06 memories of the beachสุดสัปดาห์นี้ผมถูกบังคับไม่ให้เอางานกลับมาทำที่บ้าน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยสักนิดที่จะหยัดตัวลุกขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ยังหนักหัวอยู่จากพิษของเครื่องดื่มที่ซัดอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อคืน ความทรงจำสุดท้ายของผมคือยกแก้วขึ้นดื่ม ดื่ม แล้วก็ดื่ม
พลิกตัวสลัดอาการเมื่อยขบของกล้ามเนื้อแล้วบิดแขนขึ้นเล็กน้อยโดยที่ยังไม่ลืมตา เมาวันเว้นวันแบบนี้เมื่อก่อนไม่มีโอกาสหรอกครับ เพิ่งมาหนัก ๆ ช่วงเรียนจบมากกว่า
“ลุกขึ้นมากินยาก่อน”
เสียงนั่นราบเรียบ คุ้นหู ผมครางอู้อี้ในลำคอเป็นการประท้วงแต่ก็ยังไม่ทำตามคำสั่ง สิ่งที่ได้ยินต่อจากนั้นคือลมหายใจที่ถูกระบายมาแผ่ว ก่อนแขนที่เหยียดตึงไปคนละทิศละทางจะถูกจับให้กลับมาอยู่ใต้ผ้าห่ม
“วิน...”
เสียงทุ้มเรียกอีกครั้ง ผมพลิกตัวหนี ยกหมอนขึ้นมาปิดหูตัดรำคาญก่อนเตียงนอนจะยวบลงไปจากน้ำหนักของอีกฝั่ง และตามด้วยเสียงปลุกของคนอาศัยร่วมครั้งสุดท้าย
“ตี๋”
เฮือก!ได้ผลดีเกินคาด เด้งตัวลุกขึ้นมาเหมือนผีจีนถูกปลุก ไอ้ตัวการที่นั่งอยู่อีกฟากของเตียงหัวเราะหึหึ หน้าตาสดใส ผมบดริมฝีปากเข้าหากันแล้วขว้างหมอนใส่มันทันที
“ตกใจหมดไอ้เหี้ย”
“เฮ้ย ๆ ใจเย็น ตกใจอะไรของมึง”
“ก็....”
ไม่มีคนเรียกด้วยชื่อนี้นานแล้วนี่หว่าผมไม่ตอบ ปล่อยให้ความคิดจุกอยู่ในลำคอ ไอ้เฟยขยับตัวเล็กน้อยแล้วเอื้อมตัวมาใกล้ ใช้หลังมืออังหน้าผากผมอย่างถือวิสาสะ
“เมื่อเช้ามืดมีไข้”
“กูเนี่ยนะ?”
“เออออ” ไอ้เฟยลากเสียง แต่ยังทิ้งรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก “เมาแล้วเรื้อนตั้งแต่เมื่อไร”
“กูเนี่ยนะ?” ปกติก็ไม่นะครับ ผมเป็นพวกเมาหลับเสียมากกว่า คู่กรณีไม่ตอบแต่เปลี่ยนมาผลักหัวผมให้หงายหลังแบบที่ชอบทำ
“เครียดอะไรหรือไง”
“อะไร ไม่นี่...งานก็ผ่านแล้ว”
“แล้วกระโดดลงไปในน้ำพุทำไม”
"กูเนี่ยนะ?"
ถามย้ำตัวเองเป็นรอบที่สาม สายตาคมมีประกายระยิบระยับมองหยอกล้อ ผมไม่ตอบ เพราะจำไม่ได้ ก้มหน้าลงมองชุดนอนที่เป็นเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาวกับกางเกงบอลผ้าลื่นผิวก็รู้ทันทีว่าเป็นของใคร เพราะเจ้าของห้องตอนนี้ก็แต่งองค์ในชุดที่ไม่ต่างกันนัก ซึ่งผมรู้สึกว่าเสื้อยืดคอย้วย มีร่องรอยของสีน้ำที่เลอะประปรายนี่แหละเหมาะกับมันที่สุด
“จะเอากลับห้องก็ห่วง เลยหิ้วมานอนด้วย แต่แค่เช็ดตัวเอาสาหร่ายออกจากตัวมึงให้กับเปลี่ยนเสื้อผ้านะ ไม่ได้ทำอะไร ถึงอยากจะทำก็เถอะ”
“มึงนี่มัน!”
