ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะคะ 
# อย่าบอกใคร...ว่า...ฉันรักเธอ?#
ตอนที่ 32
อยากกอด...
เอยสะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว รู้สึกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจะไม่สบาย จึงตื่นลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาไปโรงพยาบาลเพื่อไปหากวิน
“เอย...แม่ต้มโจ๊กเผื่อกวิน เอาไปฝากเขานะลูก” แม่ของเอยยื่นกล่องอาหารที่ใส่โจ๊กร้อนๆ เอยเอามันใส่ถุง และเดินออกปากซอยเพื่อไปขึ้นแท็กซี่
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เอยก็รีบไปยังห้องของกวินทันที เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามีเพียงทรรศเท่านั้นที่อยู่ในห้อง ส่วนกวินก็กำลังหลับอยู่
“สวัสดีครับคุณพีระนัม” ทรรศพูดขึ้น
“คุณทรรศมาเฝ้านานแล้วเหรอครับ?”
“ตั้งแต่เที่ยงแล้วครับ” ทรรศพูด
“งั้นคุณทรรศไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมดูแลต่อเอง” เอยว่า
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ทรรศพูด ก่อนที่จะโค้งตัวให้เอยก่อนที่จะออกไปจากห้อง
เอยเอาโจ๊กที่แม่ฝากมาเอามาวางบนโต๊ะ พลางนั่งดูกวินหลับอยู่ เมื่อเช้าก็ไม่ได้คุยกันมากเพราะครอบครัวของกวินมากัน เอยจึงไม่กล้าเสียมารยาทอยู่ต่อเพราะไม่ใช่คนในครอบครัวของกวิน เอยนั่งมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะหยิบนิตยสารที่มีอยู่ในห้องมานั่งอ่านฆ่าเวลา แม้ว่าจะรู้สึกปวดหัวอยู่ แต่เอยก็เลือกที่จะนั่งรอกวิน
เวลาผ่านไปนานพอสมควร กวินเริ่มขยับตัวแล้ว เอยจึงปิดพับนิตยสารลงทันที กวินลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเอยนั่งอยู่ข้างๆ รอยยิ้มบางๆก็เกิดขึ้น
“มานานแล้วเหรอ?” เสียงของกวินแหบไปสักหน่อย เอยจึงเทน้ำใส่แก้วพร้อมหลอดให้กวิน
“ดื่มน้ำก่อนครับ” เอยว่า กวินผงกหัวขึ้นมาดูดน้ำนิดหน่อยก็จะนอนลงต่อ
“เธอดูซีดไปนะ ไม่สบายรึเปล่า?” กวินถามก่อนที่จะเอื้อมมือมาแตะใบหน้าของเอย
“ตัวเธอร้อน” กวินพูด
“นิดหน่อยครับ เดี๋ยวค่อยทานยาเอาก็ได้” เอยว่า
“ไปทานยาแล้วนอนพักเดี๋ยวนี้” กวินออกคำสั่ง
“เอาไว้ทีหลังก็ได้ครับ...นี่แม่ผมเตรียมโจ๊กมาให้ ทานก่อนนะครับ เมื่อกี้ไปขอพยาบาลให้อุ่นมาให้แล้ว” เอยว่า ก่อนที่จะเลื่อนโต๊ะทานอาหารสำหรับผู้ป่วยมาครอบเตียงของกวิน
“คุณกวินมียาหลังอาหารที่ต้องทานนะครับ” เอยยังคงพูดต่อ กวินจองใบหน้าของเอย
“จะต้องทำอย่างไรเธอถึงจะหายดื้อ?” กวินถามขึ้น
“ผม...ไม่ได้ดื้อเสียหน่อย” เอยแก้ตัว
“ถ้าฉันทานเสร็จ เธอก็ต้องไปขอยาจากพยาบาล ตกลงไหม?” กวินพูด
“ตกลงครับ” เอยว่า
กวินดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง โดยที่เอยช่วยพยุงด้วย มองโจ๊กในถ้วยที่ช่างดูน่าทานเหลือเกิน
“ป้อนให้หน่อยสิ” กวินว่า
“แต่...แขนข้างขวาไม่เป็นไรนี่ครับ?” เอยถาม
“เอาใจฉันหน่อยไม่ได้หรือไง?” กวินว่า ใบหน้านิ่งๆแต่คำพูดสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
“กะ...ก็ได้ครับ”
เอยเริ่มตักโจ๊กขึ้นมา เป่าลมน้อยๆก่อนที่จะป้อนกวินที่อ้าปากรอ เอยอดคิดไม่ได้ว่ากวินเหมือนเด็กน้อยขี้อ้อนตอนป่วยก็ไม่ผิด เอยยิ้มบางๆก่อนที่จะป้อนโจ๊กไปเรื่อยๆจนหมด
“อร่อยไหมครับ?” เอยถาม
“แม่ของเธอทำอร่อย” กวินว่า
“รอสักครู่ เดี๋ยวทานยานะครับ” เอยพูด กวินใช้มือตบตรงที่ว่างอันน้อยนิดบนเตียง เอยทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจในสิ่งที่กวินบอก
“อะไรเหรอครับ?” เอยถาม
“มานั่งตรงนี้” กวินว่า
“ไม่ได้หรอกครับ...เตียงสำหรับคนไข้นะครับ” เอยส่ายหน้า
“ขึ้นมานั่ง” กวินสั่งย้ำ เอยจึงจำยอมไปนั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เมื่อคืนฉันตื่นมา...เห็นเธอฟุบอยู่ข้างๆ?” กวินพูดออกมา ก่อนจะโอบเอวของเอยให้เข้ามาใกล้ตน
“ตื่นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหรอครับ?” เอยถาม ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ากวินตื่นมาเมื่อคืน
“ดีใจ...ที่ตื่นมาก็เห็นเธอ” กวินว่า เอยรู้สึกว่าตัวร้อนผ่าวไปทั้งตัว หรือเพราะฤทธิ์ไข้ เอยจึงรู้สึกเช่นนี้
“ผมถามหน่อยได้ไหมครับ คุณกลับจากอังกฤษตั้งแต่เมื่อไหร่?” เอยถาม
“ฉันได้รับรายงานจากพวกที่ติดตามคุณสุเดช ว่ามีการเคลื่อนไหวๆแปลกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ฉันเลยรีบกลับทันทีที่ทราบข่าว มาถึงนี่ก็สามทุ่มและจากนั้นก็โทรหาเธอ” กวินตอบ
“แล้วคนที่ติดตามผมหายไปไหนกันครับ?” เรื่องหนึ่งที่เอยสงสัย เพราะคนติดตามพลาดให้เอยถูกจับมาได้อย่างไร
“พวกนั้นบอกทรรศว่าตอนที่เห็นเธอขึ้นรถเมล์แล้วไม่ลงมา เลยคลาดกับเธอตอนนั้น” กวินบอก
“ผม....หลับเลยป้ายครับ” เอยสารภาพ
“หายดีเมื่อไหร่ฉันจะลงโทษพวกนั้น” กวินว่า
“อย่าเลยครับ...ผมเองที่ผิด” เอยตอบ
“แล้วเอ่อ....”
“ฉันจะทานยา และเธอก็ต้องทานยาด้วย เดี๋ยวไว้คุยกันต่อ” กวินว่า เอยทำท่าจะถามต่อแต่กวินกลับห้ามขึ้นมาเสียก่อน ทั้งที่เอยตั้งใจจะถามเรื่องพ่อแม่ของกวินแท้ๆ
“ครับ” เอยจำยอม หันไปหยิบยาให้กวิน กวินรับยามาก่อนที่จะเอาเข้าปากและตามด้วยน้ำอึกใหญ่
“เธอไปทานยาแล้วนอนเถอะ” กวินว่า
“ครับ”
เอยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่จะเดินออกไปขอยากับพยาบาลและทานยามันตรงนั้น ก่อนที่จะเดินกลับไปเข้าไป นอนลงบนเตียงเฝ้าไข้ รู้สึกว่าหนาวสั่นไปทั้งตัว เอยจึงหยิบผ้าห่มมาคลุมกาย สายตามองไปทางกวินที่ตอนนี้ก็กำลังจ้องมองเอยยอยู่เช่นกัน
“นอนได้แล้ว” กวินว่า เอยยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่จะหลับตาแล้วหลับไปในที่สุด แม้จะไม่สบาย แต่เอยก็ยังฝัน ฝันไปถึงเรื่องราวในครั้งหนึ่งตอนไปเข้าค่ายจริยธรรม...
วันนี้เป็นวันเสาร์ ทางโรงเรียนได้ทำกิจกรรมเข้าค่ายจริยธรรม โดยกิจกรรมนี้จะมีด้วยกันสองวัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่มีการค้างคืน โดยแบ่งไปตามศาสนาของนักเรียนแต่ละคน ด้านนักเรียนที่นับถือศาสนาพุทธซึ่งมีเยอะที่สุดในโรงเรียน จึงพากันไปวัด เพื่อไปเข้าค่ายกิจกรรมในครั้งนี้
ซึ่งแบ่งเป็นชั้นม.ปลายและม.ต้น ไปกันกลุ่มละวัด เนื่องจากพื้นที่ของวัดไม่เพียงพอที่จะรับนักเรียนทั้งโรงเรียนได้ นักเรียนทั้งหมดต้องนุ่งขาวห่มขาวตามที่อาจารย์ได้แจ้งไว้ ตอนนี้ทุกคนต่างมายืนเข้าแถวหันหน้าโบสถ์
ตอนนี้อาจารย์กำลังแจกเอกสาร บอกถึงวัตถุประสงค์ของกิจกรรมนี้ และแจกแจงตารางว่าต้องทำอะไรบ้าง วันแรกวันนี้จะเป็นภาควิชาการ คือการฟังพระท่านอบรมเรื่องธรรมะพื้นฐาน พระรัตนตรัย ความรับผิดชอบในหน้าที่ด้วยธรรมะ ส่วนวันที่สองจะเป็นภาคปฏิบัติ ฝึกทำวัตรสวดมนต์ เดินจงกรมแผ่เมตตา พอได้ฟังตารางทั้งหมด ไทป์ก็ถอนหายใจออกมาทันที
“น่าเบื่อว่ะ” ไทป์บ่นกับเอยเบาๆ
“เอาน่า เพื่อคะแนนกิจกรรม” เอยปลอบไทป์
“แผ่เมตตากูยังท่องไม่จบเลย” ไทป์บอก
“ก็นั่นไง มาอบรมคราวนี้จะได้ท่องจบเสียที” เอยว่า สำหรับเอยการมาอบรมแบบนี้ก็ดี ใจจะได้สงบ เพราะที่ผ่านรู้สึกว่าสมาธิตนเองสั้นลง อ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าหัว
“มึงดูหน้าแต่ละคนสิ...ไม่เต็มใจมากันทั้งนั้น” ไทป์สะกิดให้เอยดูเพื่อนๆและน้องๆที่มาร่วมในค่ายนี้ ฉับพลันเหลือบไปเห็นกวินที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ไม่ไกล กวินหันมามองเอย เอยจึงรีบหันหน้าหนีทันที
วัดแห่งนี้มีสองศาลาการเปรียญ จึงถูกแย่งหญิงชายออกจากกันไปคนละศาลา ตอนนี้เด็กผู้ชายก็ทยอยมานั่งตามที่อาจารย์บอก ลำดับการนั่งอาจารย์เป็นคนจัด ไทป์นั่งทางขวามือของเอย เอยนั่งถัดมา และสุดท้าย...คือกวิน ที่นั่งถัดจากเอยและเป็นคนที่นั่งสุดท้ายของแถวด้วย
เจ้าอาวาสท่านเป็นผู้มาอบรมด้วยตนเอง ส่วนอีกศาลารองเจ้าอาวาสจะเป็นผู้อบรม ไทป์นั่งฟังไปหาวไป บางครั้งท่านเจ้าอาวาสก็พูดมุกตลกๆขึ้นมา ทำให้เด็กๆรู้สึกสนุกสนานขึ้น แต่ไทป์ก็ยังนั่งหาวอยู่ดี
“ไทป์ เดี๋ยวพระท่านก็เห็นหรอก” เอยสะกิดเตือนไทป์
“ก็มันง่วงนี่หว่า” ไทป์กระซิบบอกเอย
“ทนเอาหน่อยสิ” เอยว่า ก่อนที่จะหันไปฟังพระท่านอบรมต่อ
ด้านกวินที่นั่งถัดจากเอยก็แอบหาวไปครั้งสองครั้งเหมือนกัน แต่ก็ยังทำหน้านิ่งๆ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับการอบรมของพระท่านเลย เอยแอบมองกวินเป็นครั้งๆคราวๆ และหลายครั้งเหมือนกวินจะรู้ตัวว่าเอยแอบมอง สายตานั้นจ้องเขม็งมาทางเอยทุกครั้งที่เอยหันไปมอง เอยเองก็รีบหันหน้าหนีทุกครั้งเวลาที่กวินมองมา มองกันไปจ้องกันมาอยู่อย่างนั้นจนการอบรมช่วงเช้าเสร็จ
“แม่ง กูหิวมาก” ไทป์พูดระหว่างที่กำลังที่อาจารย์นำข้าวกล่องมาแจก อาจารย์บอกขอเพิ่มได้หากไม่อิ่ม แน่นอนว่าไทป์ขอสองกล่องอย่างไม่ลังเล สำหรับเอยกล่องเดียวก็เกินพอแล้ว
เอยนั่งทานไปหันไปมองรอบๆ ก็เหลือบไปเห็นกวินนั่งทานข้าวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ๆเอยนั่ง พอทานอาหารเสร็จ อาจารย์ก็ให้ไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร ก่อนที่จะนัดมาให้มาที่ศาลาเวลาบ่ายโมงครึ่ง ตอนนี้ทั้งเอยและไทป์นั่งกันที่โต๊ะม้าหินใต้ต้นไม้ ลมเย็นๆพัดโกรก ชวนให้น่านอนยิ่งนัก
“กูง่วงว่ะ ของีบก่อนนะ” ไทป์ว่า
“ถ้าอย่างนั้นเราไปเดินๆแถวนี้นะ” เอยว่า
“เออ เดี๋ยวมาปลุกกูด้วย” ไทป์บอก ก่อนที่จะฟุบลงกับวงแขนของตนเอง
เอยเดินมาเรื่อยๆ เจอรุ่นน้องนั่งเล่นตามต้นไม้ต่างๆ เดินไปเรื่อยๆจนถึงสวนหย่อมเล็กๆ เห็นกวินนั่งอ่านหนังสืออยู่ เอยชะเง้อคอมองกวินก่อนที่กวินจะหันมามอง แล้วจู่ๆ กวินก็ลุกขึ้นแล้วก้าวขาเดินมาทางเอย เอยรู้สึกว่าตนเองต้องขยับขาเดินหนี แต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบ เอยถึงยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกวินเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“เมื่อครู่ตอนอบรม...แอบมองฉันอยู่เหรอ?” กวินถาม
“ปะ....เปล่า” เอยส่ายหน้าตอบทันที
“แต่ฉันเห็นมองมาหลายครั้งแล้ว” กวินว่า
“คือเรา...” เอยไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาแก้ตัว เพราะตนแอบมองกวินจริงๆ
“คิดอะไรอยู่?” กวินถามอีก
“ไม่ๆ” เอยโบกมือโบกมือปฏิเสธ
“หรือว่า....แอบชอบฉัน?” กวินถามตรงๆ เอยหน้าแดงทันที
“พูดอะไรออกมทา...มะ..ไม่ใช่เสียหน่อย” เอยพูดเสียงตะกุกตะกัก กวินเดินเข้ามาใกล้ๆอีก
“แน่ใจเหรอ?” กวินขยับเข้ามาใกล้ๆอีก ก่อนที่จะก้มกระซิบที่หูของเอย
“ดูออกง่ายขนาดนี้ยังจะกล้าบอกว่าไม่อีก” กวินพูดแค่นั้น ก่อนที่จะเดินจากไป
“อะไรของเขากัน” เอยใจเต้นตึกตัก มองตามกวินที่เดินออกไปแล้ว
ดูออกง่าย...กวินหมายความว่าอะไร ยิ่งคิดเอยยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่ากวินคิดว่าเอยไม่ชอบหน้ากวินเหมือนเพื่อนสนิทอย่างไทป์ กวินกำลังพูดเรื่องอะไรที่เอยไม่เข้าใจ ตอนนี้นักเรียนเริ่มทยอยกลับไปยังศาลากันแล้ว
“ต้องไปปลุกไทป์นี่หน่า” เอยเพิ่งนึกได้ รีบวิ่งไปยังโต๊ะที่ไทป์นั่ง เพื่อปลุกไทป์ให้ตื่นไปยังศาลา และเริ่มการฟังคำบรรยายอบรมของพระท่านต่อ...
“เอย....น้องเอย”
เสียงใครบางคนปลุกเอยให้ตื่นขึ้น เอยงัวเงียตื่นขึ้นมา ยังรู้สึกปวดหัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่เท่าเมื่อเช้า สงสัยได้รับยาเข้าไปเลยอาการดีขึ้น เอยพยายามความหยิบแว่นที่วางอยู่ใกล้ๆมาสวม ก่อนที่จะมองเห็นว่าคนที่มาปลุกเอยคือผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักมาคนหนึ่ง เธอยิ้มหวานให้เอย เอยค่อยดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง มองผู้หญิงคนนั้นอย่างแปลกใจว่าคนๆนี้คือใคร
“กวินบอกน้องเอยไม่สบาย ทานยาไปดีขึ้นรึยัง?” เธอถามอีก เอยพยักหน้า
“ดีขึ้นครับ...เอ่อ...คุณคือ...” เอยทำท่าจะถาม ประตูห้องกลับเปิดขึ้นมาพบกฤศ พี่ชายของกวินเดินมาพร้อมอุ้มเด็กผู้ชายสองที่หน้าตาเหมือนราวกับพิมพ์เดียวกัน
“ที่รัก..คุณปลุกน้องเอยเหรอ?” กฤศถาม เอยหันมองกฤศ ก่อนจะยกมือไหว้
“นั่นชมพู ภรรยาพี่เอง” กฤศบอก เอยรีบยกมือไหว้ แปลว่ากฤศและชมพู ทั้งสองคงจะมาเฝ้ากวินในช่วงที่เอยหลับไปอย่างแน่นอน
“สวัสดีจ้ะ ในที่สุดก็ได้เจอน้องเอยเสียที” ชมพูพูด เอยมองหน้าชมพูอย่างไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไงครับ?” เอยถามอย่างสงสัย
“ลองไปถามเจ้ากวินเองก็แล้วกัน ถ้ารู้จากพวกเราเดี๋ยวมันจะโกรธเข้า” กฤศว่าก่อนที่จะยิ้มออกมา
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เอยก็หันไปมองกวินที่ตอนนี้หลับอยู่ อะไรคือสิ่งที่กฤศให้ไปถามกวินด้วยตนเอง รู้สึกได้ว่าครอบครัวของกวินรู้จักเอยทั้งๆที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ทั้งคำพูดของพ่อแม่กวินเมื่อวานนี้ จนกระทั่งคำพูดของชมพูพี่สะใภ้ของกวินก็ด้วย ชวนน่าสงสัยไปหมด
“นั่น...ลูกของคุณกฤศใช่ไหมครับ คุณกวินเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นฝาแฝด” เอยหันไปมองเด็กน้อยสองคนที่กำลังเล่นซุกซนในระหว่างที่กฤศอุ้มอยู่
“ใช่ คนพี่ชื่อกริฟคนน้องชื่อกริม...ไหนๆดีจ้าพี่เอยสิ”
กฤศบอกชื่อก่อนที่จะบอกให้เด็กฝาแฝดที่อายุเพียงแค่ขวบกว่าๆยกมือไหว้เอย และทั้งสองก็ทำตามอย่างกระท่อนกระแท่น เอยยิ้มออกมาอย่าชอบใจในความน่ารักของทั้งสอง
“น่ารักจังเลยครับ” เอยพูด
“ก็แค่ตอนนี้แหละน้องเอย ถ้าลองสนิทด้วยแล้วจะรู้ว่าซนเหมือนลิง” ชมพูพูด เอยหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะจำที่กวินเคยบอกได้ฝาแฝดซนเหมือนลิงในร่างคน
เอยมองดูนาฬิกาฝาผนัง ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เอยหันไปถามชมพูว่ากวินหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองพูดคุยกัน เอยรู้สึกได้ว่าชมพูเป็นผู้หญิงที่น่ารักและเป็นกันเอง จนเอยรู้สึกว่าน่าสนิทใจที่จะพูดคุยด้วย และเพียงไม่นานนักฝาแฝดก็เริ่มจะง่วงแล้ว กฤศและชมพูจึงขอตัวกลับก่อน พอทั้งหมดหันหลังกลับไป เสียงโทรศัพท์ของเอยก็ดังขึ้น
“ไทป์..” เอยรับสาย
“เออ กูจะโทรมาบอกว่า แม่ฝากเสื้อผ้าของใช้มาให้มึง อยู่ในตู้น่ะ แล้วก็กับข้าวแม่มึงฝากมาวางอยู่บนโต๊ะ” ไทป์บอก
“ไทป์มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เอยถาม
“ก็ตอนเย็นนั่นแหละกูไปกับดาว เข้าไปถึงเห็นมึงหลับอยู่ ไอ้กวินบอกกูว่ามึงไม่สบาย เลยไม่อยากปลุก” ไทป์ว่า
“ขอบคุณนะ” เอยพูด
“เออๆ พรุ่งนี้กูว่างช่วงเช้า เดี๋ยวจะซื้อของกินไปให้ แค่นี้นะ” ไทป์บอก
“อืม” เอยบอกก่อนจะกดวาง
เอยหันไปมองที่โต๊ะพบปิ่นโตวางอยู่ ก่อนที่จะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า พบกระเป๋าเป้ของเอยอยู่ในนั้นจริงๆอย่างที่ไทป์บอก เอยไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นกว่านี้ ก่อนที่จะทานข้าวและทานยาอีกครั้ง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ กวินก็ตื่นขึ้นมาพอดี
“ดีขึ้นรึยัง?” คำแรกที่กวินเอ่ยออกมาทันทีที่ตื่น
“ค่อยยังชั่วแล้วครับ” เอยบอก
“หิวรึเปล่าครับ?” เอยถาม กวินส่ายหน้า ก่อนที่จะกวักมือให้เอยมาใกล้ๆ
“นั่งตรงนี้” กวินว่า เอยนั่งลงบนเตียงของกวิน กวินใช้แขนข้างขวาที่ไม่โดนยิงโอบเอวเอย ก่อนที่จะผงกหัวจูบตรงแผ่นหลังของเอย อดไม่ไดได้ที่จะรู้สึกอายเมื่อกวินทำเช่นนั้น
“อยากกอด” กวินพูด
“เอาไว้...หายดีกว่านี้นะครับ” เอยว่า
“เธอเข้าใจใช่ไหมว่ากอดของฉันคืออะไร?” กวินถาม
“ก็....กอดไงครับ กอด” เอยพูด กวินยิ้มบางๆ
“กอดอีกแบบหนึ่ง แบบในห้องน้ำไง จำได้รึเปล่า?” กวินว่า เอยหน้าขึ้นสีทันที
“คุณกวิน!!” เอยร้องออกมาเบาๆ กวินหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ
“เอ่อ...ผมมีเรื่องจะถามคุณกวินครับ?” เอยตัดสินใจที่จะถามกวินในเรื่องที่อยากรู้
“เรื่องอะไร?” กวินถาม
“ทำไม....คุณเกริกคุณวิดา พี่ชายและพี่สะใภ้ของคุณ ถึงรู้จักผม...ทั้งที่ผมไม่เคยเจอหน้าพวกเขาแท้ๆ” เอยถามออกไป
“เรื่องนั้นนั่นเอง....อยากรู้เหรอ?” กวินถามกลับ
“ครับ” เอยยืนยัน
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันบอกที่บ้านว่าเธอคือแฟนของฉัน” กวินบอก
“บอกเหรอครับ....บอกที่บ้านว่าคบ...กับผู้ชายอย่างผม” เอยตกใจอย่างที่สุด เมื่อได้รับรู้ว่าทางบ้านของกวินทราบเรื่องนี้แล้ว
“ ผู้ชายอย่างเธอทำไม?” กวินถาม น้ำเสียงดูไม่ชอบใจ
“ผม...ผมก็แค่คนธรรมดา” เอยว่าก่อนที่จะก้มหน้าลง
“สำหรับฉันเธอคือสิ่งที่พิเศษที่สุด” กวินบอก เอยเม้มริมฝีปาก ในหัวใจรู้สึกฟูฟ่องด้วยคำพูดของกวิน
“พวกเขา...รับได้หรือครับ?” เอยถาม
“แล้วคิดว่ายังไงล่ะ?” กวินถามกลับ
“พวกเขา...ก็ดีกับผมครับ” เอยบอก ความจริงที่ว่าเอยรู้สึกได้ถึงความใจดีของครอบครัวกวิน
“อย่างนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?” กวินว่า
“แต่...คุณบอกไปยังไงครับ?” เอยถามอีก
“วันนี้ถามเยอะนะ อย่างนี้ต้องคิดค่าคำถาม” กวินบอก
“ไม่ถามแล้วก็ได้ครับ” เอยก้มหน้างุด รู้ทันว่าค่าคำถามของกวินต้องการอะไร
“ไม่อยากรู้แล้วเหรอ?” กวินถามด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ไม่เอาดีกว่าครับ” เอยว่า สุดท้ายแล้วการถามคำถามกวินในครั้งนี้ไม่ได้กระจ่างอะไรเสียเท่าไหร่ในความรู้สึกของเอย คงต้องรอโอกาสหน้าซึ่งไม่รู้จะมีมาเมื่อไหร่อีก...
++++++++++++++++++++++++++++++