สุดท้ายพวกเขาก็ลงความเห็นกันว่าควรกลับมาที่บ้านจะสะดวกสุด แต่เขาขับรถไม่ไหว ทั้งวันนี้คุณอาเองก็ไม่กลับ เห็นว่าต้องไปค้างที่วิทยาเขตอื่นเพราะเรื่องงานสารพัน ผู้จัดการสาวเองก็ค้านหัวชนฝาเรื่องกลับไปนอนบ้าน เพราะไข้เขายังไม่ลด คุยไปคุยมาซานก็แบกเขามาที่ห้องเจ้าตัวจนได้
ครั้งที่สองแล้วที่ได้มาที่นี่ และก็แทบจะไม่มีเวลาสังเกตอะไรๆ เช่นเดิม เพราะพอเหยียบเข้ามาในห้องได้ ขาเขามันก็หมดแรงเสียตรงนั้น กว่าจะประคองกันมาถึงเตียง จากที่เบลอหน่อยๆ กลายเป็นว่าทั้งปวดหัว ทั้งตาลาย คลื่นไส้จนอยากจะอาเจียน
ซานดูจะตกใจกว่าเขาเสียอีก เด็กนั่นวิ่งวุ่นไปรอบห้อง หาผ้าขนหนู หากะละมัง ท่าทางตื่นๆ แบบนั้นทำเอาเขาอดยิ้มขำไม่ได้ สมองเองก็เผลอนึกไปถึงใครอีกคนที่เคยวิ่งวุ่นเพราะเขาแบบนี้
แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เพราะถึงแม้ซานจะดูตื่นตูมขนาดนั้น ทว่าท่าทางคล่องแคล่วเหมือนเคยดูแลคนอื่นจนชินนั่นก็ทำเอาเขาสงสัยไม่น้อย สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้ แต่เจ้าตัวกลับเลี่ยงด้วยการบิดน้ำเย็นๆ ใส่เขาเสียนี่
ทนหนาวตัวสั่นกึกๆ บนเตียงอยู่นานถึงได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยน หลวมนิดหน่อย แต่ก็พอดีตัวในระดับหนึ่ง เตียงก็ยังนุ่มนิ่มเหมือนเดิม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้สบายใจแปลกๆ
“ไหนบอกว่าจะเล่าให้ฟังไง?” คนเด็กกว่าทวงสัญญา ว่าแล้วก็ทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนเตียงข้างๆ เขา ดวงตาสีเข้มหรี่มองมาอย่างคาดคั้น ท่าทางอยากรู้อยากเห็น เหมือนเจ้าหนูจำไมที่กำลังรอคำตอบจากผู้ใหญ่
“นิสัยเสียของพี่น่ะ...” วันสุขพึมพำตอบ
“ยังไงครับ?”
“พี่ชอบให้คนเข้าหาน่ะ” ว่าแล้วก็เงยมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย คงเพราะไม่ได้เปิดไฟ อาศัยเพียงแค่แสงจากบานหน้าต่าง บรรยากาศก็เลยชวนง่วงเข้าไปอีก “พอมีใครมาทำดีด้วยแล้ว...มันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาน่ะ”
“มิน่าล่ะ...ถึงชอบทำตัวแบบนั้นบ่อยๆ ” ซานว่าพลางขมวดคิ้วใส่ หลังมือสวยยกขึ้นมาอังหน้าผากของเขา “พี่ชอบให้คนเข้าหา แต่ชอบสร้างกำแพงกั้นชาวบ้าน ย้อนแย้งกันดีนะครับ” และยังไม่ลืมที่จะเหน็บทิ้งท้ายด้วย
“พี่ก็เป็นแบบนั้น อยากเป็นที่รัก... แต่ก็กลัวความรัก” วันสุขหัวเราะเบาๆ พลิกกายเข้าไปหาคนที่นั่งข้างๆ “ตอนที่รู้ว่าปรัชญ์หาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว...มันก็อดเสียดายไม่ได้น่ะ เหมือนทำดอกไม้ในช่อหายไปหนึ่งดอก หายไปง่ายๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เอาไปปักแจกัน”
“พูดจาโหดร้ายจริงนะ” ซานว่าเสียงขำ ทำท่าจะก้มมาทำอะไรสักอย่าง แต่ถูกเขาเอามือผลักออกไปเสียก่อน
วันสุขไม่อยากให้เด็กนี่ติดหวัดเขาเท่าไหร่ แค่มาดูแลให้ขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ก็ยังไม่พ้นช่วงสอบ ซานที่ต้องอ่านหนังสือ แล้วยังมีเรื่องเขามาให้วุ่นวายแบบนี้ เขากลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในตัวการให้ผลการเรียนคนคนนี้ตก
“ไม่ไปอ่านหนังสือเหรอ? เกรดตกเพราะพี่ ระวังที่บ้านจะดุเอานะครับ” ว่าเสียงดุเพราะความเป็นห่วง ทว่าซานกลับชะงักไปเมื่อเขาจบประโยค
“ตกไม่ตก ยังไงเขาก็ไม่สนหรอก” ว่าพลางทิ้งตัวลงนอนข้างเขา วันสุขกระเถิบออกห่าง แต่อีกฝ่ายก็กลิ้งตามเข้ามากอดเอวเขาไว้แน่น
“พ่อเหรอ?” เขาถาม จริงๆ แล้วก็แทบจะไมรู้อะไรเกี่ยวกับซานเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจับได้ว่าเด็กคนนี้ดูจะไม่ถูกกับครอบครัวเท่าไหร่...มิน่าล่ะถึงไม่เคยเล่า ไม่เคยแม้แต่จะหลุดออกมาให้ได้ยิน
“พ่อตายตั้งนานแล้ว เหลือแต่แม่ ตอนนี้แต่งงานใหม่ แล้วก็อยู่ดูรีสอร์ทที่เชียงราย” ซานพูดงึมงำ ในน้ำเสียงจับความไม่พอใจได้บางส่วน ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มผมนุ่มนิ่มมุดเข้ามาซุกให้เขากอดอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ
“เสียงเราเหมือนไม่ชอบแม่เท่าไหร่นะ” วันสุขว่า ไม่ได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดหรือเห็นใจอะไร ซานดูจะไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่างเขาดีใจเสียอีกที่ได้ฟังเรื่องของคนคนนี้มากขึ้น ถึงตอนนี้สติมันจะสะลึมสะลือ ตาใกล้จะปิดเต็มทีแล้วก็เถอะ
“ก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ นี่นา พอพ่อตายเขาก็แต่งงานใหม่เลย แล้วก็ส่งผมมาอยู่กับญาติพ่อ” ซานเล่าเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ดูจะเป็นเรื่องเศร้าแท้ๆ แต่มุมปากของเจ้าตัวกลับยกยิ้มทันทีที่พูดถึง ‘ญาติ’ ที่ว่านั่น
“เล่าเรื่องญาติให้ฟังหน่อยได้ไหม?” วันสุขถามอย่างสงสัยในท่าทีนั่น ใจเองก็แอบลุ้นอยู่หน่อยๆ สมองก็คาดเดาไปเรื่อย แต่ปากกลับหาวหวอด
“ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องนิสัยแปลกๆ กับแม่เขาอีกคน ก็สนุกดีครับ ตอนนั้นผมแค่สิบหน่อยๆ เองมั้ง อยู่ไปได้ไม่กี่ปี แม่เขาก็ตาย ก็เหลือแค่พวกเราสองคน เหมือนพี่วันกับอาจารย์” ซานอมยิ้ม ท่าทางเหมือนเด็กๆ ชวนให้เขายิ้มตาม
“ผมอยากได้อะไรเขาก็ตามใจทุกอย่าง เงินที่มีใช้อยู่ตอนนี้ก็เงินเขาเหมือนกัน ตอนแรกก็เกรงใจนะ แต่พอฟังเจ้าตัวบ่นบ่อยๆ ว่าไม่มีเวลาใช้เงิน...มารู้ตัวอีกทีผมก็ช่วยใช้เงินแทนไปแล้ว”
วันสุขยิ่งได้ฟังก็ต้องหัวเราะขำ ว่าแล้วก็พานนึกไปถึงคุณอา รายนั้นก็เป็นเหมือนที่ซานเล่านี่แหละ ตามใจเขาแทบจะทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ซื้อให้ จนเป็นเขานั่นแหละที่เกรงใจท่านแทน และพอยิ่งเกรงใจเท่าไหร่ ฝ่ายนั้นก็ยิ่งคะยั้นคะยอให้เขารับของที่ตัวเองซื้อมามากเท่านั้น
“แล้วเขาส่งเราไปเรียนเปียโนด้วยหรือเปล่า พี่เห็นเราเล่นได้” วันสุขอดถามไม่ได้ ซานมีนิ้วเรียว เรียวแล้วก็สวยกว่านิ้วของเขาเสียอีก ก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเจ้าตัวต้องเล่นเครื่องดนตรีสักอย่าง แต่เปียโนก็ดูเหมาะดี
“พ่อสอนผมเล่นน่ะ พอพ่อตาย ผมก็ไม่ได้ไปเรียนกับใคร แต่พอไปอยู่ในบ้านนั้น จู่ๆ วันหนึ่งคนที่รับเลี้ยงเขาก็วิ่งโวยวายเข้ามาหา แบกคีย์บอร์ดไฟฟ้าตัวใหญ่มาให้ตัวหนึ่ง แล้วพอเดือนถัดมา เปียโนหลังเบ้อเริ่มก็มาตั้งอยู่กลางบ้าน”
“ดีจังเนอะ...” วันสุขอมยิ้มเล็กๆ แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็เถอะ ความรู้สึกระหว่างพ่อกับลูก หรือแม้แต่คำว่าครอบครัวจริงๆ มันเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว ไม่ว่าจะคุณอา เวย์ หรือเด็กตรงหน้านี่ด้วย แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับคนอย่างเขาแล้ว
“แล้วพ่อกับแม่พี่ล่ะ?” ซานถามกลับ แล้วก็นั่งนิ่งรอคำตอบจากเขาเงียบๆ มือเองก็เกี่ยวเอวเขาแน่นขึ้น ศีรษะทุยที่ซุกอยู่แถวอกเงยขึ้นมาเพื่อแตะริมฝีปากตัวเองกับใต้คางของเขาจนรู้สึกจักจี้
“อ้อนให้พี่เล่าหรือไง?” วันสุขปรือตามองแมวตัวใหญ่ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ฟัง วันนี้เด็กนี่น่ารักกว่าทุกวัน ถึงจะมีหลายๆ เรื่องให้น่าสงสัยก็เถอะ
“ก็เราสนิทกันแล้ว พี่ก็เลิกเรียกผมว่า น้องซานๆ ไปตั้งนานแล้วด้วย” ยกข้ออ้างมาพร้อมกับจ้องเขาตาแป๋ว
“จริงด้วยสินะ เลิกเรียกไปตั้งแต่ตอนไหนนะ?” วันสุขทำท่านึกพลางหาวหวอดใหญ่ ง่วงเกินกว่าจะต่อบทสนทนาได้ สุดท้ายเลยรวบเด็กตัวใหญ่นี่เข้ามากอดแทนหมอนข้างซะเลย ไม่กลัวติดไข้เขาก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์เสียหน่อย
“อยากใกล้กันขนาดนี้ เดี๋ยวผมถอดเสื้อให้ก็ได้นะ”
“หมอนข้างน่ะเงียบไป พี่จะนอน” ปรือตา พูดเสียงงึมงำ ไม่ได้สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่ดิ้นหนีออกจากการเป็นหมอนข้างของเขาเลยแม้แต่น้อย นึกว่าจะนอนเป็นเพื่อนกันเสียอีก…
“พรุ่งนี้ผมมีสอบ พี่ก็นอนไป ผมก็นั่งอ่านบนเตียงนี่แหละ” แมวตัวใหญ่ว่าพลางหรี่ตาอย่างกับรู้ทันว่าเขาจะพูดอะไร
วันสุขอมยิ้ม ปิดตาลงอย่างสบายใจ น้ำหนักบนเตียงอีกฝั่งหายไป เสียงประตูดังขึ้นเบาๆ สองครั้ง และไออุ่นๆ ที่หายไปก็กลับมาอีกครั้ง
“เรื่องของแม่พี่จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่พี่กับพ่อไม่เคยคุยด้วยกันดีๆ สักครั้ง” พึมพำขึ้นมาทั้งที่หลับตา ภาพฝันเมื่อครั้งนั้นวนเวียนอยู่ในหัวสมองอีกครั้ง
“เขาตีพี่ ทำร้ายคุณอา ตอนนั้นพี่ยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง พยายามหลายครั้งอยู่ แต่พอโดนตีมากๆ เข้าก็พานเกลียดเขาไปเลย จำไม่ได้แล้วว่าไปพูดจาร้ายๆ ใส่เขาว่าอะไรบ้าง แต่สาเหตุที่เขาเป็นอย่างนั้นก็เพราะพี่”
ยิ่งเล่าเสียงก็ยิ่งขาดๆ หายๆ ไม่กล้าจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็พยายามสูดหายใจลึก เรียบเรียงคำพูดออกมาอย่างช้าๆ
“พอทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้น สุดท้ายพี่ก็มาอยู่กับคุณอา นานๆ จะเจอเขาสักทีหนึ่ง แต่มันตลกดี...เพราะเขาก็มาหาพี่ทุกวันนั่นแหละ แต่เป็นตอนที่พี่หลับไปแล้ว”
“ตุ๊กตา ของเล่น มีอยู่เต็มห้อง คุณอาไม่เคยบอกว่าใครซื้อมาให้ แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเขาก็โผล่หน้ามาพร้อมกับคุณแม่ ยิ้มแย้มเหมือนว่าเรื่องราวที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น เขาชวนพี่ไปเที่ยว ท่าทางมีความสุขจนพี่สงสัย นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราดูเหมือนจะเป็นครอบครัวกันจริงๆ ”
“ทำไมเขาถึงดูมีความสุขขนาดนั้น ไม่โมโห ไม่ตีพี่ตอนพี่เผลอพูดอะไรรุนแรงออกไป แต่ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ...กว่าจะมาเข้าใจก็เอาตอนโต จะกลับไปพูดขอโทษกับเขาก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
พูดเรื่องนี้ทีไร น้ำตามันพานไหลออกมาทุกที จะเรียกว่าจุดอ่อนไหวของเขาดีหรือเปล่านะ? พอโดนจี้เบาๆ ทำนบมันก็แตกจนหยุดไม่อยู่ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อมีผ้าอุ่นๆ มาซับให้อย่างเบามือ
“จำรอยสักที่เอวพี่ได้หรือเปล่า...” รอยสักผีเสื้อสีดำนั่น...
“จำได้ครับ”
“จำที่พี่บอกได้ใช่ไหมว่าพี่สักมันเอาไว้เพื่อย้ำกับตัวเอง” ดวงตาค่อยๆ ปรือเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ สบเข้ากับลูกแก้วสีนิลพร่างพราวคู่นั้น
“...” ซานพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไร นอกจากวางหนังสือลงบนตักแล้วยกมือขึ้นไล้ปลายผมของเขาเบาๆ เท่านั้น
“พี่ไว้ย้ำกับตัวเองน่ะ ว่าชีวิตนี้เคยทำให้ใครบ้างต้องตายจากไป”
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ซานว่าเสียงหนัก ประกายอ่อนโยนฉาบบนดวงตาคู่นั้น และมันก็ทำให้เขาต้องยิ้ม...ยิ้มอย่างสุขใจ เหมือนคำสัญญาที่เขาอยากจะได้ยินจากใครสักคน ย้ำว่าเรื่องในอดีตมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น ย้ำให้เขาแน่ใจ...ว่าจะไม่ต้องสูญเสียใครไปอีก
“บางครั้งเราก็ทำตัวอย่างกับรู้จักพี่มานานแล้วอย่างนั้นล่ะ...” วันสุขอดที่จะเปรยขึ้นมาไม่ได้ ตาสีอ่อนจ้องลึกเข้าไป แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถคว้าคำตอบใดๆ กลับมาได้เช่นเดิม
“มันก็ไม่แน่นะ” เด็กคนนั้นยิ้มอ่อนๆ พลางยกนิ้วเรียวขึ้นสางผมให้เขาเบาๆ ไม่มีคำพูดใดต่อจากนั้นอีก นอกจากความเงียบซึ่งนำพาสายสัมพันธ์บางๆ ให้กระหวัดกันแน่นขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
วันสุขหลับตาลง ทอดลมหายใจยาว และปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่นิทรา...
‘Don’t you ever wish… you were someone else, you were meant to be…’
เสียงเรียกเข้าคุ้นหูดังขึ้นปลุกเขาให้ตื่นในยามดึก วันสุขสะลึมสะลือ มือควานไปทั่วหัวเตียงอย่างเคยชิน แต่นิ้วกลับไปชนเข้ากับผนังไม้เรียบเสียได้ จนสุดท้ายก็ต้องสะดุ้งตื่นเต็มตา และก็เพิ่งมานึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา
“อือ...” เสียงงึมงำจากคนข้างตัวดังขึ้น ไฟหัวเตียงยังคงเปิดไว้ แต่หรี่จนเกือบสุด หนังสือกับชีทหล่นกระจายเต็มพื้น ส่วนคนที่บอกว่าจะอ่านกลับลงมานอนเบียดอยู่ข้างๆ เขาแทน
ถึงไข้จะลงไปมากแล้ว แต่สมองก็ยังคงมึนงงอยู่ดี ทิ้งขาลุกขึ้นจากเตียง เดินเซไปเซมาหาที่มาของเสียง ก่อนจะไปเจอโทรศัพท์ของตนวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างห้องน้ำ พอเจอเป้าหมายก็รีบคว้าขึ้นมา กดรับสายกรอกเสียงพลางเดินกลับมานอนที่เดิม
“สวัสดีครับ...” งึมงำทั้งที่ยังปิดตา
“นอนเร็วกว่าที่คิดนะ” เสียงหวานๆ ตอบกลับมาทำเอาเขาเปิดตาพรึบ ร่างกายชาวาบไปชั่วขณะ
“ลูกหว้า?” พึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆ และตอนนั้นเองที่เด็กซึ่งนอนหลับอยู่ข้างๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจ้องเขาด้วยแววนิ่งๆ ซึ่งท่าทีนั่นไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นเลยแม้แต่น้อย
“ท่าทางยังจะสบายดีอยู่นะ” เธอว่า น้ำเสียงมีแววแปลกใจฉายชัด ชั่วแวบหนึ่งก็คล้ายกับว่ากำลังดีใจที่ได้คุย “ลูกหว้ามาหาวันกับคุณอาที่บ้าน แต่ไม่มีใครอยู่เลยสักคน พร้อมใจกันหนีหน้าดีนะ”
“พี่วัน...ใครเหรอ?” ซานถามเสียงไม่เบานัก และก็เหมือนว่ามันจะเล็ดรอดเข้าไปจนปลายสายได้ยิน ซึ่งก็นำพาเสียงหัวเราะใสๆ ให้ลอยตอบกลับมา
“มิน่าล่ะถึงไม่อยู่บ้าน” ประโยคลอยๆ ดังแผ่ว น้ำเสียงใสๆ เปลี่ยนโทนไปจนเขาตามแทบไม่ทัน
“มีธุระอะไรถึงโทรมา” วันสุขถามเข้าประเด็น เพราะยิ่งได้ยินน้ำเสียงแบบนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าจะหายใจไม่ออก ซานซึ่งนอนอยู่ข้างๆ เองก็เบียดตัวเข้ามาใกล้อีก ท่าทางจะอยากฟังเหลือเกินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
“แค่อยากโทรน่ะ... อุตส่าห์โผล่ไปเจอแล้วแท้ๆ ลูกหว้าก็รอโทรศัพท์จากวันตั้งนาน สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายโทรมาหาเองจนได้...” เธอว่าเรื่อยๆ เสียงหวานๆ พูดเหมือนว่ากำลังชวนคุยกันปกติ ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำกระซิบที่เขาเดาไม่ออกว่านั่นแค่คิดจะแหย่เล่นหรืออะไร “...ไม่รักกันแล้วใช่ไหม?”
“ก็ยังเหมือนเดิม” วันสุขตอบ ทว่าความหนักแน่นในน้ำเสียงนั้นกลับเบาหวิว...จะไปเหมือนเดิมได้อย่างไร เพราะเมื่อ ‘วันนั้น’ ผันผ่านไป สิ่งต่างๆ ที่กอปรขึ้นมามันก็พังครืนลงมาง่ายๆ จนเขายังตกใจตัวเอง
ความเจ็บปวดจากการจากไปของคนคนนั้นมันมากพอที่จะลบทุกสิ่งทุกอย่าง มากพอที่จะฉุดกระชากให้เขาตกลงไปในวังวนสีดำ ทว่าเขาเองก็ยังคงรักเธออยู่ แต่ความรักนั้นมันก็เปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง คงเพราะเคยถลำลึกมาก่อน เยื่อใยที่แทบจะตัดไม่ขาดนั่นก็ยังคงฝากร่องรอยเอาไว้...เป็นความเคยชิน
“ไม่หนักแน่นเลยนะ...ต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ ” เสียงหวานใสแผ่วเบาลงคล้ายกับคนที่กำลังจะกลั้นก้อนสะอื้น ภาพของเด็กสาวตัวเล็กๆ ในอดีตฉายวาบขึ้นมาในหัวสมองของเขาอีกครั้ง และเธอคนนั้นก็มักจะร้องไห้เพราะเรื่องของ ‘พี่ดิน’ อยู่บ่อยครั้ง
“ขอถามอีกสักครั้งได้ไหม...ทำไมถึงกลับมา?” วันสุขพูดเสียงเรียบ มือเองก็ยกขึ้นลูบหลังศีรษะของซานเบาๆ เพียงเพื่อหวังว่ามันจะลดทอนความเย็นยะเยือกจากดวงตาอีกฝ่ายได้บ้าง
“กลับมาสะสางทุกอย่างให้มันจบ”
“ว่าไงนะ? อะ...ซาน!” เขาถามเสียงเครียด ก่อนจะต้องอุทานเสียงหลงเมื่อคนที่นอนนิ่งมาตลอดกระชากโทรศัพท์ออกไปจากมือของเขาเสียอย่างนั้น แถมเกยตัวขึ้นมาทับจนเขาแย่งคืนมาไม่ได้ หูเองก็แว่วเสียงโวยวายของคนเคยสนิทซึ่งดังลั่นพอที่จะลอดลำโพงออกมา
“หายไปซะ...”
ประโยคนั่นจากคนข้างบนทำเอาลืมดิ้นไปชั่วขณะ พอซานพูดเสร็จก็กดตัดสายทิ้ง พลางโยนโทรศัพท์ของเขาไปที่เก้าอี้เบาะเล็กๆ มุมห้องอย่างแม่นยำ
“พี่ยังพูดกับเธอไม่จบ...อึก” วันสุขโวยวายเบาๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมากัดเนื้อคอของเขาอย่างไม่ทันจะได้ตั้งตัว สัมผัสเจ็บจี๊ดทำเอาต้องขมวดคิ้ว เล็บจิกไหล่อีกคนแน่น “เจ็บ...พี่ไม่สบายอยู่นะ” พลางพูดเรียกสติอีกฝ่าย และซานก็ยอมปล่อยเขาแต่โดยดี...
“คนนั้นใคร?” แต่กลายเป็นว่าวกกลับมาถามเขาเสียงเข้มแทนเสียนี่
“อดีตเพื่อนสนิทพี่ แล้วก็เป็น...คนรักเก่าของเจ้าของแหวนนี่...” วันสุขชูแหวนให้อีกฝ่ายดูอีกครั้ง
“พี่ไปแย่งแฟนเธอมา?” ซานเลิกคิ้วถาม ท่าทางเหมือนจะปักใจเชื่อไปแล้ว ทำเอาเขาหงุดหงิดไม่ได้
“เปล่า...ไม่ใช่” พอนึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาในอดีต ความเจ็บปวดบางๆ ก็พุ่งเข้ามาจนเจ็บแปลบ มุมปากเองก็เผลอยกยิ้มเหยียดให้ตัวเองไม่ได้...
“เธอมาแย่งแฟนเก่าพี่?” ซานเริ่มเดาอีกครั้ง เด็กนั่นกลับไปทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอย่างเดิมอีกครั้ง แถมยังกวาดหนังสือที่วางไว้บนเตียงลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นก็ไม่ใช่อีก”
“แล้วตกลงมันยังไง?” ท่าทางคนอยากรู้คำตอบจะเริ่มหงุดหงิดเสียแล้ว
“มันค่อนข้าง...จะซับซ้อนน่ะ...” วันสุขพูดเสียงแผ่ว เขาไม่พร้อมจริงๆ นั่นแหละที่จะเรียบเรียงมันออกมาเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฟังได้อย่างละเอียด เพราะเพียงแค่นึกถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา หัวใจมันก็บีบรัดเข้าหากันจนปวดไปหมด
“ถ้ายังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไรครับ” ซานว่าเสียงอ่อนเหมือนจะจับความรู้สึกเขาได้ ท่าทางดูจะเย็นลงมากแล้ว “แต่ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?” ทว่าก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนเดิม
“ครับ?”
“พี่ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเธอแล้วใช่ไหม” หน้าตาจริงจังจนเขาหลุดหัวเราะ จากที่เครียดอยู่ทำเอาผ่อนคลายไปได้เยอะเลยทีเดียว... และนี่ก็คงเป็นด้านหนึ่งกระมังที่เขาชอบเกี่ยวกับเด็กคนนี้...
“เมื่อก่อนน่ะใช่...แต่ตอนนี้ไม่มีวันจะกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีกแล้วล่ะ” ริมฝีปากสีส้มสวยแย้มยิ้ม
“ทำไม?”
“ก็ตั้งแต่วันที่พี่ทำให้คนคนนั้นตาย...ความสัมพันธ์ของพวกเราก็พังลงตั้งแต่วันนั้น” วันสุขเล่าเสียงเรียบ ทว่ามือกลับกำแน่นจนสั่นกึก ลมหายใจติดขัดจนต้องสูดลึกเพื่อเรียกสติ
“หมายความว่ายังไง?” ซานถาม ทำเอาเขาต้องนึกย้อนไปถึงตอนนั้นอย่างช่วยไม่ได้
“เราสามคนสนิทกัน... แต่จู่ๆ พวกเขาคบกัน...” ภาพของอดีตหวนกลับมาเป็นฉากๆ วันนี้มันหนักหนาสำหรับเขาจริงๆ ทว่าวันสุขเองก็รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย เพื่อพูดออกมาจนจบประโยคในที่สุด “แต่เขารักพี่... พี่รักพวกเขา...ทั้งรักแล้วก็เกลียดมากๆ ในเวลาเดียวกัน” ถึงมันจะดูน่าตลกที่สามารถบอกได้ว่าใครที่มารักตัวเอง แต่เขาก็พูดออกไปได้อย่างเต็มปาก แน่ใจจนไม่มีแม้แต่ความลังเล…
“พวกเรา...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่กระชากลากถูความสัมพันธ์บ้าๆ นั่นมาได้จนถึงวันนั้น แต่สุดท้ายมันก็พังลง...เละแหลก เหมือนแก้วที่แตกละเอียดนั่นแหละ”
“...” ซานนิ่งเงียบยามที่เขาซุกตัวเข้าหา ยามที่กายมันสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวที่เข้ามากอบกุมทุกขณะจิต เพราะไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่เคยจางหายไป
“ ‘หายไปซะ’ พี่เคยอยากจะพูดกับเขาแบบนั้น แต่ถึงมันจะเป็นแค่ความคิด แต่เขาก็ดันหายไปจริงๆ ”
“...หายไปจากโลกใบนี้จริงๆ ”
To be continued...
ตอนนี้ค่อนข้างรวบรัดเอาเรื่องเลยทีเดียว
ส่วนในพาร์ทอดีตของวัน ถ้าจะให้เขียนแบบลงลึก คาดว่าจะได้นิยายอีกเรื่องออกมาเลยล่ะมั้ง แต่คงเป็นแนวอย่างอื่นแทน (หัวเราะ)
เรื่องดำเนินมาถึงตอนที่ 10 แล้ว อีกประมาณ 4-5 ตอนก็จะจบ ซึ่งจะมีตอนพิเศษอีก 2 ตอน
เรื่องนี้ไม่ยาวเท่าไหร่ถ้าเทียบกับ ไกลกว่ารัก อันนั้นค่อนข้างยาว เลยยัดรายละเอียดได้เยอะ
แต่ยังไงก็ขอให้รักพี่วันไปนานๆ นะ แล้วเจอกันตอนหน้า