ตอนที่ 1
.................................
ผมนึกว่าเกิดใหม่แล้วจะลืมเลือนอดีตเหมือนในนิยายหรือบทละครโทรทัศน์ที่ผมเคยดูมาเสียอีก แต่ที่ไหนได้ผมกลับได้สติครบถ้วนสมบูรณ์ จำได้แม้กระทั่งว่าตัวเองเคยเป็นใคร ช่วงระยะทารกผมยังทำอะไรได้ไม่มาก นอกจากกินนอนเพียงอย่างเดียว รับรู้สติว่าครอบครัวใหม่ของผมนั้นมีเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียกว่าแม่เลี้ยงดูผมมาโดยตลอด ส่วนคุณพ่อนั้นผมคิดว่าไม่มี เพราะไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลยซักครั้งเดียว จวบจนผมอายุหนึ่งปี ผมกลับมีวิวัฒนาการเติบโตเร็วกว่าเด็กทุกคน นั่นก็คือการลุกขึ้นเดิน ส่วนเรื่องพูดนั้นผมพูดได้ตั้งแต่แปดเดือน แต่ยังพูดได้ไม่ชัดเพราะฟันน้ำนมยังขึ้นไม่ครบทุกซี่ อาจเป็นเพราะผมเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก ก็เลยทำให้คุณแม่ข้าวรักและเอ็นดูผมชนิดที่คุณแม่คนก่อนของผมเทียบกันไม่ติด ส่วนเรื่องดูดนมแม่นั้นลืมมันไปได้เลย ผมไม่ดูดนมท่านอีกเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นแล้ว และอีกอย่างผมหันไปดื่มนมกล่องที่ขายตามร้านโชว์ห่วยแทน แต่ก็ซื้อบ่อยไม่ได้หรอกครับ เพราะฐานะของคุณแม่ข้าวนั้นยากจนข้นแค้นมาก ชนิดที่ว่าพอกินประทังชีวิตไปวันๆ ชื่อใหม่ของผมแม่ข้าวเรียกผมว่าตาหนู ส่วนชื่อจริงกมลที่แปลว่าดวงใจ พอผมพูดได้ ผมก็ขอให้ท่านเปลี่ยนมาเรียกผมว่าวีร์ แน่นอนว่าท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรผม อยากจะใช้ชื่อไหนท่านก็ไม่ว่า แต่ขอชื่อจริงให้เป็นกมลเหมือนเดิม ห้ามเปลี่ยนเด็ดขาด ซึ่งผมก็ไม่คิดเปลี่ยนเพราะถือซะว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณอีกฝ่ายที่ให้กำเนิดผมมา
“ตาหนูตื่นได้แล้วลูก วันนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่หรือจ้ะ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก” ถึงท่านจะยากจน แต่ท่านก็ทำงานหาเงินส่งผมเรียนหนังสือจนได้ ตอนนี้ผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้วครับ ปีหน้าก็จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่นั่นผมคิดว่าคงไม่สามารถเรียนต่อได้ เพราะลำพังเงินเดือนของแม่ข้าวก็แทบจะกินแกลบแล้วครับ ดังนั้นเรื่องที่คิดจะเรียนต่อก็ฝันไปได้เลย อ้อ อย่าได้สงสัยนะครับว่าทำไมท่านถึงยังเรียกผมว่าตาหนู แทนที่จะเรียกผมว่าวีร์ ตามที่ผมเคยบอกเอาไว้ ท่านบอกว่ามันชินปากไปแล้ว ผมก็เลยตามเลย แต่สำหรับคนอื่นต้องเรียกผมว่าวีร์เท่านั้น “รีบอาบน้ำอาบท่าซะ แม่ทำของโปรดไว้ให้ลูกทานแล้วด้วยนะ”
“ครับแม่ข้าว” พอท่านไปแล้ว ผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะเดินลงบันไดลงไปชั้นล่าง บ้านใหม่ของผมในตอนนี้เป็นเพียงบ้านเช่าขนาดเล็ก เป็นบ้านใหม่ทั้งหลังที่ดูโกโรโกโส ต่างจากบ้านของผมที่ใหญ่โตเทียบคฤหาสน์ในชาติก่อนลิบลับ แต่ผมก็ไม่ได้นึกรังเกียจบ้านหลังนี้ ออกจะรักด้วยซ้ำไป เพราะมันเล็กดูอบอุ่น ไม่อ้างว้างเหมือนบ้านหลังนั้นครับ แม้จะมีกันแค่สองคนผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“วันนี้แม่จะกลับบ้านช้าหน่อยนะจ้ะตาหนู พอดีต้องอยู่ทำกะดึก” แม่ข้าวของผมทำงานเป็นพนักงานห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ก็เลยมีเวลากลับที่ไม่แน่นอน “ถ้าลูกง่วงนอนก็เข้านอนไปก่อนได้เลยนะจ้ะ ไม่ต้องรอแม่”
คุณแม่ข้าวพูดเสร็จก็รีบออกไปทำงานเลยทันที เพราะกลัวจะไปทำงานสาย ส่วนผมก็รีบกินข้าวให้เสร็จก็ล้างจานล้างชามก่อนจะรีบไปโรงเรียนกับเขาบ้าง ซึ่งบอกตามตรงว่าผมนึกเบื่อหน่ายกับการเรียนหนังสือ เพราะชาติก่อนผมเรียนจบมาสูงถึงขั้นดอกเตอร์ ก็เลยไม่แคร์ที่จะโดดเรียน ถ้าถามว่าผมเคยแวบกลับไปดูบ้านเก่าตระกูลสิงห์บ้างหรือไม่นั้น ขอตอบได้เลยครับว่าเคย ไปช่วงที่โดดเรียนนี่แหละ ซึ่งที่นั่นก็ยังคงดูเรียบร้อยดี ไม่มีเปลี่ยน ผิดกับตรงที่ไม่มีผมอยู่เท่านั้นครับ
“จบมอหกแล้วมึงจะต่อที่ไหนวะไอ้วีร์” เสกเพื่อนสนิทในกลุ่มชั้นเรียนผมถามขึ้นมาหลังจากพักเที่ยงวัน ตอนที่ผมรู้จักมันครั้งแรกตอนสมัยมัธยมต้น มันเป็นคนแรกที่แซวผมเรื่องชื่อจริง ว่าผู้ชายอะไรชื่อกมล ซึ่งผมจัดการมันไปหนึ่งหมัดโทษฐานแซวเรื่องชื่อของผม “เพราะกูจะไปมหาลัย xxx นะ”
“อืม คงไม่ แม่กูไม่มีเงินส่งกูเรียนแล้วล่ะ” ผมตอบตามความเป็นจริง ทุกวันนี้อยู่กับแม่ข้าวก็มีความสุขดี ท่านให้ความรักกับผมมากพอสมควร จึงไม่คิดจะเรียนต่อ อาจออกมาหางานทำเพื่อดูแลแม่ข้าวบ้าง ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่กลับไปขอเงินที่บ้านตระกูลสิงห์ ไปเปิดเผยลูกชายให้รู้ว่าตัวเองเป็นพ่อเพื่อจะได้เงินเอามาต่อทุนเรียนหนังสือ ไม่ครับ ผมคงไม่กลับไปขอเงินลูกชายหรอก เพราะใครที่ไหนจะเชื่อเรื่องพวกนี้ ดีไม่ดีผมอาจโดนลูกชายของตัวเองส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าแน่ครับ
“เหรอ น่าเสียดายนะ มึงออกจะหัวดีขนาดนี้” เสกพูดด้วยความเสียดาย ซึ่งผมเองก็นึกเสียดายเหมือนกัน เพราะถ้ามีใบวุฒิปริญญาก็จะสามารถเข้าทำงานที่มีเงินเดือนสูงๆได้ “ทำไมไม่กู้เอาวะ เดี๋ยวนี้ใครๆก็ขอทุนกู้เรียนกัน อย่างกยศ.ที่พวกกลุ่มไอ้บอลขอไง”
ผมเลิกคิ้วครุ่นคิด เรื่องนี้ผมเองก็เคยคิดอยู่เหมือนกัน แต่กลัวแม่ข้าวจะลำบากหาเงินให้ผมเพิ่มมากขึ้น เพราะใช่ว่าจะขอกู้เงินพวกนี้แล้ว ชีวิตของแม่ข้าวจะสบายขึ้นเสียเมื่อไหร่ ทุกวันนี้แค่มีเงินพอกินข้าวได้ก็แทบแย่แล้วครับ
“อย่าเลยดีกว่า กูไม่อยากให้แม่ข้าวกูต้องทำงานดึก แค่นี้แม่กูก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว” ผมส่ายหน้าตอบ ทุกวันนี้สุขภาพของแม่ข้าวเริ่มแย่ลงเข้าทุกที สามวันดีสี่วันไข้ จนผมนึกอยากจะกลับไปหาลูกชายที่ตระกูลสิงห์เพื่อขอเงินมาเลี้ยงดูแม่ข้าวแล้วครับ
“เออๆไม่ก็ไม่ ว่าแต่เมื่อวานมึงบอกเลิกกับน้องเฟิร์นที่ห้องเจ็ดแล้วเหรอวะไอ้วีร์”
“นั่นสิวีร์ กูได้ยินว่ามึงหักอกน้องเฟิร์นที่หน้าโรงเรียนเลยรึวะ” เพื่อนอีกคนของผมที่ชื่อเกมถามต่อด้วยความสงสัย โชคดีที่ไอ้หมอนี่ได้ยินชื่อจริงของผมแล้วไม่แซวเหมือนไอ้เสกครับ มันบอกว่าชื่อจริงของผมเพราะดี ต่างกับมันที่ชื่ออะไรก็ไม่รู้ มีความหมายไม่ค่อยเพราะ “ทำไมล่ะวีร์ น้องเฟิร์นคนนั้นออกจะน่ารัก นิสัยดี เอาใจมึงเก่งด้วย”
ผมได้ยินที่เกมพูดก็พลันส่ายหน้าให้ทันที เด็กผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าคนอื่นเป็นคนดีก็จริงอยู่ แต่พอได้คบดูกันแล้ว กลับพบว่าเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ เรียนหนังสือไม่ค่อยจะเก่ง สักแต่จะเที่ยว แม้บ้านจะไม่รวยแต่กลับใช้เงินฟุ้งเฟ้อเกินตัว คนประเภทนี้ผมคิดว่าเลิกไปกันเสียดีกว่า เพราะคบไปก็ไม่มีทางที่จะรักกันได้เลยซักนิด
“กูกับน้องเฟิร์นคงเข้ากันไม่ได้นะ” ผมบอกไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่แค่น้องเฟิร์นคนเดียวที่ผมเคยคบ คนอื่นก็เคยมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งยังดีที่ไอ้เสกกับไอ้เกมไม่ได้นึกรังเกียจที่ผมเป็นไบ จึงไม่ได้ใส่ใจว่าผมจะเลิกคบกับน้องเฟิร์นเท่าที่ควร “เปลี่ยนเรื่องเถอะ วันนี้พวกมึงสองคนจะเข้าเรียนก็เรียนไป เพราะบ่ายนี้กูจะโดดเรียนนะ”
“อะไรวะ โดดเรียนอีกแล้วหรือ” เสกกับเกมพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
“ทำไมวะ กูจะโดดเรียนแค่นี้ถึงกับต้องร้องเสียงด้วยเนี่ยพวกมึง” ผมพูดอย่างขำๆ
“ก็มึงเล่นโดดเรียนเป็นว่าเล่นนี่หว่าไอ้วีร์ นี่ถ้าไม่ติดว่ามึงเรียนเก่งเกรดสูงสี่จุดศูนย์ศูนย์ พวกอาจารย์ฝ่ายปกครองคงเรียกตัวมึงไปสอบสวนแล้วล่ะ” เสกบอกผมด้วยความเอือม มันกับเกมเป็นเด็กที่ชอบโดดเรียนก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นโดดเรียนตอนบ่ายเกือบทุกวันเหมือนกับผมหรอกครับ “มึงไปเถอะไอ้วีร์ กูกับเกมขอบาย วันนี้ขี้เกียจวะ”
“ใช่ ขี้เกียจล่ะ นั่งหลับในห้องเรียนดีกว่า” เกมพูดเสริมต่อ เห็นสองคนนี้ดูเล่นๆก็จริงแต่ก็เป็นเด็กนักเรียนที่หัวดีพอสมควรครับ พวกอาจารย์จึงไม่ค่อยว่าถ้าเห็นพวกมันนอนหลับในห้องเรียน
“อืม งั้นกูไปล่ะ” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะซื้อขนมมาฝากพวกมึงด้วย”
“เออ ไม่ต้องมาฝากหรอกไอ้วีร์ พวกกูไม่กินเว้ย” มันพูดไปอย่างนั้นเองแหละครับ เพราะถึงเวลาจริงพวกมันฟาดขนมของฝากเรียบไม่เหลือหรอ แต่ผมยังไม่ทันได้โดดเรียน เสียงมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน
“มึงลืมมือถือวะไอ้วีร์ เดี๋ยวกูกดรับสายให้นะมึง” ไอ้เสกบอกก่อนจะกดรับสายทันที “ครับ ผมเพื่อนของกมล…ครับ…ฮะ?! ว่ายังไงนะครับ ครับ…เดี๋ยวผมจะบอกเขาให้ครับ ครับ สวัสดีครับ”
พอเสกกดวางสายก็เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าซีดเผือก
“มึง…แม่มึง”
“แม่กูทำไมวะไอ้เสก พูดมาสิ!”
“แม่มึงตกบันไดตอนนี้อยู่ห้องไอซียู!”
!!!!!!
...............................................
