08 ทางที่เลือกเช้าวันจันทร์เดินทางมาถึงเร็วกว่าที่คิด สะท้อนคำพูดที่บอกว่าเวลาแห่งความสุขผ่านไปไวได้ดีจริง ๆ ผมซื้อกาแฟร้านเดิม รสชาติเดิม ๆ เหมือนที่คุ้นเคยแต่ความรู้สึกกลับปลอดโปร่งราวกับได้ยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก ไอ้เฟยเป็นคนปากหวานพอ ๆ กับที่ปากหมา แต่ก็เรียกรอยยิ้มและความสุขที่หายไปกลับมาเติมเต็มช่องว่างในจิตใจได้จนไม่อาจหุบยิ้มลงกระทั่งในเช้าของวันใหม่
ผมไม่เคยรักวันจันทร์มากเท่านี้ มากพอที่พี่ชิตจะเลื่อนตัวออกจากพาทิชั่นมาผิวปากแซวหวือ
"ไง อารมณ์ดีมาเชียวนะเอ็ง มีข่าวดีอะไรรึเปล่า"
ผมส่ายหัว วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ "เปล่าครับ ก็สดใสรับวันใหม่เฉย ๆ ไม่ได้เหรอ"
"เออ ใช่สิ พี่ชายคนนี้ส่งมึงถึงฝั่งฝันแล้วมันก็ไร้ความหมาย ถ้าไม่ได้กูยัดมึงใส่มือเจ้านายที่รักป่านนี้มึงไม่ได้อารมณ์ดีแบบนี้หรอก รู้แล้วก็สำนึกบุญคุณข้าซะ" พี่ชิตพูดพลางขยำกระดาษที่ไม่ใช้ปาใส่ ยกแฟ้มขึ้นมาปัดได้ก็มีกระดาษก้อนใหม่ปามาอีกครั้ง
"โอ้ย ๆ พี่ พอแล้ว โต๊ะผมรกหมด ว่าแต่วันนั้นทำไมผมไปกับเขาได้วะ"
"ตอบคำถามกูก่อนดิ มีอะไรคืบหน้า?"
ผมพยายามกลั้นยิ้ม ทำทีเป็นท้าวคางมองไปทางอื่น "ก็นั่นแหละ"
"นั่นแหละอะไร มีเขินวุ้ย"
"อย่าเสียงดังดิ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมด"
"รู้ว่ามึงกับท่านหัวหน้าเผ่ากลับฟาดกันน่ะเหรอ" ผมหัวเราะ แต่หน้าร้อนผ่าว ปากระดาษก้อนที่ตกตามพื้นกลับไป "พูดมากน่าพี่ชิต ทีนี้เล่าได้ยัง วันนั้นผมเมาไม่รู้เรื่องเลย"
คู่สนทนายักยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ก็ยอมเล่า "มึงเมา พอคุณมิ่งฟ้าลุกไปเข้าห้องน้ำก็ลุกตามไป กูตามไปดูห่าง ๆ เกือบเข้าไปห้ามแล้วตอนมึงกระชากไหล่เขา ถ้ามึงไม่วีนเรื่องนักร้องที่ให้เบอร์คุณมิ่งฟ้าขึ้นมาก่อนน่ะนะ"
"อำปะ?"
"เอ้า เรื่องจริงก็ไม่เชื่ออีก กูยังจำได้เลย มึงบอกว่า 'ทิ้งไปเลยนะเบอร์ไอ้หมีนั่น มึงชอบมันเหรอ ชอบมันมากกว่ากูเหรอ' แล้วก็ผลักอกคุณเฟยใหญ่ หัวหน้ามึงถึงกับเหวอแดกไปเลย ฮ่า ๆๆ"
ถึงว่าล่ะ ทำไมไอ้ผีญี่ปุ่นถึงได้มั่นใจว่าผมยังรักมันนักหนา ที่แท้ก็เพราะไปแสดงท่าทางเด็ก ๆ นั่นให้มันเห็นนี่เอง "แล้วเรื่องโดดลงน้ำพุล่ะ"
"ก็ต่อจากนั้นแหละ คุณมิ่งฟ้าลากมึงออกไปคุยข้างนอก มึงก็โวยวายอย่างเดียวเลย จะถีบเขาให้ได้ กูก็วิ่งตามมาด้วย กลัวหัวหน้าจะโดนหมาบ้ากัดเสียก่อน คุยอะไรกันก็ไม่รู้ ท่าทางไม่รู้เรื่อง มึงสะบัดตัวได้ก็เอาหัวทิ่มน้ำพุเลย กูวิ่งมาช่วยคุณมิ่งฟ้าเอามึงขึ้นมาแล้วก็ให้เขาแบกมึงกลับ คนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก เห็นมึงเมา กูเลยบอกไปให้ว่าท่านหัวหน้าพาไปส่ง”
ผมพยักหน้ารับรู้ ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ สักพักคนที่ส่งผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเช้าก่อนกลับบ้านตัวเองไปก็เปิดประตูกระจกเข้ามา สบตาผมแล้วยิ้มหยอดมาให้นิด ๆ
“วันนี้มีประชุมนะ ถ้าเลิกงานแล้วกูยังไม่มาก็ทำโอรอไปก่อน ไปกินข้าวกัน”
พี่ชิตเสือกเก้าอี้ตัวเองเข้าไปในโต๊ะแทบจะในทันที ขณะที่ผมพยักหน้ารับ “ตอนบ่ายผมก็มีประชุมกับคุณฉัตรกมลเรื่องหอดูดาวของโรงแรมไดมอนด์”
“อ้อ รายชื่อผู้ได้รับมอบหมายออกมาแล้วใช่ไหม”
“ครับ เมลเข้าเมื่อเย็นวันศุกร์” ไอ้เฟยในคราบคุณมิ่งฟ้าพ่นลมออกมาในแง่ที่ไม่ค่อยชอบใจนัก ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันก่อนพูดต่อ “ลูกค้าเจาะจงมาให้เป็นผมน่ะครับ”
“อืม เข้าใจ งานวันนี้วิศวกรคุมโครงการยังไม่ต้องร่วมประชุมนี่”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เราก็ต่างรู้ดีว่าการที่พี่เชนทร์จะโผล่ไปที่บ้านคุณฉัตรกมลเป็นไปได้เสมอ งานนี้เป็นของรุ่นน้องพี่เชนทร์และเขาก็ใช้เส้นสายในการชี้ตัวว่าใครต้องเป็นผู้ดูแลโครงการ ถึงไอ้เฟยจะเป็นหัวหน้าฝ่ายก็จริง แต่ถ้าเป็นงานที่ลูกค้าเรียกร้องมาก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ สำหรับผมแล้วไม่เป็นปัญหาอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าพี่เชนทร์จะพยายามเท่าไร ผมก็รู้ตัวว่าเขาไม่มีวันข้ามผ่านกำแพงเข้ามาได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว
ถึงจะเคยได้ตัวไป แต่เราทุกคนต่างรู้ว่าความพึงพอใจไม่ได้จบที่ตรงนั้น
“มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน” พูดจบร่างสูงโปร่งก็เดินไปที่ห้องกระจกของตัวเอง ผมลอบถอนหายใจตามพลางเลื้อยตัวลงนอนบนโต๊ะรก ๆ พี่ชิตโผล่หน้าข้ามพาทิชั่นมาอีกครั้ง กระหยิ่มยิ้มแซวไม่เลิก
“ท่าทางจะดีกว่าที่คิดแฮะ”
“กลับไปทำงานเลยพี่”
“แหม เห็นบรรยากาศหวาน ๆ แล้วมันก็อดไม่ได้นี่หว่า แล้วนั่นยังหึงมึงกับไอ้เชนทร์อีกเรอะ? ไม่บอกไปล่ะว่าถ้าไอ้นั่นจีบมึงติดมันติดไปนานแล้ว”
ผมส่ายหน้า พูดไปก็เท่านั้น ชนักคาหลังอยู่แบบนี้รีบ ๆ เคลียร์ตัวเองก่อนที่ไอ้เฟยจะระเบิดลงจะดีกว่า
ใครจะไปรู้ คนอย่างมันมีแผนอะไรอยู่ในใจกันแน่
เวลาเกือบเที่ยง ประตูแผนกอาคิเต็กถูกผลักออกอีกครั้งแม้พนักงานส่วนใหญ่จะกำลังนั่งงมกับแบบขนาดเอสามของตัวเอง เงาที่ทาบทับลงมาจากร่างสูงใหญ่ซึ่งบดบังแสงไฟนีออนทำให้ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับหน้าถมึงทึงของวิศวกรหนุ่มผิวสีเข้ม พี่เชนทร์กำลังโกรธในแบบที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“อะไรครับพี่ เอาเก้าอี้ตรงนั้นมานั่งก่อนไหม”
“ยังจะมาถามอีก หายไปตั้งกี่วัน ปิดเครื่องทำไม ตั้งแต่เช้าพี่โทรมาก็ไม่รับสาย จะหลบหน้ากันใช่ไหม”
“ผมปิดเสียงแล้วใส่โทรศัพท์ไว้ในลิ้นชัก” พูดพลางดึงเก๊ะที่ว่าออกมาให้ดู แต่นายช่างก็ยังมีทีท่าว่าไม่ชอบใจเท่าไร “วินเป็นอะไร ทำไมทำตัวแปลก ๆ”
“เปล่านี่ครับ ผมแค่ทำงาน บ่ายวันนี้ต้องเข้าไปคุยกับทางคุณฉัตรกมลเรื่องหอดูดาว นี่ก็เตรียมเอกสารอยู่ พี่เชนทร์ได้รับเมลแจ้งแล้วใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่เวลาจะมาชวนคุยเรื่องงานนะวิน!”
“แต่มันเป็นเวลางานนะครับ พี่เชนทร์กำลังรบกวนผม”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด ไม่ชอบให้ใครมาอารมณ์เสียใส่ โดยเฉพาะในเรื่องที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองผิด “ออกไปคุยกันข้างนอก”
“ขอผมเก็บของตรงนี้ให้เสร็จก่อนนะครับ”
“ถ้างั้นกลางวันนี้ก็ออกไปกินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวพี่พาไปส่งบ้านไอ้ทีป์”
ผมพยักหน้าลงอย่างเหนื่อยหน่าย เหลือบมองไปยังห้องกระจกที่ว่างเปล่าแล้วหันมาสบตากับพี่ชิตที่ลอบมองมา เขายกมือทำสัญลักษณ์ให้โทรหาทันทีที่รับมือกับพี่เชนทร์ไม่ไหวผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไป
ความเร็วรถ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในใจกลางกรุงเทพถือว่าค่อนข้างเร็วแต่ก็ไม่พอให้เป็นอันตรายนัก พี่เชนทร์เร่งเครื่องปาดหน้ารถทุกคันด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดเป็นพิเศษ ก่อนจะมาจอดลงที่ร้านอาหารตามสั่งย่านชานเมือง
ทางไปบ้านคุณฉัตรกมลจำเป็นต้องผ่านทางนี้ แต่เพราะอยู่ในย่านที่ไกลจากตัวเมืองผู้คนจึงค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าขาจรเสียมาก
“เอาปลาหมึกผัดพริกเผากับไข่ดาวไม่สุกครับ พี่เชนทร์เอาอะไร”
“พี่ไม่กิน”
“พี่เชนทร์...”
“อาทิตย์ที่ผ่านมาวินไปไหน ไปกับใคร พี่รู้จักหรือเปล่า แล้วปิดเครื่องทำไม”
“ผมไปกับแฟน” พูดจบก็เกิดความเงียบระหว่างเรา สายตาดุจับจ้องผมนิ่งก่อนคู่สนทนาจะเหยียดริมฝีปากออก “พี่ไม่ตลกนะวิน”
“ผมก็ไมได้ตลก คือ...มันค่อนข้างจะฉุกละหุก แต่ผมว่าผมก็ควรบอกพี่เชนทร์”
“พี่จีบวินมาเป็นปี วินไม่เคยมีใคร ไม่เคยคุยกับใครด้วยซ้ำ จู่ ๆ จะมาบอกพี่ว่ามีแฟน คิดว่าพี่จะเชื่อเหรอ”
“เขาเป็นแฟนเก่า” ผมพูดพลางหลบสายตา “ก็...บังเอิญเจอกันอีกครั้ง แล้วก็...”
“ที่ผ่านมารอมันมาตลอดเลยสินะ”
“ผมไม่รู้” ความจริงควรบอกว่าไม่ได้รอแต่ลืมไม่ได้มากกว่า แต่ใช้คำพูดนี้คงดีที่สุด “ผมรู้แค่ว่าผมรักเขามาก”
“แล้วพี่ล่ะวิน วินเอาพี่ไปไว้ไหน ที่เฝ้าเทียวรับเทียวส่ง โทรหา คอยดูแลอยู่ทุกวันนี้คืออะไร พี่ได้อะไรนอกจากเซ็กซ์ของวินแค่วันเดียว เคยรักกันบ้างไหม”
“ผมขอโทษ”
“พี่ไม่ยอมหรอกนะ มันเป็นใคร” ผมหลุบสายตาลงต่ำ มองมือที่ประสานตัวเองเอาไว้ “วิน...ตอบพี่ มันเป็นใคร”
“พี่เชนทร์จะรู้ไปทำไม”
“พี่มีสิทธิ์จะรู้ว่าใครมันแย่งของ ๆ พี่ไป”
“ผมเป็นของเขา” เป็นครั้งแรกที่ผมสบตากับอีกฝ่าย สายตาของพี่เชนทร์ทั้งเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยว แต่ผมต้องพูดมันต่อ “หัวใจผม...เป็นของเขามาตลอด”
“อย่ามาน้ำเน่าใส่พี่...”
“ผมพูดจริง ๆ ผมพยายามลืมแล้ว พี่เชนทร์ แต่ผมลืมไม่ได้ แล้วเขาก็...”
“ถ้ารักกันวินคงไม่ทิ้งมันมาหรอก ไม่พอใจพี่เรื่องอะไร ไอ้มิกมันไปหาเรื่องอะไรวินหรือเปล่าถึงได้โกหกกันแบบนี้”
“ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นแหละพี่เชนทร์” ผมระบายลมหายใจออกมายาว พร้อมกันกับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมีสายเรียกเข้า ภาพด้านข้างของชายหนุ่มหน้าขาวจัด ถอดเสื้อ สูบบุหรี่อยู่ริมระเบียงห้องพักเป็นรูปที่แสดงหราบนหน้าจอ พี่เชนทร์จับตามองนิ่ง ขณะที่ผมเอื้อมมือไปรับสาย
“...ฮัลโหลครับ”
“ออกไปกับไอ้นั่นเหรอ”
“ใครบอก”
“กูมีสายแล้วกัน”
“อืม” ผมตอบรับในลำคอ “มาเคลียร์น่ะ”
“ให้จบนะตี๋ ถ้ากูยังเห็นมึงกับมันคาราคาซังอยู่กูลงมือเองแน่”
“ใจเย็นดิ” ผมถอนหายใจยาว ขอบเขตของคำว่าจัดการของไอ้เฟยกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด พวกลูกคนรวยไว้ใจได้ที่ไหน มันไม่เคยเห็นความลำบากของใครอยู่แล้ว “เดี๋ยวคุยเอง แค่นี้ก่อนนะ”
“อย่าให้มันจับมือ”
“เออ”
“โดนตัวนิดเดียวก็ไม่ได้”
“เออ รู้แล้ว สั่งจัง พอยังเนี่ย จะวางสายแล้ว”
“บอกรักกูเดี๋ยวนี้” ถึงแม้จะอยู่ในชั่วโมงหน้าสิ่วหน้าขวาน นายช่างรูปร่างสูงใหญ่จับจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแต่ปลายสายยังมีหน้ามาออกคำสั่งอย่างอารมณ์ดี ที่จริงก็ไม่เรียกว่าดีเท่าไร เพียงแต่ไม่แย่เท่าที่ผมรับสายตอนแรกเท่านั้น
“เออน่า...”
“บอกดิ บอกให้มันได้ยินด้วยว่ามึงรักกู”
“ไม่เอา”ผมบอกปัดแล้วมองไปทั่ว ๆ “อยู่ร้านข้าว”
“ถ้ามึงไม่บอกกูตอนนี้ อีกสิบนาทีกูจะไปรอมึงที่บ้านคุณฉัตรกมล ประชุมเหี้ยอะไรก็จะไม่เข้า” เฟยพูดอย่างเป็นต่อ มันรู้อยู่แล้วว่าผมยอมแน่ สุดท้ายก็เลยแสร้งทำเป็นจะลุกหนีแต่พี่เชนทร์กลับคว้ามือไว้ ผมพยายามดึงออกแต่อีกฝ่ายจ้องดุ พอ ๆ กับที่ปลายสายยังรบเร้าไม่เลิก
"นับหนึ่งถึงสาม ถ้ามึงไม่..."
"เออ ๆ กูรักมึง พอใจยัง"
"มากกกกก"
หัวหน้าฝ่ายพูดเสียงยียวนกลั้วหัวเราะ ผมถอนหายใจเมื่อโทรศัพท์ถูกตัดไปในที่สุดก่อนมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่ามีผู้ชายตัวใหญ่ทำท่าโกรธขึงผมอยู่
"พี่เชนทร์...ผมขอโทษ"
"มันเพิ่งมาเองนะวิน มันมายังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ" น้ำเสียงนั้นตัดพ้อและแววตาที่ส่งมาฉายแววความผิดหวังออกมาชัดเจน ผมแกะมือที่ถูกกุมเอาไว้ออก
“ผมขอโทษที่ทำให้พี่เชนทร์เสียเวลา”
“งั้นวินรู้เอาไว้เลยว่าพี่ไม่ยอมเสียเวลาเปล่าแน่ วินก็เป็นเมียพี่เหมือนกัน อย่าลืมสิ”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น รู้สึกบทสนทนาจะแย่ลงทุกขณะ “ผมพยายามช่วยพี่เชนทร์อยู่นะ พี่ก็รู้ว่าเขาเป็นใคร”
“คิดว่าพี่กลัวงั้นเหรอ ก็ให้มันรู้ไปสิว่าสมภารที่มาขโมยไก่ชาวบ้านกินมันจะไม่อายถ้าพี่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
“พี่เชนทร์ ผมขอ...”
“พี่ก็ขอเหมือนกัน” สายตาคมยังจ้องดุไม่ลดละ สุดท้ายผมก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจหนัก ๆ “ผมเลือกเขาแล้ว”
“คิดว่าพี่สนเหรอ”
ผมสบกับดวงตาแข็งกร้าวอีกครั้ง พลางจ้องกลับดุเดือดไม่แพ้กัน ที่เห็นว่าไม่มีปากเสียงมาตลอดไม่ใช่เพราะเป็นคนยอมคน ผมเป็นพวกดื้อและดุอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งเพียงแค่เพราะไม่อยากมีปัญหา ถ้าคบกันห่าง ๆ ในสภาวะที่คุยกันรู้เรื่องก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่โยเยแบบนี้ก็ไม่แน่
"อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ เพราะผมก็ตัดสินใจไปแล้วเหมือนกัน"
สุดคำพูดผมก็ก้มหน้าลงกินมื้อกลางวัน อีกฝ่ายกำมือแน่นจนเห็นเป็นเส้นเลือดที่มือปูดโปน ไม่ใช่ไม่เห็นใจ แต่ถ้าคาราคาซังไปมากกว่านี้มีแต่จะเดือดร้อนกันทุกฝ่าย พี่เชนทร์เองก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว ต่อให้ไอ้เฟยไม่กลับมาผมก็ไม่เลือกเขา ปัญหาชีวิตผมมีมาเยอะพอแล้วไม่อยากมาเผชิญกับเรื่องอะไรไร้สาระอีก
“พี่รักวิน พี่พูดจริง ๆ นะ”
ผมครางรับคำในลำคอ คำว่าจริง ๆ นะ ของพี่เชนทร์ไม่เคยตอบคำถามที่ค้างคาในใจผมได้ว่าคนที่เขารักจริง ๆ นะ มันหมายถึงแค่ผมคนเดียว หรือใครต่อใครที่สบโอกาสอยู่ด้วยตามลำพังกันแน่
บ้านของคุณฉัตรกมลใหญ่โตสมกับเป็นเจ้าของโรงแรมหกดาวในเมืองท่องเที่ยวติดชายหาด ทันทีที่ฟอร์จูนเนอร์ของนายช่างคเชนทร์จอดสนิท คนงานก็ต้อนรับด้วยการเดินนำมายังห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอโรมาของน้ำหอมปรับอากาศ โซฟาผ้าสักหลาดถูกตั้งและจัดวางเป็นองศาที่น่ามอง การตบแต่งโดยรวมปราดตาแค่วูบเดียวก็รู้ว่าถูกออกแบบโดยมัณฑนากรมือดีของที่ไหนสักที่แน่ ๆ รูปถ่ายครอบครัวที่มีเพียงคุณหญิงกับลูกชายหน้าตาคุ้นเคยถูกแขวนให้ปรากฏในสายตาชัดเจน ตามหลังตู้ที่โชว์รางวัลเกียรติยศก็เต็มไปด้วยกรอบรูปของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตั้งแต่เล็กจนโต
“ผมกำลังจะโทรถามพอดีเลยว่าจะเข้ามากันช่วงไหน คุณแม่ยังไม่กลับจากสปาเลยครับ”
เจ้าของภาพที่ผมปราดตามองปรากฏขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตัวจริงเขาสูงใหญ่กว่าที่คิดไว้พอสมควรแต่ก็ยังตัวเล็กกว่าในทีวีอยู่ดี ใบหน้าหล่อเหลาหันไปทักรุ่นพี่คนสนิทตามด้วยหันมายิ้มให้ผมอย่างมีเลศนัย
“นี่พี่วินใช่ไหมครับ”
“ครับ?”
“น่ารักกว่าที่คิดไว้อีกนะ พี่เชนทร์นี่ตาถึงไม่เปลี่ยนเลยว่ะ” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มเอ่ยแซวพลางกระทุ้งศอกหานายช่างใหญ่ ผมลอบกลืนน้ำลายอึกแล้วหันไปมองพี่เชนทร์อย่างขอคำอธิบาย ถึงผมจะเคยดีลงานกับคุณนภทีป์ก็ยังไม่เคยมีโอกาสเจอหน้ากันตรง ๆ เลยสักครั้ง ส่วนใหญ่แล้วผ่านโทรศัพท์หรือไม่ก็ติดต่อกับคุณฉัตรกมลมากกว่า
“อ้อ พีเชนทร์ไม่ได้พูดถึงเรื่องเสียหายอะไรครับพี่ แค่บอกว่าเล็ง ๆ สถาปนิกที่บริษัทไว้ อยากให้ผมช่วย...โอ๊ย อะไรล่ะพี่ ทำเป็นเขินไปได้ว่ะ”
“พูดมาก” พี่เชนทร์ขู่เสียงขรมใส่รุ่นน้อง “ไม่มีงานหรือไง”
“มีครับ แต่อยากเห็นพี่วินก่อนเลยอยู่รอ เดี๋ยวรอแม่กลับมาค่อยออกไป หรือผมอยู่เป็นก้าง”
“ไอ้ทีป์” พี่เชนทร์ข่มเสียงเข้มดุรุ่นน้องไปอีกที ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งเงียบ สุดท้ายรุ่นน้องกึ่งลูกค้าก็ยอมเลิกแซวไปในที่สุด “แล้วเรื่องมึงกับน้ำหวานเป็นยังไง เห็นข่าวออกวันก่อน”
“ก็ไม่ไงพี่ ปัด ๆ ไป แต่รู้แล้วว่าสกู๊ปนั้นใครทำ” ผมเหลือบตามองเจ้าของรอยยิ้มสวยอีกครั้ง เขาโคลงหัวไปมาแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “น่ารักด้วย”
“ผู้หญิงผู้ชายวะ”
“ผู้ชายพี่ เป็นนักข่าวใหม่ แต่ส่วนใหญ่ทำภาคสนามของสำนักพิมพ์เล็ก ๆ เพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน”
พี่เชนทร์ยักยิ้มนิด ๆ แล้วตบหัวรุ่นน้องด้วยความสนิทสนม “มึงนี่ก็ชอบจริงนะคนแก่กว่า”
“พี่กีรู้สเป็กผม เสียงรถคุณแม่มาแล้ว ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ ตามสบายนะครับพี่วิน”
ผมยกมือรับไหว้ลูกค้าก่อนอีกฝ่ายจะลุกเดินไปยังประตูบ้าน สวนกันพอดีกับคุณหญิงในชุดสีม่วงที่ดูสบายกว่าชุดออกงามแต่ยังอะร้าอร่ามอยู่ดี
“อ้าว ตาเชนทร์ก็มากับเขาด้วยหรือลูก แม่คิดว่าคุณวายุจะมาคนเดียวเสียอีก”
“พอดีผมแวะเข้าบริษัทน่ะครับเลยรับน้องมาด้วย” พี่เชนทร์ตอบเสียงเรียบพลางพุ่มมือไหว้ลูกค้าคนสนิท ก่อนหน้านี้รู้มาบ้างว่าพี่เชนทร์กับคุณนภทีป์รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ไม่คิดมาก่อนว่าจะสนิทสนมกับทางบ้านนี้ขนาดนี้
“ไม่ได้แวะมาเสียนาน แม่ล่ะคิดถึง บอกเจ้าทีป์ให้ชวน ๆ กันมากินข้าวที่บ้านบ้างก็ไม่ได้เรื่องเลยลูกคนนี้ เอาแต่ติดแฟน”
พี่เชนทร์ยิ้มรับคำขณะที่คุณฉัตรวางกระเป๋าลงข้างตัว หย่อนก้นบนโซฟาได้น้ำหวานเย็น ๆ ก็ถูกส่งให้ “ข้างนอกร้อนจริง ๆ ค่ะ แม่จะเป็นลมเสียให้ได้ ว่าแต่คุณวายุเตรียมแบบตามที่เลขาแม่แจ้งรายละเอียดไปให้แล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ แต่ยังไม่แน่ใจว่าถูกใจคุณฉัตรแล้วหรือยัง ผมทำมาเตรียมไว้ 3 แบบน่ะครับ จะแตกต่างกันตรงรูปทรงนิดหน่อย ถ้าเป็นหลังคากระจกทรงกลมเลยมันจะทำความสะอาดยาก คราบดำอาจติดอยู่ตามร่องที่อุปกรณ์ทำความสะอาดเอื้อมไปไม่ถึง ไม่ก็ต้องใช้คนปีนขึ้นไปทำความสะอาดผมว่าจะอันตรายเลยลองเสนอแบบอื่นมาด้วย”
พูดพลางหยิบแบบที่ร่างมาคร่าว ๆ ให้ลูกค้าดู พี่เชนทร์นั่งถัดไปอีกฝั่งไม่ได้เห็นแบบด้วยแต่ก็ยังชะเง้อคอมาดู “อันนี้ผมยังไม่ลงรายละเอียดมากครับเพราะข้อมูลจากคุณธนาธิปค่อนข้างน้อยเลยอยากจะมาคุยกับคุณฉัตรกมลมากกว่า”
เจ้าของชื่อพยักหน้า ยื่นแก้วน้ำที่ดื่มไปเกือบครึ่งคืนแม่บ้านสาวสวยก่อนรับแบบจากผมไปพิจารณา คุณฉัตรกมลเป็นผู้หญิงเก่ง ด้วยวัยสี่สิบปลาย ๆ ยังดูกระฉับกระเฉงและมีความรู้รอบตัวในเกือบทุกด้าน
“ถ้าตาทีป์สนใจงานบริหารบ้างก็ดีน้า แม่เหนื่อยเต็มทีแล้ว ไม่ยอมมาช่วยกันดูเลยจริง ๆ”
“น้องยังเด็กน่ะครับ”
“เรียนจบคงต้องบังคับกันมาจับงานกันจริง ๆ จัง ๆ บ้างแล้ว ลอยไปลอยมาแบบนี้ต่อไปจะทำอะไรกิน” คำพูดของคุณฉัตรกมลทำให้ผมเห็นหน้าของไอ้เฟยลอยมาติด ๆ อากงกับป๊าม้ามันก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก “ไม่รู้จะเหนื่อยใจตายไปก่อนหรือจับเจ้าเด็กนั่นมาทำงานได้ก่อนกันแน่”
“ไม่หรอกครับ ถึงเวลาแล้วอะไร ๆ ก็คงลงตัวเอง”
“คุณวายุยังไม่รู้จักเจ้าเด็กนั่นดีค่ะ แสบอย่าบอกใครเลย กว่าแม่จะบังคับให้เรียนการจัดการได้นะเลือดแทบลาก เรียนได้ปีสองปีก็หนีไปแคส เป็นดารงดารา แม่เห็นข่าวแล้วจะเป็นลมทุกวัน”
ผมยิ้มพลางส่ายหัว “เขาชอบสายนั้นลองปล่อยให้ทำตามใจชอบก็อาจจะดีก็ได้นะครับ”
“ไม่ได้ชอบอะไรหรอกค่ะ ติดเที่ยวเล่นเสียมากกว่า ตอนจะให้ไปเรียนนิเทศจริง ๆ จัง ๆ ก็ไม่เอา สุดท้ายพอแม่บังคับเรียนก็อย่างที่เห็น ดื้อไม่มีใครเกิน”
“ถ้าอย่างนั้นไว้มีโอกาสผมจะแนะนำให้รู้จักบางคนให้นะครับ” พูดพลางส่งยิ้มให้ นึกถึงคนดื้อบางคน เอามาจับเข่าคุยกันน่าจะสนุก “เผื่อน้องจะหายดื้อขึ้นมาบ้าง”
คุณฉัตรกมลยิ้มรับอย่างคนเป็นแม่ ก่อนก้มลงดูงานอีกพักใหญ่ ๆ พี่เชนทร์ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรสักพักก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าน กลับมาอีกทีหลังจากที่มีเสียงรถจากด้านนอกดังเข้ามาและผมกับคุณฉัตรก็คุยธุระกันเสร็จเรียบร้อย
“ตาทีป์กลับมาเหรอจ๊ะ”
“เปล่าครับ” พี่เชนทร์พูดหน้าตาเครียดขมึง มองผมด้วยหางตาแล้วเม้มปากเข้าหากันอย่างอดกลั้น ยังไม่ทันได้คำตอบอะไรเจ้าของเสียงรถในชุดสูทเต็มตัวก็เดินเข้ามาพร้อมกระเช้าผลไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
“สวัสดีครับคุณฉัตรกมล”
“สวัสดีค่ะ นี่ใช่หลานชายคนรองของเจ้าสัวอธิปหรือเปล่าคะ”
“ครับ พอดีเห็นว่าลูกน้องมาคุยงาน ผมเลยถือโอกาสมาแนะนำตัวกับคุณฉัตรกมลด้วย งานไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”
“อ้อ ค่ะ” หญิงวัยกลางคนรับคำพลางปรายตามามองผมยิ้ม ๆ “กับคุณวายุร่วมงานกันเป็นครั้งที่สองแล้ว เป็นเด็กหัวไวนะคะ ช่างคิด”
“ครับ บางทีก็คิดเยอะเกินไปด้วย ถ้ามีอะไรไม่ชอบใจคุณฉัตรแจ้งผมได้เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ นี่ผมแวะซื้อผลไม้มาฝากครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ ทีหลังแวะมาทักเฉย ๆ ก็ได้นะคะ เกรงใจ”
คุณมิ่งฟ้ายิ้มหวานรับคำ ตอนมันอยู่ในชุดแบบนี้ท่าทางแบบนี้เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ คนอื่นอาจเรียกว่าสัมมาคารวะ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันโคตรตอแหลไม่มีใครเกิน “ว่าไงเรา งานเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้วครับ”
“งั้นกลับกันเลยไหม”
เจ้าของใบหน้าหวานหันมาถาม ผมเหลือบตามองพี่เชนทร์ที่ยืนจ้องหน้าหัวหน้าผมนิ่งแล้วกระแอมในลำคอ “แต่ผมมาพร้อมพี่เชนทร์น่ะครับ”
“แล้ว?”
“คือ...”
“คุณคเชนทร์ต้องกลับไปดูไซต์ต่อไม่ใช่หรือครับ เห็นว่ามีนัดเทปูนตอนหกโมง ถ้าไม่รีบรถจะติดเอานะ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับคุณฉัตรกมล พอดีมีธุระกับลูกน้องนิดหน่อย”
“อ้อ เสียดายจัง ว่าจะชวนทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณสำหรับผลไม้นะคะ” มิ่งฟ้าพุ่มมือไหว้ก่อนแตะข้อศอกผมเป็นเชิงบังคับให้เดินนำ ผมเหลือบตามองพี่เชนทร์ ไอ้เฟย สุดท้ายก็ได้แต่ก้มลงมองปลายเท้าตัวเองเมื่อพบสายตาคมดุของทั้งคู่ที่จ้องมองมากระทั่งเดินมาถึงเล็กซัสคันหรูก็ลอบถอนหายใจเมื่อพ้นอาณาบริเวณที่เสี่ยงต่อการมีเรื่องมากที่สุดจนได้
“ไม่เห็นจะต้องมารับ”
“ไม่มาหมาก็คาบไปแดกดิ”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางไหวไหล่ เอื้อมมือมาช่วยจับเบลท์ไปคาดให้ แต่ก็ไม่วายทิ้งจูบเบา ๆ ไว้เหนือริมฝีปากผมขณะที่โน้มตัวมาชิด “คิดถึง”
“พูดมาก”
“ให้ทำมากกว่าพูดก็ได้นะ” ว่าแล้วก็ยักคิ้วยวนกวนประสาท ผมใช้มือผลักหน้าขาว ๆ ออกแล้วกอดอกนิ่ง “เลิกกวนตีนแล้วออกรถสักทีเถอะ”
TBC สวัสดีวันอาทิตย์สีแดงค่ะ เหลือเวลาอีกไม่ถึง 4 ชั่วโมงจะเข้าสู่วันจันทร์ค่ะทุกคน ใครมันจะมีวันจันทร์ที่น่าอิจฉาได้อย่างนังวิน /เบอะปากหมั่นไส้ เราบอกแล้วว่าเริ่มหวานแล้ว ทำไมไม่มีใครเชื่ออ ระแวงเราทำไมมมม ฮาาา ดราม่าน่าจะมีอีกนิดหน่อย นิดเดียวจริง ๆ ให้เรื่องไม่จืด ไม่นิยมดราม่าค่ะ (ที่ผ่านมาหล่อนเรียกว่าอัลไล)
ปล. อยากเอาพี่เฟยมาพูดบ้างจัง เขียนตอนพิเศษวันฮาโลวีนในเพจแล้วชอบเอง ดูซึน ๆ สบาย ๆ ไว้มีโอกาสจะให้นางออกมาเล่าความรู้สึกบ้างนะคะ TvT
ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ 