การใช้หนี้ครั้งพิเศษ 3 : Till the day I die โอก~ อาก~ โอก~
เสียงและภาพเหตุการณ์เก่าๆ แดจาวูขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ต้นกำเนิดของเสียงไม่ได้มาจากผม แต่เป็นคุณสามีสุดที่รัก ที่ไม่รู้นึกครึ้มยังไงตั้งแต่วันที่รู้ว่าผมท้องก็เกิดอาการอยากจะแพ้ท้องแทนขึ้นมาซะอย่างนั้น นี่ผมก็ท้องมาได้ 6 เดือนแล้ว แต่อาการของพี่ปูนก็ยังไม่ได้เบาลงไปเลย ผิดกับผมที่หายสนิทตั้งแต่วันที่กลับจากโรงพยาบาล(สัตว์เล็ก)
ทุกครั้งที่พี่ปูนวิ่งเข้าห้องน้ำผมก็อดยิ้มตามไม่ได้ ไม่ใช่ว่าดีใจที่ตัวเองหายแล้วพี่ปูนป่วยแทน แต่เป็นเพราะผมเคยได้ยินมาว่าสามีที่แพ้ท้องแทนภรรยาได้แปลว่าสามีคนนั้นต้องรักภรรยาของเขามากเท่านั้นเอง
“ พี่ปูนเป็นยังไงบ้าง ไหวมั้ย? ” ผมถามออกไปด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นเขาแทบจะลงไปนอนกอดโถส้วม
“ ไหวๆ พี่แค่.. โอก~ อาก~~ ”
เป็นแบบนี้อีกครั้งและอีกครั้ง จนคุณหญิงแม่ทนดูเฉยๆ ไม่ไหวต้องหยุดทุกกิจกรรมแล้วมาดูแลลูกชายอย่างใกล้ชิด หน้าที่การเก็บดอกทวงหนี้คงต้องยกให้คุณพ่อ ป๊า และคุณพิทเลขาคนสนิทจัดการไปก่อน ส่วนผมที่โดนสั่งให้อยู่บ้านเฉยๆ ก็มีแอบเอาแฟ้มเอกสารสัญญากู้มาทำบ้าง โดนคุณปูนโมโหใส่ทุกครั้งที่จับได้ จนเขาหมดความอดทนยื่นคำขาดกับผมว่าถ้ายังไม่ยอมหยุดทำงาน เขาจะกินอาหารฝีมือน้องปันแล้วนอนกอดโถส้วมตาย ผมเลยต้องยอม
มานั่งนึกแล้วก็ตลกนะครับ ผมเป็นคนท้องแท้ๆ แต่คนที่อาการน่าเป็นห่วงและต้องคอยดูแลกลับเป็นสามี จะมีก็ช่วงหลังๆ ที่ผมท้องโตจนเดินมากไม่ไหวต้องมีคนช่วยพยุง โชคดีหน่อยตรงที่ตอนนี้อาการพี่ปูนดีขึ้นมากพอที่จะช่วยผมได้บ้างแล้ว ถึงจะเห็นผมเดินไม่ค่อยไหว ทำอะไรเชื่องช้าอย่างนี้แต่เรื่องหน้าที่ของศรีภรรยาที่ดีผมก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องจนพี่ปูนยังออกปากชมว่าผมเป็นคนท้องที่แข็งแรงที่สุดในปฐพี
เข้าสู่เดือนที่ 9…
“ บอสไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว ” พี่ปูนพูดพร้อมกับใช้นิ้วเรียวปาดน้ำตาให้และเอามืออีกข้างที่ยังว่างจับมือผมไว้แน่นอย่างให้กำลังใจ
“ ฮื่อๆ พี่ปูน บอส...เจ็บท้อง ”
“ อดทนอีกนิดนะครับ หายใจเข้าลึกๆ ทำเหมือนตอนเราไปเข้าคอร์สคุณแม่มือใหม่กันไง จำได้มั้ย ” ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วเริ่มทำตามสิ่งที่ตัวเองเคยไปเรียนมาพร้อมพี่ปูนตอนท้องได้ 7 เดือน ผมนอนหายใจเข้าออกช้าๆ อยู่บนเตียงคนไข้ในห้องผ่าตัดเพื่อรอคุณหมอที่มาช้าซะเหลือเกิน จริงๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมดหรอก ในเมื่อผมดันเจ็บท้องก่อนกำหนดคลอด 1 วัน
“ คุณหมอมาแล้วครับ ” ทันทีที่ได้ยินเสียงบุรุษพยาบาลผมกับพี่ปูนก็ยิ้มออก อีกไม่อึดใจเราก็จะได้เจอกันแล้วนะเจ้าตัวเล็ก
“ คุณแม่ทำใจให้สบายนะครับ ไม่ต้องกลัว หมออยู่นี่แล้ว ” คุณหมอวัย 30 ปลายๆ พูดอย่างเป็นกันเอง “ งั้นเรามาเริ่มกันเลย ”
