การใช้หนี้ครั้งที่ #18 เคยชิน
การที่คนสองคนซึ่งไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน บังเอิญได้มารู้จักกัน และด้วยความจำเป็นบางอย่างทำให้ทั้งคู่ต้องมาอยู่ด้วยกัน ใกล้ชิดกัน แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็ได้ก่อเกิดเป็นความรู้สึกใหม่ที่ยากจะอธิบาย
ความรัก??
จะเป็นไปอย่างไร ในเมื่อหัวใจทุกห้องของเขาได้ยกให้ใครอีกคนไปตั้งนานแล้ว
ความหวั่นไหว?
หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วทำไมตอนนี้เขายังคงคิดถึงเธอคนนั้นอยู่ ทั้งๆ ที่เรื่องราวทั้งหมดก็ผ่านมานานนับปี
คำนิยามเพียงคำเดียวที่ใช้ปลอบใจตัวเองได้ดีที่สุด คือ
‘ ความเคยชิน ’
-------------------------
แสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญส่องกระทบบนเตียงคิงไซส์เห็นภาพเด็กหนุ่มลูกครึ่งนอนเอามือก่ายหน้าผากตัวเอง พลางปรายตาไปยังประตูกระจกบานใหญ่ที่สามารถเปิดไปที่ระเบียงห้องได้ ภาพเด็กสาวในอดีตก็แล่นเข้ามาในความคิดไม่มีหยุด ในเมื่อที่ตรงนั้นเคยเป็นของเธอทุกค่ำคืนก่อนเข้านอน
สุดท้ายเด็กหนุ่มทนไม่ไหวก็ลุกขึ้นไปดึงม่านปิดประตูกระจก หวังจะไล่ความคิดพวกนั้นออกไปให้หมดเพื่อเขาจะได้ข่มตาหลับซะที แต่พอหันหลังกลับมาเห็นโซฟาหน้าทีวี ภาพของเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เคยนอนขดอยู่ตรงนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ??
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมผู้หญิงที่แสนจะน่ารำคาญคนนั้น ถึงได้มามีอิทธิพลกับตัวเขาได้ถึงเพียงนี้
ทั้งที่เคยให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่สนใจใครอีกนอกจาก...
ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีเพศเดียวกับเขา
อีกทั้งยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของคนที่เขากำลังนึกถึง
5 ปีก่อน ครั้งเมื่อเด็กหนุ่มลูกครึ่งอายุได้เพียง 10 ขวบ เขาเคยมีโอกาสได้ไปดูงานโอเพ้นส์เฮ้าส์ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง วันนั้นตรงกับวันวาเลนไทน์พอดิบพอดี เขาเลยไม่เคยแปลกใจที่โดนพิษของเจ้าคิวปิดเล่นงาน
สิ่งที่เขาประทับใจที่สุดในงานคือละครเวทีที่จัดให้ผู้ที่มางานได้รับชม และคนที่ทำให้หัวใจของเขาได้รู้จักกับคำว่า ‘รักแรกพบ’ ก็คงจะไม่พ้น เจ้าหญิงหรือนางเอกของเรื่องนั่นเอง ถึงตัวละครจะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ ในเมื่อทุกประสาทสัมผัสตอนนี้สนใจแค่ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว
ดวงตาเรียวสวยที่แสนอบอุ่น จมูกโด่งเป็นสันเข้ากับใบหน้าหวาน พวงแก้มเปล่งสีชมพูระเรื่อดูเป็นธรรมชาติของเจ้าตัวมากกว่าถูกแต่งแต้ม รอยยิ้มจริงใจจากริมฝีปากบางสีแดงสดชวนลิ้มลอง ไหนจะผิวขาวใสเนียนละเอียดจนน่าสัมผัสนั่นอีก ทุกอย่างที่รวมกันเป็นเธอช่างสะกดสายตาชายหนุ่มอย่างเขาได้เป็นอย่างดี
หากแต่ตอนจบของเรื่องได้เฉลยบางสิ่งบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึง
เจ้าหญิงแสนสวยหรือนางในฝันของเขาคนนั้น
แท้ที่จริงแล้ว เธอเป็น
ผู้ชาย !!!
ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่แสนจะงดงามได้ล่อหลวงให้เขาติดกับ จนลืมคิดไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในบริเวณโรงเรียนชายล้วน
หัวใจดวงน้อยที่เพิ่งรู้จักคำว่ารักหมาดๆ แทบแตกสลาย จนอยากหลับแล้วตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าตัวเองแค่ฝันไป ในเมื่อความเป็นจริงเขาไม่อาจที่จะทำได้อย่างใจปรารถนา ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือการหนี แต่ก่อนที่เด็กชายจะได้ก้าวเท้าออกจากห้อง เสียงของเธอผู้นั้นก็ดังรั้งขาทั้งสองข้างของเขาไว้ได้เสียก่อน
‘‘ Tony, wait! ’’
เด็กหนุ่มหันกลับมาตามเสียงเรียก มองการแสดงบนเวทีเห็นพระเอกของเรื่องก็หันไปหาคนเรียกเช่นเดียวกัน
...นี่เจ้าชายนั่นชื่อเหมือนเขาหรือเนี่ย?
เขาคิดพลางกลับมานั่งดูการแสดงต่อ
'' Although I’m not real girl, But my love is real.
Darling, ‘LOVE’ isn’t rule.
No one define our love except us.
As long as your heartbeat call my name.
I’m all your eternal, I promise. ''
'' Prince Tony, I love you. ''
จบประโยคเจ้าชายก็ตรงเข้ากอดคนตรงหน้าไว้แนบอก ก่อนจะผละตัวออกเบาๆ เพื่อที่จะได้ใช้มือข้างหนึ่งของเขาเช็ดคราบน้ำตา ส่วนมือข้างที่ว่างก็เชยคางมนให้เงยขึ้นสบกับดวงตาคม และมอบจุมพิตที่หอมหวานให้แทนคำตอบ
'' I forgive you for everything.
And I love you too, My princess. ''
คำพูดของเจ้าชายเรียกรอยยิ้มให้กลับมายังใบหน้าหวานอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่แทนคำพูดมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคำว่า ขอบคุณ เจ้าชายเองก็ยิ้มตอบอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น ดวงตาของคนทั้งสองมองกันอย่างสื่อความหมาย
เด็กหนุ่มวัยสิบขวบเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าชายโทนี่ทำทุกประการ ถึงแม้ว่าความรักครั้งนี้จะไม่สามารถอธิบายให้คนทั้งโลกได้เข้าใจ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลในตัวมันเอง
ดังคำกล่าวของ Blaise Pascal ที่ว่า
‘ The heart has its reasons of which reason knows nothing. ’
หลังจากที่นักแสดงทั้งหมดได้โค้งคำนับขอบคุณผู้ชมจากบนเวที หนุ่มลูกครึ่งก็ตรงเข้าไปหาความรักของเขาอย่างไม่รอช้า
….ทำทุกอย่างให้เป็นไปตามเสียงหัวใจที่เรียกร้อง ขอเชื่อในสัญชาตญาณตัวเองดูสักครั้ง
อีกเพียงก้าวเดียว เขาก็จะถึงตัวบุคคลที่หมายปอง ถ้าไม่ติดว่าเจ้าชายในเรื่องดันลากเป้าหมายของเขาไปเสียก่อน
แค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
แต่ด้วยจำนวนคนบนเวทีที่มากขึ้น ทำให้เขาไม่สามารถตามเจ้าของใบหน้าหวานได้ทัน ครั้งนี้เขาคงต้องปล่อยเธอไป ในเมื่อพรหมลิขิตได้สิ้นสุดลง
...ถ้าเขาได้เจอเธออีกครั้ง เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปเป็นครั้งที่สอง ไม่มีทาง
หนุ่มลูกครึ่งสัญญากับตัวเองในขณะที่ก้มมองดูรูปภาพที่อยู่ในกล้อง
ภาพรอยยิ้มของหญิงสาว
ภาพที่เขาแอบถ่ายเธอในขณะทำการแสดง
4 ปีต่อมา
ถ้าไม่เรียกว่า พรหมลิขิต ก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอะไร
ใครจะคิดว่าบุคคลที่เฝ้ารอจะมาปรากฏกายอยู่หน้าชั้นเรียนในฐานะนักเรียนใหม่ของห้อง
ถึงแม้ว่า ‘เธอ’ ในวันนี้กับวันนั้นจะดูต่างกันมากเพียงใด แต่ดวงตาเรียวสวยคู่นั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิม
หัวใจเต้นรัวราวจะหลุดออกมานอกอก ยามที่คนตรงหน้ากำลังจะแนะนำตัว ไม่อยากจะเชื่อว่าเขากำลังจะได้ยินชื่อของเธอ หลังจากเฝ้ารอมา 4 ปีเต็ม เธอมาอยู่ตรงนี้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฝันไป เพราะหากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ขอตื่นอีกเลยชั่วนิรันดร์
“ สวัสดีครับ ผมชื่อยศพัทธ์ เศรษฐพงศ์ เรียกว่าบอสก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ”
….บอส
เด็กหนุ่มลูกครึ่งทวนชื่ออีกฝ่ายในใจ และคิดว่าหลังจากวินาทีนี้ไป จะไม่มีคำว่า เธอ อีก แต่จะเหลือเพียงคำว่า บอส เท่านั้น
แผนการตีสนิทเพื่อพิชิตหัวใจนายยศพัทธ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น เมื่อมีแม่สื่ออย่างปัณณ์ณิชที่คอยสนับสนุนเขาในทุกด้าน หลังจากที่เธอจับได้ว่าเขามีใจให้พี่ชายคนสนิท เขาจึงต้องเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง รวมทั้งเอาภาพที่เคยถ่ายไว้เมื่อ 4 ปีก่อนให้เธอดู เพื่อแลกกับความช่วยเหลือทั้งหมดทั้งมวล
รักแท้ย่อมมีอุปสรรค
และสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับเขาคงไม่พ้น 'พี่ชายแท้ๆ' ของแม่สื่อตัวน้อย
หลายต่อหลายครั้งที่เขาได้มีโอกาสอยู่กับบอสตามลำพัง แต่ตอนจบมักลงเอยด้วยการที่คนมาที่หลังอย่างปุณณัตต์มักได้ตัวบอสไปเสมอ ราวกับคนบนฟ้าเล่นตลก
เขาไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ของคนคู่นั้นคืออะไร แล้วก็ไม่สนด้วย ในเมื่อเขาได้สัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าจะไม่มีทางปล่อยบอสไปอีก
จนกระทั่งเมื่อ ‘เธอ’ เดินเข้ามา
วันที่เขาได้พบเธอคือวันที่เขาไปเที่ยวห้างกับบอสสองต่อสองเป็นครั้งแรก ในระหว่างรับประทานมื้อเช้าในร้านอาหารบนห้างหรู ที่ด้านนอกร้านยังมีสาวน้อยผิวขาวที่หน้าละม้ายคล้ายคนตรงหน้า จะพูดให้ถูกคือ คล้ายกับเจ้าหญิงที่เป็นรักแรกพบของเขาเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด
....เธอคือใคร? ทำไมถึงมองมาที่บอสไม่หยุด
เขาถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งคนตรงหน้าเรียกชื่อแล้วถามว่ามีอะไร ถึงเขาจะปฏิเสธแต่พออีกฝ่ายไม่สนใจเขาก็หันมาข้างนอกร้านอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า
….หรือว่าจะตาฝาด
ถึงจะบอกตัวเองไปอย่างนั้น แต่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยหยุดคิดเรื่องนี้ได้เสียที จนวันที่เขาตัดสินใจที่จะถามบอสไป
“ บอสเป็นลูกเดียวคนเดียวรึเปล่า ”
และคำตอบที่ได้ก็ทำให้เขามั่นใจว่าผู้หญิงที่ยืนทำตัวลับๆ ล่อๆ อีกฝั่งของถนนไม่ได้เป็นเพียงภาพในจินตนาการของเขา แต่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของคนตรงหน้า ส่วนเหตุผลที่ทำไมทั้งสองถึงต้องแยกจากกันและไม่อาจเผชิญหน้ากันได้ อันนั้นเขาจะไปหาคำตอบด้วยตัวเอง
การกระทำไวเท่าความคิด โทนี่ลาจากบอสแล้ววิ่งข้ามถนนไปยังจุดที่ผู้หญิงคนนั้นซ่อนตัวอยู่ แต่อีกฝ่ายเมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้ก็หนีสุดชีวิต เขาพยายามเรียกให้เธอหยุดแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเธอจะทำตาม จนในที่สุดเธอก็พลาดเลี้ยวเข้ามายังตรอกเล็กๆ ที่ไม่มีทางออก
น่านับถือในความเป็นนักสู้ของเธอ ที่ถึงแม้ว่าร่างกายจะสันเทาด้วยความขลาดกลัว แต่แววตาคู่นั้นก็ไม่มีแวววูบไหวหรือมีน้ำตาคลอแม้แต่น้อย
“ ถอยไปนะ ”
หญิงสาวพูดพลางก้าวถอยหลังชนกำแพงสูง ถึงจะหนีต่อไปทางไหนไม่ได้แต่อย่างน้อยมันก็เป็นที่ประคองร่างไม่ให้เธอล้ม
“ ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูด ช่วยพูดเป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย ”
ตาของหญิงสาวเบิกกว้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
....นี่มันอะไรกัน หมอนี่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของป๊างั้นหรอ แล้วเป็นใคร?
“ ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำร้ายเธอ ฉันเป็นเพื่อนกับพี่ชายเธอ ชื่อโทนี่ ”
เธอเพ่งมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา
….ชื่อโทนี่ ผมสีแดงเหมือนพวกตระกูลวิสลี่ย์ รูปร่างหน้าตามีเชื้อสายทางยุโรปแต่นัยน์ตาสีดำสนิท คงเป็นพวกลูกครึ่งแหงๆ งั้นก็ไม่แปลกที่จะพูดไทยไม่ได้
“ เพื่อนพี่บอส? ”
คำถามถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ ใช่ ฉันกับบอสเรียนห้องเดียวกัน เธอน่าจะจำฉันได้นะ เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันไปกินข้าวกับพี่เธอที่ห้าง วันนั้นเธอก็แอบมองพี่เธอแบบนี้ ทั้งๆ ที่เธอเป็นน้องสาวเขาแล้วทำไมถึงไม่เข้ามาทัก และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องตามเธอมาเพราะอยากรู้ว่าเธอกับพี่ชายเธอมีปัญหาอะไรกัน ”
เด็กสาวก้มหน้าครุ่นคิดนึกย้อนไปในอดีต
….หมอนี่คือผู้ชายที่ไปกินข้าวกับพี่บอสวันนั้นงั้นหรอ แถมวันนี้ก็ยังใส่ชุดนักเรียนเหมือนที่พี่บอสใส่ไม่มีผิด แสดงว่าคงเป็นเพื่อนกันจริงๆ แหละ แต่ถึงอย่างนั้น ในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่อาจจะไว้ใจใครได้
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมายังไม่ทันได้ปริปากก็ต้องชะงัก เมื่อเด็กหนุ่มลูกครึ่งมาประชิดตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ด้วยความตกใจบวกกับความสั่นของขาเป็นทุนเดิม ทำเอาเด็กสาวทรุดตัวลงอย่างหมดแรง
“ ถ้าเธอยังไม่พร้อมจะเล่าก็ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากให้เธอรู้ไว้ว่าฉันหวังดีกับเธอและพี่ชายเธอ หากต้องการความช่วยเหลือบอกฉันมาได้ทันที ฉันยินดี ”
เด็กหนุ่มยิ้มให้อย่างอบอุ่นพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้าหวังจะช่วยฉุดเด็กสาวขึ้น เธอเองก็มองตามมือข้างนั้นอย่างชั่งใจ และสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะเอื้อมมือไปเพื่อรับความช่วยเหลือ โชคร้ายที่มือเล็กยังไม่ทันได้แตะฝ่ามือใหญ่ เสียงทุ้มของบุคคลที่สามก็ดังมาจากด้านหลังของชายหนุ่มซะก่อน
“ มาหลบอยู่นี่เองหรอ? สาวน้อย ”
มือน้อยชะงักอยู่กลางอากาศ หน้าตาของหญิงสาวซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มจึงเข้าประคองเธอให้ลุกขึ้นอย่างถือวิสาสะ แม้จะฟังประโยคที่คนมาใหม่พูดไม่เข้าใจ แต่เท่าที่ดูก็รู้ว่าคนพวกนี้คงไม่ได้มาดี
“ พวกคุณต้องการอะไร ”
“ ไอ้ฝรั่งนี่มาเสือกอะไรว่ะ " ประโยคคำถามภาษาไทยหลุดออกมาทันทีที่โทนี่พูดจบ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะมีสติแล้วเริ่มการเจรจาใหม่เป็นภาษาอังกฤษ " ส่งตัวยัยนั้นมาซะดีๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ”
“ อยากได้นักก็เข้ามาเอาเองสิวะ ”
ชายหนุ่มพูดขณะที่ใช้ตัวบังร่างของหญิงสาวเอาไว้ ในเมื่อเธอเป็นน้องสาวของคนที่เขารัก เขาก็ต้องปกป้องเธอให้ถึงที่สุด
“ ปากดีนักนะ เด็กน้อย อยากรู้จริงเชียวว่าจะทนมือทนตีนพวกพี่ได้ซักกี่น้ำ ”
“ อยากรู้ก็เข้ามา ส่วนเธอไปหลบตรงโน้น อย่าให้พวกมันจับได้ ถ้ามีโอกาสก็หนีไปไม่ต้องหันกลับมา ”
หญิงสาวกัดฟันแน่นอยากจะเถียงออกไปว่าเธอจะทิ้งเขาได้อย่างไร แต่เมื่อเจอสายตาดุๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่ง เธอไปหลบหลังถังขยะใบใหญ่แอบมองการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างเพื่อนพี่ชายและแก๊งค์ทวงหนี้ ตอนแรกก็คิดเป็นห่วงกลัวว่าผู้มีพระคุณจะสู้ไม่ไหว แต่ดูจากสภาพคนเจ็บที่ลงไปกองที่พื้น เธอว่าเธอคงคิดผิด
แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะจัดการหมาหมู่ที่รุมเขาทั้ง 5 ตัวได้อย่างสบายๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ นอกจากหลังมือที่แดงเถือก
“ ไปกันเถอะ ”
ป็อปคอร์นยังไม่ทันหมดถังการต่อสู้ที่(ไม่)ยาวนานก็สิ้นสุดลง ชายหนุ่มเดินมารับเธอจากที่ซ่อนพลางจับมือเธอให้เดินตาม ไม่มีคำถามใดๆ จากปากคนทั้งคู่ มีเพียงแววตาของหญิงสาวที่มองอีกฝ่ายไม่กระพริบ
‘ประทับใจ’ คำนี้ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
หัวใจที่สั่นระรัวของเธอต่างหากที่เป็นคำตอบของทุกความรู้สึก
ถ้าเมื่อกี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ ป่านนี้เธอจะมีสภาพเป็นยังไงก็ไม่รู้
“ ขอบคุณนะ โทนี่ ”
ชายหนุ่มหันมายิ้มให้หญิงสาวก่อนจะเปิดประตูพาหนะคู่ใจของเขาให้เธอขึ้นไปนั่ง
เฟอรารี่สีแพงพุ่งทะยานไปข้างหน้าสวนทางกับความคิดของยวิษฐา
ตั้งแต่วันที่ผู้เป็นบิดาพาเธอหนีออกจากบ้านไปเมื่อหลายเดือนก่อน ชีวิตของเธอก็มีแต่คำว่า ‘หนี’ เรื่อยมา
ในเมื่อพ่อของเธอขยันสร้างหนี้อยู่ได้ทุกวี่วัน ทำให้ทั้งสองไม่เคยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งนานเกิน 2 วันเลยซักที
เมื่อเงินที่นำติดตัวมาก็เริ่มร่อยหรอ บวกกับเรื่องปุณณัตต์ที่เริ่มซา พ่อจึงตัดสินใจพาเธอกลับมาอยู่ที่บ้าน เพราะเชื่อว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดมักจะปลอดภัยเสมอ
ในวันที่เธอได้มีโอกาสเจอพี่ชายตัวเองอีกครั้ง ความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้นกลับมาอีกครั้ง เพราะดูจากรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ แสดงเจ้าหนี้ของพี่ชายคงจะใจดีอยู่ไม่น้อย อันที่จริงเธออยากจะเข้าไปหาเขานะ แต่ติดตรงที่ดันเจอแก๊งค์ทวงหนี้แก๊งค์ใหม่ล่าสุดของป๊าเข้า(แก๊งค์ที่เพิ่งสลบคาเท้าโทนี่เมื่อกี้แหละ) เลยทำให้ต้องหนีเตลิดอีกครั้ง
วันนี้ก็เป็นวันที่บังเอิญมาเจอพี่ชาย ในขณะที่เธอกำลังหางานพิเศษทำ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ชายซึ่งอยู่ในฐานะลูกหนี้จะมีโอกาสได้กลับมาเรียน แถมยังเป็นโรงเรียนอินเตอร์ที่ค่าเทอมแพงหูฉี่อีก
....วันนี้ต้องไปหาพี่บอสให้ได้
เธอคิดแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ ก็ถูกผู้มีพระคุณในปัจจุบันไล่ล่า ตอนแรกเธอนึกว่าเขาเป็นแก๊งค์ทวงหนี้เลยหนีแบบไม่คิดชีวิตและเหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างที่เห็น
หลายนาทีต่อมา เฟอรารี่คันงามก็มาจอดเทียบท่าที่บ้านของนายยงยศ หญิงสาวกล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณอีกครั้งและบอกลา โทนี่อาสาลงมาส่งเธอเข้าบ้านด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าหากมีคนดักปองร้ายเธออีกจะได้ช่วยทัน ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธ กลับรู้สึกพอใจและอบอุ่นใจ เมื่อจะได้เวลาที่เหลืออยู่กับเขาได้นานขึ้นไปอีก
ภายในบ้านที่ไร้เฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากถูกนายยงยศนำไปฝากไว้ที่สถานธนานุบาลจนหมดเกลี้ยง
" พ่อเธอไม่อยู่หรอ? "
หนุ่มลูกครึ่งถามในขณะที่มองหาอีกคนที่น่าจะอยู่ในบ้านที่เงียบเชียบแห่งนี้
" ป๊าออกไปข้างนอกทุกวันนั่นแหละ บอกว่าจะไปหาเงิน แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆ แล้วเขาไปที่ไหน "
เสียงเหนื่อยหน่ายบ่งบอกถึงความเคยชินของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่
....มีบ้านแต่ถูกตัดน้ำตัดไฟ และไร้ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ พ่อที่ออกไปหาเงิน ลูกสาวที่หนีแก๊งค์อันตพาลหัวซุกหัวซุน บอสที่ต้องไปอยู่กับเจ้าพ่อเงินกู้อย่างปุณณัตต์ หรือว่า พวกเขาจะเป็นหนี้
" ป๊าาาาาาาาาาาาาาา!! "
หญิงสาวกรีดร้องเป็นชื่อป๊าเสียงดัง ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังคิดทบทวนเรื่องราวเมื่อครู่ถึงกับสะดุ้ง เมื่อตั้งสติได้ก็รีบวิ่งมายังต้นเสียง
" เกิดอะไรขึ้น "
หญิงสาวไม่ตอบคำถามมีเพียงดวงตาที่แดงก่ำและน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ในมือถือกระดาษบางอย่าง เมื่อเดินไปดูใกล้ๆ จึงรู้ว่ามันคือจดหมาย แต่มันดันเขียนเป็นภาษาไทย
" ป๊าไปแล้ว ป๊าทิ้งฉันไปแล้ว ฮื่อๆ "
โทนี่สงสารคนตรงหน้าอย่างจับใจจนอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดึงร่างบางมากอดไว้กับตัวพลางลูบหัวปลอบประโลม
" ไม่เป็นไรนะ ต่อจากนี้ฉันจะดูแลเธอเอง "
หญิงสาวยังคงสะอึกสะอื้นภายใต้อกกว้างพลางกอดโทนี่แน่นเหมือนเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอในเวลานี้ เขาเองก็กอดเธอแน่นเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะไม่ทิ้งเธอไปไหน ผ่านไปพักใหญ่เมื่อหญิงสาวรู้สึกดีขึ้นเขาถึงผละเธอออกเบาๆ เพื่อทำข้อตกลง
" นับจากวันนี้เธอต้องไปอยู่กับฉัน และต้องเล่าทุกอย่างให้ฉันฟัง เรื่องพ่อ เรื่องเธอ และเรื่องบอส "
เธอพยักหน้ารับในเมื่อตอนนี้ไม่เหลือทางเลือกอะไรอีกทั้งนั้น
" ว่าแต่เธอชื่ออะไร "
" ฉันชื่อ....บรีส "
(มีต่อนะคะ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ เมื่อรืน เมื่อเรื่อง ขอไม่รับปากละกัน ><)