ตอนที่ 4“เจ้าหนู” ชายร่างใหญ่เอ่ยนิ่มๆ เดินเข้ามาหา “พอดีเลย..ข้ากำลังหาเด็กอยู่พอดี”
…
อ้ะ…
พอเขาเอ่ยปาก และเข้ามาใกล้ มันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด
ชายผู้นั้น ไม่ใช่ท่านเซอซัส แต่เขาก็เหมือนท่านเซอซัสมากจนทำให้หัวใจผมเต้นระส่ำ
ผมจ้องหน้าเขา ตกใจจนขยับร่างกายไม่ได้
ใบหน้าแบบเดียวกับท่านเซอซัส แต่แก่กว่า อยู่ในวัยกลางคน ทรงผมก็ไม่เหมือนกัน ของท่านเป็นผมสั้นหยิก และไว้หนวดสีดำหนาคลุมใบหน้ารอบๆ แต่มีดวงตาแบบเดียวกัน
“ขอวานอะไรเจ้าหน่อยสิ เจ้าอ่านหนังสือออกไหม?” เขาถามผมอย่างอ่อนโยน
ผมพยักหน้า… อย่าบอกนะ ว่า ชายคนนี้คือ…
กษัตริย์ไซรัส
“อ่า…เอ่อะ- -อ่านออกฮะ” ผมติดๆขัดๆ
“ไม่ต้องกลัว ตามข้ามาเถอะ เจ้าหนู” ท่านกล่าว นำทางผมเข้าไปในห้อง ผมเดินตามช้าๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไรฮะ
ห้องนี้สว่างด้วยแสงเทียนนับร้อย หากแต่มีหญิงชราผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอขาวซีด…แต่พอเธอเห็นชายผู้นั้น รอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฎ
“ข้าหาเด็กมาอ่านบทสวดให้เจ้าได้แล้ว” ชายกลางคนผู้นั้นบอก
“หามิได้- -เพคะ… กระหม่อมฉันไม่สมควรให้ฝ่าบาทมา- -” หญิงชราพยายามจะพูดในคออันแหบแห้ง ผมสังเกตุเห็นถ้วยยามากมาย วางอยู่รอบๆ…
เธอกำลังจะตายหรอ??
“หยุดพูดเถิด …เจ้าเป็นช่างทอผ้าของข้าสมัยเด็ก…ยามที่เจ้าจะลาไปอยู่ในสวนสวรรค์แห่งมาซดะ ข้าจะเป็นผู้ส่งเจ้าเอง”
“เพคะ ฝ่าบาทไซรัส” หญิงชรายิ้มดีใจ
ผมตาพอง ใช่..ใช่จริงๆด้วย ชายผู้นี้คือพ่อของท่านไซรัส ไม่อยากเชื่อเลย ผมได้เห็นใบหน้าของท่านแล้ว! ผมพบท่านแล้ว!
ผมแอบจ้องหน้าท่าน… นี้คือ ไซรัสผู้ยิ่งใหญ่ ผมสังเกตุเห็นรอยเหี่ยวย่น รอยแผลสงคราม แต่แววตาสงบนิ่ง นิ่งยิ่งกว่าดวงดาวเสียอีก …ผู้นำต้องมีใบหน้าแบบนี้กระมัง
“มา..เจ้าหนู” ฝ่าบาทผายมือให้ผมกระเถิบชิดขอบเตียง
“นั่งตรงที่ข้านี่ แล้วอ่านบทสวดนี้นะ…” ท่านยื่นแผ่นกระดาษสีน้ำตาลเก่าๆให้
“ได้ฮะ” ผมรับมาท่าทางแตกตื่น “เอ้ย! พะยะค่ะ”
“ไม่เป็นไร” ท่านยิ้มหรี่ตา… เหมือนท่านเซอซัสเลยฮะ แงๆๆ เมื่อไหร่ผมจะได้เจอเขานะ
แต่แล้ว ผมก็ตั้งสติฮะ …ก้มลงอ่านขมักเขม้น เสียงผมก้องไปมาในห้องนั้น นี้เป็นกลอนบทสวด เกี่ยวกับเทพเจ้าฮะ เทพเจ้าแห่งความดี…ส่งพรความสุขให้กับทุกๆคนในโลก หญิงชรานอนหลับตาฟังอย่างตั้งใจ แต่ระหว่างที่ผมอ่านในห้อง อันเต็มไปด้วยเทียนนั้น บางอย่างในจิตใจผมก็สงบ…
กลอนนี้บอกว่า เทพเจ้าประทาน ความสุขเป็นแสงมาให้ เพราะโลกนี้มีสีดำมากมาย… เทพบอกว่า ให้นำแสงนั้น เข้าสู่หัวใจตนเองให้ได้ และเราจึงจะได้เป็นสหายของพระองค์ ผมไม่เข้าใจหรอกฮะ แต่ก็เหมือนจะเข้าใจอยู่…เป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ
เหมือนว่าเสียงเด็กเล็กๆของผมมันทำให้หญิงชราผ่อนคลาย ดีใจจังฮะ
กษัตริย์ไซรัสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สายตาคมกริบจ้องมองเธอ…ไม่ไหวติง และ ไม่มีแววสั่นคลอนใดๆ ยามที่ท่านลุกขึ้นมาจับข้อมือของหญิงชรา
หลังจากผมอ่านบทสวดเสร็จ เธอก็ยิ้มให้ท่าน เอ่ยคำพูดเบาๆ “ขอให้ความฝันของพระองค์เป็นจริง”
หลังจากนั้น ผมได้ยินเสียงเธอผ่อนลมหายใจยาว…. แล้วเธอก็หลับตาลงมิด
…….
“…เธอ…จากไปแล้วใช่ไหมฮะ?” ผมเผลอถามออกไป ฝ่าบาทไซรัสมองหน้า
“ใช่” ท่านตอบ “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า พวกพระจะมาพาร่างเธอไปเอง…ข้าต้องการลาเธอเป็นการส่วนตัว เจ้าไม่ต้องบอกใครในวังเรื่องนี้นะ เข้าใจไหม เจ้าหนู”
ผมพยักหน้ารัวๆ ก้มหัวให้ท่าน
ท่านดึงกระดาษออกจากมือผม เอ่ยชม “เจ้าทำดีมาก…เจ้าเป็นนักเรียนในวิหารหรือ?”
“ไม่ใช่ฮะ เอ้ย…เพคะ เอ้ย!!”
ผมหน้าแดงฉ่า ก็ชินที่ได้ยินเมยาพูด ‘เพคะ’ นี่หน่า ปกติผู้ชายเขาใช้ว่าอะไรนะ…. ???? ฮือ
แต่ ท่านกลับขบขัน
“เจ้าไม่ใช่คนเปอร์เซียใช่ไหม…เจ้าไม่ได้รับใช้ในวังด้วย ราชาศัพท์ก็พูดไม่เป็น”
ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่า เคยอยู่ในวังบาบิโลนฮะ แต่นึกได้ก่อน ว่า จะบ้าหรอ!!พวกเขาเป็นศัตรูกัน
“อ๋อ…อาา ไม่ใช่ขอรับ เอ้ย!! พะยะค่ะ ฝ่าบาท- -ผม- -อ้ะ ขอโทษฮะ ..เอ้ย ขอพระจัย พระ- - อา…” ผมลนลาน ก้มหน้างุดให้กับความงี่เง่าของตัวเอง
ชายกลางคนหัวเราะในลำคอต่ำๆ “ช่างมันเถอะ ตอบข้ามาว่า เจ้าเป็นคนชาติอะไร”
“ผมเป็นยิว”
“หือ เจ้าเป็นยิวรึ? ยิวในเปอร์ซีโพลิส …แปลกมาก…แปลกจริงๆ” ท่านลูบแผงหนวดหนานั้น กลอกตาคิด
“เป็นยิว หน้าคม ตาโต แต่กลับมีผมทองสว่างแบบชาวกรีก…ไม่ได้ทำงานในวัง แต่อยู่ในเปอร์ซีโพลิส …แถมอ่านหนังสือออกอีก…เป็นเด็กที่ประหลาดดีเสียจริง เจ้าเรียนเขียนอ่านมาจากที่ไหนรึ?”
“อา” ผมรีบตอบ ยิ้มแป้น “เรียนเองกับ ผู้เฒ่าที่ไร่ยูเทนส์ฮะ ฝ่าบาท”
ทันใดนั้นเอง สีหน้าของกษัตริย์ไซรัส ที่เดิมที่ยิ้มบางๆ ก็ชะงักกึก! ดวงตาท่านมีแววเอะใจ
หวา!!ผมพูดอะไรผิด
“ยูเทนส์…ไร่ข้าวไรย์…และผู้เฒ่าที่เคยทำงานในหอสมุดของวังรึเปล่า” ท่านเอ่ย
อ้าก! ผมรู้แล้วทำไม เพราะมันเป็นบ้านเก่าท่านเซอซัสน่ะสิ แน่นอนว่า ท่านไซรัสต้องงง ว่าผมไปอยู่นั่นได้ไง …แถมภารกิจไส้ศึกของ ท่านเซอซัสก็เป็นความลับขั้นสุดยอด ไม่มีใครรู้ว่า ท่านไซรัสมีลูกคนนี้ด้วยซ้ำไป
“เออ…ไม่ใช่ฮะ” สัญชาติญาณทำให้ผมโกหก
“ผู้เฒ่าของผมเองฮะ เราอยู่ท่าเรือใกล้ๆไร่ฮะ ไม่ใช่ในตัวไร่…แต่ผมเดินผ่านทุกวันแหละฮะ” ผมยิ้มกลบ กษัตริย์ไซรัสพยักหน้า แต่สายตายังครุ่นคิดอยู่ ท่านลุกขึ้นยืน พร้อมๆผมที่รีบลุกตาม
“กลับไปเถอะ เจ้าหนู เรียบร้อยแล้ว” ท่านกล่าว และกำลังจะเดินไปที่บันได
ผมยืนมองร่างใหญ่ยักษ์ของชายกลางคน …กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเปอร์เซีย เจ้าของผืนดินที่ผมยืนอยู่ - -บิดาของท่านเซอซัส…คนที่ผมรัก
อำนาจของแผ่นดินนี้ อยู่ในชายผู้นี้… ท่านกำลังจะเดินทางไปสงคราม ยึดบาบิโลนเป็นส่วนหนึ่งของเปอร์เซีย
อำนาจทั้งหมด… ความคิดอัดอยู่ในหัว จนทำให้ผมโพลงออกไป
“ฝ่าบาท!”
ท่านหยุดกึก
“ถ้าฝ่าบาท ช่วยกรุณา- -โปรดผม ผมเดินทางมาที่นี้ เพราะญาติของผมบาดเจ็บ… ต้องการได้รับการผ่าตัดขา แต่- -” ผมไม่รู้ว่าตัวเองสั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมลงไปคุกเข่ากับพื้น
“ขอความกรุณาฝ่าบาท - - ท่านออกกฎหมายให้คนเท่าเทียมกันใช่มั๊ยฮะ…อโดนิสผ่าตัดไม่ได้ เพราะว่าเป็นโจรสลัด แต่เขารับใช้ท่าน เป็นหนึ่งในกองทัพใต้ราช …เขานอนอยู่ชั้นล่างนี่เอง ได้โปรดให้เขาได้ผ่าในวังด้วยเถิดฮะ ฝ่าบาท” ผมหยีตา และก้มหน้าจนสุดระหว่างพูด
…เกิดความเงียบงัน ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้น
….
พบฝ่ามือแบอยู่
และ ใบหน้าของกษัตริย์ไซรัส กำลังยิ้มใต้หนวดหนา
“ลุกขึ้นมา - - แล้วนำทางข้าไป”
================================================
“อ้ากกกกกกกกก!!!!” อโดนิสเหงื่อไหลโชก พร้อมๆกับผมที่น้ำตาไหลโชก และคอยกดใหล่ของเขาไว้
“หายใจลึกๆฮะ โดส”
เขาย่นหน้าเกร็ง…กัดริมฝีปากจนเลือดซึม ผมรีบคว้าผ้ามาอุดให้โดสกัด
เราทั้งคู่หอบฮั่ก…
โดสจับมือผมไว้แน่น เรามองแต่หน้าของอีกฝ่ายเท่านั้น
การผ่าตัดขาที่ไกล้เน่าของโดส เป็นสิ่งที่สยดสยองที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น…แต่สักพักมันก็เสร็จลง
ผมนั่งมองเตียงที่โดสนอนพักอยู่ไกลๆ โล่งใจจนตัวเบาไปหมด…พี่โจมาร์เดินเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำ
“ขอบคุณฮะ พี่” พี่นั่งลงข้างๆ ส่งสายตาขำๆเชิงรู้กันให้ผม
ผมอมยิ้ม
…
ทุกคนช็อค ตอนที่กษัตริย์ไซรัส โผล่มาเคาะประตูห้องพร้อมกับผม
ทำให้ทั้งหอพยาบาลต้องวิ่งจุดไฟกันพล่าน ผมยืนขำพวกบริวารที่วิ่งกันให้วุ่น สมน้ำหน้า!!!
หมออ้วนใจดำผู้นั้น นั่งอยู่ที่มุมห้องด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่ท่านไซรัสเสด็จมาตรัสกับเขาเป็นการส่วนตัว….ทำให้หมอระดับเก่งๆที่สุด ต้องช่วยผ่าตัดอโดนิสถึงสามคนด้วยกัน เขาไม่ถูกตัดขาแล้ว ท่านไซรัสเสด็จกลับวังหลังจากรับสั่ง…
“เจ้านี้มันบ้าจริงๆ” พี่ส่ายหัว
“แต่ก็กล้าหาญมาก…ข้าจินตการทำอะไรแบบนั้นไม่ถูกเลย …เจ้ามัน- - สุดยอดไปเลย นากัล”
ผมหัวเราะออกมา “ฮะๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ” พี่ก็พาลหัวเราะลั่นหอพยาบาลไปด้วย ก่อนที่พี่จะเข้ามาสวมกอดผม
ผมกอดพี่แน่น ถอนหายใจฟู่ใส่อกแข็งๆ รู้สึกได้เองเลยว่าพี่โจมาร์รักผมมาก…
“ผมรักพี่นะฮะ” ผมบอก ใบหน้าหนุ่มใสฉีกยิ้ม
“ข้าก็รักเจ้า”
“เราเป็นพี่น้องกันนะฮะ” ผมหอมแก้มพี่เบาๆ
“แน่อยู่แล้ว แต่ถ้าพี่ไม่แต่งงานกับผู้หญิง แล้วท่านเซอซัสไม่กลับมา …พี่ก็จะเอาเรานะ เพราะเราทำอาหารอร่อย” พี่พูดหน้าตาย
“นี่!! พี่เห็นผมเป็นตัวอะไร …หนอย…ผมจะไม่ทำอะไรให้พี่กินแล้ว”
“พี่ล้อเล่นหน่า…โอ๋ ” พี่ขยี้หัวผม แถมดึงเข้าไปจั๊กจี้
เราหัวเราะกันอยู่อย่างนั้นจนไปนอน
………………..
“ก๊อกๆๆๆ”
“ฮื้มม” ผมงัวเงียตื่น เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอนเพราะโดส …ร่างกายผมปวดหนึบ ผมฝืนลุกขึ้นไปเปิดประตู
นายทหารชุดแดงท่าทางจืดชืดยืนอยู่
“กษัตริย์ไซรัสมหาราชรับสั่งให้เจ้าไปเข้าเฝ้า”
ผมหันไปเลิกคิ้วกับพี่โจมาร์ที่นอนคุ้ดคู้อยู่ พี่งัวเงีย แล้วปัดมือให้ผมออกไปเองคนเดียว พี่อะ!!
ผมก็ประหม่าน่ะสิฮะ เดินต้อยๆตามนายทหารคนนั้น …เราเดินมาสู่ลานกว้างใหญ่มากๆ หน้าพระราชวัง ผมเงยมองพระราชวังเปอร์ซีโพลิส ในแสงแดดอ่อนยามเช้า…
ไม่รู้ทำไม เปอร์เซียมีความน่าเกรงขาม ขึงขัง ยิ่งกว่าบาบิโลนหลายเท่านัก บาลิโลนโดดเด่นในความวิจิตร ละเอียด ธรรมชาติ แต่พระราชวังเปอร์เซีย จะดูแข็งๆ…เหมือนเกราะเหล็ก แต่ก็สวยเปล่งปลั่งเหมือนทอง
ผมเห็นขบวณม้า ซึ่งมีท่านไซรัสอยู่หัวขบวณไกลๆ ราวกำลังจะออกวังไปทำกิจ
นี่ ท่านหยุดขบวณเพื่อรอผมหรอ??
ท่านไซรัสอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่มาก พอผมเดินมาถึง ก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจิ๋ว…เมื่อเทียบกับความสูงตระหง่าน
ท่านไซรัสขยับร่างใหญ่เล็กน้อย และก้มลงยิ้มให้ผม “ญาติของเจ้า…หายดีแล้วใช่ไหม เจ้าหนู”
“หายดีแล้วฮะ…ผมขอบคุณพระคุณของท่านอย่างที่สุด อโดนิสได้ผ่าตัดเพราะท่านไซรัสเมตตา” ผมตอบซื่อๆ
“และเพราะเจ้ากล้าหาญมากเช่นกัน … ข้าเรียกเจ้ามาเพราะจะถาม ข้ายังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าเลย เจ้าชื่ออะไร”
“นากัลฮะ”
สายตาคมดุของท่านไซรัส นิ่งชะงักไปอีกครั้ง... เห?
ท่านมองผมหัวจรดเท้า พิจารณา…แล้วท่านก็หันไปส่งสัญญาณให้ทหาร ทันใดนั้น พวกเขาก็ถอยออกไปห่างๆ
กษัตรย์ไซรัสลงจากม้าใหญ่ ก่อนจะตรัสกับผมว่า
“เจ้าคือ นากัล…ที่เคยรับใช้ในวังบาบิโลนใช่หรือไม่? ”
ผมค้าง
…
ใบหน้าท่านไซรัสเหยียดยิ้มจนเห็นรอยย่น
“ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว…เพราะมีไม่มากนักหรอก เด็กที่มีลักษณะแบบเจ้า …ดูพิเศษ แปลกแยกกว่าคนอื่นๆ แบบที่เซอซัสบอกข้าไว้…แถมยังโกหกข้าเรื่องไร่ยูเทนส์อีก”
ท่านไม่ได้เว้นให้ผมพูด ชายร่างยักษ์กล่าวต่อเรียบๆ
“เซอซัส เป็นเด็กเลี้ยงยาก…เพราะเขาพิเศษกว่าคนอื่นๆ เส้นทางที่เขาเลือก เป็นเรื่องยากแทบจะที่สุดแล้ว สำหรับมนุษย์…แต่เขาก็เต็มใจ ที่จะเห็นโลกเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกับข้า… ข้าเป็นบิดาและกษัตรย์ที่มีความฝัน ถ้าเจ้าคือนากัลคนนั้น ที่เซอซัสเลือกล่ะก็…เจ้าคือเด็กฉลาด…”
“ทะ - -ท่านไซรัส” ผมค้าง พูดอะไรไม่ถูก หน้าแดงจัด
“ไม่ต้องตกใจไป… เซอซัสยังต้องอยู่ในหน้าที่ที่เขาเลือก …แต่เจ้าน่ะสิ เจ้ามีเสรีภาพแล้ว ที่จะเลือกชีวิตภายภาคหน้าต่อไปเช่นไร”
ความรู้สึกท่วมท้นออกมาจากดวงตาผมกระมัง ท่านไซรัสมองราวเข้าใจความหมาย
ท่านเอ่ยต่อ
“ ข้าสอนเซอซัสตั้งแต่เขายังเด็ก
สิ่งสำคัญในการสร้างอาณาจักรใหม่
ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ของกองทัพ ไม่ใช่พื้นที่ของโลกอันมหาศาลที่เราไปครอบครอง
ไม่ใช่เครื่องจักรพิศวงที่พวกชายแก่คิดค้น… แต่คือ
เสรีภาพ…ที่มนุษย์ทุกคนมี เพื่อเลือกชีวิตและ ศาสนาของตนเอง ”
ท่านมองออกไปที่เมืองเบื้องล่าง
“ในโลกยุคนี้ ผู้คนยังไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ นากัล…พวกเขาปรับตัวไม่ทัน ต่อต้าน ไม่ยอมรับ…ข้าอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อทำให้ เสรีภาพเกิดขึ้น…เซอซัสก็คิดเช่นนั้น”
“ยามนี้ เจ้าเป็นอิสระแล้ว จงมีทางเลือกของตนเองเถอะ นากัลนักผจญภัย…และจงรู้ไว้เสียว่า กษัตรย์ไซรัสรับรู้เรื่องการเดินทางทั้งหมดของเจ้า”
ทันใดนั้น พระองค์ก็สบัดบังเหียนม้า ส่งสัญญาณ จนเหล่าทหารกรูเข้ามาตามเสด็จ …ผมสีดำขลับ และดวงตาเฉียบมุ่งมั่น ควบม้าออกจากประตูวังไป ….เป็นภาพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือ… ต่างกันแค่…
ท่านคือ คนในโลกนี้จริงๆ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ที่ผมยืนอยู่บนลานทรายนั้น … จนอากาศเริ่มร้อนขึ้น ผมอาจจะยืนอยู่เป็นชั่วโมง หรือ กี่นาที ผมไม่รู้เลย แต่บางอย่างในหัวใจผมได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากคำพูดทั้งหมดนั่น
บางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเลย…
.
.
.
ครั้งแรก
ผมภูมิใจ
…ในตัวเอง
================================