พอได้ยินคำเริ่มผสมกับอาการปวดท้องที่เริ่มถาโถมอีกระลอก ผมก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะปล่อยเสียงออกมา
“ โอมมมมมมมม~~ ” พอพี่ปูนได้ยินผมร้องเขาก็เริ่มร้องตาม มีก็แต่คุณหมอที่ทำท่าทางตกใจมองผมสลับกับพี่ปูน
“ ทำอะไรกันครับ? ”
“ ก็เบ่งคลอดไงหมอ คอร์สที่พวกเราไปเข้าเขาสอนมา ”
“ เห้ยคุณปูน! แต่คุณบอสไม่มีช่องคลอดนะครับ หรือพวกคุณจะให้ลูกออกมาทาง.. ” คุณหมอเว้นช่วงให้พวกผมได้คิดตาม
...เออว่ะ ช่วงล่างของผมมันมีรูเดียวนี่หว่า
“ แหะๆ โทษทีหมอ ”
“ คุณพ่อนี่นอกจากจะไม่ห้ามแล้วยังเอ่อออห่อหมกตามคุณแม่อีก สงสัยจะกลัวเมียแน่ๆ ฮ่าๆ ” คุณหมอพูดยิ้มๆ อย่างรู้ทัน
“ ไม่ใช่แบบนั้นนะหมอ ผมแค่.. ”
“ โอ้ยยยยยยยยย~~~ ” ไม่รอให้พี่ปูนพูดจบเด็กในท้องก็ส่งสัญญาณว่าเลิกเถียงกันสักทีอยากออกมาดูโลกเต็มแก่แล้ว ทำเอาผมร้องเสียงหลงใบหน้าเหยแกจนพี่ปูนตกใจ
“ บอสสสส~ อดทนอีกนิดนะ หมอทำอะไรสักทีสิ! เมียผมเจ็บจะตายอยู่แล้ว ”
“ ใจร้อนกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะครับ ฮ่าๆ งั้นคุณแม่รีบดมยาสลบเลยครับเดี๋ยวหมอจะได้ผ่าคลอดให้ อ่อ ถ้าคุณพ่อทนดูไม่ไหวจะออกไปรอข้างนอกก็ได้นะครับ ”
พี่ปูนหันมามองหน้าผมด้วยสายตามุ่งมั่นพร้อมกับให้คำสัญญา “ ไม่ต้องห่วงนะพี่จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น พี่อยากให้ลูกของเราเห็นทั้งพ่อและแม่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาตอนเขาออกมา ”
...สิ้นคำพี่ปูนสติของผมก็ดับวูบไป
ณ ปัจจุบัน...
“ ฟังพี่อยู่รึเปล่าเนี่ย ใจลอยไปถึงไหน หื้ม? ”
“ โทษทีครับ พอดีคิดถึงเรื่องเก่าๆ ตลกดีนะพี่ปูน บอสไม่คิดเลยว่าเราสองคนจะมาถึงจุดนี้ จุดที่เรามีลูกด้วยกัน ”
“ นั่นสิ พี่ก็ไม่เคยคิด แต่ยังไงก็ขอบคุณบอสมากๆ เลยนะที่อดทนอุ้มท้องลูกของเรา ไม่ใช่แค่ 1 ไม่ใช่แค่ 2 แต่เป็น 3 พี่สัญญาเลยว่าจะดูแลบอสและลูกให้ดี ให้สมกับที่บอสเหนื่อยมาตลอด 9 เดือน ” พี่ปูนทำซึ้งก่อนจะโน้มหน้าลงมาหมายจะจูบผม แต่เสียงของคุณหญิงแม่ก็ดังขัดขึ้นซะก่อน
“ หนุ่มๆ มัวทำอะไรกันอยู่จ๊ะ? งานจะเริ่มแล้วนะ ”
“ คร้าบ~ กำลังจะไปครับ ใจร้อนเป็นสาวๆ ไปได้นะ ” พี่ปูนตอบคุณหญิงแม่กวนๆ พลางจับมือผมเดินเข้างาน คุณหญิงที่ยืนอยู่หน้างานทำหน้างอนใส่ลูกชายก่อนจะแก้ต่าง
“ ก็แม่ยังไม่แก่นี่ตาปูน ”
“ ครับ ยังไม่แก่แค่เป็นคุณยายแล้วเท่านั้นเอง ” คุณหญิงกำลังจะแหวใส่พี่ปูนทันทีที่พวกผมเดินมายืนข้างๆ ตัวท่าน ผมเลยชิงถามขึ้นซะก่อนเพื่อยุติสงครามขนาดย่อม
“ แล้วเด็กๆ ล่ะครับ ”
“ อยู่บนห้องกับตาพิทและก็ตาพงษ์นู้นแหละ ” พูดพลางบุ้ยปากขึ้นไปบนบ้าน “ เมื่อกี้แม่เข้าไปหากะจะไปช่วยอุ้มหลาน แต่สองคนนั้นก็กันท่าบอกว่าจัดการเองได้ไม่ต้องห่วงแล้วก็ไล่ให้แม่มาดูแลความเรียบร้อยในงาน ดูพวกนั้นทำกับแม่สิ หวงเด็กๆ ยังกับเป็นลูกของตัวเอง ”
ผมลอบหัวเราะเบาๆ ให้กับความน่ารักของคุณหญิงแม่ที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมว่าคนที่หวงลูกผมที่สุดคือคุณหญิงแม่นะครับ
อย่างว่าแหละก็ท่านดูแลประคบประหงมของท่านมาตั้งแต่รู้ว่าผมท้อง ท่านนับวันรอที่จะเจอหน้าหลานๆ อย่างใจจดใจจ่อ เป็นคนพาผมไปฝากครรภ์ หายาบำรุงมาให้กิน ทำของที่มีประโยชน์มาให้ทาน แล้วยังช่วยให้คำแนะนำตามประสาผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การมีลูกมาก่อนด้วย
ตอนผมท้องได้ 4 เดือนครึ่งคุณหญิงแม่ก็สั่งให้คนไปเตรียมทำห้องเอาไว้ต้อนรับเด็กๆ แถมยังไปซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ของใช้ไว้รอเจ้าตัวเล็กทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าแค่ชิ้นสองชิ้นมันก็ไม่แปลกหรอก แต่ท่านดันซื้อมาซะเยอะจนผมคิดว่าเด็กๆ คงใช้ได้ถึงอายุ 3 ขวบนู้นแหละ แต่นี่ถือว่าเบาๆ นะ เพราะตอนผมท้องได้ 8 เดือนท่านก็เตรียมหาโรงเรียนอนุบาลให้ลูกผมแล้ว ดีนะที่พี่ปูนไปห้ามไว้ทันไม่งั้นคงได้หาจนถึงมหาวิทยาลัย
เมื่อกี้เหมือนผมได้ยินเสียงใครตะโกนถามว่า ‘แล้วตาพงษ์เป็นใคร?’ ตาพงษ์หรือคุณพงษ์ ชื่อเต็มๆ คือวรพงษ์ เป็นแฟนหนุ่มของคุณพิทที่เพิ่งจะเอามาเปิดตัวที่บ้านเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทั้งๆ ที่ทั้งคู่อยู่กินกันมาได้เกือบ 10 ปี ตอนที่ได้ยินคุณพิทบอกว่ามีแฟนผมก็เข้าใจว่าแฟนเขาจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ขาวๆ น่ารักๆ ที่ไหนได้กลายเป็นผู้ชายร่างใหญ่ผิวสีแทนแถมไว้หนวดเฟิ้มอีก แต่สองคนนั้นเขาเหมาะกันมากเลยนะ ยิ่งเวลาอยู่ด้วยมันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเกิดมาเพื่อกันและกันเหมือนผมกับพี่ปูนเลย
ด้วยความที่คุณพงษ์เป็นคนอัธยาศัยดีเข้ากับคนง่ายเลยทำให้สนิทกับทุกคนในบ้านได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะกับผม คุณพิทบอกว่าพอคุณพงษ์รู้ว่าผมท้องก็ร้องขอให้คุณพิทพามาพบ เพราะเขาอยากรู้ว่าพี่ปูนทำอีท่าไหนผมถึงท้อง เขาจะได้ลองเอาไปทำกับคุณพิทบ้าง เพราะว่าสองคนนั้นน่ะรักเด็กมากและความฝันสูงสุดของพวกเขาก็คือการมีลูกด้วยกัน ผมเลยไม่ค่อยแปลกใจที่เห็นสองคนนั้นคลุกอยู่แต่ในห้องกับลูกๆ ของผม
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่ผมยังไม่ได้เล่าคือวันนี้ที่บ้านอภิมหาธนวัชรมีงานกินเลี้ยง โดยช่วงเช้ามีการทำบุญเลี้ยงพระและรับขวัญเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 ตกเย็นซึ่งก็คือตอนนี้ที่สวนด้านหน้าก็จัดปาร์ตี้ต้อนรับผมกลับบ้านอย่างเป็นทางการ แต่ไฮท์ไลท์ของงานไม่ใช่เพื่อผมแต่เพื่อลูกๆ ของผมต่างหาก โดยบนเวทีจะมีการประกวดตั้งชื่อลูกๆ ของผม คนคิดคอนเซปก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคุณสามี ด้วยความที่เหนื่อยหน่ายกับการถกเถียงเรื่องชื่อเล่นของเด็กๆ ไม่จบไม่สิ้นเขาจึงคิดจัดงานนี้ขึ้นมา
....แต่ทำไมผมไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่เลยครับ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมีแพนด้าในสวนสัตว์ยังไงไม่รู้
