดีใจที่ได้พบกันอีกค่ะ ดึกแล้วเน๊อะ
หลังจากหายไปสักพัก(?) เรากลับมาแล้วค่ะ
กลับมาคราวนี้นอกจากจะหายไปนาน แล้วยังสั้นมากๆ อีก
ขอโทษค่า พอดีอยากตัดจบตรงนี้ อิอิ //โดนตบ
ยังก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นเคยนะคะ ><



ตอบคอมเมนต์ค่ะ


Akikojae ขอบคุณที่มาเมนต์ให้ทั้งสองตอนเลยนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ //ดึงมากอด
ตอนแรกที่ยาวนั้นก็... ไม่เป็นไรค่ะ เพราะตอนนี้สั้นมาก (ฮา) ยังไงเรื่องพระเอกกับเรื่องของน้ำค้างของเรา
ถ้าอยากรู้ก็คงต้องติดตามนะคะ ><


boy2gether ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์แล้วก็คำชมค่า ส่วนเรื่องจริงเรื่องฝัน.. เราพยายามไม่เขียนให้สับสน
นะคะ โดยเขียนเรื่องฝันไว้ตอนต้น แล้วแบ่งเส้นทำตัวเอียง คิดว่าคงไม่สับสนเนาะ (ไม่เอาไปแทรกระหว่างเรื่องแน่นอนค่ะ)


Jibbubu ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ >< รอดไม่รอดคงได้คำตอบแล้วเนอะ


namngern ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ถามตรงจุดๆ ทั้งนั้นเลย ยังไงเราก็บอกไม่ได้อ้ะ
เอาเป็นว่าติดตามอ่านนะคะ ! ^___^


MK ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ทั้งสองตอนเลย  เรื่องพระเอกจะเป็นใครนั้นติดตามในเรื่องได้เลยค่ะ ^^
ส่วนคุณเอแทน... คงไม่อยากทำร้ายน้ำค้างหรอกค่ะ ถึงกับร้องไห้เลย น่าสงสาร ; w ;

ดำดีสีไม่ตก ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์จ้า ลง Ch.03 แล้วค่ะ ><

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
สรุปอัศวินคือพระเอกใช่ไหมมม
แอบเชียร์นางแต่ยังไม่ไว้ใจคนเขียน
เหมือนค้างจะชื่อเก่าว่าดิวหรือเปล่าน้า
ตอนนี้ค้างอีกแล้ว รอตอนต่อไปค่ะ
หวังว่าหนูค้างจะไม่เป็นอะไรมากนะ
 :pig4:

ออฟไลน์ seijatachi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Special Celebration : Happy New Year


23:59:55


4…


“...ครับ?”


3...


“...”


2...


“อืม”


1...


“สวัสดีปีใหม่นะ/สวัสดีปีใหม่ครับ”


00:00:00


“สุดท้ายก็ได้อยู่กับดิวข้ามปีนะ”


“อ้อ งั้นเหรอครับ”


“ไง... อยากทำอะไรในวันปีใหม่ดีล่ะ?”

ใบหน้าหล่อๆ ของคนที่เอ่ยถามเลื่อนขยับเข้ามาใกล้ๆ ดวงตาสีดำมองจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ ทำเอาคนถูกจ้องถึง
กับหน้าขึ้นสีระเรื่อ สุดท้ายก็ตัดสินใจยกมือขึ้นมาดันหน้าอีกฝ่ายออกไปห่างๆ


“...อ้ะ! ทำอะไรน่ะ ท่าทางน่ารักๆ แบบนั้น เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวหรอก หึๆ”

เขาว่าพลางหัวเราะในลำคอ ก่อนจะจับข้อมือเล็กๆ ที่แลดูเปราะบางแตกหักง่ายซะจนไม่กล้าที่จะออกแรงมากๆ นั่น แล้วรวบ
ไว้แบบหลวมๆ ด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็ลูบไล้ไปตามแผ่นสันหลังก่อนจะเลื่อนลงมาเรื่อยๆ ผ่านเนื้อผ้าพาเอาคนถูกแหย่
เล่นถึงกลับสะดุ้ง


“... หยุดเลย!”


“ไม่หยุด”

นอกจากจะไม่ทำตามเสียงร้องห้ามที่แล้วยังจัดการดึงคนตัวเล็กที่เริ่มขยับออกห่างให้เข้ามาในอ้อมกอดแล้วจัดการหอมแก้มนุ่ม
นั่นไปฟอดใหญ่


“หวา ! ไม่เอานะปล่อยเลยยย---”


“ฮ่าๆ”

ดิวร้องโวยวายเสียงดังในขณะที่ฝ่ายแกล้งหัวเราะร่า เขากดหัวคนตัวเล็กลงมาซบลงบนอกก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
บรรยากาศรอบๆ ตัวค่อยๆ เงียบลงจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ ในเมื่อทั้งคู่ไม่ได้คิดจะเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมา
หรือไม่แม้แต่จะขยับตัวออกจากกัน


“...”


ดิวค่อยๆ เงยหน้ามองอีกฝ่าย ก่อนจะพยายามควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองที่เต้นดังในอกมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
ดังจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาได้ยินเข้า..


แต่ถึงได้ยิน ก็คิดว่าคงไม่เป็นไร


เขาเองก็แอบลอบมองคนในอ้อมแขนอยู่เหมือนกัน ท่าทางน่ารักๆ นั่นดูๆ แล้วพาเอาเผลออมยิ้มคนเดียว แล้วก็คงจินตนาการ
ไปถึงไหนต่อไหนแล้วหากไม่มีเสียงเรียกจากคนที่ถูกกอด


“ปล่อยได้แล้ว”

คนตัวเล็กร้องบอกพลางดิ้นเบาๆ ในอ้อมแขนเรียกร้องอิสรภาพ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอยากแกล้งขัดใจต่ออีกสักหน่อย


“ไม่เอา”

เสียงทุ้มเอ่ยปฏิเสธอย่างนิ่มนวลในทันที


“แย่... ดื้อ...”


“เสียงพลุดังจังนะ”


“มันมีซะที่ไหนเล่า!”


“หึหึ”

คนถูกต่อว่าหัวเราะ ส่วนดิวเองเริ่มเบ้หน้าเพราะแรงที่อีกฝ่ายใช้กอดเริ่มเพิ่มมากขึ้นซะจนเขารู้สึกอึดอัด


“พอได้แล้วน่า อึดอัด”

เขาคลายแรงที่อ้อมแขนออกนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ละออก มือทั้งสองข้างเลื่อนลงไปประสานกันหลวมๆ โอบเอวบางๆ ไว้


“อยากกอด”

แล้วก็ชิงตอบก่อนเมื่อเห็นว่าริมฝีปากสีสวยขยับปากตั้งใจจะเอ่ยถาม


“อยากกอดอะไร ? ไม่เห็นน่ากอดตรงไหน มีแต่กระดูก กอดไปก็ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาหรอก”


“ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วก็ดีสิ ทีหลังก็ทานให้มากๆ หน่อย เวลากอดจะได้รู้สึกดีนะ”


เป็นเพราะเขาเถียงกลับทำให้ดิวเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ ก็ใช่อยากให้มันผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอย่างนี้ซะเมื่อไหร่..
ดิวขยับตัวออกห่างอีกฝ่ายให้มากที่สุดก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้ใบหน้าหล่อที่ยังประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ นั่น


“ขอโทษ... โกรธเหรอ”

เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างหู ก่อนที่ลิ้นร้อนจะไล้เลียและงับเบาๆ  ที่กระดูกอ่อนของใบหู


“ป..เปล่า อ.!”

เสียงหวานร้องตอบแล้วพยายามอดกลั้นเสียงครางไว้ ในขณะที่เขาเริ่มจะไม่อยู่เฉยๆ อีกต่อไป


ใบหน้าหล่อคมคายค่อยๆ กดสันจมูกโด่งได้รูปนั่นลงบนแก้มขาวๆ ของคนที่หันหลังให้ก่อนจะไล้มือสอดเข้าไปในเสื้อเนื้อ
บางที่คนตัวเล็กสวมใส่แล้วลูบไล้แผ่นหลังเรียบเนียน


“.อะ.. อื้มม อ้า..”

ริมฝีปากสีสวยเผยออกปลดปล่อยเสียงครางหวานออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อมือข้างที่ว่างส่งนิ้วใหญ่ๆ สองนิ้วเข้าไปในโพรง
ปาก โดยมีฟันคมซี่เล็กที่คอยตอบขบกันตอบสนองกับนิ้วที่วนอยู่ในปาก


เขาซุกหน้าลงไปกับหัวไหล่กลมมนที่โผล่พ้นเสื้อตัวบางที่ใหญ่กว่าตัวคนใส่ประมาณหนึ่งแล้วใช้ลิ้นไล้เลียตั้งแต่ตรงนั้นผ่าน
ลำคอขาวก่อนจะไปสุดถึงหลังใบหู


เรียกเสียงครางหวานที่ดังกระเส่าปลุกอารมณ์ที่มีให้พุ่งขึ้นเสียงไปอีกขั้น เขาผละนิ้วออกจากโพรงปากก่อนจะสอดใช้มันลาก
ลงต่ำผ่านหน้าท้อง แต่ก่อนที่จะลงไปถึงจุดสำคัญมือเล็กๆ ก็คว้ามือของเขาเอาไว้สักก่อน


“หืม?”

เขาส่งเสียงร้องถามในลำคอ


“ทำแบบนี้ถ้าเป็นอะไรไปจะใครจะรับผิดชอบ”

เสียงหวานเอ่ยถาม ใบหน้าสวยๆ กับดวงตาคู่นั้นหันมาหา และมันก็ยั่วยวนสิ้นดีในสายตาเขา


“จะให้รับผิดชอบทั้งชีวิตยังได้เลย เพราะงั้นไม่ต้องห่วงไปหรอก”

เขายิ้มให้คนตัวเล็กที่ทำท่าราวกับว่ายังลังเลบางอย่างอยู่ มือเล็กที่แตะทาบอยู่บนหลังมือของเขาค่อยๆ ถอยออกช้าๆ


“ไม่เอา เดี๋ยวมีคนมาเห็น”


“ดึกขนาดนี้แล้วจะมีใครมาอีกเล่า ไม่รู้เรื่อง”


“แต่ว่า..”

แน่นอนว่าดิวเองก็คงจะหยิบเหตุผลมาอ้างไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ  และก่อนที่จะเป็นอย่างนั้น เขาเองก็ต้อง...


“เอางี้ ดิวทำเองได้หรือเปล่า?”

 
“หา!?”


“ก็ทำแบบนี้ไงครับ”

แน่นอนว่าการกระทำย่อมชัดเจนกว่ามานั่งอธิบายอยู่แล้ว เขากุมมือเล็กให้ลื่นลงไปข้างล่าง โดยลอบปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย


ใบหน้าสวยนั่นขึ้นสีแดงเรื่อ ริมฝีปากขบกันแน่น พร้อมกับท่าทีที่ดูทำอะไรไม่ถูก


“นะ.. ปีใหม่ทั้งที”

ถึงดิวเองจะไม่อยากทำมากแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อเจอสายตาอ้อนๆ กับใบหน้าหล่อที่ทำหน้าน่าเห็นใจเต็มที่นั่นมันเลยชวนให้ใจอ่อน


หน้าสวยหวานก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องมองมา ก่อนจะละมือออกจากการมือที่กอบกุมแล้วค่อยๆ เลื่อนลงไปสัมผัสส่วนอ่อนไหว
ที่ร้อนผ่าวของตัวเอง โดยมีเขาคอยปลดเปลื้องกางเกงตัวบางออกให้พ้นทาง


มือบางเริ่มขยับไหวช้าๆ แต่เพียงไม่นานก็ชะงักไปจนเขาขมวดคิ้วชงน


“เจ็บ...”

เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา ด้วยสีหน้าที่ดูราวกับเจ็บปวดซะจนเหมือนจะร้องไห้ เขายิ้มให้ก่อนจะไล่สายตามองจากหลังมือ
เล็กๆ นั่นขึ้นไป


“เลือดไหลย้อนสายน้ำเกลือเเน่ะ”

สายที่เคยเต็มไปด้วยน้ำสีใสบริสุทธิ์ของน้ำเกลือ บัดนี้ถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดขึ้นไปประมาณ 1 ฟุต


“ใช้มืออีกข้างหนึ่งได้หรือเปล่า?”

เขากระซิบถามอย่างอ่อนโยน โดยไม่รอคำตอบ มือหนาเลื่อนไปกอบกุมมือข้างขวาที่ไร้ซึ่งการพันธนาการใดๆ ของดิวลงมา
สัมผัสแทนมืออีกข้าง


“ข้างนี้อย่าขยับมากล่ะ เดี๋ยวเข็มน้ำเกลือจะบาดเอา”


หลังจากเอ่ยเตือนเขาก็เร่งจังหวะมือที่ประสานกันเอาไว้ให้ขยับขึ้นลงช้าๆ พาเอาใบหน้าหวานชื้นเหงื่อเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปาก
ขบกัดกันสกัดกั้นเสียงคราง


“อ...อื้ออ ฮะ...!”

ร่างบางกระตุกเกร็งพลางปลดปล่อยเสียงครางที่ห้ามไม่อยู่ มือเล็กๆ เร่งจังหวะให้เร็วขึ้นเพื่อพยายามทำให้ตัวเองเป็นอิสระ


 หากแต่..


“อย่าพึ่งรีบสิดิว”

มือของเขาดึงมือของดิวออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะไปถึง ใบหน้าหล่อยิ้มทะเล้นให้ก่อนจะก้มลงไปประทับริมฝีปากสีหวานที่เผยออก
อย่างยั่วยวน


“อืมม”

ลิ้นร้อนลุกล้ำเข้าไปในโพรงปากหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆ ก่อนจะตักตวงควานไปทั่วจนพอใจก่อนจะผละออก


“หืม ทำหน้าแบบนั้นทำไมครับ?”

เขาหัวเราะ รอให้อีกฝ่ายเป็นคนร้องขอออกมา


ดิวเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ  มุ่นคิ้วก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากบอกไป

“ขอ...”


แน่นอนว่าเขายิ้มรับ และยินดีทำตามที่ขอให้อย่าเต็มที่อยู่แล้ว


"ปีหน้าเองก็อยากอยู่กับดิวแบบนี้อีกนะ"


"ไม่เอาแล้ว!"


------------FIN--------------


สวัสดีปีใหม่ทุกๆ คนด้วยนะคะ ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ
ส่วนเราเองคราวนี้เอาตอนพิเศษมาลงให้ ซึ่งเกิดจากอารมณ์พีคชั่วขณะ..
ระหว่าง Count Down (ฮา) ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ^^ //


ปล.ตอนแรกมีฉาก... ด้วยนะคะ ตั้งใจว่าจะเขียน แต่คิดไปคิดมา ตัดออกเฉยเลย = =''

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
อ่านวนซ้ำสองรอบ
คนที่อยู่กับดิวคือใคร
กรี๊ดดดดดด
จะบ้าตาย ใครคือพระเอกค้าาา

สุขสันต์ปีใหม่ ๒๕๕๘ นะคะ
ขอให้มีแต่ความสุขค่ะ

ออฟไลน์ seijatachi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Celebration 4 : Feeling & Fall


“ผมไม่อยากให้มันจบแบบนั้นเลย..”


“ยังไม่จบหรอก นี่มันก็แค่เริ่มต้นต่างหากล่ะครับ”

----------------------------
   ‘ปวดหัวอีกแล้ว... บ้าที่สุด’

และแล้วฉากเดิมๆ ซ้ำๆ ก็วนมาถึง ผมลืมตาตื่นมองเห็นเพดานสีขาว พร้อมกับมองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณโดย
ไม่ต้องรอให้สมองที่ทำได้ดีแค่ปวดหัวนี่สั่งการ แต่อย่างน้อยก็ควรใช้มันทำอะไรสักอย่างบ้าง ยกตัวอย่างเช่นผมอยู่ที่ไหน
แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เกิดอะไรขึ้น


ในไม่ช้าก็หาคำตอบให้ตัวเองได้สำเร็จ เมื่อสายตาพลันไปสะดุดกับสายน้ำเกลือที่โยงเข้าหาหลังมือของผมพร้อมกับ
สายสีแดงที่โยงไปยังถุงเลือดที่ห้อยอยู่ข้างๆ กัน และพอหันหน้าไปมองมืออีกข้าง ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกับผม
ไม่นานได้ทันที เรื่องชวนปวดหัวที่ทยอยเข้ามาในชีวิตของผมราวกับของขวัญต้อนรับวันเกิด


ก่อนหน้านี้ผมออกไปคุยงานกับลูกค้า


‘เฮ้ยๆ พึ่งจะ 24 เองนะ อีกตั้ง 1 ปีกว่าจะ 25 เพราะงั้นเรื่องร้ายๆ เพลาๆ ลงหน่อยจะได้ไหม...’


ถ้าทำได้ก็อยากจะบอกกับตัวเองแบบนั้นนะ


แล้วถ้าจำไม่ผิดเนี่ย คนที่... เอ่อ... อุ้มพาผมมาส่งที่นี่เนี่ย ลูกค้าคนที่ว่า..


คุณอัศวิน


“คุณอัศวินอะไรนั่นกลับไปแล้วน่ะ”


“!!”


เสียงของใครบางคนที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้นตอบคำถามที่ผมถามในใจนั่นทำเอาผมเผลอสะดุ้ง ยอมรับว่าตกใจแต่แค่ได้ยิน
เสียงนั่นผมก็จำได้แล้วล่ะ ถึงอย่างนั้นก็ยังแปลกใจ ไหงคนๆ นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้


“ขอโทษที ตกใจเหรอ”

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสไตล์ยุโรปนั่นยังคงนิ่งเรียบไม่รู้สึกรู้สา ผิดกับคำขอโทษที่เอ่ยออกไปเมื่อครู่ พร้อมทั้งยัง
ถือวิสาสะก้าวเข้ามานั่งบนเตียงคนไข้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีก


“แหงสิ จู่ๆ ก็มานี่”


“ประตูแบบเลื่อนน่ะ อีกอย่างเมื่อกี้ค้างหลับอยู่ ฉันกลัวว่าจะรบกวนก็เลยมาเงียบๆ”


ไม่ว่าเปล่าสองมือใหญ่ๆ ของเขาพยายามกดหัวผมเล่นในระหว่างที่ผมพยายามพยุงตัวนั่ง ผมค้อนสายตาใส่ก่อนจะ
ยกมือที่มีผ้าพันแผลผลักมือที่กดหัวผมอยู่ออกเบาๆ โชคดีที่มือใหญ่นั่นยอมทำตามอย่างว่าง่าย


“แย่จังนะ แค่ออกไปทำงานแท้ๆ กลับได้แผลใหญ่ขนาดนี้มาได้”

และมือของเขาก็เปลี่ยนเป้าหมายมากุมมือของผมแทน เขาก้มหน้าลงต่ำจนชิดกับมือของผมที่ถูกยกขึ้นมานิดหน่อย
 ในระหว่างที่ผมกำลังคอยสังเกตว่าเขาจะทำอะไรจนไม่ทันระวังตัว เอแทนก็ลดหน้าลงก่อนที่ริมฝีปากจะทาบลงบนฝ่ามือ
แล้วหน้าของเขาก็ค่อยๆ ทาบลงมาเช่นกัน


ผมตกใจนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆ ตั้งสติแล้วชัดมือกลับ เอแทนยอมปล่อยแต่โดยดี เขาเงยหน้าแล้วจ้องมองผมด้วย
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้น มองลึกเข้ามาในดวงตา ผมเบนหน้าหนี จริงๆ ก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน แค่เพียงสบตากับดวงตาสีฟ้า
คู่นั้นผมเองก็ยังทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะรู้สึกอะไรด้วยแล้วแท้ๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนบอกเลิกกับเขาไปเองแท้ๆ


“ช... ช่างผมเถอะน่า ยังไงค่ารักษาพยาบาลนี่ ผมออกเองก็ได้”

ควานหาเสียงของตัวเอง แล้วดึงเรื่องเดิมกลับมาพูด ยอมรับว่าแค่พยายามกลบเกลื่อนบรรยากาศตอนนี้แค่นั้นล่ะครับ
ผมแอบเบนหางตาไปมอง เห็นเอแทนยกยิ้มน้อยๆ นิดนึงเหมือนกัน


“ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลยนี่ค้าง ในระหว่างทำงานเบิกค่ารักษากับบริษัทเถอะ”


“...แต่ว่า”


“ไม่ต้องแต่หรอก แค่นี้บริษัทไม่ล่มจมหรอกน่า”


เจอประโยคนี้ไปคงเถียงต่อไม่ได้ล่ะครับ ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักตามเขาว่า  ก่อนจะฉุนคิดประโยคคำถามออกมาถาม
คนตรงหน้าให้ปวดหัวเล่นได้อีกประโยค


“แล้ว... คุณมาที่นี่ทำไมครับ? งาน..เอ่อ ว่างนักรึไง

แน่นอนว่าช่วงหลังๆ ประโยคนี่ผมจงใจกดเสียงให้เบาลงสุดๆ


“ก็ไม่ได้ว่างนักหรอก แค่อยากมาเยี่ยมคนของตัวเอง

คนของตัวเอง? เห๊อะ!