“รู้ว่ามึงไม่ชอบให้ฉวยโอกาส”
ผมเงียบเสียงลงหลังจากประโยคนั้นจบ เงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของประโยคราบเรียบแล้วก็เบือนสายตาหนี ความร้อนวิ่งพล่านจากเส้นเลือดสู่เส้นเลือด แก้มทั้งสองข้างร้อนฉ่าจนรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามันคงแดงแน่ ๆ
“แต่อย่าไปเละเทะแบบนี้ที่ไหนแล้วกัน คนอื่นเขาไม่ใช่เทวดาแบบกู”
คนพูดพูดนิ่ม ๆ ยกมุมปากลงข้างหนึ่งทำให้กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกำลังแค่นยิ้มเบี้ยว ๆ ให้ผม มือขาวยกขึ้นหยิบปอยผมที่ร่วงลงมาขึ้นทัดหูตัวเอง ผมมองพ่อเทวดาที่ว่าด้วยหางตา แต่พอเห็นดวงตาสีดำขลับมีภาพของตัวเองสะท้อนในนั้นกลับคิดว่าอีกฝ่ายใช้คำว่าซาตานที่รอให้เหยื่อตายใจค่อยเชือดกันจะเหมาะกว่า
“ขอบคุณที่ดูแลครับ”
“เวลาคุณพูดเพราะ ๆ ก็น่ารักดี” ผมเงยหน้า นึกติดใจกับคำว่าคุณที่อีกฝ่ายใช้ “เรามาคุยกันด้วยชื่อเพราะ ๆ ดีไหม คุณ-ผม ที่จริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไรนะ แต่ถ้าดีกว่านี้เรียกแทนตัวเองว่าตี่ตี๋ด้วยก็ได้ คุณเฟยกับตี่ตี๋ ดูเหมือนหลุดเข้าไปในยุคนางทาส”
“เพ้อเจ้อ”
“นี่ผมพูดจริง ๆ นะครับคุณวายุ” เสียงนั้นอ่อนลง เช่นเดียวกับแววตา ผมยอมรับว่านี่เป็นอีกครั้งที่มันทำให้ผมคุมอัตราการเต้นของหัวใจตัวเองไม่อยู่ “เรียกชื่อกันใหม่ ทำความรู้จักกันใหม่ เริ่มต้นกันใหม่”
“แต่ว่า...”
“เป็นต้นว่า วันนี้ไปขับรถเล่น ทำความรู้จักกันหน่อย เป็นไง”
ผมมองหน้ามัน เจ้าของผมยาวสีดำขลับที่ถูกรวบเป็นปมไว้ด้านหลังยังมีทีท่าสบาย ๆ มือใหญ่เอื้อมมาลูบแก้มผมเบาก่อนจะผละออกในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้ผมต้องหลุบสายตาลงก่อนจะเบือนหน้าหนีออกจากการจับจ้องของอีกฝ่ายไปยังห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างที่ตบแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ ของที่ใช้ไม่ใช่ของแพง หรือหรูหราเหมือนเล็กซัสสีดำของมัน ห้องที่ดูเป็นพื้นที่ส่วนตัวของไอ้เฟย ไม่ใช่คุณมิ่งฟ้าที่ใคร ๆ รู้จัก
โลกของมันยังเหมือนเดิมเป็นผู้ชายปอน ๆ ที่ใช้หนังหนาหลอกล่อคนอื่นให้ติดกับ เป็นผู้ชายซกมกที่กินอาหารบนเตียงแล้วทิ้งจานข้าวไว้ใกล้ ๆ ในถังขยะเต็มไปด้วยซากกระดาษวาดเขียน และที่บ่งบอกความเป็นมันมากที่สุดคือภาพวาดสีน้ำที่เจ้าตัวบรรจงแต่งแต้มมันด้วยหัวใจ ผมจำได้มาตลอดว่าเฟยอยากเรียนจิตรกรรมแต่อากงมันสั่งให้เรียนวิศวกรรมศาสตร์ หลังจากเรียนจบก็จะให้เรียนต่อคณะบริหารธุรกิจมาจัดการกับงานของครอบครัวเสียที ทั้ง ๆ ที่เฟยเป็นหลานชายคนรอง แต่กลับได้รับการไว้ใจจากอากงจนน่ามันไส้
กระนั้น...มันก็ยังดื้อดึงจนอากงยอมลงมาเจอครึ่งทางที่คณะสถาปัตยกรรมได้อยู่ดี
“ภาพนั้น...” เสียงทุ้มพูดขึ้นขณะที่เจ้าของภาพขยับตัวเองมาใกล้ มือไม้มันเหมือนอ่อนแรงจนต้องวางเท้าด้านหลังผมคล้ายจะโอบอยู่ในที
ภาพที่มันพูดถึงคือรูปทะเลของหัวหิน ผมจำได้แม่น วิวที่อยู่เป็นห้องพักเกสต์เฮ้าส์ชั้นสองที่ตอนคบกันเราไปพักด้วยกันบ่อย ๆ หัวหินกับกรุงเทพ อยู่ห่างกันไม่กี่ชั่วโมง ไอ้เฟยจะขับมอ’ไซค์พาผมซ้อนไปสัปดาห์ละครั้งเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศวาดรูปตามตลาดโต้รุ่งที่เป็นอาชีพเสริมของผมอีกอย่าง
“มึงกลับไปที่นั่นเหรอ”
“อืม...วันนี้เราไปกันไหม ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเหมือนที่เคยทำ”
ผมบดริมฝีปากเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิดอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ในอกตอบตกลงไปแล้ว เสียงทุ้มกระซิบชิดใบหู อ่อนโยนและเว้าวอน “แค่กูกับมึง...”
ผมก็เหมือนโดนคำสาปให้ปฏิเสธไม่ลงอีกต่อไป
สายลมตอนเย็นไม่ได้ทำร้ายผมกับสารถีคนขับ สมัยก่อนผมกับมันใช้มอเตอร์ไซค์ธรรมดา ๆ เป็นยานพาหนะ ออกเดินทางห้าทุ่มวันศุกร์ ถึงก็ประมาณตี 5 แวะพักตามปั๊มรายทางกันบ้าง กว่าจะถึงที่พักก็พระอาทิตย์ขึ้นพอดี มีเวลานอนครึ่งวันเช้าก่อนบ่าย ๆ ลงเล่นทะเล แล้วตามด้วยหอบอุปกรณ์ไปตลาดโต้รุ่ง วาดรูปขายให้นักท่องเที่ยว แต่วันนี้เมื่อออกเดินทางเที่ยงวัน สิ่งที่ทำร้ายผมกับมันคือแดดจ้า ๆ ของพระอาทิตย์เมืองไทยต่างหาก
ผมสวมเสื้อยืดของเฟย ตัวที่คอย้วยน้อยที่สุด เลอะสีน้อยที่สุดกับกางเกงเลของมันเช่นเดียวกัน โชคดีที่มินิมาร์ทใต้คอนโดมีขายชั้นในเลยไม่ต้องรบกวนมันมาก ต่อให้สมัยเรียนเคยใช้ร่วมกันบ่อยแต่มาถึงตอนนี้ก็อดกระดากไม่ได้ สวมคลุมทับด้วยสเวตเตอร์หนังกันแดดสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นอะไรที่โคตรของโคตรไม่เข้ากันเลย อย่าบอกใครเชียวว่าจบมาทางสายนี้ ไม่อย่างนั้นความน่าเชื่อถือของวิชาชีพจะถูกมองติดลบอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนคุณมิ่งฟ้าก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่มันสวมเสื้อกล้ามสกรีนลายกระทิงแดงตัวละ 200 บาท กับกางเกงขาสั้นประมาณเข่า กับหมวกกันน็อก ไม่มีชุดคลุม ไม่ทากันแดด และนั่นตอบคำถามผมแทบจะในทันทีว่าทำไมผิวที่เคยขาวจัดมันถึงดูคล้ำลงทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วมันเป็นพวกโดนแดดแล้วจะผิวลอก ตัวแดงเฉย ๆ เท่านั้น
“แวะเติมน้ำมันนะ”
คนขับรถเอี้ยวตัวกลับมาพูด เสียงมันอู้อี้เพราะหัวอยู่ในหมวกกันน็อก ผมพยักหน้าตอบก่อนกระชับแขนที่โอบมันไว้ให้แน่นขึ้นเมื่อถึงทางเลี้ยว รถมอเตอร์ไซค์สี่สูบ สองร้อยแรงม้าสีแดงสดขับที่ความเร็วไม่ต่ำกว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาตลอดทางทำให้เราใกล้ถึงที่หมายเร็วกว่าปกติ ผมเห็นทะเลอยู่ไกล ๆ เป็นทะเลที่ผมถูกพามาหลอกฟัน จะพูดแบบนั้นก็คงไม่ผิด ช่วงปิดเทอมปีหนึ่ง แสงดาว สายลม เสียงคลื่นและเบียร์
“มันจะเวิร์กเหรอวะ”ผมเปิดกระป๋องเบียร์ ยกขึ้นดื่มอึก ๆ อยู่ริมชายหาด เจ้าของเบียร์ทั้งถุงนั้นไหวไหล่ก่อนทำตามในแบบเดียวกัน “มึงกลัวอะไร”
“ไม่รู้สิ มันแปลก ๆ ปกติก็วาดแค่ที่ตลาดรถไฟคนยังไม่ค่อยเยอะเลย แล้วนี่โผล่มาถึงหัวหิน”
“นักท่องเที่ยวเขาชอบ” ไอ้เฟยอายุ 19 ปีพูดด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอนตัวใช้แขนเท้ากับเม็ดทรายละเอียด “เวิร์กไม่เวิร์กพรุ่งนี้ก็รู้”
“มึงมาขำ ๆ ไง แต่กูไม่ใช่...กูต้องใช้เงิน”
“เอาไปทำอะไรนักหนา ที่บอกว่าแม่ป่วยยังไม่หายอีกเหรอ”
“ยัง” ไม่ใช่โรคที่จะหายในวันสองวัน แถมยังต้องใช้เงินเยอะอีกต่างหาก “ช่วงนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้ก็จริง แต่อยากเก็บไปเรื่อย ๆ”
“งกเข้าเส้นเลือดแล้ว ตี่ตี๋”
“มึงนี่ก็ชอบเรียกกูว่าตี่ตี๋จัง”
มันเรียกผมด้วยชื่อนี้ตั้งแต่วันเปิดเทอม ไม่ตี่ตี๋ก็ตี๋ เรียกกันจนที่คณะลืมชื่อเล่นจริง ๆ ผมไปแล้ว จริง ๆ ผมก็ไม่ได้ตี๋มากนะ เป็นผู้ชายผิวขาว ตัวเล็ก ตาเป็นตาสองชั้นหลบใน ไม่ใช่ว่าอาตี๋แผ่นดินใหญ่แบบคนเรียก “ตี่ตี๋แปลว่าน้องชาย”