แต่คิดในแง่ดีมันก็ดีนะ อย่างน้อยทุกคนในบ้านก็มีความสุข ไม่ใช่แค่ครอบครัวผม แต่รวมถึงเหล่ายักษ์ชุดสูทและคนอื่นๆ ในบ้าน เพราะพวกเขาทุกคนถูกเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงและมีสิทธิ์เข้าร่วมประกวดการตั้งชื่อในครั้งนี้ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ามีรางวัลแจกไม่อั้น
“ สวัสดีค่ะท่านแขกผู้มีเกียรติ / และไม่มีเกียรติ ” เสียงสองสาวที่ขออาสาทำหน้าที่เป็นพิธีกรแทนคุณพิทดังมาจากบนเวที
ผมเห็นนะว่าประโยคหลังที่น้องผมพูดเธอเหลือบตามองไปที่โทนี่ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นไปทะเลาะอะไรกันอีก เพิ่งจะดีกันไปอาทิตย์ก่อนแท้ๆ ไม่ต้องถามผมนะครับว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกันเพราะผมเองก็ไม่รู้ ผมพยายามหลอกถามบรีสหลายครั้งแต่เจ้าตัวก็เฉไฉทุกครั้งไป จนสุดท้ายผมก็เลิกถามแล้วก็คิดเองว่าทั้งคู่น่าจะกำลังคบกันอยู่แต่ยังไม่อยากเปิดตัว ผมสังเกตมาพักใหญ่ละ ยิ่งวันที่โทนี่มาที่บ้านตอนที่เรากำลังปรึกษาเรื่องปีใหม่ท้องเมื่อ 6 เดือนก่อนตอนนั้นแหละชัดเจนที่สุด
“ ยินดีต้อนรับเข้าสู่งานเลี้ยงตอนรับคุณแม่มือใหม่อย่างพี่บอสกลับบ้านค่ะ ”
“ อาหารบุฟเฟ่ท์ในงานมีไม่อั้นนะคะเลือกทานได้ตามสบายไม่ต้องกลัวหมด เพราะน้าอุ่นแม่ครัวใหญ่ของเราเตรียมอาหารไว้พอสำหรับทุกคนแน่นอน ” เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทำเอาน้าอุ่นที่ยืนอยู่ตรงซุ้มอาหารหน้าบานเป็นจานดาวเทียมเลย
พี่ปูนที่หายไปนานเดินกลับมาพร้อมยื่นแก้วใสที่บรรจุน้ำสีแดงในมือให้ ผมรับมาได้ก็ยกขึ้นจิบแต่ยังไม่ทันจะได้กลืนลงคอเสียงของปัณณ์ณิชก็ดังขัดขึ้นซะก่อน
“ นี่ๆ มีใครกินน้ำพันซ์รึยัง สูตรพิเศษฝีมือปันเอง ”
ถุย!!
ผมพ่นน้ำออกมาอัตโนมัติจนเกือบจะโดนขาพี่ปูน และก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ทำแบบนี้แต่คนทั้งงานที่ถือเจ้าน้ำสีแดงมีอาการแบบเดียวกันหมด ทำเอาเด็กสาวเจ้าของประโยคต้องรีบออกโรงอธิบาย
“ ปันแค่ล้อเล่นเองทำไมต้องทำขนาดนี้ น่าน้อยใจชะมัด ” ยัยตัวแสบพูดพลางทำท่าอมลมเข้าปากเหมือนที่ชอบทำเวลาถูกขัดใจ
“ ฮ่าๆ สบายใจได้นะคะทุกคนเพราะอาหารและเครื่องดื่มในงานเป็นฝีมือของน้าอุ่น ผสมฝีมือบรีสนิดหน่อย แต่ไม่มีของยัยปันแน่นอน รับรองค่ะ ” ผมถอนหายใจอย่างผ่อนคลายและคิดว่าทุกคนในงานก็คงคิดไม่ต่างกัน “ เอาล่ะค่ะ ถึงเวลาไฮท์ไลท์ของงานวันนี้แล้ว มาลุ้นกันดีกว่าว่าชื่อไหนจะถูกใจพี่บอสและได้รับรางวัลใหญ่จากพี่ปูน ”
“ ท้าด้า~ ” ปัณณ์ณิชที่เดินหน้ามุ่ยไปด้านข้างเวทีเมื่อกี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้มสดใสพร้อมกับกล่องใบใหญ่ในมือ “ ขอเรียนเชิญพี่บอส พี่ปูน เจ้าภาพของงานขึ้นมาบนเวทีด้วยค่ะ ” พี่ปูนพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ก่อนจะดึงแก้วในมือผมไปวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ แล้วโอบเอวผมขึ้นไปบนเวที
เสียงปรบมือและเสียงผิวปากดังเซ็งแซ่ ผมได้ยินนะว่าพวกยักษ์ชุดสูทตะโกนว่า ‘จูบเลยๆ’ อ่ะ แต่จะบ้าหรอ? งานประกวดตั้งชื่อลูกไม่ใช่งานแต่งงานซะหน่อย
ผมยืนจับมือกับพี่ปูนอยู่กลางเวทีอย่างขวยเขิน มองไปด้านล่างก็เห็นคุณหญิงแม่ คุณพ่อ และก็ป๊าส่งยิ้มมาให้ เห็นท่านทั้งสามอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็รู้สึกแปลกดีนะครับ คิดถึงตอนที่พาลูกๆ กลับบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วก็ขำไม่หาย ก็คุณปู่ คุณย่า และก็คุณตาต่างพากันแต่งตัวเต็มยศยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู พอเห็นหลานๆ ที่นอนหลับอยู่บนรถเข็นก็รีบพุ่งเข้าใส่จนเกือบตีกันตาย กว่าจะแบ่งกันอุ้มได้ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน
คุณหญิงแม่เลือกอุ้มลูกคนโตของผมเพราะว่าเขาหน้าเหมือนพี่ปูนตอนเด็กไม่มีผิด คนรองที่หน้าหวานเหมือนผมป๊าก็เอาไป ส่วนคนสุดท้องที่แม้หน้าตาจะไม่เหมือนทั้งผมทั้งพี่ปูนแต่ก็ดันไปเตะตาคุณพ่อเข้าอย่างจังจนขึ้นแท่นเป็นหลานรักคุณปู่ในทันที
แค่เรื่องอุ้มและเลี้ยงดูไม่เท่าไหร่ครับ แต่ท่านทั้งสามดันตั้งชื่อให้เสร็จสรรพพร้อมกับสั่งให้ผมกับพี่ปูนไปเปลี่ยนชื่อเก่าที่ตั้งตอนอยู่โรงพยาบาลด้วย ผมปรึกษากับพี่ปูนพักใหญ่สุดท้ายก็แพ้ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของบุพการีทั้ง 3 จนต้องยอมตามใจพวกท่านในที่สุด
‘ เอกณัฏฐ์หลานย่า ’
‘ ทวิพัทธ์หลานตา ’
‘ เตวิชญ์หลานปู่ ’
ทั้ง 3 ชื่อที่พวกท่านตั้งให้ล้วนแต่ความหมายดีทั้งสิ้นและยังมีที่มาที่ไปอีกด้วย อย่าง ‘ เอกณัฏฐ์ ’ ด้วยความที่เป็นลูกคนแรกจึงให้ขึ้นต้นว่า ‘เอก’ ส่วนคำว่า ‘ณัฏฐ์’ ก็มาจาก ‘ปุณณัตต์’ เพราะหน้าเหมือนพี่ปูน คนถัดมา ‘ ทวิพัทธ์ ’ ก็ขึ้นด้วย ‘ ทวิ ’ เพราะเป็นลูกคนที่ 2 และคำว่า ‘พัทธ์’ ก็มาจากชื่อของผม และคนสุดท้าย ‘ เตวิชช์ ’ เลข 3 ก็คือ ‘ เต ’ ส่วนคำว่า ‘ วิชช์ ’ แม้จะไม่มีความหมายในพจนานุกรมแต่ก็มีที่มาจากคำว่า ‘ วิชชา’ การเติมการันต์ที่ชอช้างเพื่อให้พ้องเสียงกับคำว่า ‘ วิชญ์ ’ เป็นการเล่นคำสร้างความเก๋ไก๋ไม่เหมือนใครตามโครงหน้าที่ลูกคนนี้เป็น
“ ผู้โชคดีคนแรกได้แก่... ” เสียงน้องปันดึงผมกลับมาอยู่ในโลกปัจจุบันพร้อมกับซาวน์ดนตรีสร้างความตื่นเต้น “ โทนี่คร่า~ ”
“ เยส ” โทนี่กระโดดโลดเต้นแล้ววิ่งขึ้นมาบนเวทีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ ไฮ บอส ยูต้องชอบชื่อที่ไอตั้งแน่ๆ ” มันทักทายผมพร้อมกับพูดด้วยความมั่นใจเป็นภาษาไทย เดี๋ยวนี้ภาษาไทยมันแข็งแรงละ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นติวเตอร์ ถ้าไม่ใช่พิธีกรอีกคนที่ยืนหน้ามุ่ยข้างๆ มัน
“ ชื่อที่โทนี่เสนอมามี 3 เซ็ทๆ ละ 3 ชื่อ เซ็ทแรก A B C ” ผมฟังน้องปันอ่านแล้วส่ายหน้า โทนี่หันมาพูดอย่างไม่มีเสียงว่ารอเซ็ทต่อไป “ เซ็ทที่ 2 กขค ” โค้ว ถ้าจะมาตั้งอะไรธรรมดาๆ แบบนี้กลับบ้านไปเถอะ
....ทีชื่อหมาตั้งว่า ‘ซิลเวสเตอร์’ พอลูกผมตั้งแค่ ‘ABC กขค’ ถุย!
“ และเซ็ทสุดท้าย คอ วอ.. เห้ย! ”
“ โทนี่!!/พี่ปูน!! ” ตอนแรกตั้งใจจะตะโกนเรียกชื่อโทนี่แต่ต้องเปลี่ยนไปเรียกสามีแทนเมื่อเห็นเขาง้างหมัดเตรียมพุ่งใส่หนุ่มลูกครึ่ง ผมรีบคว้าเอวเขาก่อนจะดึงมาอีกฝั่ง บรีสเองก็เข้าไปลากโทนี่ออกมาเช่นกัน
“ บอสปล่อยพี่คืนนี้พี่จะเอาเลือดหัวมันออก ” พูดพลางดิ้นไม่หยุด ผมเลยต้องกอดแน่นขึ้นไปอีก
“ ใจเย็นพี่ปูน โทนี่มันไม่ได้ตั้งใจ ภาษาไทยมันไม่ค่อยแข็งแรงมันคงไม่รู้ความหมายจริงๆ แหละ ”
“ เอ่อ..ชื่อที่ผมตั้งมันทำไมหรอ? ทำไมคุณปูนต้องโกรธขนาดนั้น พอดีได้ยินบ่อยจนติดหูเลยคิดว่าความหมายน่าจะดี ” โทนี่พูดอย่างรู้สึกผิด
“ ตรงกันข้าม ความหมายมันโคตรจะติดลบต่างหาก ” บรีสช่วยอธิบาย
“ อ้าวหรอ งั้นซอรี่นะบอส ” หนุ่มลูกครึ่งพูดพลางกับยกมือข้างนึงขึ้นพร้อมก้มหัวให้แล้วเดินลงเวทีไปรับของรางวัลด้านล่างก่อนจะกลับไปนั่งที่เก่า
“ ฮ่าๆ ไม่มีอะไรนะคะทุกอย่างปกติ มาดูคนต่อไปกันดีกว่าเน๊าะ ” น้องปันหัวเราะกลบเกลื่อนแก้สถานการณ์โดยการจับสลากหาผู้โชคดีคนต่อไป กติกาของงานก็ไม่มีอะไรมากแค่ให้ผู้ที่จะเข้าร่วมสนุกเขียนชื่อที่ตั้งและชื่อตัวเองลงในกล่อง ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของพวกผมที่จะจับสลากหาชื่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ชื่อที่ถูกใจ คนไหนที่ถูกเรียกให้ขึ้นมาบนเวทีก็จะได้รับของรางวัล ส่วนชื่อของใครที่ได้รับการคัดเลือกจากผมและพี่ปูนก็ได้รางวัลใหญ่แค่นี้เอง
“ มาดูซิว่าผู้โชคดีคนนี้จะเป็นใคร ” น้องปันหยิบสลากขึ้นมาเปิดอ่านพร้อมกับทำหน้าตกใจ “ อุ้ย ปันเอง ฮี่ๆ ” เด็กสาวยิ้มแผล่เมื่อจับโดนชื่อตัวเอง
ผม พี่ปูน และบรีสมองหน้ากันด้วยความกังวล กลัวว่าปัณณ์ณิชจะตั้งชื่ออะไรแผลงๆ
“ ในฐานะที่ปันเป็นอาของเจ้าสามแสบปันเลยอยากให้คนโตชื่อปัน คนกลางชื่อปันปัน ส่วนคนเล็กชื่อปันปันปัน เจ๋งใช่ป่ะล่ะ ปันนั่งคิดตั้งนานแน่ะ ฮ่าๆ ”
สาบานเถอะครับว่าน้องคิดนานแล้วจริงๆ อยากจะร้องไห้ออกมาเป็นภาษาอาหรับ และผมคิดว่าทุกคนในงานก็คงคิดไม่ต่างกัน “ น้องปันคือพี่ว่า...แค่บ้านหลังนี้มีปันเดียวก็วุ่นวายพอแล้ว อย่าให้มีถึงปันปันปันเลยนะ พี่ขอ ” ผมพูดกับเด็กสาวผ่านไมโครโฟนเรียกเสียงหัวเราะของคนทั้งงานได้เป็นอย่างดี จะมีก็แต่ยัยตัวแสบที่ทำหน้าเป็นตูดก่อนจะสะบัดผมใส่
“ จับต่อเถอะๆ ครั้งนี้พี่ขอจับเองนะ ” พูดเสร็จผมก็ล้วงมือเข้าไปในกล่องพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่ม้วนไว้เป็นอย่างดีขึ้นมา ผมบรรจงคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกแล้วอ่านข้อความที่อยู่ข้าง “ ถึงคุณชายกับคุณบอส ผมพิสิษฐ์เองนะครับ” คุณพิทนี่เองไหนดูซิจะตั้งชื่อหลานสุดที่รักว่าอะไร “ ชื่อที่ผมจะตั้งต่อไปนี้รับรองว่าต้องถูกใจพวกคุณแน่ๆ เพราะมันเป็นสถานที่ที่มีความหมายสำหรับพวกคุณมาก เผื่ออนาคตตอนที่ลูกๆ ของคุณโตขึ้นเขาจะได้รู้ว่าเขาเกิดขึ้นมาจากที่ไหน ” ผมหันไปสบตากับสามี พี่ปูนเองก็ยังทำหน้างงๆ จนผมอ่านข้อความมาถึงบรรทัดสุดท้ายพวกเราก็ถึงบางอ๋อ
“ ชื่อนั้นก็คือ On The Beach เห้ยพี่ปูน!!!!!!!!!!!!!!! ” อ่านจบผมก็หันไปแหวใส่และฟาดแขนคนข้างๆ ทันที ก็เรื่องนี้มันมีแค่ผมกับเขาที่รู้แล้วคุณพิทจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไงถ้าไม่ใช่..
“ พี่เปล่าเล่านะ พี่ก็เพิ่งรู้ว่าคุณพิทรู้ไม่กี่วันก่อนนี่เอง คุณพิทบอกว่าเขา...เห็น ”
…ไอ้ @#$!%$% ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายความอายระดับ 9.2 ริกเตอร์ ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แค่เล่า..แต่เขาเห็น เห็นกับตาตัวเอง อ๊ากกกกกกกกกก ใครก็ได้บอกผมทีว่ามันไม่จริง
ช่วงซัมเมอร์เมื่อต้นปีพี่ปูนชวนผมและครอบครัวไปพักผ่อนที่ทะเล กลางดึกเราสองคนก็ไปเดินเล่นที่ชายหาดกันแล้วบรรยากาศทุกอย่างมันก็พาไป ใครจะคิดว่าที่มืดๆ บนหาดส่วนตัว ท่ามกลางเสียงลมและเกลียวคลื่นที่ผมกับพี่ปูนคิดว่าเวลาวิกาลแบบนี้จะไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่าน จะมีสายตาอีกคู่หนึ่งแอบซ่อนอยู่
...ว่าแต่ แอบอยู่ตรงไหนว่ะ? บนต้นมะพร้าวหรอ?
“ งั้นเสียงที่บรีสกับปันได้ยินคืนนั้นก็ไม่ใช่เสียงผีอ่ะซิ ”
“ บรีส! พี่ไม่เคยโหยหวนแบบนั้นนะ! โอ้ยๆๆ เปลี่ยนเรื่องๆๆ จับสลากคนต่อไปเลย ” ผมโวยวายหน้าร้อนผ่าวมองค้อนทุกคน เห็นแต่ละคนอมยิ้มส่งมาให้ผมนี่แทบอยากจะหายตัวไปซะเดี๋ยวนี้ ยังดีที่เด็กสาวทั้งสองเลิกแกล้งผมแล้วเปลี่ยนเรื่องให้โดยการหันไปจับสลากหารายชื่อต่อ
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงมีชื่อมากมายเข้ามาในหูแล้วมันก็ทะลุผ่านออกไป ทำไมการหาชื่อเล่นให้ถูกใจมันยากขนาดนี้เนี่ย ผมว่าผมไม่ได้เรื่องมากนะแต่ชื่อที่ผ่านมามันไม่เข้าท่าจริงๆ อย่าง ‘กรรไกร ไข่ ผ้าไหม’ เห้ย! ลูกผมเป็นผู้ชายหมดป่ะครับ ให้ชื่อผ้าไหมนี่ไม่แปลกไปหน่อยหรอ? ก็ไม่อยากจะโทษคนตั้งหรอกนะรู้ว่าเขาเจตนาดี แค่เข้าใจคิดว่าลูกคนกลางของผมเป็นผู้หญิงเท่านั้นแหละ บางเซ็ทนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ‘วอดก้า แดเนียล ชีวาส’ เอิ่ม เห็นผมเป็นคอทองแดงหรอ? ได้ข่าวว่าตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้เหล้าซักหยดผมยังไม่เคยกินเลย
“ พี่บอสเหลือใบสุดท้ายแล้วนะ ” น้องสาวหันหน้ามาบอก ผมถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับรู้ “ ของบรีสเองแหละ บรีสเห็นว่าจุดเริ่มต้นของมีสองคนมีที่มาจากเงินก็เลยตั้งชื่อลูกพี่เป็นสกุลเงิน ยูโร ดอลลาร์ ฟรังก์ เป็นไง ชอบป่าว? ”
ฟังเหตุผลที่ตั้งแล้วผมก็หูผึ่ง จริงอย่างที่บรีสว่าถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องเงินก็ไม่รู้ว่าชาตินี้ผมกับพี่ปูนจะมีวันได้เจอกันมั้ย? หรือต่อให้เจอก็คงไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้มาอยู่ด้วยกันเหมือนอย่างวันนี้
“ ชอบๆๆ เข้าใจคิดนะบรีส ชื่อก็เพราะแล้วยังมีความหมายด้วย บอสว่าไงครับ ”
“ จริงๆ ก็ชอบแหละพี่ปูน ”
“ เย้ๆ งั้นเอาอันนี้นะ บรีสอยากได้รางวัลใหญ่ อิอิ ” น้องสาวตัวดียิ้มไม่หุบ เห็นแบบนี้ก็ไม่อยากจะทำให้เสียความรู้สึกเลยจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องพูดไป
“ แต่.. ” นั่นไง บรีสหุบยิ้มลงทันทีที่ผมเอ่ยปาก “ แต่หมาบ้านข้างๆ เราก็ชื่อยูโร ดอลลาร์ ฟรังก์ เหมือนกัน พี่ไม่อยากเรียกชื่อนี้แล้วได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า บ็อกๆ บรีสเข้าใจพี่นะ ”
“ เออ จริงด้วย ” พี่ปูนที่เพิ่งนึกได้พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่บรีสและทุกคนจะเริ่มเข้าใจตาม เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
...สรุปว่าลูกผมจะไม่มีชื่อเล่นจริงๆ ใช่ป่ะ? งานที่จัดวันนี้จะสูญเปล่างั้นหรอ? ไม่นะ...
“ บอส...จำได้มั้ยว่าเราเคยบอกพี่ว่าอยากจะตั้งชื่อลูกที่บอกถึงเราสองคน ”
“ จำได้ครับ ” ผมตอบกลับสามีอย่างมีความหวังแล้วตั้งหน้าตั้งตารอฟังชื่อที่พี่ปูนกำลังจะเสนอ
“ งั้นก็ หนี้สิน ดอกเบี้ย ขัดดอก เป็นไง เกี่ยวกับเราสองคนเต็มๆ เลย ฮ่าๆ โอ้ย! ” เอาจริงหรือเอาฮาผมไม่สน ผมฟาดมือลงที่แขนพี่ปูนเต็มๆ อีกครั้งทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง
“ พี่ปูน! ยังจะมาตลกอีก บอสซีเรียสนะ ”
“ โอเคๆ พี่ไม่เล่นแล้ว ไหนเขยิบมาให้พี่ดูหน้าเราใกล้ๆ สิ ” ว่าแล้วก็จับไหล่ทั้งสองข้างของผมให้หันหน้าไปหาเขา ดวงตาคมคู่นั้นมองเข้ามาในตาผมอย่างที่ต้องการจะสื่อความหมาย เรียวปากสีส้มอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ มองหน้าบอสแบบนี้พี่ก็คิดออกได้แค่ 3 คำ คือ รัก รัก และก็รัก ”
“ ฮิ้ววววววววววว ” แขกเรื่อในงานส่งเสียงแซวกันลั่น ผมจากที่ก้มหน้าหลบตาพี่ปูนเพราะคำพูดเมื่อกี้ก็ยิ่งมุดหน้าจนคางชิดอกเข้าไปใหญ่ จนตัวต้นเรื่องต้องดึงเข้าไปกอด พี่ปูนจับหน้าผมให้จมหายเข้าไปในอกแกร่งของเขาพลางกระซิบ
“ พี่คิดแบบนั้นจริงๆ นะ คนดีของพี่ ”
“ พี่ปูนบ้า เล่นอะไรก็ไม่รู้ ตั้งชื่อเหมือนกันแบบนั้นเรียกทีไม่หันมาหมด 3 คนเลยหรอ ” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะพี่ปูนยังไม่ปล่อยให้เป็นอิสระ แต่ก็ดีแล้วครับเพราะตอนนี้หน้ายังแดงไม่หายแน่ๆ ก็มันเขินนี่ ถึงจะอยู่กินกันมาจนมีลูกแล้วแต่ก็ยังไม่ชินนะ
“ ถ้ากลัวซ้ำกันงั้นเปลี่ยนเป็น รัก รักมาก รักที่สุด ดีมั้ยครับ ” ดูๆๆ ดูสามีของผมทำ นั่นชื่อลูกหรือหนังสือราชการกันแน่
ถึงมันจะดูไร้สาระไปบ้างแต่ผมก็ชอบนะ ผมรู้ที่เขาทำเพราะไม่อยากให้ผมเครียดและอยากให้ผมยิ้มได้ ผมจึงกระชับกอดเขาแน่นเข้าไปอีกแทนคำขอบคุณก่อนจะพูดขึ้นบ้าง
“ รักเหมือนกัน ” ผมแน่ใจเลยว่าคนฟังต้องกำลังยิ้มแก้มปริอย่างแน่นอน เพราะไม่บ่อยครั้งที่ผมจะพูดคำๆ นี้ออกมา แต่ถึงไม่พูดผมก็ยังรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม ไม่สิอาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อตอนนี้เรามีโซ่คล้องใจกันแล้วถึง 3 เส้น
...ใช่สิ ที่ผมยังหาชื่อให้ลูกไม่ได้ ก็เป็นเพราะตัวผมเองที่มัวแต่มองหาจากที่ไกลๆ โดยมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไปเสียสนิท คำ 3 คำที่มีความหมายที่จะใช้สื่อถึงผมกับพี่ปูน แท้จริงแล้วคำตอบนั้นผมอยู่ในมือผมตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ที่ผมยังเป็นแค่ลูกหนี้จนมาถึงวันนี้วันที่ผมกลายมาเป็นแม่ของลูกของพี่ปูน มีสิ่งหนึ่งระหว่างเราที่มันยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงและมันจะเป็นอยู่แบบนั้นตลอดไป นั่นคือ
“ I Am Your ”
นี่แหละ ชื่อลูกของเรา
-The End-
--------------------------
Happy Mother's Dayสวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะ ^^ วันนี้ขอต้อนรับวันแม่พร้อมกับคุณแม่ป้ายแดงแฝดสามอย่าง หนูบอส
หวังว่าคงไม่ค้างคากันแล้วเน๊อะ จากกระแสตอนพิเศษครั้งก่อนมีคนเรียกร้องให้เราแต่งเพิ่ม บวกกับใกล้เทศกาลวันแม่พอดีเราก็เลยจัดมาให้ 1 เรื่องสั้นๆ ถ้ามีคนชอบ แล้วเราว่างๆ ก็อาจจะเอาความน่ารักของเจ้าสามแสบตอนโตมาฝาก
ยังไงวันนี้ก็ขอให้อ่านนิยายให้สนุกนะคะ แล้วก็อย่าลืมบอกรักกันแม่กันด้วยน้า
See you again