เล่นเอารู้สึกหงุดหงิดทีได้ยินเขาพูดคำๆ นั้นออกมา ถึงแม้ผมเองก็รู้ดีว่าเขาจงใจใช้คำๆ นั้นมาพูดแทนที่จะใช้ Face หรือ
พนักงานบริษัท เพื่อ... สังเกตปฏิกิริยาผม? คงจะเป็นอะไรเถือกๆ นั้นล่ะมั้ง ขอทีเถอะ ผมไม่เล่นตามเกมเขาหรอกนะ
ขี้เกียจจะเถียงกับคนที่ผมย้ำนักย้ำหนาว่าเลิกๆ แต่ก็ยังตามตื้อได้ไม่หยุดไม่หย่อน


“ผมออกจากที่นี่ได้หรือยัง?”


“ก็คิดว่าน่าจะได้แล้วนะ แต่ฉันอยากจะให้ค้างพักอีกสักหน่อย..”


“ไม่ล่ะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วก็ยังมีงานต้องทำด้วย”

ปฏิเสธทันทีแน่นอนอยู่แล้ว ด้วยส่วนลึกของหัวใจ ผมน่ะเกลียดโรงพยาบาลมาก... ถึงมากที่สุด ไม่อยากจะอยู่ต่ออีก
แม้แต่วินาทีเดียว


“ถ้างั้นให้ฉันไปส่งที่ออฟฟิศนะ”


“ก็ได้ครับ”


 ยังไงก็เถอะ ช่วยพาผมออกจากที่นี่เร็วๆ ดีกว่า

----------------------------

รถคันหรูของเอแทนเลื่อนเข้ามาจอดช้าๆ หน้าออฟฟิศ ผมไม่ยอมรอให้ยามมาเปิดประตูให้ เอี้ยวตัวใช้มือข้างที่ถนัด
หยิบถุงยาที่วางไว้เบาะหลังก่อนจะชิงเปิดประตูลงจากรถก่อน แน่นอนว่าก่อนจะปิดประตูผมเองก็ไม่ลืมเอ่ยประโยค
ขอบคุณคนขับรถจำเป็นที่อุส่าขับรถมาส่งให้


“ขอบคุณมากครับ”


ไม่อยากเสียเวลา รวมทั้งไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นบ่อยๆ ด้วย คนในบริษัทที่รู้ว่าผมกับคุณเอแทนคบกันก็มีบ้าง
แล้วส่วนใหญ่ก็รู้อีกเช่นกันว่าพบเป็นฝ่ายบอกจบความสัมผัสไปแล้ว ถ้าเห็นมาส่งกันแบบนี้คงเข้าใจผิดว่ากลับไปเป็น
เหมือนเดิมแหงๆ เรื่องแบบนั้นก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ  จึงรีบปิดประตูแล้วเดินจากมาทันทีโดยไม่ฟังคำตอบรับประโยค
จากเขาเลย


“อ้าว ค้าง? ได้ข่าวมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจนต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ”

ระหว่างที่ผมเดินมาถึงโต๊ะเจ๊ซาช่า เจ้าของโต๊ะหน้าสวยก็ดันทักสักก่อน โชคดีที่ไม่ได้เสียงดังจนทำให้คนอื่นๆ
ที่นั่งทำงานกันอย่างขยันขันแข็งได้ยิน ผมยิ้มแห้งให้เจ๊ที่ยังคงทำหน้าประหลาดใจ


“พอดีไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงหรอกครับ แค่มือโดนปาดนิดหน่อย”

อธิบาย พร้อมทั้งชูมือข้างที่มีผ้าพันแผลให้ดู


“โชคดีแล้วล่ะ รู้ไหมตอนคุณอัศวินโทรฯเข้ามือถือเจ๊มาบอกว่าค้างเกิดอุบัติเหตุอยู่โรงพยาบาลน่ะ พวกเจ๊ตกใจกันแค่ไหน”


“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ อ้อ เรื่องคุณอัศวิ- เอ่อ...  เรื่องงาน เจ๊เองก็สบายใจได้เลยนะครับ ผมได้ข้อมูลมาแล้ว”

ถึงข้อมูลที่ว่าจะไม่ค่อยช่วยให้งานผมง่ายขึ้นก็เถอะ


ดวงตาของเจ๊แกเป็นประกายขึ้นมาดีเดียวเชียวเมื่อผมพูดถึงเรื่องงาน ใบหน้าสวยภายใต้เมคอัพนั่นดูดีขึ้น 4-5 เท่าเห็นจะได้
 ริมฝีปากอวบอิ่มใต้ลิปสติกยกยิ้มบางอย่างพึงพอใจ รอยยิ้มที่ผมมองแล้วกลับไม่ค่อยอยากจะพอใจด้วยสักเท่าไหร่


“แหงอยู่แล้วย่ะ ถึงแม้น้ำค้างจะป่วยนอนซม หรือว่าใกล้ตายอยู่ที่โรงพยาบาล เจ๊ก็จะให้ค้างเคลียร์งานให้เสร็จก่อนจะถึง
ปีใหม่ ไม่สิ ก่อนวันคริสต์มาสให้ได้ โฮะๆ ๆ”


ดีมากครับ... รู้สึกเหมือนเมื่อกี้จะได้ยินคำอวยพรจากจอมปิศาจ


ขณะที่ผมกำลังยิ้มเจื่อนๆ ให้กับตัวเองพอเผลอหันไปมองหน้าเจ๊ซาช่าอีกรอบ แล้วก็ต้องสะดุ้งกับดวงตาที่เปลี่ยนมา
จ้องผมตาเขม็งพร้อมทั้งเสียงจากโทรจิต(?)ที่ส่งผ่านเข้ามาในหัวผมว่า ‘ยืนบื้ออะไรอยู่เล่า ทำงานสิย่ะ’ น่ะ ช่วยไม่ได้ที่
ผมจำต้องรีบโค้งหัวแล้วเดินไปที่โต๊ะของตัวเองก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นกับผมในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า


“เจ๊ไม่เห็นใจคนมือเจ็บบ้างหรือไงนะ”

ก็แค่บ่นพอเป็นพิธี ผมนั่งลงประจำที่ก่อนจะหยิบ laptop ออกมาทำงานของตัวเอง

----------------------------

ผมเสร็จงานตอนหกโมงเกือบจะครึ่ง จะว่าเสร็จเร็วก็ไม่ใช่ เสร็จช้าก็ไม่เชิง หน้าที่ผมแค่การทำข้อมูลต่างๆ ที่ลูกค้าระบุ
ที่ลูกค้าต้องการ ส่งให้เจ๊ซาช่า ความจริงมันควรจะเสร็จเร็วกว่านี้ถ้างานที่ได้รับจากคุณอัศวินไม่ได้มีคีย์เวิร์ดความต้องการ
มาให้แค่ ‘อะไรก็ได้’ และ ‘แล้วแต่ค้าง’ กับ ‘เอาที่ค้างชอบ’


หึหึ  เพราะงั้นผมต้องระดมหัวสมองที่เริ่มปวดหนึบๆ นี่คิดแบบ ใส่ข้อมูลตามโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย...
อาจจะดูเหมือนง่ายแต่ถ้าผมทำแค่ ‘แบบที่ผมชอบ’ ล่ะก็ คงจะไม่ได้ เพราะงั้นถึงต้องมานั่งเสียเวลา ใช้ทรัพยากรณ์
สมองอันน้อยนิดคิดสไตล์ให้เข้ากับเขาบ้างสักนิดหน่อยด้วย


อ้อ! ผมยังไม่ลืมอุปสรรคข้อใหญ่อีกข้อหนึ่งด้วย มือที่เดี้ยงไปข้างหนึ่งของผมเริ่มจะปวดหนึบๆ หลังจากยาชาหมดฤทธิ์


ถึงยังไงก็ถือว่าทำเวลาออกมาได้ดี พอส่งงานกับเจ๊ซาช่าเสร็จก็เลยขอตัวกลับ คนสวยที่ยังจดจ่อกับงานพยักหน้า
แล้วยังพูดประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีทิ้งท้าย


“อย่าลืมล่ะค้าง หน้าที่ของ Face คือทำให้ลูกค้าพอใจนะ


ครับ...


ผมบอกลาคนในออฟฟิศก่อนจะเดินออกมาด้านหน้าตึก ในมือหอบหิ้วถุงที่เต็มไปด้วยกล่องของขวัญที่พอจะเอา
กลับมาได้ก่อน มันเยอะมากจนคิดว่าขนไปรอบเดียวคงไม่หมด ระหว่างที่กำลังเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แสงไฟ
จากรถที่ไล่หลังมาก็ทำเอาอดที่จะหันไปดูไม่ได้ ความจริงก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่รถคันที่ว่ากลับขับมาเทียบข้างๆ ผม
แทนที่จะขับแซงผมไป


SLK Night Edition เป็นรถที่ไม่คุ้นตาผมเลย ตั้งใจจะปล่อยผ่านแล้วเดินไปข้างหน้าต่อเพื่อเรียกแท็กซี่หากแต่


กระจกของรถหรูเลื่อนลงมาจนเผยให้เห็นใบหน้าคนขับ


“ไปนั่งรถเล่นด้วยกันไหม?”

เสียงทุ้มนุ่มแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ผมคุ้นเคยอย่างประหลาด เป็นเสียงที่เมื่อได้ยินก็ทำเอาหัวผมปวดจี๊ดขึ้นมา
ผมกัดฟันระงับอาการปวดทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงที่พอจะรู้ว่าเป็นใคร


“ขอเหตุผลด้วยครับ”


“เพราะฉันเป็นลูกค้าน่ะ”

ถ้าเป็นเหตุผลนี้ล่ะก็ ผมก็ไม่ควรปฏิเสธ ในฐานะ Face


“ถ้างั้นก็ได้ครับ”


“ขึ้นมาสิ”
ผมพยักหน้ารับเปิดประตูย้ายตัวเองเข้าไปนั่งในรถได้สำเร็จ เป็นอันเรียบร้อย รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกช้าๆ พร้อมๆ
กับที่ผมหลับตาลงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด พยายามคลายอาการปวดหัวที่รุนแรงจนอยาก
จะร้องไห้ออกมา


 “..อึก..” คราวนี้มันหนักกว่าที่ผ่านๆ มา ผมทนไม่ไหว จำต้องยกมือกุมหัว


“... ค้าง?”


ได้ยินเสียงคุณอัศวินเรียก แต่ยิ่งเรียกก็ดูเหมือนจะทำให้หัวผมปวดมากกว่าเดิม


“ปวดหัวเหรอ?”


“อืออ” ผมไม่มีสติพอจะมาแยกแยะแวดล้อมรอบค้าง ไม่มีแรงพอจะเปิดเปลือกตาที่ปิดสนิทของตัวเอง มีเพียง
อย่างเดียวที่ตอนนี้ร่างกายพอจะรับรู้ได้ ปวดหัว


“ค้างปวดมากขนาดนั้น ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม?”

อีกสองสิ่งที่ผมสามารถสัมผัสได้ สัมผัสเย็นเยียบที่ข้อมือทั้งสองข้าง พร้อมทั้งน้ำเสียงที่แลดูเป็นห่วงเป็นใยนั่น


“ไม่!”

ผมส่ายหัวปฏิเสธ

“ไม่... ไม่ต้องหรอก.. .เดี๋ยวอีกสักพักมันก็ดีขึ้น...เอง”

หลังจากที่ผมเอ่ยบอกไปแบบนั้น สัมผัสเย็นที่ข้อมือก็จางหาย ผมไม่ได้ยินเสียงของเขาอีก ผมเริ่มผ่อนลมหายใจ
อีกครั้ง รู้สึกปวดหัวมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่หัวใจเต้น และเมื่อหัวใจผมเองก็ค่อยๆ สงบลงอาการปวดหัวก็เริ่มลดลงจนอยู่
ในระดับที่ผมถือว่ามันปกติ ไม่ได้หายปวด แต่แค่ปวดในระดับปกติ


ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมพยายามควบคุมอาการปวดหัว แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาภาพที่เห็นผ่านม่านน้ำตาก็เป็น
ใบหน้าหล่อเหลา ที่ถึงมีน้ำตามาบดบังภาพซะเกินครึ่งผมก็รู้ว่าสีหน้าของเขาแสดงถึงความเป็นห่วงมากแค่ไหน


“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม? หายปวดแล้วเหรอ?”

ในขณะที่ริมฝีปากได้รูปสีชมพูอ่อนธรรมชาติของเขาขยับเอ่ย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แสดงความเป็นห่วงเช่นกัน


ผมกระพริบตาสองสามครั้งไล่น้ำตาแล้วก็เป็นฝ่ายตอบเขาบ้าง

“ไม่เป็นไรแล้วครับ”


“เฮ้อ---- งั้นก็ดีแล้ว เล่นเอาฉันใจหายหมดเลยรู้ไหม ปวดหัวแบบนี้บ่อยหรือเปล่า?”


“ก็.. นิดหน่อยครับ”


พอลองมองรอบข้าง ดูเหมือนเขาจะจอดรถไว้ริมถนนพร้อมกับเปิดไฟฉุกเฉิน ดีหน่อยที่นี่เป็นถนนส่วนบุคคลของ
บริษัทรถเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงจอดแบบนี้ไม่ได้แน่


“ถ้าปวดหัวโดยไม่โดยไม่รู้สาเหตุบ่อยๆ ฉันคิดว่าควรจะหาเวลาไปหาหมอบ้างนะ ขืนปล่อยไว้เดี๋ยวจะเป็นอันตราย”


“...ไว้จะหาเวลาไปครับ”

เขาถอนหายใจกับคำตอบของผม


“เดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้านให้ล่ะกัน คอยบอกทางได้ไหม?”

เสียงทุ้มดึงผมกลับมาในปัจจุบันอีกครั้ง ผมมองใบหน้าหล่อที่มองผมอยู่กลับ ในที่สุดก็ตัดสินใจพยักหน้ายอมตกลง
ให้เขาไปส่ง ถึงแม้จะมีความเกรงใจในฐานะที่ให้ลูกค้าไปส่ง แต่ผมเองก็เริ่มเจียมสังขารตัวเองเหมือนกัน

----------------------------

คุณอัศวิน.. เขาเองก็ขับรถออกมาตามเส้นทางกลับบ้านผมมาได้กว่าครึ่งหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นบรรยากาศภายในรถ
ยังเงียบซะจนผมชักแปลกใจว่าฝ่ายที่มักจะหยอกแหย่(?)ผมตลอดอย่างเขาทำไมถึงยอมเงียบ และก็เพราะว่า
บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ผมอึดอัดเกินกว่าจนได้อีก จึงตัดสินใจทำลายมันซะด้วยคำถามที่ผุดขึ้นมาจากหัวผมเมื่อครู่นี้


“ทำไมถึงเป็นผมล่ะ”


“หืม...?”


“ทำไมถึงเป็นผมล่ะครับ”


คุณอัศวินหันมาหาผมครู่หนึ่งแล้วหันไปมองทางเหมือนเดิม เขายิ้มแล้วปล่อยให้ผมมองใบหน้าหล่อๆ ของเขา
จากทางด้านข้าง ดูเหมือนว่าคุณอัศวินจะไม่ยอมตอบคำถามผม ในจังหวะที่ตัวเองละสายตาจากใบหน้านั่น
ตัดใจจากคำตอบที่คาดว่าน่าจะไม่ได้รับ เสียงทุ้มนุ่มดันเอ่ยออกมา


“เพราะว่าเหมือนน่ะ”


“เหมือน?”


“เหมือนกับแฟนของฉันมาก”


“หา!??”

คำตอบที่ได้รับกลับมายังทำให้ผมเผลออุทานออกมา


“ฮะๆ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ก็แค่เหมือนน่ะ แค่เหมือนเท่านั้นแหละ”

คุณอัศวินหัวเราะร่าอธิบายเสียงเรียก ผมที่หันหน้าไปมองไปหน้ายิ้มแย้มนั้นแต่มีสิ่งหนึ่งที่ขัดกับท่าทางที่เขาแสดงออกมา
ดวงตาคู่นั้นดูเศร้ามากเหลือเกิน ผมไม่อยากจะคิดอะไรในแง่ร้ายด้วย แต่ปากเจ้ากรรมดันพูดออกมาเองซะได้


“แฟนของคุณตอนนี้ล่ะครับ?”


ใบหน้าหล่อที่ผมมองจากด้านข้างหุบยิ้มลง คิ้วหนาๆ นั่นก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ทำเอา
ผมอยากจะยกมือตบปากตัวเองที่ถามอะไรไม่เข้าท่าไป


“อ... เอ่อ ขอโทษที่ถามอะไรเสียมารยาทครับ”


“หือ? ไม่หรอก เขาไม่ได้เป็นอะไรหรอก ตอนนี้ก็คงสบายดี เพียงแต่.. อยู่ในที่ๆ ฉันไม่สามารถเอื้อมถึง”

มือใหญ่ๆ ละจากพวงมาลัยมาวางทาบไว้บนหัวของผมแล้วลูบเบาๆ


“ฉันเองก็คิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องกลับมาหา แต่ดูเหมือนจะทำได้แค่คิดซะแล้ว”

น้ำเสียงของคุณอัศวินดูเศร้ามาก ดวงตาเองก็ดูเศร้ามาก ใบหน้านั่นก็เช่นกัน ปฏิกิริยาตอนที่เขาพูดถึงคนสำคัญ
จังหวะการเต้นของหัวใจของผมก็กระตุกแปลกๆ ราวกับว่าผมกำลังอิจฉาคนสำคัญของเขา คนที่ทำให้อีกฝ่ายแสดง
ท่าทางแบบนี้ออกมา...


ผมไม่รู้ว่าจะพูดปลอบเขายังไง ได้แต่นั่งนิ่งๆ ปล่อยให้มือใหญ่ๆ นั่นลูบหัวตามใจชอบ

“ว่าแต่ค้างเถอะ”


“???”


“เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้คบกับคุณเอแทนอยู่ใช่ไหม?”


คำถามนั่นพาเอาคิ้วกระตุก ผมหันมองเขาพร้อมๆ กับมือที่ละออกจากหัว


“ป...เปล่าครับ เรื่องนั้นน่ะ เอ่อ.. ถึงจะเคยคบกัน แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรกันแล้ว”


“หือ อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นฉันเองก็โล่งหน่อยล่ะนะ”


โล่ง... โล่งอะไรมิทราบครับ ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ้มแห้งๆ กับตัวเอง และดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเข้าข้างเมื่อผมสามารถ
หาอะไรมาจบการสนทนาหัวข้อนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล


“อ้ะ เลี้ยวขวานี่ครับ”

ผมชี้มือไปตรงทางเลี้ยว คุณอัศวินพยักหน้าหักพวงมาลัยเลี้ยวก่อนผมจะบอกให้จอดเทียบที่หน้าตึก


“หืออ ค้างเองอยู่คอนโดนี้เหรอเนี่ย? ค่อนข้างไกลจากที่ทำงานนะ ปกติเดินทางยังไงน่ะ”


“แท็กซี่น่ะครับ”

ผมตอบในระหว่างที่กำลังหยิบถุงกล่องของขวัญที่วางอยู่บนตักตัวเอง ข้อมือข้างหนึ่งก็ถูกมือใหญ่ๆ ดึงรั้นเอาไว้


“แผลที่ฝ่ามือเป็นยังไงบ้าง”


“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ” ตอบพลางส่งยิ้มไปให้คนตรงหน้าที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วงด้วย จริงๆ ก็อยากถามนะ
ว่าจะปล่อยข้อมือผมได้หรือยัง


ผมสบสายตากับเขาตอบเป็นเชิงถามว่ามีอะไรอีก คุณอัศวินส่งยิ้มตอบผมมาแล้วริมฝีปากนั่นก็ขยับช้าๆ


“ฉันเองก็มีของขวัญอยากจะให้นอกรอบเหมือนกันนะ”

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอก ผมกระพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันที่จะประเมิณผลกับประโยคนั่น  มือที่จับข้อมือผมไว้ก็ดึงเบาๆ
ยังไม่ทันตั้งตัวอีกเหมือนกัน ผมถูกดึงไปข้างหน้าช้าๆ หากแต่ใบหน้าของเขากลับเลื่อนเข้ามาใกล้เช่นกัน


“!”


ริมฝีปากของอีกฝ่ายทาบลงมาเบาๆ ก่อนที่ลิ้นเปียกชื้นจะไล้เลียริมฝีปากของผม เพียงครู่เดียวก็ละออก
เพียงแว๊บเดียวจริงๆ แต่มันกลับทำเอาผม...


“สุขสันต์วันเกิดครับดิว


ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าว ตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นรัว แถมยังหอบหายใจเร็ว.. บ้าที่สุด พอพยายามดึงสติบางส่วน
กลับมาได้ก็รีบเปิดประตู หิ้วถุงกล่องของขวัญลงจากรถ แล้ววิ่งเข้าไปในตัวตึกทันทีโดยไม่หันกลับมามอง
หรือขอบคุณเขาที่อุส่ามาส่งด้วย...


จะให้ขอบคุณยังไงไหว ก็ในเมื่อเสียงของผมในตอนนี้ ก็ยังหาไม่เจอเลย! 


‘ทำอะไรบ้าๆ ตอนคนอื่นเผลอ แย่ที่สุด!!’


ลอบโวยวายในใจในขณะที่มือแตะริมฝีปากที่ถูกฝ่ายนั้นสัมผัสแผ่วเบา ชื่อของใครสักคนที่ได้ยินท้ายประโยคเบาๆ
ก็ยังคงทำให้ผมติดใจ...


‘ดิว’



บางทีอาจจะเป็นชื่อแฟนคนสำคัญนั่นของคุณอัศวินก็ได้...


TBC-----------------------------


สวัสดีค่ะ กลับมาแล้วค่าา ขอโทษที่มาช้ามากซะจนเรื่องนี้เกือบจะถูกย้าย (เกือบสามเดือน)
ขอโทษจริงๆ ค่ะ ยังไงตอนนี้ก็กลับมาแล้ว จะสลับลงกับอีกเรื่องที่ลงไว้ในเรื่องยาวค่ะ
ช่วงปิดเทอมเองก็มีอะไรให้ทำเยอะกว่าที่คิดเหมือนกันนะเนี่ยย! #ผิด

ขอบคุณคอนเมนต์มากๆ อีกเช่นเคยนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า !
(รู้สึกเหมือนเรื่องสั้นจะไม่สั้นเท่าไหร่เลย... #ผิด2)

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น้ำค้างกับดิวต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่เลย
หรือว่าน้ำค้างได้รับการเปลี่ยนถ่ายหัวใจจากดิว (มโนไปเอง  55)
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
ค้างกับดิวนี่คนเดียวกันหรือเปล่า
ทำไมค้างต้องปวดหัวอยู่เรื่อย
แงงงงง อยากรู้อ่ะ
รีบมาต่อนะคะ
 :mew1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
อีกชื่อของน้ำค้างคือดิวแน่ๆ
เพราะดิวก็แปลว่าน้ำค้าง อิอิ
เราว่าอัศวินเป็นพระเอกแน่ๆ
แล้วมันต้องมีอะไรสักอย่างอย่างเช่นความจำเสื่อม
หรือแบบเมื่อก่อนมีอุปสรรคให้ทั้งสองคนรักกันไม่ได้
พอน้ำค้างความจำเสื่อมก็เลยถูกจับแยก ส่วนเอแทนน่าจะเคยชอบอยู่แล้ว
ได่โอกาสก็เลยเสียบแทน แล้วพออัศวินมาก็เริ่มจะกลัวๆแล้ว 5555 (เล่าซะเป็นเรื่องเป็นราว)

รอคนเขียนมาต่อนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ seijatachi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Celebration 5 : His name's ...


“น้องชื่ออะไรเหรอครับ?”


“...”


“???”


“มางานวันเกิดทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเจ้าภาพงานเหรอครับ...”
 

“พี่ถึงได้ถามอยู่นี่ไงครับ ว่าไง?”


“...น้ำค้าง”


“น้ำค้างเหรอ? ชื่อเพราะดีนะ ส่วนพี่ชื่อว...---”


----------------------------

“อืออ”


ผมลืมตาตื่นในสภาพที่หงุดหงิดใช้ได้ หงุดหงิดมากกว่าทุกๆ วันที่ปกติแล้วเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ในโทรศัพท์จะร้องปลุก
แต่ในวันนี้ออกจะพิเศษสักหน่อยเพราะอาการ ‘ปวด’ เป็นฝ่ายปลุกผมซะเอง... ปวดหัวน่ะพอทนเพราะปวดทุกวันอยู่จนเริ่มจะชิน
อยู่แล้ว(ถ้าไม่หนักถึงขนาดอยากจะระเบิดหัวตัวเองทิ้งล่ะก็นะ) แต่ปวดแผลที่มือนี่สิทำให้ผมเบะปากอยากจะร้องไห้ ไม่รู้ว่า
ตอนนอนเผลอเอามือไปคว้าอะไร หรือแผลเผลอไปโดนอะไรขึ้นมาหรือเปล่า ถึงได้ปวดจนผมสะดุ้งตื่น


พอมาเช็คๆ ดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากยังปวดอยู่กับรู้สึกตึงๆ ที่แผล พอเริ่มชินผมก็เอื้อมมือข้างซ้ายไปหยิบโทรศัพท์
ที่อยู่บนหัวเตียง ปรากฏว่าผมตื่นก่อนเวลาตั้งปลุกนานพอสมควร จะนอนต่อดีรึเปล่านะ แล้วถ้านอนต่อแล้วเรื่องที่ฝันเมื่อกี้
จะต่อกันหรือเปล่า...


คำตอบคงจะ ไม่


พอพูดถึงเรื่องฝันแล้ว ตอนแรกผมเองก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ เพราะปกติก็ฝันเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ กันอยู่แล้ว เรื่องของผมกับผู้ชาย
ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครอีกคน ที่ผ่านๆ มา ภาพผู้ชายคนนั้นก็ออกจะเบลอๆ จนผมมองไม่เห็นหน้า รวมถึงชื่อของเขาที่ไม่ได้ปรากฏ
ในความฝันผมเลยสักครั้ง...


และเพราะครั้งนี้ ภาพของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมองไม่เห็นอยู่ดี แล้วเมื่อครู่นี้... คนๆ นั้นในความฝัน
ก็กำลังจะบอกชื่อของตัวเองด้วย เกือบจะได้รู้ชื่อของผู้ชายที่อยู่ในความฝันของผมมานาน เกือบจะได้รู้ถ้าตัวผมเองไม่ตื่น
ขึ้นมาก่อน คิดแล้วก็เสียดายจังนะ


ผมนอนหลับตาอยู่สักพัก ตั้งใจว่าถ้าหลับต่อได้ก็คงจะดี แต่ดูเหมือนว่านอกจากผมจะหลับไม่ลงแล้วยังคิดฟุ้งซ่านอีก
ฟุ้งซ่านจริงๆ เพราะคิดๆ เรื่องความฝันอยู่ดีๆ ไหงผมไปคิดคุณอัศวินได้ล่ะเนี่ย สงสัยคงจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานแน่ๆ


เขา... จูบผม


โอ้ย บ้าเอ้ย หน้าตัวเองร้อนๆ ขึ้นมาเฉยเลย ไม่เอาน่าน้ำค้างอย่าไปคิดๆ เขาแค่เห็นเราเป็นตัวแทนแฟนเก่าของเขาเท่านั้นล่ะ
แค่ตัวแทน.... ตัวแทน.... พอคิดแบบนี้ ในอกผมก็ดันเจ็บขึ้นมาอีก  จะอะไรกันนักหนาเนี่ย ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ


หลังจากตบตีกับความคิดตัวเองอยู่นานผมก็ตัดสินใจลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน เพราะนึกขึ้นได้ว่าคงใช้เวลานานกว่าปกติ
นิดหน่อยเพราะต้องคอยระวังแผลที่ผ่ามือ ไม่ให้โดนน้ำด้วย แล้วก็ใช้เวลานานอย่างที่คิดจริงๆ กว่าผมจะทำอะไรเสร็จเรียบร้อย
ก็ปาเข้าไปเกินเวลาปกติที่ผมจะออกจากบ้านแล้ว (ขนาดผมตื่นก่อนเวลานะเนี่ย)


ผมกดลิฟท์ลง พอลิฟท์เลื่อนลงมาถึงชั้น G ผมก็ก้าวขาออกมา ไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วถ้าเป็นปกติผมก็ต้องเดินผ่านฟร้อนออก
ประตูหน้า แต่ว่าเพราะมันไม่ปกติเหมือนทุกวันผมถึงต้องรีบดึงตัวเองกลับมาหลบหลังกำแพง ไม่ยอมเดินเลี้ยวไปยังทางออก 
ก็ในเมื่อผมดันไปมองเห็นคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่เข้า


“...คุณอัศวิน”

คือ สงสัยกับปฏิกิริยาของตัวผมเอง หน้าที่ร้อนผ่าวกับหัวใจที่สูบฉีดแรงจนหน้าใจหาย แล้วตอนนี้ผมก็พยายามหลบหน้า
เขาด้วย... ทำไมล่ะ?


ผมชะโงกหน้าออกไปนอกกำแพงนิดหน่อยแบบค่อยๆ มากๆ เพราะกลัวว่าเขาจะเห็น ผมลอบมองคุณอัศวินที่นั่งจิบกาแฟ
อยู่ที่โต๊ะรับแขก ใกล้ๆ เคาน์เตอร์ของ Coffee shop  ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม เป็นอะไรที่ดูแปลกตานิดหน่อย เพราะปกติ
เวลาคุณกับผมเขาจะยิ้มให้ตลอด ยิ้มแบบที่ผมเองยังรู้สึกชอบ...


“ชอบ...?”


เท่านั้นแหละครับ ภาพที่คุณอัศวินจูบผมแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อวานก็ย้อมกลับมาให้ผมเขินอีกรอบ ผมพยายามเก็บอาการหายใจ
เข้า - ออกลึกๆ ถอยหลังออกจากจุดที่ตัวเองยืน หมุนตัวกลับแล้วรีบเดินออกไปยังประตูทางออกอีกทางที่มันค่อนข้างไกล
จากที่นี่สักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าเจอคุณอัศวินตอนนี้ล่ะกัน...


ตอนนี้ผมไม่พร้อมมากๆ ไม่พร้อมจะเจอหน้าเขา


----------------------------

ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างอยู่บ้างที่วันนี้รถแท็กซี่หาง่าย + กับถนนหนทางค่อนข้างโล่ง รถไม่ติด ผมเลยมาถึงออฟฟิศเร็ว
ผมเดินผ่านโต๊ะเจ๊ชัย(วันนี้ขอเรียกแบบนี้บ้างล่ะกัน กลัวจะเบื่อ ฮี่ๆ) ยังไม่ทันจะพูดสวัสดีเจ๊แกเงยหน้ามามองผมปุ๊บ
ก็เรียบชิงพูดไปก่อน


“เมื่อตอนค่ำๆ ของมาถึงแล้ว... อ้อ แล้วก็ค้าง ลูกค้ารีเควสมาบอกว่าอยากให้ไปดูของด้วยกันหน่อย”


พอฟังจบประโยคผมก็ส่งเสีย เหะ? เบาๆ ในลำคอ +กับเอียงคอทำไร้เดียงสาเป็นเชิงว่าไม่เข้าใจ..
ทั้งๆ ที่ในใจรู้อยู่เต็มอก !!


“ลูกค้าที่ว่า... คุณอัศวินเหรอเจ๊?”


“อ้าว จะมีใครอีกล่ะ?”


ผมนี่เหงื่อตก... รีบมองหาตัวช่วยที่คิดว่าจะช่วยผมได้ นั่น เจอแล้ววว!


“เจ๊! น้องแฟร์กลับมาแล้วนี่นา ให้น้องแฟร์ไปแทนผมสิ นะๆ ๆ ๆ”


ผมกล่าวโดยไม่ลืมงัดลูกอ้อนออกมาเต็มที่ นอกนั้นยังส่งสายตาให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่นั่งอยู่ห่างออกไปจากเจ๊ชัยอีก
สองโต๊ะ แฟร์ เป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก เธอเป็นหนึ่งในพนักงานทำบัญชีของออฟฟิศ แต่เพราะว่าพนักงานตำแหน่งนั้นมีมาก
เพียงพอแล้ว ทั้งหน้าตา บุคคิล และนิสัย ตำแหน่งพิเศษอีกตำแหน่งที่เธอได้ก็คือ Face ใช่ครับ ตำแหน่งเดียวกับผม
และเธอก็เป็น Face ที่เป็นผู้หญิง ถ้าลูกค้าต้องการ ก็มีสิทธิ์เลือก แต่โดยมากแล้วจะเป็นผมมากกว่า น้องแฟร์เขาจะคอย
สนับสนุนทีหลังเวลามีลูกค้าซ้อน


และตอนนี้ผมก็ได้ส่งสัญญาณ SOS ผ่านสายตาไปให้แฟร์ที่เงยหน้าจากงานบัญชีที่โต๊ะขึ้นมามองผมกับเจ๊ชัย
น้องพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกจากโต๊ะเดินมาทางผม


“เจ๊ให้แฟร์ไปแทนก็ได้นะคะ ในฐานะที่เป็น Face เหมือนกัน แล้วพี่ค้างมือก็เจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?”


เจ๊ชัยขึงตาขวับใส่แฟร์อย่างน่ากลัว จนทั้งผมทั้งแฟร์เผลอสะดุ้งเฮือกแล้วกลืนน้ำลาย เตรียมตัวเตรียมใจรับกับคำตอบของเจ๊แก


“ไม่ได้ย่ะ ไม่ใช่ว่าเจ๊ทารุณอะไรหรอกนะ แต่ลูกค้าคนนี้น่ะเป็น VIP ตัวพ่อ เราขัดใจเขาไม่ได้ และเขาก็ยังบอกย้ำๆ
ว่าต้องเป็นค้างเท่านั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเจ๊ไม่ขอให้ค้างพักสักหน่อย”


อ่า... ก็ได้ครับ ถ้างั้นผมยอมก็ได้ พ่อหุ้นส่วนรายใหญ่ผันตัวมาเป็นลูกค้า แถมยังมีประกาศิตแบบนี้
ผมก็คงได้แต่คอตกแล้วทำใจยอมรับ โดยมีแฟร์ยืมส่งสายตาให้กำลังใจผมอยู่ข้างๆ


“สู้ๆ นะพี่”


เสียงใสๆ ของ Face อีกคนกระซิบบอกเบาๆ


“ครับ”


ผมตอบรับคำรุ่นน้อง ถอนหายใจแล้วเผลอมองเจ๊ชัยโดนไม่รู้ตัว


“นี่... อย่ามองฉันแบบนั้นสิย่ะ” 


ก็ไม่รู้ว่าผมมองเจ๊ชัยด้วยสายตาแบบไหน เจ๊แกถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา


ผมมาเจอคุณอัศวินตามตำแหน่งที่เจ๊บอกมา ผมพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดอะไร แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่ได้ทำง่าย
อย่างที่คิด กว่าผมจะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาคุณอัศวินที่ยืนรอผมอยู่ก็ใช้เวลานานเสียจนเขาเป็นฝ่ายที่เดินมาหาผม
ด้วยตัวเองแทน


“ค้าง ออกจากคอนโดเร็วเหรอ? ฉันไปรอไม่เห็นค้างออกมาเลยนี่”


ถามตรงประเด็นมาก ก็เพราะว่าเมื่อเช้าผมหลบหน้าคุณน่ะสิ !
แล้วก็ไม่ใช่แค่เมื่อเช้าด้วย ตอนนี้เองก็...


“ค้าง??”


ผมก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมเงยหน้ามองเขา เลยไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าเขาเป็นยังไงบ้าง ส่วนในหัวก็เริ่มไซโคตัวเองให้แยกแยะ
ระหว่างเรื่องนั้น กับเรื่องงานที่เป็นคนละเรื่องกัน สติๆ


ผมบังคับหน้าของตัวเองให้เงยขึ้น ดวงตาของผมสบมองดวงตาของเขา แววตาที่รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านมา
พอดีกับใบหน้าหล่อๆ ที่เต็มไปด้วยความกังวัลอย่างเห็นได้ชัด


“ค้างเป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ?”


โอยยย ไม่ไหวแล้ว !


ผมเบนตาหลบเขา พลางยกเอกสารลิสรายชื่อสินค้าที่ถือในมือยกขึ้นปิดบังหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแดงก่ำของตัวเอง
ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ.. ผมไม่กล้ามองเขาตรงๆ น่ะสิ ผมส่ายหัวปฏิเสธคำถามของอีกฝ่าย โดยที่ยังใช้เอกสารบังหน้าอยู่
ระหว่างนั้นความเงียบก็เข้าครอบงำ คุณอัศวินไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็ยังไม่พร้อม (ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร)
จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แตะเข้าที่ข้อมือ


“แน่ใจจริงๆ นะว่าไม่เป็นไร?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอ่อนโยน พร้อมกับที่มือของเขาดึงรั้งข้อมือผมลง
กระดาษที่ใช้บังหน้าค่อยๆ เลื่อนลงจนพ้น แต่สายตาผมยังคงเบนหลบ ไม่ยอมมองหน้าหล่อๆ ที่ตัวเองเผลอชอบไปตั้งแต่
ตอนไหนไม่รู้นั่น


“ค้าง หันมามองหน้าฉันหน่อย”
 

((ส่ายหัว))


“วันนี้ดูแปลกๆ นะ”


((ส่ายหัว))


“ไม่สบาย? ปวดหัว? ปวดแผล? หน้าแดงนะ ไข้ขึ้นหรือเปล่า?”


((ส่ายหัวรัวๆ)) ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก็ปวดแผลอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน


“จะทำงานได้เหรอ? วันนี้พักหน่อยดีไหม?”


“...” ผมลังเลนิดหน่อย แต่เพราะคำถามเป็นสิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้เลยพยักหน้าตอบเขากลับไปบ้าง
คุณอัศวินหลุดเสียงขำพรืดออกมาโดยไม่มีสาเหตุ ผมเลยเผลอหันหน้ามามองเขาเพราะอยากรู้จนได้ 


“ขอเช็คดูหน่อยนะว่ามีไข้หรือเปล่า”


“หือ?”


ผมไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าหล่อๆ เลื่อนเข้ามาใกล้หน้าของผม ก่อนที่หน้าผากของเราสองคนจะแตะกันเบาๆ โดยสิ่งที่ย้ำเตือน
นั่นคือสัมผัสเย็นๆ จากหน้าผากของเขา ตาที่เบิกค้างโดยควบคุมไม่ได้ของผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตา กว่าจะดึงสติและเข้าใจ
สถานะการก็ผ่านไปหลายวินาทีเหมือนกัน ผมสะดุ้งแล้วผลักเขาออก


“ท-.... ทำอะไรน่ะครับ!” มันใกล้เกินไป แถมที่ตรงนี้ยังเป็นที่สาธารณะที่คงผ่านไปผ่านมาเยอะอีกด้วย


คนเริ่มเรื่องยิ้มบางอย่างไม่ใส่ใจ ยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้


“ไม่มีไข้นะ ที่หน้าแดงเพราะเขินหรอกเหรอ?”


“ก็แหงน่ะสิ ใครใช้ให้คุณมาทำอะไรแบบนี้ ในที่แบบนี้กันเล่า”


“กับลูกค้าน่ะพูดเพราะๆ หน่อยสิ เสียมารยาทนะค้าง”


“อะ.. นี่ก็เพราะแล้วนะครับ”


“ล้อเล่นหรอกน่า... แต่เรื่องพักน่ะค้างจะเอาไหม?”


รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเหมือนเช่นเดิม แต่ไม่รู้เพราะคิดไปเองหรือเปล่า ผมถึงรู้สึกว่ามัน... ไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไหร่เลยแฮะ
เริ่มจะสังหรณ์ใจไม่ดีซะแล้วสิ


----------------------------

แล้วก็เป็นตามคาด คุณอัศวินชวนผมออกไปนั่งรถเล่น โดยที่บอกกับผมเองว่า เรื่องงานน่ะช่างไปก่อน และไม่รีรอให้ผมได้ตอบ
ตกลงหรือปฏิเสธ คุณอัศวินลากผมขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ตามแบบฉบับลูกค้า VIP ตัวพ่อ อย่างที่เจ๊ชัยได้กล่าวไว้


รู้สึกว่าตัวเองปกพร่องในหน้าที่ ทั้งๆ ที่ Face มีหน้าที่ทำให้ลูกค้าพอใจเท่านั้นเอง
(แล้วตอนนี้ก็เหมือนว่าคุณอัศวินจะพอใจ + อารมณ์ดีเอามากๆ)


“คุณอัศวินจะขับรถพาผมไปไหนเหรอครับ?” ต้องถามเพราะผมดันสังหรณ์ว่าเขาจะพาไปที่แปลกๆ ซะได้


คนขับรถหันกลับมามองผม แล้วกลับไปมองทางเหมือนเดิม ริมฝีปากได้รูปเอ่ยเบาๆ พลางขยับยิ้มเป็นปกติ


“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองล่ะครับ”   


“หะๆ” 


ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วเบนหน้าหนีไปมองวิวผ่านหน้าต่าง เหตุผลที่หนึ่งคือ เพื่อสังเกตเส้นทาง ส่วนเหตุผลที่สอง...
เพื่อหลบหน้าเขา !  คนบ้าอะไรยิ่งมองยิ่งหล่อ โอย บ้าไปแล้ว ตั้งแต่โดนจูบ ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ


“...”


เอะ? เดี๋ยวนะ ???


ผมหันฃขวับไปมองคนขับที่จู่ๆ ก็ชะลอความเร็วรถลง แล้วเปิดไฟเลี้ยว หรือว่า...


“เอ่อ ถึงแล้วเหรอครับ?”

เขาพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไป


พอผมรู้เท่านั้นแหละว่าที่นี่ที่ไหนเล่นเอาสมองกระตุกวูบ พร้อมกับอาการปวดตุบๆ ในหัว ผมมองคนขับรถสลับกับตัวสถานที่
ด้วยใบหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าซีดแค่ไหน และที่ๆ เขาพามา คือ...


โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง


“คุณอัศวิน... ไม่เอานะ” ยังไม่ทันที่จะได้พูดคำอะไรที่มากไปกว่า ‘ไม่เอานะ’ รถ SLK Night Edition สีดำ
ก็เคลื่อนเข้าสู่ที่จอดรถ VIP ในเวลาไม่ถึงนาที รถก็ถอยเข้าจอดก่อนหยุดนิ่งสนิท


เขาเปิดประตูลงจากรถ เดินมายังประตูรถฝั่งที่ผมนั่ง ไม่รอช้า คุณอัศวินเป็นฝ่ายเปิดประตูรถให้ผม
ราวกับว่าเขาเป็นคนขับรถให้ผมเสียเอง


บอกตรงๆ ว่าผมโครตจะเสียมารยาท ที่ให้ลูกค้าทำอะไรแบบนี้ให้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
ผมก็ไม่แม้แต่จะขยับตัวออกจากเบาะนั่งข้างคนขับแม้แต่นิดเดียว


“ค้างลงมาสิครับ”


“เอ่อ คุณพาผมมาที่นี่ทำไม?”


ผมถามคำถาม และยังคงนั่งนิ่ง ความรู้สึกคลื่นไส้ที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้น พร้อมกับอาการปวดหัว


“พาค้างมาล้างแผลไง”


“ถ้าแค่ล้างแผล เรื่องแค่นั้นผมล้างเองก็ได้ หรือไม่ก็ไปอนามัยหรือโรงพยาบาล... ที่ไม่ใช่โรงพยาบาลแพงๆ แบบนี้”


ผมเริ่มนั่งตัวเกร็ง กัดปาก จิกเล็บลงบนตัก ไม่รู้เหมือนกันว่าคนตรงหน้าที่ยืนมาผมอยู่สังเกตเห็นหรือเปล่า
เวลาจะพูดอะไรแต่ละคำก็เริ่มลำบาก


“เอาเถอะน่า... ไหนๆ ก็มาแล้ว”

คุณอัศวินไม่ฟังคำพูดของผม เขาลดตัวลงแล้วยื่นมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยของผมออกให้


“คุณ.. แน่ใจนะว่าพาผมมาแค่ล้างแผลน่ะ”

พอผมตามออกไป คนตรงหน้าไม่มีท่าทีครุ่นคิดหรือลังเล เขาตอบออกมาแทบจะในทันทีที่ผมถามจบ


“ฉันเห็นอาการค้างไม่ค่อยดี ก็เลยว่าจะพามาตรวจ----”


“ไม่!!”


“ค้าง...”


“ไม่ไป... ผมไม่ไป... ไม่เอา”

เขาส่ายหัว ในระหว่างที่ผมปฏิเสธเสียงแข็ง


“ค้าง หมอคนที่จะมาตรวจให้ค้างเป็นเพื่อนฉันเอง ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก”


“ไม่เอาครับ..”

ยังยืนยันคำเดิม ผมเปลี่ยนตำแหน่งของเล็บนิ้วมือจากตักที่มีผ้ายีนส์ของกางเกงขายาวรองรับไว้มาเป็นแขนทั้งสองข้างของตัว
เองแทน และแรงจิกมันก็แรงพอที่จะทำให้เล็บนิ้วมือของผมฝังเข้าไปในเนื้อ คนตรงหน้าเริ่มสังเกตเห็น เขาทำสีหน้าเครียด
ออกมา ก่อนจะเลื่อนมือเย็นๆ มาจับข้อมือของผมแล้วออกแรงดึง เพื่อให้ผมปล่อยแขนตัวเอง


“ค้าง.. อย่าทำแบบนี้”


“หยุด! ปล่อยผม” ผมไม่เชื่อฟังคำพูดของคุณอัศวิน พยายามสลัดแขนของของออกจากแขนของตัวเอง
รวมทั้งดิ้นและขัดขืนแบบสุดฤทธิ์ จนกระทั่ง...


ใบหน้าหล่อเหลามีเคล้าความโกรธก่อนที่เขาจะใช้เสียงทุ้มนุ่มนั่นตวาดใส่ผม


“หยุดดื้อได้แล้วดิว! พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าที่พี่ทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงเราน่ะ”


“...”

ผมเงียบ หยุดการกระทำทุกอย่าที่ตัวเองกำลังกระทำ จ้องมองเขาที่ทำหน้าเหมือนกับว่าเผลอหลุดพูดอะไรที่ไม่ควรไป
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าผมจะเริ่มสงบสติอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ใช่ว่าผมจะเข้าใจในประโยคที่เขาพูด


คุณอัศวินถอนหายใจแล้วค่อยๆ คลายแรงที่รั้งข้อมือผมออก เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ขัดขืน หรือทำร้ายตัวเองอีก...


“ขอโทษทีนะค้าง ฉันคงสับสนนิดหน่อย”


“....”


“เข้าไปข้างในเถอะ”


“แต่ผม...”


“ไปเถอะ มีฉันอยู่ทั้งคน”

ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้น รอยยิ้มบางที่เป็นเอกลักษณ์เองก็กลับมาแล้ว มือใหญ่ของเขายกมือขึ้นทาบลงบนหัว
ผมเลยตัดสินใจยอมลุกออกจากเบาะนั่ง ก่อนจะสังเกตเห็นยามของโรงพยาบาลที่พึ่งวิ่งมาถึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า


แน่นอนว่าผมส่ายหน้า แต่ผู้ชายที่ยืมอยู่ข้างผมเขายิ้มรับคำถามยามก่อนตอบ


“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่พาเด็กกลัวโรงพยาบาลมาหาหมอน่ะครับ”


----------------------------

“อ่าว คุณอัศวิน สวัสดีค่ะ”


“สวัสดีครับ” 


“วันนี้นัดคุณหมอไว้เหรอคะ?”


“ครับ”


“นั่นสินะคะ  ดิฉันก็ว่าทำไมวันนี้คุณหมอถึงเข้า เชิญค่ะ คุณหมอคงรออยู่ห้องตรวจที่ 4”

พอสอบถามกับพยาบาลสุดสวยแผนกประชาสัมพันธ์ที่มองคุณอัศวินราวกับจะกลืนกินเขาทางสายตาเสร็จเรียบร้อย
คุณอัศวินก็หันมาวางมือลงบนหัวแล้วลูบหัวผมสักพักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือของผมแล้วจูงให้เดินตามไปแทน


ยังไงไม่รู้สิ แต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยง ที่ถูกเจ้าของพามาโรงพยาบาลยังไงยังงั้น


และแล้วเขาก็พาผมมาหยุดอยู่ที่ห้องตรวจที่มีเลข 4 แปะโชว์เด่นหรา  ผมมองประตูห้องแล้วกลืนน้ำลายลงคอ
สลับกับมองคุณอัศวินที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน


“เข้าไปกันเถอะ-----”


ยังไม่ทันที่คุณอัศวินจะพูดจบ ประตูห้องตรวจที่ 4 ก็เปิดออก พร้อมกับร่างของผู้ชายหน้าสวยใส่ชุดกาวน์สีขาวที่สูงประมาณผม
แทรกผ่านประตูออกมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเรา


“น้องค้างใช่ไหมครับ?”


ผมพยักหน้าให้ช้า พยายามอ่านป้ายชื่อที่ติดไว้บนอกเสื้อของคนที่คิดว่าจะเป็นหมอตรงหน้า


นพ.. ---


“ของแบบนี้อย่าไปสนใจเลย เรียกว่าหมอแพตก็ได้” ไม่ว่าเปล่า มือขาวๆ ที่โผล่พ้นเเขนเสื้อยาวๆ ของเสื้อกาวเลื่อนไปดึง
ป้ายชื่อออกแล้วโยนเข้าไปในห้อง


“เริ่มตรวจกันเลยไหม”


หมอแพตที่ว่าถามอีกรอบ และผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตอบคำถาม คุณอัศวินพยักหน้าตั้งใจจะเดินเข้าไปในห้องหากแต่...
 

“อะแฮ่มๆ คุณอัศวินครับ กรุณานั่งรอด้านนอกด้วยนะครับ”


พอได้ยินประโยคที่หมอบอกผมก็สะดุ้งโหยง หันกลับไปมองคุณอัศวินที่ทำหน้าซังกะตายใส่หมอ ก่อนจะหันมาพูดกับผม


“ฉันรออยู่ข้างนอกนะค้าง”


“เอ๋!!?” ก็ไหนบอกจะอยู่ด้วยไง!!


ผมกระพริบตาปริบๆ ตั้งใจจะเอ่ยปากขอ แต่ไม่ทันการเพราะข้อมือของผมถูกหมอที่พาฉุดให้เข้าไปในห้องแล้ว
หมอหน้าสวยคนดังกล่าว ยิ้มร่า หัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ พลางบอกให้ผมนั่งลงตรงหน้าเขาด้วย
 

“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ครับน้องค้าง พอรู้นะว่าน้องกลัว งั้นเปลี่ยนเป็นเรียกหมอว่าพี่แพตดีไหมครับ?”


“ครับ” ผมพยักหน้าให้ คิดว่าคงจะไม่เป็นไร เพราะหมอ... เอ่อ พี่แพตเขาเป็นเพื่อนของคุณอัศวินและก็ยังน่ารักมากๆ มากๆ
ทั้งนิสัย แล้วก็หน้าตาด้วย ระหว่างที่สอบถามอาการผมอยู่ก็เป็นธรรมชาติราวกับเรากำลังคุยเล่นกัน จนกระทั่งพี่เขาบอกให้ผมลุก
แล้วเดินนำไปเอกซเรย์ จริงๆ ถ้าแค่เอ็กซเรย์ผมคงจะไม่อะไรเท่าไหร่ แต่นอกจากนั้นก็ยังพาไปตรวจอะไรต่อมิอะไรอีก
หลายอย่าง ทั้งวัดความดัน เจาะเลือดไปตรวจ บลาๆ หลายอย่างจนผมแถบอยากจะร้องไห้ออกมา (ถ้าไม่ได้พี่แพตที่ใช้หน้าตา
น่ารักๆ นั่นหลอกล่อผมล่ะก็... อย่าหวังว่าผมจะยอม)


กว่าจะเสร็จก็เล่นเอานานอยู่ (รวมล้างแผลด้วย) ผมเดินตามพี่แพตมาหาคุณอัศวินที่นั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่เก้าอี้แถวหน้า
เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เขาอย่างหมดแรง


“เสร็จแล้วเหรอ?”


“อืม คิดว่าอีก 2-3 วัน ผลตรวจคงออกน่ะ เดี๋ยวติดต่อไปทีหลัง”

พี่แพตตอบรีบๆ ก่อนจะขอตัวเดินกลับไปประจำห้องตรวจ โดยที่ผมไม่ลืมจะยกมือไหว้พี่เขาเป็นการขอบคุณ ส่วนผู้ชาย
ที่นั่งข้างๆ ผมก็หันมาเหล่สายตามอง ก่อนฉีกยิ้มขว้าง แขนหนาๆ นั่นรั้งหัวของผมให้เอนมาสบไหล่เขาก่อนจะเอ่ยกระซิบเบาๆ


“เก่งมากครับเด็กดี”


“...”


พอได้ยินแบบนั้นแล้ว พลันอาการเหนื่อยล้าเมื่อคู่หายเป็นปลิดทิ้ง ผมดิ้น ออกแรงรั้งหัวตัวเองออกจากแขนของคุณอัศวิน
ผมหลบสายตานั่งก้มหน้าก้มตามองตักของตัวเอง เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นเข้า...


“เสร็จแล้ว... กลับกันเถอะครับ”


...ใบหน้าของตัวผมเองที่เริ่มแดงขึ้นมา


----------------------------

ความจริงพวกเราควรจะกลับไปทำงาน ทำหน้าที่ให้เรียบร้อย เพราะโดดมานานพอสมควรแล้ว และตัวต้นเหตุก็หาใช่ใครไม่
นอกเสียจากลูกค้า VIP ที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถจำเป็นให้ผม ส่วนตอนนี้เป้าหมายที่เขาจะพาผมไป คือ คอนโดของผม
เองครับ


ผมหมดสภาพนั่งกุมหัวที่ปวดตุบๆ จนแทบอยากจะอ้วกออกมา อาการที่ขึ้นเกิดขึ้นได้เมื่อสักครู่ คุณอัศวินก็เลยบอกให้ผมพัก
โดยเขาจะขับรถไปส่ง แล้วเดี๋ยวจะโทรไปบอกเจ๊ซาช่าให้ บอกตามตรงว่าผมโครตเกรงใจ แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะลืมตา
มองดูทาง


“ค้างปวดมากเลยเหรอ”


((พยักหน้า))


“ไปโรงพยาบาลไหม?”


เมื่อกี้ก็พึ่งไปมาไม่ใช่เหรอครับ แน่นอนว่า...


((ส่ายหัว))


ได้ยินคุณอัศวินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเงียบไป ผมทนกับอาการปวดหัวของตัวเองเงียบๆ คนเดียวสักพัก ไม่แน่ใจว่านาน
หรือเปล่า แต่ในที่สุดรถการเคลื่อนที่ ผมลืมตาขึ้นมองเห็นตึกใหญ่ๆ ที่สุดแสนจะคุ้นเคยของตัวเอง ผมกัดฟันระงับอาการปวดหัว
แล้วฝืนมือที่สั่นเกร็งของตัวเองไปปลดเข็มขัดนิรภัย แต่มัน...ยาก คุณอัศวินเลยเอื้อมมือมาปลดให้เอง


“ค้าง เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่ห้อง”


“ม.. ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ก็รบกวนจะแย่”


ไม่เป็นไรบ้างเอ็งสิน้ำค้าง ! จะยืนยังไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่าเลย...


แต่คุณอัศวินก็ดื้อพอผมควร เขาดึงดันจะขึ้นไปส่งผมถึงห้อง เอาเถอะ ผมไม่มีแรงมาแย้งเขาหรอก แต่ถึงงั้นก็เถอะ
อยากขอบคุณจากใจจริงๆ เพราะมีเขา ผมถึงได้ถึงห้องของตัวเองอย่างปลอดภัย ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์
แล้วส่งกุญแจห้องให้คุณอัศวินที่แบมือรอรับ ระหว่างที่เขาไขห้อง ผมก็ยืนกุมหัวพิงพนัง ขอบคุณตัวเองที่ยังคงมีแรงยืนอยู่


พอคุณอัศวินไขเสร็จ เขาก็หลีกทางให้ผมเดินผ่านประตูเข้าไปในห้อง และด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว...


“พี่ค้างงง เซอร์ไพรส์!”

เจ้าของเสียงยิ้มร่าก่อนจะพุ่งออกจากห้องนอนเข้ามากอดผมโดยที่ไม่ได้สนใจจะดูสภาพผมตอนนี้เลย เพราะการกระโจน(?)
เข้ากอดทำให้ผมที่ไม่มีแรงจะยืนอยู่แล้วเสียหลักเซถอยไปด้านหลัง โชคดีที่ถอยไปชนคุณอัศวินพอดีเลยไม่ได้ล้มลงไปบนพื้น
ใบหน้าหล่อที่ติดจะหวานไปสักหน่อยเงยขึ้นมามองผม


“Happy Belated Birthday my Bro---- อ่ะ..”


น้ำเสียงสดใสร่าเริงเอ่ยบอกผมทั้งรอยยิ้ม แต่ยังไม่ทันที่จะจบประโยครอยยิ้มน่ามองที่อยู่บนหน้าของน้องชายตัวดี
ของผมก็สลายหายไป ดวงตาสีน้ำตาลมองเลยไปยังคนด้านหลังของผม


“นิ้ง?” ผมเรียกชื่อน้องชาย ในขณะนิ้งถอยออกห่างจากผม ริมฝีปากบางสีสวยนั่นเอ่ยคำบางคำออกมา...


“พี่วิน?”



พี่วิน.... ? 



เป็นคำๆ เดียวที่ฉุดให้อาการปวดหัวของผมปะทุอีกครั้ง ผมยกมือขึ้นกุมหัวที่มีแต่ชื่อนั้นดังอยู่ในหัว..
แต่เสียงเรียกชื่อที่ดังในหัวไม่ใช่เสียงของนิ้ง มันเป็นเสียง...


พี่วิน..... พี่วิน.... พี่วิน.....


ของผม


ผมปล่อยตัวเองทรุดลงกับพื้นโดยคำสุดท้ายที่ได้ยินจริงๆ ผ่านหูคือเสียงเรียกของทั้งน้องชายของผมและคุณอัศวิน


“พี่ค้าง/ดิว!!”


TBC-----------------------------


สวัสดีค่ะ หายไปนานคิดถึงฉันไหม !?  :o8: //โดนคนอ่านตบตี
ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านนิยายของเรานะค่ะ น่ารักมากเลย ฮรือ ขอบคุณที่ยังอ่านอยู่ค่ะ
ไหนๆ เราก็กลับมาอัพเดรตนิยายเรื่องนี้เเล้ว คิดว่ายังมีคนตามอ่านอยู่นะคะ ><
ขอบคุณคอมเมนต์ที่เป็นกำลังใจให้เราเสมอมา เม้นยาวๆ นี่ชอบมากค่ะ //ฮา

Talk about ตัวละครกันหน่อยดีกว่า ตอนนี้มีตัวละครใหม่โผล่ออกมาล่ะ #เย้
ชื่อของเชาคือ นิ้ง หรือ 'คะนิ้ง' น้องชายแท้ๆ ของน้ำค้างที่ห่างกัน 2 ปีค่ะ !
ส่วนเรื่องจะอะไรยังไง ก็ต้องติดตามกันในตอนต่อไปน้า รักทุกคนนนน
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
 
หมอแพตเป็นคนๆ เดียวกับแพตที่ปรากฏตัวใน Ch.00 ของเรื่อง The Betray คนทรยศ ค่ะ
(การทีนางโผล่ออกมาในเรื่องนี้ก็เป็นการสปอยล์แล้วว่านางรอด ฮา)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2015 20:16:44 โดย seijatachi »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด