14 การปรากฏตัว“ไหนว่าเคลียร์กันรู้เรื่องแล้ว นี่มีเรื่องอะไรอีกวะ”พี่วิชิต ผู้เคราะห์ร้ายหมายเลขหนึ่งเอ่ยพลางเกาหัวแกรกหลังจากได้รับเมลโยกย้ายแบบไม่ทันตั้งตัว ผมไหวไหล่ หมุนปากกาในมือเล่นอย่างไม่มีคำอธิบาย
“เอาดี ๆ ไอ้วิน มีเรื่องอะไรกันที่นั่นเหรอ”
“อย่ารู้เลยพี่” คำตอบผมไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายพอใจได้เลยถูกคาดคั้นด้วยสายตาอีกหน ผมถอนหายใจ อธิบายสั้น ๆ แต่ใจความครบถ้วน
“ก็...พี่เชนทร์จะปล้ำผม แล้วเฟยมันรู้”
“เชี่ย...จริงเหรอวะ”
ผมไหวไหล่อีกครั้งแล้วถอนหายใจ “อย่าพูดไปล่ะ”
“ซวยกูเลยทีนี้ เมียก็ท้องยังต้องขับรถไปตรวจงานต่างจังหวัดทุกสัปดาห์”
ผมส่ายหน้ายิ้ม ทำคล้ายเป็นเรื่องตลกแต่ไม่ได้ตลกไปด้วย “อย่างน้อยเมียพี่ก็ไม่ได้ผัวเพิ่ม แต่ผมไป ๆ กลับ ๆ เนี่ยไม่รู้วันไหนจะได้”
“ไอ้เชนทร์ก็ไม่น่าทำแบบนั้น”
“ผมก็ว่างั้นแหละ” พูดพลางเหลือบมองไปยังห้องกระจกที่ว่างเปล่าแล้วถอนหายใจทิ้ง ทางนี้คงดีที่สุดทั้งสำหรับผม พี่เชนทร์ และไอ้เฟย เพราะลึก ๆ แล้วผมก็ยังคงกลัวใจไอ้เฟยเวลาโมโหอยู่ดี
“แล้วนั่นท่านไปไหน”
“นัดลูกค้ามั้ง” ผมตอบแล้วเช็กเมลไปด้วย ไม่อยู่สัปดาห์เดียวดองงานไว้อื้อ ไหนจะงานที่โยกจากพี่ชิตมาลงที่ตัวเองอีก แค่เห็นก็เปลี่ยนจากที่เครียดเรื่องไอ้เฟยกลับมาที่งานแทบไม่ทัน วิชิตถอนใจระอา สักพักเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะผมก็ดังจนสะดุ้ง กดรับสายเพราะคิดว่างานคงเข้าอีก
“สวัสดีครับ”
“วิน ปิดเครื่องทำไม”
ผมเงียบเมื่อเสียงนั้นถามกลับมา เปล่า ผมไม่ได้ปิดโทรศัพท์ แต่เบอร์พี่เชนทร์ถูกตั้งบล็อกไว้เรียบร้อยโดยฝีมือหัวหน้าฝ่ายตั้งแต่วันเกิดเรื่องแล้วต่างหาก
“ตอนนี้งานของโรงแรมไดมอนด์โอนไปให้คุณวิชิตแล้ว ยังไงผมจะต่อสายให้นะครับ”
“เดี๋ยว วิน...” มือที่กำลังจะกดต่อสายชะงัก เสียงของพี่เชนทร์สั่นนิด ๆ ดูไม่สมกับที่เป็นวิศวกรหนุ่มเลย “พี่อยากขอโทษ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่โกรธ ให้เลิกแล้วต่อกันเท่านี้”
“บ่ายนี้เคลียร์งานเสร็จพี่จะรีบเข้ากรุงเทพ ก่อนกลับบ้านคุยกันสักหน่อยได้ไหม พี่ไม่สบายใจ”
“ไม่ดีกว่าครับ”
“พี่ขอร้อง”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เมื่อถูกเว้าวอนจากปลายสายก็อดสงสารไม่ได้ จริงอยู่ว่าสิ่งที่พี่เชนทร์ทำมันรุนแรงเกินจะรับไหว แต่ผมก็ยังอยากให้จบกันด้วยดี ยังทำงานที่เดียวกัน ไม่รู้ว่าความจำเป็นอะไรที่จะทำให้วนกลับมารับงานเดียวกันอีก อย่างน้อย ๆ เวลาเดินผ่านที่ออฟฟิศก็ไม่อยากให้เหมือนคนเป็นศัตรูกันไปเสียทีเดียว
“ผมมีเวลาสิบนาทีหลังเลิกงาน เจอกันที่ลานจอดรถครับ”
พูดจบก็วางสายทันที พี่ชิตชะโงกคอมาจากพาทิชั่น เห็นสีหน้าแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าผมถูกแอบฟัง “เดี๋ยวก็โดนเด้งอีก ทั้งมึงทั้งมัน”
“เคลียร์ให้มันจบเถอะพี่ ผมไม่อยากคาราคาซัง”
“ก็พยายามเคลียร์มาหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือไง” พี่ชิตย้ำ ผมถอนหายใจยาวเหยียด บิดแขนไปด้านหลังแล้วเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนกับเก้าอี้บุนวม “พี่ชิตไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
“จะดีเหรอวะ”
“แอบอยู่หลังเสาก็ได้” เกิดอะไรขึ้นจะได้มีไม้กันหมาโผล่มาทัน รุ่นพี่คนสนิทเหยียดปากหมั่นไส้ แต่ก็ยอมพยักหน้ารับข้อตกลงแต่โดยดี
ห้าโมงเย็นไอ้เฟยส่งข้อความมาบอกว่ายังไม่เสร็จธุระ ผมเลยตอบกลับไปว่าเดี๋ยวกลับเอง วันนี้มันมีประชุมตั้งแต่เช้าเลยขับรถส่วนตัวมาไม่ได้ติดเล็กซัสคันหรูเหมือนทุกครั้ง พี่ชิตเก็บของไวกว่าปกติจนพี่โสแซว ระหว่างทางไปที่ลิฟต์พี่ชายคนสนิทก็บ่นเรื่องพี่เชนทร์ไม่เลิก กระทั่งเห็นพี่มิกฝ่ายบัญชียืนรอลิฟต์ถึงค่อยเงียบเสียงไป พี่มิกชายตามองผมแล้วแยกไปขึ้นลิฟต์อีกตัว เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจผมมากแค่ไหน น่าเบื่อตรงที่ผมก็ทำได้แค่เพียงยืนเงียบ ๆ รับความกดดันทางสายตาไป ไม่เคยแม้แต่มีโอกาสจะอธิบายอะไรทั้งนั้น
ชั้นจอดรถสำหรับพนักงานคนค่อนข้างพลุกพล่าน เพิ่งสังเกตว่ารถพี่โน้ตก็จอดอยู่ใกล้ ๆ กันแต่เจ้าตัวยังไม่มา คงอยู่ทำโอเพราะช่วงนี้งานเข้าค่อนข้างเยอะ ผมเห็นนายช่างคเชนทร์ในชุดเสื้อโปโล กางเกงยีนกับรองเท้าแตะยืนก้มหน้าหมุนกุญแจรถอยู่ในมือ พอกระแอมไอเท่านั้นอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองก่อนหลบสายตาไปทางอื่นอย่างคนไม่กล้าสู้หน้า
“ไปคุยตรงบันไดหนีไฟไหม”
ผมพยักหน้า หันไปส่งซิกซ์ให้พี่ชิตแล้วเดินตามอีกฝ่ายไปยังมุมที่เงียบสงบ พี่เชนทร์ถอนหายใจหนักก่อนจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ
“แผลเป็นยังไงบ้างครับ”
ผมเริ่มพูดก่อน ดูเหมือนในสถานการณ์แบบนี้พี่เชนทร์จะกลายเป็นคนไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เขาก้มลงมองปลายเท้าตัวเองแล้วยกมือขึ้นลูบมุมปากที่ยังช้ำอยู่ ที่โหนกแก้มมีรอยถลอกกับหน้าผากมีผ้ากอซสีขาวแปะไว้
“ตรงนี้เจ็บน้อยลงแล้ว ยังพูดไม่ถนัด ส่วนตรงโหนกแก้มยังแสบ ๆ ตอนทายาอยู่ หัวเย็บสามเข็มน่ะ”
“แล้วที่ท้อง”
“ก็ยังช้ำอยู่ ใส่ส้นแหลมด้วยตอนเตะอัดมา นอนโรง’บาลไปหนึ่งวัน”
“พนักงานพาไปหาหมอเหรอครับ”
“เปล่า” พี่เชนทร์บอกเสียงอู้อี้ คงยังพูดไม่ถนัดอย่างที่เจ้าตัวบอกจริง “ไปเองน่ะ พอหายจุกก็ลุกแล้ว”
ผมพยักหน้า ไม่ได้ขอโทษแทนไอ้เฟย ลึก ๆ แล้วความชั่วร้ายก็สั่งออกมาให้คิดว่าพี่เชนทร์ก็น่าจะโดนเสียบ้างเหมือนกัน “วินล่ะ มันโกรธหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“อืม” นายช่างรับคำในลำคอ ก่อนพึมพำเสียงแผ่วว่า “ดีแล้วล่ะ”
“เรื่องงานเดี๋ยวพี่ชิตดูแลต่อนะครับ เฟยมันไม่อยากให้ผมดูที่นั่นแล้ว”
วิศวกรหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ถึงตอนนี้เขาเหมือนลาบราดอร์ตัวใหญ่ที่หงอยเหมือนถูกทิ้ง พี่เชนทร์สูบบุหรี่อัดเข้าปอดจนไฟกินกระดาษมาเกือบครึ่งแล้วปล่อยมันออกด้วยความอัดอั้น เหลือบตามองผมแล้วเลียริมฝีปาก
“พี่อยากขอโทษ มัน...หลาย ๆ อย่าง พี่พยายามทำใจแล้ว แต่ลึก ๆ ก็อิจฉาไอ้เฟย ที่พี่บอกว่ารักเราน่ะพี่พูดจริงนะ”
“รักหรือแค่อยากเอาชนะครับ พี่เชนทร์คิดดี ๆ เถอะ”
นายช่างถอนหายใจ ทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วบดด้วยปลายเท้าให้ไฟมอด “วันนั้นพี่ก็กึ่ม ๆ จริง ๆ แหละ พี่ไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอก ลึก ๆ พี่ก็อยากจะทำแบบนั้นกับวินมานาน พอกินเหล้าแล้วสบโอกาสก็เลย...”
“คิดว่าจะเหมือนวันรับน้องที่พี่เชนทร์มอมผม”
นายช่างถอนหายใจอีกครั้ง ถ้าหนึ่งครั้งคืออายุลดลงหนึ่งปีผมคิดว่าพี่เชนทร์คงอายุลดลงเยอะเพราะวันนี้ “พี่ขอโทษจริง ๆ วินไม่ให้อภัยพี่ก็เข้าใจ แต่ถ้าไม่ขอโทษต่อหน้าพี่ก็คงไม่สบายใจ”
ผมพยักหน้าลง ไม่ได้บอกว่าให้อภัยหรือเปล่าแต่เป็นเชิงรับคำขอโทษนั้นไว้ “เลิกแล้วต่อกันนะครับ”
นายช่างหลุบตาลงกรอกตาไปมาอย่างลังเลใจพักหนึ่งก่อนพยักหน้าลงแต่โดยดี ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เห็นว่าหมดธุระแล้วเลยขอตัวแยกออกมา พี่เชนทร์คว้าข้อศอกผมไว้ ยังไม่ทันพูดอะไรประตูหนีไฟก็ถูกเปิดออก พี่มิกหนึ่งในคนรักของพี่เชนทร์ยืนจ้องหน้านิ่งก่อนดิ่งมากระชากคอเสื้อผม
“เลิกยุ่งกับผัวชาวบ้านเสียที! ทำเป็นเงียบคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่ามึงเป็นคนยังไง!”
นายช่างคเชนทร์ปรี่เอาตัวเข้ามาขวาง พี่มิกเลยทุบไปที่อกกว้างหลายครั้ง มือใหญ่ของชายหนุ่มพยายามรวบข้อมือเล็กเข้าหากัน แต่ตาดุกลับมองค้อนผมขวาง
“ปกป้องมันเข้าไปสิ! ไปเสพกันถึงไหนแล้วล่ะที่หัวหิน อย่าคิดว่ามิกไม่รู้นะเชนทร์! โดนมันหลอกยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ มิกจะบอกให้ว่ามันมั่วไปหมดแหละอีเด็กนี่น่ะ ตอนเชนทร์ไม่อยู่มันตัวติดกับพี่ชิตตลอด นิสัยชอบแย่งของชาวบ้านนี่เป็นสันดานไปแล้วหรือไง!”
“พอเถอะมิก อย่ายุ่งกับน้อง”
“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง ก็เชนทร์ยุ่งกับมัน!”
“ความผิดเชนทร์เองที่ไปชอบน้อง แต่วินไม่เกี่ยว”
“เชนทร์! พูดอะไรออกมา”
พี่มิกกรีดร้องเสียงหลง สะบัดมือจนแขนข้างหนึ่งหลุดจากการเกาะกุมแล้วทุบไปบนไหล่หนาหลายครั้ง พี่เชนทร์พยายามเบี่ยงหน้าหลบ ขณะที่ผมได้แต่ถอยกรูดไปด้านหลัง ประตูหนีไฟถูกเปิดขึ้นอีกครั้งโดยพี่ชายที่ถูกพาดพิงถึง ส่วนคนที่ยืนกอดอกมองมาด้วยสายตาเย็นชากลับเป็นพี่โน้ตที่ทำเอาพี่เชนทร์นิ่งไปจนถูกมือขาวฟาดซ้ำบนแก้มช้ำ ๆ ทันที
“เสียงดัง น่ารำคาญ”
พี่โน้ตพูดเอื่อย ๆ พี่มิกเหลือบตามองแล้วเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น จะกระโจนเข้าใส่คนมาใหม่แต่พี่เชนทร์รวบเอวบางเอาไว้ก่อน “พอเถอะมิกกี้!”
“มันด่ามิก!”
“นี่ทะเลาะกันเรื่องวินเหรอ ข้างนอกได้ยินหมดแล้ว ไม่อายก็สงสารคนที่เกี่ยวข้องกันบ้าง อย่าให้โดนทัณฑ์บนเพราะไอ้พวกไม่รู้จักแพ้หน่อยเลย”
“มึงพูดอะไรอีโน้ต!”
“โง่” พี่โน้ตเหยียดริมฝีปาก ถึงจุดนี้ผมที่เคยรู้สึกเกร็ง ๆ เวลาคุยกับพี่โน้ตยังรู้สึกกลัวอีกฝ่ายขึ้นมาถนัด สายตาเย็นเยียบมองเลยมาที่ตัวต้นเหตุ พี่เชนทร์ขบฟันจนสันกรามนูนเป็นรูป “เลือกได้หรือยังว่าจะเอามันหรือเอาวิน ถ้าเลือกแล้วก็ช่วยพูดให้มันตาสว่างหน่อยเถอะ สมเพช”
“มึงไม่เกี่ยวโน้ต ไม่ต้องมาพูด กลับบ้านไปซะ” พี่เชนทร์เอ่ยเสียงขรม ขณะที่พี่โน้ตหัวเราะในลำคอ ปรายตามองมาทางผม “ก็ไอ้คนที่เกี่ยวมันยืนบื้อเป็นใบ้อยู่นั่น ไม่สงสารมันหรือไง อยู่เฉย ๆ ก็มีหอกวิ่งเข้าหา”
พี่เชนทร์ละสายตามามองผม พี่มิกเริ่มออกแรงดีดตัวอีกครั้งจนคนห้ามไว้ต้องรัดเอวให้แน่นขึ้น ข้อมือใหญ่เกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนก่อนถอนหายใจทิ้งอีกหน
“มิกพูดไม่รู้เรื่องแล้ว เชนทร์ว่าเราพอแค่นี้เถอะ”
“เชนทร์!”
“เรื่องนี้น้องไม่เกี่ยวด้วย เชนทร์รักน้องข้างเดียว น้องมีแฟนอยู่แล้ว”
พูดจบพี่มิกก็นิ่งไป ในขณะที่พี่เชนทร์ยังคงไม่ปล่อยแขน ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจที่สุดโดยทำให้น้ำตาของพี่มิกไหล
“เชนทร์ขอโทษ”
พี่ชิตที่ยืนดูลาดเลาอยู่ไกล ๆ กวักมือเรียก พี่โน้ตที่ยืนขวางประตูอยู่จึงเบี่ยงตัวหลบ ผมกลืนน้ำลายก่อนเดินค้อมตัวออกไปด้านนอก ประตูบันไดหนีไฟปิดลงเสียงกรีดร้องโวยวายของพี่มิกกลับดังลั่น ภายในนั้นเป็นปัญหาของพี่มิก พี่โน้ต และพี่เชนทร์โดยพี่วิชิตได้แต่ยกมือขึ้นนวดขมับ
“กูล่ะปวดหัว” พูดทั้ง ๆ ที่หลบมุมอยู่ไกลสุดแท้ ๆ ผมส่ายหน้าระอาก่อนเปิดรถให้อีกฝ่ายขึ้นนั่งที่ว่างข้างคนขับ
“เดี๋ยวผมไปส่งพี่”
“เออ แวะซื้อผลไม้ให้เมียที่ท็อปส์ตรงปากซอยบ้านกูแป๊บสิวะ”
ผมพยักหน้า ออกรถโดยทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลัง “ทำไมพี่ไม่ห้ามพี่มิกก่อนเข้าไป”
“โอ้โฮ มึง เดินดุ่ม ๆ มาแบบนั้น มีมีดนี่เสียบกูตายห่าไปแล้ว กลัวสิวะ เจอตัวแม่ก็ต้องเอาแม่กว่ามาคุม”
“พี่โน้ตน่ะเหรอครับ”
“เห็นหรือยังล่ะ อิทธิฤทธิ์รุนแรงขนาดไหน” ผมพยักหน้า เป็นคนที่ไม่น่ามีเรื่องด้วยจริง ๆ “ไอ้เชนทร์ก็กลัวไอ้โน้ตเถอะ ไม่รู้ว่าไม่เลิกเพราะถูกขู่ฆ่าหรือเปล่า” พูดพลางหัวเราะกับมุกตลกร้ายของตัวเอง สักพักพี่ชิตก็วนกลับมาพูดเรื่องพี่เชนทร์กับผมใหม่
“แต่ไอ้เชนทร์มันก็เป็นคนดีอยู่นะ ถ้าไม่ติดว่ามึงมีแฟนกับมันไม่ยอมเคลียร์เรื่องสองคนนั้นสักทีกูก็อยากให้มันได้กับมึงอยู่”
“อย่าเลยพี่” ผมพูดพลางเลี้ยวรถเข้าห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านพี่ชิตที่ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยชื่อดัง พอลงจากรถยังไม่ทันได้พูดต่อหางตากลับเหลือบไปเห็นเล็กซัสทะเบียนคุ้นจอดอยู่ เจ้าของรถนั่งอยู่ด้านใน สักพักก็มีชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินไปเคาะกระจก เจ้าของรถลดกระจกลง ยื่นซองบางอย่างให้แต่เด็กหนุ่มไม่ยอมรับ ยืนทำหน้ากระเง้ากระงอดอยู่นานสองนานกระทั่งได้รับคำอนุญาตจากอีกฝ่ายจึงวิ่งมาด้านฝั่งข้างคนขับ
ที่นั่งประจำของผมถูกเติมเต็มด้วยคนแปลกหน้า เล็กซัสสีดำขลับทะยานตัวออกโดยไม่ทันสังเกต พี่ชิตเองก็เห็นเช่นเดียวกันได้แต่ยกมือขึ้นแตะบ่าผมไว้
“คนเรามีความเหี้ยอยู่ในตัวทั้งนั้นแหละวิน กูว่าเลือกคนที่เหี้ยให้เราเห็นสบายใจกว่าเยอะว่ะ”
ผมเงียบไปพักหนึ่งก่อนถอนหายใจ “อาจไม่มีอะไรก็ได้พี่”
แรงบีบที่บ่าผม จู่ ๆ ก็ทำให้รู้สึกเวิ้งว้างในใจอย่างยากจะอธิบายขึ้นมาทันที
เสียงปิดประตูห้องดังขึ้นในความเงียบงัน ผมนั่งทำงานที่ขนกลับมาบ้านไปเรื่อย ๆ ราวกับมันเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาที่สนุกสนาน เกือบสามทุ่ม ไอ้เฟยโอบผมจากด้านหลัง ใช้จมูกชนเบา ๆ ที่โหนกแก้มอย่างออดอ้อน
“บอกไม่ให้เอางานกลับมาทำบ้านไง”
“งานเยอะ” ผมตอบเสียงเรียบ เลี่ยงจะสบตาคู่วาววับที่จับจ้องอยู่ “กินข้าวหรือยัง”
“ของคาวกินแล้ว กับลูกค้า เหลือของหวานเนี่ยกลับมากินบ้าน อาบน้ำกัน”
“มึงไปอาบเถอะ กูเหนื่อย”
“เหนื่อยก็เลิกทำงาน” พูดพลางดึงดินสอไม้สีครีมออกจากมือ ผมถูกอุ้มขึ้นจนลอยหวือก่อนร้องประท้วงเสียงลั่น ไอ้เฟยไม่ตอบอะไรเอาแต่หัวเราะร่วนจนผมทุบไหล่
“เฟย ไม่เล่น”
“ก็ไม่ได้เล่นไง ทำในห้องน้ำกัน”
“ไม่เอา” ปฏิเสธเสียงหลง แต่ก็ไม่อาจห้ามท่าทางซุกซนของอีกฝ่าย เหยียดขาขึ้นยาวไม่ยอมให้หลวมตัวหลุดเข้าไปในห้องน้ำ “กูอาบน้ำแล้ว”
“อาบใหม่ก็ได้ น่า”
“มันเจ็บหลังโว้ย” พอร้องปฏิเสธเสียงแข็ง ไอ้เฟยก็ยอมอ่อนลง แต่ยังคงสายตากะลิ้มกะเหลี่ยไว้ เจ้าของแขนขาวแต่แข็งแรงวางผมลงบนพื้น ยักยิ้มที่มุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์ “งั้นต่อรอง กูออกมาแล้วมึงต้องนอนแก้ผ้ารอบนเตียงนุ่ม ๆ”
“พรุ่งนี้ทำงาน”
“โธ่...ตี่ตี๋ ไม่ได้ทำกันนานแล้วนะเว้ย”
“เมื่อวานมึงเพิ่งทำ”
“ตั้งหลายชั่วโมง” ผมมองค้อนขวักแทนคำด่า ไอ้เฟยหัวเราะอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นหัวเราะแบบยอมความจริง ๆ ไม่ได้แหย่ทีเล่นที่จริงเหมือนที่ผ่าน รอยยิ้มมันสดใจ แววตาคู่นั้นจริงใจไม่มีอะไรเคลือบแฝง “ครับ ๆ เข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะมานั่งให้ตี่ตี๋เช็ดผมแล้วเข้านอนทันทีเลยครับ”
“เออ” ผมกระทั้นเสียง เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวโยนให้คนร่วมห้องแล้วหนีไปนั่งรอมันที่โซฟา งานก็เลิกทำไปได้ ขืนดึงดันทำให้ไอ้เฟยเห็นเดี๋ยวก็ทะเลาะกันยกใหญ่ เฟยบอกว่าเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทำงาน มันจะหงุดหงิดมากเวลาที่เห็นลูกน้องอย่างผมขยันเป็นพิเศษ
นอนดูทีวีวาไรตี้พักใหญ่จนเกือบเคลิ้มหลับ เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้นปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ เกือบสี่ทุ่ม ปกติไม่ค่อยมีคนมาหาเวลาแบบนี้ ผมเลยตะโกนเรียกไอ้เฟยในห้องน้ำ เจ้าของห้องตัวจริงไม่ตอบ อาจจะกำลังสระผมอยู่ถึงไม่ได้ยินเสียง ผมถือวิสาสะไปเปิดโดยไม่ได้มองลอดช่องตาแมว ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ในชุดสูทเต็มตัวสีน้ำเงินเข้ม ผูกเนกไทสีแดงเลือดนกกลัดเข็มกลัดเพชรดูภูมิฐาน เส้นผมสีดำสนิทถูกปาดไว้เรียบอย่างเป็นทรงสวยงามไปด้านหนึ่ง เขาเป็นคุณชายที่เนี้ยบไปทุกระเบียดนิ้ว แต่สายตาคมดุที่คล้ายจะนิ่งเฉยคู่นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมแน่ใจว่าผู้ชายคนนี้คือคน ๆ เดียวกันกับที่เคยเป็นเด็กหนุ่มมาดเซอร์เกกมะเหรกเกเร ไม่เอาการเอางานเมื่อหลายปีก่อน
“เฮียอี้”แทบจะในทันทีที่ผมหลบตัวไปอยู่หลังบานประตู หากแต่แขนใหญ่รั้งเอาไว้ทัน สุดท้ายผมก็เลยปล่อย ถอยกรูดมาตั้งหลักโดยขบริมฝีปากบนและล่างไว้แน่น
“ไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีหน้ากลับมาหามันอีก”
ผมไม่ตอบ เอาแต่หลบตา ปลายรองเท้าหนังสือดำเมี่ยมย่างเข้าใกล้ ผมอยากจะถอยให้ห่างกว่านี้แต่กลับได้แต่ยืนนิ่งบิดปลายนิ้วตัวเองอยู่ด้านหน้า
“ขาดเงินอีกหรือไง”
“เปล่าครับ”
“เลิกยุ่งกับมันเถอะ อยากได้เท่าไร”
“ผมไม่ได้อยากได้เงินแล้ว”
เสียงหัวเราะหยันดังขึ้นเบา ๆ ในลำคอ มือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบบัตรเครดิตยื่นให้ผม “เอาไปใช้สิ รูดได้เป็นล้านเชียวนะ แต่เลิกยุ่งกับน้องชายฉันเถอะ คนอย่างนายจะทำให้เฟยแปดเปื้อน”
ผมส่ายหน้า เถียงคอเป็นเอ็น “ผมไม่ได้กลับมาเพราะเงิน ผมรักเฟย”
“ถ้ารักกันจริงไม่น่ากลับมามากกว่ามั้ง กล้าหักหลังมันไปขนาดนั้นแล้ว ไม่ละอายใจหรือไง”
“ตอนนั้นผมจำเป็น” ถึงอยากจะเถียงว่าเพราะอะไร แต่ก็รู้ว่าเปล่าประโยชน์ เฮียอี้เหยียดริมฝีปากด้วยความสมเพชแล้วกวาดตามองรอบ ๆ
“นี่กะเป็นปลิงอีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่าครับ” ห้องนี้เป็นของมันก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายหลายอย่างของมันผมก็ช่วยเกือบ ๆ จะเท่ากับที่ตัวเองจ่ายสำหรับคอนโดเก่า เฮียอี้ไม่ถามต่อ หยิบซองสีชมพูออกมาจากเสื้อสูท ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นการ์ดงานแต่ง
“เราเป็นคนที่ไอ้เฟยพาไปนอนที่หัวหินสินะ” พูดจบก็แค่นยิ้มข้างเดียว ผมเหลือบตามองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหลลอดออกมาแล้วภาวนาไม่ให้ไอ้เฟยออกมาตอนนี้
เฮียอี้ยัดซองใส่มือผม พูดโดยที่ไม่มองหน้าเช่นเดียวกัน “ฝากให้ไอ้เฟยมันด้วย งานแต่งฉัน แวะมาหาหลายรอบไม่เห็นเจอ ไม่งั้นคงรู้นานแล้วว่าชอบใช้ของรีไซเคิล”
“ผมจะเก็บไว้ให้ครับ”
“เก็บซองไว้แล้วรีบไสหัวไป” เฮียอี้พูดเสียงเย็นเยียบ เหยียดริมฝีปากออกทั้งสองข้าง “คงไม่ได้คิดว่าไอ้เฟยจะจริงจังกับโสเภณีอย่างนายจริงหรอกนะ ไอ้เฟยมันหาได้ดีกว่านายตั้งเท่าไร ถอยออกไปก่อนโดนเขี่ยทิ้งจะเจ็บน้อยกว่า คิดให้ดี ๆ”
คู่สนทนาหัวเราะในลำคอแล้วหันหลังกลับไป ผมก้มหน้าลง ปล่อยให้ประตูปิดจากแรงดึงของแขกไม่ได้รับเชิญ มองการ์ดแต่งงานในมืออย่างเลื่อนลอย ในหัวเหมือนมีฝันร้ายโผล่ขึ้นมาเป็นภาพย้อนหลัง ฝันร้ายที่เป็นเหมือนแผลเก่า ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น กระทั่งคนที่ทำให้ผมสามารถหลับสนิทอีกครั้งสวมกอดจากทางด้านหลัง เอาคางเกยบ่าผมอย่างออดอ้อนเอาใจ
“ไม่เห็นรอบนเตียงอย่างที่บอก”
ผมหันไปยิ้มเซียว ๆ ให้มัน ยื่นซองการ์ดงานแต่งของญาติคนสำคัญให้ “เฮียอี้แวะเอาซองมาให้”
“เฮียมาเหรอ”
“อืม” ผมตอบในลำคอ เฟยใช้จังหวะนี้จูบที่แก้มผมเบา ๆ “มึงโอเคนะ”
“หมายถึงอะไร”
ผมถาม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายหลบตา ไอ้เฟยถอนหายใจ ดึงซองการ์ดงานโยนทิ้งไว้ด้านหลัง “ก็ดูเหนื่อย ๆ บอกแล้วว่าอย่าเอางานกลับมาทำที่บ้าน วันหลังเอามาอีกกูจะโกรธมึง”
ผมหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าถมึงทึงของมัน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันเป็นห่วงผมจัง
“รักกูอะดิ” ถามพลางเอานิ้วจิ้มแก้มขาว มิ่งฟ้าเบี่ยงหน้าหนีแล้วดึงผมเข้ามากอดอีกครั้ง
“รักจนไม่รู้จะรักกว่านี้ได้ยังไงแล้ว ยังต้องถามอีกเหรอ”
ผมจมอยู่ในอ้อมแขนของมัน และคล้ายกับคำรักเป็นดั่งม่านหมอกที่ทำเอาผมหาทางออกไม่เจอ กระชับกอดให้แนบแน่น ผมอุ่นใจทุกครั้งที่รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงผมกับมัน
มีเพียงความรักและปัจจุบัน ปราศจากซึ่งความผิดพลั้ง สิ้นคิด และความเจ็บปวดของก้นบึ้งในจิตใจเหมือนที่แล้วมา
TBC
หากพวกเรากำลังสบายจนปรบมือพลัน
เฮียอี้ของทุกคนกลับมาแล้วค่ะ ด้วยรักและคิดถึง โผล่มาวับ ๆ แวม ๆ ไม่ออกเยอะ ขี้เกียจบรรยาย (ฮาาา)
นางสองคนจะผ่านเรื่องนี้ไปเจอเรือ่งใหม่ได้ยังไง ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เทศกาลมาม่า
หนีก่อน เดี๋ยวโดนด่า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ 