หัวหน้าแก๊งค์
ตอน (คู่)เพื่อนของหัวหน้า
”โอ้ยยย อิจฉาว่ะแม่ง!”
ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะประจำของตึกคณะชายหนุ่มรูปร่างเล็กก็ป้องปากเอ่ยเสียงดังเรียกความสนใจของคนที่นั่งอยู่โดยรอบให้หันมอง แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของประโยคนั้นคือใคร คนส่วนใหญ่จึงเลิกให้ความสนใจแล้วหันกลับไปวุ่นวายกับกิจกรรมตรงหน้าตัวเองต่อเนื่องจากเคยชินเสียแล้วกับเหตุการณ์ที่คล้ายกับเดจาวูนี้
“ก็เห็นเป็นแบบนี้แทบทุกวัน มึงน่าจะชินได้แล้วนะ”
หมี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า วันนี้คณะของเขามีเรียนแค่รอบเช้าจึงได้โอกาสมานั่งกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนในแก๊งค์ก่อนจะลากสังขารกลับบ้าน
“กูชินแล้ว แต่กูอิจฉา! มึงเข้าใจมั้ยว่ากูอิฉา!?”
หนุ่มตี๋ทำหน้ามุ่ยรับเสียงหัวเราะของเพื่อน แม้จะบอกว่าอิจฉาแต่ก็ไม่วายเอาแต่มองร่างของคนสองคนที่นั่งอยู่ห่างจากเก้าอี้หินของตนไปไม่เท่าไหร่
แหม ไอ้กิว ปากบอกว่าต้องแยกโต๊ะนั่งติวเพราะกลัวน้องไม่รู้เรื่องที่พวกกูเสียงดัง แต่กูเห็นนะว่ามึงแอบหอมแก้มน้องเมื่อกี้! แยกโต๊ะติวห่าอะไร แยกโต๊ะไปลวนลามน้องได้ง่ายๆ สิไม่ว่า สตอเบอรี่จริงนะมึง!
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมน้องถึงได้หลงคารมเพื่อนวัยเด็กของตัวเองได้ง่ายขนาดนี้ก็ไม่รู้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นด้วยที่กิวกับพายคบหากัน เขาออกจะยินดีด้วยซ้ำที่เพื่อนสนิทได้เจอคนที่มาช่วยให้ชีวิตไร้สาระของมันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นผู้ชาย แถมเป็นน้องของเพื่อนสนิทอีกคนนึงก็เถอะ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีตั้งแต่พายเป็นเพียงเด็กม.ปลายจนตอนนี้มาเป็นนักศึกษาปีสองแล้ว และเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เจอมาด้วยกันก่อนที่ทั้งคู่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคนที่กำลังดูใจเป็นคนรักก็ช่วยยืนยันได้อยู่แล้วว่าคู่นี้เหมาะสมที่จะยืนอยู่เคียงข้างกันขนาดไหน
แถมไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไร อาจจะเพราะโปรเจกเยอะจนไม่ค่อยได้เจอกัน หรือเพราะเป็นปสุดท้ายแล้วที่จะได้ใช้เวลาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยกับคนรัก เพื่อนตัวดีของเขาถึงได้ขยันพาน้องมาสวีทให้เห็นเสียเหลือเกิน ถึงแต่ก่อนมันจะทำเหมือนกันก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกวี่ทุกวัน ทุกเวลาพักแบบนี้! ยิ่งเมื่อครู่ที่เขาโวยวายพอน้องส่งยิ้มให้มันยังมองน้องแล้วหันมาจ้องเขาแบบไม่พอใจอีก โธ่ ไอ้พวกขี้หวงแม้กระทั่งกับเพื่อน ไม่รู้หรือไงว่าแค่นี้กูอิจฉามึงฉิบหายแล้วครับไอ้เพื่อนกิว!
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น งอแงอะไรอีก?”
มือใหญ่วางแปะลงมาบนหัวของรูทที่ยังทำหน้าบึ้งอยู่ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นมือของใคร ในเมื่อคนที่กล้าทำกับเขาแบบนี้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
“อ๋อ... สงสัยเพราะเห็นฉากบาดใจ”
“กวนตีนละไอ้พัฟ ไปลากน้องมึงมานั่งนี่เลย ไปไป๊” ปัดมือที่วางบนหัวออกแล้วบุ้ยใบ้ไปทางที่ออร่าสีชมพูเปล่งประกายออกมา
“เวลาอยู่กับคนที่ชอบไม่มีใครอยากให้คนเข้าไปขัดหรอก ยิ่งไอ้กิวยิ่งแล้วใหญ่”
“พูดเหมือนมึงรู้ดี มีคนที่ชอบแล้วหรือไง?”
ว่าแล้วก็ละสายตาจากคู่รักบรรลือโลกมาสบตาเจ้าของใบหน้าคมคาย แต่ดูเหมือนพัฟไม่ใคร่อยากจะตอบคำถามของเขาเท่าไหร่นัก อีกฝ่ายจึงเพียงแค่ยักไหล่ด้วยท่าทางที่สาวแท้สาวเทียมต้องกรีดร้องทันทีที่ได้เห็นแล้วเอ่ยแบบง่ายๆ
“มึงก็น่าจะรู้” ว่าแล้วก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ “มีเวลาอีกเกือบชั่วโมง ร้านหน้าม.กับกูไหม?”
“ถ้าร้านเค้กก็โอเค เลี้ยงกูด้วย”
รูทลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและออกเดินนำไปก่อนโดยไม่ให้พัฟได้เอ่ยปฏิเสธ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มราวกับลืมไปหมดแล้วว่าเมื่อสักครู่ยังอิจฉาตาร้อนเพื่อนจนหน้าบูดบึ้งไปหมด ด้านพัฟที่โดนทิ้งไว้ข้างหลังได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงตกแต่ก็ยอมผละกายออกจากกลุ่ม เดินตามแผ่นหลังบางมุ่งสู่ร้านเค้กเจ้าประจำ ทำทีเป็นไม่สนใจสายตารู้ทันและเสียงผิวปากเบาๆ จากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งอยู่โดยรอบ
ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัยยามเที่ยงมีผู้ใช้บริการไม่น้อยกว่าตอนเย็นเท่าใดนัก เมื่อทั้งคู่มาถึงร้านก็โดนเชิญขึ้นไปนั่งบนชั้นสองที่ยังพอมีที่นั่งเหลืออยู่ ยังดีที่ร้านนี้มีของคาวให้ด้วย พัฟจึงสั่งอาหารกลางวันให้ตัวเองโดยไม่ลืมสั่งเรนโบว์เค้ก และสตอเบอรี่ชีสเค้กเพิ่มซอสสตอเบอรี่แบบที่คนตรงข้ามเชาชอบด้วยอีกสองชิ้น ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากผู้หญิงในชุดเครื่องแบบที่นั่งโต๊ะข้างๆ ตอนที่เขาสั่ง แต่ก็ไม่ใคร่สนใจนัก ทั้งคู่นั่งรออยู่สักพักเครื่องดื่มผสมโซดาถูกนำมาเสิร์ฟ พร้อมทั้งเรนโบว์เค้ก และสตอเบอรี่ชีสเค้กราดซอสสีแดงชุ่มๆ
“อื้มมม เค้กหวานๆ อร่อยที่สุดในโลก!”
รูททำหน้าเคลิ้มทันทีที่เนื้อเค้กละลายอยู่ในปาก เขาชอบเค้กเนื้อนิ่ม รสหวานหอมมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว ถึงใครจะบอกว่าเป็นผู้ชายชอบของหวานจะดูแปลกก็เถอะ แต่เขาชอบไปแล้วก็ไม่สนใจคำพูดคนอื่นหรอก
“ลองหน่อยไหมพัฟ?” ว่าแล้วก็ตักเค้กส่งให้ ได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ จากโต๊ะข้างๆ ดูท่าจะเอาแต่มองมาที่พวกเขาตั้งแต่ตอนสั่งออเดอร์แล้ว
“ไม่เอา กินไปเถอะ”
“โธ่ๆ กลัวว่าสาวๆ จะเอาไปเม้าท์หรือไงว่าเจ้าของหนุ่มหล่อประจำคณะวิศวะชอบกินเค้กกับเพื่อนหนุ่ม”
ชายหนุ่มได้รางวัลนี้มาตั้งแต่ตอนขึ้นปีหนึ่ง ความจริงทั้งพัฟและกิวต่างโดนตั้งความหวังให้ลงแข่งชิงรางวัลเดือนคณะและเดือนมหาวิทยาลัยแต่ทั้งคู่กลับเลือกจะปฏิเสธ กิวให้เหตุผลง่ายๆ ว่าวุ่นวาย และพัฟก็เห็นด้วยกับเพื่อนเลยขอสละสิทธิ์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ แต่ก็ไม่วายโดนยัดเยียดรางวัลต่างๆ นานาให้ทีหลังอยู่ดี
“พูดอย่างกับตัวเองสน” พัฟตอกกลับ “ใครวะที่ลากเข้าร้านเค้กเป็นว่าเล่นตั้งแต่ตอนอยู่ม.ปลาย”
“อ้าว ใครวะ ต้องเก่งและหน้าตาดีมากจริงๆ นะเนี่ยถึงลากคนแบบมึงเข้าร้านเค้กที่เกลียดแสนเกลียดได้”
“แล้วแต่มึงจะคิดเลย”
รูทหัวเราะ เป็นจังหวะเดียวกับที่อาหารจานด่วนของอีกคนมาเสิร์ฟพอดีเขาจึงไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงปล่อยให้เพื่อนลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าไป ส่วนตนก็ละเลียดเนื้อเค้กที่โปรดปรานที่ละนิด
เขาเป็นคนชอบกินเค้กตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะพ่อและแม่ต่างก็ชอบทานด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย แต่หลังจากที่ท่านทั้งสองเสียไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝัน และรูทต้องย้ายมาอยู่กับคุณยายสองคน ทำให้อัตราการกินเค้กลดลงเพราะคุณยายไม่ชอบทานของหวานเท่าใดนัก ดังนั้นเวลามีโอกาสได้กินเค้กเขาจึงไม่เคยสั่งน้อยกว่าสองชิ้น ยิ่งพอได้รู้จักกับพัฟที่เอาแต่ตามใจ ยอมเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมอยู่บ่อยๆ รูทก็เลยได้ที จัดเต็มที่แบบไม่เกรงใจ
ยังจำครั้งแรกที่อีกฝ่ายชวนไปกินข้าวแล้วเขาขอให้พาไปร้านเค้กได้อยู่เลย พัฟดูจะสับสนแต่ก็ยอมพาไป เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเจ้าของเค้กร้านนั้นเป็นลูกค้าประจำที่สั่งอุปกรณ์ทำเค้กจากบริษัทที่แม่ของชายหนุ่มเป็นเจ้าของ และที่พัฟไม่ปฏิเสธที่จะพาเขาไปร้านเค้กเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ก็เพราะเขาชินเสียแล้ว ก็ที่บ้านทำธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์เบเกอรี่ แถมทั้งแม่และน้องชายก็ทั้งชอบทำและชอบกินอีก เรียกได้ว่าคุ้นเคยและคลุกคลีในวงการนี้โดยตรงเลยก็ว่าได้
แถมช่วงหลังกลับเป็นเขาเสียอีกที่ถูกพาไปชิมร้านนั้นร้านนี้ในเครือลูกค้าบริษัท แน่นอนว่ารูทไม่ปฏิเสธหรอก
“อยากกิน...”
พัฟที่จัดการกับจานหลักของตัวเองเสร็จแล้วเอ่ยพลางจ้องมาที่ สตอเบอรี่ชิ้นโตที่ถูกประดับมาเป็นพืเศษบนเค้กของเขา แม้คนตัวโตตรงหน้าจะไม่พิสวาศเค้กเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นผลไม้ที่ประดับบนเค้กของเขาจะไม่ยอมพลาดแน่นอน
เน้นว่าบนเค้ก ‘ของเขา’ ด้วยนะ กับคนอื่นไม่เห็นมันกิน แต่ตอนมากินกับเขามันจ้องเอาผลไม้ตลอด
“ก็กินสิ มึงพูดแล้วมันจะลอยเข้าปากเองหรือไง?” ยื่นช้อนอีกอันที่ไม่เลอะให้ แต่พัฟกลับส่ายหน้า
“มึงป้อนดิ”
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ต้องให้เขาป้อนตลอด จะกินบ้าบออะไรต้องให้เขาป้อน ดีนะที่ข้าวเมื่อกี้ไม่บอกให้เขาป้อนด้วย
“ให้กูป้อนตลอด กูป้อนแล้วรสชาติมันจะดีขึ้นหรือไง?” ถามคำถามเดียวกับที่ถามทุกครั้ง
“อือ ให้มึงป้อนอร่อยกว่า” และคำตอบที่พัฟตอบทุกครั้งก็ยังเหมือนเดิม
แล้วก็ตามด้วยเหตุการณ์เดิมๆ สตอเบอรี่ลูกโตถูกส่งเข้าปากที่อ้ากว้าง ได้ยินเสียงกรี๊ดจากโต๊ะข้างๆ อีกแล้ว แต่มันคงดังไม่มากพอจะกลบเสียงที่ดังอยู่ในอกของเขาตอนนี้
“มึงแม่งชอบทำตัวประเจิดประเจ้อ”
“มึงก็ชอบทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
เจอประโยคตอกหลับแบบนี้รูทก็ได้แต่หัวเราะ ไม่อาจเถียงต่อได้ด้วยสิ่งที่พัฟพูดมาเป็นเรื่องจริง เขารู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้ารู้สึกเช่นไรกับเขา รู้ถึงการแสดงออกในแง่มุมที่ผิดปกติจากเพื่อนผู้ชายทั่วไปมักจะทำกัน และรู้ด้วยว่าตนเองก็ยินดีที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพัฟเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
หากก็ต้องยอมรับว่าตนกำลังกลัว กลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะสายตาของคนภายนอก ความรู้สึกของผู้เป็นยายที่ถ้ารู้ว่าหลานชายเพียงคนเดียวคบกับผู้ชายแล้วอาจจะไม่ยอมรับ ที่สำคัญที่สุดคือ การจะเปลี่ยนจากตำแหน่งเพื่อนที่สนิทกันมากไปสู่การเป็นคนรักมันไม่ง่ายเหมือนที่ใครต่อใครพูดกันหรอก
“มึงก็รู้ว่ามันยากนี่หว่า... รีบกินเหอะเดี๋ยวไม่ทันเข้าเรียน คลาสนี้อาจารย์เรียกชื่อด้วย”
รูทตัดบทแล้วก้มหน้าก้มตาจัดการเค้กตรงหน้าต่อ รับรู้ถึงสายตาที่มองจ้องทุกการกระทำแต่ก็เลือกจะเมินเฉยและปล่อยให้มันเงียบหายไปเหมือนทุกที
หลังเลิกเรียนกิจวัตรประจำวันของพวกนักศึกษาก็ยังเหมือนเดิม บางส่วนกลับบ้าน บางส่วนเที่ยวเล่น วันนี้รูทเลือกที่จะอยู่ฝ่ายกลับบ้านเพราะงานที่อาจารย์สั่งไว้เมื่อคาบก่อนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี รูทจัดการบอกลาเพื่อนในกลุ่มจนครบแล้วเดินเคียงข้างร่างสูงโปร่งไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านเหมือนปกติ
ตาเรียวเหลือบมองคนด้านข้าง ถึงพัฟจะยังคงใบหน้านิ่งเฉยและเอ่ยลาเพื่อนพ้องรวมไปถึงรุ่นน้องเหมือนยามปกติแต่บรรยากาศรอบตัวที่แปลกไปทำให้รู้ว่าแม้จะไม่พูดหากอีกฝ่ายยังคิดเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันตอนอยู่ร้านกาแฟ เพราะพัฟจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ทำทีเหมือนไม่มีอะไรแม้จะไม่พอใจในคำตอบก็ตาม
“มึง วันนี้น้องพายไม่อยู่บ้านใช่ป่ะ?”
“อืม ที่บ้านกิวชวนน้องไปกินข้าวด้วย”
“งั้นมึงก็ไปบ้านกูได้ดิ ยายกูบ่นว่าคิดถึง อยากให้พ่อรูปหล่อปกินข้าวกับยายบ้าง กูล่ะหมั่นไส้”
สมัยยังเด็กคนที่จะไปฝากท้องที่บ้านเขาเป็นประจำคือกิว ถัดมาหลังจากที่รู้จักกับพัฟแล้วก็ลากกันไปทั้งสองคน แต่พอกิวเจอพายและตามเทียวไล้เทียวขื่อน้องคนที่มักจะไปฝากท้อง กินข้าวเย็นอยู่เสมอเลยเหลือแค่พัฟคนเดียว และไม่รู้ว่าผู้เป็นยายติดใจอะไรเจ้าหนุ่มหน้านิ่งนี่หนักถึงได้ชมเช้าชมเย็น หาโอกาสให้พากลับบ้านไปกินข้าวด้วยประจำ
“กูไม่เข้าใจ”
หลังมื้ออาหารเสร็จสิ้นลงทั้งคู่ก็ขึ้นไปคลุกอยู่บนห้องของรูทอย่างที่เคยทำ กองหนังสือเรียนและแบบร่างโปรเจควางเกลื่อนอยู่บนพื้นทำให้พวกเขาต้องขึ้นมานั่งขัดสมาธิตัดกระดาษที่เตรียมประกอบอยู่บนเตียง ระหว่างที่รอเขาวาดแบบให้ตัด อีกฝ่ายก็เอ่ยทำลายความเงียบ
“หือ? แบบที่ร่างเมื่อกี้เหรอ? ขนาดไม่เข้าใจมึงยังวาดได้เนอะ”
“ไม่ใช่ กูไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราคบกันไม่ได้ทั้งที่เรารู้สึกเหมือนกัน”
รูทใช้หางตาเหลือบมองคนข้างกาย รับรู้ได้ว่าพัฟกำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน รูทได้แต่คิดในใจว่าพลาดแล้ว ปกติหากเขาตัดบทเหมือนเมื่อตอนกลางวันพัฟจะไม่หยิบยกเรื่องนี้มาพูดอีกจึงลืมไปเลยว่าเขายังคุยเรื่องนี้ค้างอยู่
ตาคมที่สบมาแน่วแน่และมั่นคงราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้เขาชิ่งตัดบทหนีอีกแล้ว เห็นท่าทีแบบนั้นรูทก็ได้แต่ขบริมฝีปากอย่างชั่งใจ ไม้บรรทัดและดินสอในมือถูกวางลงข้างตัวอย่างจำยอม คงได้เวลาที่ต้องคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียทีหลังจากผลัดไว้มาเนิ่นนาน
“พัฟ มึงก็รู้ว่ามันยาก กับการที่เพื่อนสนิทจะเปลี่ยนฐานะมาเป็นคนรักกัน ถึงเราจะรู้สึกเหมือนกันก็เถอะ.....”
“แค่เรารักกันมันไม่พอหรือไง? มึงจะคิดอะไรมากมาย”
นานๆ ทีจึงจะเห็นอีกฝ่ายดื้อแพ่งแบบนี้ หน้านิ่วคิ้วขมวดและการใช้คำพูดเหมือนเด็กๆ จนรูทเผลออมยิ้ม
“เพราะมึงก็คิดน้อยไปกูเลยต้องคิดแทนนี่ไง เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน น้องมึงก็คนนึงแล้ว ถ้ามึงอีกคนแม่จะรับได้เหรอ ไหนจะยายกูอีก มันยากว่ะพัฟ” รูทว่าตามที่ตนคิด “ไหนจะเรื่องที่เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอดอีก ถ้าเราคบกันแล้ววันนึงมึงกับกู ใครสักคนเกิดเปลี่ยนไปความเป็นเพื่อนของเราก็คงไม่เหลือเหมือนกัน กูไม่อยาให้เป็นแบบนั้น”
“.....มึงพูดแบบนี้เหมือนดูถูกความรู้สึกของกูนะรูท”
“กูไม่ได้ดูถูกพัฟ กูพูดในสิ่งที่มันเป็นไปได้ กูพูดในสิ่งที่กูกลัว”
ใช่ เขากลัว กลัวว่าหากวันนึงที่เขาตกลงจะเดินไปด้วยดันแล้วฝ่ายใดฝ่ายนึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาสิ่งที่สร้างมาด้วยกันมันจะไม่เหลืออะไรเลย และรูทก็ไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เขาเลยเชื่อมาตลอดว่าความสัมพันธ์ในตอนนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด
จบประโยคของรูททั้งคู่ก็เงียบไป เป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัด แต่รูทถึงว่าตนเองพูดในเรื่องที่ต้องการหมดแล้ว เหลือแค่พัฟเท่านั้นที่จะยอมรับมันได้หรือไม่
“.....กูก็กลัวไม่ต่างกับมึงหรอกรูท” คนตัวโตเป็นฝ่ายเอ่ยทลายความเงียบ “แต่กูตัดสินใจแล้ว ถ้ามึงพร้อมจะเดินเคียงข้างกู ต่อให้เจออะไรกูก็ข้ามมันไปให้ได้และจะพามึงไปด้วย”
“..........”
“แค่มึงตอบมาคำเดียวว่าได้ สิ่งที่มึงกลัวจะเหลือแค่ให้ยายมึงยอมรับเรื่องของเราเท่านั้น”
คำพูดที่หลุดปากออกมาพร้อมสายตาคมเข้มที่มองมาชวนให้รู้สึกว่าหากเป็นคนตรงหน้าต้องทำตามที่ตนเองพูดให้ได้แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม และจากที่รู้จักกันมาหลายปี ผู้ชายคนนี้ก็ทำอย่างที่ว่าได้แทบทุกครั้งเสียด้วย แต่ครั้งนี้มันไม่ง่ายเหมือนที่เคยผ่านมานี่สิ
“.....เรื่องแบบนี้พูดง่ายทำยากนะเว้ย”
“กูทำได้แน่”
คำพูดที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่มีวันเปลี่ยนใจทีหลังหากลั่นวาจาแล้วนั้นจริงจังมากเสียจนรูทเกือบจะหลุดหัวเราะแต่เมื่อคิดว่าหากหัวเราะไปจะทำให้พัฟคิดเป็นอื่นเขาก็ต้องกลั้นเอาไว้ แล้วมองสำรวจใบหน้าแน่วแน่มั่นคงของคนที่กำลังเฝ้ารอคำตอบจากเขา
พัฟจริงจังกับเรื่องนี้มาก ความรู้สึกนั้นแสดงออกบนใบหน้าคมเข้มติดจะนิ่งเฉย ตอนแรกที่เจอกันเขาคิดว่ามันแค่เป็นคนขี้เก๊กดีแต่ปากคนนึง แต่เมื่อรู้จักกันไปเรื่องๆ รูทก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ พัฟไม่ใช่คนขี้เก๊กอะไรเลย เพียงแค่เป็นคนหน้านิ่งแม้นิสัยจะไม่นิ่งก็ตามเพราะความเคยชิน เห็นว่าตอนพายเด็กๆ แค่เห็นหน้ามันก็ไม่กล้าดื้อแล้วมันเลยติดทำหน้าแบบนี้มาตลอด แถมไม่ค่อยชอบยิ้ม มุมปากก็เลยตกอยู่เสมอ
และพัฟก็ไม่ใช่คนดีแต่ปาก หากเป็นคนพูดน้อย นานๆ ถึงจะพูดประโยคยาวๆ กับเขาบ้าง พูดจริงทำจริง ต้องมั่นใจแล้วว่าตัวเองทำได้แน่ๆ ถึงกล้าเปิดปากบอกสิ่งที่จะทำให้คนอื่นได้รับรู้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าตัวคงมั่นใจมากว่าจะทำให้ยายเขายอมรับได้ ถึงได้ลั่นวาจาออกมาเช่นนั้น
ใจนึงก็อยากจะบ่นที่มันที่มันให้ความสำคัญเรื่องของเขามากกว่าโปรเจคที่กองอยู่บนพื้น แต่ก็นะ เพราะเป็นคนแบบนี้แหละ ถ้าไม่นับเรื่องครอบครัวตัวเองพัฟก็เห็นเรื่องของเขาสำคัญมากที่สุดมาตลอด คอยเอาใจใส่และทำทุกอย่างเท่าที่ตนทำได้เพื่อเขาชนิดที่เพื่อนเห็นก็ยังรู้ว่ามันเป็นประเภทเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ทำไปทำมาเขาก็เลยคล้อยตาม พลอยคิดไม่ซื่อกับมันไปด้วยอีกคน
และในเมื่อพัฟพูดจูงใจเขามาเสียขนาดนี้ จะลองคล้อยตามอีกรอบคงไม่เป็นไร
รูทมองหน้าแน่วแน่นั่นอีกครั้งราวกับจะค้นหาก่อนจะแสร้งทำทีเป็นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แม้กระนั้นพัฟก็ยังคงนิ่งราวกับหมาตัวโตที่กำลังรอคำสั่งจากเจ้าของ สุดท้ายรูทก็ต้องยอมเผยรอยยิ้มแล้วเปล่งคำตอบออกไป ก่อนจะต้องโวยวายจากอาการเขินเพราะโดนรั้งเข้าไปกอดเสียแน่น
“ได้ กูจะลองเดินข้างมึงดู”
(คู่)เพื่อนของหัวหน้า จบ
-------------------------------------------------------------------
Talk : สวัสดีค่ะ
หลังจากปล่อยให้เขาจีบกันพักใหญ่มากๆ ในที่สุดพี่พัฟกับพี่รูทก็ตกลงว่าจะเดินเคียงข้างกันสักทีนะคะ เป็นคู่รักที่แสดงออกแต่ไม่บอกใคร จะเรียกแบบนี้ก็ไม่ผิดค่ะ หลายๆ คนอาจจะอยากให้ลงไปในตอนเลยว่าเป็นคนรักกัน อยากให้บอกรัก ต้องบอกเลยว่าสำหรับคู่นี้ยากค่ะ ปากหนักกันทั้งคู่ แต่ไม่แน่เขาอาจจะไปกระซิบกันทีหลังก็ได้นะ ฮิๆๆ
หลังจากนี้จะมีอีกสองตอนที่จะลงเล้าเป็ด และอีกสองตอนที่ตั้งใจจะลงในหนังสือ แล้วจะเกลาภาษาก่อนส่งให้พิจารณาต้นฉบับค่ะ แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างเลยไม่แน่ใจว่าหนังสือจะได้คลอดไหม เอาเป็นว่า หากมีโอกาสคงได้เจอกันนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้า ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจมาตลอดค่ะ