0880[นัท]
“ทำความรู้จักกันไว้ อีกหน่อยเราจะต้องอยู่ด้วยกัน”
นั่นคือสิ่งที่พ่อบอก ก่อนจะเดินทิ้งผมกับเด็กคนนี้เพื่อไปคุยกับคนแปลกหน้าสองสามคนที่เป็นคนพาเด็กคนนี้มา ผมก้มหน้ามองพยายามจะทำความรู้จักเหมือนที่พ่อบอกเอาไว้ แต่เด็กนี่กลับเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาผมไปมา
“ชื่ออะไร”
“...”
“ถามว่าชื่ออะไร”
“ทิว”
“เรานัทนะ”
เขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วก้มหน้าหลบสายตาผมอีกครั้ง ผมเลยถอนหายใจออกมาก่อนจะนึกว่าควรทำยังไง จะชวนคุยหรือทำความรู้จักอย่างไรดี ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าผมแบบนี้
“อายุเท่าไร” เขาส่ายหน้าไปมา “ทำไมไม่รู้”
“ไม่รู้ แม่ครูบอกไม่เหมือนที่แม่บอก”
“หมายความว่ายังไง”
“แม่เคยบอกว่าห้า แต่แม่ครูกลับบอกว่าแปด”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ถึงจะยังเด็กเหมือนกัน แต่ความฉลาดก็คงมีไม่เท่ากันสินะ “แม่บอกว่าห้าตั้งแต่เมื่อไร”
“...”
“ทิว”
“ไม่รู้ บอกไม่ถูกว่าเมื่อไร”
ผมเดาว่าแม่ของเด็กคนนี้คงเคยบอกว่าเขาห้าขวบตอนที่เขาอายุห้าขวบจริง ๆ แต่หลังจากวันนั้นคงไม่ได้บอกอีก หรือเขาเองไม่เคยถามซ้ำ ผมจำได้ว่าตัวเองเคยสับสนอยู่เหมือนกัน ตอนที่แม่บอกอายุผมไม่เท่าเดิมในวันเกิดปีถัดมาจากปีก่อน ๆ แต่นั่นมันก็ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะแยกออกว่าระหว่างเป็ดกับไก่มันต่างกันยังไงแล้ว
“นายโง่เหรอ”
“...”
“ช่างเถอะ” ผมตัดบท เมื่อคิดได้ว่าพูดออกไปก็คงไม่มีประโยชน์ “แล้วตอนนี้แม่นายอยู่ไหน”
“...” คำตอบที่ผมได้รับมามีเพียงความเงียบ
“ทิว”
“...”
“ไปดูทะเลตรงนู้นไหม”
“...”
“ทิว” เขาพยักหน้าขึ้นลงเมื่อถูกผมเรียกซ้ำ “งั้นไป”
ผมเดินจูงมือเขาไปเรื่อย ๆ ตลอดทางเห็นเขาเอาแต่หันไปมองฟองคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง มองอย่างนั้นด้วยความสนอกสนใจ ผมเลยพาเขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ เอาเท้าจุ่มน้ำไป ทำความรู้จักกับเจ้าฟองสีขาวพวกนั้นไป
“ชอบเหรอ”
เขาพยักหน้าสองสามที “แปลก”
“ไม่เคยเห็นทะเลงั้นเหรอ” เขาพยักหน้าอีกครั้ง “พ่อนายไม่เคยพามาเลยหรือไง”
“ไม่เคยเห็นพ่อ”
ผมหันไปจ้องเขาเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ไม่มีพ่อเหรอ”
เขาพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือข้างที่ไม่ถูกจับไปแตะฟองคลื่น “แม่เคยบอกว่าไม่มี”
“...”
“แต่ที่บ้านแม่ครู เด็ก ๆ หลายคนก็ไม่มีพ่อ” เขาว่าแล้วเอามือกำทรายขึ้นมา “ไม่มีแม่ด้วย”
ผมเลิกถามและไม่คิดจะสงสัยอะไรอีก เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขาตอนตอบคำถามพวกนั้น ใบหน้านิ่ง ๆ ดูไร้ความรู้สึกเกินกว่าเด็กทั่วไปจะเป็น กับแววตาแปลก ๆ ที่เหมือนกันกับแม่ของผมตอนที่แอบไปร้องไห้คนเดียวในห้อง ทำให้ผมรู้สึกปวด ๆ ที่หน้าอกเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็นแม่
นมเคยบอกว่านั่นมันคือความรู้สึกที่เรียกว่า สงสาร
“ไว้จะพามาอีก” เขาเงยหน้ามามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ “ก็ถ้าชอบ”
“...”
“ก็จะพามาอีก” เขายิ้มออกมาเหมือนแสดงว่าเข้าใจ “อยากเล่นน้ำไหม”
เขาส่ายหน้าก่อนจะพูดออกมาว่า “ชอบเฉย ๆ แต่ไม่อยากเล่น”
“หือ ?”
“อยากนั่งฟังเสียงมันมากกว่า”
แล้วผมก็ต้องพาเขาไปนั่งเล่น ฟังเสียงคลื่นเสียงลมใต้ร่มไม้แถวนั้นจนมืดค่ำ
.
.
“ศูนย์แปด..แปดศูนย์”
ผมจ้องมองเจ้าเด็กตัวเล็กที่กำลังนั่งท่องเลขเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่บนพื้นทรายตรงหน้า เด็กคนนี้ที่พ่อเพิ่งบอกกับผมเมื่อตอนหัวค่ำว่าอยากให้มาเป็นพี่ชายของผม ทั้งที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้แก่กว่า แถมตัวยังเล็กกว่าผมมากเลยด้วยซ้ำ แต่พ่อกลับย้ำนักย้ำหนาว่าอยากให้ผมมองเด็กนี่ให้เหมือนกับเป็นพี่ชายของตัวเอง
“ศูนย์แปด..”
“ท่องอะไร”
เจ้าตัวเหลือบตามามองผมเมื่อถูกขัดจังหวะ ก่อนจะบอกออกมาเบา ๆ ว่า “ท่องวันเกิด”
“วันเกิด ?”
“อืม” บอกแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาท่องอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดสนใจผมอีก
“วันที่ศูนย์ เดือนแปด ปีแปดศูนย์ ?” ผมถามขัดจังหวะอีก “ใครกันเกิดวันที่ศูนย์”
“...”
“หรือจะเกิดวันที่แปด” ผมยังคงถามไปเรื่อย ๆ “แล้วเดือนอะไร แปดสิบเหรอ ?”
“วันที่แปดเดือนแปด” หันกลับมาบอก สีหน้าดูไม่พอใจนิด ๆ
“แล้วทำไมต้องท่องว่าศูนย์แปดแปดศูนย์”
“...”
“เราถามว่าทำไมต้องท่องแบบนั้น”
เขาไม่ตอบอะไรแค่ใช้นิ้วชี้เขี่ยไปบนผืนทราย “ถ้าทำแบบนี้ มันก็ต้องอยู่ห่างกัน”
ผมมองเขาใช้มือปัดเศษทรายลบรอยเลขที่เขาเขียนออก แล้วเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง “แต่ถ้าแบบนี้ มันจะได้อยู่ด้วยกัน”
“แล้วทำไมต้องอยากให้เลขแปดอยู่ใกล้กัน”
“เรากลัวมันเหงา”
ผมแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่พอได้เห็นแววตาเศร้า ๆ นั้นอีกครั้งก็ต้องเปลี่ยนความคิด แล้วยกมือขึ้นมาแตะไหล่เขาไว้ “ท่องแบบนั้นก็ได้”
“...”
“แต่ไม่กลัวจะจำผิด หรือเผลอลืมไปบ้างเหรอ”
เขาส่ายหน้า “ถ้าท่องไว้ ก็ไม่ลืมหรอก”
“ให้เราช่วยจำไหม”
เขาส่ายหน้าอีกครั้ง “เราอยากจำเอง”
“...”
“วันเกิดที่แม่บอก เราอยากจำได้ด้วยตัวเอง”
“ทำไม” ผมถามแล้วยิ้ม “ไม่ไว้ใจเราเหรอ”
“เรากลัวนายจำผิดเหมือนแม่ครู”
“...”
“แม่ครูชอบบอกว่าเราเกิดวันอื่นที่ไม่ใช่วันนี้”
ผมเองก็เพิ่งมาเข้าใจเมื่อตอนที่โตแล้ว ว่าที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามักไม่รู้ว่าเด็ก ๆ ในบ้านแท้จริงแล้วเกิดวันที่เท่าไร เดือนไหน ปีไหนกันแน่ ทุกครั้งพวกเขาจึงเลือกที่จะใส่วันเกิดให้เด็กพวกนั้นเป็นวันที่รับพวกเขาเข้ามาดูแลในที่นั้น และหลายครั้งที่เขาหลอกว่าเด็ก ๆ หลายคนในนั้นว่าพวกเขาเกิดวันเดียวกัน นั่นก็เพียงเพื่อให้เขามีกำลังกายและกำลังเงินมากพอที่จะจัดงานวันเกิดให้เด็ก ๆ พวกนั้นได้
“เราขอช่วยจำแล้วกัน”
ตอนนั้นผมบอกกับทิวไว้อย่างนั้น ก่อนจะเผลอให้คำสัญญาอื่น ๆ ในคืนต่อมา อย่างเช่นคำสัญญาในคืนวันก่อนที่ผมจะกลับจากที่นั่น สัญญาที่ว่าผมจะทำให้เขาได้ยินเสียงคลื่นทุกครั้งที่เขาอยากได้ยิน หรือคิดถึงทะเลที่นี่
แต่หลังจากกลับมาจากที่นั่น มันกลับลืมเรื่องทุกอย่างไปจนหมด
.
.
ความขี้หลงขี้ลืมของมัน บวกกับน้ำตาของแม่ที่นับวันยิ่งมีมากขึ้น ๆ นับตั้งแต่วันที่รับทิวเข้ามาอยู่ในบ้านเริ่มทำให้ความคิดและการกระทำของผมที่มีต่อมันเปลี่ยนไป ผมเริ่มอยากเห็นมันร้องไห้ อยากแกล้งให้มันต้องเจ็บปวดและอับอายกับสถานะเด็กเก็บมาเลี้ยง ผมเกลียดมันอย่างไร้เหตุผล เกลียดชังมันทั้งที่มันเองก็ไม่ได้มารับรู้ด้วยซ้ำว่าทำไมผมต้องทำอย่างนั้น
ทั้งที่มันเองก็ไม่ได้มาได้ยินในสิ่งที่แม่ผมโต้เถียงกับพ่อเรื่องของแม่มัน ทั้งที่มันเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าทำไมตัวเองต้องถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวผม แต่ผมก็ตั้งแง่รังเกียจและคอยตามรังแกมันอยู่แบบนั้นจนกระทั่งโต
จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนที่ผมทำร้ายมันอย่างนั้น รู้แค่ว่าพอเริ่มรู้สึกตัว ผมก็ถูกมันเกลียดเข้าไปจนลึกถึงกระดูกแล้ว
“ทำไมต้องมีแต่กูที่จำได้” ผมว่าแล้วใช้นิ้วมือไล้ไปตามกรอบหน้าของคนขี้เซา “มึงมันใจร้าย”
“...”
“ใจร้ายจริง ๆ”
ถ้าตอนนั้นมันไม่โง่จนลืมเรื่องราวที่พวกเรามีด้วยกันที่ชายทะเลนั้น ถ้ามันคิดสักนิดที่จะหยิบยกความรู้สึกดี ๆ ที่ผมเคยมีให้มันตอนนั้นขึ้นมาอ้างเพื่อให้ผมหยุดการกระทำเลวร้ายพวกนั้น บางทีวันนี้ผมอาจจะได้ยินคำว่ารักออกมาจากปากมันแล้วก็ได้
“กูจะไม่โทษมึง” ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น ก่อนจะก้มลงไปขโมยหอมแก้มคนหลับ “แค่วันนี้มึงอยู่กับกูก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ผมอึ้งไปเมื่อจู่ ๆ คนที่คิดว่าหลับอยู่ลืมตาขึ้นมามอง ก่อนจะยิงคำถามแปลก ๆ “ลักหลับเหรอครับ”
“หึ ๆ”
“แต่ผมตื่นแล้วจะทำยังไง”
“แกล้งทำเป็นละเมอ”
“ไม่เนียนเลย”
“หึ ๆ”
“แค่กอดผมต่อไปแล้วบอกว่าฝันดีก็พอครับ”
“...”
“แบบนั้นมันดูน่าเชื่อกว่า”
“อืม” ผมว่าแล้วดึงตัวมันเข้ามากอด “ฝันดีนะ”
“ฝันดีครับ”
[จบนัท]
Ma-NuD_LaW
มาแล้ว..ขอโทษที่หายไปนานมากกกกกกกก
แต่มาละ นั่งแต่งสองชั่วโมงเต็มๆ เลยวันนี้
ถือซะว่าเอาความหวานมาเสิร์ฟก่อนนอน 
แจ้งข่าวนะ นิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์นะครับ น่าจะเปิดจองต้นสิงหาอ่ะ (คร่าวๆ ที่สำนักพิมพ์บอกมา เอาไว้มาแจ้งอีกทีนะจ๊ะ)
อืม..อะไรอีก..
.
.
อ่อ..
.
.
คิดถึงคนอ่านจังเลย .. 