“กูเหมือนน้องชายมึงนักหรือไงไอ้สัตว์”
“ไม่เหมือน ไม่อยากให้เหมือนด้วย”
ชายหนุ่มผมยาวประบ่าพูดยิ้ม ๆ ยังเงยหน้ามองท้องฟ้าทั้ง ๆ ที่ประโยคนั้นมันช่าง...ทำให้ผมใจสั่น
ผมรู้สึกมาสักพักแล้ว ว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับอีกฝ่ายมัน ค่อนข้างแปลก ไม่รู้สิ...อธิบายยังไงดี แต่มันไม่ใช่ไปในทิศทางของเพื่อนผู้ชายสักเท่าไร
“แล้วอยากให้เป็นอะไรล่ะ” ถามพลางกลั้นหายใจ ยกเบียร์ขึ้นดื่มแก้เก้อ แต่ก่อนจะตอบใด ๆ ก็ตาม เสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัยของอีกฝ่ายก็ลอยมา เป็นเสียงหัวเราะแบบเย้าแหย่อยู่ในทีซึ่งนั่นกำลังทำให้ผมหน้าร้อนฉ่า “หัวเราะอะไร”
“มึงรู้ว่ากูอยากให้มึงเป็นอะไร”
ผมเงียบ...ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “มึงรู้ตัวมานานแค่ไหนแล้วว่าเป็นแบบนั้น”
“แบบนั้น? เกย์น่ะเหรอ นานแล้ว”
“แต่กูยังเห็นมึงดูหนังโป๊ชายหญิง”
“กูดูหนังโป๊ชายชายมึงก็หอบข้าวหอบของหนีกูไปแล้วสิ” เวรเอ๊ย นี่เป็นแผนการมันมาตลอดเลยใช่ไหม ผมทำหน้ามุ่ย ยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้ง “แต่ผู้ชายที่กูใช้เวลาจีบนานที่สุดคือมึงเลยนะ”
“กูต้องภูมิใจไหม”
“แหง” มิ่งฟ้าพูดกลั้วหัวเราะก่อนจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ควันสีขาวจางไปเมื่อลมพาคลื่นทะเลพัดเข้าหาฝั่ง
“มึงเคยนอนกับผู้ชายไหมวะ”
“ครั้งแรกตอนมอ1”
“ไวไฟ” ผมบ่นพลางรับบุหรี่จากมันมาสูบ เรื่องขึ้นครูนี่เพิ่งเคยลองตอนมอ5 เพื่อน ๆ ในห้องพากันไปตีหม้อในเมือง แต่ก็เริ่มกับผู้หญิงนะครับ ไม่เคยรู้สึกว่าเพศชายเป็นเพศที่ดูเซ็กซี่แต่อย่างใด “มันโอเคเหรอวะ กูหมายถึง...อย่างที่กู...เอ่อ...เคยจูบกับมึง ก็เพราะมึงสวย...นึกออกไหม คือ...ผู้ชายคนอื่น...”
“มึงคิดว่ากูชอบถึก ๆ ล่ำ ๆ เหรอ”
“อ้าว...ก็เห็นพี่เก่งจีบมึง”
“ไอ้เหี้ย มึงเห็นกูเล่นกับมันหรือไงล่ะ” ก็ไม่ได้เล่นด้วยหรอก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจ เขามาคุยด้วยมันยังยิ้มแฉ่ง ตาหวานรับอยู่เลย “แล้วสเป๊กมึงนี่ยังไง”
ผมถามพลางพ่นควันบุหรี่ปุ๋ย ๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม เห็นดาวชัดสว่างโร่ไปหมด รู้ตัวอีกทีก็เมื่อแขนทั้งสองข้างถูกสัมผัส ไอ้เฟยลุกขึ้นมานั่งซ้อนท้ายผมจากด้านหลัง
“แบบมึงไง”
ผมเผลอทำบุหรี่หล่นพื้นเมื่อคางแหลมยื่นมาเกยบนบ่า หันหน้าไปอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายรุกล้ำอาณาเขตอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากได้รูปกดลงมาแล้วใช้ปลายลิ้นเกลี่ยให้ผมเผยอออก กลิ่นของเบียร์ที่ตีกันคลุ้งอยู่ในริมฝีปาก หวานซาบซ่าจากปลายลิ้นสู่ปลายลิ้น
เฟยเป็นคนจูบเก่ง และจูบของมันก็ชวนผมเคลิบเคลิ้มได้เสมอ ๆ
“ตี๋...”
ผมปรือตาเปิดขึ้น มองกรอบตาไล่ลงมายังสันจมูกและริมฝีปากที่แดงช้ำของอีกฝ่าย ใบหน้าสวยคมดูดุดันเมื่ออารมณ์พวยพุ่งขึ้นด้วยบรรยากาศและรสจูบ “คืนนี้กูขอนะ...”
“ถามว่าจะเอาอะไร”ผมสะดุ้งเมื่อเบียร์เย็น ๆ แนบลงข้างแก้ม มองของในตะกร้าที่ซื้อมาแล้วก็เงยหน้าขึ้นจ้องตู้ใส่เครื่องดื่มในมินิมาร์ทต่อ “ไฮเนเก้น อาซาฮี สิงห์ ลีโอ ช้าง”
“ลีโอแล้วกัน”
ผมตอบพลางเปิดตู้เย็นหยิบออกมาทันที ส่วนคนที่อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้พูดอะไร ถือตะกร้าให้ผมนิ่ง ๆ แล้วยกไปจ่ายเงิน ผมหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนค่าใช้จ่ายตรงนี้ให้มันออกหมดไม่ใช่เพราะมันรวย แต่เพราะผมไม่มี มาถึงตอนนี้พอมีใช้บ้างก็ไม่อยากเอาเปรียบ
“เก็บไปเลย” เฟยพูดดัก เอามือปัดแบงค์พันของผมออกแล้วยื่นให้พนักงานคิดเงิน ผมพยายามแย่งมันจ่ายแต่สายตาคมก็จ้องมองมาจนต้องเก็บแบงค์ใหญ่ใส่กระเป๋าในที่สุด
“เดี๋ยวกูออกค่าโรงแรม”
“ไม่ต้อง กูชวนมึงมาเอง”
“งั้นก็แยกห้อง”
ผมพูดเสียงแข็ง แต่ชายหนุ่มผิวขาวกร้านแดดกลับยิ้มเจ้าเล่ห์และนั่นทำให้ผมรู้สึกตัวว่าเผลอพูดไปในทำนองที่ว่าจะนอนห้องเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว เฟยไหวไหล่ ยื่นถุงของกินเล่นให้ผมอุ้มขณะที่ตัวเองไปไขรถมอเตอร์ไซค์ “งั้นนอนห้องเดิมนะ ไม่แพงเท่าไร”
ห้องเดิมที่ว่า แม่งหมายถึงห้องริมหน้าต่าง เตียงเดียวและนั่นเป็นสาเหตุให้มันยิ้มตาเป็นประกาย ผมทุบหลังมันดังอึกแต่เจ้าตัวกลับผิวปากอารมณ์ดี ผมปีนขึ้นไปนั่งบนรถหลังจากมัน อีกประมาณ นาทีน่าจะถึงที่พัก ไม่ได้โทรจองล่วงหน้า แต่นี่มันวันเสาร์กลางเดือนคนไม่น่าจะมากเท่าไร
“บอกไว้ก่อน กูไม่ให้มึงทำหรอกนะ”
“มึงนี่คิดเกินกูไปหนึ่งสเตปอีกนะ”
“ไม่ได้คิดเกินสเตปโว้ย” เขาเรียกว่ารู้สันดาน รู้ไส้รู้พุงหมดต่างหากถึงได้ดักคอเอาไว้แบบนี้ ไอ้เฟยหันมากลัดตัวล็อกของหมวกกันน็อกให้ผมก่อนสวมของตัวเองแต่ก็ยังไม่ออกรถมันยิ้มผ่านตาทะลุช่องว่างเล็ก ๆ ที่เป็นกระจกหมวกนิรภัยแล้วโยกหัวผมไปมา
“เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเป็นคนคิดมากแบบนี้ มึงเป็นอะไร เห็นเหม่อบ่อย ๆ”
“ก็คิด...” ผมเงียบไปพักหนึ่งแต่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบ “มึงแน่ใจแล้วเหรอวะที่ทำแบบนี้...มึงไม่โกรธกูหรือไง มึงไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมตอนนั้นกูถึงหนีมึงไป ถ้ามึงรู้เหตุผลขึ้นมามึงจะรับไหวเหรอ เฟย...กูว่า...”
“ก่อนหน้านี้กูคิดมาตลอดว่าถ้าเจอมึงอีกครั้งกูจะฆ่ามึง หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วให้ปลาโลมาแดก”
“โลมาเนี่ยนะ” ผมทำหน้าแหยง นึกถึงหน้าตาไร้เดียงสากับกิตติศัพท์ที่เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วขนลุกขนพอง
“แต่พอเจอเข้าจริง ๆ กูเสือกอยากมีมึงข้างๆ เหมือนเมื่อก่อนมากกว่า”
“กูควรไว้ใจคนที่คิดจะฆ่ากูแล้วโยนศพให้โลมาเหรอวะ บอกกูมาว่ามึงมีแผนอะไรกันแน่”
“บอกก็ไม่เรียกว่าแผนสิไอ้ทึ่ม” ผมถูกดัดมะเหงกผ่านหมวก ได้ยินเสียงป๊อกเบา ๆ จากด้านนอก ตัวเองไม่เจ็บหรอก แต่นิ้วคนดีดนั่นไม่รู้เป็นยังไง “เอาเป็นว่ากูจะทิ้งทิฐิทั้งหมดอย่างที่ชอบทำ กูไม่ใช่พวกยึดติดอะไรอยู่แล้ว มึงก็รู้ กูอยากทำอะไรก็ทำ อยากคุยก็คุย อยากเฟลิตก็เฟลิต ให้กูเครียดเรื่องอากงจับกูยัดเข้าบริษัทเรื่องเดียวก็พอแล้วมั้ง ต้องมาทะเลาะกับความรู้สึกของตัวเองอีกเหรอ”
มันเป็นบรรยากาศที่แย่มาก กลิ่นของน้ำมันลอยตลบ ผมนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่โดยมีมันเอี้ยวตัวมาคุยด้วย เสียงเครื่องยนต์ทำงาน แต่กลับดูทำน้อยกว่าหัวใจของผมตอนนี้
“กูยังรักมึงอยู่ ที่เหลือก็อยู่ที่มึง...ยังไม่ต้องรีบตอบกูก็ได้ว่ารู้สึกยังไง แค่บอกว่าจะให้โอกาสกูไหม”
“กู...”
ผมตอบไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้โอกาสแต่ไม่รู้ว่าถ้ามันรู้ความผิดที่ผมเคยทำ จะกล้าบอกว่าไม่เป็นไรเหมือนตอนนี้หรือเปล่า ครั้นจะสารภาพบาปออกไปก็ไม่กล้า บอกตรง ๆ เลยว่ากลัว แค่มันหมดรักผมก็คงเจ็บจนทนไม่ได้แล้ว ถ้าถึงขั้นต้องเกลียดกันขึ้นมา
“ที่จริง กูว่ากูได้คำตอบแล้วนะ”
มิ่งฟ้าพูดยิ้ม ๆ ก่อนหันหน้ากลับไป ผมยังคงบดริมฝีปากเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถูกดึงมือไปให้โอบเอวมันเอาไว้
“แค่มึงตกลงมาด้วยวันนี้ก็พอแล้วตี๋”
ผมแนบหน้าไปกับแผ่นหลังของมัน กระชับแขนกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ เฟยมันรู้จุดอ่อนผม แน่นอน มันรู้ใจผมเสียดียิ่งกว่าผมรู้ใจตัวเองเสียอีก
เสียงกระป๋องเบียร์เปิดดังแป๊ก ก่อนจะมีฟองเอ่อขึ้นมาเล็กน้อยบนปากกระป๋องจนต้องรีบยกเครื่องดื่มขึ้นกรอกปากเฟยแวะซื้อกล่องโฟมใบเล็ก ๆ สำหรับใส่น้ำแข็งแช่เครื่องดื่ม ใช้รองเท้ารองก้นแล้วนั่งมันลงบนผืนทรายง่าย ๆ เส้นผมสีดำยาวถูกรวบไว้หลวม ๆ ปลิวไปทางด้านหลัง ขณะที่ผมหน้าม้าของผมพัดเปิดขึ้นจนเห็นหน้าผากกว้างดั่งรันเวย์ พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน แต่คาดว่าอีกคงไม่นานเท่าไรนัก
“ช่วงนี้มึงไมได้คบใครเหรอวะ”
ผมถามลอย ๆ แต่โดยบริบทแล้วอีกฝ่ายย่อมรู้ดีว่าผมกำลังคุยกับใคร มันส่ายหน้าไปมาแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่ม “เลิกกับมึงไปก็คบจริง ๆ จัง ๆ ไม่กี่คน เจอแต่คนไม่ใช่”
“เจอคนที่ไม่ใช่หรือไม่อยากจะหยุดที่เขากันแน่” ผมแค่นหัวเราะ แซวมันตามสันดานเก่า “ไม่รู้ว่ะ มันคบแล้วมันไม่หายเหงา”
“เหงาหรือขี้เงี่ยน มักมาก ไม่รู้จักพอ”
“มาเป็นชุด หยาบคายอีกต่างหาก” เฟยพูดพลางผลักหัวผมจนจมูกจิ้มกับกระป๋อง สักพักก็หัวเราะขึ้นมา “กลับไปจีบไอ้ยูด้วย”
“ยูไหน?” เลิกคิ้วถาม อย่าบอกนะว่าน้องยู ที่เข้าปี 1 หน้าตาเซื่อง ๆ ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น ๆ เอาจริง มีช่วงหนึ่งน้องมันมาก้อร่อก้อติกผมเหมือนกันนะ หมายถึงลับหลังไอ้เฟย ลับแบบลับสุดยอด “ยู ที่ตัวสูง ๆ หน่อย หุ่นอวบนิด ๆ ปะวะ”
“เดี๋ยวนี้ผอมลงกว่าตอนปี 1 แล้ว”
“มีกล้ามปะ”
“นิดหน่อย นี่มึงถามถึงมันทำไม”
“อ้าว ก็มึงเล่าเอง” คนขี้หึงทำท่าหงุดหงิดขึ้นมา อะไรวะ ตัวเองพูดก่อนแท้ ๆ แถมยังเป็นฝ่ายไปจีบน้องมันก่อนด้วย “น้องมันเป็นรุกไม่ใช่เหรอ”
“ตอนนี้มีผัวไปแล้ว ผัวเด็กด้วย โคตรเซ็ง กูโคตรเฟล ใครจะไปคิดว่าแพ้เด็ก”
“เสียดายว่ะ” เอาจริง ๆ น้องมันน่ารักนะ หมายถึงนิสัย เวลาอยู่ใกล้ ๆ แล้วชอบเทคแคร์คนอื่นเป็นเจ้าหญิง ท่าทางไม่ได้เจ้าชู้อะไรด้วย ไม่เหมือนกับไอ้คนข้าง ๆ ผมนี่ “แฟนน้องมันเป็นไงวะ”
“เป็นผู้ชายงี่เง่า ขี้หึง อวดรวย หน้าตาก็งั้น ๆ”
“งั้น ๆ?” ถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ สีหน้าไอ้เฟยบ่งบอกถึงความหมั่นไส้ออกมาชัดเจน สักพักมันก็ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มต่อก่อนสารภาพ “เออ หล่อ เป็นเดือนเศรษฐศาสตร์ ถามทำไม มึงสนใจหรือไง”
“จะสนได้ยังไงล่ะวะ ไม่เคยเจอหน้ากันสักหน่อย” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ไอ้เวรนี่ก็ปัญญาอ่อนจริง “ถ้าเป็นน้องยูล่ะว่าไปอย่าง” ไอ้เฟยแยกเขี้ยวใส่ผมแล้วโน้มตัวลงมาจูบ กลิ่นเบียร์หวาน ๆ ติดปลายลิ้น ก่อนจะเจ็บนิด ๆ เพราะฟันเรียงขาวของมันกัดริมฝีปากผมไปด้วย
“อย่าแม้แต่จะคิด”
ผมยิ้ม รู้สึกอุ่นในอกเวลาที่มันทำท่าหึงออกมาแบบเปิดเผย ที่จริงแล้วผมจะเห็นมันเป็นแบบนี้เฉพาะตอนที่อยู่กันสองคนเท่านั้น ถ้าเป็นที่สาธารณะมักจะตีหน้านิ่งบอกว่าไม่พอใจเสียมากกว่า ไม่อย่างนั้นก็เรื่องพูดกระทบกระเทียบนี่งานถนัด แต่ไม่บ่อยนัก ส่วนหนึ่งอาจเพราะนิสัยเดิมมันเป็นคนไม่ค่อยเครียดเลยไม่ชอบสร้างสภาวะกดดันให้ตัวเองเท่าไร แต่ถ้าโมโหทีไรก็เอาเรื่องไม่ใช่น้อย
“ทีมึงยังไปจีบน้องมันเลย”
“ก็แหย่เล่น เห็นว่ามันชอบกูมาตั้งนาน”
“หลงตัวเอง” พูดพลางหัวเราะในลำคอ ไอ้เฟยเองก็ยิ้ม “หรือมึงดูไม่ออกว่าน้องมันชอบกู?”
“ก็พอจะรู้” เคยอาละวาดตอนไอ้เฟยไปหลีน้องยูครั้งหนึ่ง แต่พอรู้ว่าทางนั้นเป็นรุกก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ไอ้เฟยเองก็ไม่ค่อยไปวอแวให้เห็นด้วย “น้องมันตาบอดชั่วขณะ ตอนที่ชอบมึง”
“ทุกวันนี้มันก็ชอบ”
“แล้วทำไมมึงแพ้ไอ้เด็กนั่น”
“กูไม่เอาจริงต่างหาก” เจ้าของใบหน้าสวยไหวไหล่ด้วยท่าทีสบาย ๆ จนน่าหมั่นไส้ก่อนยกเบียร์ขึ้นดื่มแล้วถาม “มึงล่ะ ที่ผ่านมาเป็นไง ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ กูไม่ใช่คนขี้เสือก”
“อ้อเหรอ งั้นไม่เล่า”
“เฮ้ย เล่าดิ ๆ เออ กูมันขี้เสือกเอง พอใจยัง” ผมหัวเราะอีกครั้งกับหน้ากระเง้ากระงอดของมัน ไอ้เฟยเอาข้อศอกมาเขี่ยเบา ๆ มองผมตาเยิ้ม แก้มขาวมีรอยบุ๋มลงไปนิด ๆ เมื่อมันกดริมฝีปากลงไปในองศาที่น่ามอง ผมทำลอยหน้าลอยตาอยู่พักใหญ่ก่อนคนข้าง ๆ จะเอาศอกมากระทุ้งซ้ำ
“อย่าลีลา เดี๋ยวจะโดน”
“ฮ่า ๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก หลังแม่เสียก็ทำตัวสำมะเรเทเมาไปช่วงหนึ่ง”
“แม่มึง...”
“นานแล้วแหละ” ผมพูดยิ้ม ๆ นึกถึงตัวเองช่วงนั้นที่เกกมะเหรกเกเร “ก็...ทั้งเหล้า ทั้งยา ทั้งเซ็กซ์...ไม่ค่อยมีอะไรน่าจำหรอก”
“ช่วงใจแตก ว่างั้น”
ผมพยักหน้า ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม “สิ่งที่มีค่าที่สุดของกูหายไปทีละอย่างสองอย่าง ทำใจไม่ได้ ไม่อยากแม้แต่จะมีชีวิตอยู่ต่อ มันเหมือนไม่เหลือใคร ไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ทำไม แต่ดันรับปากแม่ไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่าตัวตาย”
"กูดีใจนะที่มึงสัญญากับแม่อย่างนั้น"
"มันแย่จนมึงนึกไม่ออกเลยแหละว่ากูผ่านช่วงนั้นมาได้ยังไง เลิกกับแฟน แม่ตาย เงินก้อนสุดท้ายใช้ไปกับการผ่าตัด สุดท้ายต้องขายบ้านที่อยู่มาชั่วชีวิตเอาเงินมาต่ออนาคตตัวเอง"
"แล้วเอาเงินที่ไหนไปลองยา"
"เงินที่นอนกับคนอื่น บางทีก็เจอคนใจดีแบ่งเศษเงินให้"
เกิดความเงียบขึ้นชั่วคราวระหว่างผมกับมัน หัวใจที่บิดเป็นเกลียวคล้ายคลื่นที่ม้วนตัวจนมวนท้อง ผมสารภาพกึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด รอดูปฏิกิริยาของมันว่าจะรับได้มากน้อยแค่ไหน ปรายมองอีกฝ่ายด้วยหางตา ไม่กล้ามองมันเต็ม ๆ เพราะไม่อยากเห็นความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในตาคู่นั้น
ไอ้เฟยยกเบียร์ขึ้นดื่ม พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับพยายามจะกดสิ่งที่สะท้อนในอกลงให้ลึกสุดใจ“ทำไมไม่กลับมาหากู”
“อย่ารู้เลย รู้แค่กูไม่ใช่ผู้ชายใส ๆ แบบที่มึงจะหลอกอึ๊บได้เหมือนตอนนั้นแล้วก็พอ”
“กูดูออกหรอกน่า” ไอ้เฟยพูดพลางถอนหายใจ ทอดสายตามองไกลไปสุดขอบน้ำที่บรรจบกันกับขอบฟ้า “มองในแง่ดีมึงก็กลายเป็นคนที่ดูเซ็กซี่ขึ้นไง”
“ทำไม ตูดกูกลมขึ้นเหรอ”
“อันนี้ไม่รู้ว่ะ ไม่เคยลองเห็นแบบเน้น ๆ” ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเปิดเรื่อง แต่พอมันตบมุกก็ดันเขินเองเฉย หางตาที่มองล้อเป็นประกายวาววับจนผมต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีก่อน “ทะลึ่ง”
“มึงเริ่ม”
“พอเลย...” มันยิ้ม ยิ้มให้ผมแบบที่บอกว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่เป็นไร ผมคิดว่ามันน่าจะโมโหกว่านี้ แต่บางทีก็ประเมินผิดเพราะไม่ใช่แค่เวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ทั้งผมและมันช่วงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันต่างเติบโตกันขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กระนั้นเราต่างก็ยังคงทิ้งร่องรอยความเป็นตัวเราเองในสมัยก่อนไว้ให้พอจำได้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นยังไง
ไอ้เฟยเปิดเบียร์กระป๋องใหม่ พระอาทิตย์ค่อย ๆ จมไปในทะเลสีฟ้าคราม เมฆสีส้มอ่อนแสงลงเรื่อย ๆ และเปลี่ยนมาเป็นสีหม่น ๆ ของช่วงใกล้ค่ำ ที่จริงแล้วตั้งใจจะมาเดินตลาดโต้รุ่ง หาที่นั่งว่าง ๆ กางอุปกรณ์วาดภาพขายแต่ผมกลับชอบมากกว่าที่จะมานั่งใช้เวลาให้หมดไปเรื่อย ๆ กับมันตรงนี้
เหมือนเรากลับไปเป็นเด็กด้วยกันอีกครั้ง
“ถ้าหยุดเวลาไว้ตรงนี้ได้ก็ดีเนอะ ไม่อยากกลับกรุงเทพเลยว่ะ มีแต่เรื่องน่าเบื่อ”
“เช่น...”
“กลับไปเป็นคุณมิ่งฟ้าขี้เก๊กนั่นไงล่ะ อึดอัดฉิบหาย ใครเป็นต้นคิดว่าเป็นหัวหน้าแล้วต้องแต่งตัวดีวะ โคตรน่ารำคาญ”
“กูว่าแล้ว” ไม่ผิดจากที่ผมคิดสักเท่าไรเลย ไอ้คุณมิ่งฟ้าที่เจอ ๆ นั่นมันตัวปลอม “แล้วผมมึงอากงไม่สั่งให้ตัดเหรอ”
“สั่ง แต่วันแรกที่ไปทำงานตัดไม่ทัน”
“แล้ว...?”
“ก็มาเจอมึง เลยคิดว่ารอให้มึงตัดดีกว่า”
“มั่นใจว่ากูจะตัดผมให้มึงขนาดนั้นเชียว” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจับมันตัดผมบ่อยมากครับ ไอ้บ้านี่ขี้เกียจเข้าร้านตัดผม ปล่อยผมจนยาวกระเซอะกระเซิง สุดท้ายเลยต้องจับมานั่งนิ่ง ๆ บนโซฟาแล้วจัดการแม่งเลย แรก ๆ มีแหว่งบ้างตามประสาคนไม่เคย หลัง ๆ ไม่รู้ดีขึ้นหรือชินตาเลยไม่รู้สึกตลกแล้ว
“กูอาจจะตัดหัวมึงไปเลยก็ได้นะเฟย”
“มึงไม่ทำหรอก” ไอ้เฟยพูดยิ้ม ๆ “มึงรักกูออกจะขนาดนี้”
เจ้าของใบหน้ารูปไข่หันหน้ามาหาผม หยอดยิ้มหวานเยิ้มแบบที่ชวนฝันและนั่นทำให้ผมไม่กล้าเถียงมันอีก ไอ้คนหลงตัวเอง...ถึงในใจจะด่ามันอย่างนั้น แต่ผมกลับเงียบเสียงไปปล่อยให้ ทะเลและคลื่นคอยขับกล่อมเราทั้งสองคน
โอเคว่ะ ผมรักมันจริง ๆ แต่ไม่บอกมันหรอก เดี๋ยวจะเหลิง ผมมองฝูงนกที่บินกลับรังในคอนค่ำ มองแสงสีตามทางเดินที่จุดขึ้นมาให้ความสว่าง สีเหลืองนวลยามราตรี เอนคอไปซบไหล่กว้างเบา ๆ อย่างคนละเมอ
ถ้าหยุดเวลาไว้ตรงนี้ได้จริง ๆ ก็คงดี
TBC
อยากหยุดเวลาไม่ให้วันจันทร์มาถึงจังเลยค่ะ /กรีดร้อง ชีวิตมนุษย์เงินเดือนผู้แสนจะสิ้นหวัง โฮรววว ช่วงทำงานแล้วยุ่งมากๆเลย แต่ละตอนอาจจะไม่ยาวเท่าเหมือนตอนเขียนคำประกาศฯนะคะ สถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้วค่ะ หันหน้าคุยกันแล้ว เย้
พี่เฟยจะหลอกอึ๊บพี่ตี๋ได้หรือเปล่า เดี๋ยวตอนหน้าน่าจะได้รู้ แฮ่
ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ 