{CH 46 อึดอัดหรืออบอุ่น}
*** แจ้งเปลี่ยนชื่อ จากอันฟาร์ เป็น อลัน คะ -ตัวเล็ก- ครบหนึ่งอาทิตย์ที่ปังปังหายไป เฮ้อ อ่อ นี้ผมตัวเล็กเองนะไม่ใช่ที่ไหน ตัวเล็กแสนน่ารัก มีสามีชื่อเสาร์ ไอ้หมาจอมเจ้าเล่ห์นั้นแหละ อย่างที่ผมบอกไว้บรรทัดบนนั้นแหละครับ ปังปังหายไปครบอาทิตย์แล้ว ผมรู้ว่าปังอยู่ ออสเตรเลียแต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน เมื่อหลายวันก่อนเห็นไอ้เสาร์คาบข่าวมาบอกว่าพี่ใหญ่บ้าคลั่งจะออกจากห้องให้ได้และคนกากๆอย่างมันก็ไม่สามารถห้ามพี่ใหญ่ได้ แต่โชคดีที่แม่ผมคุณนายขี้แกล้งไหวพริบดีเรียกพี่ใหญ่ไปคุยเลยสงบลงหน่อย พี่ใหญ่ตอนนี้เลยดูครึมๆเหมือนตอนที่ยังไม่เจอปังปัง ไม่สิ ผมว่าหนักกว่าเก่าอีก ไม่พูดไม่คุยเล่น ไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้นยิ่งกว่าท่อนซุงที่ลอยน้ำอีก … เฮ้อ ไอ้คนเฝ้าดูมันทรมานใครจะเห็นใจตัวเล็กบ้างเนี้ย
“ไอ้เล็กกินข้าว”
“ไม่หิวอะ หยุดบังคับกันสักทีได้ไหม”
ผมบอกไอ้เสาร์ที่ยื่นจานข้าวที่ผมเขี่ยไปเขี่ยมาอยู่นานเข้ามาใกล้ผมเข้าไปอีก ผมถูกไอ้หมาลากมากินข้าวตอน 3 ทุ่มกว่าๆหลังจากที่เคลียงานเสร็จที่ร้านหมี่เกี้ยวหน้าซอยสุดโปรดของปังปังกับผม มาทีไรผมอนุญาตให้ปังกินสองชามทุกที เพราะผมก็สวาปามไปสามจานเหนาะๆ ปังยังชมผมเลยว่ากินเก่งตัวบวมขึ้น แต่นั้นก็ไม่ทำให้ผมดีใจหรอกนะ ตัวบวมๆนะตัวบวม แต่หลังจากที่ปังปังหายไปแบบไม่ค่อยดีนัก ก็ทำให้น้ำหนักผมลงฮวบ ตัวกลับมาตัวเดิมเลย ฮือออ เล็กยอมอ้วนนะ ปังกลับมาเหอะ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะตึงเครียดกว่านี้ เล็กเป็นห่วงงงงงงงง
“ไอ้พี่ใหญ่ก็บ้า ไอ้ปังก็บ้า มึงจะบ้าไปอีกคนเหรอไง”
“อย่ามาหยาบคายนะไอ้บ้า”
หน่อยแหนะมาว่าคนอื่นได้ยังไง ใช่สิ ไอ้บ้าเสาร์ไม่ได้เครียดแบบผมนี้ ผมกลัวปังจะไปแบบไม่กลับมาอีกแล้วกลัวว่าพี่ใหญ่จะไม่กลับมาร่าเริงอีกแล้ว แต่ผมก็รู้ดีนะ ว่าทุกอย่างของปังอยู่ที่นี้ แล้วเขาจะต้องกลับมา โง่จริงๆ ถ้าเป็นเล็กนะ เล็กไม่ยอมให้ยัยบ้านั้นทำแบบนั้นกับแฟนหรอก ตายเป็นตายสิ กล้านอกใจกันก็ต้องเจอกันสักหน่อย จะต่อยให้หน่อยหงายทั้งอีตัวผู้อีตัวเมียนั้นแหละ เชอะๆ
“เออๆจะทำอะไรก็ทำ แต่กินก่อน แล้วอย่าเสือกเขี่ยผักทิ้งนะไอ้แมว”
“เสาร์ เจอนางนั้นบ้างไหม”
“นางไหนละ นางสาวหรือว่านางใน” ผมอยากจะบิดๆจมูกโด่งๆของคนตรงหน้าให้เบี้ยวไปเลย ไม่รู้ไปรักมันได้ยังไงคนเจ้าเล่ห์อย่างนี้ หล่อก็หล่อถูกสเป็คดีหรอกแต่เรื่องหยาบคายกับนิสัยเกรียนๆกวนบาทานี้เป็นของแถมที่เล็กไม่ปลื้มเลยให้ตายสิ
“ตลกเหรอ นางมิ้นต์โรคจิตอ่ะ ที่จ้องจะแย่งผัวชาวบ้านอ่ะ!” ผมตวาดลั่นจนโต๊ะข้างๆหันมามอง ทำไมละ ก็จะแย่งผัวจริงๆอ่ะ ผัวใครไม่ผัวมาผัวเพื่อนเล็ก บ้าหรือเปล่า อย่าให้พ่อเจอนะจะโชว์คาราเต้สายดำให้ช้ำไปทั้งตัวเลย หึ
“โอ้ย เบาๆ นี้มึงเป็นผู้ชายนะไอ้พูดจาแบบนั้นได้ยังไงไอ้เล็ก” ไอ้เสาร์ทำหน้าตาเลิ่กลั่กตาเจ้าชู้ของมันเบิ่งกว้างก่อนจะกัดฟันพูดกับผม หึ ผู้ชายแล้วไง ก็ผู้ชายอย่างผมนี้แหละที่ด่าผู้หญิงไร้ยางอายแบบนั้น ทำไมละ ถึงผมเป็นผู้ชายผมก็มีสามี แถมไม่ได้แย่งใครด้วย ทำไมผมจะด่าไม่ได้ !
“ทำไมอ่ะ จะเรียกมีอะไรหรือเปล่า นางมิ้นต์ๆๆๆๆๆๆ อุ๊บ”
“แดกเข้าไปสิหมูแดงมึงเนี้ย พูดมากฉิบ” ผมย่นหน้าเคี้ยวหมูแดงที่ถูกยัดเข้ามาในปากและบ้วนเอาผักคะน้าที่เสียบติดมาด้วยทิ้ง ไอ้หมานี้พูดไม่จำว่าผมไม่กินผัก ไม่ชอบกินผัก และไม่อยากกินผักด้วย ผมมันสัตว์กินเนื้อ จำไว้ด้วยยยยยยยย!!!
เสาร์พาผมไปเดินเล่นที่ตลาดหลังข้างมหาลัยที่คึกคักไปด้วยนักศึกษาที่ต้องการหารายได้เสริมและนักท่องราตรีหาของกินตอนกลางคืนผมไถตังเจ้าบ้าไปเยอะเหมือนกันได้ทั้งของกินของใช้น่ารักๆมาเต็ม ผมแอบเห็นตุ๊กตาเสือตัวนึงขนาดท่อนแทน แต่ที่ทำให้ผมแทบใจละลายเพราะเจ้าเสือขนปุยกำลังนอนกดหมูตัวอ้วนสีขมพูน่ารักน่ากอดอยู่ด้วย … ทำผมจิ้นไปไกลเลยละ เฮ้อ แต่น่าเสียดายที่เจ้าเสือจอมเชื่องกลายเป็นเสือดุโหดร้ายไปแล้ว ส่วนเจ้าหมูก็หายสาบสูญไป … เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออ
“อยากได้เหรออย่างมึงต้องตัวนี้” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ผมหันไปมองก่อนจะเผลอหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเจ้าแมวหมู ตุ๊กตาที่เหมือนแมวหวัก ตาโตหน้าตาเจ้าเหล่ สีขาวทั้งตัวมีลายด้านหลังเหมือนเต่าทองแต่เป็นสีเทาและสีส้ม ขนนุ่มนิ่ม รู้สึกจะอยู่ในการ์ตูนเรื่องนัตสึเมะนี้แหละแต่ผมจำชื่อไม่ได้หรอกไม่ได้ดูมานานแล้ว น่าร๊ากกกกกกกกกกกก
“อยากได้อ่ะ ตัวเท่าไหร่เหรอ”
“ฮ่าๆๆๆๆ กูไม่ซื้อให้หรอก เปลือง”
“เดี๋ยวซื้อเอง! ตัวนี้เท่าไหร่ครับ” ผมยื้อเอาเมี้ยวตัวโตมาอุ้มไว้ ก่อน
“500 จ้า”
“แพงจัง ลดหน่อยสิครับ”
“นี้ครับป้า”
“เอ๊ะ ไหนบอกไม่ซื้อไง”
“ขื่นให้ผมซื้อกลับไปคงงอนกูแย่”
“พูดจาให้มันเพราะๆไม่ได้หรือไงนะ”
ผมบ่นไม่จริงจังมากนัก กอดเจ้าตุ๊กตาเมี้ยวเอาไว้ก่อนที่เจ้าของมือหยาบๆแต่ก็อบอุ่นพอใช้ได้จะจับมือผมและจูงเดินต่อไป เอาจริงๆ ไม่ใช่ผมไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์ของเรามันเริ่มต้นแปลกๆ ในวันนั้นที่โรงพยาบาลที่หมอนั้นจูบผม มันก็แค่ประชดปังกับพี่ใหญ่เพราะหมอนี้ชอบปังปัง แต่ไม่รู้ตัวว่าชอบพอโดนพี่ใหญ่ปาดหน้าเค้กไปก็เลยหัวเสีย ต่อว่าผมเองที่ประหลาดดันไปหลงกับจูบแรกที่แสนประหลาดนั้นได้ ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกที่ประหลาดขึ้น จากนั้นเรื่องราวความรักประหลาดๆของผมกับนายเสาร์ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างกะทันหันนั้นแหละครับ ผมไม่คิดมากหรอกนะเรื่องนี้หมอนี้เคยชอบปัง ใครๆก็ชอบปังทั้งนั้นแหละ เพราะปังอบอุ่นและนิสัยดี แถมยังน่าค้นหาและน่าแกล้ง เพราะถึงยังไง คนที่ปังรักก็คือพี่ใหญ่ และตอนนี้ คนที่หมอนี้รัก ก็คือผม ตัวเล็กยังไงละ หึหึ
จะว่าความรักของผมมันประหลาด แต่ผมว่าของปังและพี่ใหญ่ประหลาดกว่าเห็นๆนะ คิกๆ เอาเถอะๆ เอาแต่เม้าคนอื่นอยู่นั้นแหละ เฮ้อ … เมื่อไหร่ปังจะกลับมานะ เล็กคิดถึงจะตายแล้ว ของเล็ก แค่ความรู้สึก แต่พี่ใหญ่ของเล็กนะสิ จะตายจริงๆแล้ว ปังรู้ไหม …
“พี่อลัน!!!”
เอ๊ะ เสียงคุ้นๆ … ผมชะงักขณะที่เสาร์พาผมมาเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ลานจอดรถของตลาดที่อยู่ติดกับรั้วมหาลัย ก่อนจะหันไปมองตามเสียง ด้วยปฎิกิริยาตอบสนอง ผมรีบผลักนายเสาร์ให้ไปหลบหลังมุมกำแพงที่เพิ่งเดินผ่านมาทันที คนที่เดินผ่านมาผ่านไปต่างมองด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีใครเจ้ามาจุ้นวุ่นวายให้รำคาณใจ ลองเข้ามายุ่งสิ พ่อจะขบหัวให้กลับบ้านไม่ถูกเลย
“โอ้ยอะไรเนี้ย!”
“เงียบๆ และถือตุ๊กตาด้วย” ผมยื่นตุ๊กตาในมือให้นายเสาร์ถือเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆชะเง้อออกไปมอง …
ปะ ปัง ปังปังของผมจริงๆ ด้วย ดะ ดีใจ ดีใจจะตายอยู่แล้ว ในที่สุดปังก็กลับมา แต่พอมองดีๆแล้ว … โธ่ … แค่อาทิตย์เดียวเองทำไมปังถึงผอมลงไปอย่างงั้นละ ถึงจะไม่ได้ผอมแบบที่ผมตั้งใจเอาไว้แต่คาดว่าคงลงมาไม่ต่ำกว่า 5 โลแน่ๆ เพราะน้ำหนักลงหรือเปล่านะ ทำให้เพื่อนตัวโตของผมดูน่ารักขึ้นยิ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตผ้าบางสีดำกับกางเกงขาสั้นสีขาวกับรองเท้าผ้าใบสีเทาที่ดูก็รู้ว่าปังไม่ได้ซื้อเองน่ารักจังเลยอยากให้พี่ใหญ่ได้เห็นจังเลย
“คิก ปังทำท่าตลกอีกแล้ว”ผมแอบขำนิดๆเมื่อปังปังทำหน้าฉงนกับคนในรถ เก๊งคันหรูสีดำที่ติดฟิมล์ค่อนข้างหนาที่จอดอยู่ตรงหน้าผมไม่ห่างมากนัก มันใกล้พอที่จะให้ผมได้ยิน แต่ผมมองไม่ค่อยชัดว่าใครกันที่อยู่ด้านใน ก่อนจะทำท่ากระวนกระวายโบกมือไปมา
ประตูรถอีกฝั่งก็เปิดออก พร้อมกับร่าง … หล่ออะไรเบอร์นั้น … ร่างสูงพอๆกับพี่ใหญ่ขาวสะอาดหมดจดทุกตารางนิ้วในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีฟ้าแขนสั้น กางเกงสแล็กสีขาวสะอาดกับใบหน้าที่คมชัดไปทุกสัดส่วนตามฉบับคนต่างประเทศ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนกับผมหยักโศกสีข้างฟาง แล้วรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นนั้นมันอะไร!!!!!
“ไปครับพี่อยากไปเดินด้วย”
“แต่ว่า …”
“ไปครับ ไม่ดื้อสิ”
“อ่ะ! อย่าจับหัวปังนะ!!!!!!” ผมรีบกระโจนออกไปดึงมือหนาๆที่บังอาจมาแตะต้องเพื่อนของผมออกก่อนจะมองคนตัวสูงที่ยืนค้ำอยู่อย่างไม่เกรงกลัว! ปังของพี่ใหญ่ ของพี่ใหญ่เท่านั้นเล็กไม่อนุญาติให้ใครแตะต้อง!!!!
“ตัวเล็ก …เสาร์”
.
.
.
-ย้อนเวลากลับไปเช้าก่อนเหตุข้างต้น- ให้ตายสิ อาการแบบนี้มาเยื่อนผมอีกแล้ว มึนงงกับเวลาและอากาศไปหมดเลย เจ็ทแล็คครั้งแรกในชีวิตผม ความจริงผมน่าจะเป็นตอนไปออสเตรเลียด้วยแต่บังเอิญตอนนั้นคงไม่สบายอยู่เลยไม่สบายซับซ้อนไม่ได้ เฮ้อ … ผมกลับมาไทยแล้วครับเพิ่งถึงเมื่อคืนตอนเที่ยงคืน พ่อผดุงและผมถูกพี่อลันยัดใส่รถแท็กซี่ทันทีที่มาถึง และพาเราสองพ่อลูกมาที่บ้านหลังนี้ของพี่อลัน ตามที่ตกลงกันเอาไว้ ผมยังไม่มีโอกาศได้สำรวจบ้านนี้เท่าไหร่เพราะกลับก็อาบน้ำนอนเลยไม่ได้สนใจอะไรกันเพราะอาการมึนๆงงๆกันทั้งสองพ่อลูก เกือบแล้วที่จะนอนไม่หลับเพราะเวลาไม่ตรงกับที่ต่างประเทศ แต่ในที่สุดด้วยความเพลียที่สะสมมาจากการนั่งหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินอยู่หลายชั่วโมง ผมก็หลับไปในที่สุด ภายในห้องนอนที่แสนนุ่มสบายที่พี่อลันจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
และก็ตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าควรจะตื่นดีไหมในเวลาสิบโมงเช้าตอนนี้ แต่เสียงกุกกักๆ ด้านล่างก็ทำให้ผมอยู่นิ่งไม่ได้ เลยต้องลุกขึ้นมานั่งมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่ในห้องขนาดไม่เล็กหรือไม่ใหญ่เกินไปนักพอๆกับหอพักที่ผมอยู่อาจจะกว้างกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำละมั้ง บนเตียงเดียวสีขาวสะอาดที่อยู่ชิดกำแพงด้านหน้าต่างที่เปิดรับลมจากด้านนอก ม่านสีฟ้าที่พลิ้วตามลมอยู่ทำให้ห้องดูอบอุ่นไปเลย อีกด้านมีตู้เสื้อผู้ โต๊ะทำงาน และ ทีวีเครื่องเล็กๆตั้งอยู่รวมไปถึงเครื่องปรับอากาศที่ติดอยู่บนเพดาน แต่ห้องนี้กลับ พัดลมเครื่องสูงที่ทำหน้าที่ของมันยามเช้าที่ได้ดีบวกกับลมเย็นๆที่พัดจากด้านนอกทำให้อากาศโปร่งโล่งสบายเลยละ
เสียงนกร้องจากด้านนอกทำให้ผมรู้ว่าผมกลับมาถึงไทยแล้ว กลับมาถึงแผ่นดินเกิดที่ผมแอบหนีออกไปมา ต่อไปนี้ผมจะไม่หนีอะไรอีกแล้ว ผมต้องคุยกับพี่ใหญ่ให้รู้เรื่อง ถ้าหาก … เขายังรักและไม่ได้ตั้งใจกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ ผมจะไม่สงสัยอะไรในตัวเขาอีก และพร้อมกับให้อภัยทุกอย่างรวมไปถึงขอโทษที่ทำแบบนี้ด้วย แต่ทุกอย่างก็ต้องอยู่ในคำว่าพอดีและขอบเขตที่ผมวาดเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ถ้าในทางกลับกัน ทุกอย่างก็คงต้องจบ เพราะผมและเขาก็เหมือนเดินบนเส้นทางคู่ขนานด้วยกันทั้งคู่ เขามีทุกอย่าง ส่วนผมก็ด่อยทุกอย่าง นั้นยังคงเป็นความจริงที่ชัดเจนละนะ ในจุดๆนี้ผมคงไม่หาว่าใครผิดว่าใครถูก เพียงแต่ต้องการความชัดเจนและความจริงเท่านั้น เพราะสำหรับผม พี่ใหญ่นั้นดีกว่าผู้ชายทุกๆคน … อยู่แล้ว คิดถึงจัง เจอหน้าเราจะพูดอะไรกับเขาเป็นคำแรกดีนะ …
ก๊อก ก๊อก ก๊อก “คะครับ” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้น
“สวัสดีครับ ผมชื่อปาล์มนะครับเป็นเพื่อนบ้านของพี่อลัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
พะ เพื่อนบ้านเหรอ แล้วเพื่อนบ้านขึ้นมายิ้มหน้าแป้นตรงหน้าผมได้ยังไง ผมหัวเราะแห้งๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปยกตรงหน้าของผู้ชายที่สูงพอๆกับผมแต่เพียวบางและดูแข็งแรงกว่าผมเยอะ เขามีใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา ตาโตเหมือนไข่เป็ดที่ยิ้มจนตาหยีกับจมูกที่เรียวรับกับปากสีอ่อนกำลังยิงฟันขาวครบ 32 ซีกมาทางผม ผมสีหม่นเขียวที่ยาวซอยสั้นเปิดข้างเซตขึ้นไปอย่างเฮี้ยวๆกับหูที่เจาะอยู่หลายรู แต่ก็อยู่ในชุดนักศึกษา ที่ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงอยู่รุ่นๆเดียวกับผมนี้แหละ
“เอ่อ ผมชื่อปังครับ”
“เรียนอยู่ที่ไหนเหรอ” เขาพูดไปหัวเราะ ทำให้ผมยิ้มๆเพราะเพิ่งสังเกตว่าปาล์มมีไฝ่เม็ดเล็กๆที่ริมฝีปากด้วย ดูท่าจะปากจัดหน้าดู
“มหาลัย XXX ปี2 ครับ”
“อ่อๆ รุ่นน้องดิกูอยู่ ปี 3 มหาลัยรัฐบาล YYY ว่าแต่ไม่เคยรู้เลยนะว่าพี่อลันมีน้องด้วย”
“เอ่อ…” ผมควรบอกไหมว่าผมก็เพิ่งรู้ว่ามีพี่ชายเหมือนกัน
“ทำอะไรกันสองคน ปาล์มพี่ให้ขึ้นมาตามปังไม่ใช่มาป่วน” เสียงของพี่อลันดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะมายืนช้อนหลังปาล์มที่กำลังคุยถูกคอกับผมอยู่ จนเจ้าหัวจิ๊ปากอย่างหมั่นเขี้ยวและหันไปตบปุ๊บๆเข้าที่อบแกร่งของพี่ชายผม สองคนนี้สนิทกันดีจริงๆเลยน้า
“โธ่ อย่าเข้มนักเลยพี่ แค่ทำความรู้จักเพื่อนใหม่เท่านั้นแหละนะ พี่เองนั้นแหละคิดจะกลับก็กลับบ้าหรือเปล่า”
“หึหึ ลงไปด้านล่างเลยไอ้แสบ” ปาล์มทำหน้าเบื่อก่อนจะวิ่งลงบันได้ไป ผมชะเง้อมองตามก่อนจะหัวเราะออกมาอย่าเสียไม่ได้ พี่ปาล์มดูเปิ่นๆยังไงไม่รู้ แต่ผมก็ไม่มีสิทธิไปว่าคนอื่นเขาเท่าไหร่หรอกนะ ฮ่าๆๆ
“ดีขึ้นหรือยัง” มือหนาวางลงบนหัวของผมอย่างอ่อนโยน ผมยิ้มและคว้าเอามือของเขาลงก่อนจะค่อยๆปล่อยให้มันกลับไปแนบตัวของเขาตามเดิม
“ครับ เดี๋ยวได้ออกกำลังอีกหน่อยคงปรับตัวได้”
“ดีแล้ว งั้นรีบอาบน้ำลงไปทานข้าวนะ วันนี้เราต้องจัดบ้านกัน”
“ครับผม” โชคดีแล้วที่วันนี้ไม่มีเรียน ผมคงมีเวลาพอที่จะกลับไปเคลียปัญหา รวมไปถึงอุปกรณ์เสื้อผ้านักศึกษาด้วย เฮ้อ … หวังว่ากลับไปหอแล้วจะไม่โดนพี่ใหญ่ขยำหรอกนะ ยิ่งเหมือนเสืออยู่ …คิดแล้วก็เสียวสันหลังชะมัด คงโกรธและเป็นห่วงผมน่าดู เตรียมใจเอาไว้ได้เลยปังเอ้ยยยยยย!
“เป็นอะไร”
“ปะ เปล่าครับ”
“ถ้าไม่อยากกลับไปก็ได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการให้” เขาทำท่าจริงจัง จนผมต้องยกมือห้าม พี่อลันเป็นพี่ชายที่ดี ในบางทีก็ดีเกินไป ถ้าผมไม่ห้ามเอาไว้คงจัดแจงทุกอย่างไม่เสร็จสรรพหมดแล้วแน่ๆ ผมอาจจะเป็นเด็กออซซี่ไม่ได้กลับมาไทยแล้วก็ได้
“มะ ไม่ครับ … ผมอยากกลับ เพราะผมจะไม่หนีปัญหาอีกแล้ว”
“หึ โอเคครับ เอาละเจ้าอ้วนไปอาบน้ำได้แล้วครับ” เขาหัวเราะนิดๆก่อนจะผลักหลังให้ผมเดินเข้ามาในห้องและประตูห้องก็ปิดเหมือนเดิม ผมยืนอยู่กลางห้องคิดอะไรอยู่สักพักก็เดินไปค้นเอาผ้าขนหนูและเสื้อผ้าง่ายๆในกระเป๋าเดินทางขึ้นมาเดินเข้าห้องน้ำไป
“ปังๆ กินข้าวกันๆ”
ยังไม่ทันที่ผมจะเดินลงบันไดลงไปสุด เสียงร่าเริงของพี่ปาล์มก็ดังขึ้น กลิ่นส้มตำไก่ย่างลอยมาเตะจมูกผมซะแทบหัก และก็จริงๆ เพราะตอนนี้พี่ปาล์ม พี่อลัน และพ่อ กำลังนั่งล้อมวงกันบนพื้นบ้านกลางห้องรับแขกที่เฟอร์นิเจอร์ด้านหลังวางอยู่ระเกะระกะ คาดว่าเพิ่งยกลงมาจากรถ และยังไม่ได้จัดให้เข้าที่เท่าไหร่นัก ผมยิ้มให้ทุกคนก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆพ่อของผมขนาบข้างด้วยพี่ปาล์ม
“พ่อโอเคนะ”
“สบายมาก” ผมยิ้มให้พ่อหลังจากถามสารทุกข์สุขดิบเรียบร้อย ก่อนจะหันไปมองพี่ปาล์มที่ตอนนี้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับหน้าแดงๆของพี่ชายผมที่หน้าเปลี่ยนสีไป
“อ่อนวะ กินเผ็ดก็ไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“ตลกมากนักไอ้ลิง”
พี่ชายผมหัวเราะไม่ออกได้แต่หยิบน้ำกระดกเข้าปากอย่างเสียมิได้ ส่วนคนที่ดูร่าเริงเพราะสามารถแกล้งคนได้ ก็จกข้าวเหนียวกินต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา ผมยิ้มๆก่อนจะก้มลงกินอาหารไทยที่ห่างหายไปกว่าสัปดาห์โดยมีพี่ปาล์มคอยชวนคุยนั้นคุยนี้จนผมและพ่อแทบไม่เป็นอันกินเลยละ
โดยสรุปแล้ว พี่ปาล์มเป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่ชายอีกหนึ่งคนชื่อปายซึ่งแต่งงานมีลูกแฝดไปแล้วอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ชื่อลุงหลงและป้าผิง เป็นเพื่อนของพี่อลันที่นานๆทีจะมาไทยเพื่อทำธุรกิจร้านอาหารที่ร่วมหุ้นกับเพื่อนไว้ และอีกหลายต่อหลายเรื่องเลยที่พี่ปาล์มเล่าให้เราฟังทั้งตอนแรกที่เจอกับพี่อลันที่ย้ายมาอยู่ใหม่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และไปๆกลับๆไทยอยู่ปีละ 2-3 ครั้ง หรือจะตอนที่ตัวเองแกล้งสาวาซาบิลงไปในอาหารหหลอกให้พี่อลันกิน ทุกอย่างล้วนเป็นวีรกรรมที่แสบทรวงทั้งนั้น พี่อลันเองก็แก้เผ็ดด้วยการเข็กหัวไปโป๊กใหญ่ๆ ล้วนเป็นเวลาสั้นๆในทุกๆปีที่สองคนนี้ได้แกล้งได้หยอกกันแต่ก็ดูสนิทสนมกันมากๆเลยละ
ตลกดีเหมือนกันได้นั่งฟังเรื่องราวของใครสองคน และสุดท้ายก็นั่งคิดถึงใครอีกคนที่อยู่ไม่ไกลแต่ยังไปหาไม่ได้เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะออกหัวหรือออกก้อยในอนาคต
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ทุกคนก็เริ่มช่วยกันจัดบ้านโดยผมถือโอกาสสำรวจบ้านไปด้วย บ้านที่ผมอยู่ตอนนี้เป็นบ้านเดี่ยว ปูนสองชั้นที่ตั้งติดกับกำแพงบ้านหลังข้างๆ แต่เป็นบ้านหลังสุดท้ายเลยมีอานาเขตให้ทำสวนได้ พี่อลันกับพ่อจึงตกลงกันเอาไว้ว่าจะจัดสวนและแอบไปหลบวางแผนในสวนหลังบ้านกัน ส่วนผมและพี่ปาล์ม ก็อยู่จัดของภายในบ้านชั้นล่าง ซึ่งแบ่งเป็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องทำงานเล็กๆที่ตั้งอยู่ใกล้ๆห้องนั่งเล่น เวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายโมงกว่าๆป้าผิงที่เพิ่งกลับมาจากขายของที่ตลาดก็เข้ามาช่วยเราจัดบ้านด้วยอีกแรก ซึ่งอาสาทำมื้อเที่ยงให้เราฝากท้องกันอีกด้วย
กว่าจะจัดบ้านเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปกว่าบ่ายสี่โมงกว่าๆ ทุกคนต่างหลบอากาศร้อนมาภายในห้องรับแขกที่จัดเสร็จสรรพ ซึ่งผมจัดวางโซฟาไว้ติดพนังอีกฝั่งแบ่งพื้นที่ให้ TV และเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆอีกมากมาย ป้าผิงเองก็ยกน้ำแตงโมมาให้เราแก้กระหายกันหลังทำงานเสร็จ ส่วนพ่อของผมก็ขอตัวไปพักในห้องของตัวเองบนชั้น 2 เหมือนกัน
“เดี๋ยวพี่มานะ” หลังจากพักกันหายเหนื่อยพี่อลันก็ขอตัวขึ้นไปคุยโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะการพักผ่อน ทำให้ในห้องรับแขกมีผมกับพี่ปาล์มอยู่ด้วยกัน 2 คน
“อ๊า ได้ออกกำลังกายรู้สึกดีชะมัด”
“พี่ปาล์มครับ”
“ว่า ?”
“พี่มีที่ชาร์จของ XXX รุ่น XXX ไหมครับ”
“ก็มีน่ะนะทำไมเหรอ”
“เอ่อ ผมขอยืมหน่อยได้ไหมครับพอดีว่า … ผมทำของตัวเองหาย แค่ไม่นานหรอกครับ”
“อ่อ ได้ดิ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเอามาให้” พี่ปาล์มลุกขึ้นเดินออกจากบ้านไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมสายชาร์จแบต ผมยิ้มร่าก่อนจะก้มหัวขอบคุณและขอตัวขึ้นมาบนห้องของตัวเองทันที ผมหยิบเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในลิ้นชักขึ้นมาและเสียบชาร์จทิ้งเอาไว้ด้วยความดีใจ เพราะว่าแบตหมดมานานเลยกว่าจะติดก็คงต้องใช้เวลา
ผมตั้งใจจะติดต่อตัวเล็กตั้งแต่อยู่ที่ออสเตรเลียแล้วแต่ไม่มีโอกาส เพราะเดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้บ้างที่ไม่เป็นใจ เดี๋ยวพี่อลันยึด
โทรศัพท์บ้างละเดี๋ยวแบตหมด สารพัดจะเป็นอุปสรรค จนวันนี้ผมคงได้คุยกับตัวเล็กสักที … เฮ้อ งีบสักพัก ไว้ตื่นขึ้นมาค่อยโทรก็ได้ละมั้ง … จนแล้วจนรอด ผมก็ทิ้งกายลงอย่างเหน็ดเหนื่อยบนเตียงหนาและหลับไปในบ่ายแก่ๆของวันนั้น รอกันอีกสักนิดนะครับพี่ใหญ่ …
“เอาละ”
ผมตื่นมาในช่วง 6 โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็มานั่งจ้องโทรศัพท์ที่เปิดขึ้นมามีทั้งข้อความไลน์ เฟชบุ๊ก หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมี ทั้งมิสคอลอีกไม่ต่ำกว่า 100 สาย แต่เหมือนว่าพักหลังๆมานี้พี่ใหญ่จะไม่โทรเท่าไหร่ อย่างมากก็วัน2-3สาย มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆและก็ไม่กล้าที่ต่อสายหาใครทั้งนั้นเพราะกลัวว่าคนที่รับสายจะพูดอะไรก่อนเป็นคำแรก เลยปิดเครื่องเก็บลงกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ที่พร้อมจะเผชิญกับความจริงที่อยู่ตรงหน้า
“ทำอะไรจ้ะพ่อ”
พ่อที่ทำลังก้มๆเงยๆกับไมโครเวฟในห้องครัวอยู่เงยขึ้นมามองผมที่เดินเข้าไปช่วยแกแกะแกงถุงเทใส่ชามกระเบื้อง และเอาเข้าเตาไมโครเวฟให้ เห็นละก็สงสารแกนะครับ เหมือนยังปรับตัวไม่ได้เลย เฮ้อ หรือว่าผมจะพาพ่อกลับไปอยู่บ้านเก่าดีนะ อย่างน้อยท่านก็ยังมีเพื่อนคุยบ้าง แต่บ้านหลังนั้นก็เก่าแล้วผมกลัวว่าพ่อจะล้มไปอีกถึงจะเป็นบ้านของพ่อและแม่ แต่ตอนนี้พ่อของผมก็สำคัญที่ไม่ใช่เหรอ ท่านก็แก่ลงทุกวันแล้วแท้ๆ …ครั้นจะกลับบ้านพี่ใหญ่ก็คงไม่ใช่ที่… ทำไมผมถึงรู้สึกเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง จัดการอะไรไม่ได้เลยสักอย่างนะ …
“พี่อลันไปไหนจ้ะ” ผมถามขึ้นหลังจากที่ยกกับข้าวกับปลาสองสามอย่างมาวางบนโต๊ะทานข้าวก่อนจะเดินกลับไปคดข้าวใส่จานทั้งของตัวเองและของพ่อ
“เห็นมันบอกว่าจะไปดูร้านอาหารมันหน่อยคงกลับดึกๆ … เอ็งจะมานั่งกินข้าวกับข้าทำไมไอ้ปัง”
“อ้าว ก็…” ผมงงไปหมด อะไรกันเหมือนพ่อกำลังจะไล่ผมเลย
“เฮ้อ ข้ากินคนเดียวได้ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก อย่างข้าไม่เหงาง่ายๆหรอกไอ้ปัง เอ็งมีอะไรจะไปจัดการก็ไปเถอะ ก่อนที่จะค่ำไปมากกว่านี้”
ต่อด้านล่าง