พิมพ์หน้านี้ - Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ArgèntaR๛ ที่ 08-07-2014 22:32:23

หัวข้อ: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 08-07-2014 22:32:23
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




Only 'Wan' เพียงหนึ่ง

‘วันสุข’
ชื่อสองพยางค์ที่คล้ายว่าจะไม่มีความหมาย เป็นคำสั้นๆ ที่เหมือนคนตั้งไม่ได้ตั้งใจคิด
และคนใช้ชื่ออย่างเขาก็ไม่เคยหาคำตอบอย่างจริงๆ จังๆ ...คนตั้งชื่อก็ไม่ได้อยู่ให้ถามความหมายแล้วเสียด้วย

‘วันสุข’
เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในแต่ละวันเขามีความสุขดีหรือเปล่า รู้แค่ว่าตัวเองใช้ชีวิตเรื่อยเฉื่อย
ตื่นแต่เช้า รดน้ำต้นไม้ ทำกับข้าว ดูแลคุณอา และอบขนม ...หลายครั้งก็โดนทักว่าเหมือนแม่บ้านเอาบ่อยๆ

‘วันสุข’
ตั้งแต่ถูกลากให้มาเป็นผู้ช่วยคุณอาในมหาวิทยาลัย นอกจากกองเอกสารที่ต้องรับมือแล้ว...
เทอมล่าสุดนี่ยังมีเรื่องวุ่นๆ เข้ามาจู่โจมจนทำตัวไม่ถูก ...ก็ใครมันจะไปรู้ว่าเด็กสมัยนี้รับมือยากแค่ไหน

‘วันสุข’
ตอนนี้เขาชักจะเริ่มเข้าใจความหมายของชื่อนี้ขึ้นมาสักหน่อยแล้ว
อา... แต่ให้ตายเถอะ... เขาเอายาแก้ปวดไปวางไว้ไหนนะ




 :impress2: ฝากนิยายเรื่องไม่ใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะจ๊ะ...

เรื่องนี้เพิ่งจะได้เอามาลงบอร์ดนี้ จะทยอยลงให้เรื่อยๆ เป็นเรื่องอ่านเอาสบายๆ ง่ายๆ เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ตามสไตล์ตัวเอก
บางช่วงอาจจะเร่งๆ มึนๆ งงๆ ไปบ้างก็ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ :o8:

ปล. ตัวละครเรื่องนี้พูดภาษาดอกไม้กันซะหมด ใครชอบอะไรหยาบๆ ถ่อยๆ คงต้องทำใจ (หัวเราะ)




ผลงานเรื่องอื่นๆ
°•.✿*❉ ไ ก ล ก ว่ า รั ก ❉*✿.•° (จบ) คลิกที่นี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42992.0)
Somewhere series (เรื่องสั้นจบในตอน) คลิกที่นี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48878.0)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 08-07-2014 22:53:35
บทนำ


เคยฝันหรือเปล่า? ฝันว่าอยากอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว โบยบินไปท่ามกลางราตรีสีเข้ม กระโดดข้ามริ้วสายลม นั่งพักไกวขาที่โค้งของรุ้งกลางคืน...
   
หลับปุ๋ยในอ้อมกอดของดวงจันทร์ มีปุยเมฆอุ่นๆ ใช้แทนผ้าห่ม เสียงลมคลอเคลียต่างเพลงกล่อม  ดวงดาวส่งเสียงอวยพรให้คืนนี้หลับฝันดี...
   
ไร้สาระใช่ไหม? เพราะใครฟังก็ต่างหัวเราะกันทั้งนั้น
   
สุดท้ายก็เลยเลิกฝันเสีย ละทิ้งความเป็นเด็ก ลืมเกือบหมดแล้วว่าเคยฝันอะไรไว้ สีสันฉูดฉาดในจินตนาการ ถูกชะล้างจนกลายเป็นสีเทาตุ่น แต่ก็ยังคงแอบหวังอยู่ลึกๆ ภาวนาให้ใครสักคนมาเดินเคียงข้างแล้วร่วมฝันไปด้วยกัน
   
เมื่อถึงตอนนั้น...ความฝันที่กลายเป็นสีเทาไปแล้ว คงจะมีสีสันขึ้นมาทันตา...




เขายังจำได้...
   
วันก่อนเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยวันนั้นเจี๊ยวจ๊าวกว่าทุกวัน นักศึกษามากหน้าหลายตาเดินสวนกันไปมาบนทางเท้าเล็กๆ บ้างบางคนยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม บ้างบางคนถูกปะแป้งเลอะเทอะ เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ อดนึกถึงวันวานสมัยก่อนที่เขาเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน...
   
จำได้ว่าโทรศัพท์เครื่องแรกพัง เนื่องจากต้องลงไปกลิ้งโคลน ร้องไห้ซึมเศร้าไปเป็นอาทิตย์ เพราะนั่นคือของขวัญราคาแพงที่คุณอาซื้อให้ นึกโกรธรุ่นพี่อยู่นาน จนวันงานรับขวัญหลังจบกิจกรรมนั่นแหละ ความโกรธที่เคยมีมาก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อรุ่นพี่ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้
   
มารู้เอาทีหลังว่าพวกรุ่นพี่เรี่ยไรเงินกันในคณะ และแอบไปซื้อเตรียมกันไว้ตั้งนานแล้ว สุดท้ายก็เผลอร้องไห้อีกรอบ คราวนั้นไม่ได้ร้องเพราะโกรธ แต่ร้องเพราะเสียใจที่ดันไปโกรธพวกเขาต่างหาก ของขวัญชิ้นที่สองชิ้นนั้น ทุกวันนี้ก็ยังตั้งโชว์หราอยู่ในตู้เหนือโทรทัศน์
   
“ปวดเอวจังแฮะ”
   
ก็กองเอกสารที่แบกอยู่หนักน้อยเสียเมื่อไหร่ ทั้งนักศึกษามากหน้าหลายตาที่วิ่งเข้ามาทักทาย แต่กลับไม่มีใครอาสาว่าจะช่วยสักคน จะตำหนิพวกเขาก็ไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็ดูเหมือนจะยุ่งๆ กันอยู่ทั้งนั้น
   
แดดร้อนสาดเปรี้ยงลงมาจนต้องหรี่ตาลง ร้อนจนเหงื่อชุ่มเสื้อ แต่มือก็ไม่ว่างพอจะยกขึ้นพัดไล่ไออบอ้าว เหงื่อไหลจนชุ่มแผ่นหลัง ทว่าก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่อะไรนัก ริมฝีปากยังติดยิ้มจางๆ อย่างชินนิสัย สายตากวาดมองไปเรื่อยอย่างอารมณ์ดี
   
ชั่วขณะหนึ่ง... พลันความรู้สึกคล้ายถูกจ้องมองก็ปรากฏขึ้น เท้าที่กำลังก้าวเดินชะงักกึก กวาดหน้ามองหา จนปะทะสายตากับใครบางคน
   
“หืม?” เขาเอียงคอ พลางส่งยิ้มไปให้ใครคนนั้น ซึ่งดูจะเด่นออกมาจากกลุ่มคนที่เรียงแถวกันอยู่หน้าสนามกีฬา และอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ เมื่อเจ้าของสายตานั่นยังไม่มีทีท่าว่าจะละออกไป
   
เด็กคนนั้นจ้องเขานิ่งราวกับเจอของแปลก จ้องอย่างกับว่าจะมองให้ทะลุอย่างนั้น
   
“น้องครับ! มัวแต่มองอะไรอยู่ ตั้งแถวเตรียมเข้าฐานถัดไปด้วยครับ!” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายผสมปนเปมากับเสียงนกหวีด และสายตานั่นก็ละจากเขาไป ขณะที่ร่างสูงค่อยๆ กลืนหายไปกับกลุ่มคน
   
รุ่นพี่ฝ่ายสันทนาการเริ่มรัวกลองสนุกสนาน แต่ละคนวาดลวดลายเต้นท่าประหลาดเรียกเสียงหัวเราะ
   
เขามองภาพนั้นแล้วก็ต้องยิ้มบาง พลางเงยหน้าขึ้นมองแดดจ้าอีกครั้ง เหงื่อใสไหลหยาดไล่มาตั้งแต่ไรผมถึงต้นคอ ร้อนจนแทบทนไม่ไหว...
   
“วัยรุ่นเนี่ย... ดีจังเลยนะ”




ก็สายทุกที...

วันนี้เขาตื่นเต้นกว่าทุกวัน จริงๆ แล้วคงต้องบอกว่า ตื่นเต้นทุกครั้งที่ถึงวันนี้ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และดูไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมาย แต่มันอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นแปลกๆ
   
ตื่นเช้ามา สิ่งแรกที่พุ่งเข้าหาคือกระจก อาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีกว่าทุกที ฉีกยิ้มให้ตัวเอง สำรวจตรวจตราว่าทุกอย่างพร้อมไม่มีบกพร่อง สุดท้ายก็ไม่พ้นโดนคุณอาแกล้งแซวในรถจนมาถึงมหาวิทยาลัย
   
เขาตรงดิ่งเข้าไปเตรียมเอกสาร ตรวจรายชื่อนักศึกษาที่ลงทะเบียน ถ่ายแผนการสอนให้พอดีกับจำนวนคน พิมพ์ใบรายชื่อทั้งหมดแล้วเอามาเรียงอย่างเป็นระเบียบ
   
ไวท์บอร์ดข้างผนังถูกลบแล้วเขียนตารางใหม่ลงไป คลาสไหนก่อน คลาสไหนหลัง กระดานดำอันเล็กที่แขวนไว้ถูกลอกโพสต์อิทเก่าๆ ออก เพื่อพื้นที่ว่างสำหรับข้อความใหม่ๆ
   
“เอาล่ะ ขอให้เทอมนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีเถอะนะ” เขาพูดเบาๆ กับตัวเองแล้วหอบแฟ้มขึ้นมาถือไว้ อีกมือเปิดประตูห้องเดินตามหลังคุณอาออกไป
   
เสียงทักทายดังตลอดสองข้างทาง นักศึกษาคุ้นหน้าหลายคนวิ่งเข้ามากลาวอรุณสวัสดิ์ บ้างมาหยอกล้อตามประสา บางคนก็เอาขนมชิ้นเล็กๆ มาให้ด้วยท่าทีสนิทสนม
   
“อย่าเที่ยวไปโปรยเสน่ห์ใส่เด็กใหม่นะคะ คุณผู้ช่วย” กลุ่มนักศึกษาสาวตะโกนมาจากระเบียงอีกฝั่ง เขายิ้มขำตอบพวกเธอไป เปิดเทอมวันแรก อะไรก็ดูจะสดใสต่างจากช่วงใกล้สอบลิบลับ
   
“มัวยืนเหม่ออะไรอยู่” คุณอาว่าเสียงดุ
   
เขาส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหา พลางยกมือขึ้นดันประตูไม้เก่า ไอเย็นยะเยือกของเครื่องปรับอากาศลอยมาปะทะใบหน้า เสียง ‘กริ๊ก’ ดังขึ้นเมื่อปิดประตู แล้วความวุ่นวายทั้งหมดก็ถูกตัดขาด เหลือเพียงความเงียบสนิท...
   
เปิดเทอมวันแรกก็แบบนี้ ถ้าไม่โหวกเหวกเจี๊ยวจ๊าว ก็ต้องนั่งนิ่งเรียบร้อยไม่คุยอะไรกันสักคำ
   
“สวัสดีครับ” เอียงคอกล่าวทักทายเสียงนุ่ม กวาดสายตามองใบหน้าอยากรู้อยากเห็นพวกนั้นแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้ วัยรุ่นนี่มันดีจริงๆ นะ...
   
“พี่ชื่อ วันสุข นะครับ จะเรียกว่า พี่วัน ก็ได้ แต่อย่าเพิ่งแปลกใจ กลุ่มนี้มีอาจารย์สอนเพียงท่านเดียวคือคนข้างๆ พี่นี่แหละ พี่เป็นแค่ผู้ช่วยจำเป็น คอยจัดการเอกสาร ตรวจการบ้านพวกเรา มีอะไรก็มาหาได้ครับที่... ”
   
เขาเริ่มแนะนำตัวก่อน ถึงจะดูแปลกก็เถอะ แต่คุณอาชอบให้เขาทำแบบนี้เสมอ ก็ต้องทำตามคำสั่งไป ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนักก็เถอะ
   
แกร๊ก...
   
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเมื่อคาบเรียนเริ่มไปได้ประมาณสามสิบนาที คุณอาหยุดอธิบาย แล้วปราดสายตาดุๆ ไปยังผู้มาใหม่ทั้งสอง เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าห้อง เดินยิ้มๆ ไปหาคนมาสาย ในมือมีแผนการสอนติดไปด้วยสองแผ่น
   
“ศาสวัต กับ ปวรปรัชญ์ สินะครับ? คราวหน้าถ้าสายอีกโดนหักคะแนนพี่ไม่รู้ด้วยนะ” เพราะเช็กชื่อไปแล้วถึงได้เดาถูก คาบแรกนี่มีคนหายไปสองคน
   
หนึ่งในสองนั่นพยักหน้ายิ้มๆ มาให้ รายนี้คุ้นหน้ากันดี เพราะปีที่แล้วก็เพิ่งเจอกัน แต่ใครอีกคนกลับทำให้เขาชะงักทันทีที่ปะทะสายตาด้วย
   
เด็กเมื่อตอนนั้น? บังเอิญดีเหมือนกัน... คิดแล้วก็เอียงคอยิ้มให้ ยื่นแผนการสอนแจกจ่ายไปให้คนละใบ ปลายนิ้วเผลอแตะโดนกันเล็กน้อย... เผลอเหรอ?
   
“ไปนั่งที่ได้แล้วครับ” ชี้มือไปยังที่ว่างหน้าห้อง พอจัดการอะไรเสร็จเขาก็หลบฉากกลับไปนั่งที่เดิม
   
เสียงบรรยายติดจะดุของคุณอายังดำเนินต่อไป นักศึกษาทุกคนดูจะให้ความสนใจในเนื้อหาพอสมควร แต่กลับมีอยู่หนึ่งที่ดูจะไม่สนใจอะไรเท่าใดนัก...
   
‘กระดานหน้าห้องน่าสนใจกว่าพี่นะ’
   
ตวัดปากกาเขียนลงกระดาษจด แล้วยกขึ้นชูให้ใครอีกคนอ่าน พลางเท้าคางมองท่าทีนั้นพร้อมรอยยิ้มขำ รู้สึกถูกชะตาพิกล
   
เด็กหนุ่มคนนั้นชะงักไปแล้วยกยิ้มมุมปากตอบกลับ... ร่างนั่นทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ดูสบาย มือสองข้างยกขึ้นกอดอก ดวงตาคมสีเข้มฉาบประกายระริก แล้วก็นั่งจ้องเขานิ่งๆ แบบนั้นไปจนหมดชั่วโมง



กระดาษควิซเจ้าปัญหา...

“พี่วันคะ อาจารย์เขาให้เอาข้อสอบมาให้พี่วันตรวจค่ะ” ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ ตามมารยาท ก่อนที่เสียงหวานของนักศึกษาสาวจะดังขึ้น
   
เขาละสายตาจากเอกสารบนโต๊ะ ส่งยิ้มเบาบางให้ให้อีกฝ่าย ชันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้เบาะหนัง เดินตรงไปรับปึกข้อสอบอย่างเอื่อยเฉื่อย
   
“ขอบคุณครับ ลำบากแย่ เดินมาจากตึกเลคเชอร์ถึงภาควิชาขนาดนี้” เสียงนุ่มเพราะว่าเนิบนาบ รอยยิ้มเอื่อยถูกส่งเผื่อแผ่ไปถึงนักศึกษากลุ่มใหญ่ด้านหลัง
   
เธอคนนั้นก้มหน้ามองพื้น แก้มเนียนฝาดสีชมพูเรื่อ เขาหัวเราะ เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเดิม นิ้วกรีดกระดาษไปทีละแผ่นเพื่อตรวจความเรียบร้อย และพบว่ามันมีใบหนึ่งซึ่งไม่ได้ใส่ชื่อไว้... อย่างทุกที
   
“เจ้าของเขามาด้วยหรือเปล่าครับ” ว่าพลางดึงข้อสอบเจ้าปัญหาออกมาแล้วส่งไปให้ เธอกวาดตาเพียงแวบเดียวก็หัวเราะเบาๆ เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อใครบางคนที่ยืนนิ่งอยู่นอกห้อง
   
“ปรัชญ์! ลืมเขียนชื่ออีกแล้ว ทุกทีเลยสิ” เธอเอ็ดผู้ชายตัวสูงที่เอาแต่ยืนเล่นโทรศัพท์มือถือ ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเขาชั่วครู่แล้วหัวเราะอย่างเกรงใจ
   
เขายื่นกระดาษให้ เดินกลับไปรินน้ำใส่แก้ว มือคว้ารีโมตมาเร่งเครื่องปรับอากาศ พลางจับคอเสื้อเชิ้ตกระพือเบาๆ เพราะเข้าสายกว่าทุกวัน เลยรีบวิ่งมาตั้งแต่ลานจอดรถ นั่งได้ไม่นานก็มีคนมาหาอย่างที่เห็น
   
“ไหนครับ เขียนเสร็จแล้วก็รีบส่งมา อย่ามัวแต่มองพี่สิ” ว่าด้วยเสียงขำขัน แบมือรอรับกระดาษ แต่เพราะห้องมันแคบเกินไป หรือว่าอีกฝ่ายไม่ทันได้ระวัง เพราะช่วงที่กลับตัว ศอกข้างนั้นก็มาโดนแขนเขาเข้าพอดี
   
“พี่วัน!” เสียงใสๆ ตะโกนตระหนก เมื่อน้ำในแก้วกระฉอกหกรดเสื้อเขาจนชุ่ม ตัวต้นเหตุก้มหัวขอโทษขอโพย แต่เขาเพียงแค่ยิ้มพลางบอกว่าไม่เป็นไร
   
เปียกๆ แบบนี้ก็เย็นดีเหมือนกัน... ว่าไหม?
   
“เดี๋ยวก็แห้ง ไม่เป็นอะไรหรอก” ว่าปัดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “อาจริงสิ...” และเอ่ยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ พลางเบียดกายผ่านปรัชญ์ไปที่โต๊ะทำงาน  แล้วก็ลงมือหา ‘กระดาษอีกแผ่น’ อย่างใจเย็น
   
พอเจอเป้าหมายก็ยกมันขึ้นมาโบกไหวๆ เอนกายพิงขอบโต๊ะ กอดอก เงยหน้าขึ้นมองตัวปัญหา แล้วสายตาก็ปะทะกันอีกครั้ง...โดยที่ฝ่ายนั้นยกยิ้มมุมปากมาให้อย่างทุกที
   
“แผ่นนี้... เจ้าของเขามาด้วยหรือเปล่าครับ?”
   
“ซาน! ไม่ยอมทำข้อสอบอีกแล้วนะ!!” เสียงหวานเจ้าเดิมแหวลั่นอีกครั้ง




สายฝนวันนั้น

ฟ้าครึ้มฝนโปรยมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน เช้านี้ก็ยังตกอยู่ อาการเขาแย่มาตั้งแต่วันก่อนแล้ว เดี๋ยวแดด เดี๋ยวฝน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ร่างกายปรับตัวแทบไม่ทัน
   
ตื่นเช้ามามึนหัวจนแทบไม่ไหว คุณอาก็สั่งให้นอนอยู่กับบ้าน แต่เขาก็ดันทุรังจะมาให้ได้ มีงานกองเป็นตั้งที่ต้องตรวจ ถึงจะไม่ใช่งานหลัก แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ อยากจะทำให้เสร็จๆ มีงานค้างอยู่แล้วมันชวนให้พะว้าพะวงแปลกๆ
   
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขับรถจนมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างไร ก้าวลงเหยียบพื้นก็เซไปเล็กน้อย ยาลดไข้เหมือนจะยังไม่ออกฤทธิ์ โลกเอียงไปเอียงมา ศีรษะปวดตุบแทบระเบิด ขณะที่ละอองฝนก็โปรยปรายลงมาไม่มีบอกกล่าว
   
“ให้ตายสิ...” สุดท้ายก็ต้องพักระหว่างทาง เอนกายใช้กำแพงยันร่างไว้ก่อนจะค่อยๆ ทรุดนั่งลงกับพื้น ดวงตาปรือปิดอย่างเหนื่อยล้า สติลอยฟุ้งยากจะเรียกกลับ
   
ชั่วขณะหนึ่งเหมือนตัวเองจะหลุดไปอยู่ในที่ใดสักแห่ง ภาพประหลาดฉาบชัดเข้ามาในหัวสมอง รีบสะบัดศีรษะไล่อาการเหล่านั้น ปลายนิ้วสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่
   
“...”
   
เสียงอื้ออึงของใครสักคนฟังไม่ได้ศัพท์ เขาพยายามจะเปิดตามอง แต่ยากเกินทน ร่างกายเหมือนถูกดึงให้ลุกขึ้นยืน มารู้ตัวอีกทีก็เหมือนกับขึ้นมาอยู่บนหลังของใครบางคน...
   
ไออุ่นๆ ชวนให้สบายอย่างประหลาด อดนึกหวนไปถึงสมัยเด็กไม่ได้ เวลาเป็นไข้ก็มีคุณอานี่แหละคอยแบกเขาขี่หลังไปส่งที่ห้อง
   
“ขอโทษ... ที่ทำให้เดือดร้อน... นะครับ” เอ่ยพึมพำกับคนที่เข้ามาช่วยเหลือ เป็นเวลาเดียวกันกับที่แผ่นหลังแนบลงกับเตียงนิ่ม กลิ่นยาโชยมาแตะจมูก เสียงของฝนยังคงโปรยปราย หน้าผากถูกแตะแผ่วเบา อ่อนโยนจนรู้สึกได้ สบายอย่างประหลาด และชวนให้ง่วงจนอยากหลับ
   
ความรู้สึกแบบนี้...นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมัน?
   
ความคิดล่องลอย ขณะที่ความทรงจำเลือนๆ ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ภาพอดีตยาวนานถูกฉายขึ้นมา เหมือนริ้วอากาศเย็นจัดที่แผ่ซ่านออกไป ยะเยือกจนหนาวสั่น แม้จะเอื้อมมือออกไปคว้าก็พบเพียงว่ามันว่างเปล่า...
   
พลันความรู้สึกคล้ายกับริมฝีปากถูกแตะแผ่วก็ปรากฏขึ้น... เบาบางไม่ต่างจากกลีบดอกไม้ ภาพฝันเลือนรางแตกกระจาย ก่อนที่เขาจะชันกายลุกพรวดขึ้นมา
   
ดวงตากวาดมอง แต่กลับไม่เจอะเจอใครสักคน...
   
ฝนด้านนอกยังคงโปรยปราย สายลมหอบไอหนาวเข้ามาแตะที่ผิวแก้ม แต่ไออุ่นยังคงตกค้างอยู่ที่ริมฝีปาก และค่อยๆ แผ่ซ่านอย่างช้าๆ ไปทั่วร่างกาย...
   
เผลอยกปลายนิ้วขึ้นแตะ... ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รับรู้นั่นเป็นภาพหลอน หรือว่าเรื่องจริง แต่เมื่อสมองได้ทบทวนเรื่องราว ริมฝีปากสีส้มสวยก็เผลอคลี่ยิ้ม
   
“มาลักหลับกันแบบนี้... จับได้คราวหน้าจะลงโทษเสียให้เข็ด”


To be continued...
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: michiri.sama ที่ 09-07-2014 00:10:55
กรี๊ดดดดดด ชอบบบบบบบ
อบอุ่นละมุนละไมสุดๆ อร๊างงง

ชอบนายเอก(?)นิสัยแบบนี้จังค่ะ >\\\< พี่วันน่ารักอ่า
พระเอกคือใครนะซานหรือเปล่า?
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 09-07-2014 13:17:59
เหมือนนั่งจิบชาอุ่นๆ หอมกรุ่นกลิ่นไอฉ่ำชื้นของหยาดฝน
ชอบค่ะ  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 09-07-2014 14:01:25
สนุกดี ดูเรื่อยๆดี  คงไม่มีอะไรมาหักมุมให้ใจเสียนะ  ทำไมเราระแวงเวลาอ่านเรื่องที่บรรยายดีๆแบบนี้ก็ไม่รู้  ระแวงคุณอา คุณอานี่อาแท้ๆใช่ไหม ไม่มีไรในกอไผ่นะ  จะได้สบายใจ ...
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 09-07-2014 21:36:33
บทที่ 1 - วันสุข



ตั้งแต่จำความได้ บ้านที่เคยอยู่ก็ไม่ค่อยอบอุ่นสักเท่าไหร่ ช่วงเวลานั้นนับว่าเป็นเรื่องไม่น่าจดจำเรื่องหนึ่งของชีวิต เด็กชายวันสุขในอดีตแตกต่างกับนายวันสุขในตอนนี้แทบจะเป็นคนละคน
   
คงต้องขอบคุณคุณอา... ญาติหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ เพราะหลังจากเขาสูญเสียทุกอย่างไป ก็มีเพียงแค่ท่านคนเดียวที่คอยดูแลเหมือนเขาเป็นลูกแท้ๆ คนหนึ่ง
   
เขาไม่ใช่คนที่มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนนัก ไม่ได้อยากเรียนอะไร หรืออยากทำอะไรเป็นพิเศษ พอจบจากโรงเรียนเอกชน ก็ยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัย และมีชื่อติดอยู่ในคณะบริหารของมหาวิทยาลัยที่คุณอาสอนอยู่
   
ช่วงปีแรกก็ทำตัวเละเทะบ้างไปตามประสา แสงสีมันดึงดูดตา ผนวกกับแรงผลักดันแปลกประหลาดในใจ เกเรจนเกือบจะโดนรีไทร์ออกหลายครั้ง สุดท้ายก็พยายามจนจบมาด้วยด้วยเกรดเฉลี่ยพอไปวัดไปวา
   
พอโตขึ้น... สายตาที่ใช้มองโลกมันก็คล้ายกับจะเปลี่ยนไป เป็นผู้เป็นคนขึ้น มีเป้าหมายในชีวิตเพิ่มขึ้นมาที่ละอย่างสองอย่าง มีเรื่องที่อยากจะทำ มีงานอดิเรกที่ชอบ มีชีวิต ดูเหมือนเป็นคนขึ้นกว่าแต่ก่อน
   
หลังเรียนจบใหม่ๆ เขาเคยเข้าไปทำงานออฟฟิศอยู่ครึ่งปี สุดท้ายก็ต้องออกมา ดีที่มีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง รายนั้นอยากจะทำร้านอาหาร เขาเองก็ชอบทำอาหาร ไปๆ มาๆ ก็กู้เงินมาก้อนหนึ่งเพื่อเปิดร้าน... ฟังดูง่ายแล้วก็บ้าบิ่นดีใช่ไหม?
   
ร้านเล็กๆ ในตอนนั้น กลายเป็นร้านขนาดใหญ่ที่มีคนเข้าไม่ขาดสาย ถึงแรกๆ จะทุลักทุเลไปบ้าง เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เมื่อร้านอยู่ตัวขึ้น เขาเองก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีก อาทิตย์หนึ่งเข้าไปดูร้านครั้งสองครั้ง งานหลักๆ ส่วนใหญ่ก็แค่คอยคิดเมนูใหม่ๆ เสียมากกว่า
   
พออายุย่างเข้ายี่สิบเจ็ดก็คล้ายกับว่าอยากจะอยู่ติดบ้านมากขึ้นเสียอย่างนั้น นึกทีไรก็อดขำตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน หากให้นอนนิ่งอยู่ในบ้านสักสองวัน เขาคงทนไม่ได้ แต่ดูตอนนี้สิ...
   
คุณอาที่ทนเห็นสภาพเรื่อยเฉื่อยของเขาไม่ไหว ก็ตัดสินใจหางานเสริมให้ทำ และตอนนั้นเองที่เขาได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ช่วยจำเป็นเกือบเต็มตัว
   
อยู่กับเด็กๆ มาได้เกือบจะสี่ปีแล้ว ความแตกต่างของช่วงเวลาก็ชวนให้แปลกใจ วัยรุ่นสมัยนี้กับวัยรุ่นสมัยก่อนนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็สนุกดี เหนื่อยบ้างที่ต้องรบรากับกองการบ้าน หนักใจบ้างที่มีคนมาร้องห่มร้องไห้ขอเกรด ทั้งที่คนตัดเกรดน่ะมันเขาเสียที่ไหน ยิ่งบางรายถึงขั้นถวายตัวด้วยก็มี
   
“โตจนแตะเลขสามแล้วยังคิดจะครองโสดไปตลอดหรือไง”
   
เรื่องน่าหนักใจที่สุดก็คงเป็นคนสำคัญของเขาคนนี้นี่แหละ คุณอาของเขาเอง ท่านชอบพูดแบบนี้บ่อยๆ เขาก็ได้แต่หัวเราะตอบกลับไป คู่เหรอ? เคยอยากหาอยู่เหมือนกัน ติดแค่ตรงที่ว่าหัวใจมันยังไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาก็เท่านั้น
   
ความรักน่ะ...น่ากลัวจะตายไป


   

ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกอีกแล้ว...
   
พักหลังมานี่เขานอนเร็วตื่นเช้าจนเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังรู้สึกว่าชอบทำตัวเหมือนคนแก่เข้าไปทุกทีทั้งที่อายุก็ยังไม่ได้เยอะขนาดนั้น คิดพลางเดินเอื่อยๆ ตรงไปยังห้องน้ำ วักน้ำเย็นๆ ล้างหน้าเรียกสติ เหลือบสายตามองเงาสะท้อนจากในกระจกแล้วยกยิ้มบางๆ ให้กับตัวเอง
   
เดินลงบันไดไปทำกิจวัตรที่ต้องทำทุกเช้าหลังตื่นนอน... รดน้ำต้นไม้ ก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าตัวเองจะชอบต้นไม้ได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเลยด้วยซ้ำ มาเริ่มบ้าก็ตอนช่วงเรียนจบใหม่ๆ นี่แหละ
   
เพราะเพื่อนสนิทเอาเมล็ดอะไรสักอย่างมาให้ปลูก ไอ้ความรู้สึกว่า ต้นไม้ที่เลี้ยงมากับมือออกดอกครั้งแรกน่ะ มันน่าปลื้มใจน้อยเสียเมื่อไหร่ คล้ายๆ กับคุณพ่อที่รู้ว่าลูกสาวตัวเองสอบได้ที่หนึ่งล่ะมั้ง?
   
“วันนี้แค่ข้าวต้มกุ้งเองเหรอ?”
   
เสียงทุ้มเข้มของคนร่วมบ้านดังขึ้น หลังจากที่เขาเข้ามาจัดการในครัวอย่างปกติ วันสุขหัวเราะเบาๆ เมื่อมื้อเช้าวันนี้ธรรมดากว่าทุกวัน
   
“ผมกลัวกุ้งจะเสียน่ะครับ เลยรีบเอามันออกมาทำก่อน ถึงจะเป็นแค่ข้าวต้มกุ้ง แต่ก็ข้าวต้มกุ้งฝีมือน้องวันนะ” แกล้งดัดเสียงเลียนแบบเด็กๆ แล้วหัวเราะร่าอารมณ์ดี ขณะที่คุณอาทำหน้าประหลาดใส่
   
“จริงๆ ไม่ต้องลำบากทำให้ทุกเช้าแบบนี้ก็ได้” ท่านว่าเสียงดุ ม้วนหนังสือพิมพ์มาตีปุๆ ที่ต้นแขนของเขา วันสุขยิ้ม ส่ายหน้าหวือแทบจะในทันที
   
“ผมทำของผมมาจะสิบปีแล้ว อย่ามาห้ามเสียให้ยาก” การได้ดูแลเอาใจใส่คนรอบข้างมันให้ความสุขน้อยเสียเมื่อไหร่ อีกอย่าง... การทำอะไรแบบนี้มันก็ช่วยให้เขาออกกำลังกายไปด้วยในตัว ประโยชน์เห็นๆ ก็ไม่รู้ว่าคุณอาจะมาห้ามทำไม
   
“เราน่ะทำตัวเหมือนแม่บ้านเข้าไปทุกที รู้ตัวบ้างไหม”
   
“ดูพูดเข้า เขาเรียกว่าโรคเสพติดงานเรือนต่างหากครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนล่ะ สักสายๆ จะเข้าไปตรวจงาน” คุณอาพยักหน้าให้ แล้วก็ตักข้าวต้มขึ้นมานั่งทานเงียบๆ
   
“จริงสิวัน”
   
“ครับ?”
   
“เรื่องของปรัชญ์น่ะ ได้ข่าวว่าดรอปเรียนไปหนึ่งปี อาฝากช่วยดูเขาหน่อยแล้วกัน” ได้ยินเป็นต้องเลิกคิ้ว ไม่บ่อยนักที่คุณอาจะเอ่ยปากฝากฝังให้เขาดูแลใครเป็นพิเศษแบบนี้ วันสุขมองใบหน้าคมคร้ามนั่นอย่างนึกสงสัย และก็ไม่รู้ว่าจะเก็บความสงสัยไปทำไม...
   
“แปลกนะครับ ปกติไม่เคยมาขอผมแบบนี้นี่”
   
“อาจารย์ที่ปรึกษาเขามาขอร้องน่ะ ช่วยดูให้หน่อยแล้วกัน” ว่าด้วยท่าทางเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่... เล่นฝากสองทอดมาแบบนี้ เขาจะเอาอะไรไปปฏิเสธ นี่ก็ระดับอุดมศึกษาแล้ว คงไม่ถึงขนาดต้องตามดูแลกันแบบเด็กอนุบาลหรอกนะ
   
“แล้วอีกคนล่ะครับ?” พูดถึงเคสพิเศษแล้ว ใบหน้าของใครคนนั้นก็ผุดวาบขึ้นมาในหัว คุณอาหัวเราะเบาๆ ดูท่าไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าหมายถึงใคร
   
“รายนั้นเขามีคนดูแลพิเศษอยู่แล้วนี่”
   
ได้ฟังแล้วก็เผลอยกยิ้มเหยียด เกลียดเสียจริง โดยเฉพาะเวลาที่โดนรู้ทันแบบนี้...
   
แอบหลบสายตาของคุณอากลับเข้ามาในห้องตัวเอง จัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ในหัวก็ไล่คิดเมนูสำหรับเย็นนี้ไปเรื่อยๆ ของสดที่ไหนลดราคา อาหารที่ค้างอยู่ในตู้มีอะไรที่ต้องทิ้งบ้าง... น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ใกล้หมดแล้ว วันเสาร์หน้าเข้าห้างไปซื้อหน่อยก็คงจะดี ...จะได้ไปซื้อกระถางมาปลูกผัก ถ้าไปได้สวย รายจ่ายคงลดไปเยอะ
   
“เออะ...”
   
อุทานขึ้นมาเบาๆ หยุดความคิดตัวเองแล้วยิ้มขำ นับวันเขาชักจะทำตัวเยี่ยงแม่บ้านอย่างที่คุณอาบอกจริงๆ ก็มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว ตื่นเช้ามาทำงานบ้าน ตอนเย็นก็ทำกับข้าว วันหยุดเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่มีธุระอะไรก็นอนมันทั้งวัน
   
‘Don’t  you ever wish… you were someone else, you were meant to be… the way you are exactly…’
   
ติ๊ด
   
“ว่าไง โทรมาทำไมแต่เช้า” เสียงริงโทนดังขัดกับบรรยากาศสงบ ก็อยากจะปล่อยให้มันเล่นเพลงที่ชอบวนต่อไปเรื่อยๆ แต่กลัวปลายสายจะโกรธเอา รีบคว้ามากดรับ กลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จพอดี
   
“เรื่องร้านรับจัดสวนน่ะ ที่เก่าเขาโทรมาขอยกเลิกเพราะติดปัญหา” เสียงคุ้นหูกรอกมาตามสาย ไม่มีคำทักทาย และไม่ต้องเดาว่าใครที่โทรมา
   
“อ้าว แล้วทีนี้จะทำยังไง?” ว่าเรื่อยๆ เอื่อยๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อนนัก อย่างไรเสียก็ไม่รีบอยู่แล้ว แต่ก็อดจะหงุดหงิดน้อยๆ ไม่ได้ อุตส่าห์เทียวไปเทียวมา ตกลงกันเสียดิบดี มายกเลิกกันง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร
   
“ก็เลยไปหาที่ใหม่มานี่ไง ช่วยเข้าไปดูให้หน่อยแล้วกัน ร้านชื่อ Green & Green เบอร์โทรก็...” รายละเอียดถูกส่งต่อมาให้ ทางฝั่งเขาเองก็หากระดาษปากกามารีบจดมือระวิง
   
“ชื่อร้านน่ารักดี เดี๋ยวว่างๆ จะแวะเข้าไปดูให้ก็แล้วกัน” ปากพูดมือก็กลัดกระดุมออกหนึ่งเม็ด ชั่งใจอยู่เล็กน้อยแล้วก็กลัดเม็ดที่สองออกทั้งที่เพิ่งจะกลัดเข้าไปเมื่อครู่
   
“ชื่อร้านมันดูน่ารักตรงไหนกัน” อีกฝ่ายบ่นเบาๆ ก่อนที่เสียงกรี๊ดกร๊าดจะดังลอดเข้ามาในสาย “พวกพนักงานเขากำลังปลื้มลูกค้าใหม่อยู่น่ะ” อีกฝ่ายอธิบายอย่างรู้ใจ
   
“กระเป๋าหนัก?”
   
“เปล่า เฟรชชี่หน้าตาดีต่างหาก ถ้าอยากเห็นก็เข้ามาดูเอง” พอได้ยินแบบนั้นก็ต้องเบ้หน้า ให้เข้าร้านเพื่อแลกกับไปดูหน้าลูกค้าเนี่ยนะ?
   
“เอ้อจริงสิ เมื่อวันก่อนน่ะ...” เขาเปลี่ยนเรื่อง คุยไปคุยมาก็โยงถึงเรื่องชีวิตประจำวันอย่างทุกที ถามสารทุกข์สุกดิบกันสักพักก็กล่าวลาแล้ววางสาย
   
วันสุขเดินออกจากห้องแต่งตัวตรงไปยังโต๊ะทำงาน กองข้อสอบที่หอบกลับเอามาตรวจที่บ้านถูกแยกเป็นสองกองกับอีกหนึ่งแผ่น กองที่คะแนนผ่าน กองที่คะแนนไม่ผ่านซึ่งต้องจับมาติวเสริมตามนโยบายของคุณอา ส่วนอย่างสุดท้ายคือ กระดาษเจ้าปัญหาแผ่นเดิม... กระดาษโล่งๆ ที่ไม่ต้องเดาว่าของใคร
   
“คุณอาครับ จะทำยังไงดีกับแผ่นนี้? ไม่ยอมทำข้อสอบอีกแล้ว คุณอาก็ใจดีเกิน ผมบอกให้หักคะแนน ทำไมถึงไม่ยอมหักล่ะครับ?” แบกปึกกระดาษลงไปชั้นล่าง แล้วก็หยิบเจ้าใบนั่นขึ้นมาโบกไหวๆ
   
“เก็บเอาไว้สิ เดี๋ยวเจ้าของเขาก็มาเอา อาหักคะแนนเขาไปเดี๋ยวก็มาเดือดร้อนเราอีก ยังไงก็เดือดร้อนอยู่แล้ว จะทำให้มันเดือดร้อนขึ้นไปอีกทำไม” คุณอาก็พูดเหมือนเดิม เขาเองก็จนใจ


   

นั่งตีแป้ง ตอกไข่ อบเค้กจนเพลิน จากที่ว่าจะเข้าคณะช่วงสายกลายเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ ไปเสียได้ กลิ่นเค้กตลบติดเนื้อผ้า วานิลลาหอมฟุ้งกันเลยทีเดียว ตอนแรกว่าจะฉีดน้ำหอมกลบ แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ทั้งกลิ่นเค้ก กลิ่นเคมี ผสมปนเปกันคงชวนให้เวียนหัวชอบกล
   
อีโคคาร์คันเล็กค่อยๆ เคลื่อนตัวจอดเทียบท่า มาสายเกินไปหน่อย ตึกจอดรถที่เข้ามาใช้บริการบ่อยๆ ก็แน่นเอี๊ยดเสียแล้ว ต้องวนขึ้นชั้นบนจนตาลาย กว่าจะหาที่จอดได้ก็ชั้นเจ็ดนู่นแน่ะ
   
สุดท้ายก็ต้องลงมายืนตั้งสติพิงประตูรถ มึนหัวชอบกล คลื่นไส้หน่อยๆ โชคดีที่แถวนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
   
“อ้าว พี่วัน สวัสดีค่ะ บังเอิญจังเลย ครั้งแรกเลยมั้งเนี่ยที่เยลลี่มาตรงกับพี่วัน” เสียงใสๆ ดังขึ้น แต่ชวนให้ปวดหัวยิ่งกว่าเดิม วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใช้นิ้วมือกดระหว่างคิ้ว ปรือตามองสองร่างที่เดินเข้ามาใกล้
   
“สวัสดีครับ โทษทีนะ พี่กำลังมึนๆ น่ะ” บอกออกไปตรงๆ แล้วส่งยิ้มไปให้ “วนรถขึ้นมาเร็วเกินไปหน่อย ทางก็ทาสีลายตา สภาพพี่เลยออกมาเป็นแบบนี้”
   
ยาดมถูกส่งมาให้ รู้สึกอนาถสภาพตัวเองชอบกล ถ้าหูไม่ฝาด เขาก็แอบได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนที่เอาแต่ยืนเงียบมาตั้งแต่แรกด้วย
   
“เดี๋ยวเยลลี่ให้ซานไปส่งพี่วันดีกว่า รายนี้ก็มีธุระที่ห้องพี่วันเหมือนกัน” สาวเจ้าตัดสินใจให้เสร็จสรรพแบบไม่ถามความเห็น
   
วันสุขเลิกคิ้วอย่างสงสัย สภาพของเขามันดูย่ำแย่ขนาดที่ต้องให้นักศึกษาชายเดินไปส่งถึงห้องทำงานเลยหรือ? แต่ก็ดี เพราะเขาก็มีธุระกับเจ้าตัวด้วยเหมือนกัน
   
“จริงสิ... เรื่องข้อสอบ...”
   
“ข้อสอบเก็บคะแนนคราวนู้นเยลลี่ทำไม่ค่อยได้เลยค่ะ อาจารย์ออกข้อสอบยากมากๆ ทั้งห้องคงมีแค่ปรัชญ์คนเดียวที่ทำได้”
   
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็โดนแทรกขึ้นมาทันที วันสุขชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอียงคอมองสาวสวยอย่างงุนงง
   
“ทำไม่ได้แล้วมาบอกพี่ทำไมล่ะครับ” ยิ้มซื่อถูกส่งไปให้ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ เพราะต้นแขนโดนคว้าหมับเข้าไปแล้ว แต่ก็เลือกที่จะไม่สะบัดออก ครั้งแรกเสียเมื่อไหร่...แค่นี้น่ะยังเล็กน้อย
   
“ก็พี่วันเป็นคนตรวจ เป็นหลานอาจารย์ด้วย ขอคะแนนพิเศษสักนิดนึงก็ยังดีค่ะ” แต่เขาว่ามันไม่ค่อยจะสักนิดเท่าไหร่ เบียดเข้ามาขนาดนี้ ถึงไม่เกรงใจเขา แต่ก็ช่วยหันไปดูปฏิกิริยาจากใครอีกคนหน่อยก็น่าจะดี
   
เสียงใสๆ ออดอ้อนยังดังเข้าหู แต่ฟังจับใจความไม่ค่อยได้นัก วันสุขเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่เอาแต่ยืนเงียบอย่างนึกสงสัย มีคนเคยมาเล่าให้เขาฟังว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน แต่ดูท่าทีแล้วจะห่างไกลจากคำนั้นไปมากโข
   
ก็เด็กคนนั้นไม่ได้มีท่าทีหึงหวงอะไรเลยสักนิด แล้วไอ้ยิ้มเหยียดมุมปากแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร? ดวงตาพราวระริกนั่นอีก... พอเห็นว่าเขามองอยู่ก็เลิกคิ้วตอบกลับมา ขยับปากช้าๆ จับใจความได้แค่คำว่า ‘ร้าย’
   
“หืม?...” ครางเบาๆ ในลำคอแล้วเอียงคอไปมาอย่างเคยชิน หรุบตาลงมองใบหน้าของสาวสวย พลางยกมือขึ้นดันไหล่บางออกไปอย่างไม่ให้เสียมารยาท “ทำแบบนี้เดี๋ยวดูไม่ดีนะ”
   
“ไม่ดงไม่ดีอะไร เยลลี่ไม่ถือหรอก” เธอว่าเสียงใส ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “จริงสิ หรือพี่วันมีแฟนแล้ว?” และถามขึ้นมาอีกครั้ง
   
วันสุขแกล้งเงียบ ยกยิ้มอมพะนำ ขณะที่สายตาจ้องไปยังทางลงบันไดของตึกจอดรถ... นี่ก็อีกปัญหา ตึกนี่ไม่มีลิฟต์ให้ใช้ ขาลงไม่เท่าไหร่ แต่แค่คิดถึงตอนขึ้นมาเขาก็เหงื่อตกแล้ว
   
“ทำไมถึงคิดว่าพี่มีแฟนล่ะ?”
   
วนรถขึ้นเจ็ด ตอนนี้ก็เดินวนลงบันไดไปที่ชั้นหนึ่ง อยากได้ถุงก๊อบแก๊บสักใบ ถ้าเผลอทำเสียมารยาทมันตรงนี้ เขาคงไม่โดนเอาไปป่าวประกาศให้เสียชื่อหรอกนะ?
   
“ก็พี่วันใส่แหวนนี่คะ ใครๆ เขาก็ต้องคิดกันแบบนั้น”
   
ได้ฟังแล้วก็ต้องเผลอยกมือซ้ายขึ้นมาดู แหวนสีดำเกลี้ยงเกลายังประดับอยู่บนนิ้วนางอย่างที่มันเคยอยู่ เขาหัวเราะขำ หรี่ตามองสาวสวยอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ประโยคที่พูดกลับดังเกินกว่าสำหรับคู่สนทนาสองคน
   
“แล้วคิดว่าพี่มี... หรือไม่มีล่ะ?”
   
“เอ... เยลลี่ก็ไม่รู้สิ พี่วันไม่คิดจะเฉลยหน่อยเหรอ?” เธออ้อนถาม เมื่อเขาไม่ยอมตอบสักที
   
“หืม... อยากได้คำตอบแบบไหนก็ไปนึกกันเอาเองแล้วกัน” ว่าปัดอย่างไม่รับผิดชอบ เยลลี่ส่งเสียงโวยวายดูน่ารัก เขายิ้มขัน จริตจะก้านแบบนี้ก็ชวนมองอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เหมาะกับการมองนานๆ ...คิดแล้วก็ปรายหางตาไปหาอีกคนที่เดินรั้งท้าย สายตาปะทะกันอีกครั้ง
   
“ไม่มี” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นขัดเสียงโวยวาย
   
“หืม?” วันสุขเอียงคอ นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะนี่น่ะครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินเสียงคนคนนั้นชัดๆ แบบนี้...
   
“พี่บอกเองว่าอยากได้คำตอบแบบไหนก็ให้ไปนึกกันเอาเอง” เด็กคนนั้นก้าวพรวดเดียวก็เดินขึ้นมาตีเสมอ เสี้ยวหน้านั่นที่มักจะมองเห็นไกลๆ พอได้มาเห็นใกล้ๆ แบบนี้ก็ทำเอาตาพร่าชอบกล
   
“แล้วถ้าพี่บอกว่ามีล่ะครับ?”
   
“นั่นมันคำตอบของพี่ แต่ของผมน่ะ ไม่มี ” เจ้าตัวคลี่ยิ้มเหยียด
   
“มั่นใจจังเลยนะ”
   
“ถึง ‘มี’ ก็ทำให้มัน ‘ไม่มี’ ได้นี่ครับ” เด็กนั่นหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาสีเข้มฉาบประกายวาบอยู่ครู่หนึ่ง


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 1 - วันสุข (9/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 09-07-2014 21:38:09

เดินกันมาสักพักใหญ่ หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มก็ขอแยกตัวไปจัดการธุระของเธอต่อ ส่วนใครอีกคนก็ก้าวขาตามมาเงียบๆ ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างพวกเขา
   
“เราน่ะ ไม่ยอมทำข้อสอบอีกแล้ว” อดที่จะบ่นขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ มือล้วงกุญแจไขห้อง ไอเย็นบางจากเครื่องปรับอากาศลอยออกมา บ่งบอกว่าคุณอาเพิ่งกลับไปได้ไม่นาน
   
วันสุขสั่งให้ใครอีกคนนั่งรออยู่ที่โซฟาด้านหน้า ส่วนตัวเขาเองก็แหวกม่านกั้นไปยังฝั่งของตัวเอง แล้วคว้าข้อสอบชุดใหม่ติดมือมาด้วย
   
“เอาล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว รีบทำให้เสร็จนะครับ ถึงอาจารย์เขาจะใจดีไม่หักคะแนน แต่ทำแบบนี้บ่อยๆ มันเดือดร้อนคนตรวจนะรู้ไหม” กล่าวตำหนิไปตามประสา แต่ตัวต้นเหตุเหมือนจะไม่ได้ให้ความสนใจเขาชอบกล ใบหน้านั่นหันซ้ายแลขวาเหมือนคนกำลังหาของ
   
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
   
“วันก่อนผมลืมโทรศัพท์เอาไว้ในนี้ พี่เห็นบ้างหรือเปล่า?” เจ้าตัวว่า ทิ้งสายตาไว้ที่ลำคอของเขา แล้วก้มกลับไปทำข้อสอบเงียบๆ
   
วันสุขเลิกคิ้ว หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แล้วก็เอี้ยวตัวไปคว้ากล่องเก็บของที่วางไว้เยื้องกันขึ้นมา เหยียดมือสุดแขนจนปลายเสื้อด้านหลังเลิกขึ้นพ้นขอบกางเกงสีเข้ม
   
“พี่ก็ว่าเครื่องของใครมาลืมไว้ เครื่องของเรานี่เอง”
   
วันก่อนมีโทรศัพท์ตระกูลผลไม้มาหย่อนไว้ที่ช่องส่งการบ้านหน้าห้อง ถึงขนาดมาหย่อนทิ้งไว้ให้แบบนั้น จะเรียกว่าลืมก็ออกจะแปลกสักหน่อย
   
“หย่อนลงกล่องส่งการบ้านแบบนี้ ลืมจริง หรือว่าจงใจลืมกันแน่ครับ” ไกวของกลางไปมาอย่างนึกสนุก เหยียดขา เอนหลังนั่งสบาย ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบเกินความจำเป็น
   
“ผมโดนเพื่อนแกล้งน่ะ”
   
“พี่เชื่อคำพูดเราได้สักแค่ไหนเชียว? ทำข้อสอบให้เสร็จก่อนครับ เดี๋ยวคืนให้” เก็บโทรศัพท์ไว้ที่กระเป๋าหลัง พลางเท้าคางมองคนฝั่งตรงข้ามซึ่งขมวดคิ้วมาให้
   
“ผมชื่อ ซาน ” ดูท่าจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่เขาไม่ยอมเอ่ยชื่อเจ้าตัว
   
“ซาน... ซานฟรานส์?” เขาเอ่ยทวนอย่างนึกสงสัย
   
ซานพยักหน้ามาให้ แล้วก็ขมวดคิ้วใส่เขาหนักกว่าเดิม เจ้าตัวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เงียบไป ความเงียบดำเนินไปอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้น่าอึดอัดเท่าไหร่ ความจริงดูจะสบายๆ ด้วยซ้ำ
   
วันสุขกอดอกเอนหลังนั่งพิงโซฟา อาการปวดศีรษะคล้ายจะทุเลาลงบ้างแล้ว ถึงนั่งมองคนฝั่งตรงข้ามทำข้อสอบจะเพลินดี แต่เขาเองก็มีงานต้องทำ
   
คิดได้แล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ดันตัวผ่านม่านกั้นตรงไปยังโต๊ะทำงานประจำ รื้อการบ้านเมื่อวานก่อนขึ้นมาตรวจ พร้อมเขียนแก้คำตอบให้เสร็จสรรพด้วยปากกาหมึกแดงเข้ม
   
วันสุขจำได้ว่าเขาเคยโดนคุณอาดุอยู่บ่อยๆ เรื่องชอบทำงานเกินเงินค่าจ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อได้ทำแล้ว ก็อยากจะทำให้มันดีที่สุด
   
นักศึกษาคนไหนเขียนคำตอบผิดมาเขาก็จะลงมือเขียนแก้ให้ บางทีก็จะอธิบายเสริมลงไปในส่วนที่เข้าใจยาก ถึงจะจบบริหารมา แต่รับงานนี้มาตั้งเกือบสี่ปี อ่านข้อสอบ อ่านการบ้านซ้ำๆ หลายๆ รอบเข้า ความรู้มันก็ฝังลงหัวมาเองโดยปริยาย
   
นั่งตรวจได้สักพักตาก็เริ่มปรือ ไอเย็นช่วยให้รู้สึกสบายไม่น้อย ยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างเคยชิน คงเพราะวันนี้ตื่นเช้าเกินไป พอตกบ่ายถึงได้เริ่มล้าบ้างแล้ว
   
สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนผนัง เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมง พอแอบย่องออกไปดูใครอีกคน ก็ดูเหมือนว่าจะยังคร่ำเคร่งกับข้อสอบอยู่เช่นเดิม...
   
“ทำเสร็จแล้วก็ปลุกพี่ด้วยแล้วกัน” วันสุขว่าอย่างไร้ความรับผิดชอบแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง ดึงหมอนเป่าลมขึ้นมากอดไว้พลางซุกหน้าลงกับโต๊ะ
   
ตัดสินใจได้แล้วว่าจะงีบสักเดี๋ยว เขาไม่ชอบฝืนตัวเองเท่าไหร่ ถ้าอยากจะพักก็ต้องพัก พอร่างกายได้ชาร์ตพลังแล้วค่อยกลับมาลุยงานต่อ และเพราะนิสัยแบบนี้นี่แหละถึงต้องออกจากงานออฟฟิศที่ทำไปได้แค่ครึ่งปี


   

ช่วงที่เขารู้สึกถึงอิสระมากที่สุดคงไม่พ้นช่วงที่กำลังฝันอยู่ ฟังดูน่าอนาถใจไปสักหน่อย แต่มันก็คือความจริง  นอกจากงานบ้านที่ต้องทำแล้ว เรื่องนอนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขามักจะชอบทำบ่อยๆ
   
ในพักหลังมานี่เขาฝันหลายครั้ง รู้อยู่แก่ใจว่าการฝันไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันสื่อถึงจิตใจที่ฟุ้งซ่าน แต่เขาก็หยุดความคิดตัวเองไม่ได้สักครั้ง... ก็ได้แต่ให้มันโลดแล่นไปตามครรลองของมัน ก็ไม่รู้ว่าจะไปห้ามมันทำไม
   
นึกย้อนไปถึงครั้นวัยเยาว์ ของเล่นชิ้นแรกที่มีก็คือหนังสือสมุดภาพนิทานสำหรับเด็ก บ้านไม่ได้ยากจนอะไร แต่ของเล่นกลับน้อยชิ้นเหลือเกิน
   
เขาจำได้ว่าสมุดนั่นถูกเปิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องของพระจันทร์ พระอาทิตย์ ก้อนเมฆปุกปุย และหมู่ดาว ถูกถ่ายทอดผ่านสายตานับร้อยนับพันครั้ง
   
มันก็คงไม่แปลกใช่ไหมที่เขาจะชอบท้องฟ้า? ในเมื่อมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้สัมผัสมาเกือบแทบจะตลอดวัยเด็กผ่านภาพวาดสีน้ำสดใสนั่น
   
สิ่งที่มักจะนึกได้ถัดมาคือท้องฟ้าจำลองสมัยก่อน แม้เทคโนโลยีในตอนนั้นจะเทียบไม่ได้กับตอนนี้ แต่ภาพฉายเก่าๆ พวกนั้นยังคงติดลึกอยู่ในความทรงจำเสมอ หมู่ดาวนับล้าน พระจันทร์ดวงโต การค้นพบสำคัญ ดาวหางสีสวย และแมว... หืม... แมว?
   
“อือ...” ดวงตาปรือปิดค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพพร่ามัวของใครบางคนพลันแจ่มชัดขึ้น วันสุขขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร ใครอีกคนก็ถอยห่างออกไปพร้อมบางสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าหลังกางเกง ...ผู้ร้ายขโมยของกลางคืนไปเสียแล้ว
   
“ทำข้อสอบเสร็จแล้วเหรอครับ?” ขยี้ตาถามเสียงงัวเงีย ยังนึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยว่าจู่ๆ ก็มีแมวตัวเบ้อเริ่มกระโดดพรวดเข้ามาอยู่ในฝันได้อย่างไร
   
“พี่ปิดมือถือเหรอ?”
   
“อืม... สั่นครืดคราดทั้งวันก็เลยปิดน่ะ” จริงๆ ก็ไม่อยากจะถือวิสาสะสักเท่าไหร่ แต่เขาที่ต้องคอยกดรับสายตลอดเวลา เผื่อเจ้าของเครื่องจะโทรเข้ามาทวงคืนของหาย สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ไปๆ มาๆ เลยปิดมันเสียเลย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ทำงานกันพอดี
   
เขาหาวหวอด มือเผลอปัดปากกาจนตกลงไป รีบก้มลงไปเก็บ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องชะงักกึก เมื่อปลายจมูกของอีกฝ่ายแทบจะแตะกับแก้มเขาอยู่แล้ว
   
“นี่เราสนิทกันขนาดเข้ามาใกล้ได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ หืม?” ถามพลางเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย ไม่ได้เอียงใบหน้าหลบ
   
“กลิ่นวานิลลา” เจ้าตัวว่า แล้วก็ก้มลงมาดมฟุดฟิดแถวปกเสื้อ ทิ้งลมหายใจอุ่นๆ เอาไว้ก่อนจะดันตัวกลับไปยืนนิ่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   
“...” วันสุขมองตามการกระทำนั่น ไม่รู้ว่าควรโกรธกับการกระทำแบบนี้ หรือว่าควรจะขำตัวเขาเองดีที่ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไร
   
“น้ำหอมพี่กลิ่นแปลกดี เหมือนกลิ่นขนม...” ซานพูดเสียงเอื่อย ตาวาว ทำท่าสนใจเหมือนเจอของแปลก
   
“อ้อ... ยังมีกลิ่นติดอยู่อีกเหรอเนี่ย? ก่อนออกจากบ้านพี่เพิ่งอบเค้กไปน่ะ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมหรอก” ว่าแล้วก็ดึงปกเสื้อตัวเองขึ้นมาแตะจมูก  ลาดไหล่โผล่พ้นเชิ้ตดำรำไร
   
เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปากอีกครั้ง วันสุขเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้ชอบทำแบบนั้น อาจจะคล้ายกับเวลาที่เขาชอบเอียงคอตอนไม่รู้จะพูดอะไรดีล่ะมั้ง?
   
“พี่ทำขนมเป็นด้วย?”
   
“งานอดิเรกน่ะ พี่ชอบทำนะ แต่ไม่ค่อยชอบกินเองเท่าไหร่” เวลาทำทีไรก็เผลอทำออกมาเยอะจนกินไม่หมดทุกที ส่วนมากก็จะเทใส่กล่องเก็บไว้ในตู้เย็น พอถึงวันที่จะเข้าไปดูร้านถึงค่อยเอาไปแจกจ่ายให้คนที่นั่น
   
“ผมก็ชอบกิน แต่ไม่ค่อยได้ทำเองเท่าไหร่”
   
วันสุขเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าเข้าใจถูก หรือว่าต่อมรับรู้ด้านการสื่อสารของเขาบกพร่อง ประโยคที่คนตรงหน้าพูดมันถึงดูไม่ได้สอดคล้องกับของเขาชอบกล
   
เงียบกันไปสักพัก... เขาเองก็หยิบงานที่ตรวจค้างเอาไว้มานั่งตรวจต่อ แต่คนที่ยืนมองมานิ่งๆ นั่นไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลับออกไปเลยแม้แต่น้อย เสร็จธุระแล้วทำไมยังไม่ออกไปอีกนะ?
   
“มายืนจ้องพี่ทำไมครับ?” อดถามออกไปไม่ได้ จ้องกันนานๆ สมาธิตรวจงานมันพานจะลดลงเรื่อยๆ ชอบกล
   
“เพื่อนในคณะมีแต่คนพูดถึงพี่” ซานว่า
   
“ครับ? ด้านไม่ค่อยดีล่ะสิ พี่ชินแล้วล่ะ” ก็ตั้งแต่เข้ามาช่วยคุณอาได้สักพัก ก็มีเรื่องวุ่นๆ มาตลอด มีคนรักย่อมมีคนชังเป็นปกติ ถึงต่อหน้าก็ยิ้มแย้มกันดี พอลับหลังก็เอาไปนินทา ไม่ก็ตั้งฉายาประหลาดให้
   
หลายครั้งเขาก็อดโมโหไม่ได้ แต่จะไปทำอะไรได้ล่ะ... บางทีก็ไม่รู้ว่าจะโกรธไปทำไมเหมือนกัน ในเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นว่า ดิ้นเต้นไปก็เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
   
“ก็ไม่เชิง...” เสียงทุ้มนั่นทำท่าชั่งใจแล้วเปิดปากเล่าต่อ “บางอย่างมันไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ แต่ผมว่านิสัยพี่ดูแล้วแตกต่างจากรูปร่างภายนอกชอบกล” ได้ฟังแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว วางปากกาลงกับโต๊ะ แล้วเท้าคางมองคนพูดอย่างนึกสงสัย
   
“ยังไงล่ะ? ไม่อธิบายพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ”
   
“ผมมองแวบแรกแล้วนึกว่าพี่เรียนหมอ แต่จริงๆ แล้วพี่เหมือนแม่บ้านมากกว่า” นี่ก็อีกคน...
   
เมื่อเช้าคุณอาก็ทักเขาไปแล้วรอบหนึ่ง ตกบ่ายก็โดนเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งคุยกันได้ไม่เกินสามชั่วโมงทักไปอีกรอบ คิดแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เอามือตีแก้มตัวเองเบาๆ แล้วเปิดกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาส่องแทนกระจก
   
“หน้าตาท่าทางพี่เหมือนแม่บ้านขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   
“ท่าทางพี่เหมือน แต่หน้าตาไม่เหมือน ผมชอบปากพี่นะ สีส้มสวยดี” มาชมกันซึ่งหน้าแบบนี้ เขาเองก็ไปต่อไม่ถูก ได้แต่ยิ้มขำ เอียงคอไปมาอารมณ์ดี
   
“ชมกันแบบนี้ เดี๋ยวคราวหน้าจะอบเค้กมาให้กิน”
   
“ขอเค้กวานิลลา” ได้ทีก็เอ่ยสั่งเสร็จสรรพ
   
“ชอบเค้กวานิลลาเหรอครับ?” อดจะสงสัยไม่ได้ เพราะท่าทางคนพูดก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นพวกชอบของหวานเท่าไหร่
   
“เปล่า... หอมดีน่ะ ผมชอบกลิ่นวานิลลานะ อา...ต้องกลับแล้ว ขอบคุณเรื่องมือถือนะครับ บายครับ” พูดเรื่อยๆ พลางโบกมือไหวๆ แล้วก็หลบหายไปหลังม่านกั้นอย่างรวดเร็ว เสียงปิดประตูดังตามต่อมา เหลือทิ้งไว้แค่นายวันสุขซึ่งนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว...
   
อยากไปก็ไป อยากมาก็มา... เขาชักจะนึกออกแล้วว่าเจ้าเหมียวที่มันกระโดดเข้ามาขัดฝันหวานของเขา จริงๆ แล้วหน้าตามันเป็นอย่างไร


   

กว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ก็โดนป้ายลดราคาดูดให้เข้าไปหา วันสุขคิดว่าตัวเองชักจะเริ่มมีนิสัยเพี้ยนๆ เพิ่มเข้ามาทีละอย่างสองอย่าง ถ้าให้ตัวเขาเมื่อสิบปีก่อนมายืนมองวันสุขในสิบปีถัดมา แต่ละคนคงทำหน้าพิลึกพอดู
   
“กลับเสียเกือบค่ำ”
   
คำทักทายต้อนรับกลับบ้านดังมาจากผู้ใหญ่ที่นั่งอ่านหนังสือบนโซฟากลางห้อง ดูท่าจะหิ้วท้องรอข้าวเย็นตามปกติ ความจริงแล้วคนที่มีส่วนในการเปลี่ยน นายวันสุข ให้กลายมาเป็นเขาคนปัจจุบันคนนี้ก็คุณอานี่แหละตัวการ
   
“พอดีผมแวะไปซื้อของสดเพิ่มน่ะครับ”
   
“ตู้เย็นไม่มีที่จะเก็บแล้ว ยังจะไปซื้ออะไรเพิ่มอีก”
   
ได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วก็รีบกุลีกุจอหอบถุงพะรุงพะรังเข้าไปที่หลังครัว มันก็เยอะอย่างที่คุณอาว่าจริงๆ นั่นแหละ  ถ้ามีสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้นมาสักคนสองคนก็คงดีเหมือนกัน... ของในตู้คงจะลดลงไปเร็ว โต๊ะอาหารก็คงจะอบอุ่นดี
   
“เย็นนี้อะไรง่ายๆ แล้วกันเนอะ” อย่างผัดผักใส่กุ้ง ไข่ตุ๋นเนื้อเนียน แล้วก็ข้าวผัดกับแฮม
   
ลิสต์เมนูได้ก็เริ่มล้งเล้งกับเครื่องครัวอย่างทุกวัน ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรอก ออกจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมตอนลองไปลงครัวเองที่ร้านกลับไม่รู้สึกว่ามีความสุขแบบนี้ก็ไม่รู้
   
“กุ้งเยอะเกินไปหรือเปล่า?” คุณอาเดินเข้ามาทักทันทีที่เห็นว่าปริมาณกุ้งกับผักมันไม่ค่อยจะสมดุลเอาเสียเลย
   
วันสุขอมยิ้ม จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่ายังเหลือกุ้งที่กลัวว่าจะเสียอีกเกือบกิโลในตู้เย็น บอกไปมีแต่โดนเอ็ด เพราะฉะนั้นรอโดนดุทีเดียวพรุ่งนี้พร้อมกับข้าวผัดกุ้งไปเลยน่าจะดีกว่า
   
“จริงสิครับคุณอา วันนี้ผมโดนทักว่าเหมือนแม่บ้านด้วย” อดฟ้องไม่ได้ มือก็ตักผัดผักขึ้นจากกระทะ ขาตรงดิ่งไปหาข้าวที่หุงเมื่อวานในตู้เย็น ล้างแฮม ซอยแครอทไปตามประสา แต่ปากก็ยังพูดไปเรื่อย
   
“นี่ผมเหมือนแม่บ้านขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?”
   
“ยังกล้าใช้คำว่า ‘เหมือน’ นะ” ศีรษะถูกโยกด้วยมือหนาหยาบกร้าน มือของคุณอาอุ่นดี อยากจะลงไปดิ้นกอดขากอดเอว แล้วขอให้เล่านิทานก่อนนอนแบบสมัยก่อนเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะโดนดีดหน้าผากกลับมาแทนนี่สิ
   
“ถ้าไม่ใช้คำว่า ‘เหมือน’ แล้วจะให้ผมใช้คำไหนล่ะครับ?” ตอกไข่ใส่กระทะ เทสารพันของลงไปเหมือนไม่ค่อยตั้งใจจะทำนัก
   
คุณอาหันมาขมวดคิ้วใส่ กวาดตามาที่เขา มองขึ้น มองลง แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก ราวกับคนกำลังสนับสนุนความคิดตัวเอง
   
“ต้องบอกว่า ‘เป็น’ เลยต่างหาก”
   
ตะหลิวแทบหลุดมือ... ใครจะบอกว่าเขาเป็นพวกไม่ชอบฟังความจริงก็ตามใจ ความจริงแบบนี้ใครมันจะไปอยากได้ยิน ถ้าเอาไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟังคงโดนมันหัวเราะเยาะใส่ เพราะรายนั้นก็ชอบล้อเขาบ่อยๆ
   
“เดี๋ยวผมจะหาผู้ชายมาแต่งเข้าบ้านให้รู้แล้วรู้รอด จะได้รับตำแหน่ง นายวันสุข เดอะ แม่บ้าน ตามที่คุณอาอยากให้เป็นนัก” เขาประชด
   
“เราจะทำอะไรมันก็เรื่องของเรา อายุปูนนี้... ไม่ครองโสดจนตาย อาก็ดีใจแล้ว” ชายร่างสูงใหญ่วัยห้าสิบกว่าหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี ส่วนเขาจะไปทำอะไรได้ล่ะนอกจากเบ้หน้าใส่
   
มื้ออาหารผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เขาก็รายงานคะแนนนักศึกษากับพวกคะแนนการบ้านให้ฟังตามปกติ น่าแปลกที่ไม่มีชื่อของซานตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงแต่อย่างใด
   
จริงๆ แล้วข้อสอบที่เด็กคนนั้นทำ พอเขาเอามาตรวจก็ถูกเกือบหมด เขียนละเอียด ลายมือไม่ชวนปวดหัวอย่างของคนอื่น คุณอาเองก็ไม่มีทีท่าอะไร วันสุขคิดว่าท่านคงรู้อยู่แต่แรก เลยทำเฉยๆ ไม่เคยเอาเรื่องเอาราวตัวสร้างปัญหานี่อย่างจริงๆ จังๆ
   
“น้องปรัชญ์ก็เก่งนะครับ ทำควิซ ทำการบ้าน คะแนนดีตลอด เรื่องที่ดรอปเรียนไป ผมว่าคงไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมีปัญหาเรื่องเรียนแล้วล่ะ” เขารายงานเรื่องของคนที่ต้องดูแลอีกคน ส่วนคุณอาทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรมากนัก คุยกันไปล้างจานกันไปก็สนุกดีเหมือนกัน


   

พอจัดการอะไรเสร็จเขาก็แอบหลบขึ้นมาชั้นบน นอนหลับตาแช่ตัวในน้ำอุ่นๆ แล้วก็เหมือนนึกธุระอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ เหลือบตามองนาฬิกาอย่างชั่งใจ แล้วก็เอี้ยวตัวไปคว้าโทรศัพท์มือถือในกล่องกันน้ำออกมากดเบอร์ที่บันทึกไว้เมื่อเช้า
   
“สวัสดีครับ ร้าน Green & Green ครับ”
   
เสียงนุ่มนวลกรอกมาตามสายทำเอาต้องเลิกคิ้ว ร้านเปิดดึกดีเหมือนกันนะ
   
“สวัสดีครับ คือผมจะมาสอบถามเรื่องราคาต้นไม้ครับ แล้วไม่ทราบว่าที่ร้านมีบริการรับจัดสวนหรือเปล่า?” ขยับตัวเล็กน้อยจนเสียงน้ำดังก้องไปทั่วห้อง ปลายสายเงียบไปสักพักแล้วถึงค่อยตอบกลับมา
   
“มีครับ แต่เรื่องราคาต้องรบกวนคุณลูกค้าเข้ามาดูด้วยตัวเองครับ เพราะต้นไม้แต่ละต้นราคาจะไม่เท่ากันครับ แต่ถ้าเป็นราคาคร่าวๆ ทางร้านสามารถส่งรายละเอียดเข้าอีเมล์ไปให้ได้ครับ”
   
นึกว่าต้องถ่อไปเองเสียแล้ว จะว่าไปเสียงที่พูดมาตามสายนี่นุ่มสบายจังเลยนะ... ฟังแล้วชวนให้อยากหลับดีจริงๆ
   
“ไม่ทราบว่าร้านตั้งอยู่แถวไหนครับ?” แต่คิดไปคิดมาแล้วเข้าไปดูเองน่าจะสะดวกกว่า ซึ่งพอฝ่ายนั้นบอกที่ตั้งร้านมา ก็ทำเอาเขาหัวเราะแผ่ว เพราะบังเอิญที่มันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยพอดี
   
พวกเขาคุยรายละเอียดกันไปสักพัก สุดท้ายเจ้าของเสียงนุ่มนั่นก็ถามชื่อ และช่องทางติดต่อกลับ
   
“ชื่อ วันสุข ครับ เบอร์ติดต่อกลับก็เบอร์โทรนี้เลย”
   
“พี่วัน?” เสียงอุทานดังมาจากปลายสายทำเอาเลิกคิ้วแปลกใจไม่ได้
   
“ทราบชื่อเล่นผมได้ยังไงครับ?”
   
“เอ่อ... นี่ปรัชญ์เองครับ... ปวรปรัชญ์” เจ้าตัวว่าเสียงแผ่ว ส่วนเขาก็ได้แต่หลุดหัวเราะ ยกขาตีน้ำไปมาอารมณ์ดี แบบนี้คงไม่ต้องเกรงใจอะไรกันอีก โลกนี่ก็กลมดี กลมจนน่ากลัวเชียวล่ะ...
   
“อ้อ... น้องปรัชญ์สินะ? พี่จำเราได้อยู่ ยังไงก็เตรียมตัวต้อนรับพี่ไว้ได้เลย ส่วนวันนัดเดี๋ยวค่อยตกลงกันอีกทีแล้วกัน” ชันกายลุกขึ้นจากอ่างน้ำ ได้ยินเสียงหลดอุทานมาจากปลายสาย
   
“ผมได้ยินเสียงน้ำ...”
   
“อ้อ... พี่อาบน้ำอยู่น่ะ ไม่มีอะไรหรอก แช่นานๆ แล้วขี้เกียจลุก ก็เลยโทรคุยกับเราทั้งแบบนั้นแหละ” อธิบายเสร็จสรรพ แล้วก็หัวเราะตบท้ายเป็นอันจบ ฝั่งนู้นเงียบไปในทันทีที่เขาลงมือเปิดฝักบัว... เคสกันน้ำที่เพื่อนสนิทซื้อมาให้ใช้นี่สะดวกดีจริงนะ
   
“อ้าว... เงียบไปซะแล้ว... ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกันใหม่ครับ พี่ขอจัดการกับตัวเองหน่อยแล้วกัน” ว่าแล้วก็กดวางสายพลางอมยิ้ม เทอมนี้นี่มีเรื่องมาทำให้อารมณ์ดีเยอะแยะหลายเรื่องเลยทีเดียว
   
ว่าแล้วก็ยืนให้น้ำไหลผ่านร่างไปเฉยๆ เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นขัดจังหวะ วันสุขยกมือเสยผมปรกตาออก แล้วเอื้อมแขนไปคว้าโทรศัพท์มากดดูอีกครั้ง เบอร์โทรที่ไม่รู้จัก แต่รูปประโยคนี่ อ่านเพียงรอบเดียวก็ไม่ต้องเดาว่าใครส่งมา...
   
‘เบอร์โทรผมหาย พี่เก็บได้แล้วบอกที’


To be continued...


ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้นะครับ  :L2:
จะค่อยๆ ลงเรื่อยๆ น่อ

ปล. สำหรับคุณอาไม่มีอะไรในก่อไผ่นะ XD
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 1 - วันสุข (9/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: michiri.sama ที่ 09-07-2014 23:21:17
อ๊าา เผลอจิ้นคุณอากับวันไปนิดนึง สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
การกระทำอะไรหลายๆอย่างของอาหลานคู่นี้ดูอบอุ่นมากค่ะ
วันก็แม่บ้านแม่ศรีเรือนซะเหลือเกิน ยังกับเป็นคู่สามีภรรยาที่อยู่กันมาแรมปี 555555

อยากรู้จังข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับวันคืออะไร

ตำแหน่งพระเอกน่าสงสัยอยู่สองคน
ซานหรือปรัชญ์กันน้า

ปรัชญ์พอรู้ว่าพี่วันอาบน้ำอยู่ก็เงียบไปเลย คิดอะไรอยู่จ๊ะ อิอิ

ชอบเรื่องนี้มากน้า ชอบนิสัยวันจริงๆนั่นแหละ
จะใสซื่อก็ไม่เชิง จะแอบร้ายก็ไม่ใช่ แลดูกึ่งๆดี

ติดตามจ้าาา มาต่อเร็วๆน้าา ^^
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 1 - วันสุข (9/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 10-07-2014 07:59:10
ตัวเก็งโผล่มาแล้วสองคน โอ้ยยยยยย  :hao7:   
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 1 - วันสุข (9/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 10-07-2014 19:29:19
ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 1 - วันสุข (9/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 10-07-2014 23:39:40
ชอบบบ รออ่านอีก :mew3:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 2 - กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ (11/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 11-07-2014 16:02:44
บทที่ 2 กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ


ช่วงนี้ที่มหาวิทยาลัยดูจะมีบรรยากาศระอุขึ้นชอบกล เขาเห็นเป็นแบบนี้มานานก็อดเหนื่อยใจไม่ได้ ช่วงเปิดเทอมใหม่จะยังมีแต่กิจกรรมสนุกสนานเสมอ
   
แต่พอเข้าช่วงอาทิตย์ที่สองหรือสาม แทบทุกคณะก็จะเลี้ยวหักโค้งเข้าสู่การรับน้องอย่างแท้จริง โดยเฉพาะคณะที่คุณอาเขารับสอนเทอมนี้ สภาพอ่อนเปลี้ยของนักศึกษาหน้าใหม่ทั้งหลายชวนให้คลาสแต่ละวันดูหดหู่ชอบกล
   
วันสุขนึกสงสัยหลายครั้งว่าระบบแบบนี้ช่วยอะไรได้ โชคดีที่กิจกรรมไม่ได้รุนแรงขนาดสมัยก่อน เห็นมีเรื่องมีราวกันบ้างตามประสา การบ้านที่คุณอาสั่งกับจำนวนที่มีคนส่งก็ลดลงไปมาก หลายคนเริ่มจะปรับตัวไม่ทัน คงจะยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกกิจกรรม หรือการเรียนก่อนดี
   
ทว่าเขาก็แอบอิจฉาเด็กๆ อยู่เหมือนกัน... ช่วงวัยที่ยังมีพลังล้นเหลือแบบนั้น อดคิดถึงวันวานสมัยก่อนที่โดนรุ่นพี่สั่งวิ่งรอบคณะหลายสิบรอบไม่ได้ ส่วนตอนนี้อย่าว่าแต่วิ่งเลย แค่เขาเดินขึ้นบันไดชั้นสามก็หอบหน่อยๆ แล้ว แต่น่าแปลกตรงที่ทำงานบ้านทั้งวี่ทั้งวัน แต่ไม่ยักเหนื่อยนี่สิ...
   
อา...จะยอมรับก็ได้เรื่องที่โดนกล่าวหาว่าทำตัวเหมือนแม่บ้าน เพียงแค่ช่วยเปลี่ยนคำเรียกเป็น ‘พ่อบ้าน’ แทน ฟังดูมันชวนสบายใจกว่าเป็นไหนๆ ซึ่งเรื่องนี้เขาเคยอภิปรายกับคุณอาไปแล้ว แต่ท่านกลับไม่มีทีท่าว่าจะเห็นด้วยเลยสักนิด ซ้ำยังแกล้งหยอก เรียกเขาว่า ‘แม่บ้าน’ แทนชื่อทุกวัน
   
หลายวันก่อนคุณอาเข้ามาถามความคิดเรื่องแต่งงาน แปลกใจดีเหมือนกัน... ถึงจะเคยโดนถามทำนองนี้หลายครั้งแล้ว แต่มันก็ไม่จริงจังเท่าครั้งนี้
   
เขาเองก็พอจะเข้าใจ คุณอาเคยแต่งงานครั้งหนึ่งเมื่อสมัยเขายังเด็กมากๆ จำได้แค่ว่าภรรยาท่านเสียชีวิตหลังจากนั้นหนึ่งปี ด้วยที่ยังทำใจไม่ได้ ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงเวลาที่รับเขามาเลี้ยงพอดี ท่านเลยเลี้ยงเขาเสียเหมือนลูกชายตัวเองจริงๆ
   
คงถึงช่วงเวลาที่ท่านอยากจะอุ้มหลาน... คิดกี่ทีก็ได้แต่ยิ้มขำ นึกภาพตัวเองไม่ออก ถ้าหากต้องแต่งงานกับผู้หญิงสักคน...จะเป็นอย่างไร?
   
“คุณอาสนใจอยากเลี้ยงแมวไหมล่ะครับ?”
   
เคยถามแบบนี้ไป แต่ท่านดันทำหน้าพิลึกใส่เสียอย่างนั้น
   
“แพ้ขนแมวไม่ใช่หรือไงเรา? เลี้ยงแล้วเดี๋ยวก็ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ”
   
มันก็จริง...


   

เช้ากี่เช้าก็ยังเหมือนทุกวัน... ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน ลงไปรดน้ำต้นไม้ พรวนดินบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย เอาของเหลือในตู้เย็นไปทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้าน อาหารเช้าก็ถูกเตรียมง่ายๆ อย่างทุกที
   
ช่วงนี้เขาโดนคุณอาสั่งห้ามซื้อกุ้งเข้าตู้เย็น เพราะตั้งแต่มื้อเช้าเป็นข้าวต้มกุ้งวันนั้นก็มี ข้าวผัดกุ้ง ไข่เจียวกุ้ง ฉู่ฉี่กุ้ง ต้มยำกุ้ง ตามมาอีกเป็นกระบุง ขนาดเขาทำเองยังเบื่อเอง...
   
“วันนี้ผมจะเข้าไปที่ร้านนะครับ” ว่าแล้วก็ตักไข่คนกับมันฝรั่งผัดเนยใส่จาน คุณอาไม่ชอบทานขนมปังตอนเช้า เขาก็เลยไม่ได้ปิ้งเผื่อ
   
“ส่งเสริมให้ไขมันไปอุดตันเส้นเลือดอาหรือไง?” ท่านว่าขำๆ ถึงจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังรักษาสุขภาพเหมือนสมัยหนุ่มๆ
   
เขาไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่คุณอาเขาน่ะหล่อเหลาเอาการเชียวเลยล่ะ แตกต่างจากคุณพ่อของเขาลิบลับ... หล่อเข้มกับหล่อแบบเจ้าราตรี คำจำกัดความแบบที่เขาพอจะนึกออก
   
“พักหลังมานี่อาไม่ค่อยจะเห็นเราเข้าร้านเลย”
   
“ไม่ค่อยมีอะไรน่าห่วงน่ะครับ เลยไม่ต้องเข้าไป แต่พอดีช่วงนี้เวย์มันจะจัดสวนของร้านใหม่ ผมเลยต้องเข้าไปดูหน่อยว่าจะแก้ตรงไหนเพิ่มบ้าง” ชื่อของเพื่อนสนิทมีเอี่ยวเข้ามาในวงสนทนา คุณอาพยักหน้าอือออแล้วยกกาแฟไม่ใส่น้ำตาลขึ้นดื่มอึกๆ
   
“เห็นเราไม่ค่อยพูดถึงร้าน อาก็นึกว่าเจ๊งไปแล้ว”
   
แทบสำลักมันฝรั่ง...
   
“อย่ามาแช่งกันสิ เห็นแบบนี้ยอดขายดีวันดีคืนนะครับ เดือนก่อนนิตยสารยังมาสัมภาษณ์อยู่เลย อีกอย่างเวย์มันโทรมาเล่าให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้มีคนเข้าร้านเยอะขึ้น เพราะได้ตัวเรียกลูกค้าแบบไม่ต้องเสียเงินจ้าง” ว่าแล้วเอียงคอนึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิทซึ่งได้คุยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน “รู้สึกว่าจะเป็นเฟรชชี่อะไรสักอย่าง?”
   
“แสดงว่าเราน่ะตกกระป๋องแล้ว” คุณอาว่า วันสุขทำหน้ายู่ใส่
   
“ตกกระป๋องเสียเมื่อไหร่ ผมเข้าร้านไปทีไรมีแต่สาวๆ แวะเข้ามาทั้งนั้น” เมื่อก่อนน่ะนะ... ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะยังเหมือนเดิมไหม เพราะเข้าไปตรวจร้านทีไร เขาก็ชอบหลบอยู่ด้านหลังมากกว่า ให้ไปเดินรับออร์เดอร์ หรือยืนคิดเงินที่เคาน์เตอร์น่ะทำไม่ไหวหรอก
   
“จริงสิ เมื่อวานบ่ายๆ มีซองแปลกๆ มาหย่อนไว้ที่หน้าบ้าน จ่าซองถึงเราน่ะ อาก็ลืมบอกไปเลย วางไว้ตรงโทรศัพท์หน้าบ้านนะ”
   
“ครับ เดี๋ยวออกไปเอา” เขารับคำเบาๆ แล้วละเลียดจัดการอาหารเช้าต่อไป
   
หลังจากคุณอาออกไปทำงานได้ไม่นานก็ลองเดินไปดูเจ้าซองที่ว่านั่น ซองสีขาวเกลี้ยงเกลาไม่มีอะไรนอกจากชื่อของเขาที่เขียนหวัดๆ ด้วยเส้นสีน้ำเงินอ่อนเหมือนปากกาหมึกใกล้หมด พลิกไปพลิกมาก็ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร จนกระทั่งเขาฉีกมันนั่นแหละ...
   
“โอ๊ย!”
   
นิ้วโป้งถูกบาดด้วยอะไรสักอย่างจนเลือดไหลซิบ สะบัดมือไล่ความเจ็บ แล้วแหวกซองออกมาจนเจอะกับใบมีดแบบอ่อนซึ่งติดแนบอยู่ข้างใน... วิธีคลาสสิกแบบนี้ใช่ว่าจะเจอครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ จำได้ว่าในอดีตก็เคยโดนแกล้งบ่อยๆ แต่ใครกันที่ส่งมันมาให้เขา?
   
วันสุขอดคิดมากไม่ได้ เรื่องราวร้ายๆ ในวันวานยังตามมาหลอกหลอนจนถึงทุกวันนี้ อดที่จะยกมือตัวเองขึ้นมามองเลือดสีเข้มอย่างนิ่งงันแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
   
บางทีมันอาจจะเป็นแค่การแกล้งกันเล่นๆ อีกทั้งคนที่รู้ที่อยู่เขาก็มีไม่น้อย จะให้มานับเป็นรายคน หาตัวผู้ร้าย มันไม่ใช่ธุระเลยสักนิด... คงต้องวางเรื่องนี้ไปก่อน เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องจัดการ


   
“สวัสดีครับ เจ้าของร้านมาเยี่ยม มีใครดีใจกันไหมเอ่ย?”
   
หอบกล่องถนอมอาหารแล้วโผล่หน้าเข้าไปด้านหลังของบ้านสองชั้นกลางสวนสวย พนักงานที่เพิ่งออกกะชะงักกึกทันทีที่เห็นหน้าเขา แล้วก็พากันโวยวายเสียงสนั่น
   
“ขนม! ขนมมาแล้วพวกเรา ขนม!!”
   
ของในมือถูกคว้าไปอย่างรวดเร็วโดยเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง วันสุขยืนนิ่งยิ้มค้าง ทอดสายตามองภาพปลาสวายรุมขนมปังอย่างนึกปลงในใจ
   
นับวันเขาชักจะได้รับความเคารพจากลูกร้านน้อยลงทุกที กลับกัน... พอพูดถึงชื่อ เวย์ ขึ้นมา แต่ละคนจะเดินหลังตรงคอตั้งอย่างกับสวนสนามในค่ายฝึก
   
“อ้าวคุณวัน สวัสดีค่ะ”
   
ผู้จัดการร้านหน้าสวยเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร เห็นแบบนี้แล้วเธออายุเยอะกว่าเขาเสียอีก มีลูกแล้วสามคน แฝดซนๆ คู่หนึ่งแล้วก็เจ้าตัวเล็กที่เพิ่งคลอดเมื่อปีกลาย
   
“สวัสดีครับ” ว่าแล้วก็แอบชะโงกคอไปที่หน้าร้าน หันซ้ายแลขวาเหมือนคนกำลังมองหาอะไรอยู่
   
“มองหาอะไรหรือคะคุณวัน?” เธอถามอย่างสงสัย ก่อนจะหันไปเอ็ดฝาแฝดที่วิ่งเข้ามาเกาะขาเขาจนเกือบล้ม
   
เด็กๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวแบมือขอขนมขอลูกอมอย่างเคยชิน วันสุขหัวเราะเอ็นดู จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณลุงใส่หมวกแดง แบกถุง ขี่เรนเดียร์ ชอบกล
   
“วันนี้เอาตัวแสบมาที่ร้านด้วยเหรอครับ?”
   
“ค่ะ บ่ายๆ ว่าจะพาพวกแกไปตรวจสุขภาพเสียหน่อย เรื่องงานก็ขอลาคุณเวย์เขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ” เธอรายงานอย่างรู้ทันว่าเขาจะถามอะไร “คุณวันยังไม่ตอบคำถามเลยว่ามองหาอะไรอยู่”
   
“อ้อ เวย์มันมาโม้เรื่องลูกค้าใหม่น่ะครับ ผมก็เลยอยากเห็นว่าเป็นยังไง” พอพูดจบเธอก็หัวเราะคิก
   
“สักเกือบเที่ยงเดี๋ยวก็เข้ามาแล้วล่ะค่ะ สาวๆ ที่นี่กรี๊ดกันใหญ่ คุณเวย์ก็ดูชอบใจ เพราะเขาช่วยเรียกลูกค้าเข้าร้านเราแบบไม่รู้ตัว”
   
“หืม? แบบนี้ผมคงต้องลงครัวเองเป็นสัมมนาคุณพิเศษซะแล้วสิ” ว่าแล้วก็ย่อตัวลงหอมแก้มฝาแฝดกันไปคนละที
   
เขาเคยเป็นคนไม่ชอบเด็ก สมัยก่อนมักมองว่าน่ารำคาญ แต่พอลองได้เปิดใจ ก็ต้องพบว่าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเหล่านี้มักจะทำให้เขาได้ยิ้มและหัวเราะเสมอ
   
“อาวันทำขนมให้เค้ากินหน่อย” เสียงใสจากเด็กหญิงผมสั้นดังขึ้นแล้วก็กอดแขนเขาหมับ
   
“ทำให้ผมด้วย อยากกินมะนาวชีส” เด็กชายที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเข้ามากอดแขนอีกข้างเขาบ้าง
   
“เอ... เลมอนชีสพายวันนี้อาก็เอามานะครับ อยู่ในกล่องตรงนู้นแน่ะ” ชี้ไปที่เป้าหมาย ก่อนที่แขนจะถูกปล่อยเป็นอิสระ เด็กๆ ตัวเล็กวิ่งเข้าไปรุมขนมกันอย่างสนุกสนาน คนเป็นแม่ซึ่งยืนข้างเขาก็หัวเราะคิกคัก
   
“คุณวันเข้ากับเด็กได้ดีจริงๆ ค่ะ แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่หาภรรยาเสียที” คำถามแบบนี้อีกแล้ว...
   
“ยังไม่พร้อมจะรับใครน่ะครับ บางทีผมยังคงรักอิสระอยู่ โสดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันออก” ว่าพลางรับผ้ากันเปื้อนครึ่งตัวมาผูกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตีมือแปะเรียกพนักงานให้เข้ามารวมตัวกัน โชคดีที่ช่วงสายของวันลูกค้าบางตากว่าที่ควร งานเลยไม่ได้ติดพันกันเท่าไหร่
   
“อีกไม่นานที่ร้านจะมีการปรับแต่งสวนใหม่ ผมอยากให้ทุกคนลองเขียนสิ่งที่อยากได้ หรือสิ่งที่ลูกค้าเคยบ่นไว้แล้วส่งเข้ามาในอีเมล์ผมหน่อย กำหนดก่อนเย็นวันศุกร์นี้นะครับ” ว่าเรียบเรื่อยแล้วก็ปล่อยให้แต่ละคนไปทำงานของตัวเองต่อ ส่วนเขาก็เดินออกไปประจำหน้าร้าน วันนี้นึกครึ้มแปลกๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน
   
เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามากระทบประสาทหู เขาละมือจากถ้วยแก้วพลางเงยหน้าขึ้นมองลูกค้าเจ้าของรถสีขาวนวลสวย สาวๆ ในร้านส่งเสียงฮือฮาเป็นสัญญาณว่าคนที่เพื่อนสนิทเคยพูดถึงได้มาปรากฏตัวแล้ว...
   
วันสุขเพ่งสายตามอง ชักจะเริ่มคุ้นๆ เจ้าคนใส่แว่นดำนั่นพิกล... จนเมื่อเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น และแว่นกันแดดถูกดึงออกจากจมูกโด่งสวยนั่น เขาก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
   
“อ้าว น้องซานเองหรอกเหรอ?” หัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไปทัก เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปากมาให้อย่างที่ชอบทำประจำ หูเขาเองก็แว่วเสียงแปลกใจจากห้องครัว คงจะสงสัยกันล่ะสิว่าทำไมพวกเขาถึงรู้จักกัน? แต่ถึงจะโดนเค้นก็ไม่บอกหรอกนะ...
   
“พี่วันทำงานที่ร้านนี้เหรอครับ?” เจ้าตัวถามแล้วกวาดตามองเขายิ้มๆ วันสุขก้มลงมองตัวเองบ้างแล้วหัวเราะขำ กางแขนหมุนรอบหนึ่งอย่างนึกสนุก อยากมองก็ให้มองเสียสามร้อยหกสิบองศา
   
“อืม... ไม่ได้ทำงาน แต่เป็นหนึ่งในเจ้าของร้าน”
   
คนตรงหน้าเลิกคิ้วแปลกใจทันทีที่ได้ฟัง ชั่วแวบหนึ่งประกายสงสัยก็ฉาบวาบผ่านดวงตาคมคู่นั้น ซานไม่พูดอะไรต่อ ร่างสูงตรงดิ่งไปนั่งยังมุมร้านซึ่งดูเป็นส่วนตัวมากที่สุด มือก็กวักเรียกเขาให้เข้าไปใกล้
   
“อะไรครับ? อยากทานอะไรดีล่ะ บอกมาเลยเดี๋ยวพี่ลงครัวให้เอง” ว่าเรื่อยๆ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปหา
   
“ขอถ่ายรูปคนดังก่อน” จบประโยคก็ยกกล้องมือถือขึ้นมา ขณะที่เอวของเขาถูกคว้าอย่างถือวิสาสะ
   
วันสุขนิ่งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร ส่งยิ้มเรียบๆ ให้กล้อง ส่วนใครอีกคนดูเหมือนจะโน้มหน้ามาใกล้จนแก้มแทบจะชนกัน เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอีกครั้งสองครั้ง ก่อนที่เขาจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
   
“จริงๆ แล้วทางร้านไม่มีนโยบายถ่ายรูปกับพนักงานนะครับ” พูดไปยื่นเมนูให้อีกฝ่ายไป
   
“แต่พี่เป็นเจ้าของร้าน ผมไม่ถือว่าเป็นพนักงานนะ” คนอ่อนกว่าว่า มือก็กดยุกยิกลงบนจอสัมผัส “ผมโพสต์รูปพี่นะ” มีการหันมาขออนุญาต แต่มือน่ะกดปุ่มโพสต์ไปแล้วเรียบร้อย
   
“พี่ยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ”
   
“ผมก็แค่ถามเป็นมารยาทเฉยๆ ” พูดอย่างเอาแต่ใจ ส่งยิ้มทะเล้นมาให้ เห็นแล้วก็อยากจะมะเหงกใส่สักทีเหมือนกัน
   
“อ้าว... เอาล่ะ จะกินอะไรดี เดี๋ยวให้ฟรีมื้อนึง”
   
“ฟรีตลอดชีวิตเลยไม่ได้เหรอ?” ทำเสียงออดอ้อนไม่สมตัวแล้วก็แนบหน้าลงกับโต๊ะพลางส่งสายตาใสๆ มาให้
   
วันสุขชะงักไป เมินหน้าไปทางอื่น รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของอีกคน ปกติเจอกันทีไรเด็กคนนี้ก็พูดน้อยตลอด ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีด้านที่ดูสมเป็นเด็กแบบนี้เหมือนกัน
   
“ไม่ได้ครับ” เขาว่าเสียงเข้ม แต่เสียงร้องเหมียวๆ ยังดังมาหลอกหลอนไม่หยุด
   
“ผมเป็นแค่นักศึกษาปีหนึ่งเองนะครับ”
   
“ข้าวร้านพี่ถึงจะไม่แพง แต่ผมกินเยอะนะ มื้อเดียวเอง มื้ออื่นด้วยได้ไหม”
   
“เจ้าของร้านใจร้ายจัง แบบนี้ต้องเอาไปป่าวประกาศ” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแชะใส่เขาอีกรูป
   
“บ่นมากเดี๋ยวจะได้แค่กาแฟเย็น” เขาว่าพลางเคาะเมนูลงกับโต๊ะกระจก ในขณะที่ซานหัวเราะขำเมื่อได้ยิน เสียงนุ่มๆ ติดยังเยาว์นั่นชวนให้รู้สึกดีอย่างประหลาด... วัยรุ่นน่ะดีจริงๆ นั่นแหละ
   
“กาแฟเย็นก็พอครับ ผมกินอะไรมาก่อนหน้านี้แล้ว อยากลองกับข้าวฝีมือ ‘แม่บ้าน’ เหมือนกันนะ น่าเสียดายจริงๆ ” จบประโยคแล้วแมวก็กระโดดแผล็วไปหลบมุมร้าน เมื่อเขาทำท่าว่าจะฟาดสันเมนูเข้าใส่ เด็กหนุ่มหัวเราะอารมณ์ดี พลางจ้องเขาด้วยสายตาพราวระริก
   
วันสุขถามซ้ำอีกทีว่าอยากได้กาแฟแบบไหน แล้วก็หลบไปทำให้เงียบๆ รู้ตัวตลอดว่าทุกการขยับนั้นตกอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาอย่างสนอกสนใจ ฝาแฝดที่หลบอยู่หลังร้านก็ออกมาเล่นกันที่ข้างหน้า เรียกเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มขำจากลูกค้าคนอื่นได้ดี
   
รู้สึกหนังตากระตุกแปลกๆ ตอนเทกาแฟใส่แก้วทรงสูง เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังเข้ามาใกล้ เขาวางแก้วลงถาดแล้วออกเดินอย่างระวัง สายตาก็สอดส่ายหาฝาแฝดที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ตรงไหน
   
“กาแฟเย็นครับผม” ส่งเสียงเรียกซานที่เอาแต่กดโทรศัพท์ เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะชะงักกึก
   
“พี่วัน!”
   
โพละ! โครม!!
   
เสียงแตกกระจายของดวงไฟเหนือศีรษะดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงหล่นโครมของโคมทั้งยวง แขนของเขาถูกกระชากอย่างแรงจนถลา ร่างกายล้มลงอย่างตั้งตัวไม่อยู่ จมูกกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ให้สัมผัสเหมือนพื้นสักเท่าไหร่
   
“คุณวัน!” เสียงกรีดร้องของผู้จัดการร้านดังขึ้น ร่างเล็กๆ วิ่งเข้ามาหา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ รู้สึกตัว
   
วันสุขสูดหายใจเข้าลึก ชันกายขึ้นมาจากเบาะรองมีชีวิต ซานเบ้หน้าทันทีที่เขาขยับ คงจะจุกเพราะเขาล้มทับไปเต็มๆ ถึงตัวจะดูหนากว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้ามีผู้ชายสักคนล้มทับจะไม่เป็นอะไรนี่นะ
   
“น้องซาน เป็นอะไรไหมครับ?” ถามอย่างเป็นห่วง ตาเองก็มอง เศษแก้ว น้ำกาแฟ และอดีตโคมไฟอย่างนึกหวั่น... ไม่รู้ว่าจู่ๆ มันจะมาระเบิดได้อย่างไรถ้าไม่มีใครไปทำอะไรมัน... และเขาก็จำได้ว่าเมื่อเดือนกลายเพิ่งสั่งให้ช่างเปลี่ยนหลอดไปหยกๆ
   
“ศอกพี่โดนท้องผม... น้ำกาแฟด้วย” ซานพูดเสียงเบา แล้วก็เบ้หน้า เมื่อเจอะว่ากาแฟสีน้ำตาลหกราดเสื้อตัวเองเต็มๆ ตามแขนมีรอยบาดจางๆ แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
   
พอเห็นแบบนั้นเขาถึงกับโล่งอก วันสุขชันกายขึ้นมาแล้วพยายามปรามความวุ่นวาย พนักงานชายหลังร้านกระวีกระวาดเข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาด ส่วนผู้จัดการสาวก็รีบโทรศัพท์ไปรายงานเวย์ทันที


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 2 - กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ (11/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 11-07-2014 16:05:58



“ไม่เจ็บตรงไหนแน่นะ?” อดที่จะถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ซานส่ายหน้าหวือแล้วถอดเสื้อเปียกๆ ออก กล้ามเนื้อดูพอดีกำลังสวยภายใต้ผ้านั้นชวนให้อิจฉาไม่น้อย เห็นแล้วก็อดกลับมามองตัวเองไม่ได้
   
เรื่องออกกำลังกายสำหรับเขาน่ะห่างหายมานานแล้ว ส่วนมากที่ทำอยู่ก็แค่งานบ้านไปวันๆ เท่านั้น ไอ้ที่เคยมีมันก็เลยจะยุบเอา แต่ก็ยังขึ้นรูปอยู่บางๆ
   
“จ้องแบบนั้นผมก็เขินเป็นนะครับ” ดูท่าจะอายจริงๆ เพราะเจ้าตัวทำท่าว่าจะหยิบเสื้อเปียกๆ ขึ้นมาคลุมตัวเองอีกรอบ
   
“อย่างเรานี่เขินเป็นด้วยเหรอ? ปกติก็ถอดเสื้อให้สาวดูบ่อยๆ นี่” คาดเดาไปตามเนื้อผ้า ซานหัวเราะแห้งๆ แล้วก็สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเขาถือวิสาสะใช้นิ้วแตะลงไปบนกล้ามท้องของอีกฝ่าย
   
“สาวมองกับพี่มองมันต่างกันนี่” เบี่ยงตัวหลบแล้วส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้
   
เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ เอี้ยวกายไปคว้าผ้าขนหนูยื่นให้ ช่วงหัวค่ำนู่นแน่ะกว่าเวย์จะเข้าร้าน ก็คงต้องปล่อยเรื่องอุบัติเหตุให้เพื่อนสนิทจัดการไป เขาสันทัดงานแบบนั้นเสียที่ไหนล่ะ
   
“หุ่นดีนะ” อดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้ คนที่มีโครงร่างดูดีแบบนี้มันน่าอิจฉาน้อยเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็ผู้ชาย ไม่แปลกที่อยากจะดูดีแบบนี้บ้าง ถึงอายุจะเหยียบเลขสามแล้วก็เถอะนะ...
   
“ว่ายน้ำน่ะครับ แล้วก็เข้าฟิตเนส” เจ้าตัวว่า
   
วันสุขพยักหน้าอือออไปตามประสา ก่อนจะไล่อีกฝ่ายให้เข้าห้องน้ำไปสักที แอบเห็นพวกพนักงานด้านนอกทำเสียงเสียดายแล้วมันก็อดขำไม่ได้ คนในห้องน้ำจะรู้หรือเปล่าว่า ตั้งแต่ยืนคุยกับเขาอยู่นี่ ตัวเองโดนสาวๆ ในร้านแอบมองจ้องกันซะน่ากลัว
   
“หาเสื้อสินะ หาเสื้อ” คิดขึ้นได้ก็ตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานชั้นบน แล้วก็เริ่มลงมือค้นหาเสื้อผ้าสำรองที่เวย์ชอบเอามาทิ้งไว้ ผลปรากฏว่าเป้าหมายเจ้ากรรมดันอยู่ในกล่องหลังตู้ใส่ของซึ่งสูงขนาดที่เขาเอื้อมแขนไม่ถึงเสียนี่
   
“ฮึบ” เขย่งขา เหยียดมือสุดแขน หูแว่ววานเสียงเรียกชื่อตัวเองมาจากที่ไกลๆ ปลายนิ้วแตะเข้าที่กล่องได้แล้วพยายามจะเขี่ยให้มันตกลงมา
   
“พี่วันครับ แล้วเสื้อผ้า...”
   
โครม!
   
รอบที่สองของวันที่ต้องลงไปนอนนับดาวอย่างช่วยไม่ได้ รอบนี้ไม่มีเบาะรองเนื้ออุ่นๆ อีกแล้ว มีแต่พื้นพรมแข็ง และกล่องกระดาษที่ตกลงมาใส่ศีรษะเต็มๆ
   
หูแว่ววานเสียงหัวเราะขำของคนมาใหม่ สติยังคงมึนงง ข้อแขนถูกคว้าด้วยมือเย็นเฉียบ ดึงพรวดเดียวก็ลอยหวือจนหลังไปชนกับแผ่นอกชื้นน้ำ
   
“ซุ่มซ่ามจังนะครับ” ลมหายใจร้อนกระซิบอยู่ริมหู วันสุขหัวเราะเบาๆ แล้วเดินออกมาเพื่อเว้นระยะห่าง ลงมือควานหาเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนพลางส่งให้คนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว
   
“เดินไปเดินมาแบบนี้ไม่กลัวโดนพนักงานลวนลามเหรอครับ” ถามอย่างสงสัย เมื่อคนอายุน้อยกว่าจับกางเกงขึ้นสวมกันต่อหน้า ผู้ชายเหมือนกันก็ไม่รู้ว่าจะอายกันไปทำไม แต่พนักงานหญิงร้านนี้เยอะพอสมควร แต่ละคนก็น่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่
   
“ผมสำรวจทางดีแล้ว ไม่เจอใครหรอก” ซานว่าแล้วยกเสื้อยืดขนาดกำลังพอดีขึ้นสวม ก็อย่างที่คิดไว้ คนตรงหน้าตัวพอๆ กับเวย์เลยทีเดียว เด็กสมัยนี้นี่ตัวโตกันดีจริงๆ ถ้าในสมัยเขานั้นหาคนตัวสูงยากเต็มทน เหมือนเป็นของแปลกที่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เด่นขึ้นมาแล้ว
   
“เสื้อผ้าเราพี่เอาไปซักกับอบแห้งอยู่ เดินเล่นรอในร้านสักพักก่อนแล้วกันครับ พี่ขอไปจัดการตัวเองก่อน” เอ่ยขอตัวแล้วก็หลบออกมาเงียบๆ ซานไม่ได้ว่าอะไร แต่ดูท่าจะสนใจห้องทำงานของเวย์จริงๆ
   
เรื่องนี้เขาจะเก็บเงียบเอาไว้แล้วกัน เวย์ไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในพื้นที่ตัวเองเท่าไหร่ ขนาดเรียกพบพนักงานยังชอบเรียกไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างเลย
   
ความคิดวนเวียนไปเรื่อยขณะปลดเสื้อเชิ้ตออกจากร่าง อดที่จะจ้องมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ไม่ได้... เขาชอบใช้เวลาให้ห้องน้ำนานกว่าปกติเสมอ เหมือนเป็นช่วงที่ได้ผ่อนคลาย ได้จมอยู่กับตัวเอง แต่ก็รู้สึกแย่แบบแปลกๆ ไปในเวลาเดียวกัน
   
ส่งยิ้มให้กับตัวเองในกระจก พักนี้นายวันสุขดูจะมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อน ยกมือตีแก้มตัวเองเบาๆ หันหลังให้กับกระจก เอี้ยวตัวมองสำรวจตัวเองแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
   
ถึงจะสูง แต่โครงร่างก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย บางครั้งก็นึกอิจฉาคุณอาเหมือนกัน เขาเองก็อยากได้ยีนดีๆ แบบนั้นมาบ้าง แต่สุดท้ายที่ทำได้ก็คือการดูแลตัวเองมากกว่าปกติ
   
“กินมากไปหรือเปล่านะเรา...”
   
พักนี้ดูจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากกว่าปกติ มือตีแปะลงไปบนหน้าท้องที่ขึ้นกล้ามเนื้อจางๆ อดจะยกยิ้มอย่างหลงตัวเองไม่ได้ว่า นายวันสุขนี่... จริงๆ ถึงจะเลยช่วงวัยรุ่นมาแล้วก็ยังเซ็กซี่เหมือนเดิมนะเนี่ย
   
“ฮะๆ ...บ้าบอดีจริงๆ ” แอบขำกับตัวเองไม่ได้ จริงๆ แล้วช่วงเวลาในห้องน้ำของเขาก็มักจะหมดไปกับเรื่องพรรค์นี้นี่แหละ... ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่หน้ากระจก หัวเราะอยู่คนเดียวให้เสียงมันก้องสะท้อนไปประหนึ่งว่ามีคนมาร่วมหัวเราะด้วยกัน... ฟังน่าอนาถใจใช่ไหม? มันก็น่าอนาถจริงๆ นั่นแหละ
   
กว่าจะอาบเสร็จก็ใช้เวลาไปมากโข พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นใครบางคนที่มานอนหลับสบายอยู่ตรงโซฟาด้านหน้า
   
ร่างนั่นนอนคว่ำหน้าซุกหมอนอิง ปล่อยแขนข้างหนึ่งตกลงกับพื้น เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปพลิกตัวให้นอนหงาย คลี่ผ้าแพรแถวนั้นมาห่มให้ เพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศหลังร้านใช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไหร่
   
“อือ” ซานครางงึมงำแล้วก็ซุกตัวเข้ามาหา เอวเขาถูกกอดแน่น ท่าทางแบบนี้ก็ชวนให้เอ็นดูอยู่หลายส่วน
   
วันสุขคลี่ยิ้ม ยกมือจุ๊ปากกับฝาแฝดซึ่งโผล่หน้าเข้ามาดูคนที่ยึดโซฟาประจำไป เด็กๆ ดูจะสนใจเป็นพิเศษว่าซานคือใคร
   
“อย่าเสียงดังนะครับ ปล่อยเขานอนไปนี่แหละ พี่ขอออกไปรับโทรศัพท์ก่อน” พูดเบาๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นครืดคราดติดมือไปด้วย แต่พอเห็นชื่อคนโทรเข้าเป็นต้องเลิกคิ้ว รีบกดรับสาย คุยกันไปสักพักก็ได้ความว่าปรัชญ์จะขอเข้ามาดูที่ร้านของเขาก่อน
   
เหลือบมองนาฬิกา ก่อนจะบอกให้ปรัชญ์เข้ามาหาได้เลย เพราะไหนๆ ตอนนี้ก็ว่างกันทั้งสองฝ่าย คุยกันแต่เนิ่นๆ อะไรๆ มันจะได้ง่ายขึ้น และพอตกลงกันเสร็จสรรพ อีกฝ่ายก็บอกว่าจะมาถึงในอีกประมาณสี่สิบนาที


   

“สวัสดีครับ พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ขอโทษที่ต้องออกมาต้อนรับในสภาพแบบนี้นะ”
   
ยิ้มบางๆ ไปให้ผู้มาใหม่ วันสุขเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าไปหา เอื้อมมือไปคว้าข้อแขนของคนตัวสูงลากให้เข้ามาในร้าน พนักงานตาวาวกันใหญ่ ทำปากล้อเลียน บางคนก็เคาะแก้วเคาะช้อนแซวเขา
   
“พี่วันใส่เสื้อแบบนี้แล้วเหมือนคนรุ่นเดียวกับผมเลย” ปรัชญ์เอ่ยชม ขณะที่กวาดตามองเขาในเสื้อยืดสกรีนกราฟฟิกและกางเกงลายทหารสี่ส่วน
   
“น้อมรับคำชมครับ” ว่าเสียงนุ่มแล้วกดบ่ากว้างนั่นให้นั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ แอบชะโงกหน้าเข้าไปดูคนหลับที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ก่อนจะกลับมาถามหนุ่มร้านต้นไม้ว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม
   
“ให้พี่วันมาเลี้ยงแบบนี้ ผมเกรงใจนะครับ แค่นี้ก็ไม่รู้ว่ารบกวนเวลาพี่หรือเปล่า” ปรัชญ์ว่าอย่างเกรงใจ ทำเอาเขาอดเอ็นดูไม่ได้
   
เด็กคนนี้อ่อนน้อมน่ารัก ท่าทางขี้อาย ดูไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่สุภาพมากๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงดรอปเรียนได้นะ? ท่าทางก็ไม่ได้เกเรอะไร อาจจะมีปัญหาทางการเงิน... เขาก็ได้แต่เดาสุ่มไปเรื่อย
   
“เลี้ยงในฐานะลูกศิษย์คุณอา เป็นรางวัลที่ทำคะแนนเก็บได้ที่หนึ่ง ช็อกโกแลตเย็นไหมครับ? ท่าทางเราดูจะไม่ค่อยชอบกาแฟ” จ้องนิ่งๆ แล้วเอียงคอถาม ปรัชญ์พยักหน้าเบาๆ พึมพำว่าขอวิปครีมด้วย...บนแก้มสีออกแทนเพราะโดนแดดนั่นยังแต้มรอยฝาดไว้เบาบาง ดูน่ารักดีเหมือนกัน
   
“คนชอบคิดว่าผมชอบกาแฟ แต่พี่วันเก่งนะครับ... ไม่นึกว่าจะดูออกด้วย”
   
“พี่ก็เดาไปตามเรื่อง เดี๋ยวจะบีบวิปครีมให้หมดกระปุกเลย” หันไปจัดการชงให้อย่างอารมณ์ดี ช็อกโกแลตเย็นสูตรวันสุขน่ะ ใครกินเป็นต้องติดใจ จับอะไรก็อร่อยไปเสียหมด ความสามารถพิเศษของเขาล่ะ...
   
ระหว่างนั้นก็ชวนปรัชญ์คุยไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะวางแก้วทรงกลมที่บีบวิปครีมจนล้นให้อีกฝ่าย แอบเห็นอยู่หรอกนะว่าดวงตาสีเข้มนั่นเป็นประกายอย่างกับเด็กที่ได้กินของโปรด
   
“เอ้า มาเข้าเรื่องงานกันเลยดีกว่า” ว่าอย่างอารมณ์ดีแล้วเท้าคางกับเคาน์เตอร์ ปรัชญ์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแฟ้มออกมาจากกระเป๋า เป็นข้อมูลราคากับรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับของสำหรับจัดแต่งสวน ราคาต้นไม้ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่งปุ๋ยสำหรับบำรุง
   
วันสุขเปิดดูผ่านๆ พลางบอกของที่อยากได้ไปตามเรื่อง ไหนๆ เจ้าตัวก็มาถึงที่แล้ว ก็เลยเรียกผู้จัดการร้านมาคุยด้วยอีกคน รายละเอียดจริงๆ สำหรับการแต่งคงต้องสักวันศุกร์ ตอนนี้ก็ทำได้แค่แนะนำสถานที่จริงไปพลางๆ
   
“จริงๆ แล้วยังมีเจ้าของร้านอีกคน พี่จะถามเขาอีกทีว่าจะมาดูด้วยไหม วันนี้เขาไม่ว่าง วันเสาร์ถ้าเขาว่าง พี่จะพาเขาเข้าไปที่ร้านด้วย” เรื่องนี้ต้องคุยกันให้ดี ถึงแม้ว่าเวย์จะให้สิทธิ์ในการตกแต่งร้านกับเขาเต็มที่ ทว่าอย่างน้อยก็ต้องปรึกษากันเสียก่อน อย่างไรเสียก็เป็นร้านของพวกเขาสองคน ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง อีกอย่างรายนั้นก็ดูเรื่องการเงินด้วย งานหลักที่เจ้าตัวทำอยู่ก็วุ่นแล้ว งานรองยังวุ่นกว่าเสียอีก
   
“สวนที่ร้านก็สวยดีนะครับ ดูยังไม่เก่าเท่าไหร่ด้วย”
   
“ฮืม... คนสวนเขาดูแลดีนะ จริงๆ ที่ร้านก็มีนโยบายเปลี่ยนสวนทุกปีครับ เราพยายามทำให้มันออกมาดีมากที่สุด ถ้าช่วงไหนงบเหลือก็จะเอามาปรับแต่งร้านใหม่ด้วย” เพราะร้านมีแค่สาขาเดียว อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร อยากจะแต่งก็แต่ง อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง จนร้านมันโตมาได้จนถึงทุกวันนี้
   
“ที่อยากให้เปลี่ยนก็แค่โซนหน้าติดถนนน่ะครับ ส่วนสวนด้านในคิดว่าจะไปหาพวกของตกแต่งมาลงน่าจะสะดวกกว่า” เขาชี้มือชี้ไม้ ขณะที่ผู้จัดการร้านขอตัวไปทำงานต่อ ปรัชญ์เองก็จัดการช็อกโกแลตเย็นจนหมดแก้ว
   
“สนใจเดินดูรอบๆ ไหมล่ะครับ?” เอ่ยถามแล้วถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้กับราวข้างเคาน์เตอร์ กะว่าเดินดูร้านเสร็จก็จะตรงดิ่งไปจัดการงานที่มหาวิทยาลัยเลย
   
“พี่วัน... อยู่ไหน?”
   
พลันเสียงเรียกเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังร้าน วันสุขเอียงคอแล้วกวักมือเรียกใครอีกคนให้ตามเข้ามาด้านหลัง
   
ซานเพิ่งตื่น งัวเงียได้ที่ ท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากจะลุกขึ้นมาเท่าไหร่เพราะอีกมือกอดผ้าห่มไว้แน่น โทรศัพท์ราคาแพงวางไว้ข้างตัว ท่าทางเหมือนจะตื่นเพราะถูกโทรมาปลุกเสียมากกว่า
   
“พี่จะพาปรัชญ์ไปดูรอบๆ ร้าน จะไปด้วยกันไหม?”
   
“ไม่เอา... ขอนอนอีกสักพัก” พูดพลางหาวหวอด ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบแล้วกดปิดโทรศัพท์มือถือเสียอย่างนั้น
   
“เดี๋ยวพี่มาปลุกแล้วกัน” วันสุขว่าแล้วก็อดมองสภาพอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างกับคนอดนอน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา
   
เขาพาแขกเดินทะลุออกมาหลังร้าน อธิบายนู่นนี่ไปเรื่อยตามประสา ปรัชญ์ดูเป็นงานกว่าที่คิด บอกชื่อต้นไม้ได้หมด ทั้งยังบอกวิธีดูแลรักษาเพิ่มเติมให้เสียอีก เจ้าตัวดูจะถูกใจสวนน้ำพุเล็กๆ ที่มุมร้านมาก มีการขออนุญาตถ่ายรูปแล้วก็รัวชัตเตอร์ไปหลายแชะ
   
“พี่วันดูสนิทกับซานดีนะครับ”
   
“สนิทเหรอ? เพิ่งได้คุยกันแค่ไม่กี่วันเองครับ” เอียงคอแล้วหัวเราะ เด็ดดอกมะลิมาหมุนเล่นอย่างอารมณ์ดี จะว่าแปลกก็แปลก ถึงเขาจะดูเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้เข้ากับใครง่ายขนาดนั้น แต่ซานคงเป็นกรณีพิเศษ...
   
“แต่ผมว่าพี่ดูสนิทกับทุกคนเลยมากกว่า” ปรัชญ์ว่า สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเอาดอกไม้สีขาวเสียบลงไปในกระเป๋าเสื้อของเจ้าตัว
   
“คำว่า ‘สนิท’ กับ ‘คุยง่าย’ มันต่างกันนะ” วันสุขอธิบายแล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา ปรัชญ์เองก็จับท่าทีเขาได้ หนุ่มร้านต้นไม้ทำหน้าเสียดายเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงเบา
   
“แล้วกับซานล่ะครับ... แบบไหน?” พอได้ฟังคำถามเป็นอันต้องคลี่ยิ้มบาง วันสุขทำท่านึก หักกิ่งมะลิมาไกวเล่นอย่างเพลิดเพลิน
   
“เดาเอาสิ...”


   

หลังจากแยกย้ายกับปรัชญ์ที่ร้าน เขาก็เข้าไปปลุกซานที่ดูจะตื่นยากตื่นเย็น สุดท้ายก็อดถามไปไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ดูเพลียขนาดนั้น แต่เด็กนั่นกลับไม่ยอมตอบคำถามเสียนี่ และก็ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า บางครั้งท่าทางของซานเองก็เหมือนจะดูมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็นชอบกล
   
...ไม่ได้เป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ...
   
คงเป็นเพราะความรู้สึกแบบนั้น เลยทำให้เขารู้สึกเข้ากับเด็กนี่ได้ดีกว่านักศึกษาคนอื่นๆ อาจเพราะท่าทีของซานด้วยส่วนหนึ่ง
   
เด็กนั่นทำอะไรไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่ นึกอยากจะเข้ามาใกล้ก็พุ่งพรวดเข้ามา ดูจะไม่สนใจพื้นที่หรือกำแพงที่เขาอุตส่าห์กางไว้สักนิด ต่างจากปรัชญ์ลิบลับ รายนั้นน่ะความรู้สึกไว นิดๆ หน่อยๆ ก็ถอยกรูดไปซะไกลเชียวล่ะ...
   
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย ทั้งเด็กสองคนนั่น แต่เรื่องที่ดูจะติดใจเขามากที่สุดคงไม่พ้นโคมไฟในร้านกับซองจดหมายปริศนานั่น ทั้งที่เขาคิดว่าจะลืมๆ ไปได้แท้ๆ แต่พอได้เข้ามานั่งตรวจงานในห้องเงียบๆ สารพันเรื่องมันก็ผุดขึ้นมา
   
ทำงานไปก็มีแต่เรื่องเทือกนี้วนเวียนอยู่ในหัวสมอง สมาธิแทบจะไม่มี พอคิดวกวนมากเข้า อาการปวดหัวก็เลยตามต่อมา วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งปากกาลงกับโต๊ะ เหลือบไปมองแผงยาในตะกร้าเล็กๆ แล้วเลือกที่จะปล่อยมันไว้แบบนั้น
   
เขาไม่ชอบกินยาพร่ำเพื่อเท่าไหร่ ถ้าไม่เป็นหนักจริง ส่วนมากก็เลือกที่จะนอนพัก ครั้งนี้ก็เช่นกัน งานเสร็จเกือบหมดแล้ว เหลือแค่กรอกคะแนนลงในใบแล้วเอาไปให้คุณอาเท่านั้น...
   
พักสักหน่อยจะเป็นไร?
   
งีบสักเดี๋ยวเดียว พอตื่นขึ้นมาค่อยกลับไปทำกับข้าวให้คุณอาอย่างทุกวัน... คิดพลางเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาหน้าห้อง ไม่นานก็ผล็อยหลับ...


   

รอบตัวโอบล้อมด้วยสีดำสนิท...
   
แผ่นหลังชื้นนาบกับผนังเย็นเฉียบ ห้องแคบจนต้องหดขาเข้าหาตัว กอดเข่าแน่น ซุกหน้าอย่างหวาดผวา... อาศัยเพียงแสงสว่างซึ่งลอดมาจากใต้ประตูที่ลงกลอนไว้ กลัวจนน้ำตาไหล ไหล่สั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม
   
ความฝัน... น่ากลัว และสมจริง เมื่อฝันนั้นยืนหยัดอยู่บนพื้นของสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นในอดีต... เขาหวาดกลัว ร้องไห้อย่างช่วยอะไรไม่ได้ เงาวูบไหวด้านนอกชวนให้อกสั่นขวัญหาย เสียงด่าทอ เสียงตะโกน เสียงทุบตีข้าวของ... ไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
   
ปิดตา อุดหู ห่อตัวเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม หอบหายใจลึก หัวใจเต้นระรัวกระหน่ำ ความมืดโรยตัวอยู่รอบด้าน ประตูที่กั้นเขาเอาไว้กับแสงด้านนอกถูกฟาดกระหน่ำด้วยของแข็ง
   
ปึงปัง... ปึงปัง... ปึงปัง... ครั้งแล้วครั้งเล่า
   
ผวาตกใจเมื่อเสียโครมสนั่นดังขึ้นอีกครั้ง เสียงด่าทอห่างออกไปไกลทุกที ค่อยๆ เงียบลง เงียบลงจนหายไปในที่สุด
   
มือเล็กๆ ของเขาเองพยายามตะกุยตะกายเพื่อหยัดยืนขึ้นมา ทุกอย่างจบลงแล้ว... ผ่านพ้นอีกคืน และมันจะเป็นเช่นนี้ซ้ำๆ วกไปวนมาจวบจนกว่าเขาจะตายไปในที่สุด…
   
ฝันร้ายชวนให้เศร้าสลดอย่างประหลาด จิตใจหดหู่ราวกับกำลังดิ่งลงไปในหลุมดำสนิท อดีตสีสดใสถูกทาบทับด้วยสีเข้มและสีสด แทบจะในทันทีที่มันเริ่มขีดเขียนลงบนผืนผ้าใบที่เรียกว่า ‘ชีวิต’
   
เรื่องพวกนี้เขาเคยคิดว่าจะลืมมันไปได้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังฝังอยู่ข้างใน หลบซ่อนอยู่ใต้ตะกอนสีดำที่ก้นบึ้ง รอเวลายามเผลอไผล คลื่นรุนแรงก็จะซาดซัดมันขึ้นมา...
   
เรื่องร้ายๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละเรื่องสองเรื่องยากจะหยุด ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คล้ายกับหัวใจจะยิ่งทำงานหนัก... ห้ามความคิดตัวเองไม่เคยจะได้สักที และก็ไม่รู้เหตุผลว่าจะไปหยุดมันได้อย่างไร...
   
“พี่วัน!”
   
ดวงตาเปิดพรึบก่อนจะหรี่ลงเมื่อแสงจ้าจากโคมไฟสาดใส่เข้าให้จนแสบพร่า ยกมือขึ้นขยี้ตาตามนิสัย ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามันเปียกชื้นไปหมด... ฝันร้ายทีไรก็เผลอร้องไห้ทุกที
   
สูดหายใจตั้งสติ ค่อยๆ เหลือบไปมองผู้มาใหม่ ชันกายลุกขึ้นนั่ง กระแอมไอแก้เก้อไปอย่างนั้น ฟ้าด้านนอกมืดสนิทเห็นเพียงแสงโคมไฟจางๆ จำได้ว่าตอนงีบหลับแค่บ่ายสามกว่าๆ ทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปเร็วนัก
   
“ผมเห็นไฟในห้องพี่เปิดอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังไม่หยุด เลยเข้ามาดู โชคดีจริงๆ ...ผมนึกว่าพี่จะเป็นอะไร นอนร้องไห้ไม่ยอมหยุดเลย” ซานพูดรัวเร็วเหมือนคนที่ยังไม่หายตกใจ ทิชชู่แผ่นบางถูกยื่นมาให้ วันสุขรับมาอย่างงงๆ
   
“พี่เหมือนเด็กเลย เวลาฝันร้ายใช่หรือเปล่าถึงร้องไห้แบบนั้น สมัยตอนเล็กๆ ผมก็เป็น” ได้ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้วใส่
   
“นี่กำลังว่าพี่อยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
   
“เปล่านะครับ แล้วดีขึ้นหรือยัง?” เจ้าตัวถามอย่างเป็นห่วง สายตาก็มองกวาดไปกวาดมา ไม่รู้ว่ามองสภาพหลุดลุ่ยของเขาหรือมองหาอะไรกันแน่ เสียงโทรศัพท์แผดลั่นอีกครั้งแล้วก็ต้องรีบรับสาย ตอนนี้เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว คุณอาก็เลยโทรมาตามอย่างเป็นห่วง โดนเอ็ดไปยกใหญ่เลยทีเดียว
   
“พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ฝันร้ายนิดหน่อย ขอบคุณที่เข้ามาดูนะครับ” เคลียร์กับคุณอาเสร็จก็หันมาขอบคุณเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้ ก่อนจะสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่างที่ดูจะแปลกตาไปสักนิด
   
“ไปโดนใครเขาตบมาล่ะนั่น?” ถามอย่างนึกแปลกใจ มือเองก็เผลอยกไปแตะรอยนิ้วจางๆ บนแก้มนั่นแล้ว พอจะชักกลับ คนเด็กกว่าก็ซุกหน้าเข้าหาเสียอย่างนั้น
   
ปลายจมูกโด่งแตะอยู่ที่อุ้งมือ เอียงหน้าซบอย่างออดอ้อน ฟันเรียงสวยก็งับเบาๆ เข้าที่ข้อนิ้วอย่างเอาใจแล้วก็ไล่มาที่ข้อแขน... ออดอ้อนหยอกล้อเสียจนนึกถึงสัตว์บางอย่าง...
   
“คนหรือแมวเนี่ย หือ?” เอยแซวไปตามประสา รู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายมาทำประหลาดใส่ เพราะเขาจำไม่เคยได้ว่าสนิทกับซานขนาดจะมาเล่นหยอกกันได้แบบนี้...
   
“เมี้ยว” ใครอีกคนก็เลียนแบบเสียงแมวแล้วก็ทำตาพราวใส่ แลบลิ้นเลียนิ้วเขาไปทีหนึ่ง แล้วก็หัวเราะร่าเมื่อเห็นเขาชักมือกลับแทบจะในทันที
   
“ไปหักอกสาวมาล่ะสิถึงโดนขนาดนี้”
   
วันสุขจับคางของคนตรงหน้าหมุนซ้ายขวาเผื่อจะเจอรอยอย่างอื่น ซานทำหน้าครุ่นคิด เลียนแบบท่าเอียงคอของเขาแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
   
“หักอกที่ไหนกัน ยังไม่ได้คบ ยังไม่ได้เริ่มแล้วมันจะไปหักอกได้ยังไงล่ะครับ?”
   
“อ๋อเหรอ? แล้วไปทำอีท่าไหน น้องซานถึงโดนสาวเขาตบมาล่ะครับ” ดึงแก้มแมวแรงๆ อย่างมันเขี้ยว
   
ซานส่งเสียงประท้วงงึมงำแล้วถอยตัวออกห่างจากรัศมีของเขา คนตรงหน้ายกยิ้มมุมปากอย่างเคยนิสัย ท่าทางแบบนั้นขับให้เจ้าตัวดูร้ายกาจอย่างบอกไม่ถูก
   
“แค่พูดไม่เข้าหูเอง นิดๆ หน่อยๆ ก็โวยวาย... ผู้หญิงน่ะน่ารำคาญจริงๆ พี่วันว่าไหม?”


To be continued...


เขาหยอกกันไป.. เขาหยอกกันมา..  :hao3:
ส่วนใครกลัวดราม่า ขอให้วางใจ มันเบาบางเหมือนน้ำล้างจานเลยล่ะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 2 - กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ (11/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 11-07-2014 16:42:04
ขอบคุณนักเขียนค่ะ  :L2:

อยากรู้ใครทำพี่วัน??
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 2 - กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ (11/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: RoseBullet ที่ 11-07-2014 17:23:12
แอบมาส่องตั้งแต่เมื่อวานค่ำๆถึงดึกๆ อ่านไปหลายรอบแล้วเนี่ย ชอบแนวนี้จังเลย
พี่วันดูเหมือนจะชิลล์ๆเรื่อยๆ แต่ก็แอบเห็นจริตบางอย่าง แบบแอบร้ายนิดๆอ่ะ บอกไม่ถูก
แต่ไม่ใช่สไตล์ใสปิ๊งไม่รู้เรื่องรู้ราวแน่ๆ ดูทันคนดีค่ะ
แต่บางครั้งก็แอบหมั่นไส้นางเล็กๆ ทั้งพูดเป็นนัยๆให้คิดเอง ทั้งนู่นนี่นั่น แบบว่าขุ่นพี่ดูจงใจจังนะคะ กร๊ากกกก

สงสัยเหมือนกันว่าที่พี่วันโดนทำร้ายนี่ฝีมือใครและทำไปทำไม ตอนแรกเหมือนเรื่องจะมาใสๆ แต่พอมีเหตุการณ์นี้เข้ามาเริ่มหวั่นใจ
ยังไงก็เชื่อคนเขียนนะว่าเป็นดราม่าเบาบางเจือจางประมาณน้ำล้างจาน
ผู้เข้าชิงตำแหน่งพระเอกมีตั้งสองคนแน่ะ แต่ดูเหมือนน้องซานจะทำคะแนนนำไปมากกว่าแล้วนะคะ
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ลุคดูเย็นชาแบบซานจะอ้อนได้น่ารักแบบนั้นนะเนี่ย
ส่วนน้องปรัชญ์นี่เราสงสัยว่ามีซัมติงกับคุณอาหรือเปล่าหว่า ตอนที่พี่วันเล่าเรื่องปรัชญ์ให้คุณอาฟัง ปฏิกิริยานิ่งๆของคุณอามันทำให้เราคิด(ไปเอง)อ่ะ แต่มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้เนอะ เราก็มโนไปเรื่อยอ่ะ คนเขียนคงแบบพวกคนอ่านเรื่องนี้นี่ช่างขี้ระแวงจริงๆ ฮ่าๆๆ

รอตอนหน้าจ้า
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 2 - กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ (11/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 11-07-2014 17:26:53
ใครทำร้ายพี่วัน
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 2 - กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ (11/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 11-07-2014 21:39:19
ใครเป็นคนส่งจดหมายมาให้พี่วันอ่ะ น่ากลัว เป็นโรคจิตใช่มั้ย :mew5:
ซานทำคะแนนใหญ่เลยย ถึงเนื้อถึงตัวตลอดด
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 2 - กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ (11/7/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 13-07-2014 04:27:20
บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน



ถ้าพูดถึงเรื่องผู้หญิง วันสุขเองก็นึกหัวข้อไม่ค่อยจะออกนัก ในแต่ละช่วงวัย สายตาที่ใช้มองเพศตรงข้ามก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา... เด็กชายวันสุขมองว่าผู้หญิงเป็นสิ่งแปลก เด็กหนุ่มที่ชื่อวันสุขมองว่าผู้หญิงนั้นน่าสนใจน่าค้นหา นายวันสุขมองว่าผู้หญิงมหัศจรรย์ และบางครั้งก็น่ายกย่อง
   
ซานบอกว่าผู้หญิงนั้นน่าเบื่อ...
   
เขาเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ช่วงวัยรุ่นที่เที่ยวยันเตตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบเช้าทุกอาทิตย์นั้น ความรู้สึกเบื่อหน่ายก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนสุดท้ายก็อิ่มตัว จากเริ่มเที่ยวผู้หญิงก็เปลี่ยนเป็นแค่นั่งดื่มธรรมดา... จนสุดท้ายก็เลิกการกระทำแบบนั้นไปในที่สุด
   
น่าแปลกที่คุณอาไม่เคยห้ามปรามเขาเลยสักครั้ง ต่อให้เสเพลขนาดไหน ท่านก็เพียงแค่ตักเตือน และบอกสอนอย่างที่ทำประจำ... ควรป้องกันตัวอย่างไร ควรระวังเรื่องไหน อย่าดื่มอะไรมากเป็นพิเศษ...
   
เคยสงสัยหลายครั้งว่าทำไมท่านถึงได้รู้ละเอียดนัก จนคุณอายอมเปิดปากเล่านั่นแหละว่า ช่วงชีวิตวัยหนุ่มของท่านเองก็ผ่านของพวกนี้มานับไม่ถ้วน ซึ่งช่วงนั้นเขาเองก็หัวรั้น ยิ่งห้ามคงยิ่งไม่ฟังเหมือนกับตัวท่านสมัยก่อน
   
เมื่ออายุมากขึ้น... ความเข้าใจก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยมองผู้หญิงในแง่ลบมาตลอดตั้งแต่เด็ก พอได้ปลีกตัวออกมาจากโลกกลางคืน แสงสว่างก็ทำให้มองอะไรได้กว้างขึ้น แล้วก็ค้นพบว่าผู้หญิง...มหัศจรรย์จริงๆ
   
อย่างผู้จัดการร้านของเขานั่นไง... รายนั้นหลังจากคลอดเจ้าตัวเล็กคนสุดท้องได้ไม่นาน สามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุเป็นอัมพาตท่อนล่างตลอดชีวิต... เคยเจออยู่ครั้งสองครั้ง เนื่องจากนั่งรถเข็นทำให้ไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะสะดวกนัก และเขาก็อดชื่นชมเธอไม่ได้ เพราะถึงจะผ่านเรื่องราวร้ายๆ มา แต่เธอก็ยังมั่นคง เด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อ
   
ผู้หญิง... ยังมีอีกหลายคนซึ่งผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา และนำเรื่องราวน่าทึ่งมาทิ้งไว้ นึกถึงทีไรก็ชวนให้อมยิ้มทุกครั้ง ทั้งเรื่องน่ายินดี และบางเรื่องที่ไม่น่าจดจำ
   
เขาเล่าเรื่องบางเรื่องให้ซานฟัง หวังเพียงว่าอยากจะให้เด็กตรงหน้าเปลี่ยนทัศนคติสักนิด คุยสักพักก็แยกย้ายกันกลับ กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงบ้านก็โดนคุณอาเอ็ดเสียยกใหญ่ โชคดีที่ท่านกินอะไรรองท้องไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นโรคกระเพาะคงได้ถามหาอีกแน่
   
ก่อนเข้านอนโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า กดเปิดขึ้นมาดูก็ต้องยิ้มขำปนสงสัย
   
‘พี่เคยเขินบ้างหรือเปล่า?’
   
เขินเหรอ? ไอ้ความรู้สึกแบบนั้นมันรางเลือนจนแทบจะลืมไปแล้ว ถ้าให้นึกย้อนไปคงเป็นช่วงสมัยมัธยมปลาย เวลาเขินนี่เขาเป็นยังไงนะ? หัวใจจะเต้นแรงจนเหมือนจะกระดอนออกมาจากอก... แก้มร้อนเหมือนมีใครเอาไดร์มาเป่าหน้า มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน สายตาอยู่ไม่เป็นที่ และบางครั้งน้ำเสียงก็ติดขัดจนไม่กล้าพูดอะไร
   
‘อยากเห็นตอนพี่เขินเหมือนกัน’
   
ข้อความที่สองส่งห่างจากข้อความแรกอยู่หนึ่งชั่วโมง ตอนนั้นเขาถึงกับหัวเราะขำ... อยากเห็นตอนเขินเหรอ? คงต้องให้เจ้าของข้อความนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบสี่ปีที่แล้วกระมัง


   

วันนี้มีคุมแลป... ปกติแล้วอาจารย์ที่สอนเลคเชอร์กับคุมแลปส่วนใหญ่จะเป็นคนละคนกัน มีแค่เฉพาะส่วนของคุณอาเท่านั้นที่ท่านขอคุมด้วยตัวเอง ดังนั้นนอกจากเขาจะเป็นพนักงานตรวจการบ้าน ตรวจข้อสอบแล้ว เขายังเป็นผู้ช่วยแลปของคุณอาด้วย... ทำงานเอาเสียคุ้มค่าเงิน ทว่าก็สนุกดีเหมือนกัน
   
ถึงจะจบจากคณะบริหารมา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสมัยมัธยมปลายเรียนมาทางสายวิทย์ แม้ความรู้จะตกหล่นไปบ้าง แต่ก็ยังมีพื้นฐาน พอได้เข้ามาคุมแลปหลายรอบเข้า เขาเองก็ค่อยๆ เริ่มชินจนกลายเป็นเชี่ยวชาญในที่สุด
   
“แลปวันนี้น่าจะเลิกเร็ว” คุณอาเปรยขณะที่พวกเขากำลังพากันเดินขึ้นบันได คนอายุมากกว่าไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยหอบเลยสักนิด ตรงข้ามกับหลานชายที่สูดหายใจเข้าลึกไปหลายรอบ
   
“เราแก่กว่าอาอีกนะวัน”
   
“ต... ตรงไหน ที่ว่า... แก่ครับ?” หอบหายใจไป มือก็กำราวบันไดไป ห้องแลปอยู่ตั้งชั้นห้า แต่คุณอาเลือกที่จะไม่ใช้ลิฟต์ ก็นโยบายประหยัดพลังงาน และออกกำลังกายไปในตัวของท่านล่ะ
   
กว่าจะมาถึงชั้นที่หมาย ปอดเขาก็แสบไปหมด สูดหายใจอีกทีแล้วหยัดตัวขึ้นหลังตรง ปึกเอกสารถูกยัดลงมาในมือ คุณอาพูดอะไรสักอย่างแล้วก็เดินฉับๆ หายไป
   
“จริงๆ เลย... เห็นเป็นเด็กยกของทุกที” บ่นหน่อยๆ ตามประสา แต่ก็ยอมถือของหนักๆ ตรงไปยังห้องแลป ทางเดินยังมืดสลัว แม่บ้านยังไม่มาเปิดไฟ เสียงกึกๆ ของส้นรองเท้าดังกระทบพื้นก้องไปทั่วโถงทางเดิน บรรยากาศอย่างกับในหนังสยองขวัญ...
   
“พี่วันครับ”
   
ไหล่แทบกระตุก เมื่อเสียงทุ้มเบาบางดังขึ้นอย่างไม่ให้ได้ทันตั้งตัว คนมาใหม่หัวเราะเบาๆ ยามที่รู้ว่าทำให้เขาตกใจ ปึกเอกสารในมือถูกแย่งไปถือ ตอนแรกก็อยากจะค้าน เพราะอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องแลปแล้ว
   
“ทำเอาพี่ตกใจหมด ปรัชญ์มาเช้าดีเหมือนกันนะ”
   
“ตื่นเช้าจนชินน่ะครับ” หนุ่มร้านต้นไม้พูดเสียงเบา
   
 วันสุขยิ้มบาง ยกมือขึ้นบิดกลอนประตูห้องแลป ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเปิดเข้าไปแล้วเห็นอะไรบางอย่างข้างใน
   
“น้องซานครับ เขาห้ามเข้าห้องแลปก่อนเจ้าหน้าที่ รู้หรือเปล่า?” กล่าวเสียงดุแล้วก็เดินฉับๆ เข้าไปหาคนหลับซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักนิด สายตาเองก็มองสำรวจไปรอบๆ อย่างนึกห่วง ในห้องมีอุปกรณ์หลายอย่างซึ่งวางทิ้งเอาไว้ หากปล่อยให้นักศึกษาเข้ามาเล่นซนโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมย่อมมีอันตรายอย่างแน่นอน
   
“ตื่นเดี๋ยวนี้เลยครับ” เอื้อมมือไปเขย่าไหล่คนหลับเบาๆ เจ้าตัวส่งเสียงงึมงำแล้วก็สะลึมสะลือขึ้นมา หาวหวอด บิดขี้เกียจอย่างปล่อยตัวแล้วก็ส่งหน้ามึนงงมาให้เขา
   
“เขาห้ามเข้าห้องก่อนเจ้าหน้าที่ รู้หรือเปล่า” ว่าเสียงดุ แต่แมวตัวใหญ่ดันหาวใส่เขาเสียอย่างนั้น
   
“อือ... ก็ห้องมันเปิดอยู่ เลยเข้ามานอน”
   
“เข้ามานอนก็ห้ามครับ หน้าห้องก็มีโต๊ะ นอนแถวนั้นก่อนก็ได้นี่” ระหว่างดุก็หันไปพยักหน้ากับปรัชญ์ เมื่อหนุ่มร้านต้นไม้ทำมือชี้ไปที่โต๊ะว่าให้วางเอกสารตรงนั้นใช่หรือไม่
   
“มันไม่มีแอร์นี่ ง่วงนอนอ่ะ... ขอนอนหน่อย นะ นะ นะ” ทำเสียงอ้อนหงุงหงิงเหมือนแมวร้องเหมียวๆ ขอปลาทู
   
“เล่นเป็นเด็ก” เขาพูดเสียงขัน ยกมุมปาก อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปดึงแก้มของอีกฝ่ายจนเจ้าตัวร้องลั่น
   
ซานขมวดคิ้วใส่เขา ดูท่าจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่โวยวายอะไร กลับกัน... เด็กนี่ดันเลือกที่จะเงียบแทน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับพี่ปรัชญ์เอ่ยแทรกขึ้นมาพอดี
   
“พี่วันครับ”
   
“ครับ?” ขานรับ เลิกสนใจคนงอนแล้วหันมายิ้มให้อีกคนแทน
   
“เอ่อ...คือ...” ปรัชญ์มีท่าทีอึกอัก ท่าทางคล้ายกับจะไม่กล้าพูดเท่าไหร่
   
“อ้าว มีอะไรก็ว่ามาสิครับ อึกอักมากๆ พี่ไม่รู้เรื่องกันพอดี” เขาพูดเสียงนุ่มแล้วเดินเข้าไปใกล้
   
“ผม... เอ่อ ลืมเอาหนังสือแลปมา”
   
ได้ฟังแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว พ่อนักเรียนดีเด่นลืมเอาหนังสือแลปมา... วันนี้คงฝนตก คิดได้แล้วก็หัวเราะเบาๆ ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากข้างหลัง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก
   
“หืม... งั้นตามมาทางนี้ครับ หลังตู้มุมห้องมีหนังสือแลปอยู่ เอ... สูงจริงแฮะ” จูงข้อมืออีกฝ่ายให้เดินมาด้วยกัน แหงนหน้ามองเป้าหมายแล้วก็ถอนหายใจเฮือก
   
เมื่อวานก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว วันนี้หวังว่าเขาคงไม่โดนกองหนังสือหล่นลงมาทับอีกรอบหรอกนะ... คิดอย่างปลงตก แล้วก็เขย่งขาเอื้อมมือสุดแขนจนชายเสื้อลอยพ้นบั้นเอวรำไร
   
เขารู้สึกหนาวๆ บอกไม่ถูก เมื่อเนื้อถูกไล้ด้วยไอเย็นเฉียบ พยายามเขย่งขา เหยียดแขนมากขึ้นไปอีกแต่ตู้สูงเกินไป เก้าอี้ที่ไว้ใช้ต่อตัวก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน
   
“เอ่อ... พี่วันครับ ผม... หยิบเองก็ได้” ปรัชญ์ส่งเสียงเรียกเบาๆ ก้มหน้าไม่ยอมสบตายามที่เขาหันไปมองตรงๆ
   
วันสุขหลบทางให้อีกฝ่าย ในใจก็บ่นอุบไม่ได้ถึงความสูงที่อีกฝ่ายมี ก่อนที่สายตาจะไปปะทะเข้ากับลูกแก้วสีเข้มพราวระยับของคนที่น่าจะมองพวกเขามาตั้งแต่ต้น... ซาน...
   
เด็กนั่นเท้าคางมองมาเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก ริมฝีปากบางหยักสวยพึมพำเป็นประโยคที่เขาจับได้แค่คำว่า ‘นิสัยไม่ดี’
   
วันสุขเหยียดยิ้มตอบกลับไป มือดึงชายเสื้อลงมาให้ดูเรียบร้อย ขณะที่ฝ่ายนั้นก็ก้มลงไปเขียนอะไรสักอย่างบนกระดานชนวนอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะชูขึ้นมาให้เขาอ่าน
   
‘ผมน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ’
   
สุดท้ายก็หลุดขำออกมา ยิ่งเจ้าตัวทำหน้าตาหงุดหงิดใส่แล้วพองลมจนแก้มป่องแบบนั้น ชวนให้อยากเดินเข้าไปเอามือตีให้มันแฟบลงจริงๆ ซานจะรู้ไหมนั่นว่ายิ่งทำยิ่งดูตลก... อาการเทือกนั้นเขาสงวนไว้ให้คนน่ารักๆ ทำต่างหาก
   
“พี่วันหัวเราะอะไรเหรอครับ?”
   
ปรัชญ์ซึ่งมีหนังสือแลปอยู่ในมือหันมาถาม วันสุขเพียงแค่ส่ายศีรษะตอบทั้งที่มุมปากยังยกยิ้มอยู่แบบนั้น


   

ไม่นานนักศึกษาก็เข้ามากันเต็มห้อง วันสุขปลีกตัวไปเตรียมของสำหรับการทดลอง เซ็ตอุปกรณ์ลงกับโต๊ะแลป วันนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมากนัก แค่ทดสอบความเร็วในการตกของลูกตุ้มผ่านสารกลีเซอรอลธรรมดา ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือ...เลอะเทอะกันทุกปี
   
“นักศึกษาครับ สนใจกระดานด้วย วัน... ไปนั่งหลังห้อง” คุณอาเอ่ยดุเด็กๆ  ที่คุยกันเจี๊ยวจ๊าว ก่อนจะหันมาดุเขาที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
   
วันสุขขมวดคิ้วมึนงง แต่ก็ยอมลากเก้าอี้ไปนั่งหลบหลังห้องแต่โดยดี นั่งฟังเสียงคุณอาบรรยายไปเรื่อยๆ พลางหาวหวอด... เขาฟังเรื่องแบบนี้มาเป็นสิบรอบจนแทบจะท่องจำได้แล้ว นับถือคุณอาจริงๆ ที่พูดไปได้เรื่อยๆ ถ้าหากให้เขาต้องออกไปยืนอยู่หน้าชั้นนั่น  สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นอาการ อธิบายไป หาวไป อย่างแน่นอน
   
“ที่ผมจะอธิบายก็มีเท่านี้ ใบแลปขอให้รวบรวมมาส่งก่อนเที่ยง ใครมีปัญหาอะไรก็ถามคนหลังห้องตรงนั้น เริ่มปฏิบัติได้ครับ” คุณอาว่าเสร็จก็รวบแฟ้มแล้วเดินหายไปทันที... ก็เป็นเสียอย่างนี้ตลอด ปล่อยเขาเอาไว้กับฝูงทโมนแบบนี้ วันสุขก็วันสุขเถอะ... คุณอาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาคุมเด็กอยู่เสียเมื่อไหร่!
   
“เบาเสียงกันหน่อยครับ แลปนี้ง่ายๆ คงไม่มีปัญหาอะไร ห้ามทำหลอดกลีเซอรอลแตกนะครับ”
   
ตีมือแปะๆ แล้วก็เริ่มเดินวนดูตามแต่ละโต๊ะ  เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังไปทั่ว เมื่อไม่พบปัญหาใดๆ ก็หลบมานั่งเก้าอี้นุ่มหน้าห้องอย่างสบายอารมณ์ แต่ความสงบก็คงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อมีกลุ่มนักศึกษาวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือกันใหญ่
   
“ถ้าจะเอาลูกตุ้มออกก็เอาแม่เหล็กแปะปลายหลอดไว้นะครับ”
   
“โต๊ะนู้นอย่าเอามือล้วงหลอดแก้วนะครับ”
   
“ปล่อยลูกตุ้มในแนวดิ่งครับ ค่อยๆ ปล่อย อย่าโยนลงไปนะ”
   
สงบได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว เดี๋ยวตรงนู้นเรียก เดี๋ยวตรงนั้นเรียก โชคดีที่กลุ่มปรัชญ์ทำเสร็จก่อนใครเพื่อนเลยมาช่วยแบ่งเบาภาระของเขาบ้าง
   
เดินไปเดินมามากเข้าก็ชักจะมึนหัว เกลียดแลปก็แบบนี้... ยิ่งช่วงทำการคำนวณ สูตรนั้นก็ง่ายแสนง่าย ทว่ากลับมีบางคนที่ไม่ยอมทำความเข้าใจสักที อธิบายเท่าไหร่ก็ยังบอกว่าไม่เข้าใจ...
   
“พี่วันอธิบายใหม่อีกรอบได้ไหมคะ” เยลลี่ สาวสวยประจำคลาสทำตาใสใส่แล้วว่าด้วยเสียงออดอ้อน เขาก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มบางๆ ไปแล้วหันไปกวักมือเรียกปรัชญ์ให้เข้ามาหา
   
“น้องปรัชญ์ครับ มาอธิบายส่วนนี้ให้เยลลี่เขาทีนะ กลุ่มนู้นรอพี่นานแล้ว ขอตัวนะครับ” ว่าเสียงนุ่มอย่างที่ใช้บ่อยๆ แล้วก็ปลีกตัวออกมาเงียบๆ พอเปลี่ยนคนอธิบาย สาวเจ้าก็ทำท่าเข้าใจขึ้นมาทันที... เห็นแล้วก็ต้องส่ายหัว ไม่รู้ว่าเพราะเขาอธิบายไม่รู้เรื่อง หรือว่าอะไรกันแน่?
   
“พี่วันๆ ”
   
เสียงคุ้นหูดังขึ้นขัดความคิด วันสุขชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปยังต้นเสียง ซานโบกมือไหวๆ แล้วกวักให้เขาซึ่งติดพันอยู่กับอีกกลุ่มให้เข้าไปหา หางตาก็แอบเห็นปรัชญ์ทำหน้าขมวดคิ้วอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก รีบอธิบายการใช้สูตรคร่าวๆ อย่างรวบรัด ก่อนจะเดินฉับๆ เข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่
   
“มีอะไรครับ” ถามอย่างสงสัยก่อนจะมองเลยไปด้านหลัง นักศึกษาสองสามคนกำลังลงมือเช็ดบางสิ่งอยู่ หลักฐานซึ่งเป็นหลอดแก้วว่างเปล่ายังวางคาไว้กลางโต๊ะ อย่าบอกนะว่า...
   
“ผมง่วงไปหน่อย เลยเผลอทำหก” ไม่หน่อยละมั้ง... แล้วพูดว่าหกคงไม่ได้ ในเมื่อมันเทกระจาดมาหมดหลอดแบบนั้น
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก เดินกลับไปหยิบแฟ้มบนโต๊ะ แล้วก็เขียนชื่อตัวการทำลายข้าวของลงไปอย่างรวดเร็ว
   
“เรามีลิสต์ของที่ต้องจ่ายก่อนสอบมิดเทอมเพิ่มขึ้นอีกอย่างแล้วนะ” ว่าเสียงดุ คนตรงหน้านี่เรียนแลปคาบไหนเป็นอันทำของเสียหายได้ทุกครั้ง ยอดเงินที่ต้องชดใช้นับๆ รวมกันแล้วแทบจะซื้อเก้าอี้ใหม่ได้สักตัว
   
“เยอะขนาดนั้นเชียว?” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงตกใจ แต่สีหน้าท่าทางนั้นเฉยสนิท เขาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ
   
“ไปล้างมือไปครับ แล้วทำอะไรล่ะนั่น?” ชี้ไปที่อ่างน้ำพร้อมสบู่ล้างมือ แต่เจ้าตัวกลับยืนเฉยแล้วก็ลูบนิ้วตัวเองเล่นไปมา
   
“มันลื่นๆ ดี...” ถูนิ้วให้เขาดูว่ามันลื่นจริงๆ “ลื่นเหมือนเนื้อถุงยาง”
   
เผลอสำลักน้ำลายจนไอโขลก แต่ดูเหมือนซานจะยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ยิ่งเฉพาะสายตาเจ้าเล่ห์นั่น ยิ่งทำให้เขาระแวงมากเข้าไปอีก
   
“เอาไปใช้แทนได้เลยนะ” ซานพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังสุดกู่ วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นดันหลังอีกคนให้ไปล้างกลีเซอรอลที่เลอะเต็มไปหมดนั่นทันที
   
“เลิกพูดเรื่องถุงยางได้แล้ว นี่ไม่ใช่แลปสุขศึกษานะครับ” เอ่ยดุก่อนจะชะงักเมื่อเจ้าเด็กตรงหน้ายกยิ้มร้ายใส่ ของเหลวเย็นลื่นถูกป้ายแปะลงมาที่ข้างแก้มทำเอากระโดดหลบแทบไม่ทัน แต่ถึงจะพยายามเบี่ยงตัวมากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเปื้อนอยู่ดี
   
“ลื่นจริงๆ ด้วย พี่วันว่าไหม? โอ๊ย!” ว่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะต้องร้องลั่นเมื่อโดนเขาเตะข้อพับเข้าให้
   
พอได้เอาคืนริมฝีปากสีส้มสวยก็ยกยิ้มอย่างพอใจ วันสุขฮัมเพลงอารมณ์ดี โน้มหน้าไปที่อ่าง เปิดน้ำแล้วเอาสบู่มาลูบแก้มเบาๆ
   
“นี่...” เสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้นมา แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เลือกที่จะหลับตาปล่อยให้น้ำไหลผ่านหน้าแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน
   
“พี่วัน... ลืมตามาสนใจกันหน่อย” เสียงเหมียวๆ ดังเข้ามาใกล้จนสุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ว่าปลายจมูกของอีกฝ่ายห่างจากเขาไปไม่เท่าไหร่ วันสุขเลิกคิ้ว ทว่าก็ไม่ได้ถอยห่าง ยกตัวขึ้นมาเล็กน้อย ทางน้ำไหลเทลงมาจนเสื้อเปียกโชก
   
“มีอะไรครับ?” ถามก่อนจะค่อยๆ หยัดกายยืนตรง ผ้าขนหนูนุ่มนิ่มจากปรัชญ์ถูกส่งมาให้ ส่งยิ้มไปขอบคุณฝ่ายนั้น แล้วก็จับมันซับไปตามใบหน้าและลำคอ ในขณะที่ซานขมวดคิ้วใส่เขา ท่าทางคล้ายกับคนที่กำลังติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง
   
“ทำไมพี่ถึงได้ชอบทำท่าทางแบบนั้นนัก?” แล้วก็แย่งผ้าขนหนูในมือของเขาไป กลายเป็นเขาเองที่ยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายใช้ผ้าซับน้ำให้...
   
สนิทกันจนทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
   
คำถามนี้ผุดขึ้นในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ปัดป้องอะไร นายวันสุขก็แบบนี้... เรื่อยเฉื่อยมาแต่ไหนแต่ไร และเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะโวยวายไปทำไม ในเมื่อมันไม่มีอะไรเสียหายสักนิด อีกอย่างเขาก็รู้สึกว่าเด็กนี่เป็นกรณีพิเศษมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นะ...
   
“แบบไหนล่ะ?” เอียงคอถามเสียงซื่อพลางยกยิ้ม ซานยู่หน้าตอบกลับมาแล้วมองข้ามไหล่เขาไปที่คนด้านหลัง
   
“ปรัชญ์ว่าพี่ทำท่าแบบไหน?” วันสุขเอี้ยวคอไปมองหนุ่มร้านดอกไม้บ้างพลางถามเสียงใส คนเรียบร้อยก็อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบคำถามเสียนี่
   
“เอ่อ... ก็...” ท่าทางเหมือนคนกำลังเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก วันสุขเลิกคิ้วยามที่สบตากับอีกฝ่าย แล้วปรัชญ์ก็ก้มหน้าหลบกันเสียดื้อๆ
   
“เสื้อพี่เปียก...” ค่อยๆ มาทีละประโยค
   
“เปียกแล้วยังไงล่ะครับ?” เสื้อสีดำลู่ไปกับร่างกายก็พอเข้าใจอยู่ แต่ไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะขี้อายขนาดนี้ ความคิดกำลังวนเวียนไป แล้วแมวตัวใหญ่ก็ส่งเสียงร้องเงี้ยวง้าวเรียกความสนใจอีกครั้ง
   
“เย็นนี้พี่ว่างไหม?”
   
“ไม่ว่างครับ” วันสุขตอบกลับแทบจะในทันที เขาเลิกเที่ยวมานานแล้ว ทุกเย็นต้องกลับไปทำกับข้าวที่บ้าน ส่วนคนถามก็ทำหน้ายู่อีกครั้ง
   
“เหรอ... แน่นะ?” มีการถามเขาซ้ำย้ำอีกรอบ
   
วันสุขยกยิ้มแล้วพยักหน้า ซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะชะงักไป เมื่อแขนถูกคว้าด้วยมือของใครบางคน เยลลี่นั่นเอง
   
“คุยอะไรกันเหรอคะน่าสนุกเชียว” มือบางกอดแขนซานแน่น แต่สายตากลับจ้องมาที่เขาอย่างเปิดเผย
   
วันสุขหัวเราะไม่ตอบคำถาม ดวงตาคมสวยเหลือบไปมองนาฬิกา พลางตีมือเตือนเหล่านักศึกษาว่าใกล้ถึงเวลาเลิกแล้ว
   
“ใครเสร็จแล้วก็เอาใบแลปมาส่งที่พี่เลยครับ ใครเสร็จไม่ทันก็รวบรวมไปส่งก่อนเที่ยง ย้ำว่าก่อนเที่ยงนะครับ หลังจากนั้นพี่จะไม่รับงานแล้วนะ” แล้วความวุ่นวายเล็กๆ ก็บังเกิดขึ้น แต่ละคนรีบเขียนกันใหญ่
   
เห็นภาพพวกนั้นแล้วก็นึกถึงสมัยก่อนไม่ได้ ชีวิตมหาวิทยาลัยของเขาไม่ค่อยจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้นัก รู้สึกเสียดายอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่เลือกเรียนทางสายนี้? ไปเริ่มต้นเรียนปริญญาตรีอีกสักรอบจะยังทันไหมนะ?
   
“อ้อ... จริงสิ น้องซานห้ามลืมเขียนชื่อนะครับ” หันไปย้ำกับตัวปัญหา ก่อนจะเดินไปรวบรวมผลแลปจากนักศึกษาแต่ละกลุ่ม พอเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบ เขาก็เดินออกจากห้องทันที
   
“พี่วันครับ! ผมไปด้วย!!” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหลัง วันสุขก้าวเท้าชะลอขณะที่ใครคนนั้นวิ่งเข้ามาใกล้
   
“คือ... อาจารย์เขาใช้ให้ผมไปเอาเฉลยข้อสอบคราวที่แล้วครับ” เจ้าตัวแจกแจงธุระแล้วเงียบไปเพื่อรอให้เขาพูด วันสุขเอียงคอคิดเล็กน้อยก่อนจะร้องลั่นทางเดินเมื่อนึกขึ้นได้
   
“พี่ลืมทำเฉลย! อา... ให้ตายสิ ไปนั่งรอสักพักได้ไหมครับ? เรามีธุระอะไรหรือเปล่า?” ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางยกมือมือขึ้นเสยผม พักนี้มัวแต่วุ่นกับเรื่องทำร้านจนลืมเรื่องทางนี้ไปเสียสนิท คุณอาก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าลืม สุดท้ายเขาก็ยังลืมจนได้...
   
เมื่อก่อนไม่ได้ขี้ลืมขนาดนี้แท้ๆ หรือว่าเซลล์สมองเขามันเริ่มจะทำงานขัดข้องเสียแล้ว? ไม่เอาหรอกนะ... นายวันสุขเวอร์ชั่นอัลไซเมอร์ หรือขี้หลงขี้ลืมเนี่ย
   
“เอ่อ... ถ้าพี่วันงานยุ่ง จะให้ผมช่วยทำก็ได้นะครับ” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา แต่นัยน์ตาแอบแฝงความหวังไว้ลึกๆ ท่าทางคล้ายลูกสุนัขตัวโตอ้อนขอให้เจ้าของลูบหัวอย่างไรอย่างนั้น
   
นี่ก็หมา โน่นก็แมว... เห็นทีเขาคงไม่ต้องไปหาซื้อตามร้านแล้วหรอกมั้ง?
   
“หืม? ทำ... ‘ทำ’ อะไรนะครับ?” แกล้งหยอกไปตามประสาจนอีกฝ่ายหน้าขึ้นสี อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ คนขี้อายน่าแกล้งก็แบบนี้ แต่ขณะที่กำลังยิ้มอารมณ์ดี โทรศัพท์มือถือก็สั่นครืดเตือนว่ามีข้อความเข้า
   
“ถ้ามาช่วย ‘ทำ’ ก็ดีครับ งานพี่เยอะ มาแบ่งเบากันหน่อย เดี๋ยวให้ลูกอม” ขึ้นประโยคด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์แล้วจบด้วยเสียงนุ่มๆ มุมปากยังติดยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ... แล้วก็ต้องหลุดขำ เมื่อสายตาปะทะกับข้อความสีกาแฟและสติ๊กเกอร์แมวแก้มป่อง
   
‘สนใจแต่คนอื่น ถ้าไม่รีบเอาของกินมาง้อ จะงอนแล้วนะ!’
   
ใครดูก็รู้ว่าส่งมาหยอกเล่น แต่หยอกมาแบบนี้บ่อยๆ ไม่ดีเลยนะ... ไม่ดีเลยจริงๆ


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน (13/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 13-07-2014 04:36:23

คุณอานั่งหน้าขรึมอยู่ในห้องทำงาน...
   
พอเขาเปิดประตูเข้าไปท่านก็ทำท่าเหมือนมองไม่เห็น พอถามว่ามีเรื่องอะไรไหม หนุ่มใหญ่ก็ปฏิเสธเสียอย่างนั้น ดวงตาคมดุนั่นยังฉาบด้วยร่องรอยของความไม่สบายใจ เห็นแบบนั้นแล้วก็พานพาให้เขารู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย
   
“ไม่มีอะไรแน่นะครับ?” อดถามย้ำไม่ได้ ปรัชญ์เองก็มองมาอย่างเป็นห่วง แต่เพราะด้วยว่าเด็กสุดในห้องเลยเลือกที่จะเงียบอย่างมีมารยาท
   
“ไม่มีอะไร แล้วไปทำอีท่าไหนมาถึงเปียกแบบนั้น” แล้วก็กลายเป็นเขาเสียเองที่โดนถามเสียงดุ วันสุขยิ้มแหยไม่ตอบคำถามพลางบอกให้ปรัชญ์ไปนั่งรอที่โซฟาสักพัก
   
“จะหนีไปไหนฮะเรา? แล้วเฉลยข้อสอบทำหรือยัง?” คุณอาถาม ตาคมกริบดูจะน่ากลัวเป็นพิเศษ
   
วันสุขหันไปยิ้มแห้งๆ ให้แล้วส่ายหน้าหวือ คนเป็นอาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วยกปากกาแดงขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ลงในสมุดจดสำหรับบันทึกพฤติกรรมหลานตัวเองโดยเฉพาะ...
   
เจ้าสมุดนี่จะตามมาหลอกหลอนเขาอีกครั้งเมื่อถึงสิ้นเดือน แล้วเงินเดือนซึ่งไม่เคยจะได้แบบคงที่สักทีก็จะถูกตีออกมาเป็นตัวเลขที่แปรผกผันตามพฤติกรรม อา...โดนหักอีกแล้วสินะ?
   
“ผมวุ่นๆ เรื่องร้านก็เลยลืมสนิท อย่าหักเงินผมเลย” หลานชายอย่างเขาส่งเสียงร้องขอความเมตตา แต่คุณอากลับบอกเสียงเฉียบว่า
   
“ไม่!”
   
วันสุขเดินคอตกเข้าไปหลังบ้าน บ่นงึมงำตามประสาแล้วก็ค่อยๆ ปลดกระดุมออกทีละเม็ด เสื้อยังคงชื้นอยู่ แต่จะให้ใส่ต่อไปรอจนมันแห้ง เขาคงได้หวัดกินกันพอดี พอกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกกลัดเตรียมถอดเชิ้ตออก เสียงแหวกผ้าม่านก็ตามมาพอๆ กับเสียงร้องตกใจของใครบางคน
   
“ข... ขอโทษครับ” ปรัชญ์ว่าพลางก้มหน้าทันทีที่เขาหันไป วันสุขชะงักไปเล็กน้อย เดินเอื่อยๆ เข้าไปหา ไม่ได้คิดจะจัดการกับสภาพรุ่มร่ามของตัวเองเท่าไหร่
   
“น้องปรัชญ์มีอะไรครับ?” เอ่ยถาม เห็นไหล่กว้างนั่นกระตุกเบาๆ ทำเอาเขายกยิ้ม พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ชักสงสาร เลยหันหลังกลับไปหยิบผ้าขนหนูในลิ้นชักมาห่มไว้ลวกๆ แทน
   
“พอดีอาจารย์ให้ผมมาเอาโจทย์ข้อสอบรอบก่อนน่ะครับ” สงสัยคุณอาจะทำเอง... จะโทษอะไรได้นอกจากโทษตัวเอง ในเมื่องานที่ได้รับมอบหมายมาดันไม่เป็นไปตามแผน คุณอาก็เลยลงมือจัดการเสียแทน ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีสักเท่าไหร่
   
มื้อเย็นวันนี้คงต้องทำแต่ของที่ท่านชอบเยอะๆ เป็นการเอาใจแล้วก็ค่อยบอกขอโทษก่อนขึ้นนอน... วาดแผนไว้ในหัว ดูสวยหรูทีเดียว ว่าไหม?
   
พลันโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงเตือนข้อความเข้าอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้เดินเข้าไปรับเพราะมัวแต่ค้นของที่อยู่ในลิ้นชัก กว่าจะหาเจอได้ก็ทำเอาเกือบใจหาย เพราะนึกไปว่านอกจากลืมทำเฉลยข้อสอบแล้ว ยังอาจจะลืมโจทย์ข้อสอบทิ้งไว้ที่ไหนเสียอีก
   
“เมื่อวานก่อน... ผมเห็นรูปพี่วันในเฟสของซานด้วยครับ” จู่ๆ ปรัชญ์ก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
   
“ครับ? แล้วเป็นยังไงบ้าง?” เฟสบุ๊คอะไรนั่นเขาเล่นเสียที่ไหนแต่ก็ใช้เป็น ถึงจะไม่ได้ตามเทคโนโลยีอะไร ทว่ายุคสมัยมันก็บีบบังคับให้ต้องเรียนรู้ไปในตัว
   
“ซานกับพี่... ดูสนิทกันจริงๆ นะครับ” ปรัชญ์ว่า ท่าทางเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่อยากพูด แต่คล้ายเจ้าตัวจะไม่กล้าเท่าไหร่ วันสุขยื่นโจทย์ข้อสอบให้กับฝ่ายนั้นแล้วก็ยืนนิ่งๆ
   
“ผม... กลัวว่าพี่จะมีปัญหาครับ” จนสุดท้ายหนุ่มร้านต้นไม้ก็ยอมพูดออกมาในที่สุด
   
“เยลลี่น่ะเหรอ?” ชื่อนี้ผุดวาบขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก สาวสวยมักมากับนิสัยร้ายๆ เสมอ คนที่ชอบมองมาด้วยสายตา ‘อยากได้ของ’ แบบนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอ
   
โชคดีที่ซานดูจะไม่มีท่าทีสนใจสาวเจ้าเท่าไหร่ ก็ได้แต่หวังว่าเยลลี่คงไม่ทำให้พวกเขาต้องมีเรื่องมีราวกัน เพราะไม่อย่างนั้นช่วงเวลาเฮฮาแบบนี้คงกลายเป็นบูดสนิท แต่ดูเหมือนปัญหาที่เขาคิดกับที่ปรัชญ์คิดจะคนละอย่างกันเสียอย่างนั้น
   
“ไม่ใช่เธอหรอกครับ แต่เป็นคนอื่น ผมกลัวพวกนั้นจะเอาพี่ไปว่าเสียๆ หายๆ ...เรื่องที่แชร์จากอินเตอร์เน็ตน่ากลัวกว่าเจ้าตัวเขามาว่าเราตรงๆ นะครับ” ปรัชญ์พูดเหมือนเรื่องใหญ่ ซึ่งมันก็น่าจะใหญ่จริงๆ นั่นแหละ... แต่เขาเพียงแค่ยิ้มรับขอบคุณกับคำเตือนเท่านั้น
   
“ผมไม่ได้จะบอกว่าซานไม่ดีนะครับ... แต่ว่า... คนรอบตัวเขาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” ได้ฟังแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว เขาเองก็เคยเจอแค่ซานอยู่กับเยลลี่เท่านั้น นี่แสดงว่ายังมีอีก?
   
“เอ... พี่ก็พอจะนึกภาพออกครับ รายนั้นเขาเที่ยวกลางคืนด้วยใช่ไหม?” เที่ยวเล่นท่องราตรีเหมือนกับเขาสมัยก่อน ผิดกันแค่ที่ว่านั่นคือแมวตัวใหญ่ หาได้ใช่นายวันสุขไม่
   
เขาไม่อยากเอาบรรทัดฐานตัวเองไปทาบกับเด็กคนนั่นสักเท่าไหร่ เขาไม่รู้ว่าซานตอนเที่ยวเป็นอย่างไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กนั่นถลำเข้าไปในแสงสีลึกแค่ไหนแล้ว...
   
“ครับ... เขาเที่ยว หลายครั้งก็มาหลับเอาในคาบเรียน บางทีก็โดดไปเลย ผมเห็นว่าเขาเข้าแค่เฉพาะวิชานี้เท่านั้น”
   
แสดงว่าท่าทีง่วงงุนนั่นก็เป็นเพราะเที่ยวดึกอย่างนั้นหรือ? นี่แค่ปีแรกก็เป็นเสียขนาดนี้แล้ว? ทว่าก็ได้แต่ฟังหูไว้หูเท่านั้น เขาไม่อยากจะตัดสินไปแต่เนิ่นๆ จากเรื่องที่ฟังมาเท่าไหร่ ไว้รอถามเจ้าตัวตรงๆ คงจะง่ายกว่า
   
“คนที่ภาคก็พูดไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่... ผมไม่ได้อยากเอาเขามานินทา แต่ว่า... ผมห่วงพี่จริงๆ ครับ” ท่าทางของปรัชญ์ก็บอกได้อยู่ว่าห่วงเขาจริงๆ ตามที่พูด
   
“จะว่าไป คนที่เราพูดถึงเนี่ย หมายถึงใครเหรอครับ?” ถามย้ำไปอีกครั้ง เพราะมันฟังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่สำหรับเขา
   
“พวกเพื่อนเที่ยวของซานกับพวกคนในเน็ต... รูปพี่ที่ซานเอาลงในนั้นก็มีคนมาลงคอมเม้นท์แปลกๆ ...ผมว่าพี่คงไม่อยากจะอ่านสักเท่าไหร่” มาพูดกันขนาดนี้ก็ชักอยากจะเห็นเสียแล้วสิ
   
แปลกๆ เหรอ? แปลกที่ว่านี่มันแปลกอย่างไร? ชีวิตเขานี่เคยผ่านทั้งการด่ากราดต่อหน้า หรือแม้กระทั่งนินทาลับหลังมาแล้ว ยังจะมีคำด่าประหลาดพิศวงอะไรอีกนะ?
   
“เขาด่าพี่เหรอครับ?”
   
“เปล่าครับ ไม่ได้ด่า แต่มันออกจะแปลกๆ โดยเฉพาะพวกผู้หญิง” วันสุขขมวดคิ้ว พยายามนึกว่าวันเวลาที่ผ่านมาเคยมีใครมาพูดแปลกๆ กับเขาหรือเปล่า... แล้วก็นึกออกได้เรื่องหนึ่ง
   
“อย่าบอกนะว่ามาจับคู่ให้ อะไรแบบนี้?” ถามอย่างไม่แน่ใจ พออีกฝ่ายพยักหน้ามาให้ก็ทำเอาขำพรืด ปรัชญ์หน้าเสียไปเล็กน้อยจนเขาปลอบแทบไม่ทัน
   
“ขอบคุณที่ห่วงครับ ไว้เดี๋ยวพี่จะคุยกับเขาอีกทีเรื่องนี้แล้วก็จะระวังตัวให้มากขึ้น จริงๆ แล้วเรื่องแบบนั้นก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ขอบคุณอีกครั้งครับที่มาเตือน” ออกปากรับเรื่องไว้ซึ่งเมื่อพูดจนจบประโยค ใครอีกคนก็ยกยิ้มดีใจทันที...
   
ปรัชญ์คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองดูออกง่ายแค่ไหน เรื่องห่วงน่ะ คงจะห่วงจริงๆ แต่ภายใต้ความห่วงนั่นมันยังมีอะไรซ่อนอยู่นะ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน... คาดเดาไปก็เหนื่อยเปล่า ไปนั่งเดาใจคนอื่นมันใช่ทางเขาเสียเมื่อไหร่


   

ปรัชญ์กลับไปตอนช่วงสายหลังจากที่คุณอาทำเฉลยเสร็จ ส่วนเขาเหลือก็แต่ตรวจใบแลปกองพะเนินหลายสิบชุด ก็รบราฆ่าฟันกับมันอยู่นาน โชคดีที่คราวนี้ซานยอมเขียนชื่อมาให้ แต่เขาก็ยังต้องมานั่งไล่เปิดหากระดาษเปล่าทุกครั้งที่ทำการตรวจอยู่ดี
   
“วัน เสร็จหรือยัง?” คุณอาแหวกม่านกั้นห้องเข้ามา ท่าทางเหนื่อยล้าไม่ต่างจากเขา เมื่อครู่เพิ่งมีนักศึกษากลุ่มใหญ่เข้ามาถามวิธีทำโจทย์ เห็นอธิบายกันนานพอสมควรเพราะต้องเริ่มตั้งแต่ต้นหมด เขาซึ่งทำงานอยู่ข้างในได้ฟังแล้วยังเหนื่อยแทน
   
“เหลืออีกเยอะเลยครับ คุณอากลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมตามไป” พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษ มือเองก็เขียนคะแนนไปพลางๆ
   
“งั้นเดี๋ยวอาแวะหาอะไรกินข้างทางเลยแล้วกัน เราน่ะก็อย่าให้มันดึกมากนัก อาไม่ได้รีบใช้คะแนนขนาดนั้น” ว่าเสียงดุตามประสา แล้วก็เดินเข้ามายีหัวคิ้วของเขาที่ขมวดเข้าหากันให้คลายออก
   
“อย่าเครียดให้มาก ยังติดใจเรื่องเฉลยข้อสอบไม่หายหรือไง?”
   
“ก็ครับ... ผมทำให้เหนื่อยนี่ งานนั่นตอนแรกผมเองต้องทำมันแท้ๆ ” ถึงจะไม่ค่อยใส่ใจกับอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน เขาเองก็มักจะจริงจังกับมันเสมอ ถึงจะชอบลอยชาย แต่การละเลยจนคนอื่นต้องมาทำให้นี่มันทำให้เขารู้สึกแย่มากจริงๆ
   
“อย่าคิดมากจะดีกว่า เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นเถอะ” ไหล่ถูกตีปุๆ ทำเอาขมวดคิ้วไม่ได้
   
“เรื่องไหนครับ?”
   
“เรื่องหาหลานให้อาเลี้ยงสักคน”
   
“ย้ำเข้าบ่อยๆ เดี๋ยวผมก็ประชด แต่งผู้ชายเข้าบ้านแทนเสียหรอก” เอ่ยหยอกแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบกว่าดันหัวเราะเยาะใส่เขาเสียอย่างนั้น
   
“อาก็รอดูอยู่ จะแต่งใครเข้ามาก็เรื่องของเราเถอะ แต่หาหลานให้คนแก่เลี้ยงหน่อยคงไม่ลำบากใช่ไหม?” ศีรษะถูกโยกเบาๆ แล้วแผ่นหลังหนากว้างนั่นก็เดินลับหายไป วันสุขยกยิ้มพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ สมาธิทำงานก็แตกหายไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองเท่านั้น


   

เมื่อยบ่า ปวดคอ ปวดเอว... อาการของคนที่นั่งเก้าอี้มากไป ตอนที่ต้องก้มตัวเก็บปากกาที่ตกพื้นน่ะมันทรมานแค่ไหน เขาเองก็อยากจะร้องให้ลั่นตึกเสียจริง
   
เดินหอบของหน้าเบ้ออกมา ฟ้าก็มืดเสียแล้ว ไฟทางฝังพื้นที่มหาวิทยาลัยลงทุนทำให้ใหม่นั้นสวยเอาเรื่อง มองไกลๆ แล้วอย่างกับแสงเทียนนำทาง โรแมนติกจนอยากจะหาใครสักคนมาเดินควงแขนทอดอารมณ์เอื่อยเฉื่อยไปด้วยกันเสียจริง
   
“ปีสองพร้อม! ลุกนั่งตามจำนวนรุ่น!! ล้มนับใหม่ เริ่ม!!”
   
อารมณ์สุนทรีย์ถูกพัดปลิวหายเมื่อเสียงเหี้ยมดังเข้ามากระทบโสตประสาท วันสุขยืนนิ่ง...ไว้อาลัยให้กับความคิดฟุ้งซ่านในสมองพลางถอนหายใจเฮือก...
   
วันนี้เขาถอนหายใจไปกี่รอบแล้ว? ในหนังสือที่เคยอ่านเจอ ในนั้นบอกว่าคนถอนหายใจบ่อยๆ มักอายุสั้น ก็ไม่รู้ว่าจริงไหม แต่ถ้าจริง อีกไม่กี่ปีเขาคงได้หมดอายุขัยก่อนคุณอาแน่ๆ
   
“ทำได้แค่นี้หรือไง!? นับใหม่!” เสียงตะคอกดังขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงนับรอบดังกระหึ่ม
   
วันสุขอดกวาดตามองหาเป้าหมายไม่ได้ แล้วก็เจอะกับนักศึกษากลุ่มใหญ่ซึ่งกำลังทำกิจกรรมรับน้องกันอยู่ ดูเค้าแล้วคงจะเหมือนๆ ทุกปี... รุ่นพี่ถูกลงโทษเพราะรุ่นน้อง เดี๋ยวก็มีคนร้องไห้... ร้องห่มร้องไห้กันทุกปี ตอนปีเขาเองก็ร้องแบบนี้นี่แหละ
   
“หืม?” อุทานเบาๆ อย่างฉงน เมื่อในกลุ่มนักศึกษาที่นั่งเรียงแถวกันบนพื้นนั้นมีใครบางคนที่เด่นออกมา... เขาทำหน้าเครียดกันจะเป็นจะตาย... สาวๆ ก็ร้องไห้ตามประสา แต่คนคนนั้นดันหาวหวอดไม่เกรงใจรุ่นพี่เสียนี่
   
เขายืนมองเพลินๆ แล้วก็อดขำเป็นพักๆ ไม่ได้ จนในที่สุดดวงตาพราวเหมือนดาวบนฟ้านั่นก็หันมาปะทะกันอย่างจัง แมวตัวใหญ่ทำหน้าสงสัยคล้ายกับไม่แน่ใจว่าเป็นเขาหรือเปล่า พอมองอยู่สักพักก็ส่งยิ้มมาให้ เจ้าตัวก้มลงไปกดยุกยิกลงโทรศัพท์มือถือ ท่าทางดูจะไม่สนใจเสียงนับกับบรรดารุ่นพี่ที่เริ่มล้มลงพื้นทีละคนสองคน
   
‘รอหน่อย ขอติดรถไปด้วย รถเสียส่งซ่อม’ ข้อความสั้นๆ ถูกส่งมาให้
   
วันสุขส่ายศีรษะอย่างระอา จริงๆ เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องรอ หรือทำตามแต่อย่างใด แต่สมองมันสั่งการไปแล้ว ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน...
   
เขารอไม่นาน เหล่านักศึกษาปีหนึ่งก็ถูกรุ่นพี่ไล่ให้กลับบ้าน ใครบางคนพอหยิบกระเป๋าตัวเองได้ก็วิ่งปร๋อมาหาทันที ท่าทางไม่ได้เหนื่อยล้า ตรงข้ามกับคนอื่นๆ
   
“เหนื่อย เมื่อยขา” ว่าแล้วก็กระโดดเข้าใส่จนเกือบตั้งตัวไม่ทัน
   
“นี่เราสนิทกันจนมากอดพี่ได้แบบนี้เลยเหรอครับ?” ถามอย่างติดขำ คนปกติเขาคงไม่มาถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้เท่าไหร่ กลิ่นน้ำหอมจางโชยมาแตะจมูก กลิ่นเบาๆ เย็นสบาย... อยู่แบบนี้ก็อุ่นดีเหมือนกัน
   
“ที่อเมริกาเขาไม่ค่อยถือกันหรอก เมื่อยแขน...” บ่นเบาๆ แล้วก็ยอมปล่อยกอดแต่โดยดี ทว่าดันเปลี่ยนเป้าหมายไหล่เขาแทน “ผมเห็นเด็กอนุบาลเดินแถวกันแบบนี้ อยู่ที่โน่นไม่เคยทำ... เขาเรียกว่าอะไรนะ?” ว่าแล้วก็โยกตัวไปมาทำเอาเขาที่เดินนำหน้าอยู่ต้องโยกตามไปด้วย
   
“แถวรถไฟมั้ง? พี่เองก็ไม่แน่ใจ” คิดพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างลืมตัว... ฟ้าโปร่งกว่าทุกวัน ดาวแม้จะไม่มาก แต่ก็ยังพอมีให้เห็น
   
“พี่วัน” คนข้างหลังส่งเสียงเรียกทำลายบรรยากาศเขาอีกครั้ง
   
“ครับ?” ขานตอบไป แต่สายตาก็ยังไม่ละจากเวิ้งสีเข้มด้านบน ขายังก้าวเอื่อยเฉื่อย ลมเองก็พัดมาเรื่อยๆ ชักเริ่มจะหนาวขึ้นมาหน่อยๆ แต่ตรงที่ดูจะอุ่นที่สุดคงไม่พ้นช่วงไหล่ที่มีมือของใครสักคนวางลงมา
   
“ไปสะพานพุทธกันไหม?”
   
“ไปทำไมครับ?” อดที่จะหันหน้าไปถามไม่ได้ก่อนจะชะงักไปยามที่ปะทะสายตากับคนตรงหน้า... ยิ้มอ่อนๆ นั่น เขารู้สึกเหมือนว่ามันดูคุ้นตาอย่างประหลาด ยิ่งรอยยิ้มที่ส่งมาให้...ยิ้มที่ดู ‘จริง’ กว่าทุกที
   
“ไปหาแรงบันดาลใจ... เอาไว้วาดรูป”
   
วันสุขนิ่งไป คงเพราะประโยคนั่นดูจริงจังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาจากคนตรงหน้า ...ท่าทางใฝ่ฝันแบบนั้น เขาเองก็เป็นทุกครั้งยามที่ฝันถึงปุยเมฆและฟากฟ้าราตรี
   
“ชอบวาดรูปเหรอ?” หยุดเดินแล้วหันไปถาม ซานนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก
   
“ชอบวาด แต่วาดไม่สวยหรอกนะ เวลาได้แตะพู่กัน มันเหมือนได้ระบายอารมณ์ อยากป้ายสีไหนก็ได้ที่อยากจะป้าย จะออกมาสวยหรือไม่สวยก็ช่างมัน... ผมชอบนะ พอวาดเสร็จก็เอามันมานั่งดู... นั่งมองอารมณ์ตัวเอง พิจารณาตัวเอง ทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกแบบนั้น ทำไมตอนนั้นถึงได้วาดรูปแบบนี้ออกมา”
   
แปลกใจ... นั่นเป็นความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ เขาไม่นึกว่าเด็กซนๆ คนหนึ่งจะมีมุมแบบนี้ หรือว่าบางทีคนตรงหน้าอาจจะไม่ได้ดูเฮฮาอย่างที่เขาเห็นก็ได้... มองแล้วก็คล้ายกับจะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในอดีต นึกย้อนถึงวันวานแล้วก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้ฉับพลัน
   
“ว่างๆ ก็วาดรูปให้พี่บ้าง” พูดไปอย่างนั้นแล้วเริ่มออกเดินต่ออีกครั้ง
   
“ไม่เอา... ไม่วาดให้หรอก” ซานว่าเสียงเบา ไม่ยอมเดินตามกันเสียอย่างนั้น...
   
“ทำไมล่ะ?” อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง ลมหนาวพัดมาอีกครั้ง ดอกแก้วลอยกระจายอยู่กลางอากาศ กลิ่นหอมหวานอบอวลจนชวนให้สบายใจ
   
ซานมองมาที่เขา ดวงตาสีเข้มแพรวพราวนั่นนิ่งสงบอย่างประหลาด ก่อนที่ริมฝีปากหยักสวยจะขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ
   
“ของบางอย่าง... มันวาดให้ไม่ได้ พี่ก็น่าจะรู้...”
   
พูดจริง หรือแค่ล้อเล่น?... ถ้อยคำซึ่งตีความได้หลากหลายนั่น เขาควรจะเชื่อถือได้เพียงไหนกัน?
   
วันสุขทำเพียงแค่ยิ้มตอบ หยุดบทสนทนา ปล่อยให้ต่างคนต่างจมลงอยู่กับความคิดตัวเอง... หัวใจกำลังเต้นระรัวอย่างไม่มีเหตุผล เพียงแค่ชั่วแวบ และสงบลงอย่างรวดเร็ว
   
ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นนี่คืออะไร?
   
เขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปหาคำตอบนัก คงต้องปล่อยให้มันดำเนินไปตามอย่างที่มันเป็น ดูจะเร็วไปสักหน่อยที่จะไปตัดสิน และดูจะเร็วไปสักหน่อยที่จะไปตั้งความหวัง
   
ความรักน่ากลัวสำหรับเขาเสมอ เพราะมันไม่เคยมาบอกกล่าวก่อนที่จะปรากฏตัวสักครั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาเคาะประตูเข้าเสียแล้ว... และเสียงเคาะก็จะดังต่อไปเรื่อยๆ จวบจนกว่าประตูจะถูกเปิด แขกซึ่งมาเยี่ยมเยียนจะหน้าตานิสัยเป็นอย่างไร ก็จะไม่มีวันรู้จนกว่าจะได้ต้อนรับและพูดคุย...
   
เขาคงปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรเป็นเหมือนทุกที  ให้เวลาค่อยๆ นับจากหนึ่งจนไปถึงจุดที่คำตอบกระจ่างชัด เมื่อนั้นคงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร... ในเมื่อเด็กคนนี้ให้ความรู้สึกต่างจากทุกคนที่เข้ามา คงไม่ขี้โกงเกินไปใช่ไหมที่เขาจะให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษขนาดนี้?
   
พลันความคิดต้องหยุดลงอีกครั้ง เมื่อคนที่เดิมตามหลังมาตลอดก้าวมาเดินเสมอกัน ใบหน้าคมคายภายใต้แสงไฟสีส้มอ่อนนั้นดูน่าค้นหาอย่างประหลาด ยิ้มละมุนซึ่งแต้มบนริมฝีปากนั่นชวนให้รู้สึกแปลก เสียงทุ้มติดยังเยาว์ฟังดูนุ่มหู...
   
“เรื่องบางเรื่องน่ะ... ผมว่าจินตนาการสวยกว่าปลายพู่กันไม่รู้ตั้งกี่เท่า...”


To be continued...


ตอนแรกวางซานไว้ให้เป็นคาแรคเตอร์แบบเย็นๆ คูลๆ
แต่พอเขียนเข้าจริง ซานก็แค่เด็กวัยรุ่นลอยชายไปมาคนหนึ่ง(?) มีมุมที่ดูจะร้ายนิดๆ แต่ก็ขี้อ้อน
อารมณ์แบบแมวตัวใหญ่ เรียกให้มาไม่มา พอเมินแล้วจะเข้ามาคลอเคลีย
ส่วนปรัชญ์นี่จะน่าแกล้งเป็นพิเศษ ให้นึกภาพก็คงเป็นโกลเด้นขี้ระแวงตัวใหญ่ๆ ล่ะมั้ง (หัวเราะ)

เรื่องนี้มีประมาณสิบกว่าตอนจบ ไม่ยาวเท่าไหร่ ระหว่างนี้อาจจะเอาเรื่องยาวอีกเรื่องมาลงด้วย
ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวล่วงหน้า และขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้เช่นเดิมจ่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน (13/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 13-07-2014 06:07:31
ปรัชญ์น่าแกล้งอ่ะ ><
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน (13/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 13-07-2014 10:56:08
เชียร์น้องแมวเต็มที่ แต่ดูท่น้องแมวตัวนี้ปริศนาจะเยอะเป็นพิเศษนะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน (13/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-07-2014 11:27:01
อ่านเรื่องนี้ไปเหมือนต้องระวังตัวไปด้วย เหมือนเรายังเห็นแค่ยอดๆ ของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเยอะ ไม่กล้าจะปักใจลงไปว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น เจ๋งมากครับ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน (13/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 13-07-2014 14:20:34
แงค้างงงงงง   :ling1: 


แต่พี่วันนี่ขยันยั่วแบบไม่รู้ตัวจริงๆนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน (13/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 14-07-2014 22:30:56
 :L2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน (13/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 14-07-2014 23:23:22
ปรัชญ์น่าแกล้งจริง ๆ นั่นแหละนะ 555
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร (15/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 15-07-2014 15:51:13
บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร


หลายครั้งเรื่องหยอกล้อก็กลายมาเป็นเรื่องจริงจัง ถ้าหากอีกฝ่ายคิดเองไปไกล... บางทีเขาคงต้องหยุดตัวเองเอาไว้แค่นี้ แต่ก็ไม่อาจจะทำได้... นายวันสุขคนนี้ไม่ใช่คนที่ชอบฝืนอะไร เขาทำไปตามที่ควรทำ หากมันจะจบเช่นไรก็ต้องปล่อยให้มันเป็น... ไม่เคยฝืน ไม่เคยยื้อ และไม่เคยคิดห้าม อย่างเช่นทุกๆ ครั้ง...
   
เมื่อวานกว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ก็แทบแย่ ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างพวกเขาอีก ซานเลือกที่จะเงียบ เด็กคนนั้นคล้ายกับจะจมลงอยู่ท่ามกลางทะเลความคิด ส่วนเขาเองก็ไม่ต่างกัน อาจเป็นเพราะบรรยากาศมันพาให้คิดไป จิตใจก็เลยไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวนัก
   
เขาแทบไม่เคยรู้เลยว่า ‘บางสิ่งบางอย่าง’ มันเริ่มต้นขึ้นมาด้วยอะไร... เพื่อนสนิทคนแรก... เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าสนิทกันเพราะเหตุใด รักแรกที่ผ่านมาเนิ่นนาน มันเริ่มมาจากจุดไหน? ต่อให้คิดเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ทว่าน่าแปลก... ต่อให้จุดเริ่มมันรางเลือนมากแค่ใด แต่จุดจบกลับชัดเจนยิ่งกว่า
   
อาจเป็นเพราะระยะทางระหว่างอดีตมันไม่เท่ากัน... วันแรกไกลเหลือเกิน... ทว่าวันจบกลับใกล้กว่า... คงไม่แปลกที่เรื่องราวดีๆ จะตกหล่นไปทีละเล็กทีละน้อย เหลือเพียงแต่เรื่องราวแย่ๆ ที่ฝังอยู่ในความทรงจำ
   
ความรักนั้นน่ากลัวเสมอ... เขาท่องคำนี้ได้ขึ้นใจ แต่ก็ไม่เคยนิยามให้ตัวเองได้สักที คำว่า ‘น่ากลัว’ น่ะ...ตัวเขาเองกำลังกลัวอะไรกันอยู่แน่ นึกกี่ทีในหัวก็มีแต่เหตุผลหลอกๆ ส่วนคำตอบจริงๆ เขากลับไม่อยากจะคิดถึงมันนัก
   
สมัยก่อนคุณอามักบอกว่าเขาชอบทำตัวเหมือนผึ้งตอมดอกไม้ วนเวียนหาน้ำหวาน พอเจอที่ถูกใจก็จะวนกลับไปที่ดอกเดิมๆ แม้ต้นจะตายกลายเป็นซากแห้งๆ ผึ้งตัวเดิมก็ยังบินกลับไปที่เดิม ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
   
ถึงตอนแรกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจประโยคนั่นสักเท่าไหร่ แต่พอลองเปรียบให้ดอกไม้นั่นเป็นอดีตที่เขาเคยผ่านมา... ก็อดยอมรับไม่ได้อย่างไร้คำโต้เถียง
   
บางทีที่พูดย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่า ‘นายวันสุขนั้นเปิดใจกับทุกคน’ มันคงเป็นเพียงแค่คำโกหกคำโตที่ถูกพูดซ้ำๆ เพื่อหลอกตัวเอง คงจะเป็น ‘กลไกการป้องกันตัวเองบางอย่าง’ ที่เขาไม่อยากจะไปนึกถึงมันนัก
   
แล้วทำไมถึงต้องมาคิดมากกับเรื่องนี้นักนะ? เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน... พักนี้รู้สึกเหมือนตัวเองงี่เง่าขึ้น หลายครั้งก็นึกรำคาญกับความคิดสับสนนี่ หรือว่าเขาจะกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกแล้ว? แค่ถูกเด็กหยอกเข้านิดหน่อยก็เอากลับมาคิดเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
   
“คนมีความรัก มักจะดูเด็กลงไปนิดนึง...”
   
เมื่อวานหลังจากกลับไปส่งซานที่คอนโดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านเขาแบบเหมาะเจาะก็ขับรถกลับเข้าบ้าน เสียงร้องเพลงประหลาดๆ ก็ดังออกมาจากปากคุณอา... เขาถามว่านั่นเพลงอะไร ท่านก็ทำท่ายักไหล่ใส่แล้วร้องต่อไปอีกท่อน
   
“คนมีความรัก มักจะไม่ทำหน้าตาบึ้งตึง...”
   
ไม่รู้เลยว่าตอนนั้นตัวเองทำหน้าตาแบบไหน แต่พอลองมาเปิดหาเพลงต้นฉบับฟังในห้องก็ทำเอาน้ำลักจนนึกว่าจะตายไปซะแล้ว... ผู้ชายตัวใหญ่วัยกลางคน นัยน์ตาดุ และเสียงทุ้มเข้ม มาร้องเพลงคิกขุแบบนี้... เห็นแล้วก็อยากจะอัดเทปแล้วเผาส่งไปให้ภรรยาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วของท่านจริงๆ
   
หลังจากมึนกับเพลงนั่นไปพักใหญ่ ก่อนอาบน้ำเขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ กล่องกระดาษสาในลิ้นชักถูกยกออกมา แล้วรูปท้องฟ้าในแต่ละสถานที่ก็ถูกนำมาวางเรียงเต็มเตียง... เริ่มตั้งแต่วันแรกจนถึงวันจบ... รูปหยุดอยู่ที่ฟ้าครึ้มเมฆจนมองไม่เห็นจันทร์... ฟ้าซึ่งถูกถ่ายด้วยกล้องใกล้พังตัวหนึ่งผ่านบานหน้าต่างแตกๆ
   
เขาอดถามตัวเองไม่ได้ว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่? อะไรมันดลใจให้กลับมารำลึกเรื่องเทือกนี้อีก? รูปภาพถูกเก็บกลับลงกล่องอีกครั้ง จับอย่างเบามือ ทะนุถนอมมันอย่างลืมตัว อดที่จะยิ้มเย้ยตัวเองไม่ได้ บางทีผึ้งตัวนี้มันคงจะโง่ที่สุดในบรรดาผึ้งทั้งรัง... นิ้วนางข้างซ้ายเขาไงล่ะเครื่องยืนยันชั้นดีสำหรับความโง่เง่าของตัวเอง...
   
‘เปิดประตูให้เข้าไปหน่อย ยืนเคาะจนเมื่อยแล้ว ข้างนอกมันน้าวหนาว’
   
ข้อความจากคนเดิมๆ ถูกส่งมาในเวลาเดิมๆ พักนี้แทบจะส่งมาเป็นกิจวัตร บางทีก็วาดหน้าแมวกลมๆ แถมมาให้ด้วย อ่านแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่าทำให้คนบางคนคิดสาระตะจนไมเกรนจะขึ้นอยู่นี่... เดี๋ยวก็ปล่อยให้ยืนหนาวตายมันอย่างนั้นแหละ เพราะข้างในหลังประตูมันก็หนาวไม่แพ้กัน




“ปวดหัวชะมัด”

อาการปวดศีรษะตุบๆ บังเกิดขึ้นนับตั้งแต่ลืมตาตื่น ชันกายลุกขึ้นมาบนเตียง แล้วก็แทบสะดุ้งเมื่อพบว่าตัวเองตื่นสายกว่าเวลาปกติร่วมสองชั่วโมง คุณอาก็ไม่คิดจะเข้ามาปลุก โชคดีที่ยังเหลือเวลาให้เขาอีกชั่วโมงกว่า ไม่อย่างนั้นคงไปนัดดูต้นไม้สายแน่ๆ 
   
รีบอาบน้ำแต่งตัวจนลืมทักทายนายวันสุขในกระจก รีบจนกระทั่งลืมรถน้ำต้นไม้อย่างที่ทำประจำ คนร่วมบ้านก็ออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้า อาหารที่คิดว่าจะเตรียมก็เป็นอันยกเลิก
   
ของสำเร็จรูปในช่องแช่แข็งถูกนำมาประทังท้องชั่วคราว รสชาติเหมือนเคี้ยวกระดาษนั้นทำเอาเขาหน้าเบ้... แต่ก็ต้องกิน ถึงไม่หิวก็ต้องกิน การปล่อยให้ท้องว่าง และยังมีอาการเสี่ยงว่าจะไม่สบายแต่เช้าแบบนี้ ต้องป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ
   
ยาสองเม็ดพอจะช่วยได้เล็กน้อย อาการปวดหัวทุเลาลง แต่มีอาการอ่อนเพลียเข้ามาแทรกแทน อยากจะโทรไปยกเลิกนัด ทว่ามาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องรีบทำให้มันจบๆ รีบไปดูแล้วรีบกลับมานอน อยากจะหลับไปนานๆ พักตะกอนความคิดฟุ้งซ่านจากเมื่อคืนให้มันตกลงไปที่ก้นหัวใจ
   
รถคู่ใจค่อยๆ บดล้อวิ่งไปตามท้องถนน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาพอดี เบอร์โทรไม่คุ้น แต่เขาก็กดรับแล้วเปิดโหมดสปีคเกอร์โฟน
   
เสียงประหลาดจากปลายสายดังโครมครามอย่างกับมีคนตีกันในปาร์ตี้กลางสวน อดขมวดคิ้วไม่ได้ พลันทุกอย่างกลับเงียบหายกลายเป็นเสียงซาซ่าแล้วสายก็ตัดไป
   
ใครมันโทรมากวนเขาแต่เช้า? อดบ่นในใจไม่ได้ ก่อนโทรศัพท์จะดังขึ้นมาอีกครั้ง อดสะดุ้งไม่ได้ แต่พอเห็นว่าเป็นเบอร์โทรของใครก็ต้องถอนหายใจเฮือก
   
“ว่าไงเวย์ ขับรถอยู่” ว่าเสียงเนือย จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลเสียอย่างนั้น
   
“อะไร? ทำเสียงอย่างกับไม่อยากรับสาย โรคซึมเศร้ากำเริบหรือไง?”
   
“คงงั้น” ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก
   
“เข้ามาหากันบ้างก็น่าจะดีนะ พักหน่อยดีกว่าไหม?” รูปประโยคประหลาดๆ แบบนี้คงมีแค่เขาสองคนเท่านั้นแหละที่ฟังกันเข้าใจ วันสุขอดที่จะยกยิ้มไม่ได้ แค่ความห่วงใยของเพื่อนเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว
   
“พอดีเมื่อคืนดันเกิดอยากดูรูปถ่ายเก่าๆ เลยรื้อมันออกมาดู...” เล่าไปเรื่อยๆ ตาเองก็คอยมองถนน หักพวงมาลัยเข้าเลนส์ซ้าย โชคดีที่แถบนี้ไม่ใช่เขตเมือง รถราจึงน้อยกว่าปกติ และนั่นหมายความว่า ถนนว่างเหลือเฟือขนาดที่เขาขับเอื่อยเฉื่อยก็จะไม่โดนบีบแตรด่า
   
“แล้วก็มานั่งซึมกะทือแบบนี้ เป็นพวกนิยมความเจ็บปวดหรือไง ชอบเอามีดแทงตัวเองจริงๆ ” เพื่อนสนิทโวยวายตามประสาทำเอาเขาอดหัวเราะไม่ได้
   
“ฮืม... ตอนแรกไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นหรอก แต่มันมีเรื่องให้ต้องคิดน่ะ” เคาะนิ้วลงกับพวงมาลัย ถ้ายังขับเอื่อยเฉื่อยแบบนี้ต่อไปคงไปนัดสายแน่ๆ คิดแล้วก็เหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นอีกหน่อย...
   
“เรื่องอะไร? หรือผึ้งน้อยของพี่เวย์หาดอกไม้ดอกใหม่ได้แล้วเหรอครับ?” เพื่อนสนิทขุดเรื่องคำเปรียบเปรยของคุณอามาล้อเขา แม้ถ้อยคำจะติดแซวกันขำขัน แต่น้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยนั้นกลับทำให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด บางทีการได้คุยเล่นกับใครสักคนก็ทำให้เขาหายเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
   
“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” ตอบออกไปแบบนั้นอีกฝ่ายถึงกับเงียบไปชั่วครู่
   
“ไม่มีปัญหาอะไรแน่ใช่ไหม?”
   
“ถ้ามีป่านนี้ก็เครียดจนทำขนมเต็มบ้านแล้วล่ะ” แล้วหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป กว่าจะวกกลับเข้ามาธุระของคนปลายสายได้ก็ตอนที่เขาขับรถจนเกือบจะถึงร้านต้นไม้แล้ว
   
เวย์บอกว่าตัวเองมีปัญหานิดหน่อยที่ต้องจัดการเลยมากับเขาด้วยไม่ได้ เห็นว่าเรื่องเกี่ยวกับที่บ้าน เขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งนัก สุดท้ายก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไร
   
พอวางสายจากเพื่อนสนิทได้ เป้าหมายในการมาครั้งนี้ก็ตั้งอยู่ตรงหน้า ป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่ทำจากไม้ทาสีลายน่ารักโชว์หรา วันสุขตีรถเลี้ยวผ่านพุ่มดอกเข็มสูง ซึ่งเข้ามาไม่ไกลนักก็เจอลานเล็กๆ ไว้สำหรับจอดรถ
   
ต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้ทั่วทุกพื้นที่ ส่วนมากจะเป็นไม้ผล และไม้ดอกเสียมากกว่า เขาดับเครื่องยนต์แล้วลงมายืนด้านนอก อากาศเย็นสบาย คงเป็นเพราะบรรยากาศร่มรื่นด้วยส่วนหนึ่ง
   
“คุณวันสุขหรือเปล่าคะ?”
   
เสียงทักทายฟังดูอบอุ่นดังไม่ไกลนัก วันสุขชะงักแล้วมองหาต้นเสียง ก่อนจะเจอะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เธออยู่ในสภาพมอมแมม แต่ก็ยังดูสวยสุขภาพดี
   
เขายิ้มให้พลางกล่าวทักทาย นี่คงเป็นคุณแม่ของปรัชญ์ แม้จะไม่เห็นเค้ามากนัก แต่ก็พอเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นได้ดวงตาอ่อนโยนนอบน้อมน่าเข้าหาแบบนั้นมาจากใคร
   
“ร้านสวยนะครับ” อดเอ่ยปากชมไม่ได้ กวาดตาไปมองรอบๆ อย่างสนอกสนใจ ไกลๆ นั่นเป็นบ้านอิฐเก่าซึ่งปลูกอยู่หลังระแนงไม้สูง อีกฝั่งเป็นตัวร้านดูโปร่ง ตีผนังด้วยไม้ทาสีขาว บ้างก็เป็นเนื้อเปลือยดูเข้ากันดี กระถางเล็กๆ ถูกแขวนไว้ที่ชานหลังคา ของประดับสวนวางกระจัดกระจาย แต่ไม่ได้ดูรกอะไร ข้างกันเป็นเรือนกระจกขนาดเล็ก เห็นว่าในนั้นใช้ปลูกไม้ดอกกับพวกผักสวนครัวไว้ทานเอง
   
เดินดูร้านไปเรื่อย ของที่เขาถูกใจเยอะแยะพอสมควรจนชักจะอยากจัดสวนที่บ้านตัวเองใหม่ คุณแม่ของปรัชญ์ก็แนะนำหลายอย่าง คุยกันเรื่องต้นไม้เสร็จ หัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องลูกชายของเธอเสียอย่างนั้น
   
“ที่โน่นเขาดื้อหรือเปล่าคะ?” เสียงนุ่มเพราะถามตอนที่เขากำลังยืนเลือกไม้กระถางเล็กๆ
   
“ไม่ดื้อครับ เด็กดีเลยเชียว สอบย่อยกี่ครั้งคะแนนเขาก็ที่หนึ่งตลอด” วันสุขเล่าไปยิ้มไป ถึงตัวเองจะไม่ใช่คนสอน แต่พอพูดถึงเรื่องลูกศิษย์คุณอาที่เขาต้องคอยดูแลแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ ปรัชญ์ไม่เคยโดดเรียน ส่งงานครบทุกครั้ง และยังมาคอยช่วยงานเขาบ้างบางคราวอีก
   
“ดีจริงๆ แม่ก็ห่วงเขาตลอดเลยค่ะ เพราะเด็กคนนั้นช่วยงานที่ร้านตลอดจนแทบไม่มีเวลาอ่านหนังสือ แม่เองก็กังวล แต่พอได้ฟังแบบนี้ก็โล่งใจแล้วค่ะ” เธอแทนตัวเองว่า ‘แม่’ กับเขา ฟังดูแล้วก็น่ารักดี
   
“ร้านนี่เปิดมานานแล้วเหรอครับ?” อดถามไม่ได้ เพราะสภาพของบางอย่างก็ดูเก่าจริงๆ
   
“นานพอสมควรแล้วค่ะ ความจริงมันเคยเปิดก่อนหน้านี่แล้วก็ปิดไป แม่เลยซื้อที่นี่มาเปิดกิจการต่อ เด็กคนนั้นก็ช่วยร้านมาแต่สมัยมัธยมแล้วล่ะค่ะ แกทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาไปวิ่งเล่น เพื่อนก็ไม่มีสักคน” เธอว่าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเองก็ได้แต่นิ่งฟัง
   
จริงๆ ก็ไม่ค่อยเห็นปรัชญ์เดินกับใครที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน ทั้งที่ดูไม่ใช่คนเย็นชาอะไรแท้ๆ แม้แรกๆ จะเห็นอยู่กลุ่มเดียวกับเยลลี่ แต่พักหลังมานี่ดูจะตัวคนเดียวเสียส่วนใหญ่
   
“แกเอาแต่คอยห่วงแม่จนไม่ค่อยจะสนตัวเองเท่าไหร่ น้องปรัชญ์รักครอบครัวมากค่ะ รักต้นไม้มากๆ ด้วย” พอได้ฟังแล้วเป็นต้องเลิกคิ้ว สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้
   
“ชอบต้นไม้ แต่ทำไมถึงมาเรียนคณะนี้ล่ะครับ?”
   
คุณแม่ยังสาวหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำถามของเขา ก่อนจะหยิบกะละมังมารองน้ำพลางพรมใส่เหล่ากระบองเพชรจิ๋ว
   
“แกอยากเข้าสาขาเกี่ยวกับต้นไม้เหมือนกันค่ะ แม่ก็เชียร์ สุดท้ายแกดันทิ้งความฝันแล้วไปเลือกอีกคณะที่แกเห็นว่าน่าจะทำเงินได้มากกว่า ฟังดูแล้วน่าอาย แต่แกก็ทำเพื่อแม่นี่แหละค่ะ เรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ต้องใช้ แค่ร้านต้นไม้คงไม่พอ แม่คิดกี่ทีก็อดละอายใจไม่ได้ที่เป็นตัวต้นเหตุให้แกต้องทิ้งความฝันแบบนั้น”
   
ผู้หญิงตรงหน้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มุมปากอิ่มยกยิ้มบาง ในดวงตาอบอุ่นนั่นทอประกายเศร้าก่อนจะกลับมาสดใสอีกครั้ง ผู้หญิงน่ะน่าทึ่งเสมอ... เธอตรงหน้านี้ก็เช่นกัน
   
วันสุขคิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจอยู่ บางครั้งความฝันกับความเป็นจริงก็สวนทางกันอย่างโหดร้ายน่าดูชม และเขาเองก็ไม่คิดว่าเด็กคนหนึ่งจะกล้าตัดสินใจอะไรแน่วแน่ได้แบบนี้
   
เรื่องที่บอกว่ารักครอบครัวนั้นคงจะจริง... นึกแล้วก็เห็นเป็นภาพของครอบครัวอุ่นๆ ...ทว่าพอจินตนาการภาพที่มีตัวเองอยู่ในนั้น เขากลับนึกไม่ออก
   
“แม่อยากให้แกมีความสุขค่ะ ช่วงนี้ก็ดีขึ้นมาหน่อย กลับมาทีไรก็เล่าเรื่องคุณให้แม่ฟังแทบจะตลอด”
   
วันสุดอดที่จะหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้ เรื่องของเขามันมีอะไรน่าเล่าขนาดนั้นเลยหรือไงนะ?
   
“คุณวันต่างจากที่แม่คิดไว้ด้วยแหละค่ะ”
   
“หืม? ต่างยังไงเหรอครับ?” ถามพลางไล้นิ้วกับกลีบดอกไม้เล็กๆ สัมผัสนุ่มเบาชวนให้ยกยิ้ม กระถางใบจิ๋วก็น่ารักดีเหมือนกัน สวนหลังบ้านเองก็โล่งจนแทบไม่มีอะไร หาของไปลงหน่อยก็ดี คิดแล้วก็เริ่มลิสต์ของที่จะเอาใส่ในโทรศัพท์
   
“ตอนแรกแม่นึกว่าคุณวันจะเหมือนพวกหนุ่มๆ ที่ชอบเที่ยวกลางคืนน่ะค่ะ ฟังจากน้องปรัชญ์แกเล่าแล้วเหมือนเป็นคนเสน่ห์ร้ายไม่เบาเลยเชียว” เธอหัวเราะขำทันทีที่เห็นเขาขมวดคิ้ว
   
ภาพของนายวันสุขในสายตาปรัชญ์นี่เป็นยังไงนะ เขาชักจะสงสัย แต่ก็ชินเสียแล้วที่โดนมองแบบนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเป็นนี่นะ...

“แล้วตัวจริงผมเป็นยังไงล่ะครับ?” ถามอย่างอยากรู้คำตอบ หางตาเองก็เหลือบไปเห็นใครบางคนซึ่งกำลังแบกกระบะใส่ต้นกล้าเดินตรงมาทางนี้
   
“ยังไงดีล่ะ... ดูแล้วก็เข้าหาจริงๆ นั่นแหละค่ะ แต่คุณวันให้ความรู้สึกว่าอยู่ใกล้แล้วสบายใจ ใครๆ ก็คงอยากจะเข้าใกล้ แม่คิดว่าถ้าจับคุณไปใส่ชุดกันเปื้อนน่าจะเข้ากันดีเลยเชียว” เธอพูดแล้วก็ส่งยิ้มขันมาให้ วันสุขยิ้มแหย โดนทักแบบนี้มากๆ เข้าก็ชักจะยังไงอยู่
   
“อารมณ์แบบแม่บ้านสินะครับ?”
   
“ใช่เลยค่ะ” น้ำเสียงตื่นเต้นนั่น... ไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับมันดี สุดท้ายก็ได้แค่หัวเราะตอบกลับไป ปรัชญ์เดินเข้ามาทักทาย มีท่าทีเขินอายเล็กน้อยเมื่อถูกเขาทักว่าไปทำอะไรมาถึงได้มอมแมมแบบนี้
   
“ผมไปขุดกล้ามาแยกใส่กระถาง... ดินก็เลยเลอะ เอ่อ...สภาพผมมันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่”
   
วันสุขยืนมองเด็กขี้อายและสูญเสียความมั่นใจง่ายนิ่งๆ ฝ่ายนั้นก้มหน้าหลบตา ข้างแก้มยังเปื้อนเศษดินอยู่เลย เห็นแล้วก็อดเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าไปเช็ดให้ไม่ได้ ปรัชญ์สะดุ้งเล็กน้อยแล้วก็ยิ่งอายหนัก คนเป็นแม่ซึ่งยืนมองมาแต่ต้นก็หัวเราะขำ
   
“ไม่เห็นเลอะ พี่ว่าดูลุยๆ ดีออก เวลาพี่ทำสวนนี่เลอะยิ่งกว่าปรัชญ์อีก” ทำสวนทีไรเขากลายเป็นนายวันสุขคลุกดินทุกที พลันภาพที่มองเห็นก็คล้ายเบลอมัวแปลกๆ ขาเซไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาตั้งตัวได้
   
วันสุขแอบหลบมาเงียบๆ ปล่อยให้แม่ลูกคุยกันไปตามประสา เขาแยกออกมาเดินเลือกของแล้วก็ลิสต์ลงกับรายการที่จะเอา ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง ตัดสินใจได้แล้วว่าจะแต่งสวนหลังบ้านตัวเองเสียใหม่ด้วย ซึ่งเรื่องนี้พอส่งข้อความไปหาคุณอาท่านก็ตอบรับอย่างดี
   
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” เสียงเบาๆ ดังขึ้นหลังจากเขาเลือกได้แล้วว่าจะเอารูปปั้นกระต่ายหรือแมวไปประดับสวนดี วันสุขเงยหน้าขึ้นมาจากชั้นวางของระเกะระกะแล้วก็ส่งยิ้มให้หนุ่มร้านต้นไม้
   
“พี่ว่าจะปรับสวนที่บ้านด้วย ส่วนของที่ร้านพี่คงอีกสักพัก พี่ต้องเอาพวกของกับราคาไปให้เพื่อนพี่ดูก่อน แต่ว่าที่ไปทำบ้านพี่ พี่ไม่รู้ว่าคุณแม่น้องปรัชญ์ท่านจะสะดวกไปไหม”
   
เสียงครืนดังสนั่น วันสุขวางโทรศัพท์ลงกับชั้นไม้พลางชะโงกหน้าออกไปมองฟ้าครึ้มด้านนอก ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนฝุ่นคลุ้ง เมฆดำทะมึน อีกไม่นานฝนคงเทสาดลงมา ทั้งที่เมื่อครู่ไม่มีเค้าเลยแท้ๆ
   
“ผม...ไปทำให้ได้นะครับ สวนของบ้านพี่วัน...” เจ้าตัวว่าด้วยสายตามีความหวังทำเอาเขาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ วันสุขยิ้มบาง ชักจะเข้าใจอยู่หน่อยๆ แล้วว่าทำไมคุณอาถึงให้เขาคอยดูแลคนตรงหน้านี่เป็นพิเศษนัก ก็นิสัยน่ารักแบบนี้จะไม่ให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้อย่างไร?
   
“เอาสิ... ตอนแรกว่าจะทำเอง แต่เวลาไม่ค่อยมีเท่าไหร่” ลมแรงพัดวูบ อดหนาวสะท้านขึ้นมาไม่ได้ วันสุขห่อไหล่เข้าหากัน เขาเกลียดบรรยากาศแบบนี้เสียจริง อาการปวดหัวเริ่มกำเริบขึ้นอีกครั้ง ดูท่าฤทธิ์ยาจะเอาไม่อยู่เสียแล้ว
   
“วันก่อนมีคนถ่ายรูปพี่กับซานส่งมาให้ผมด้วย” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา ก่อนจะเปิดเจ้ารูปที่ว่านั่นให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้โกหก วันสุขเลิกคิ้วแปลกใจ... แค่พาแมวไปส่งบ้านนี่ถึงขนาดมีคนให้ความสนใจขนาดนี้เชียวหรือ?
   
“เขารถเสียน่ะ พี่เลยหิ้วกลับไปด้วย ทางผ่านไปบ้านพี่พอดี” ว่าอย่างไม่ใส่ใจ แต่ดูเหมือนใครอีกคนจะคิดไปไกลเสียแล้ว
   
“พี่ดูสนิทกับเขา...มากๆ ” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา ดวงตาคู่นั้นฉาบประกายหงอยเหงาแปลกๆ วันสุขนิ่งไป... เขาไม่ชอบเดาใจใครเท่าไหร่ ถ้าอยากจะคุยมีอะไรก็พูดกันมาตรงๆ จะดีที่สุด
   
“ปรัชญ์ครับ... พี่ไม่ชอบคนอ้ำอึ้งนะ” เอ่ยเตือนเสียงเข้มก่อนจะต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใครอีกคนหน้าเสียไปเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน... ท่าทางจะเครียดน่าดู และพอเขาลอบสังเกตใบหน้าอีกฝ่าย ก็พบว่าหนุ่มร้านต้นไม้นี่มีไฝใต้ตาซ้ายกับเขาเสียด้วย
   
“อิจฉา...” พูดเสียงเบาคล้ายกับจะเป็นกระซิบ แก้มแต้มสีชมพูจางจนเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ
   
“ว่าอะไรนะครับ? พี่ไม่ได้ยิน” วันสุขแกล้งหยอก แต่มุมปากน่ะเผลอยกยิ้มร้ายไปแล้ว ตรงๆ แบบนี้แหละดี มัวแต่อ้ำอึ้งพรุ่งนี้ก็คงไม่รู้เรื่อง
   
“ผมอิจฉาครับ...” ปรัชญ์มองสบตาก่อนจะเป็นฝ่ายหลบก่อนเสียเอง  แก้มแดงแจ๋ ก่อนจะก้มหน้างุดๆ แบกกระบะต้นไม้จากไป
   
น่ารักเกินไปจริงๆ แฮะ... คิดแล้วก็ได้แค่ส่ายศีรษะ อดห่วงไม่ได้ว่าท่าทางแบบนั้นจะโดนใครเขาหลอกไปทำอะไรหรือเปล่า
   
“อ้าว ลูกชายแม่หายไปไหนแล้วคะ แค่หลบออกไปรับโทรศัพท์เดี๋ยวเดียวเอง” วันสุขยืนอยู่สักพักสตรีคนเดิมก็เดินเข้ามาถาม
   
“เห็นวิ่งไปทางเรือนกระจกน่ะครับ พอดีเลย... ยังไงก็ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับแล้วเดี๋ยวผมจะติดต่อมาใหม่ ตอนนี้มีโครงการว่าจะให้ช่วยไปทำสวนที่บ้านด้วย” วันสุขรีบเอ่ยลาเพราะฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะอยู่แถวนี้นานนัก ตัวชักจะรุมๆ ชอบกล คอก็เจ็บเล็กน้อย ถ้าหากไม่รีบกินยา อาการอาจจะทรุดกว่าเดิมก็ได้
   
“ขับรถตอนฝนตกแบบนี้จะดีเหรอคะ? เข้าไปพักที่ในบ้านก่อนก็ได้ค่ะ ท่าทางคุณวันเองก็ดูไม่ค่อยสบายด้วย” เธอถามอย่างเป็นห่วง ความจริงใจซึ่งถูกส่งมาให้จากคนที่ได้เจอกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ทำให้รู้สึกดีชอบกล
   
“ไม่ดีกว่าครับ ผมกลับไปนอนที่บ้านน่าจะดีกว่า ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นห่วงนะครับ” ว่าเสียงนุ่มแล้วก็วิ่งฝ่าฝนที่เริ่มตกหนักมายังรถทันที
   
พอทิ้งตัวลงกับเบาะได้ก็รู้สึกหมดแรงอย่างประหลาด ดวงตาเหม่อมองไปยังฟ้าครึ้ม เสียงฝนซาซ่าดังเข้ามาในรถ มือแตะอยู่ที่ปลายกุญแจ ชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี เพราะหยดน้ำด้านนอกเทกระหน่ำจนแทบมองไม่เห็นทาง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะสตาร์ทมัน



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร (15/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 15-07-2014 15:57:25

สุดท้ายก็ไปไม่ถึงจุดหมาย... ฝนตกแรงเกินไป แล้วเขาเองก็ไม่มีแรงเหลือพอจะไปลงสมาธิกับการขับ ถ้าเชื่อคำของผู้หญิงคนนั้นแต่แรกก็คงจะดี... ทว่าช่วงที่รู้สึกว่ากำลังอ่อนแรงแบบนี้กับสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย รังแต่จะทำให้รู้สึกไม่สบายเพิ่มขึ้นไปอีก
   
เปลี่ยนเส้นทางเอากลางคัน ก่อนจะตีรถเข้าไปจอดที่หลังร้านของตัวเอง พอดับเครื่องเสร็จก็นั่งนิ่งอยู่บนนั้นเป็นนาน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กระจกโดนเคาะเบาๆ
   
“คุณวันคะ? เป็นอะไรหรือเปล่า? ลงมาจากรถก่อนเถอะค่ะ สภาพคุณดูไม่ดีเลย” ผู้จัดการร้านส่งเสียงถามอย่างเป็นห่วงตอนที่เขาเปิดประตูรถออกไป วันสุขฝืนยิ้ม พยายามทรงตัวอยู่สักพัก โลกเหมือนเอียงเคว้งจนแทบจะเดินเองไม่ได้
   
“ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ?” เธอถามย้ำ แต่เขากลับส่ายหน้า พยายามฝืนเก็บอาการ พอเห็นสภาพวุ่นวายในครัวก็อดถามไม่ได้
   
“ที่ร้านมีปัญหาหรือเปล่า?”
   
“ก็มีค่ะ พอดีพ่อครัวลาป่วยไปคนหนึ่ง ครัวเลยวุ่นวายกันใหญ่ ยิ่งคนมากันเยอะๆ แบบนี้เลยทำกันไม่ทัน” เธอว่าอย่างอ่อนใจก่อนจะอุทานลั่นเมื่อเขายืนยันจุดประสงค์
   
“งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปช่วยสักพักจนหมดช่วงคนแน่นแล้วกัน” พับแขนเสื้อขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึก เลือดรักในหน้าที่มันพลุ่งพล่านจนเกือบลืมสังขารตัวเองไปเสียสนิท
   
“ไม่ได้ค่ะ คุณวันไม่สบายแบบนี้ เดี๋ยวจะยิ่งอาการหนักนะคะ” เธอออกปากห้ามทันควัน สีหน้าดูเป็นห่วงเขาจริงๆ
   
“สบายมากครับ เข้าไปช่วยเดี๋ยวเดียวเองคงมะ...”
   
ชั่ววินาทีที่กำลังเปิดประตูเข้าไปหลังครัว ขาก็หมดแรงเอาดื้อๆ ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดท่า เสียงโวยวายของพนักงานดังวุ่นไปหมด ศีรษะปวดตุบจนทรมาน รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน สูดหายใจลึก หูเริ่มอื้ออึง ใครสักคนแตะหลังมือกับซอกคอของเขาแล้วอุทานลั่น
   
“ตัวร้อนจี๋เลยค่ะ ไปนอนพักก่อนดีกว่า ห้ามหนีไปไหนนะคะ” แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าโดนแบกขึ้นมาจนถึงห้องพักหลังร้านได้อย่างไร หูแว่วเสียงวุ่นวายก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง
   
โชคดีที่เวย์ทำห้องนอนเล็กๆ ไว้ข้างห้องทำงาน เขาเองเคยค้านหลายครั้งเพราะมันสิ้นเปลืองเนื้อที่ร้านชอบกล แต่ตอนนี้คงต้องขอบคุณเพื่อนสนิทเสียแล้ว เพราะเขาได้ใช้ประโยชน์จริงๆ เสียที
   
“นี่ผมมาทำให้วุ่นวายหรือเปล่า?” อดรู้สึกผิดไม่ได้ ถ้าเขากลับไปที่บ้าน ร้านคงไม่วุ่นวายแบบนี้
   
“ทานยาแล้วก็พักนะคะ คุณวันไม่ได้มากวนหรอกค่ะ ดีเสียอีกที่เข้ามาแวะที่นี่ ถ้าเกิดอาการไปกำเริบเอาระหว่างทางก็เสี่ยงอุบัติเหตุน่าดู” ซองยากับแก้วน้ำถูกส่งมาให้ เธอนิ่งรอให้เขากินยาจนครบทุกเม็ด แล้วไปเอาผ้าเย็นๆ มาเช็ดตามแขนและซอกคอให้
   
วันสุขนั่งนิ่งปรือตา รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กเล็กๆ ให้คุณแม่ดูแลชอบกล ก็ได้แค่คิดไป เพราะแม่จริงๆ เคยดูแลเขาแบบนี้เสียเมื่อไหร่... คิดแล้วก็ซุกตัวลงกับผ้าห่มอุ่น ไม่นานก็เริ่มง่วงงุน...
   
เสียงปิดประตูดังแผ่ว ก่อนที่ห้องจะตกอยู่ในความเงียบ เสียงของฝนดังชัดเจน และเขาเกลียดมันเหลือเกิน... สายฝนมันทำให้ฟุ้งซ่าน นำพาแต่เรื่องราวร้ายๆ ให้ฟุ้งขึ้นมาในสมอง และสุดท้ายก็ทนความเงียบไม่ได้ ตบมือไปตามขากางเกง ก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดเพลงคลอเบาๆ
   
หนาวแต่ก็อึดอัด วันสุขยกมืออ่อนแรงขึ้นปลดกระดุมเสื้อออกอย่างเคยชิน คลายเข็มขัด ปลดตะขอกางเกงแล้วดึงชายเสื้อออกมา รุ่มร่ามเสียเต็มที่ ก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้ใครเข้ามาเห็นเขาในสภาพนี้ก็แล้วกัน อยากจะเดินไปล็อกประตูอยู่หรอกนะ แต่มันไม่มีแรงเอาเสียเลย...
   
เสียงเปียโนเบาๆ จากลำโพงดังกล่อมขับไล่เรื่องราวร้ายๆ ...ภาพท้องฟ้ายามคำคืนค่อยๆ ถูกวาดลงบนความฝัน ดาวสีทองแต้มเบาบาง ตามมาด้วยวงกลมสีเงินอันใหญ่ มุมปากยกยิ้ม...ก่อนจะจมลงสู่ความฝันอย่างรวดเร็ว


   

สัมผัสเย็นๆ แตะผ่านที่ลำคอ ลากแผ่วจนไปหยุดอยู่ที่กลางอก... ความฝันเลือนรางจางหายไปยามที่ถูกปลุกจากสิ่งรบกวน อดขมวดคิ้วหน่อยๆ ไม่ได้ พลิกตัวหนีเจ้าสิ่งนั้น ก่อนจะสัมผัสได้ว่าเตียงที่นอนอยู่ยุบยวบลงไป ใครบางคนโน้มกายลงมา...ก่อนที่ข้างลำคอจะถูกบางอย่างกดลงมาเต็มแรง
   
“ทำอะไร...” ถามเสียงแหบ ดวงตาปรือขึ้นอย่างยากเย็น เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นอยู่ข้างหู ภาพตรงหน้ามัวเบลอ เมื่อคนร้ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนสายตาของเขาหาจุดโฟกัสไม่ได้ แก้มถูกดึงเบาๆ ด้วยมือซน หมดแรงจะขัดขืน ได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่แบบนี้
   
“เปล่าทำอะไร” ใครคนนั้นตอบเสียงซื่อแล้วหยัดกายออกไป
   
วันสุขปรือตา หัวเราะเสียงต่ำ เอื้อมมือไปเกี่ยวคอเสื้อคนเผลอ แล้วกระชากลงมาเต็มแรง... หูแว่วยินเสียงอุทาน แต่เขาก็ไม่คิดจะสนนัก ใครสั่งให้มากวนตอนเขาหลับ? ไม่รู้หรือไงว่านายวันสุขยามงัวเงียนั้นการสั่งการของสมองจะผิดแปลกไปจากยามปกติมากโข...
   
เบาะเตียงกระเด้งกระดอนเนื่องจากน้ำหนักที่ตกลงมานั่นหาใช่น้อยๆ เขาพลิกตัวขึ้นตะปบไหล่ผู้ต้องหาพลางกดลงกับเตียง เข่ายันไว้บริเวณลิ้นปี่อีกฝ่ายซึ่งนิ่งไปเพราะคงจุกไม่น้อย
   
“น้องซานเองหรอกเหรอ? พี่ก็ว่าใคร” งึมงำขึ้นมาเมื่อมองเห็นหน้ากันชัดๆ หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วก็หาวหวอดอีกรอบ
   
“เสียงหัวเราะพี่โคตรชั่วร้ายเลย...แล้วจะนั่งคร่อมผมอีกนานไหมครับเนี่ย” แมวเหมียวร้องเสียงเล็กเสียงน้อย แต่ดวงตากลับพราวระยับอย่างน่าหมั่นไส้ ความต้องการเบาบางฉาบผ่านอยู่บนใบหน้านั่น วันสุขหรี่ตามองคนข้างล่างแล้วก็นั่งอยู่แบบนั้นเฉยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกไป
   
“ไม่ลุกจริงอ่ะ? นี่ผมเห็นหมดแล้วนะเนี่ย” พออีกฝ่ายพูดเขาถึงได้นึกถึงสภาพตัวเองขึ้นมา เชิ้ตสีเข้มตกไหล่ไปข้างหนึ่งแล้ว ตะขอกางเกงซึ่งถูกปลดออกก่อนนอนพานให้ซิปมันร่วงลงไปจนเห็นชั้นในสีดำ
   
“ยังไม่หมดเสียหน่อย... ยังเหลือ... ” ว่าเย้าอย่างนึกสนุกแล้วก็มองไปลงไปที่ขอบสีดำใต้สะดือตัวเอง ยกยิ้มร้ายให้แมวตัวใหญ่ ฝ่ายนั้นก็คลี่ยิ้มใสตอบกลับมา
   
“นั่นสินะ...ยังเหลือ...” ว่าจบ ตาพราวนั่นก็เริ่มมองไล่ตั้งแต่หน้าเขาจนไปจบที่แอ่งสะดือ
   
“อยากดูหรือไง? อยากดูก็ลงมือเองนะครับ พี่จะอยู่เฉยๆ ” แบมือออกข้างตัว ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ เอียงคอตามประสา พลันเสียงหัวเราะเย็นๆ จากซานก็ดังขึ้นมา แล้วก็เป็นเขาที่เกือบตะปบกางเกงตัวเองเอาไว้แทบไม่ทัน
   
“ไหนพี่บอกว่าจะอยู่เฉยๆ ไง”
   
คนเด็กกว่าทำท่าเสียอกเสียใจ วันสุขแยกเขี้ยวใส่ เขาก็แค่ล้อเล่นไปตามประสา ใครจะคิดว่าจะเอาจริงกันล่ะ อีแบบนี้จากที่ง่วงๆ เบลอๆ เป็นต้องตื่นเต็มตากันล่ะ...
   
“หือ...” วันสุขหรี่ตามองคนที่นอนนิ่งอยู่เบื้องล่าง ก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่? คนไม่สนิทกันเขาจะมาทำกันแบบนี้หรือเปล่านะ? แต่ก็นั่นแหละ...ซานน่ะให้ความรู้สึกพิเศษนี่นะ อีกอย่างเด็กนี่ก็ชอบตีเนียนเข้าหาเขาบ่อยๆ
   
ถ้าอย่างนั้น...ก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันแล้ว
   
“โอ๊ย! กัดคอผมทำไมเนี่ย” ซานสะดุ้งโหยงยามที่เขาโน้มกายลงไปกัดคออีกฝ่ายเต็มแรง ไอ้รสชาติแบบนี้นี่นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัส... กลิ่นของเนื้อผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ แบบนี้...
   
“เจ๊ากันกับเมื่อกี้ เอาล่ะ...พี่จะนอนละ อย่ากวนเชียว” ตีมือแปะๆ ลงบนหน้าผากอีกฝ่าย กระโดดลงมานอนข้างๆ แล้วก็ตลบผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง
   
คนที่ถูกทิ้งกันกลางคันก็โวยวายลั่น วันสุขยิ้มขัน นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าซานเข้ามาในนี้ได้อย่างไร? อาจเป็นเพราะผู้จัดการเห็นว่าเป็นคนรู้จักเขาล่ะมั้งเลยปล่อยให้เข้ามาถึงส่วนนี้ได้...
   
“อย่าเพิ่งสิ นี่ผมอุตส่าห์มาเยี่ยมคนป่วยเชียวนะ ตื่นขึ้นมาคุยกันก่อน”
   
มันมีที่ไหน...ปลุกคนป่วยให้ขึ้นมาคุยกันแบบนี้? พอโดนกวนมากๆ เข้าก็เลยมุดหน้าหลบเข้าไปใต้หมอนเสียเลย แต่สุดท้ายก็ทนลูกตื้อไม่ไหว ยอมโผล่หน้ามาคุยกับตัวก่อกวนอย่างช่วยไม่ได้
   
“กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง?” เอ่ยอย่างฉงนเมื่อกลิ่นฉุนกึกลอยเข้ามาแตะจมูก “นี่เราเที่ยวนอนกับใครเขาไปทั่วตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลยเหรอเนี่ย?” แล้วก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ แต่ตัวการก็ยังไม่ตอบคำถาม ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำซุกเข้ามาที่หน้าท้องเขา โชคดีที่มีผ้าห่มหนาๆ กั้นไว้ ไม่อย่างนั้นสภาพคงออกมาแปลกพิลึก
   
“ความคิดอกุศล ที่นอนน่ะ...พี่นี่แหละคนแรกของวัน” เอวถูกกอดแน่น คนอ้อนก็ยังแกล้งอ้อนต่อไป ทำหน้าทำตาเหมือนแมวขอให้เจ้าของลูบหัว มีการส่งเสียงเหมียวๆ ล้อเลียนเขาอีกแน่ะ
   
“เอ้า แล้วเราไปเอากลิ่นนี่มาจากไหนล่ะครับ?” ถ้าไม่ได้ไปนัวเนียกับใครมากลิ่นมันก็คงไม่ฝังขนาดนี้
   
เขารู้อยู่หรอก... เมื่อก่อนก็ทำออกบ่อยไอ้เรื่องเทือกนี้น่ะ คิดกี่ทีแล้วก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ เพราะเรื่องนั้นแท้ๆ เชียว คนอย่างเขาถึงได้เตลิดไปไกล โชคดีที่ยังกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ถ้าไม่มีคุณอาคอยช่วยเตือนสติก็ไม่รู้ว่ายังจะเดินมาได้ไกลถึงขนาดนี้หรือเปล่า
   
“ก็เมื่อกี้ผมไปเข้าห้องน้ำมา เขาก็ตามมานัวเนีย โอ๊ย!”
   
วันสุขหยิกแก้มอีกฝ่ายแรงๆ เป็นการลงโทษไปทีหนึ่ง เขาไม่ชอบให้ใครมาทำเรี่ยราดที่ร้านตัวเองเท่าไหร่ ดีที่ยังเป็นคนรู้จักกัน เพราะถ้าเป็นคนอื่นเขาจะไล่ตะเพิดแบบไม่กลัวเสียลูกค้ากันล่ะ
   
“ร้านพี่ไม่ใช่โรงแรม” ว่าด้วยเสียงหงุดหงิด มองคนที่ลูบแก้มตัวเองป้อยๆ อย่างดุๆ คนผิดก็ดูท่าจะรู้ตัวดีถึงได้ยิ้มประจบกันเสียขนาดนั้น ทว่าลึกๆ แล้วเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาหงุดหงิดอะไร อาจจะหลายๆ อย่าง เรื่องมันเยอะจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนกันแน่ที่ทำให้หงุดหงิด...
   
“ยังไมถึงขนาดนั้นเสียหน่อย ผมเลยรีบหนีมาหาพี่ก่อนไง” พูดจบเสียงของผู้หญิงสักคนก็ดังแว่วมาแต่ไกล “แต่ผมอยากรู้นะ ถ้าเป็นพี่...พี่ชอบโรงแรมหรือว่าที่ร้าน? โอ๊ย!”
   
วันสุขแทงเข่าใส่ท้องจนอีกคนตัวงอ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเล็งต่ำไปหน่อยถึงได้ทำท่าเจ็บปวดขนาดนั้น เห็นแล้วก็ยิ้มขำ เอื้อมมือไปลูบหัวลูบหลังปลอบขวัญกันยกใหญ่ คงเพราะไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวคนอื่นนานแล้ว เลยลืมออมแรงไปเสียสนิท
   
“ถ้าผม... เป็นอะไรไปพี่ต้องรับผิดชอบ ถ้าลูกผมตายนะ... พี่ต้องชุบชีวิตด้วย”
   
อยากทุบอีกสักที แต่เห็นสภาพแล้วก็สงสารเลยทำอะไรไม่ลง ปากแบบนี้นี่รอดมาได้ยังไงนะ? เขายังนึกสงสัย ไอ้นิสัยเทือกนี้นี่มันก็ดูซนๆ ดีอยู่หรอก แต่ถ้าเอาไปพูดกับผู้ใหญ่ที่เคร่งๆ หน่อย เขาเองก็อดห่วงไม่ได้
   
“ดีที่พี่ไม่ถือนะครับ ถ้าไปพูดแบบนี้กับคนอื่น ระวังโดนเขาดุเอานะ” เอ่ยตักเตือนไปตามประสา อดที่จะยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มนั่นไม่ได้ นุ่มเหมือนขนแมวจริงๆ แฮะ...
   
“ผมรู้หรอกว่าใครเล่นได้ ใครเล่นไม่ได้”
   
เด็กตรงหน้าส่งยิ้มแฉ่งมาให้จนเห็นลักยิ้มกับเขี้ยวสวยๆ วันสุขถอนหายใจเฮือก นอนนิ่งกันไปสักพักก่อนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
   
“วันก่อนมีคนมาพูดกับพี่เรื่องของเราน่ะ เห็นว่าเที่ยวดึกจนไม่ยอมมาเข้าเรียนหรือไง?” ไม่ได้บอกชื่อไปว่าใครมาเล่า เขาไม่อยากเสี่ยงกับปัญหาเท่าไหร่นัก ซานขมวดคิ้วใส่ ดูจะไม่ค่อยชอบที่เขาพูดเข้าหัวข้อนี้
   
“ผมจะเที่ยวยังไงก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่” ว่าเสียงเบา ท่าทางหัวดื้อแบบนี้นี่แหละที่ทำให้หนักใจ
   
“เวลากินเหล้าแล้วตื่นมาปวดหัวบ้างหรือเปล่า?” ถามเสียงดุ
   
“ก็ปวด... ตอนที่กินมากๆ ” อีกคนก็ตอบเสียงเบา
   
“ผู้หญิงที่เราไปนอนกับเขาด้วย ไม่มีใครเลยหรือไงที่ยังตามมาราวี?”
   
“ก็มี... บางคนไล่ยังไงก็ไม่ไป” คราวนี้เบากว่าเดิม ดูท่าซานจะเดาเลาๆ ได้แล้วว่าเขาถามไปทำไม
   
“แล้วไหนบอกว่าไม่เป็นอะไรยังไงล่ะครับ” พอเขาพูดแบบนี้ออกไป ซานก็ขมวดคิ้วใส่ไม่ยอมตอบ “พี่ไม่ห้ามหรอกนะ แต่ทำอะไรก็ให้มันพอดี เอาแต่เที่ยวปล่อยตัวไปเรื่อยมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ หรือถ้ามีปัญหาอะไรจะมาเล่าให้พี่ฟังก็ได้”
   
เขาเชื่อเสมอว่าคนที่ก้าวเข้ามาในโลกกลางคืนไม่ได้มีแค่พวกรักสนุกชอบแสงสีอย่างเดียวเท่านั้น เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น การทำให้ตัวเองเตลิดไปไกลมันก็ช่วยลืมเรื่องราวแย่ๆ ได้ แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ตามที
   
“พูดจริงหรือเปล่า?” คนเด็กกว่าถามเสียงใส ท่าทางเหมือนแมวงอนดูจะหายไปในพริบตา
   
“ถ้าเราอยากจะเล่า พี่ก็จะรับฟัง” เขาพูดขึ้น ขณะที่เสียงเรียกชื่อของซานดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้าตัวยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเกาะแกะเขาแม้แต่น้อย
   
“งั้นแลกกัน ถ้าพี่มีเรื่องไม่สบายใจก็ต้องเอามาเล่าให้ผมฟังบ้าง”
   
“ท่าทางพี่เหมือนคนมีอะไรในใจขนาดนั้นเลย?” วันสุขเลิกคิ้วใส่อย่างฉงน
   
“ตอนแรกดูเหมือนไม่มีหรอก แต่พอผมเห็นพี่เงยหน้ามองฟ้าเมื่อวันนั้น...ก็เลยรู้” อดยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือก
   
“ก็ได้ครับ แลกก็แลก” พูดจบเสียงบิดกลอนประตูก็ดังขึ้น คนที่เปิดเข้ามากรี๊ดลั่นเมื่อเห็นสภาพของพวกเขา วันสุขหัวเราะเบาๆ ซุกหน้าลงกับม้วนผ้าห่ม พลางกล่าวทักทายสาวสวยอย่างอารมณ์ดี
   
“สวัสดีครับ... น้องเยลลี่ คราวหน้าเคาะประตูหน่อยก็ดีนะ และคนนอกขึ้นมาที่ชั้นสองไม่ได้นะครับ”
   
เธอนิ่งงันไปคล้ายตกตะลึงบางอย่าง ก่อนจะกำมือแน่น ร่างเพรียวพุ่งเข้ามากระชากแขนซานให้ออกห่างจากเขา วันสุขเห็นแบบนั้นแล้วก็อดเท้าคางมองไม่ได้ เมื่อแมวตัวใหญ่ก็ยอมโดนให้กระชากแบบไม่โวยวายอะไร ...อย่างกับละครหลังข่าว
   
“บายครับพี่วัน” ยังหันมายิ้มโบกมือให้เขาอีก
   
“บายครับ ไปคุยกันเอาเองนะ อ้อ... แล้วพี่ก็ชอบในสวนมากกว่าในร้านนะ ดาวสวยดี” ว่าเสียงนุ่มก่อนจะซุกหน้าเข้าใต้หมอน ถอนหายใจยาว หลับตา ใช้หูฟังเพียงเสียงประตูที่ปิดลงดังปัง...
   
เสียงฝีเท้าดังแว่วออกไปไกลทิ้งไว้เพียงแต่ไออุ่นบางๆ บนเนื้อเตียง... หากปล่อยเอาไว้สักพักมันก็คงจะค่อยๆ หายไป สุดท้ายเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที พื้นที่ข้างๆ ก็คงจะเย็นเฉียบเหมือนกับว่าไม่เคยมีใครเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน...
   
เสียงข้อความเข้าดังเบาๆ ก่อนที่เขาจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่าน น่าแปลกที่คนส่งมาหาได้ใช่ขาประจำอย่างเช่นทุกวัน...
   
‘คุณแม่บอกว่าพี่ไม่สบาย รักษาสุขภาพด้วยนะครับ’
   
อดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ก็เพราะนิสัยแบบนี้ยังไงล่ะเขาถึงได้พยายามไม่คิดอะไรไปไกล ได้แค่วางเด็กคนนั้นเอาไว้ในที่ที่สมควรอยู่เสมอมา ทว่าเจ้าตัวก็ดูดื้อดึง พยายามแต่จะวิ่งเข้าหา...ต่างจากใครอีกคน รายนั้นเขาปล่อยให้เข้ามาใกล้ได้ง่ายๆ แต่ก็ชอบวิ่งหนีไปยามที่ตัวเองได้เข้ามาเล่นจนพอใจ
   
ก็แมวนี่นะ... ซุกซน ขี้เบื่อ เอาแต่ใจ... ก็สมเป็นแมวดี
   
พลันความคิดต้องหยุดลงอีกครั้งเมื่อเสียงเตือนดังขึ้น คราวนี้เป็นต้องเลิกคิ้วเมื่อมันถูกส่งมาจากใครอีกคนที่เพิ่งกลับออกไปเมื่อครู่
   
‘สัญญาแรกของเรา สัญญาแล้วห้ามคืนคำนะครับ’
   
วันสุขแย้มยิ้มเบาบาง วางโทรศัพท์ลงข้างเตียง หมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อเห็นคำคำนั้น...
   
‘เรา’ เหรอ? ไม่ได้ใช้มันมานานแค่ไหนแล้วนะ? คำที่ให้ความรู้สึกว่าตัวเองพิเศษยิ่งกว่าใครๆ คำที่เมื่อได้ฟังกี่ครั้งก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ดีใจจนหัวใจมันพองฟู คำที่ผูกคนสองคนเอาไว้ด้วยกัน...
   
นานแค่ไหนแล้ว?
   
นานแสนนาน...ในภาพของความทรงจำ...ที่ได้ใช้คำคำนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
   
เสียงของสายฝนยังแจ่มชัด ไออุ่นของน้ำตายังรู้สึกได้ และหัวใจร้าวราวที่ยังเจ็บปวดอยู่ทุกวินาที


To be continued...


น้องปรัชญ์ดาเมจ...  :katai5:

ตอนหน้าตัวแปรของพี่วันก็จะออกครบแล้ว พ้นหัวโค้งไปก็จะเริ่มเหยียบคันเร่งกันละ
ยังยืนยันเช่นเดิมว่า มาม่าเรื่องนี้ใสจ๋องแจ๋งเป็นน้ำล้างจาน เพราะเป็นแค่ส่วนผลักดันที่ปั้นพี่วันให้เป็นพี่วันเท่านั้นเอง
อนึ่งเรื่องนี้จะมีตอนเสริมด้วยเป็นเลข .5 เป็นตอนย่อยสั้นๆ ซึ่งออกมาจากตอนหลักอีกที

 :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร (15/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 15-07-2014 17:40:01
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร (15/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 15-07-2014 20:15:28
หูยยยยยยยยยย เข้ามาอ่านก็ติดหนึบหนับเลย

เราชอบบรรยากาศที่คนแต่งบรรยายมาก มันเหมือนภาพมุมกว้างไม่ได้โฟกัสเน้น
แต่ถ้าสังเกตุจะเห็นว่ามีบอกใบ้นิสัยของแต่ละคนเป็นระยะ ต้องไล่เก็บแต่ละจุดเอามาประกอบเป็นตัวละคร
ผ่านไปฉากนึงจะเห็นเพิ่มอีกนิดนึง
ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากรู้ว่า ถ้าประกอบครบจะได้เห็นอะไรบ้าง

รอชิ้นส่วนต่อไปของ วัน ปรัชญ์ ซานนะคะ

ปล.คุณอาสำหรับเราแล้วมาแรงแซงทางโค้งมาก กริ๊ดทุกฉากที่ออกเลย
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร (15/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 15-07-2014 22:43:22
เยลลี่ชอบใคร ซานหรอ ทำไมความรู้สึกเราเหมือนเยลลี่ชอบพี่วันเลย 555555
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร (15/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-07-2014 22:33:40
ติดตามนะจ๊ะ  ลุ้นอยู่นะ  แต่เราเชียร์น้องซานจ้า
ชอบแมว  น่ารักดี
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5 - ภาพใบใหม่ เรื่องราวเก่าๆ (17/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 17-07-2014 20:29:26
บทที่ 5 - ภาพใบใหม่ เรื่องราวเก่าๆ


ห้องมืดสีดำ...
   
แขนแสบแปลบ...
   
เสียงหัวเราะจากอีกฟากประตู...
   
ไม่รู้ว่าอีกกี่ครั้งที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายในคืนหนึ่ง
   
“คุณแม่ครับ น้องวันสอบได้ที่สามของระดับชั้นแหละ” เสียงใสๆ เจื้อยแจ้ว กระเป๋านักเรียนถูกถอดโยนไว้ที่ข้างประตู วิ่งตึงตังเข้ามาในบ้าน ฉีกยิ้มให้กับสาวสวยคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่โถงกลางห้อง กระดาษแข็งประทับตรารางวัลสำหรับเด็กเรียนดีถูกยื่นไปให้ เธอรับไปถือไว้ กวาดตามองเพียงชั่วแวบแล้วขมวดคิ้ว
   
“ทำไม่ถึงสอบไม่ได้เต็มคะ?” เสียงหวานถามเรียบเรื่อย ยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กชายค่อยๆ เบาบางลง ดวงตาสวยคมคู่นั้นปราดมองมาที่เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
   
“ทำไมน้องวันสอบไม่ได้เต็มคะ? ข้อสอบง่ายๆ แบบนี้”
   
“แต่น้องวันได้ที่สาม... คนทั้งสายชั้นมีตั้งสี่สิบกว่าคน...” ว่าเสียงอ่อย มือกำแน่นเข้าหากัน
   
“แล้วยังไงคะ? แต่น้องวันก็ยังไม่ได้เต็มเหมือนเดิม ทำไมหนูถึงโง่แบบนี้ ลูกโง่ๆ แบบนี้นี่ใช่ลูกคุณแม่แน่หรือเปล่าคะ?” วาจาเชือดเชือนนั้น เขาเพียงได้แต่ยิ้มรับ โดนว่าจนชินชา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
   
“คุณก็อย่าไปดุมันมากนักเลย ปล่อยๆ ไปเถอะ” พลันเสียงทุ้มจากใครอีกคนก็ดังขึ้นไม่ไกล ศีรษะของเขาถูกลูบเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้เป็นพ่อส่งยิ้มอ่อนมาให้ ทว่าในดวงตาคมคู่นั้นกลับดูเฉยชาเสียเหลือเกิน
   
“คราวหน้าน้องวันจะพยายาม” เขาว่าเสียงอ่อย หลายครั้งที่อ่านหนังสือจนตาลาย แต่คะแนนที่ทำได้ก็ยังแพ้อยู่ดี ต้องพยายาม พยายามมากขึ้นไปอีก พยายามจนกว่าจะได้เต็ม...
   
“ไม่ต้องพยายามหรอก ยังไงก็ไม่ได้เต็มอยู่แล้ว” คุณพ่อว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ถ้อยคำร้ายกาจนั้นทำเอาเขานิ่งค้าง
   
อดทนไว้...
   
เขาท่องอยู่ในใจ คุณครูบอกว่าเด็กทุกคนต้องรักคุณพ่อกับคุณแม่ ตามตำราก็บอกว่าพ่อแม่ทุกคนก็จะรักลูกตัวเอง...
   
พูดย้ำๆ ท่องซ้ำๆ
   
“แล้วนั่นคุณจะออกไปไหนคะ?” หญิงสาวร้องถาม โยนกระดาษประกาศผลสอบไปอีกทางจนเขาวิ่งตามไปเก็บแทบไม่ทัน เค้าของบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอีกแล้ว เห็นแบบนั้นก็ค่อยๆ เลี่ยงออกมา อยู่นานคงไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดช้าเกินไป...
   
“ไปหานังนั่นอีกแล้วเหรอ!? ลูกคุณก็อยู่ตรงนี้ คุณจะยังไปหาเพิ่มอีกเหรอคะ!?” สิ้นเสียงหวีดแหลม แขนของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรง ร่างลอยหวือมาประจันกับผู้เป็นพ่อ เล็บยาวสีสวยนั่นจิกครูดเข้าไปในเนื้อ เขาเบ้หน้า กลั้นน้ำตาเอาไว้ อยากจะร้อง แต่ถ้าร้องไห้จะยิ่งโดนหนักกว่าเดิม...
   
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเด็กนั่น? คุณพาใครต่อใครมาเรี่ยราดในบ้านทำไมผมจะไม่รู้ คิดว่ามีมันไว้แล้วจะไปทำอะไรได้ฮะ!?” เสียงทุ้มนุ่มละมุนกลายเป็นตะคอกรุนแรง
   
เขากัดฟัน ปิดตาแน่นเตรียมรอรับความเจ็บ... เสียงฟาดเปรี้ยงของอะไรสักอย่างดังลั่น แขนแสบยิ่งกว่าเดิม กลิ่นเลือดคุ้นเคยลอยคลุ้งจนต้องเบ้หน้า...เลือดของเขาเอง
   
“ถ้ามันหายไปสักคนคุณก็คงจะเลิกเกาะแกะผมสักทีใช่ไหม? งั้นก็ดีเลย!” หญิงสาวกรีดร้องลั่น ร่างของเขาถูกเหวี่ยงไปด้านหลังจนล้มไปกับพื้น
   
มือเล็กๆ ตะกุยตะกายพยายามลุกขึ้นมา หัวเข่าแสบไปหมด กัดฟันแน่นฟืนความเจ็บ อยากจะตัวใหญ่กว่านี้... อยากจะเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ ถ้าตัวโตแบบคุณอาก็คงไม่มีใครมาทำอะไรได้...
   
“ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา พ่อคุณไม่เอาคุณไว้แน่!” เธอตะคอก ในน้ำเสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความชิงชัง
   
เมื่อเขาได้ยินเสียงโทนนั้นก็ไม่ต้องคิดให้มากความอีกแล้ว... ขามันสั่งให้วิ่งเร็วจี๋ขึ้นไปบนห้องตัวเอง ผู้ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาจะคว้าเขาไว้ แต่หญิงสาวเข้ามาขวางทัน เสียงโครมครามดังตามมา และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
   
ถลาเข้าไปในห้องตัวเอง ปิดประตูดังปึง ลงกลอนอย่างแน่นหนาด้วยมือสั่นเทา อาศัยเพียงแสงเบาบางซึ่งลอดมาจากผ้าม่านหนาเพื่อมองนาฬิกาว่าอีกกี่นาทีคุณอาจะกลับ
   
เสียงปึงดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาสะดุ้งเฮือก ประตูห้องถูกทุบอย่างรุนแรงจนกลอนแทบจะกระเด้งหลุดออกมา
   
“ออกมาเดี๋ยวนี้วัน!!”
   
ท่าทีของพ่อเปลี่ยนไปแทบจะกลายเป็นหลังมือ ความเกรี้ยวกราดนั่นทำเอาเขาหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด หันซ้ายหันขวาหาตัวช่วย รีบกระโดดแผล็วเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ลงกลอนอีกชั้นที่คุณอาอุตส่าห์ทำให้เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงปึงปังดังสนั่น
   
“พี่ทำบ้าอะไรอยู่!”
   
หัวใจน้อยๆ คล้ายกับจะอุ่นวาบขึ้นมาแทบจะในทันที เสียงคุ้นเคยนั่นทำเอาเขาโล่งอก... ฮีโร่ตลอดกาลของน้องวันมาช่วยแล้ว... นึกได้ก็เปิดประตูตู้พรวดออกไป ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพของคนสองคน
   
“ถ้ายังเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง พี่ก็ช่วยหยุดทำเรื่องบ้าๆ นี่ได้สักที!” ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของบ่ากว้างยืนหันหลังให้กับเขา เสียงทุ้มห้าวเข้มกังวานก้อง
   
“แต่นั่นมันลูกกู กูจะทำอะไรกับมันก็ได้!”
   
“ทำได้พี่ก็ลองดู เขาเองก็หลานผมเหมือนกัน! ถ้ายังรักเขาอยู่ พี่ก็สงบสติอารมณ์ได้แล้ว!!”
   
จำไม่ได้แล้วว่าบทโต้เถียงนั่นไปจบลงที่ตรงไหน แต่พ่อก็ยอมล่าถอย แม้ดวงตาคุกกรุ่นคู่นั้นจะยังเพ่งมองมายังเขาก็ตาม... ฮีโร่ของน้องวันถอนหายใจเฮือก ร่างสูงใหญ่หันมาประจันหน้า รอยแดงเข้มปาดป้ายบนเชิ้ตขาวทำเอาเขาปล่อยโฮลั่น
   
คุณอาเจ็บตัวเพราะเขาหลายครั้ง พ่อเองก็ไม่เคยยั้งมือ ถึงจะเคยโดนบอกบ่อยๆ ว่าผู้ชายคนนั้นมีปัญหาบางอย่างซึ่งต้องไปพบแพทย์ประจำ แต่เขาในวัยเด็กนั้นไม่เคยจะเข้าใจ คุณแม่ก็อีกคน...เธอไม่เคยทำร้ายคุณอาก็จริง แต่มักจะมาลงมือลงไม้กับเขาแทน ทั้งที่เมื่อก่อนเธอดีเหลือแสน ทว่านับวันกลับร้ายขึ้นจนเขากลัว...
   
“ไม่เอาครับไม่เอา น้องวันของคุณอาไม่ร้องนะครับ” กอดอุ่นๆ ปลอบประโลมอย่างเช่นทุกที เขากอดคุณอาแน่น ร้องไห้ไม่หยุด ความรู้สึกบางอย่างมันพลุ่งพล่านอยู่ข้างใน สิ่งที่เคยท่องซ้ำๆ ย้ำในหัวดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว
   
“ตาย...”
   
“น้องวันครับ?”
   
“ทำไมพ่อไม่ตายไปซะ! น้องวันเกลียดที่สุด! เกลียดที่สุด เกลียดเขาที่สุด!!”
   
คำพูดนั่นยังดังกังวานอยู่ในใจของเขาจวบจนถึงทุกวันนี้...


   

ความฝัน...จบลงที่ตรงไหน เขาเองก็ไม่รู้ตัว ฝันซ้ำๆ หลายครั้งเข้าก็ทำเอานอนไม่หลับ ยาหน้าตาเดิมๆ ถูกพึ่งพาอีกครั้ง หลายคืนเข้าก็ทำเอาชักกลัวว่าจะมีปัญหา ถ้อยคำร้ายกาจในวัยเด็กถูกรื้อฟื้นขึ้นมาเล่นงานจิตใจจนชักจะอ่อนแรง
   
“เฮ้อ...”
   
“เป็นอะไร? ถอนหายใจมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” คุณอาร้องถามเมื่อเห็นสภาพของเขา วันสุขยิ้มบาง เอียงคอไปมา ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
   
“กำลังคิดถึงเรื่องสมัยเด็กน่ะครับ” ว่าเสียงเบาพลางตัดไข่เจียวปูไปวางไว้บนจานของคนฝั่งตรงข้าม ในขณะที่เจ้าของจานเขม่นตามองเขาแทบจะในทันที
   
“อย่าบอกว่าฝันอีกแล้ว? ปล่อยใจให้ว่างไว้บ้าง ฟุ้งซ่านมากๆ เข้า ระวังอาการมันจะกลับไปแย่เหมือนเดิม” ท่านเตือนด้วยความหวังดีทำเอาเขาถอนหายใจอีกรอบ อยากจะสารภาพอยู่หรอกนะว่าพักหลังมานี่เริ่มกลับไปพึ่งยานอนหลับบ่อยๆ แต่ถ้าบอกไปคงได้เป็นเรื่องแน่
   
“เวย์มันก็ชอบโทรมาย้ำกับผมเหมือนกัน” เจ้าเพื่อนตัวดีนี่ก็จับความรู้สึกเขาได้ไวเหมือนทุกที พักหลังก็ชอบโทรศัพท์มาหา หลอกล่อเขาให้เข้าไปหามันที่โรงพยาบาลบ่อยๆ สงสัยแผนกจะร้างคนเลยอยากได้ลูกค้าไปปั่นรายได้
   
“อาว่า...เข้าไปหาหน่อยก็ดี ดูเรามีเรื่องกังวลใจหลายอย่างนะตอนนี้” สมกับเป็นคนเลี้ยงเขามา มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขามีปัญหาอะไร วันสุขคิดว่าคุณอาก็น่าจะรู้ แค่ท่านไม่พูดออกมาโต้งๆ แต่รอให้เขาบอกเองจากปากก็เท่านั้น
   
“ก็ครับ เยอะเลยเชียว” แถมมีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้นเสียด้วย...
   
“เรื่องหัวใจงั้นสิ?” ท่านถามพลางทำเสียงล้อเลียนเขา “ก็อย่าไปคิดมากนักเลย ปกติวันสุขของอาก็ไม่เคยคิดอะไรอยู่แล้วนี่” ต่อจนจบประโยคก็ทำเอาเขาสำลักน้ำจนไอค่อกแค่ก ไม่รู้ว่าถูกด่าทางอ้อมหรือเปล่า แต่พอมาโดนพูดตรงๆ แบบนี้ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
   
“คุณอาพูดเหมือนผมไม่เคยคิดอะไรเลยอย่างนั้นแหละ” พูดพลางบู้หน้าใส่
   
“อ้าว...ปกติก็ไม่เคยคิดอะไรอยู่แล้วจริงๆ นี่” ท่านยกยิ้มอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะชอบใจที่แหย่เขาได้
   
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” วันสุขแย้งเสียงอ้อมแอ้ม
   
“อารู้ๆ เราน่ะถึงจะดูเหมือนไม่คิดอะไร แต่ก็ชอบเผลอคิดมากทุกทีใช่ไหม? บางเรื่องตัวเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ อาก็เห็นว่าเราชอบหลอกตัวเองบ่อยๆ เหมือนคนที่ชอบพูดว่า ‘วันนี้ฝนไม่ตกหรอก’ แต่ก็แหงนหน้ามองฟ้าทุกหนึ่งนาที” นั่นมันเขาชัดๆ
   
“โอเคๆ ยอมรับก็ได้ครับ” ว่าเสียงอ่อนแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นครืดคราดแล้วนิ่งไป คุณอาหัวเราะเบาๆ ดวงตาคมนั่นฉาบแววเจ้าเล่ห์อยู่ลึกๆ
   
วันสุขเหล่มองหน้าจอแล้วกดเปิดข้อความ ก็พบว่าเป็นภาพวาดสีน้ำรูปท้องฟ้ายามค่ำ เห็นแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว ไหนเจ้าตัวบอกว่าวาดไม่สวย แต่สิ่งที่เขาเห็นนี่มันตรงข้ามกับคำบอกนั้นเสียจริง
   
สีน้ำเงินเข้มผสมกับม่วงครามปาดป้ายแทนฟ้า ประกายสีเหลืองอ่อนพราวแทนดวงดาวนับพัน เมฆสีเทาฟ้าลอยเอื่อย พระจันทร์ขี้อายแอบหลบอยู่ด้านหลังปุยนุ่มนั่น บนผืนดินมีแมวขนฟูนั่งแหงนหน้ามองดวงดาวด้วยท่าทางมุ่งมั่น... พอได้เห็นแล้วมุมปากก็เผลอยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...
   
“คนมีความรัก มักจะไม่ทำหน้าตาบึ้งตึง”
   
เสียงร้องเพลงดังขึ้นขัดทำเอายิ้มหุบทันควัน วันสุขแกล้งรวบจานเปล่าบนโต๊ะไปล้างอย่างรวดเร็ว ทว่าเพลงเย้าแหย่นั่นยังตามมาหลอกหลอนเขาไปถึงในครัว


   

คราวก่อนอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวจนเขาจับไข้ มาวันนี้ดันแดดเปรี้ยงกันตั้งแต่ช่วงสาย ธรรมชาตินี่เชื่อใจไม่ได้เสียจริง พยากรณ์อากาศก็บอกว่ามีเมฆมากแท้ๆ แล้วทำไมท้องฟ้าถึงได้สว่างใสไร้เมฆเสียอย่างนั้น
   
ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก หมวกฟางใบเก่าที่ได้ติดมาจากไร่ของเพื่อนคุณอาช่วยกันแดดได้ไม่มากนัก ยิ่งความร้อนที่เริ่มรุมเร้าเข้ามาก็รู้สึกว่าตัวเองจะไข้กลับ มือถือบัวรถน้ำสีชมพูจากฝีมือคุณอา ก่อนจะกัดฟันรดน้ำลงกระถางต้นไม้เล็กๆ ต่อไป
   
“ตัวแดงเป็นลูกหนูแล้วนั่น พักก่อนไหม?” เสียงเย้าแหย่ดังมาจากในครัว วันสุขหันไปมองแล้วถอนหายใจเฮือก
   
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณอาซึ่งปลูกไว้ตั้งแต่ท่านยังหนุ่มๆ จะเรียกว่าเรือนหอก็ได้ เสียอย่างเดียวตรงที่เจ้าสาวมาอาศัยอยู่ได้ไม่นานนักเธอก็จากไป พานพาให้หัวใจของคนตรงหน้าเขาคนนี้ไม่เปิดรับใครอีก บ้านซึ่งทำจากไม้อย่างดีทาสีขาวกับหลังคาสีเทาครีมเลยมีแค่อากับหลานซึ่งอาศัยอยู่กันมาจนถึงปัจจุบัน
   
ที่ครัวหลังบ้าน สถานที่ซึ่งเขามักจะมาคลุกอยู่ประจำได้รับการต่อเติมมาไม่นานนี้ คุณอาติดประตูกระจกกับชานระเบียงไว้พอสำหรับนั่งพักขา ก็ถือว่าเป็นมุมหย่อนใจมุมหนึ่ง และเขาก็ชอบมันมาก เพราะตรงนี้น่ะสงบที่สุด กลางค่ำกลางคืนก็เหมาะแก่การมาเอกเขนกดูดาว ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องยุงล่ะก็นะ...
   
“คุณอาครับ ขโมยของทำเค้กผมมากินอีกแล้ว รอบนี้ผมไม่ยอมนะ” หลักฐานเป็นแคนตาลูปชิ้นโตนั่นทำเอานึกโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นาน เมื่อชายวัยกลางคนเดินสวบๆ เข้ามาแล้วยัดผลไม้เย็นเฉียบเข้าปากจนบ่นต่อไม่ได้อีก
   
“กินสดๆ แบบนี้อร่อยดีออก เอาไปทำเค้กทำไม เสียของ” ว่าแล้วก็เคี้ยวหงับๆ เยาะเย้ยเขา พอแกล้งจนพอใจก็หลบแผล็วเข้าไปในบ้านพร้อมจานใส่แคนตาลูปใบโต
   
เห็นแล้วก็ยิ้มขัน... เขาบอกว่าพอคนเราแก่ตัวลงก็จะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนั้นท่าจะจริง เพราะเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าคุณอาชักจะดูวัยรุ่นขึ้นทุกที ผิดกับเขาเนี่ยแหละที่เริ่มล้าหลัง ตามอะไรใครเขาก็ไม่ค่อยจะทัน
   
“คุณอาครับ! เดี๋ยวรดน้ำต้นไม้เสร็จผมว่าจะออกไปห้าง ให้ผมทำอะไรไว้ให้ไหม?” ว่าเสร็จ คุณอาก็โผล่หน้ามาจากประตูกระจก ท่านทำหน้านึกเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะ
   
“เดี๋ยวอาออกไปกินข้าวที่โน่นเลย นัดเพื่อนเก่าเอาไว้ เราไม่ต้องลำบากทำไว้หรอก”
   
วันสุขพยักหน้าหงึกหงัก เขาเองก็ว่าจะออกไปหาอะไรกินที่ห้างเหมือนกัน พักนี้เหมือนจะเหนื่อยง่ายชอบกล ไม่ก็พิษไข้ยังไม่หมด อาการเพลียเลยยังตกค้างจนไม่อยากจะทำอะไร
   
รดน้ำเสร็จก็เพิ่งนึกได้ว่าลืมพรวนดิน ไปๆ มาๆ เนื้อตัวก็กลับมาเลอะเทอะจนต้องอาบน้ำซ้ำอีกรอบ ลงมาที่ชั้นล่างใครอีกคนก็ออกไปแล้ว
   
วันสุขชะโงกหน้ามองรอยล้อรถยนต์อย่างนึกห่วง ก่อนจะฉีกยาลดไข้ขึ้นมากินกันไว้ล่วงหน้า ขนมปังที่ใกล้เสียอีกแผ่น แล้วก็จัดการลงกลอน ดับไฟ สตาร์ทรถ มุ่งสู่ห้างปลายทางอย่างเอื่อยเฉื่อย...


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5 - ภาพใบใหม่ เรื่องราวเก่าๆ (17/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 17-07-2014 20:30:20

โครก...
   
ท้องร้องลั่นจนขนาดที่ว่าตัวเองยังตกใจ วันสุขเคาะหน้าผากลงกับพวงมาลัยแข็งๆ มือคว้าขวดน้ำข้างประตูมาดื่มอึกๆ เมื่อครู่ตอนรับบัตรจอดรถ ท้องเจ้ากรรมมันก็ดังร้องลั่น พานพาให้เจ้าของมันรีบเหยียบคันเร่งหนีแทบไม่ทัน ขนาดเข้าซองจอดได้ก็ยังไม่กล้าออกไป นั่งนิ่งรอกระเพาะน้อยๆ ของตัวเองให้เข้าสู่ความสงบ
   
“น่าอนาถชะมัด...”
   
ปกติเขาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหิวขนาดนี้ ถ้าฝืนทำของกินง่ายๆ อย่างข้าวไข่ดาว แล้วเอาเวลาขับรถที่เหลือไปนอนพักอาจจะเข้าท่ากว่า แต่ทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้ก็ไม่รู้...
   
“เอาล่ะ...ไหนๆ ก็มาแล้ว” พูดปลอบใจตัวเอง ถ้ากินข้าวเสร็จก็คงต้องออกไปเดินซื้อของสักหน่อย ตอนวนรถขึ้นมาก็เห็นเสื้อผ้าของเด็กสมัยนี้แล้วอดย้อนมามองตัวเองไม่ได้
   
เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ มันตอนไหน... ออกไปไหนก็พึ่งเสื้อเชิ้ตสีเข้มๆ ตลอดอย่างกับคนไว้ทุกข์ บางทีไปซื้อพวกชุดอยู่บ้านมาติดตู้ไว้ก็คงจะดี...
   
วันสุขเดินเอื่อยเฉื่อยลงมาจากรถ สูดหายใจเข้าลึกอีกทีก่อนจะตรงดิ่งไปยังประตูเข้าห้างสรรพสินค้า แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีอ่อนกวาดมองผู้คนแล้วก็เริ่มรู้สึกปวดหัว ริมฝีปากสีส้มสวยเม้มเข้าหากัน
   
“คนเยอะเกินไปแล้ว...” บ่นงึมงำขึ้นมาอย่างหมดแรง
   
ทั้งที่ไม่ได้มีเทศกาลอะไร แต่คนมาจากไหนกันเยอะแยะนักนะ? ถึงจะเคยชินกับปริมาณคนในมหาวิทยาลัย แต่สถานศึกษากับห้างย่อมให้อารมณ์ต่างกันอยู่แล้ว... เสื้อผ้าลายตา เสียงคุยจอแจ และกลิ่นน้ำหอมชวนเวียนหัว
   
“อ้าว...พี่วัน สวัสดีครับ” พลันเสียงทักทายก็ดังขึ้นจากด้านหลัง วันสุขชะงักไปแล้วหันขวับไปมอง
   
“ซาน?” เอ่ยทวนชื่ออย่างนึกแปลกใจ รอยยิ้มคุ้นตานั่นถูกส่งมาให้ ไม่รู้ทำไมมันถึงดูละมุนตากว่าทุกครั้ง
   
เด็กหนุ่มตัวสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตาพราวคู่นั้นจับจ้องมายังเขาอย่างพิจารณา ก่อนที่คิ้วเข้มสวยจะขมวดมุ่นเข้าหากัน
   
“หน้าพี่ซีดๆ นะ ไม่สบายอีกแล้วเหรอครับ?” ว่าเสร็จก็ยกมือขึ้นทาบหน้าผากเขาทันควัน วันสุขยิ้มบางเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นปฏิกิริยาจากผู้คนรอบข้าง ...อย่างไรเสียดูยังไงมันก็คงแปลก ผู้ชายสองคนมาทำอะไรกันแบบนี้ ปกติเสียที่ไหน
   
“ตัวรุมๆ นะครับ กลับบ้านไปนอนน่าจะเหมาะกว่า” พอพินิจอาการเขาเสร็จก็สรุปเอาดื้อๆ
   
“เจอหน้าแทนที่จะทัก แต่มาไล่พี่กลับบ้านเนี่ยนะ?” แย้งอย่างนึกโมโหปนขัน แต่แมวตัวใหญ่กลับฉีกยิ้มใส่เขาเสียอย่างนั้น
   
“ไล่กลับบ้านน่ะถูกแล้ว คราวก่อนก็ไม่สบายจนเกือบแย่ อายุปูนนี้แล้ว...ห่วงสังขารบ้างเถอะครับ โอ๊ย!” บ่นยังไม่ทันจบประโยคก็โดนเขาสับสันมือเข้าท้องไปตามระเบียบ ถึงจะไม่ได้เครียดเรื่องอายุอะไร แต่โดนพูดซึ่งหน้าแบบนี้มันก็ต้องลงโทษกันหน่อยล่ะ
   
โครก...
   
วันสุขแทบสะดุ้งโหยง เมื่อเสียงโอดครวญจากท้องน้อยๆ ของตัวเองดังลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โชคดีที่ไม่ดังมาก แต่ซานที่อยู่ใกล้ขนาดนี้ย่อมได้ยินเป็นธรรมดา
   
“ตะกี้เสียงอะไรน้า” เด็กหนุ่มเปรยขึ้นมาเบาๆ มุมปากนั่น...ยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว
   
“หูฝาดมากกว่า” เขากระแอมกลบเกลื่อนแล้วเดินหนี หน้ามันชักร้อนๆ ชอบกล ทว่าแขนกลับถูกคว้าเอาไว้ พออีกฝ่ายกระตุกเบาๆ ก็ทำเอาเขาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวลอยหวือ
   
“มากินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย กินคนเดียวมันเหงาน่ะ” พูดอย่างเอาแต่ใจ แล้วก็ลากแขนเขาตรงดิ่งไปยังร้านสเต็กไม่ใกล้ไม่ไกลแถวนั้นทันที


   

“สองท่านนะคะ”
   
พนักงานในร้านถามเสียงหวาน วันสุขฝืนยิ้มบางๆ ให้พวกเธอ ถึงตอนนี้จะไม่มีอารมณ์มาสานสัมพันธ์กับใครก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะไปทำหน้าตาหงุดหงิดใส่คนที่ตัวเองไม่รู้จัก
   
“เชิญทางนี้เลยค่ะ” เธอว่า สายตามองสลับระหว่างเขากับซาน ท่าทางขวนเขินนั่นทำเอาต้องถอนหายใจเฮือก อารมณ์เหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาในชั้นแล้วมีเด็กหญิงมาด้อมๆ มองๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อตัวไหนดี
   
“มองแบบนั้น...ผมไม่ชอบ”
   
เปล่า...ไม่ใช่เสียงของเขาหรอก เสียงของเจ้าแมวตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต่างหาก ซานดูมีท่าทีหงุดหงิด ดวงตาสีเข้มคู่นั้นฉาบความรำคาญ สงสัยคงจะโมโหหิว...คิดได้แล้วเขาก็รีบกุลีกุจอเปิดเมนูให้อีกฝ่าย ชี้ชวนให้ดูนั่นนี่
   
“เอาอันนี้” เจ้าตัวว่าพลางจิ้มมือไปยังเมนูชื่อยาวเหยียด พอสั่งของตัวเองได้ก็เดินลิ่วๆ ไปตักสลัดทันที
   
“ผมขอแค่สลัดก็พอครับ ส่วนน้ำ...” ถึงเขาจะหิวแค่ไหน แต่การกินเนื้อมากๆ ไม่ได้ทำให้สุขภาพดี อีกอย่างในช่วงที่ร่างกายยังอ่อนแอแบบนี้ พวกของย่อยยากควรเลี่ยงให้ไกล
   
วันสุขนั่งเล่นมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย รออีกฝ่ายกลับมา ก่อนจะมารู้สึกตัวว่าสายตาหลายคู่ในร้านจับจ้องมาที่เขาอยากสนอกสนใจ
   
ชินซะแล้วล่ะ... เพราะแบบนี้ไงล่ะถึงไม่ค่อยชอบออกมากินข้าวนอกบ้านเท่าไหร่ ไปที่ไหนก็มีแต่คนมอง ทั้งสายตาชื่นชม สายตาสงสัย หรือแม้แต่สายแปลกๆ ก็เถอะ ทว่าบ่นไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเขาพาตัวเองมารนหาที่เองนี่นะ...
   
“หือ? ชอบสลัดมันฝรั่งเหรอครับ?” อดถามไม่ได้เมื่อจานสลัดของคนตรงหน้าพูนด้วยมันฝรั่ง อย่างอื่นมีนิดๆ หน่อยๆ เหมือนเจ้าตัวตักมาแก้เลี่ยน ซานซึ่งพอโดนถามเองก็เหลือบมองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วพยักหน้าหงึกหงัก วันสุขวางมือเท้าคางกับโต๊ะพลางหัวเราะในลำคอ
   
“พี่ทำอร่อยนะ”
   
“ ‘อร่อย’ จริงอ่ะ?” เสียงทุ้มนุ่มนั่นถาม ดวงตาพราวกวาดมองเขาขึ้นลงราวกับกำลังสำรวจ เห็นแบบนั้นก็อดยกมือขึ้นดีดหน้าผากอีกฝ่ายไม่ได้ ซานร้องโอดโอยประหนึ่งว่าเจ็บหนักหนา ทั้งที่เขาแค่ผ่อนแรงจนเหมือนเอานิ้วไปสะกิดมากกว่า
   
วันสุขเดินหนีออกมาตักของสำหรับตัวเอง เทียวไปเทียวกลับ เดี๋ยวเดียวจานใส่ผัก ใส่ซุป ก็วางเกลื่อนโต๊ะ เห็นปริมาณของแล้วก็เริ่มมองหาตัวช่วย ชินเสียแล้วที่เวลาออกมากินบุฟเฟ่ต์ทีไรจะตักเยอะกว่าปริมาณที่ตัวเองจะกินได้เสมอ...นิสัยแบบนี้ก็โดนอาดุประจำ และก็มักจะเป็นท่านตลอดที่ช่วยจัดการให้
   
“เยอะไปหรือเปล่าพี่วัน? กินหมดแน่เหรอ” ซานถามอย่างสงสัย ปริมาณมันมากไปจริงๆ นั่นแหละ ถึงร้านจะไม่ได้เขียนไว้ว่าเหลือแล้วจะปรับราคา แต่ถ้าเหลือทิ้งไว้มากๆ มันก็ดูน่าเกลียด
   
“พี่...ลืมตัวน่ะ” ว่าเสียงอ่อยแล้วก็ลงมือจิ้มผักสดมาเคี้ยวหงึบหงับ รสชาติน้ำซีซาร์สลัดทำเอาตาโต เขาชิมน้ำสลัดเปล่าๆ ไปอีกหลายคำ แล้วโทรศัพท์มือถือก็ถูกยกขึ้นมาจดโน้ตแทบจะทันที
   
“นี่ผมพาพี่มาขโมยสูตรเขาหรือเปล่าเนี่ย?” ซานถามพลางอมยิ้มขำกับท่าทีของเขา วันสุขหัวเราะเบาๆ ไม่ตอบคำถาม นี่ก็นิสัยเสียอีกอย่างหนึ่ง พอเจอรสชาติที่ชอบก็จะพยายามจดเอาไว้ว่ามันน่าจะมีอะไรผสมอยู่บ้าง ว่างๆ จะได้เอาไปทำกินเอง
   
ปลายนิ้วสไลด์ไปบนหน้าจอโทรศัพท์ เปิดนู่นเปิดนี่ไปด้วย แล้วมือก็พลาดไปเปิดอัลบั้มรูปเข้าให้ ภาพวาดท้องฟ้ายามค่ำเด้งหราขึ้นมา หูเองก็แว่ววานเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์คนของอีกฝั่ง
   
“ผมดีใจนะ พี่วันเซฟเอาไว้ด้วย”
   
“ก็มันสวยดี ไหนบอกว่าวาดไม่สวยไง พี่ว่าแบบนี้มันห่างจากคำว่าไม่สวยไปเยอะนะ” พอเอ่ยปากชมเจ้าตัวก็ทำท่าอายม้วนต้วนดูน่าหมั่นไส้ทันที
   
“ท้องฟ้าที่จังหวัดเลยน่ะ ผมมีรูปถ่ายด้วยนะ” พูดเสร็จก็เปิดรูปให้เขาดูด้วยท่าทางตื่นเต้น วันสุขเบิกตากว้าง ปลายนิ้วก็เลื่อนดูแต่ละรูปไปเรื่อยๆ ภาพวาดว่าสวยแล้ว แต่อย่างไรเสียรูปของจริงนั้นสวยกว่าหลายเท่ามากนัก
   
“สวยกว่ารูปที่วาดใช่ไหมล่ะ แต่อยากให้พี่วันไปดูของจริงมากกว่า สวยกว่าภาพถ่ายอีก...” ซานว่าเสียงนุ่ม ดวงตาวาววับเหมือนเด็กที่กำลังจะขอคุณพ่อซื้อของเล่น “สนใจอยากไปเที่ยวเลยไหมครับ?” ถามเขาด้วยเสียงกระซิบ ใบหน้าหล่อเหลาดูดีนั่นชะโงกเข้ามาใกล้ ทำเอาโต๊ะที่กั้นอยู่ดูจะไร้ประโยชน์ไปในทันใด
   
“หืม...ทำไมต้องไปล่ะ?” วันสุขแสร้งถามอย่างสงสัย ไม่ได้โยกใบหน้าหลบ แต่จ้องตอบกลับไปตรงๆ ริมฝีปากสีส้มสวยคลี่ยิ้มเบาบาง
   
“พี่เคยบอกว่าชอบดาว ที่นั่นน่ะท้องฟ้าสวยนะครับ รีสอร์ทดีๆ ก็มี” แมวเหมียวพยายามชักชวนเมื่อถอยกลับไปนั่งพิงเก้าอี้ของตัวเองเรียบร้อย
   
“อยากไปอยู่หรอกนะ แต่พี่เกลียดการนั่งรถนานๆ ” ที่พูดไปน่ะไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ชอบการนั่งรถนานเท่าไหร่ ถ้าหากติดธุระที่ต้องทำแบบนั้นจริงก็จะพึ่งยานอนหลับเสมอ เพราะฉะนั้นเลยไม่เคยได้ไปไหนไกลเกินกว่าพัทยาหรือชะอำ จังหวัดไกลๆ น่ะเลิกพูดถึงไปได้เลย
   
“งั้นสนใจไปท้องฟ้าจำลองกันไหมครับ?” พอเห็นท่าว่าชวนเท่าไหร่อย่างไรก็คงโดนปฏิเสธ แมวตัวเขื่องถึงได้เลือกสถานที่ใกล้ๆ แทน วันสุขนิ่งไปพลางนึกคิด ท้องฟ้าจำลองที่ไปครั้งสุดท้ายนั้นก็นานมากแล้ว...
   
“น่าสนนะ...พี่ไม่ได้ไปตั้งแต่เด็กแล้ว” จู่ๆ ก็นึกอยากลองกลับไปหวนรำลึกความทรงจำดูบ้าง ถึงอดีตจะไม่ได้สวยงามอะไร แต่ก็ไม่ได้ดำมืดไปเสียหมด ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขาคงได้เข้าไปนั่งในโรงพยาบาลบ้าแทนที่จะได้มายืนอยู่ตรงนี้
   
“ไปจริงๆ นะครับ?” ซานถามย้ำพลางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด
   
“อืม...ว่างเมื่อไหร่เดี๋ยวบอกอีกทีแล้วกัน” เขาตกปากรับคำไปอย่างง่ายๆ ...อาจเพราะว่าเป็น ‘ซาน’ เลยไม่ได้คิดมากอะไร ก็ปล่อยให้ความรู้สึกมันไหลไปเรื่อยๆ รอให้แมวเบื่อเดี๋ยวมันก็คงไปเอง...
   
วันสุขชะงักไปเล็กน้อย เมื่อล่วงรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจ หลุมดำวูบโหวงคล้ายกับจะขยายใหญ่ขึ้น เขาเม้มปากแน่น แสร้งหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ตาแอบเหลือบมองคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แค่พอคิดว่าเก้าอี้ที่ถูกจับจองอยู่นั่นจะเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า...ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาแปลกๆ แล้ว
   
“แปลกจังนะ...” เผลอเปรยขึ้นมาแผ่วเบา หรุบตาลงมองโต๊ะสีนวล ปลายนิ้วลากหยดน้ำ ขีดเขียนจนมันกลายเป็นลายเส้นและซึมหายไป
   
“ครับ?”
   
“แค่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มีความสุขง่ายกว่าแต่ก่อนน่ะ” ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยิ้มแบบไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำสีหน้าอย่างไร แต่รู้สึกแย่ไม่น้อยที่จู่ๆ ก็พาคนร่วมโต๊ะเข้าสู่บรรยากาศอึมครึม
   
“พอมาคิดว่า ‘อา...อีกเดี๋ยวก็กลับไปเป็นแบบแต่ก่อนแล้ว’ หรือ ‘สุดท้ายก็ตัวคนเดียว’ แล้วมันเหงาแปลกๆ น่ะ” แสร้งยิ้มกลบเกลื่อน ชักจะมึนศีรษะหน่อยๆ เสียแล้ว ซานเองจู่ๆ ก็มีท่าทีไม่อยากอาหารขึ้นมาเสียเฉยๆ อดโทษตัวเองไม่ได้ที่ทำให้บรรยากาศโต๊ะกลายมาเป็นแบบนี้
   
“คิดแบบนั้นมันก็ต้องเหงาอยู่แล้วสิครับ คิดแล้วไม่เหงาสิแปลกคน” ผักในจานถูกแย่งกิน วันสุขถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าจัดการสเต็กเรียบร้อยไปแล้ว
   
“ไม่แนะนำหรือปลอบใจอะไรพี่หน่อยเหรอ?” ร้องท้วงหาความเห็นอกเห็นใจด้วยน้ำเสียงขบขัน
   
“ไม่ครับ ความคิดคนมันห้ามได้ที่ไหน แนะนำไปยังไงเดี๋ยวพี่ก็ต้องคิดอยู่ดีนั่นแหละนะ” ซานชี้ส้อมใส่เขาแล้วกลับไปจัดการสารพันของที่เขาตักมาแล้วกินไม่หมดแทน
   
“อีกอย่าง...ผมก็เห็นพี่ชอบปลีกวิเวกออกมาจากกลุ่มคนแบบเนียนๆ ตลอด เพราะฉะนั้นห้ามมาบ่นครับ”
   
“ใจร้ายจังนะ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็เลียนแบบท่าทางพองลมจนแก้มป่องของเจ้าตัว
   
“พี่น่ะใจร้ายกว่าผมอีก” แมวเหมียวส่งยิ้มร้ายมาให้ ทำเอาเขาเผลอหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว


   

“น้องชายหรือคะ?”
   
“ครับ ซนๆ อย่างที่เห็นนั่นแหละ” กลั้วหัวเราะตอบพนักงานขายของไป ก่อนจะหันไปให้อีกฝ่ายเอาเสื้อยืดสีอ่อนมาทาบ จะเรียกว่าน้องได้ไหมนะ อายุห่างกันเป็นสิบปี ให้เรียกว่า อาหลาน ก็ยังได้
   
“พี่วันใส่เสื้อสีอ่อนแล้วเหมาะดีออก ทำไมถึงใส่แต่สีเข้มๆ ” โดนวิจารณ์กันตรงๆ ก็ได้แค่ส่งยิ้มให้ ความจริงเขาเองก็มีเหตุผลส่วนตัวอยู่ อีกอย่างเสื้อสีเข้มก็ดูแลง่าย สกปรกอะไรมาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคราบมาก และถึงจะทิ้งรอยไว้ก็แทบมองไม่เห็น
   
“สีเหลืองไข่ ไม่ก็ชมพูอ่อน แม่บ้านโคตรๆ เข้ามากๆ ” เชิ้ตสีเหลืองอ่อนถูกนำมาทาบกับตัว ส่วนเจ้าคนที่จู่ๆ ลากเอาเขามาเป็นตุ๊กตาลองเสื้อก็รี่ตรงไปยังราวถัดไป
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก ตอนแรกหลังกินข้าวกันเสร็จก็ว่าจะตัวใครตัวมัน ทว่าแมวซนนี่ดันลากเขาติดมาด้วย จะแอบหนีออกไปเงียบๆ ก็โดนจับได้ทุกที
   
“ขอสีเข้มๆ พี่ไม่ชอบเสื้อสีอ่อน” ใส่สีอ่อนทีไรโดนเหมาว่าเป็นเด็กรุ่นเดียวกับนักเรียนของอาจารย์ทุกที อีกอย่างเขาเป็นพวกเข้ากับสีเข้มๆ อยู่แล้ว ยิ่งใส่ยิ่งดูดี ถึงคำว่า ‘ดูดี’ ในที่นี้จะไม่ใช่ในเชิงบวกสักเท่าไหร่ก็เถอะ
   
“สีอ่อนดีกว่า”
   
“แต่พี่ไม่ชอบ”
   
“ผมชอบ” ชั่วขณะ...สายตาปะทะกัน การโต้เถียงหยุดอยู่แค่นั้น วันสุขถอนหายใจเฮือก สุดท้ายก็ได้เสื้อสีเหลืองนวลสกรีนลายกราฟฟิกสีเขียวมา ก็ยังนับว่าดีกว่าเสื้อสีชมพูหวานแหววล่ะนะ
   
ซื้อได้ตัวหนึ่งก็โดนลากข้อมือเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ซานเลือกของเก่ง และใช้เงินเก่งพอสมควร ทว่าเด็กสมัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น วันสุขไม่อยากจะไปบ่นอะไรมาก ในเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาเองก็ไม่อยากไปยุ่มย่าม
   
“สร้อยสวยดีนะครับ” ซานเอื้อมแขนมาคล้องเส้นโลหะเย็นๆ ลงบนคอของเขา
   
วันสุขชะงักไปเล็กน้อย ยกนิ้วเรียวช้อนตัวจี้ขึ้นมาดูอย่างนึกสนใจ จี้สีเงินรูปจันทร์เสี้ยวสลักลายเส้นสีทองสวย ที่โค้งด้านบนของจันทร์มีดาวดวงเล็กๆ ห้อยอยู่
   
“สวยดี” สวยจริงๆ แต่พอจะหันไปถามราคา อีกฝ่ายก็จูงมือลากเขาออกมาจากร้านแล้ว
   
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการฝืนไม่ให้ยิ้มนี่ยากเหลือเกิน...
   
เขาไม่ได้ถามถึงเรื่องสร้อยอีก แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน... เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บเอาไว้เงียบๆ จะดีกว่า ในเมื่อต่างคนต่างรู้ ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามใดๆ แบบนี้เรียกว่าอะไรนะ? ‘รู้ใจ’ เหรอ? ไม่น่าจะใช่ เพราะมันไม่ได้สวยงามอะไรขนาดต้องใช้คำนั้น
   
เดินไปนู่นมานี่กันเกือบชั่วโมงก็มานั่งพักกันที่ลานน้ำพุ โชคดีที่ชั้นนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ นั่งได้ก็ต้องสูดหายใจลึก เสียงน้ำพุช่วยทำให้รู้สึกสบายอย่างแปลกๆ อาการปวดศีรษะดูจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง รอบนี้ปวดจี๊ดขึ้นมาจนต้องนิ่วหน้า และเริ่มรู้สึกหายใจลำบากชอบกล
   
“ปวดหัว” พูดเสร็จแล้วก็หลับตานิ่ง
   
“น้ำเย็นๆ หน่อยไหมครับ” เสียงทุ้มนุ่มนั่นถามอย่างเป็นห่วง วันสุขส่ายศีรษะ ยกมือขึ้นนวดขมับแล้วถอนหายใจเฮือก
   
“ขอพักสักเดี๋ยว” บอกเสียงเบาแล้วก็เอนพิงไหล่คนข้างๆ อย่างถือวิสาสะ มากันขนาดนี้แล้วก็ไม่รู้จะไปเอียงอายอะไรอีก โดนหยอกแรงๆ มาก็ตั้งหลายรอบ แค่ขอไหล่มาพิงสักพักคงไม่มีปัญหาอะไร
   
“ตัวพี่หอมกลิ่นวานิลลาดี” วันสุขรู้สึกเหมือนเส้นผมบนศีรษะถูกสางเบาๆ
   
“หน้าพี่ซีดๆ นะครับ ไม่สบายก็น่าจะบอกผมตั้งแต่แรก” เขาจำได้ว่าคนพูดนั่นแหละที่ลากเขาไปนู่นมานี่ ปากก็ไล่เขาให้กลับบ้านนอน แต่มือน่ะดึงเข้าร้านอาหาร กินข้าวกันเสร็จเขาจะชิ่งกลับก็ยังโดนบังคับให้มาเดินซื้อของต่ออีก... พออาการเขาแย่ก็ดันมาบ่นใส่ทั้งที่ตัวเองผิดล้วนๆ แบบนี้มันน่าจับมาตีเสียจริง!
   
“เงียบไปเลย” อดพูดออกไปไม่ได้ หน้าผากถูกมือเย็นๆ แตะ ตามด้วยที่ซอกคอและข้อแขน ได้แค่นิ่งปล่อยให้แมวเหมียวทำตามใจไป ซึ่งพอไม่เห็นเขาตอบโต้อะไรเจ้าตัวนั่งก็ทำหน้าที่เบาะพิงอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เงียบไปเดี๋ยวเดียวก็ก่อกวนเขาอีกรอบ
   
“อย่าหลับนะครับ”
   
“อือ...” วันสุขอือออตอบกลับไป ประสาทการรับรู้ชักจะเลือนๆ เข้าไปทุกที
   
“ผู้หญิงตรงนั้นเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปพวกเราด้วย”
   
“อือ...” แก้มถูกปลายนิ้วเขี่ยเบาๆ
   
“คนแก่นี่ป่วยง่ายเนอะ โอ๊ย!” รอบนี้เขาหยิกต้นขาอีกฝ่ายอย่างแรง
   
“พี่ยังไม่แก่ ยังยกกระถางต้นไม้ไหว” พูดจบก็แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ ดังอยู่เหนือศีรษะ
   
“เหรอ? แล้ว ‘ยกวาง ยกวาง’ ไหวไหม?”
   
โดนพูดขนาดนี้เลยต้องปรือตาขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ ลูกแก้วสีดำพราวอยู่ใกล้แค่ช่วงนิ้ว บางทีก็แอบสงสัยเหมือนกันว่า ดวงตาคู่นั้นจำลองเอาท้องฟ้ากลางคืนมาใส่ไว้หรือเปล่า ทำไมมันถึงได้วิบวับขนาดนี้...
   
“ไปนอนสิ เดี๋ยวก็รู้ว่าพี่ ‘ยกวาง ยกวาง’ ไหวไหม” พูดจบก็โดนทำหน้าเบ้ใส่ พลันเบาะพิงก็ลุกหนีไปดื้อๆ เห็นว่ามีโทรศัพท์เข้า วันสุขเอนหลังพิงกับขอบน้ำพุ แหงนหน้าขึ้นมองหลังคากระจกของห้างอย่างเลื่อนลอย...
   
“พี่วัน ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” ซานเดินเข้ามาใกล้ โน้มหน้ามาบังแสงจนหมด
   
“อืม...ไปเถอะ เดี๋ยวพี่ต้องเข้าไปเอาเอกสารที่ทำงานอีก” พอได้พักอาการก็เริ่มดีขึ้น วันสุขชันกายลุกขึ้นยืนแล้วสูดหายใจลึก มือคว้าถุงใส่เสื้อผ้าแล้วยิ้มลาให้ใครอีกคนซึ่งมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
   
“ไหวแน่นะครับ” ถามแบบนี้คิดว่าเขาเป็นใครกัน? ต่อให้ป่วยแทบตาย แต่จิตวิญญาณสำนึกรักในหน้าที่น่ะแรงนะจะบอกให้...
   
เขาแยกออกมาโดยไม่ได้กล่าวลาอะไร กว่าจะเดินมาถึงรถได้ก็นึกว่าตัวเองจะวูบอีกรอบ คิดแล้วก็ได้แต่ปลงกับชีวิต บางทีตอนวัยรุ่นเขาคงจะหักโหมมากไป ร่างกายมันก็เลยเสื่อมเร็วกว่าปกติ หรือว่าช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากก็ไม่รู้...
   
พลันเสียงข้อความเข้าดังขึ้นขัดความคิด วันสุขยกมือก่ายหน้าผากพลางหลุดหัวเราะทันทีที่ได้อ่าน
   
‘ห้ามทิ้งนะครับ’
   
ถึงจะไม่ได้บอกว่าหมายถึงอะไร แต่สัมผัสเย็นเฉียบที่ลำคอกลับแจ่มชัดกว่าทุกที สายตาเหม่อมองออกไปนอกรถ มือเผลอลูบจี้จันทร์เสี้ยวกลางอกอย่างเลื่อนลอย แสงสะท้อนจากแหวนที่ข้อนิ้วราวกับจะย้ำเตือนบางอย่าง แล้วจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง...
   
“ครับ? อ้าวน้องปรัชญ์เองหรอกเหรอ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


To be continued...

 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5 - ภาพใบใหม่ เรื่องราวเก่าๆ (17/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-07-2014 20:30:55
มาจองก่อน แล้วมาติดตามด้วยน้าาาาาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5 - ภาพใบใหม่ เรื่องราวเก่าๆ (17/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 17-07-2014 21:34:02
ซานนี่คิดจะมาก็มาจะไปก็ไปทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่อ่า จริงจังหน่อยยยย เราเชียร์เธอนะ   :hao7:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5 - ภาพใบใหม่ เรื่องราวเก่าๆ (17/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Raiwyn ที่ 17-07-2014 21:37:42
พี่วันชอบซานเข้าแล้วรึเปล่านะ วุ้ย น่ารักจัง  :-[
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5.5 - ความจริงไม่ได้เดินคู่กับความฝัน (18/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 18-07-2014 17:46:01
บทที่ 5.5 - ความจริงไม่ได้เดินคู่กับความฝัน


เขาเคยมีคำถาม... หลายต่อหลายครั้ง
   
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร
   
คนธรรมดาที่เคยมีความฝัน คนธรรมดาที่เคยตกหลุมรักใครสักคน ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขากลับเลือกที่จะปลีกตัวออกมาอย่างเดียวดายด้วยเหตุผลบางอย่าง...
   
บางสิ่งที่เต้นตุบอยู่ภายในมันค่อยๆ แผ่วบางลง ทีละเล็ก...ทีละน้อย ท้ายที่สุดก็ด้านชา เสียงในอกมันหายไปพร้อมกับรอยยิ้มบนริมฝีปาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน ฝืนยิ้มแบบไหนออกมา...
   
เขาวิ่งหนีความจริง เขาหลอกตัวเอง เขายังทำตัวปกติ ทั้งที่ภายในนั้นอ่อนล้าจนอยากจะหยุดพัก อยากหยุดทุกอย่าง แต่ก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะเมื่อหยุดแล้ว...มันจะไม่มีวันกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้อีกเลย
   
เขาท้อแท้ หมดหวังให้กับสิ่งรอบตัว เขามองทุกอย่างด้วยสายตาเหยียดหยัน... อิจฉาที่เห็นคนหัวเราะ อิจฉาแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ในครอบครัวอบอุ่น
   
เขาเกลียด...เกลียดทุกสิ่งที่โลกไม่เคยมอบมันให้แก่เขา ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เคยเกลียดลง ท้องฟ้ายามค่ำที่ไม่ว่าจะเงยหน้ามองกี่ครั้ง...แสงระยิบนั่นก็พัดพาความคิดสกปรกให้จางหายไปเสมอ
   
แล้ววันหนึ่ง...แสงสว่างอุ่นๆ ก็ส่องวาบเข้ามา...


   

“วันสุข ช่วยครูหน่อยได้ไหม พรุ่งนี้ต้องสรุปคะแนนเก็บของนักศึกษาแล้ว” ช่วงเวลาเย็นขณะที่เขากำลังเก็บของเตรียมกลับ ม่านกั้นห้องก็ถูกแหวกออกพร้อมกับอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ใบหน้าของเธอดูซีดเซียว คล้ายกับจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ในมือถือปึกข้อสอบกองใหญ่ ทำเอาเขารี่เข้าไปช่วยถือแทบไม่ทัน
   
“ให้ช่วยตรวจสินะครับ เดี๋ยวผมทำให้นะ” ยิ้มรับอารมณ์ดี โชคดีที่วันนี้คุณอากลับดึก เขาเลยไม่ต้องรีบกลับไปเตรียมข้าวเย็น
   
“ขอบคุณจริงๆ คราวหน้าเดี๋ยวครูจะซื้อขนมมาฝากนะ” เธอว่าอย่างขอบอกขอบใจ ก่อนจะขอตัวกลับไปเคลียร์งานที่เหลือ ช่วงนี้ก็ใกล้สอบกันแล้ว แต่ละคนก็ดูยุ่งวุ่นวายกัน ไม่ได้มีแค่นักศึกษาหรอกที่งานเยอะ บรรดาอาจารย์ทั้งหลายแหล่ที่มักจะกลับตั้งแต่ช่วงบ่ายก็อยู่ดึกกันจนดูแปลกตา
   
นั่งตรวจไปสายตาก็เริ่มล้า สุดท้ายก็ต้องพัก วันสุขถอนหายใจเฮือก ทิ้งปากกาลงกับโต๊ะแล้วเอนหลังพิงพนัก แหงนคอขึ้นมองฝ้าเพดานอย่างเหม่อลอย พลันต้องชะงักกึกเมื่อมีเสียงประหลาดดังขึ้นหน้าห้อง...เสียงเคาะประตู...
   
“เข้ามาได้เลยครับ ห้องไม่ได้ล็อก” ตะโกนบอกไปตามประสา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบสนิท... วันสุขขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้คิดอะไรมากเลยปล่อยผ่านไป พอนั่งพักจนหายล้าก็เริ่มตรวจงานต่ออีกครั้ง ทว่า...
   
ก๊อก ก๊อก
   
“...ห้องไม่ได้ล็อกครับ เข้ามาได้เลย” แล้วสิ่งที่ได้รับก็คือความเงียบอีกครั้ง เขาถอนหายใจหงุดหงิด ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ตรงดิ่งไปยังประตูห้อง มือบิดกลอนแล้วกระชากออก ก่อนจะผงะเมื่อสายตาปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง
   
กล่อง... กล่องสีขาวนวลวางแน่นิ่งอยู่บนพื้นก่อนที่มันจะสั่นกุกกัก ขาก้าวถอยออกมาโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงประทัดดังสนั่น!
   
ปัง! ปุก!
   
กล่องขาวระเบิดออก ประกายไฟสีสันสดใสแตกเปาะแปะ ของเหลวสีแดงสดสาดกระจายลงบนพื้นขาว...กลิ่นคาวคุ้นเคยลอยโชยมาแตะจมูก
   
“น้องวัน! มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่ได้ยินเสียงประ... ตายแล้วเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย!?” เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลชะโงกหน้าออกมาถาม ก่อนจะร้องลั่นยามที่สายตาของเธอปะทะกับอะไรบางอย่างบนพื้น
   
คราวนี้เลยเป็นเรื่องใหญ่ กว่าจะทำความสะอาดเช็ดเลือดไปทิ้งได้ก็ร่วมชั่วโมง ส่วนตัวการก็หาคนผิดไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็ทำงานอยู่ในห้องตัวเอง ยิ่งหัวค่ำแบบนี้คงไม่มีใครมาอยู่ตามทางเดิน กล้องวงจรปิดในตึกก็เพิ่งโดนทุบไป
   
“ครูว่ารีบกลับกันเถอะ อยู่ดึกคืนนี้ดูท่าจะไม่ค่อยปลอดภัย”
   
อาจารย์อาวุโสออกความเห็นซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ส่วนงานที่ค้างอยู่ก็คงต้องหอบกลับเอาไปทำที่บ้าน โชคดีที่เขาช่วยทำจนเกือบเสร็จไปแล้วเลยไม่มีภาระอะไร


   

“น้องวันระวังตัวด้วยนะคะ เดินทางปลอดภัยค่ะ” พวกเขาพากันเดินออกมาจากตึกก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทาง วันสุขยกยิ้มโบกมือลาสาวๆ กลุ่มใหญ่แล้วหรุบตาลงมองพื้นอิฐ
   
“เมื่อไหร่จะหายสั่นนะ” เขาพึมพำขึ้นมาแผ่วเบา...มือสองข้างกำแน่น แม้หัวใจจะไม่ได้เต้นระรัว ทว่าปลายเท้ากลับเย็นเฉียบ เลือดสีแดงละเลงเต็มพื้นขาวพานจะปลุกภาพร้ายๆ ในอดีตให้ฟุ้งขึ้นมาอย่างยากจะหยุด...
   
สุดท้ายก็ต้องหยุดเดิน เอนหลังพิงกับต้นไม้แล้วสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอยู่หลายนาทีกว่าตัวเขาเองจะสงบลง
   
ลากขาอ่อนแรงของตัวเองมาจนถึงลานจานรถ ก่อนที่สายตาจะปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง... ถึงจะหลบอยู่ในมุมมืด แต่อย่างเขามีหรือจะไม่เห็น รึต้องบอกว่าอะไรบางอย่างข้างในมันสั่งให้กราดตามองไปทางนั้นก็ไม่รู้ ทว่าภาพที่สะท้อนกลับมาทำเอายกยิ้มเหยียด
   
ไอ้ความรู้สึกข้างในนี่มันอะไรกันนะ?
   
“สนใจอยากให้พี่ช่วยถ่ายคลิปเป็นพยานรักไหมครับ?” ตะโกนออกไปด้วยเสียงไม่เบานัก คนสองคนในเงามืดผละออกจากกัน ฝ่ายหญิงดีดตัวผึง แต่ฝ่ายชายกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนไม่คิดจะใส่ใจอะไร
   
“อ้าว น้องเยลลี่” วันสุขเอียงคอยิ้มเอ่ยทักไปตามประสา เธอหันมาทำหน้าตกใจใส่ แล้วก็วิ่งหนีหายไปเสียอย่างนั้น... สภาพหลุดลุ่ยนั่น ไม่โดนทำอะไรระหว่างทางก็คงจะดี... พอมองตามหลังลิบๆ เสร็จก็หันมามองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมซึ่งไม่ต้องให้เดาเขาก็รู้ว่าใคร
   
“เรานี่มันจริงๆ ทำอะไรก็ห่วงอนาคตหน่อยเถอะ ถ้าคนอื่นมาเห็นจะทำยังไงครับ?” ดุเสียงเข้มแล้วก็ก้าวฉับๆ เข้าไปใกล้ ถอนหายใจอีกเฮือกอย่างอดไม่ได้ มือเอื้อมไปกลัดกระดุมซึ่งถูกปลดจนหมดแผงของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ปลายนิ้วที่เผลอโดนกับเนื้อนั่นสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าว จะว่าไปสายตาที่มองมายังเขานี่ก็ดูร้อนดีเหมือนกัน...
   
“อย่าได้คิดจะทำอะไรแผลงๆ เชียว” เอ่ยเตือนทันทีเป็นการตัดปัญหา แมวตัวโตทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์ เห็นแบบนั้นก็พานพาเขาหงุดหงิดไปด้วยอย่างไม่มีเหตุผล
   
“พี่ดูอารมณ์เสีย เป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าตัวถาม หลังมืออุ่นร้อนยกขึ้นนาบกับแก้มของเขาเบาๆ วันสุขชะงัก...เพราะเพิ่งจะรู้ตัว
   
“ขอโทษที พอดีเพิ่งเจอเรื่องน่าหงุดหงิดมาน่ะ” เจ้ากล่องระเบิดได้นั่น...มันทำเอาเขาหงุดหงิด พอหงุดหงิดมากเข้าก็ลืมที่จะคุมตัวเอง อาจเพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนอื่นด้วยก็ได้เขาก็เลยลืมเสียสนิท
   
“ไม่เห็นต้องรีบเก็บอารมณ์ขนาดนั้น อยู่กับผมพี่ก็ดูไม่ค่อยสนอะไรอยู่แล้ว ปล่อยอารมณ์ออกมาบ้างก็ได้ ผมไม่ว่าหรอก” ซานว่ายิ้มๆ “อีกอย่างเวลาพี่หงุดหงิดแล้วดูน่ารักดี” เอวถูกรวบให้เข้าไปหา ก่อนคนถือวิสาสะจะโคลงตัวไปมาทำเหมือนเขาเป็นเด็ก
   
“ถ้าพี่โมโหมากๆ ต่อยผมสักหมัดเดี๋ยวก็หายโกรธแล้ว เพราะฉะนั้น...ไม่เป็นอะไรหรอก เนอะ?”
   
เด็กตรงหน้าเขา...พูดราวกับจะรู้อะไรบางอย่าง วันสุขนิ่งเงียบในขณะที่ศีรษะถูกกดลงกับบ่ากว้าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้เบาใจแปลกๆ
   
จะว่าไปก็ประหลาดดีเหมือนกัน ผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งเลิกจากงาน และเพิ่งประสบกับเหตุบางอย่างมา พอเดินมาถึงลานจอดรถเพื่อกลับบ้านก็มาเจอะกับคนรู้จักกำลังนัวเนียอยู่กับผู้หญิง ผู้ชายคนนั้นเข้าไปตักเตือน...แล้วอยู่ดีๆ ก็ออกมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้
   
“ถ้าแถวนี้มืดอีกหน่อยก็คงจะดี” เสียงนุ่มนั่นว่าเอื่อยเฉื่อยทำเอาเขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
   
“ทำไม?”
   
“ก็พี่อาจจะได้เห็นดาวแบบไม่ต้องมองฟ้าน่ะสิ”
   
ได้ฟังแล้วก็เผลอหัวเราะ มือตีเพี้ยะลงบนข้อแขนอีกฝ่ายยามที่อุ้งเท้าแมวพยายามจะลุกล้ำเข้ามาใต้เสื้อเชิ้ต พอจัดการจนแน่ใจว่าซานจะไม่เล่นแผลงๆ ก็อดเงยหน้าขึ้นมองฟ้ากลางคืนไม่ได้ ฟ้าครึ้มเห็นเพียงแค่จันทร์ แต่สำหรับเขาไม่ว่าจะฟ้าแบบไหนมันก็สวยทั้งนั้น
   
“ฟ้าสวยดีนะ...เมฆปุยๆ เหมือนอยู่ในความฝันดี ว่าไหม?” อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ก่อนที่ภาพบางอย่างในอดีตจะย้อนเข้ามาในสมอง
   
“ผมชอบความจริงมากกว่า...” ปลายนิ้วของคนตรงหน้าแตะแผ่วลงบนแก้มของเขา วันสุขนิ่งเงียบไป...บางสิ่งบางอย่างที่ดวงตามองเห็นคล้ายกับจะซ้อนทับกัน ก้อนกระจุกภายในใจทะลักพรวดขึ้นมาอัดอยู่ที่ลำคอ ภาพอดีตยิ่งแจ่มชัด ยามที่เด็กตรงหน้ายกยิ้มเบาบางอย่างยากจะตีความหมาย
   
“...พี่รู้ไหมว่าทำไม? เพราะมันจับต้องได้ยังไงล่ะ”
   
เพราะว่ามันจับต้องได้ยังไงล่ะ... คำพูดนั่นทำเอาหัวใจกระตุก เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ถ้อยคำที่เขาไม่อยากได้ยินมากที่สุดกำลังดังออกมาจากปากคนตรงหน้า ซานยังคงยกยิ้มละมุน ตรงข้ามกัน...เป็นเขาเองที่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
   
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่เจอเรื่องอะไรมา แต่ว่า...เรื่องในอดีตน่ะ...ถ้ามันเศร้าก็ลืมไปซะเถอะนะครับ ลืมไปเสีย ลบมันออกไป... แต่ถ้าพี่ลบมันออกไปไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอกเนอะ เดี๋ยวผมจะลบมันให้เอง...”
   
“พูดอะไรของเราน่ะ อยากเล่นบทพระเอกเอ็มวีหรือไง?” วันสุขพึมพำเสียงแผ่ว แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะ เด็กหนุ่มโอบแขนพยุงตัวเขาไว้ แล้วเสียงนุ่มนั่นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
   
“นั่นผมอุตส่าห์จำมาจากในหนังเชียวนะ” ได้ยินแล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไหร่ มุมปากเผลอกระตุกยิ้ม แต่บางสิ่งบางอย่างกลับไหลออกมาจากดวงตา
   
นึกถึง ‘เรื่องนั้น’ ทีไร เขาก็กลายเป็นคนอ่อนแอแทบทุกที... คิดพลางปรือตาปิดอย่างอ่อนล้า วันนี้หลายสิ่งหลายอย่างมันประดังเดเข้ามามากเกินไป กลิ่นหอมอ่อนๆ นี่ก็ชวนให้เหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก ถ้าได้พักสักหน่อยก็คงจะดี...
   
“จะหลับก็ได้นะ เดี๋ยวผมแบกพี่ไปส่งเอง”
   
“แน่ใจว่าจะแค่แบก?”
   
“ไม่เชื่อใจกันอีก ให้จูบสาบานก็ยังได้นะ”
   
อดยิ้มไม่ได้ก่อนที่จะหลับตา เอนศีรษะพิงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย ถ้อยคำประกาศถือดีว่าจะช่วย ‘ลบ’ บางอย่างให้ดูจะไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้คนตรงหน้าก็ช่วย ‘ลบ’ บางอย่างให้เขาแล้ว…
   
ความฝัน...ค่อยๆ วาดผ่านภายในจิตใจ ปุยเมฆลอยล่องไปตามจินตนาการ
   
และแล้วโลกก็กลายเป็นสีดำ...
   
...สีดำอุ่นๆ


   

กังหันพลาสติกสีสันสดใสบนขอบรั้วตะแกรงเหล็กหมุนวนไปมาเมื่อต้องลม
   
ท้องฟ้าสีครามกับแดดอ่อนๆ ยามเช้านวลตา เท้าสองข้างยังยืนอยู่ ณ ที่เดิม ดวงตาทอดมองออกไปไกล ริมฝีปากปิดเงียบ อยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่อาจทำได้
   
“ทะเลาะกันอีกแล้ว ลูกหว้าทะเลาะกับเขาอีกแล้วล่ะวัน... ความรักเนี่ย เหมือนฝันเลยเนอะ ทั้งจับต้องไม่ได้ ทั้งไม่มีอยู่จริง แต่กลับทำให้เราร้องไห้ตั้งหลายครั้ง...” เสียงสะอื้นกับน้ำตายังเหมือนเดิม
   
“ไม่เอาแล้ว...อยากจะหยุดแล้ว แต่ว่ามันหยุดไม่ได้...” ถ้อยคำพร่ำเพ้อต่อจากนั้น จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง เขาทำเพียงยืนนิ่งเหมือนว่ารับฟัง แต่ความจริงแล้วกลับไม่คิดจะรับรู้ด้วยซ้ำ ทว่าวันนี้ต่างไปจากทุกวัน...เจ็บปวดเกินจะอดทน
   
“พอเถอะ” เขาพูดออกไปอย่างลืมตัว “เลิกฝันได้แล้ว...กลับมาอยู่บนความจริงเถอะ วันก็ยังอยู่ตรงนี้ ลูกหว้าน่ะเลิกฝันได้แล้ว” คำพูดที่เก็บไว้ในใจพรั่งพรูออกมาอย่างยากจะหยุด
   
นึกสมเพชตัวเอง...คนอย่างเขามีสิทธิ์อะไรไปพูดถึงเรื่องความจริง หรือความฝันกัน
   
“จริงด้วยสินะ...บนความเป็นจริง ลูกหว้ายังมีวันอีกทั้งคนนี่นา... แต่ว่านะ...” เธอเงียบไป ยิ้มอ่อนโยนที่มักจะถูกส่งมาให้ดูขมขื่นเสียเหลือเกิน มือเล็กๆ อย่างผู้หญิงตัวเล็กแตะลงบนหน้าท้องของเขา สัมผัสสั่นสะท้านนั่นบ่งบอกว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน
   
“ลูกหว้าว่า...มันคงไม่ทันแล้วล่ะ...”



To be continued...


ตอน 5.5 เป็นตอนเสริมของเนื้อเรื่อง จริงๆ มันก็คือตอนที่ 5 แต่ต้องตัดย่อยออกมาเพราะยาวไป
แถมเหตุการณ์บางส่วนไม่ค่อยจะต่อกันเท่าไหร่
ตอนนี้เอานิยายอีกเรื่องหนึ่งมาลงเล้าแล้ว เป็นแนว twincest ลิ้งก์ >>  ไกลกว่ารัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42992.0)
แล้วเจอกันตอนหน้าจ่ะ

 :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5.5 - ความจริงไม่ได้เดินคู่กับความฝัน (18/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-07-2014 20:22:34
 :z13:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5.5 - ความจริงไม่ได้เดินคู่กับความฝัน (18/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 18-07-2014 23:23:02
อยากตบซานแรงๆหนึ่งที เข้าใจหาที่จู๋จี๋เนอะ  :beat:
ทำตัวไม่ชัดเจนเลย ไม่โอเคเลย เหมือนจะจีบพี่วันแต่เอาเข้าจริงๆดูเหมือนไม่จริงใจอะไรมากมาย โอ้ยย ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวเองเราจะเปลี่ยนไปเชียร์ปรัชแล้วนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 5.5 - ความจริงไม่ได้เดินคู่กับความฝัน (18/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 19-07-2014 23:51:52
คือซานเป็นพระเอก??
พี่วันทั้งน่ารักและน่าสงสารพราะเรื่องของอดีต จริงๆถ้าซานเป็นพระเอกคืออยากให้เป็นคนที่ดูจริงใจกว่านี้ไม้แบบเหมือนหยอกไปเรื่อย ทำเหมือนชอบ แต่เอาจริงๆไม่ชัดเจน อยากให้พี่วันพึ่งพิงได้
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ (21/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 21-07-2014 12:53:28
บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ



ฝันร้าย...ยาวนาน ปวดหัวใจ ทว่าอบอุ่นไปในที
   
จิตใจถูกผลักให้ดำดิ่งลงไปข้างใต้ ต่อให้ว่ายขึ้นมาเท่าไหร่ สุดท้ายก็จะจมลงไปอยู่ดี... ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า ก่อนจะถูกฉุดลงไป ลึกขึ้น ลึกขึ้น จวบจนอากาศสุดท้ายขาดหาย จวบจนหัวใจหยุดเต้นในที่สุด...
   
แล้วก้อนเนื้อนั่นก็กลับมาเต้นใหม่อีกครั้ง
   
ราวกับความทรมานยาวนาน ราวกับถ้อยคำในอดีตซึ่งผูกมัดเขาเอาไว้ ความผิดพลาดที่เคยได้กระทำ ถ้อยคำร้ายกาจ เรื่องราวสีแดงสด...หมุนวน วนเวียน หมุนวน เป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันจบสิ้น
   
“ก็เป็นเสียแบบนี้ ดื้อ! มีอาอยู่ทั้งคน อย่าเก็บอะไรเอาไว้คนเดียว น้องวันเข้าใจไหมครับ?”
   
คุณอาเคยบอกกับเขาแบบนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนนั่น...ราวกับแสงสว่างสุดท้ายที่พัดพาเอาความมืดในใจให้ปลิวหายไป ถ้อยคำปลอบประโลม อ้อมกอดอบอุ่น...ไหล่กว้างซับน้ำตา ความห่วงใยซึ่งไม่เคยถูกกาลเวลาทำให้มันผันเปลี่ยน สิ่งเหล่านั้นฉุดเขาขึ้นมา ดึงรั้งจนมาเจอกับแสงสว่างซึ่งไม่เคยได้สัมผัส
   
เขาเพิ่งมารู้สึกตัวว่า แท้จริงแล้วทุกก้าวที่เดินมาจนถึงวันนี้ได้ หากขาดคุณอาไป ชีวิตเขาคงจะล้มตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ คุณอาเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นบุคคลซึ่งอยู่สูงสุดในใจของเขา และจะไม่มีวันถูกแทนที่ด้วยใครอื่น
   
“ผม...จะลบมันให้เอง”
   
ดวงตาสีเข้มพร่างพราวไม่ต่างจากฟ้ากลางคืนคู่นั้น...เขายังจำได้ติดตาแม้จะอยู่ในความฝัน ระยิบระยับ ดำเงาเหมือนผิวกระจก ล้ำลึกไม่ต่างจากหุบเหว แต่กลับสวยงามและสงบนิ่งไปในเวลาเดียวกัน
   
หัวใจมันแกว่งไกวอีกครั้ง ความไร้เหตุผลมากมายกำลังเกิดขึ้นกับตัวของเขา ความรู้สึกนั่นยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งกระจ่างชัด และยิ่งชัดเจนขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งห้ามตัวเองยากมากเท่านั้น
   
ยิ่งถูกกระตุ้น ยิ่งกระหายที่จะไขว่คว้า
   
แม้มันจะยังไม่ใช่ ‘สิ่งนั้น’ ทว่ามันกลับเข้าใกล้คำคำนั้นมากขึ้นทุกที อย่างไร้ที่มา อย่างไร้เหตุผล หรือบางทีรั้วกั้นหัวใจของเขามันจะทอดห่างกันเกินไป...แมวตัวใหญ่นั่นถึงแอบกระโดดเข้ามาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
   
“ความรักเนี่ย...น่ากลัวจังเลยนะ”
   
ถ้อยคำสีแดงสด...สาดกระจายลงมาในความฝัน ภาพอุ่นๆ ของคุณอาเลือนหายไป พอกันกับที่ภาพแมวเหมียวยิ้มกริ่มแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยเสียงน้ำซาซ่า ไอเย็นเฉียบหล่อหลอมอยู่ที่ข้อเท้า เสียงหัวเราะหวานละมุนดังแว่วอยู่ไม่ไกล และเมื่อนั้นเอง...ตัวของเขาก็ดำดิ่งลึกลงไปในก้นบึ้งอีกครั้ง
   
ความรักเนี่ย...น่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ เขาหวาดกลัว กลัวเหลือเกิน แค่เพียงนึกถึง หัวใจก็พลันเย็นวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ รอยยิ้มเศร้าของเธอคนนั้นยังตกตะกอนค้างอยู่ในความทรงจำ ถ้อยคำอำลาของใครคนนั้นยังติดอยู่ริมหูราวกับว่าเพิ่งได้ยินมาเมื่อวาน
   
สิ่งที่สูญเสียไม่อาจเรียกกลับมาได้อีกแล้ว
   
แล้วใครกันล่ะที่ทำให้มันเป็นแบบนั้น...


   

สายลมรุนแรงหวีดหวิวปะทะเข้ากับใบหน้า อากาศเย็นๆ กับสัมผัสเจ็บแปลบตามเนื้อตัว ลมบาดเนื้อพัดกระหน่ำ ขณะที่ฝ่าเท้าของเขายืนเหยียบอยู่บนอะไรบางอย่างเย็นเฉียบ เสียงกระดิ่งแว่ววานราวความฝัน นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลอ่อนปรือปรอยอย่างเหม่อลอย...
   
เขาเห็น...ท้องฟ้าพร่างพราวที่อยู่บนดิน... ฟ้าราตรีที่มนุษย์สร้างขึ้นกับฟากฟ้าสีครึ้มเบื้องบน กลิ่นชื้นโชยมาแตะจมูก ดวงตาเหม่อมองทิวทัศน์เบื้องหน้านิ่งงัน จันทร์ที่เคยคิดว่าอยู่สูง บัดนี้ดูใกล้และใหญ่โตเสียจริง...
   
เขาเอื้อมมือออกไปอย่างเผลอตัวเหมือนทุกครั้ง
   
“อย่า!!”    
   
เสียงตวาดกร้าวดังลั่นกระชากทุกอย่างให้กระจ่างชัด วันสุขสะดุ้งสุดตัวก่อนจะสะบัดใบหน้าไปด้านหลัง เอวของเขาถูกเกี่ยวแน่น...ดวงตาต่างฟ้ายามค่ำคู่นั้นฉาบประกายคมปลาบ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน มืออีกข้างซึ่งว่างอยู่กำขอบประตูไม่ใกล้ไม่ไกลจากแถวนั้นแน่นจนขึ้นข้อ
   
“ถ้ารู้สึกตัวแล้วก็กลับเข้ามาเถอะครับ” เสียงนั่นถูกปรับโทนจนกลับมานุ่มละมุนอีกครั้ง ซานยิ้มอ่อนเหมือนขอร้องอยู่ในที แต่เขาไม่เข้าใจ...
   
“กลับ?” วันสุขเอียงคอถามเสียงฉงน มืออีกข้างพยายามแกะบางสิ่งที่เกาะเกี่ยวเอวของตัวเองไว้ แต่นิ้วของอีกฝ่ายกลับเกร็งจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อของเขา ซานคำรามกรอดในลำคอ ก่อนที่แรงกระชากมหาศาลจะดึงจนเขาล้มหงายไปด้านหลัง
   
โลกหมุนตลบ สิ่งที่มองเห็นมีเพียงท้องฟ้าและดวงจันทร์ ไออุ่นจากลมหายใจหอบแนบชิดอยู่ที่หลังคอ แผ่นหลังนาบอยู่กับอกกว้างชื้นเหงื่อนั่น ก่อนที่เบาะรองมีชีวิตจะลุกขึ้นนั่ง ทำเอาเขาที่นอนนิ่งอยู่ไหลพรืดลงไปในอ้อมแขนอีกฝ่าย
   
เกิดอะไรขึ้น?
   
คำถามนั่นดังวนเวียนอยู่ในหัว ภาพความทรงจำค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามาก่อนจะหยุดลงที่ภาพความมืดสีดำสนิท ความฝันหลอกหลอนนั่นทำเอาอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ วันสุขเม้มปากแน่น เหลือบสายตาขึ้นมองบางสิ่งที่ตัวเขาเพิ่งหล่นลงมา พลันต้องหนาววาบไปทั้งกาย...
   
“จู่ๆ พี่ก็ปีนขึ้นระเบียง แล้วก็ทำท่าว่าจะกระโดดลงไป” คนเห็นเหตุการณ์เล่าเสียงเบา อ้อมแขนรัดกระชับแน่นจนเขาแทบหายใจไม่ออก
   
“ผมตกใจแทบบ้าเลยพี่รู้ไหม” เขาก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน...โชคดีที่มีซานอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง...เขาเองก็ยังไม่รู้
   
“ขอโทษที...คงละเมอน่ะ” วันสุขว่าไปเรื่อยเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แสร้งหัวเราะคลอบรรยากาศ หวังเพียงแค่ว่ามันจะให้อีกคนสงบลง มืออุ่นๆ นี่กำเสื้อเชิ้ตเขาแน่นจนยับย่น แรงสั่นเบาบาง แม้จะแทบสัมผัสไม่ได้ แต่เขาก็รู้สึก
   
“ละเมอน่ากลัวดีนะครับ เอ้ายืนไหวไหม เดี๋ยวผมช่วยพยุงเข้าไปในห้อง” พึมพำแผ่วเบาแล้วก็ลุกพรวดฉุดให้เขาลุกตาม แข้งขาอ่อนแรงของตัวเองชวนให้รู้สึกหงุดหงิด พอสติกลับเข้าร่างอาการสารพันก็เข้ามาจู่โจม สัมผัสแสบๆ ในคอกับศีรษะหนักอึ้งเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ดีว่า ไข้กลับอีกแล้ว...
   
ถูกอีกฝ่ายแบกเขามาทิ้งไว้ที่เตียงกว้าง เพิ่งจะมาสังเกตเมื่อครู่นี่เองว่าห้องที่เขาอยู่นั้นหาใช่ห้องของตัวเองไม่ เพดานใต้แสงสลัวมีหมู่ดาวเรืองแสงอยู่เต็มไปหมด...วอลเปเปอร์เรืองแสงสินะ?
   
วันสุขอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาเคยมีความคิดที่จะเอามาติดแบบนี้เหมือนกัน แต่หาแบบที่ถูกใจไม่ได้สักที ส่วนผนังฝั่งหนึ่งเป็นกรอบรูปเล็กๆ ติดอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่ารูปอะไรบ้างเพราะแสงในห้องนั้นน้อยเหลือเกิน
   
“ห้องต่างจากที่คิดเอาไว้นะ” เอ่ยขึ้นลอยๆ หวังทำลายความเงียบ ยาสารพันชนิดถูกวางลงในมือพร้อมแก้วน้ำอุ่น เขาพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วกินมันเข้าไป พอจัดการอะไรเสร็จก็ทิ้งตัวเองลงกับเตียงนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมเย็นๆ ลอยมาแตะจมูกชวนให้รู้สึกดีอย่างประหลาด
   
“ตอนที่พี่หลับ ผมได้ยินเสียงพี่พึมพำหาใครสักคน” ซานเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทำเอาเขาที่กำลังจะเคลิ้มหลับตากระตุกกึกขึ้นมาทันที
   
“ช่วยทำเป็นไม่ได้ยินได้ไหม? พี่จำไม่ได้หรอกนะว่าเพ้ออะไรไปบ้าง แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่” เขาว่าเสียงเบา ตลบผ้าห่มขึ้นมาแล้วหันหลังให้
   
“พี่ตะโกนว่าจะฆ่าเขา สักพักพี่ก็ร้องไห้เป็นชั่วโมง แล้วจู่ๆ ก็พุ่งไปที่ระเบียง...”
   
“ซาน...”
   
“ขอโทษครับ” เตียงยุบยวบลงไป แล้วใครบางคนก็เอนตัวพาดศีรษะลงกับหลังของเขา “ได้ยินเสียงหัวใจพี่ด้วย...” พูดแล้วก็กลิ้งทับเขาเพื่อข้ามมาอีกฝั่ง
   
วันสุขส่งเสียงประท้วง ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อแมวตัวโตมุดผ้าห่มเข้ามานอนซุก ทั้งที่เด็กนี่ตัวโตกว่าแท้ๆ แต่แบบนี้ก็ดูน่ารักดี ออดอ้อนอย่างที่ทำประจำ ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่ามันห่างไกลจากคำว่า อ้อน เหลือเกิน
   
“พี่คิดว่าผมเป็นยังไง?” คำถามประหลาดถูกส่งมาให้ ทำเอาต้องก้มหน้าลงมองดวงตาซึ่งจ้องเป๋งกลับมาจากใต้ผ้าห่ม วันสุขขมวดคิ้ว ทำท่านึกอยู่นานพอสมควร เพราะต้องใช้เวลาประมวลการกระทำของเด็กตรงหน้าพักใหญ่
   
“ชอบทำอะไรแปลกๆ ดื้อ เอาแต่ใจ นิสัยเสีย” ยิ่งพูด ซานก็ยิ่งทำหน้ามุ่ยจนเขาอดหัวเราะไม่ได้ “ทำไม? ไม่ถูกใจหรือไง?” เอ่ยแซวไปตามประสา บรรยากาศหนักๆ ดูจะเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ
   
“เปล่าหรอก...ดีแล้วล่ะที่พี่มองแบบนั้น” มือของเขาถูกคว้าไปซุกที่ซอกคอของใครอีกคน ริมฝีปากบางหยักสวยแย้มยิ้มเล็กๆ เสียงหงอยเหงานั่นชวนให้รู้สึกน่าสงสารอย่างประหลาด
   
“ทำไม?” อดถามขึ้นมาไม่ได้ เด็กตรงหน้าเขาดูมีมุมอยู่หลากหลาย ไม่รู้ว่ายังมีอีกกี่มุมกันแน่ แต่คิดว่าต่อไปเขาคงจะได้เห็น ทีละเล็กทีละน้อย...เหมือนกันกับที่เขาค่อยๆ แสดงตัวตนของตัวเองออกมาเช่นกัน
   
พลันสิ้นความคิด คนซึ่งนอนอยู่เคียงกันก็ลุกพรวดขึ้นมา เงาดำทาบทับเขาเอาไว้ สิ่งที่สะท้อนอยู่มีเพียงแค่ดวงตาคู่คมล้อแสงสลัวเท่านั้น...
   
“ไม่มีอะไร...ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว” มือข้างเดิมถูกยกขึ้นมากดจูบลงที่ร่องนิ้ว เสียงทุ้มนุ่มนวลหัวเราะแผ่วในลำคอคล้ายกับคนที่กำลังเจอของสนุก “มองผมแบบนั้น...ไปนานๆ นะครับ”
   
วันสุขนิ่งเงียบไป สมองคาดการณ์ไปสารพันว่าเจ้าเด็กตรงหน้าคิดจะทำอะไรกันแน่? พลันไฟหัวเตียงกลับถูกเปิดพรึบทำเอาเขาตาพร่า ตัวการหัวเราะลั่นที่แกล้งเขาได้ แล้วจู่ๆ ก็กระโดดแผล็วหนีหายออกไปจากห้องนอนแทบจะในทันทีทันใด
   
“พี่นอนไปก่อนแล้วกัน ผมจำได้ว่ายังไม่ได้ทำชีทที่ต้องส่ง”


   

ครั้นเนื้อครั้นตัวแปลกๆ คงยังเพราะไม่ได้อาบน้ำ สุดท้ายก็นอนไม่หลับ เห็นแบบนี้ แต่เขาก็เป็นพวกรักสะอาดอยู่เหมือนกัน ไม่มีทางหรอกนะที่จะยอมนอนทั้งที่เนื้อตัวชื้นเหงื่อ... พอคิดได้ก็ตลบผ้าห่มออก ไอเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศชวนให้หนาวเยือกไม่น้อย ห้องสลัวดูเงียบลงไปถนัดตายามที่เจ้าของออกไป
   
“สวยจังเลยนะ...” เงยหน้าขึ้นมองเพดานเรืองแสงอีกครั้ง แล้วก็อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ ถึงของจริงจะสวยกว่าก็เถอะ แต่ของจำลองนี่ก็สวยในแบบของมันเช่นกัน
   
วันสุขถอดกางเกงพาดไว้ที่ปลายเตียง กระดุมเชิ้ตดำถูกปลดออกทีละเม็ดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อจู่ๆ ภาพความฝันปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง...คงเพราะซานทำเอาเขาลืมเรื่องพวกนั้นไปชั่วขณะ พอได้จมอยู่กับความเงียบคนเดียว...มันก็กลับมา
   
เผลอหรุบตาลงไปมองยังปลายเท้า พื้นพรมนุ่มนิ่มสีดำสนิทดูคล้ายกับผืนน้ำเวิ้งว้างในความฝัน ปลายเท้าคล้ายกับจะค่อยๆ จมลง จมลงไปอย่างช้าๆ โสตประสาทอื้ออึงเหมือนถูกฉุดลงไปข้างใต้ อากาศถูกแย่งชิงไป และไม่นานหัวใจคงจะหยุดเต้นเฉกเช่นทุกครั้ง...
   
แกร๊ก
   
“พี่วันครับ ผมโทรไปบอกอาจารย์แล้วนะ...พี่ทำอะไรน่ะ?”
   
เหมือนถูกกระชากขึ้นมาสู่อากาศ วันสุขสะดุ้งเฮือกก่อนจะถอนหายใจแผ่ว ปลายนิ้วเรียวถูกยกขึ้นนวดขมับ ดูท่าเขาจะอาการแย่ลงเรื่อยๆ เสียแล้ว อาจเพราะพักนี้มีเรื่องให้เครียดตลอดเวลา อาการเก่ามันเลยกำเริบเข้าให้
   
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ” คนมาใหม่ว่า แต่สายตาน่ะกวาดมองเขาไปทั่วทั้งตัว ไล่มาตั้งแต่ช่วงไหล่ไปจนแผ่นอก โคนขา ปลายเท้า...
   
วันสุขหัวเราะแผ่ว มือก็ไล่ปลดกระดุมต่อไปอย่างไม่ยี่หระ จนเมื่อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออกนั่นแหละ ร่างกายของเขาก็ถูกผ้าขนหนูผืนใหญ่ตวัดขึ้นห่มด้วยฝีมือของใครอีกคน
   
“ทำไมพี่ชอบทำตัวแบบนี้อยู่เรื่อยนะ... แต่ผมก็ชอบนะ” แมวตัวโตบ่นเบาๆ แล้วเดินอ้อมมาด้านหลัง จัดแจงโอบผ้าผืนนั้นมาทบรอบเอวให้ แล้วเกี่ยวเอาเชิ้ตสีดำของเขาทิ้งลงพื้น
   
“ชอบ...อย่างนั้นเหรอ?” วันสุขถามเสียงต่ำ มุมปากยกยิ้มเบาบางอย่างอดไม่ได้ นัยแฝงในรูปประโยคไม่จริงจังนั่น...ชวนให้คิดไปไกลเสียจริง
   
“ครับ...ชอบ” เสียงทุ้มแตะแผ่วที่ปลายหู นิ้วเย็นๆ ไล้ลงที่บั้นเอวขวาของเขา “ตรงนี้...มีผีเสื้ออยู่ด้วย คราวนั้นผมไม่ทันสังเกต แต่ผีเสื้อกับสายลม...เหมาะกับพี่ดี” ว่าแล้วก็ลากปลายนิ้วไปตามลายเส้นซึ่งวาดกระหวัดเป็นรูปผีเสื้อกระพือปีก สายลมเกลียวคล้ายคลื่นน้ำทอดยาวเฉียงขึ้นไปจนเกือบถึงกลางหลัง ทุกอย่างมีเพียงแค่สีดำล้วนเท่านั้น
   
“จะถามใช่ไหมว่าคิดยังไงถึงสัก” วันสุขปัดมือที่เริ่มจะล้วงลึกเข้ามาใต้ผ้า ยกแขนซ้ายขึ้นกอดเอวตัวเองไว้แล้วใช้ปลายนิ้วลูบตัวผีเสื้อเบาๆ “ตรงนี้น่ะ มีแผลเป็นอยู่ แผลเป็นไม่น่าดู ก็เลยสักทับซะ”
   
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นผีเสื้อล่ะครับ” เจ้าหนูจำไมคล้ายกับจะถามขึ้นมาไม่ถูกเวลานัก วันสุขยิ้มเหยียดให้กับตัวเอง พอนึกถึงเหตุผลเมื่อนานมาแล้วนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
   
“ช่างที่สักให้เป็นคนญี่ปุ่นน่ะ...เขาบอกพี่ว่า ผีเสื้อ เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณของคนตาย...”
   
“วิญญาณ...”
   
“ครับ...เวลามองมันทีไรมันก็ช่วยย้ำพี่หลายๆ เรื่องน่ะ” หัวเราะเบาๆ ทั้งที่ใจกลับแสบแปลบ สัมผัสเย็นเฉียบแล่นริ้วขึ้นมาจากแหวนสีดำซึ่งสวมอยู่
   
เขาสะบัดหน้าไล่ความคิดร้ายๆ ออกไปจากหัว แล้วก็ตรงดิ่งไปยังประตูห้องน้ำซึ่งแง้มไว้ พอเปิดพรวดเข้าไปเป็นต้องยืนนิ่ง ลมหายใจกระตุกไปชั่วแวบราวกับเห็นภาพซ้อนอย่างไรอย่างนั้น
   
คงเพราะไม่ใช่ห้องน้ำที่บ้าน...ก็เลยไม่คุ้นเอาเสียเลย...
   
“ซาน...” เอ่ยปากเรียกคนที่เดินตามมาติดๆ ไฟในห้องน้ำถูกเปิดพรึบทำเอาเขาโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
   
“ครับ?”
   
“พี่...ไม่อยากอาบน้ำคนเดียว...”
   
นี่เขาพูดบ้าอะไรออกไปนะ? แต่ช่างเถอะ...ในช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวทีไรเป็นต้องคิดเรื่องร้ายๆ แบบนี้ ต่อให้เข้ามาแค่อาบน้ำ อย่างน้อยมีคนอื่นอยู่ด้วยก็ไม่เป็นจะเป็นอะไร
   
“ผมก็ว่าจะถามพี่เหมือนกันว่าอยากให้อยู่เป็นเพื่อนไหม”
   
เด็กหนุ่มหัวเราะพลางยกยิ้ม...ยิ้มละมุนซึ่งตีความไม่ออก...


   

แปลกดีเหมือนกัน...ห้องน้ำที่นี่มีที่สำหรับนั่งอาบเสียด้วย เรนชาวเวอร์ขนาดใหญ่ติดเพดานเองก็ดูหรูหราแปลกตา อีกฟากหนึ่งเป็นมู่ลี่กั้นแบ่งโซน เจ้าของห้องบอกเขาว่าฝั่งนั้นเป็นอ่างสำหรับนอนแช่
   
นี่มันใช่ที่ที่นักศึกษาธรรมดาจะมาอยู่ได้แน่เหรอ?
   
วันสุขนั่งชันเข่าเงียบๆ ให้สายน้ำเย็นจัดไหลผ่านร่างไม่ต่างจากสายฝนนักตามชื่อของมัน น้ำลู่ไล่มาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายผม สุดที่ปลายเท้า แล้วเจิ่งเต็มแท่นนั่งเย็นยะเยือก เสียงซาซ่าเปาะแปะทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
   
“พี่วันชอบน้ำเย็นเหรอ?”
   
เสียงถามไถ่ดังแทรกเสียงน้ำเข้ามา วันสุขหัวเราะแผ่ว ทิ้งแผ่นหลังนาบไปกับกระจกใส ซึ่งอีกฟากหนึ่งมีแผ่นหลังของใครบางคนพิงอยู่เช่นกัน ทั้งที่เนื้อกระจกก็ไม่ได้บางอะไร แต่นี่คงเป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกได้ถึงไออุ่นๆ จากฟากตรงข้ามกระมัง
   
เขาเอี้ยวคอมองต้นคอกับบ่ากว้างนั่น ซานนั่งกดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจอะไรเขาเท่าไรนัก ก็แปลกดีที่ต้องมาอาบน้ำแล้วมีใครบางคนนั่งหันหลังให้ แต่ถึงอย่างนั้น...เขากลับไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร ยังมีอะไรให้อายกันอีกล่ะ?
   
วันสุขยกสองแขนขึ้นโอบรอบเข่า เสี้ยวหน้าด้านหนึ่งนาบไปกับกระจกอย่างเหม่อลอย
   
“ซาน...เคยฝันร้ายหรือเปล่า” เผลอถามออกไปอย่างลืมตัว แล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบรอคำตอบ
   
“เคยสิครับ ทำไมจะไม่เคยล่ะ”
   
“แล้วเคย...ฝันว่าตัวเองกำลังจมลงไปในน้ำหรือเปล่า” ภาพฝันที่เขามักเห็นบ่อยๆ ถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเย็นเฉียบทำให้ปลายนิ้วด้านชา แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ...หนาววาบมาจากข้างใน
   
“พี่น่ะ...ฝันอยู่บ่อยๆ ว่าตัวเองถูกผลักให้จมลงไป แต่ในฝันก็ไม่เคยจะตะเกียกตะกายว่ายขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ สักที ก็ได้แค่ตีแขนตีขา สักพักก็หมดความพยายาม แล้วก็ยอมให้ตัวเองถูกดึงให้ลึกลงไปกว่าเดิม” ปลายนิ้วไล้ขึ้นไปตามแผ่นกระจก กรีดลายวาดเล่นไปเรื่อยเปื่อย ราวกับจะต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวสายตา
   
“ทำไม?” เด็กคนนั้นถามเสียงเบา
   
“เพราะที่ก้นบึ้งนั่น มีใครบางคน...รอรับพี่อยู่ตลอดน่ะสิ”
   
ที่ก้นบึ้งนั่นมีใครบางคน...คนที่อยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนานแสนนาน คนที่รอให้เขาจมลึกลงไป ลึกลงไปจวบจนมือคู่นั้นไขว่คว้าหาตัวเขาได้ในที่สุด
   
“ในฝันนั่นน่ะ... พี่กลัว...กลัวว่าแท้จริงแล้วตัวพี่เองนั่นแหละกลับยินดีที่ถูกฉุดกระชากลงไป”
   
เสียงสั่นพร่าทำเอาอดยิ้มเย้ยตัวเองไม่ได้ ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ? ความอ่อนแอนี่ราวกับจะตอกย้ำเขา ว่าตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง คนธรรมดาที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
   
“นี่...ผมถามอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหม”
   
พลันเจ้าของดวงตาสีเข้มกลับหันมาถามพลางชะงักไป ก่อนจะยกยิ้มอ่อนมาให้ เด็กคนนั้นค่อยๆ เลียนแบบท่าทางของเขา ทิ้งศีรษะพิงลงมาในตำแหน่งเดียวกัน จนสายตาประสานกันในที่สุด
   
มันให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งที่ไม่ได้สัมผัสกัน แต่เหมือนกระจกที่กั้นกลางพวกเขาเอาไว้คล้ายกับจะไม่มีตัวตนอีกแล้ว... วันสุขอดที่จะหรุบตาลงต่ำไม่ได้ แอบกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ เพราะถ้าขืนเขาปลุกให้มันตื่นขึ้นมา...ทุกอย่างคงหยุดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
   
“รอยสักนั่นกับแหวนสีดำ มันเกี่ยวข้องกันใช่ไหมครับ” สายตาจริงจังคู่นั้นคล้ายกับจะเร่งให้เขาตอบ เด็กเอาแต่ใจก็ยังคงเอาแต่ใจอยู่วันยังค่ำ พอเขาห้ามไม่ให้ถามเรื่องหนึ่ง เจ้าตัวก็ยังทู่ซี้หาช่องมาถามเขาจนได้ และคงจะถามไปเรื่อยๆ อยู่แบบนี้จนกว่าจะได้คำตอบ...
   
“เกี่ยว...แต่ก็ไม่ทั้งหมด...” เพราะแหวนนี่เป็นเหมือนเครื่องเตือนความจำ ส่วนรอยสักเป็นเสมือนสิ่งย้ำเตือนความผิดหลายๆ อย่างที่เขาได้ทำไป ความผิดพลาดที่ต่อให้ชีวิตนี้ชดใช้อย่างไรก็ไม่หมด
   
“เขาคนนั้น สำคัญ...มากเลยสินะครับ” ซานหรุบตาลงต่ำ ยกยิ้มอ่อนดูเหงาหงอยอย่างแปลกประหลาด “แต่ว่า...ยิ่งสำคัญมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากจะลบตัวตนของเขาออกไปนะ” สายตาที่จ้องมาชวนให้รู้สึกอยากจะค้นหาความจริงใต้คำพูดนั่นเหลือเกิน
   
ลบหรือ? ถ้าหากลบออกไปได้ล่ะก็... แต่ว่า
   
“เราพูดเหมือนว่าพี่เป็นคนสำคัญ” คนที่ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรต่อกันจะมาพูดแบบนี้ใส่กันหรือ? ความระแวงของเขาบอกไว้แบบนั้น... ยิ่งรู้จักกัน เขาเองก็ยิ่งไม่เข้าใจการกระทำของคนตรงหน้า คงเพราะอะไรก็ดูเร็วเกินไป...ใกล้กันเร็วเกินไป
   
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่าทางของพี่ดูอยากจะให้ผมพูดแบบนั้นเท่านั้นเอง” เด็กหนุ่มยกยิ้ม ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศจากซานก็ดูแปลกไป คล้ายกับว่าเด็กนี่จะรู้อะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาคาดเดาไม่ออก
   
“โกหกหรือเปล่า” เขาถาม ...ใครจะมานั่งอ่านใจคนอื่นได้ ขนาดจิตแพทย์ที่เก่งที่สุดยังไม่สามารถคาดเดาความคิดของคนไข้ได้เลยแท้ๆ
   
“ผมพูดเรื่องจริง” ซานว่าเสียงนุ่ม ตาคมสวยหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์
   
“ใครมันจะไปเชื่อ...” เขาแย้ง เขม่นตาจ้องกลับไป
   
“พิสูจน์ไหมล่ะครับ” คนเด็กกว่าท้าเสียงแผ่ว
   
“...” เขาเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร บรรยากาศนิ่งเงียบไปชั่วขณะ... ก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มนั่นจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
   
“ผมจะลบเขา”
   
ชั่วขณะหนึ่งเหมือนเสียงทุกอย่างจะเงียบสนิท คำพูดนั่นดังก้องในหัว... เหมือนเสียงระฆังกังวาน วันสุขเม้มปากแน่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าทันทีที่ได้ยินถ้อยคำแบบนั้น...หัวใจมันก็คล้ายกับ...
   
“หวั่นไหวใช่หรือเปล่า”
   
คำพูดถือดีถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีสวยนั่นอีกครั้ง ซานคลี่ยิ้มร้ายกาจ เสียงหัวเราะทุ้มแผ่วทำเอาเขาพูดไม่ออก เหมือนถูกจับได้จนไปต่อไม่ถูก เหมือนเสียท่ากลายๆ แต่ความกระหายบางอย่างในใจกลับทะยานสูงขึ้นจนน่ากลัว
   
“ถ้าอย่างนั้น...ขอค่าพิสูจน์ด้วยนะครับ”
   
สิ้นเสียงพูด กลีบปากสีสวยนั่น...ก็แตะลงมายังตำแหน่งเดียวกันกับของเขา แผ่วผ่านเนื้อกระจกเย็นเฉียบ ส่งริ้วไออุ่นที่ไม่มีตัวตนให้แล่นวาบเข้ามาสู่หัวใจกระตุก
   
เหมือนปีกผีเสื้อกระพือ...แผ่วเบา


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ (21/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 21-07-2014 12:58:39


หลังจากวันนั้นพอกลับบ้านไปได้ก็ถูกคุณอาดุยกใหญ่ ท่านโกรธเขามาก โกรธเสียจนไม่ยอมอยู่โยงรอกินข้าวเย็นร่วมอาทิตย์ วันสุขนึกเสียใจ... เมื่อก่อนเขามักจะทำอะไรไปโดยไม่คิดถึงคนอื่นเท่าไหร่ ทั้งที่สัญญากับตัวเองไว้แล้ว แต่ก็ยังเผลอทำเรื่องแบบนั้นอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
   
กว่าจะง้อคุณอาได้ก็เหนื่อยเอาเรื่อง แลกกับการเล่าเรื่องปัญหาที่เป็นอยู่ตอนนี้กับโต๊ะกินข้าวที่จะไม่เงียบเหงาอีกต่อไปนั้นก็คุ้มค่าทีเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง...ใครสักคนที่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป หลังจากผ่านพ้นคืนนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ซานตามติดเขาแจยิ่งกว่าเดิม
   
“พี่วัน...ทอดไข่ดาวให้หน่อย” เสียงเงี้ยวง้าวดังมาจากห้องนั่งเล่น วันสุขวางมีดซึ่งเพิ่งล้างเสร็จหมาดๆ ลงกับตะแกรงพัก ถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ตรงดิ่งไปยังแมวอืดที่นอนยึดโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์
   
“เมื่อเช้าก็กินเข้าไปเยอะแล้วนะครับ” อดบ่นขึ้นมาไม่ได้ วันหยุดแท้ๆ แต่ก็ยังต้องมานั่งสู้รบกับแมวเหมียวอีก ตอนสายๆ ปรัชญ์ก็จะเข้ามาทำสวนหลังบ้านให้ คิดแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อยากจะรู้จริงๆ ว่าสวนจะออกมาหน้าตาแบบไหนกันนะ?
   
“ไข่ดาว...” พอไม่ได้ดังใจก็เปลี่ยนวิธีการ ไม่รู้ว่าเด็กนี่จับจุดเขาถูกหรืออย่างไร เวลาอ้อนอะไรถึงได้ชอบใช้สายตาแบบนั้นจ้องมาทุกที
   
“อะไรเล่า...กินมากเดี๋ยวท้องอืดนะครับ ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้” วันสุขขมวดคิ้วมุ่น
   
“แค่ไข่ดาวเองวัน อาเอาด้วยแล้วกัน รองท้องสักหน่อย เดี๋ยวเที่ยงๆ ต้องออกไปต่างจังหวัด” คุณอาที่นั่งดูรายการโทรทัศน์ไม่ไกลเปรยขึ้นขำๆ ทำเอาเขาขัดไม่ได้ วันสุขยู่หน้า
   
“ออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอครับ ผมไม่อยากให้อาไปไหนไกลๆ เลย” เขาบ่นเสียงอ่อน นอกจากจะเกลียดการเดินทางไกลแล้ว เขายังเกลียดการให้คนรู้จักไปไหนไกลๆ ด้วย...มันอดกังวลไม่ได้ เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ...
   
“กังวลเกินไปแล้วนะเรา” คุณอาเดินเข้ามาใกล้พลางจับศีรษะเขาโยกไปมาเหมือนเด็กๆ วันสุขทำสีหน้าไม่พอใจอย่างลืมตัว ก่อนจะต้องโวยลั่นเมื่อถูกคนแก่กว่าดึงแก้มจนเจ็บไปหมด พอแกล้งเขาจนพอใจก็เดินหัวเราะเข้าครัวไป
   
“แค่ไข่ดาวเดี๋ยวอาทำเองก็ได้ เราน่ะไปตลาดเถอะ”
   
“ครับๆ ” รับคำแล้วถอนหายใจเฮือก ถอดผ้ากันเปื้อนสีสันแสบตาวางพาดกับราวแถวนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาก็ปะทะสายตากับแมวตัวโตทันที...ซานมองมานิ่งๆ จ้องราวกับสัตว์ที่กำลังสังเกตการณ์
   
“พี่ดูไม่เหมือน วันสุข ที่ผมรู้จักเลย” เด็กหนุ่มว่า
   
“ไม่เหมือนยังไงครับ?” เอียงคอถามเสียงฉงน นัยน์ตาวาวๆ คู่นั้นทำเอารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล
   
“พี่ดูจับต้องได้”
   
“หมายความว่ายังไงล่ะนั่น” ฟังแล้วดูเหมือนไม่ใช่คำชมเท่าไหร่
   
“พี่วันน่ารักครับ” น้ำเสียงนั่น...จริงจังกว่าทุกที หนักแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะหยอกล้ออย่างที่เคย วันสุขเม้มปาก คิ้วขมวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้นฉายวาบเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง
   
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” ซานว่าพลางยกมือซนๆ ดึงแก้มเขาเล่นอย่างนึกสนุก เขาขืนตัวออก แต่ก็หลบไม่พ้นมือคู่นั้นอยู่ดี หูเองก็แว่วเสียงเพลงเย้าแหย่ดังมาจากในครัว พลันเสียงสั่นครืดของบางสิ่งก็ดังขึ้นตัดบรรยากาศ
   
“เยลลี่โทรมาแหละ” ซานว่าแล้วก็กดรับสาย ลุกหนีออกไปคุยธุระที่ในสวน เขามองตามแผ่นหลังนั่นไป...ทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟา ตบมือตีแก้มเรียกสติ ความรู้สึกที่ปะทุเดือดขึ้นมาในใจถูกเป่าให้พัดหายไปในทันทีที่มันผุดขึ้นมา
   
ไอ้ที่เคยย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่าจะลองปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่ควรเป็นนั้น...ไม่รู้ว่าตัวเขาจะทำตามอย่างที่เคยพูดไปได้อีกนานสักเท่าไหร่ มันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริงๆ ยิ่งความสุขมีมากขึ้นเท่าไหร่...ความหวาดกลัวก็รังแต่จะมากขึ้นเท่านั้น


   

ปรัชญ์มาก่อนที่เขาจะกลับจากตลาด พอแบกสารพันของเข้าบ้านมาได้ก็เจอะเข้ากับบรรยากาศกดดันซึ่งแผ่มาจากห้องนั่งเล่น คนงานสองสามคนที่คาดว่าเด็กคนนั้นน่าจะพามาด้วยเริ่มงานกันแล้วที่หลังบ้านโดยมีคุณอาคุมอยู่
   
วันสุขแอบหลบเข้าไปในครัว นำสารพันข้าวของไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าว แล้วก็ตรงดิ่งไปยังห้องนั่งเล่น น่าแปลกตรงที่แม้ว่าเขาจะเข้าไปยืนอยู่กลางห้อง แต่กลับไม่มีใครเปิดปากพูดขึ้นมาสักคำ
   
“ทะเลาะกันเหรอครับ?” อดถามไม่ได้ ซานนอนอ่านหนังสืออย่างปกติ ต่างออกไปก็ตรงใบหน้าซึ่งมักจะมีรอยยิ้มติดอยู่เสมอดูเย็นชาอย่างประหลาด ปรัชญ์ที่ดูอ่อนน้อมใจเย็นก็มีประกายกรุ่นโกรธฉาบอยู่ในแววตา
   
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา หรุบตาลงต่ำทันทีที่โดนเขาจ้อง วันสุขถอนหายใจเฮือก ไอ้ท่าทีแบบนี้จะบอกว่าไม่มีอะไรก็คงเชื่อยาก แต่ถ้าไม่มีใครยอมอธิบายอะไร เขาเองก็คงไปยุ่มย่ามไม่ได้
   
“จริงสิ ในครัวมีก๋วยเตี๋ยวนะ พี่ทำเผื่อคนงานเขาด้วย”
   
“ขอบคุณมากครับ แต่ว่าไม่รบกวนพี่วันแน่นะครับ” ปรัชญ์ถามเขาอย่างเกรงใจตามประสา วันสุขเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
   
“รบกวนอะไรกัน พี่ก็ทำแบบนี้ปกตินั่นแหละ” ยิ้มอารมณ์ดีก่อนที่หนุ่มร้านต้นไม้จะขอตัวไปทำงานต่อ วันสุขทำท่าว่าจะเดินตามออกไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อปลายแขนเสื้อถูกดึงเบาๆ
   
“ครับ?” เอียงคออย่างแปลกใจ ซานเหลือบมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือ วางหนังสือลงกับโต๊ะ แล้วก็นอนหันหลังให้เสียอย่างนั้น
   
“เดี๋ยวพี่ออกไปช่วยงานข้างนอกก่อนนะ ถ้าหิวก็มาเรียกพี่ได้นะครับ” พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินตามหลังปรัชญ์ออกไปสวนทางกับคุณอาซึ่งเข้ามาบอกเขาว่าท่านต้องออกไปทำธุระแล้ว
   
กอดลากันอย่างที่ทำประจำ ความกังวลเริ่มเข้ามากัดกินจิตใจ และมันคงจะเป็นอย่างนี้จนกว่าคนเดินทางไกลจะกลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
   
“น้องปรัชญ์ครับ มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า?”
   
ส่งคุณอาเสร็จเขาก็ออกมาที่สวนหลังบ้าน อดแปลกใจไม่ได้ ภาพหนุ่มร้านต้นไม้กับนักศึกษาเรียนดีที่เขามักเห็นบ่อยๆ นั้นดูจะต่างกันลิบลับ ปรัชญ์ดูเอาจริงเอาจัง สีหน้าเองก็ดูดีขึ้นกว่าตอนที่เจอในมหาวิทยาลัยเยอะ ดูมีชีวิตชีวากว่ากันตั้งหลายเท่า คงอย่างที่คุณแม่ของปรัชญ์บอกจริงๆ เด็กคนนี้งานนี้...เหมือนกับที่เขารักการทำอาหารกระมัง?
   
“แค่พี่วันทำก๋วยเตี๋ยวเลี้ยง พวกเราก็เกรงใจจะแย่แล้วล่ะครับจะให้ลูกค้ามาช่วยงานอีก ผมโดนคุณแม่ดุแน่ๆ ” ปรัชญ์ว่าเสียงใส แล้วหันไปแกะไม้พุ่มเล็กๆ ซึ่งเขาจำได้ว่าเคยเลือกไว้เพื่อใส่ลงไปในหลุมดิน
   
วันสุขมองภาพเหล่านั้นยิ้มๆ ทิ้งตัวนั่งไกวขาที่ชานเรือน แล้วก็เดินไปหยิบกระติกใส่น้ำแข็งพร้อมแก้วน้ำไปวางไว้ให้ พอใกล้เที่ยงแดดก็เริ่มแรง สภาพท่วมเหงื่อของปรัชญ์เองก็แปลกตาดีเหมือนกัน
   
“น้องปรัชญ์นี่...พอไม่ได้ทำตัวเรียบร้อยแล้วดูดีขึ้นเยอะเลยนะครับ” ชันเข่าเท้าคางมองพลางเอ่ยปากชม เด็กสมัยนี้นี่น่าอิจฉาจังเลยนะ? ตัวโตโครงร่างดีกันทั้งนั้น ยิ่งเจ้าตัวทำงานที่ต้องใช้แรงมาตั้งแต่เด็ก สภาพกล้ามเนื้อเลยดูแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง
   
“พี่วันน่ะดูดีกว่าผมอีก” ปรัชญ์หันมาย้อนชมเขาเสียงเบา แก้มแต้มสีฝาดเบาบางอย่างทุกที
   
“ดูดียังไงก็สู้เด็กสมัยนี้ไม่ได้หรอก เอ้าเหงื่อไหลเข้าตาแล้วนั่น” ว่าขำๆ แล้วก็คว้าผ้าขนหนูที่เตรียมเอาไว้พลางเดินเข้าไปใกล้ ซับผ้าลงกับใบหน้าของอีกฝ่าย เด็กคนนั้นสะดุ้งโหยงทันที่ที่ถูกเขาโน้มคอให้ก้มลงต่ำ วันสุขหัวเราะขันก่อนจะเอาผ้ามาพับทบทำเป็นที่คาดกันเหงื่อเข้าตาให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพ
   
“ขอบคุณครับ” ปรัชญ์ก็ยังคงเป็นปรัชญ์ พอโดนเขายิ้มใส่เข้าไปอีกทบเจ้าตัวก็ก้มหน้างุดๆ เดินหนีไปอีกทาง
   
วันสุขมองตามแผ่นหลังนั่นไป ก่อนจะกลับไปนั่งเล่นที่ชานระเบียงอีกครั้ง ฮัมเพลงขึ้นมาเพลินๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดคราด หยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรมา พอเห็นชื่อเท่านั้นก็ต้องถอนหายใจเฮือก
   
“ว่าไงเวย์? คิดยังไงถึงโทรมา”
   
“คิดว่าแกตายไปแล้วไงไอ้วัน! มีปัญหาทำไมถึงไม่ยอมมาหาฮะ!?” ปลายสายตะโกนลั่นทำเอาเขาเบ้หน้า วันสุขยกโทรศัพท์ออกห่างหูในทันใด ขณะที่เสียงแว้ดๆ ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง
   
“ก็คิดว่ามันคงไม่น่าจะมีอะไร...” ว่าเสียงอ่อย ถ้าจะให้ใส่ฐานะสำหรับคนสนิท วันสุขว่าเพื่อนเขาคนนี้คงได้รับตำแหน่งแม่บังเกิดเกล้าแน่ๆ คบกับมันมาเป็นสิบปี แรกๆ ก็ไม่อะไร แต่ยิ่งรู้จักนานเท่าไหร่ ชีวิตเขาก็ยิ่งถูกมันบงการมากเท่านั้นแหละ
   
“บอกแบบนี้ทุกที แล้วก็มีปัญหาทุกที กลับมากินยานอนหลับอีกแล้วใช่ไหม? น้ำเสียงดูเพลียๆ ด้วย อีแบบนี้ถึงจะหายหวัดเดี๋ยวเดียวก็เป็นใหม่” สมกับเป็นคุณหมอ ไม่ต้องมาตรวจกันให้เห็นหน้า แค่ฟังน้ำเสียงก็พยากรณ์โรคให้เขาเสร็จสรรพ
   
“ก็มีเรื่องให้คิดเยอะ” บ่นอุบอิบ หางตาเหลือบไปเห็นซานที่เดินเข้ามาในครัวพอดี
   
“เรื่องอะไร?” เวย์ถามเสียงเหี้ยม รายนี้ก็ทุกที แต่เขาก็โวยวายอะไรไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายทำเป็นเพราะห่วงเขาจริงๆ
   
“โน่น นี่ นั่น เยอะแยะ” พูดกลั้วหัวเราะ เรื่องบางเรื่องไม่ต้องบอกตรงๆ คนปลายสายก็น่าจะเดาได้อยู่แล้ว
   
“จะเอายาเพิ่มไหมจะได้ฝากผู้จัดการร้านไปให้...” พอโวยวายเสร็จก็เข้าโหมดขรึมแบบตามแทบไม่ทัน วันสุขยิ้มเย็นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
   
“ไม่ล่ะ ของเก่ายังมีอยู่ บางทีก็อยากลองพยายามด้วยตัวเองเหมือนกัน” ต่อให้ต้องพยายามทั้งชีวิตเขาก็จะทำ ในเมื่อทุกอย่างมันดีขึ้นแล้ว แม้ช่วงนี้จะแย่ลงมาบ้าง แต่อีกไม่นานมันก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่นานหรอก...
   
“ถ้ายืนยันแบบนั้นก็ตามใจ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรต้องบอก เข้าใจไหม?” เพื่อนสนิทกำชับเสียงเข้ม
   
“อืม...ครับ คุณแม่”
   
“เปลี่ยนฐานะจากคุณแม่เป็นว่าที่สามีให้พี่เวย์จะดีกว่าน้องวัน” โดนตอกมาแบบนี้ทำเอาสะอึก เผลอยกมือขึ้นนวดขมับไม่ได้ ภาพประหลาดสมัยตอนยังเรียนมหาวิทยาลัยผุดวาบขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
   
“นี่ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีกเหรอ?” เขายังจำได้ถนัดเลยล่ะ ไปเล่าให้ใครเขาฟังก็คงไม่มีใครอยากจะเชื่อเท่าไหร่ ว่าผู้ชายที่ตามแจสมัยเรียนในวันนั้นจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทจนถึงวันนี้ หรือว่ามีแต่เขาฝั่งเดียวที่คิดว่ามันเป็นเพื่อนสนิทกันนะ?
   
“ก็รอให้คุณแม่บ้านหาคู่ให้ได้เร็วๆ นั่นแหละจะได้ตัดใจได้สักที” ไม่รู้ที่พูดมาล้อเล่นหรือจริงจัง เวย์มันก็เป็นแบบนี้ เอาแน่เอานอนไม่ได้สักที...นิสัยแบบนี้...เหมือนกับใครบางคนไม่มีผิด จะเชื่อได้อยู่อย่างเดียวนั่นแหละว่า ความห่วงใยที่มีให้มาตลอดน่ะของจริงแท้แน่นอน
   
“งั้นก็รอไปแล้วกัน นายวันสุขจะโสดไปจนตายเนี่ยแหละ”
   
“เหรอ? น้ำเสียงหาความหนักแน่นไม่ได้เลยนะ อา...ต้องไปดูร้านก่อนแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรต้องบอกนะเข้าใจไหม!?” ไม่วายทิ้งท้ายกำชับเสียงเข้มจนเขาต้องตกปากรับคำไปก่อนถึงจะยอมวางสาย
   
“หิวแล้ว”
   
เสียงเรียกจากทิศหนึ่งดังขึ้น วันสุขหันไปมองก็เจอะกับแมวตัวใหญ่ซึ่งกำลังยืนพิงตู้เย็น ตาสีเข้มจ้องมองมานิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ แต่ทำไมเขากลับรู้สึกกังวลใจแปลกๆ ก็ไม่รู้
   
“เอ้อ งั้นเดี๋ยวพี่หั่นผักให้ก่อนแล้วกัน” บอกออกไปแบบนั้น แต่แมวตัวโตทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนจะกลับไปนอนอ่านหนังสือเงียบๆ
   
แปลก...แปลกจริงๆ นั่นแหละ
   
“ซาน เป็นอะ...” หวังจะถามว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ต้องชะงักไป เมื่อคนงานด้านนอกส่งเสียงเรียกเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับจุดวางน้ำพุจำลอง วันสุขถอนหายใจเฮือก วางชามก๋วยเตี๋ยวไว้ข้างๆ คนที่เอาแต่นอนเงียบ ก่อนจะเดินฉับๆ ออกไปที่หลังบ้าน
   
ถ้าจะให้เดาแบบเข้าข้างตัวเองล่ะก็ เขาก็พอจะรู้คำตอบอยู่หรอกนะ...


   

งานเดินเร็วกว่าที่คิด เดี๋ยวเดียวก็ใกล้จะเสร็จแล้ว มุมน้ำพุจำลองก็ออกมาสวยทีเดียว สวนโล่งๆ ก็ดูจะมีสีสันขึ้นมาทันตา เหลือเพียงแค่เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างก็เสร็จ
   
พอเข้าช่วงพักเที่ยง ก๋วยเตี๋ยวที่ทำไว้ก็ขายดีพอสมควร เห็นคนกินชมเปราะว่าอร่อยก็อดยิ้มภูมิใจไม่ได้ นานแล้วที่เขาไม่ได้ทำของเลี้ยงคนเยอะๆ แบบนี้
   
วันสุขปลีกตัวออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน มองนู่นนี่ไปเรื่อย แดดบางลง ฟ้าก็ครึ้มๆ คล้ายกับว่าฝนจะตก เขาทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นหญ้านุ่มๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฝีเท้าของใครสักคนดังเข้ามาใกล้
   
“พี่วันครับ”
   
“ครับ?” ขานตอบไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก ปรัชญ์นั่นเอง... “ไปทำอะไรมาครับ ท่าทางดูไม่ดีเลย...” อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด็กตรงหน้ายังยิ้มแย้มดีอยู่แท้ๆ
   
“ซาน...มาที่นี่บ่อยหรือเปล่าครับ?” คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องเรื่องนี้
   
“พักนี้ก็มาบ่อยอยู่ ทำไมเหรอ?”
   
“เปล่าครับ...” ว่าแล้วแล้วก็เงียบไป...ต่างคนต่างไม่พูดอะไร วันสุขเหม่อมองท้องฟ้าอีกครั้ง แดดอ่อนๆ จางหายไปแล้วเหลือเพียงลมเย็นกับเมฆครึ้มสีเทาเท่านั้น บรรยากาศชวนให้หดหู่เสียจริง เผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองคนข้างตัว
   
“พี่กับซานน่ะยังไม่ได้คบกันหรอกนะ” บอกออกไปจนได้ แม้จะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่นี่ก็ยังคงเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความสัมพันธ์ขมุกขมัวนี่...จะเรียกว่าคบกันก็คงไม่ใช่ เพราะเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเริ่มมาจากไหน...หรือบางทีมันยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ... เรียกว่าสนิมสนมกันเกินพอดีจะเข้ากว่า
   
“แต่เขาบอกผม...”
   
“บอก?” เอียงคออย่างสงสัย บอกอะไรนะ? คงไม่ใช่บรรยากาศตึงๆ ตอนที่เขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นหรอกนะ?
   
“เขาบอกผมว่าพี่จะไม่มีวันหันมามองผม...ตราบเท่าที่เขายังอยู่ข้างพี่ตอนนี้” วันสุขเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อได้ฟัง
   
“น้องปรัชญ์ก็ทำให้พี่เลิกมองเขาสิครับ” ว่ายิ้มๆ เสียงนุ่มตามประสา พอนึกถึงหน้าแมวขู่ฟ่อๆ แล้วก็อดขำไม่ได้ ...น่ารักดีจริงๆ นั่นแหละ อย่างไรเสียซานก็ยังเด็ก ทำอะไรเป็นเด็กๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนมีใครมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแบบนี้
   
“ผมน่ะ...ทำไม่ได้หรอกครับ” ปรัชญ์พูดเสียงอ่อยอย่างคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองนัก “แค่เห็นตอนที่พี่คุยกับเขา...ผมก็รู้แล้วล่ะครับ...” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา ท่าทางนั่นคล้ายกับคนใกล้ร้องไห้ชอบกล
   
วันสุขมองนิ่งๆ เขาไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ให้คนข้างๆ นี่ฝังใจขนาดนี้ แต่เขาเองก็พอจะเข้าใจอยู่...ความรู้สึกซึ่งยึดติดกับอะไรบางอย่าง บางครั้งมันก็ไม่ต้องการเหตุผล และหลายครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาด้วยซ้ำ
   
“น้องปรัชญ์น่ะ จริงๆ แล้วคิดยังไงกับพี่กันแน่ครับ?”
   
“ชอบครับ...” น่าแปลกที่ตอบกลับมาไวกว่าที่คิด ปกติคงต้องทำท่าทีเขินอาย หน้าแดงแล้วก็วิ่งหนีเขาอย่างทุกทีสิ?
   
“ชอบแบบไหนล่ะ?” วันสุขยกยิ้มบางๆ แล้วถามต่อเหมือนจะรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว
   
“ผมไม่รู้...แค่รู้สึกว่าพี่น่ะเก่งมากๆ ยิ้มสวย แล้วก็ทำกับข้าวอร่อยด้วย ผมชอบที่พี่วันเป็นแบบนั้น”
   
“แต่มันก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเรื่องของพี่กับซานนี่ครับ?” อดที่จะถามออกไปไม่ได้
   
“ก็เวลาที่พี่อยู่กับเขา...ผมไม่ชอบเลย พี่เหมือนไม่มีความสุข ดูกังวล แล้วก็เหมือนจะร้องไห้ทุกที” ใบหน้าที่ก้มลงต่ำตลอดเงยขวับขึ้นมาจ้องเขาในทันใด ดวงตาคู่ตรงหน้านั่นอัดแน่นไปด้วยประกายมุ่งมั่นแปลกๆ ชอบกล
   
“แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น ทั้งที่พี่ดูเศร้าขนาดนั้นแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าพี่วันน่ะดูผ่อนคลายกว่าทุกที... ผมน่ะอิจฉานะครับ ทำไมเขาถึงทำให้พี่เป็นแบบนั้นได้ แต่ทำไมผมถึงทำไม่ได้...”
   
“น้องปรัชญ์...”
   
“เพราะเขาสำคัญใช่หรือเปล่า? ผมน่ะแค่อยากสำคัญแบบเขาบ้าง...แค่สักนิด สักนิดก็ยังดี...” ไหล่ถูกคว้าไว้ วันสุขเบิกตากว้างยามที่อีกฝ่ายกระชากเขาเข้าไปกอดแน่น ถ้อยคำวิงวอนดังแผ่วคล้ายกับคนที่ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไร
   
“พี่เอง... ไม่รู้สินะ...” เขาพึมพำ อดยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างนั่นเพื่อปลอบโยนไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ทว่าในดวงตาของปรัชญ์ซึ่งมองมายังเขานั้นราวกับจะทะลุผ่านไป เหมือนเด็กตรงหน้ากำลังนึกถึงเรื่องบางอย่างแล้วใช้ภาพของเขาแทนบางสิ่งเท่านั้น
   
“ซานเองก็สำคัญ ปรัชญ์เองก็สำคัญเหมือนกัน เราน่ะมีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่า? เล่าให้พี่ฟังได้นะ” ว่าเสียงนุ่มอ่อนอย่างที่ใช้ประจำยามที่ต้องปลอบคนอื่น เอวถูกรัดแน่นขึ้นไปอีกราวกับว่าเขาไปจี้จุดอะไรเข้า... ดูท่าเรื่องที่คุยกันมาตั้งแต่ต้นเขาอาจจะต้องตีความเอาเสียใหม่ ปรัชญ์ไปเจออะไรมากันถึงได้มีสภาพแบบนี้นะ?
   
“พี่น่ะ...” พร้อมจะรับฟัง...
   
พลันคำพูดขาดหายก็ถูกกลืนไปในลำคอยามที่สายตาสบเข้ากับบางสิ่ง... ใครบางคนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้าน กายสูงพิงกับขอบประตูด้วยท่าทางสบาย ใบหน้าใต้เงาสลัวจากชายหลังคามองตรงมาที่พวกเขา ริมฝีปากขึ้นรูปสวยนั่นยกยิ้มเบาบางอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเหมือนปกติ
   
“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง...ผมก็เดินหาพี่เสียทั่ว ที่แท้มาอยู่หน้าบ้านนี่เอง”
   
เสียงเนิบนาบดังกังวาน...
   
กว่าจะมาได้สติอีกทีก็ตอนที่แขนถูกกระชากอย่างไม่เบามือนัก แทบหงายลงไปถ้าไม่มีใครบางคนมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เอวถูกคว้าหมับกอดแน่น เขาซึ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองสีหน้าตื่นตะลึงของปรัชญ์เท่านั้น
   
“ซาน...” วันสุขพึมพำชื่อของผู้มาใหม่อย่างลืมตัว ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อเสียงหัวเราะแผ่วดังขึ้นขัดจังหวะ
   
“นี่...พี่วัน กอดเขาแล้วก็กอดผมบ้างสิ...” ลาดไหล่ถูกเกยด้วยคางได้รูป ดวงตาสีเข้มนั่นเหลือบมองขึ้นมา เอวด้านขวาของเขาถูกจิกแน่นจนเจ็บ...
   
“แมวเป็นสัตว์ขี้อิจฉา พี่รู้หรือเปล่า?”



To be continued...


ยักแย่ยักยัน ปั่นหัวกันไป ปั่นหัวกันมา แต่ละคนก็ทำอะไรไม่ชัดเจน
พี่วันก็เอาแต่กลัว ปากร้องเรียก แต่มือก็ยันเอาไว้ ซานก็ดูลอยชาย เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็มี
เรื่องนี้ปรัชญ์เนี่ยแหละชัดสุดแล้วมั้งเนี่ย (หัวเราะ) แต่ตัวละครที่ชอบที่สุดตอนเขียนก็คือคุณอานี่แหละ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านเช่นเดิมจ่ะ
 :กอด1: :L2: :กอด1:

หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ (21/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-07-2014 10:51:35
ดูทุกอย่างมันเป็นปริศนาหมดเลย
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ (21/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 24-07-2014 05:55:36
งะทำไมมันหน่วงๆ

ปล.เชียร์ปรัชญ์ -..-
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ (21/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 26-07-2014 20:13:57
ชอบแมวนะคะ แต่ไม่ชอบซานอ่ะ
เชียร์น้องปรัชญ์ อีกเสียง สู้ๆๆๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ (21/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Raiwyn ที่ 26-07-2014 20:22:44
รอค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7 - ชัดเจน คลุมเครือ (29/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 29-07-2014 13:12:44
บทที่ 7 - ชัดเจน คลุมเครือ


   
“พี่ทำแบบนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่า?”
   
คำถามนั่นดังออกมาจากปากของคนที่เพิ่งเอาแต่ใจไปหมาดๆ ในขณะที่เสียงของรถดังออกไปไกล ปรัชญ์กลับไปแล้วด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
   
พวกเขากลับมานั่งเล่นที่โซฟา แมวตัวใหญ่นี่ก็เกาะแกะเขาแทบจะตลอดเวลา รั้งเอวเขาเข้าไปกอด คางสวยเกยที่ลาดไหล่ โยกตัวไปมาราวกับจะอ้อนไปในที
   
“เปล่า” วันสุขว่าเสียงเบา แต่สายตากลับเงยขึ้นมองนาฬิกาบ่อยครั้ง ดึกแล้ว ทว่าคุณอายังไม่กลับสักที โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกวิตกไม่น้อย
   
“แต่พี่กอดตอบเขา ผมเกลียดที่พี่ทำแบบนั้น” ซานยังเซ้าซี้ไม่เลิก แม้น้ำเสียงจะดูสดใสดี แต่แววตาที่มองมาก็ชัดเจนว่าเจ้าตัวพร้อมระเบิดใส่เขาได้ทุกวินาที...
   
คิดไว้แล้วเชียว...เด็กนี่เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด ยิ่งภายนอกดูสว่างสดใสเท่าไหร่ โลกภายใต้รอยยิ้มพวกนั้นมักจะไม่ค่อยน่ามองเสมอ
   
“เขาพิเศษ” ว่าเรียบเรื่อย มือเองก็คว้ารีโมตมากดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ คนที่เอาแต่จับเขาโยกไปมาชะงักกึก แค่นเสียงหัวเราะดังแผ่ว
   
“แล้วผมล่ะ?” เด็กขี้อิจฉาท้วงขึ้นมาอีกครั้ง
   
“ซานเองก็พิเศษ” เขาก็ไม่เข้าใจนัก ทำไมถึงต้องอยากจะพิเศษอะไรขนาดนั้น สำหรับเขาไม่ว่าใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็พิเศษหมดนั่นแหละ จะต่างออกไปก็ตรงฐานะบางอย่างที่เขาหยิบยื่นให้แขกที่เข้ามาเคาะประตูชีวิต ซึ่งมีอยู่แค่สองอย่าง ‘สำคัญ’ กับ ‘ไม่สำคัญ’
   
“พิเศษ...แล้วสำคัญด้วยไหม?”
   
“พิเศษ แต่ยังไม่สำคัญครับ” บอกออกไปตรงๆ ถ้าให้เทียบคงคล้ายกับปัจจัยสี่สำหรับชีวิตกระมัง คำว่า ‘สำคัญ’ สำหรับเขานั้น คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ คุณอานั่นอย่างไรตัวอย่าง พิเศษและสำคัญอย่างถึงที่สุด
   
“นี่ขนาดผมบอกชอบพี่ไปแล้ว พี่ยังไม่เห็นผมสำคัญอีกเหรอ” ซานส่งเสียงงุ้งงิ้งไปตามประสา มือกดไหล่ทั้งสองข้างจนตัวเขาตกโซฟาไหลไปกองกับพื้นพรม อุ้งมือเย็นเฉียบตามเข้ามาช้อนปลายคางให้เชิดหน้าขึ้นจนเจ็บ ดวงตาประกายนั่นมองสบลงมา แววไม่พอใจฉาบชัด
   
“หา? ตอนไหนกัน” ขมวดคิ้วมุ่นมองสบกลับไป เสียงพิธีกรจากรายการโทรทัศน์ดังลั่น กลีบปากของเขาถูกปลายนิ้วไล้เบาๆ เหมือนถูกเย้าแหย่
   
“บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าผมชอบพี่”
   
วันสุขเลิกคิ้ว สมองทบทวน แล้วก็ถึงบางอ้อ... พวกคำพูดทีเล่นทีจริงทั้งหลายนั่นคือคำสารภาพอย่างนั้นหรือ? เขาชักจะเริ่มไม่แน่ใจ...ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกปั่นหัวหรือไม่ ทว่าสมองกลับตอบรับความคิดจากเบื้องลึกในใจไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
   
“คำพูดของเราน่ะเชื่อได้สักแค่ไหนกะ...”
   
“...”
   
เสียงถูกกลืนหาย เมื่อแมวเอาแต่ใจนั่นขโมยลมหายใจของเขาไปเสียหมด ไออุ่นจัดนาบชิดลงมา...บดเบียดเคล้าคลึง จูบย้ำเน้นหนักครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ได้แค่ปรือตา นั่งนิ่งให้ใครอีกคนได้ตักตวงไปจนกว่าจะพอใจ...
   
“อือ...” ครางแผ่วในลำคอยามที่นิ้วอุ่นแทรกผ่านปกเสื้อเข้ามาด้านใน เผลอสะดุ้งเมื่อเนื้อกายถูกปลายเล็บกรีดไล่ไปจนถึงช่วงอก วันสุขสูดหายใจลึก เบี่ยงหน้าตัวเองหลบออกมา แต่การกระทำนั้นกลับเปิดทางให้อย่างอื่นแทน
   
“อึก” มือข้างเดิมช้อนคางของเขาให้แหงนขึ้น ภาพเพดานสีนวลฉายเข้ามาในตา สัมผัสแสบๆ ที่ต้นคอทำเอาต้องกลั้นเสียง... เขี้ยวสวยนั่นฝังลงมาบนเนื้อแบบไม่มีออมแรง ก่อนที่ลิ้นร้อนจะไล้ไปตามรอยที่ตัวเองฝากไว้
   
“กลิ่นดินนี่มัน... น่าหงุดหงิดจริงๆ ” ซานว่าเสียงเบา แต่ย้ำคำหนักไม่ต่างจากจูบที่กดลงต้นคอ
   
“เจ็บ...” พึมพำบอกออกไป โทนเสียงแปร่งหู... ลมหายใจหอบหนัก
   
แย่ล่ะสิ... ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็...
   
“ผมน่ะ ชอบพี่มากเลยรู้หรือเปล่า...ชอบมากจริงๆ ชอบจนไม่รู้ว่าจะพิสูจน์มันยังไง เพราะฉะนั้น...อย่าตั้งคำถามเลยนะครับ...” เสียงนุ่มแผ่วกระซิบกระซาบ รอยกัดถูกกดลงมาอีกครั้ง กระดุมเสื้อเองก็ถูกปลดออกไปทีละเม็ด
   
วันสุขขมวดคิ้วแน่น เมื่อริมฝีปากคู่เดิมกลับมาขโมยลมหายใจของเขาอีกครั้ง...กลิ่นเลือดคาวจางติดมากับลิ้นชื้นซึ่งพันกระหวัดกับเขาไว้ ที่มาของมันก็คงไม่พ้นสัมผัสแสบๆ ที่ยังทิ้งเอาไว้ตรงช่วงคอ
   
“นี่เรา...เป็นคน...แบบนี้เอง งั้นเหรอ?” เสียงกระท่อนกระแท่นถูกส่งออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ “เป็นความชอบ...ที่รุนแรงจริงนะ...”
   
พลันสิ้นคำพูด สัมผัสต่อมาก็ทำเอาเขานึกขอบคุณคุณอาไม่น้อยที่เลือกปูห้องนั่งเล่นด้วยพื้นพรม เพราะไหล่ที่ถูกกดลงอย่างแรงทำเอากายล้มลงไปนอนแผ่หลาบนพื้น เงาสีดำตามลงมาทาบทับ ดวงตาระริกคู่นั่นราวกับกำลังยิ้มอยู่ก็ไม่ปาน
   
“ซาน...พี่ เจ็บ” ร้องประท้วง แต่แขนกลับยกโอบรอบคออีกฝ่าย แผลเดิมถูกย้ำซ้ำอีกครั้ง ราวกับว่าถ้าไม่ได้เลือดของเขากลับไป เจ้าตัวก็คงไม่พอใจ ท่าทางดูก็รู้ว่ายังคงโกรธอยู่ แต่มันเป็นความโกรธที่ชวนให้เขารู้สึกแปลกประหลาดเสียจริง
   
ได้แค่คิด...มุมปากมันก็เผลอยกยิ้มอย่างลืมตัว
   
แย่จริงๆ แย่แล้วจริงๆ นั่นแหละ...
   
พลันสัมผัสเย็นบาดเนื้อแล่นแปลบขึ้นมาจากนิ้วนางของซ้าย วันสุขเผลอหัวเราะแผ่ว ความทรงจำพวกนั้นโผล่เข้ามาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง...ในเวลาที่ไม่ได้เหมาะเจาะเอาเสียเลย
   
“มองแค่ผม” เสียงนุ่มคำรามคล้ายคนโกรธจัด “ความคิดของพี่น่ะ...มีที่เอาไว้แค่สำหรับผมคนเดียวก็พอแล้ว” แล้วฟันคมๆ ก็กัดลงมาย้ำจุดเดิมทำเอาเขาครางแผ่ว
   
“ซาน...” เสียงเรียกชื่อนั่น ระโหยโรยแรงจนไม่เหมือนเสียงของเขาเอาเสียเลย วันสุขสูดหายใจลึก และจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น เจ้าของชื่อชะงักไปแล้วจ้องมองตอบกลับมา ทว่าแววกรุ่นโกรธไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลง
   
เด็กนั่นคงไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป... ถ้าพวกเขาคิดจะไปต่อละก็...ทุกอย่างคงเรียกกลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว ทว่า...
   
“ใคร...สั่ง...ให้...หยุด...”
   
เขาหยุดมันไม่ได้อีกแล้ว...ตัวตนที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาเพื่อลบเลือนอย่างกำลังตายจากไปอย่างช้าๆ ในขณะที่สันดานดิบข้างในถูกสะกิดให้ลืมตาตื่น... เหมือนกับลูกบอลที่ถูกอัดลมจนระเบิดออก ฝุ่นสีดำโชยคลุ้งจนชวนให้หลงมัวเมา
   
เขาต้องการ...คนตรงหน้านี่ คนที่ล่วงล้ำเข้ามาจนได้สัมผัสกับตัวตนของเขา... มากกว่านี้ มากยิ่งไปกว่านี้...ให้โลกสีดำนี่มันกลายเป็นสีขาวโพลน ให้ความคิดในหัวมันว่างเปล่าจนไม่เหลืออะไร
   
ลบอดีตหลอกหลอนนั่นให้หายไปเสีย ทำอย่างที่เคยได้ลั่นวาจาเอาไว้ แม้จะเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวก็ตาม
   
มากยิ่งไปกว่านี้...จวบจนกว่าร่างกายนี่จะตักตวงมันเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป...
   
“นี่พี่...เป็นคนแบบนี้เอง...อย่างนั้นสินะครับ” เสียงนุ่มๆ กระซิบลงมาที่ข้างหู ดวงตาสีดำอยู่ใกล้กว่าที่เคย รอยยิ้มร้ายกาจฉาบฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา เสียงหัวเราะสมใจดังแผ่ว แล้วปีศาจร้ายตนนั้นก็ตักตวงอากาศจากเขาไปอีกครั้ง...
   
เนิ่นนาน...จนเกือบจะลืมไปเสียแล้วว่าตัวเองต้องหายใจอย่างไร


   


เสี่ยงแล้วก็ต้องเดินต่อไปให้ถึงที่สุด...
   
หลังจากวันนั้นมา ซานคล้ายกับจะยังทำตัวเหมือนเดิม ยังหัวเราะ และยังชอบหยอกเขาอย่างแต่ก่อน ทว่ามีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าสิ่งนั้นคืออะไร...
   
บางทีอาจจะไม่ได้มีแค่ซานเท่านั้นที่เปลี่ยน เขาเองก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน รู้สึกว่าอยากจะดูแลเด็กนั่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เอาแต่กังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณแม่ที่มีลูกชายห่ามๆ สอนอะไรไม่ค่อยอยากจะรับฟัง
   
แต่ก็สนุกดี...นานแล้วที่ชีวิตไม่ได้มีสีสันอะไรเหมือนอย่างตอนนี้
   
ส่วนเวย์เองพักหลังก็โทรมาหาบ่อยขึ้น เซ้าซี้ให้เขาเข้าไปหาเจ้าตัวทุกครั้ง ก็น่าแปลกดีที่เวลาเขาเข้าไปร้านทีไรไม่เคยเจอเพื่อนสนิทคนนี้สักครั้ง คลาดกันได้ตลอดเวลา เหมือนมีใครสักคนจงใจแกล้งอย่างนั้นแหละ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดี เพราะเวลาคุยกันต่อหน้าทีไร ก็มีแต่เขานี่ต้องยอมลงให้ก่อนทุกที
   
ทว่าซานไม่ชอบให้เขาคุยโทรศัพท์กับเวย์นัก แมวตัวใหญ่นั่นมักชอบมองด้วยสายตาวาวๆ สายตาที่ให้ความรู้สึกขนลุกอย่างแปลกๆ กลับกันเป็นเขาเองที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ยามที่เห็นเจ้าตัวยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ ก็ได้เพียงแค่แค่นยิ้ม ไม่ได้ออกความเห็นอะไร ไม่ได้เอ่ยปากถามว่าใครที่โทรมา
   
ฐานะขมุกขมัวนี่ยังดำเนินต่อไปเหมือนอย่างทุกวัน ถึงแต่ละคนจะเริ่มเปลี่ยนการกระทำของตัวเองเพื่อเข้าหากันมากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามถึงความกระจ่างระหว่างพวกเขาเลยสักคน
   
ภาพในวันนั้นยังฝังหัวเขาไม่หาย แม้แต่แผลที่คอเองก็เพิ่งจะหายสนิทได้แค่ไม่กี่วัน ทว่ากลับไม่มีใครเริ่มที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นแม้แต่ประโยคเดียว แต่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดี...ตั้งแต่เด็กคนนั้นเข้ามาเหยียบสวิตซ์นั่นแหละ...
   
ความสัมพันธ์เหมือนถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ ไม่ได้แย่จนรู้สึกปวดใจ และก็ไม่ได้ดีจนรู้สึกสบายใจเช่นกัน คงเป็นความเฉยๆ ที่ชวนให้สับสนอยู่ในที ทว่ามันไม่ใช่ความหยุดนิ่ง... ช่วงเวลาที่เหมือนถูกหยุดไว้ก็แค่ช่วงสำหรับพักหายใจ เพื่อรอเวลาว่าใครคนใดคนหนึ่งจะออกวิ่งไปก่อนก็เท่านั้น
   
“มันยากที่จะเริ่ม และยากยิ่งกว่าที่จะจูงมือกันเพื่อก้าวเดินต่อไป”
   
ใครบางคนเคยบอกแบบนี้กับเขาในอดีต เพียงแค่นึกขึ้นมาก็อดยิ้มไม่ได้ จูงมือกันเพื่อก้าวเดินต่ออย่างนั้นหรือ? ถ้าตัวละครในประโยคนั่นคือพวกเขาสองคน คงมีสักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนฉุดกระชากลากถูกอีกฝ่ายไปด้วยกันเสียมากกว่า
   
แค่นึกภาพขึ้นมาก็ได้ยินเสียงเงี้ยวง้าวของแมวยักษ์ในหัวกับเสียงโวยวายของตัวเองแล้วล่ะ...



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7 - ชัดเจน คลุมเครือ (29/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 29-07-2014 13:21:39


หลายวันมานี้คุณอาออกไปต่างจังหวัดบ่อยขึ้น หลายครั้งที่ต้องพักค้างคืน บ้านที่เพิ่งผ่านการตกแต่งสวนไปหมาดๆ ถึงได้เงียบเหงากว่าทุกที เขาเกลียดการอยู่คนเดียว ถึงจะบอกว่าชอบความเงียบ แต่คำว่า ‘บรรยากาศสงบ’ กับ ‘ไม่มีใครเลย’ นั้นมันต่างกัน
   
วันนี้ก็เป็นเหมือนอย่างหลายๆ วัน... ไม่มีเสียงข่าวภาคค่ำจากโทรทัศน์ ไม่มีเสียงล้างจานในห้องครัว หรือแม้แต่เสียงเรียกให้ไปทำนู่นทำนี่อย่างปกติ เป็นเขาเองที่เดินวนเปิดไฟเสียรอบบ้าน แล้วก็มานั่งกอดหมอนอยู่ในห้องนั่งเล่นคนเดียว
   
ซานเพิ่งกลับไปเมื่อเย็น หลังเข้ามาก่อกวนเขาจนเจ้าตัวพอใจก็วิ่งลิ่วจากไปพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถ วันสุขถอนหายใจเฮือก มือไล่กดรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ อย่างเบื่อหน่าย
   
ผ้าห่มผืนหนาถูกยกขึ้นคลุมหน้าตัก เสียงข้อความเข้าดังเบาๆ แล้วเงียบไป เขาเอื้อมแขนไปหยิบขึ้นมาเปิดดูก็อดยิ้มไม่ได้ เจ้าประจำนั่นแหละที่ส่งมาอย่างเช่นทุกครั้ง...
   
‘ถ้าฝันร้ายก็โทรมาหาได้นะครับ’
   
คิดอะไรอยู่กันนะเด็กคนนั้น?
   
โทรศัพท์ถูกวางลงกับโต๊ะหน้าโซฟา วันสุขเอียงตัวนอนตะแคง สายตาจ้องมองภาพบนจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังเคลื่อนไหว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจหยิบรีโมตขึ้นมาปิดมัน ...ห้องกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง มีเพียงแค่เสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น
   
เขาหลับตาลง ป่ายมือเปะปะไปที่ด้านล่างของโซฟา ดึงเก๊ะเล็กๆ ออกมาแล้วสอดมือเข้าไปด้านใน ก่อนที่เครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กจะถูกหยิบขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า มือคลำไล่ไปทีละปุ่มและกดไปยังตำแหน่งที่คุ้นเคย
   
พลันเสียงร้องเพลงหวานนุ่มอบอุ่นก็ดังแผ่วท่ามกลางความเงียบ มุมปากเผลอยกยิ้มขึ้นมาอย่างเช่นทุกครั้ง เมโลดี้เบาๆ ลอยอบอวลชวนให้สบาย
   
เขายังจำได้เสมอ...ครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ก็เพราะมีใครบางคนมาร้องให้ฟัง ทั้งทำนองติดหู ทั้งถ้อยคำภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลไม่ออก... ไม่เข้าใจความหมายด้วยซ้ำ แต่อารมณ์ที่สื่อจากเพลงยามนั้นกลับทำให้เขาไม่เคยลืมมันได้เลย
   
ยังจำได้ว่าตัวเองเที่ยวไล่เสาะหาที่มาของเพลงจนไปเจอะเข้ากับการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ซื้อติดมือมา เจ้าแผ่นซีดีเล็กๆ นั่นถูกเปิดดูวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็พัง... แต่เขาก็ยังเก็บมันไว้อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ชอบเรื่องราวเหล่านั้นนัก โดยเฉพาะเพลงจบ
   
‘Always with me’
   
จริงๆ แล้วนั่นคงจะเป็นเหตุผลเดียวที่เขาดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื้อเพลงซึ่งไม่เคยเข้าใจความหมาย จนสุดท้ายก็ต้องไปหาบทแปลมานั่งอ่าน ลงทุนสั่งซื้อแผ่นเพลงมาจากญี่ปุ่น แล้วก็เปิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคุณอาดุ
   
“คิดถึงจังเลยนะ...” วันสุขพึมพำขึ้นมาแผ่วเบา เพลงนี่นำช่วงเวลาเก่าๆ มาให้นึกถึงเสมอยามเมื่อได้ฟัง และมันน่าแปลก...ทุกครั้งเมื่อเขาไม่สบายใจ การฟังเพลงนี้กลับช่วยให้จิตใจสับสนเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
   
เสียงร้องเงียบหายไปแล้ว บรรยากาศนิ่งเงียบไป และเสียงเปียโนคุ้นเคยก็ดังขึ้น ทั้งที่เป็นเพลงเดียวกัน แต่วันสุขกลับชอบเสียงเปียโนนี่มากกว่าหลายเท่า... เขายังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนเขาเคยขอให้เวย์ช่วยแกะโน้ตเพลงนี้และอัดเสียงเปียโนให้ เจ้าเพื่อนสนิทไม่ยอมท่าเดียว จนเขาตื๊อมากๆ เข้าเจ้าตัวก็รับปากส่งๆ ไป
   
ผ่านไปเกือบปีจนแทบจะลืมไปแล้ว ในวันเกิดครบรอบยี่สิบหก แผ่นเสียงแผ่นหนึ่งก็ถูกส่งมาให้ถึงบ้าน ไม่ระบุชื่อผู้ส่ง แต่พอเขาเอาไปเปิดกับเครื่องเล่นก็ต้องเผลอยิ้มจนแก้มปริ วันต่อมาเขาก็โผล่หน้าไปเยี่ยมเพื่อนถึงที่ทำงาน ขอบคุณมันอยู่หลายครั้ง จนมันบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เอาแผ่นเสียงไปหย่อนหน้าบ้านเขาเท่านั้น
   
เวย์ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนเล่นเพลงนั่น แต่พอเขาบอกว่าชอบมันมาก เจ้าตัวก็แค่ยกยิ้มอารมณ์ดี ท่าทางดีใจจนเกินเหตุชวนให้สงสัยพิรุธ แต่ซักแทบตาย เพื่อนปากแข็งก็ไม่ยอมคายความลับออกมา จนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนเล่นมัน...
   
เสียงเปียโนอุ่นๆ เบาบาง และเงียบเหงาไปในที บางครั้งก็ทิ้งจังหวะยาวเหมือนกำลังทอดถอนหายใจ บางครั้งก็เรียบรื่นราวกับกำลังหัวเราะ และบางครั้งก็นุ่มนวลคล้ายกับยิ้มอ่อนโยนซึ่งเจือแววโศกอยู่ในที
   
เพลงซึ่งมีเสียงร้องนุ่มหวาน ชวนให้รำลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่พาให้หัวใจอบอุ่น
   
เพลงซึ่งมีเพียงเสียงเปียโน ชวนให้รู้สึกประหลาด และอยากเข้าไปกอดปลอบเจ้าของเสียงเพลงนั่นเหลือเกิน
   
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับตาฟังเพลงเดิมๆ วนไปจนรอบที่เท่าไหร่แล้ว ริมฝีปากพึมพำร้องคลอไปกับท่วงทำนอง ความง่วงงุนถาโถมเข้ามาอย่างช้าๆ จวบจนความฝันสีดำแผ่ขยายครอบครองสติในที่สุด
   
เขาชอบจริงๆ นั่นแหละช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองแบบนี้...
   
และก็เกลียดมันที่สุดเช่นกัน...


   


ดวงตาปรือเปิดขึ้นมาอย่างง่วงงุน แสงทองอ่อนๆ ส่องลอดผ่านทิวไม้เข้ามากระทบใบหน้า ลมเย็นพัดโชยชวนให้หนาวไปในที ตัดกับแสงอุ่นสบาย ลมหายใจทอดถอนยาวเอื่อยเฉื่อย
   
เสียงกรอบแกรบของฝีเท้าย่ำลงใบไม้แห้งดังเข้ามากระทบโสตประสาท วันสุขชันกายขึ้นนั่งบนม้าหินอ่อนตัวยาวหลังตึกภาควิชา ดวงตาปรือกวาดมองผู้มาใหม่อย่างสงสัย เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นเชิงทักทาย ทว่าดูเหมือนเธอจะไม่คิดรับไมตรีสักเท่าไหร่
   
“พี่วันมาทำอะไรตรงนี้คะ?” เสียงหวานใสเอ่ยถาม วันสุขนิ่งไปเล็กน้อย เพราะเพิ่งตื่นจากการงีบหลับ สมองเลยไม่ค่อยจะแล่นนัก
   
“นอนพักน่ะ” งึมงำตอบไปเบาๆ มือเองก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว
   
“แถวนี้ไม่มีคนเลยนะคะ” เยลลี่หัวเราะแล้วมองไปรอบๆ ต้นไม้รกครึ้ม ชุดเก้าอี้วางระเกะระกะ ไม่ไกลก็เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกขุดเอาไว้แต่นานนม
   
“อืม...สงบดีนะ พี่ก็เลยชอบหลบมานอนแถวนี้บ่อยๆ ”
   
“ซานไม่ได้มาด้วยเหรอคะ?” เธอเอียงคอถามยิ้มๆ
   
“ถ้าหาหมอนั่นอยู่ล่ะก็ พี่ไล่ให้ไปเข้าเรียนแล้วล่ะ” ช่วงสายๆ แมวยักษ์ก็เข้ามาก่อกวนเขาแต่หัววัน โชคดีที่คุณอาอยู่ด้วยเขาเลยไม่โดนทำอะไรรุ่มร่ามใส่นัก
   
“เยลลี่ไม่ได้มาหาซานหรอกค่ะ”
   
“งั้นก็...มาหาพี่สินะ?” วันสุขหัวเราะแผ่วแล้วเอ่ยปากถาม เขาคาดไม่ผิดสักเท่าไหร่ว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่ก็นั่นแหละ...เป็นใครก็คงทนไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด แบบนี้นี่บาปหรือเปล่านะ?
   
“พี่กับซาน...ดูสนิทกันจังเลยนะคะ”
   
มาอีกแล้ว...ประโยคอมตะ ทำไมพักนี้มีแต่คนถามเขาแบบนี้กันนะ? เขากับซานดูสนิทกัน? ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องถามด้วยซ้ำ ในเมื่อคนถามก็รู้อยู่แก่ใจดี ตามันเห็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ
   
“ก็สนิทกันครับ” แถมสนิทกันถึงขนาดที่พูดออกสาธารณะไม่ได้เชียว
   
“สนิทกันมากจริงๆ ค่ะ ขนาดพี่มาทีหลังแท้ๆ ”
   
“หืม? ดูออกขนาดนั้นเลยหรือครับ?”
   
“ค่ะ เขาโพสต์รูปพี่ลงในเฟสบุ๊คด้วย ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้”
   
อา...เขาจำได้ว่าปรัชญ์ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน มันแปลกมากขนาดนั้นเลยหรือ? ดูท่าว่าคงต้องไปถามซานเสียแล้วว่าเด็กนั่นเอารูปเทือกไหนของเขาไปโพสต์กันแน่
   
“พวกผู้หญิงในนั้นก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แต่เยลลี่ไม่เห็นจะชอบเลย” เธอว่าพลางขมวดคิ้วมุ่น ดวงตากลมโตจ้องมาที่เขาอย่างสำรวจไปในที
   
“ทำไมไม่ชอบล่ะ” วันสุขถามไปตามเรื่อง กลีบปากสีส้มสวยหยักยิ้มสบายอารมณ์ จริงๆ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่เขาต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เทือกนี้
   
“มันแปลกออกนี่คะ ผู้ชายสองคน พี่วันไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”
   
“แปลกเหรอ?” เลิกคิ้วอย่างสงสัย เขาลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ก็เพราะไม่ค่อยจะสนใจอยู่แล้วว่าใครจะเข้ามา ส่วนใหญ่เขาก็แค่แหย่เล่นไปตามประสาเท่านั้น ใครๆ เขาก็รู้กัน มีก็แต่ซานคนเดียวนั่นแหละที่ทำให้เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ดูจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป...
   
“แปลกสิคะ ถึงสมัยนี้เขาจะเปิดกว้างกันแล้ว แต่เยลลี่น่ะไม่ชอบเลย” เธอว่าเสียงสะบัดแล้วก็จ้องมาที่เขาเขม็ง “พี่วันไม่อายตัวเองบ้างเหรอคะที่มาแย่งแฟนคนอื่นเขาแบบนี้”
   
เข้าเรื่องเร็วกว่าที่คิดหากเทียบกับเคสที่แล้วๆ มา วันสุขนึกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะพูดวกไปวนมาจนกว่าจะตะล่อมให้เขารู้ตัวเสียอีก แต่ก็ดี ตรงๆ แบบนี้แหละดี
   
“ซานกับพี่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” ว่าไปเอื่อยๆ พลางหาวหวอดบิดขี้เกียจ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ นี่เขาก็พูดความจริงออกไปแล้ว จะเอาอะไรอีกนะ?
   
“เยลลี่ไม่เชื่อหรอก ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วว่าพี่กับซานเป็นอะไรกัน”
   
“แต่พี่กับเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน” เด็กนั่นยังไม่เคยออกปากขอเขาให้ได้ยินเลยสักครั้ง “น้องเยลลี่มาสรุปเองแบบนี้ แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะครับ?”
   
“เยลลี่อยากให้พี่วันเลิกยุ่งกับเขาค่ะ อย่ามายุ่มย่ามกับเขา คืนเขามาให้เยลลี่เดี๋ยวนี้” เธอว่าเสียงกร้าว เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ คราวก่อนยังเห็นมาเกาะแกะเขาต่อหน้าซานอยู่เลยแท้ๆ และยิ่งได้ฟังประโยคดูเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนั่นแล้ว...ข้างในมันก็กรุ่นแปลกๆ
   
ผู้หญิงเนี่ย...มหัศจรรย์จริงๆ ด้วยสินะ...
   
“ไม่คืนครับ นี่เรากำลังเล่นขายของกันอยู่เหรอ?”
   
“อย่ามาพูดล้อเล่นนะ เยลลี่จริงจังค่ะ เยลลี่รักเขา เขาเองก็รักเยลลี่ มีแต่พี่วันนั่นแหละมือที่สาม ทำตัวทุเรศ”
   
“ทุเรศ? ทุเรศจริงๆ ด้วย” เท้าคางแล้วยกยิ้มอ่อน และท่าทางแบบนั้นก็ทำเอาอีกคนกรุ่นโกรธมากขึ้นไปอีก
   
“จู่ๆ ก็โผล่มาแล้วก็แย่งของรักของคนอื่นไป ถ้าไม่บอกว่าทุเรศแล้วยังจะให้ใช้คำแบบไหน”
   
“ ‘แย่ง’ อย่างนั้นเหรอ?” ไม่รู้ว่าเขาควรจะยังดีใจอยู่ไหมที่เด็กสาวตรงหน้ายังถนอมด้วยการไม่ด่ากราดใส่เขาด้วยภาษาหยาบคายเหมือนคนข้างถนน วันสุขหัวเราะแผ่ว คำด่าคล้ายๆ กันนี้เหมือนจะถูกฉายซ้ำขึ้นทับกับภาพในอดีตชอบกล
   
แย่ง... เขาเกลียดคำคำนี้จริงๆ
   
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสินะคะ ท่าทางพี่ก็ดูไม่เบา สนุกหรือเปล่าคะ ทำให้คนเขาแตกคอกัน! หน้าด้าน!! เจ้าของเขาตามมาทวงถึงที่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น!!!” เสียงหวีดแหวทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าสวยบูดบึ้งอย่างยากจะได้เห็น
   
“หุบปาก...” เขาพึมพำแผ่ว ...ความโกรธกำลังปะทุเดือดขึ้นในใจอย่างยากจะหยุด มือกำแน่นจนสั่นระริกเหมือนคนที่กำลังควบคุมตัวเองไม่อยู่...ไม่สิ จริงๆ เขาก็ควบคุมมันไม่ได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว...
   
“ซานน่ะเขาเป็นของเยลลี่มาตั้งแต่ต้น! พี่นะไม่มีสะ... !!”
   
เหมือนเสียงแก้วแตกสนั่นอยู่ในหู
   
ชั่วขณะที่สามัญสำนึกถูกผลักให้หลุดหายไป มือมันก็กระชากต้นแขนบางนั่นให้เข้ามาหาตัว ริมฝีปากกระแทกกันกึกจนสัมผัสได้ถึงรสเลือดเค็มๆ เสียงหวีดร้องตระหนกในลำคอนั่นชวนให้เขาบดริมฝีปากลงไปรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยิ่งกลิ่นเลือดเข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ สติมันก็เตลิดรุนแรงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น
   
“!!”
   
อกของถูกผลักอย่างแรง เด็กสาวหงายล้มลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้าขึ้นสีเพราะความเกรี้ยวโกรธจ้องมาที่เขาอย่างมาดร้าย... วันสุขยกยิ้มเหยียด ดวงตาคมสวยหรี่มองราวกับคนสาแก่ใจ เพลิงเดือดปะทุในใจพานลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น...
   
“อะไรกัน...พี่ทำตัวเป็น ‘หลอด’ ให้แล้วก็นึกว่าจะดีใจเสียอีก” วันสุขผายมือออกด้านข้างราวกับว่าเสียดายหนักหนา แต่เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้นัยน์ตาของตัวเองคงเต้นระริกรี้เหมือนไฟเทียนไม่มีผิด “พี่ก็เห็นวัยรุ่นเขาชอบใช้มุกจูบทางอ้อมกัน เช่น กินน้ำจาก ‘หลอดเดียวกัน’ อะไรแบบนี้”
   
“!!!”
   
“ส่วนเรื่องซานน่ะ ไปคุยกับเจ้าตัวเองเถอะนะครับ” ว่าอย่างปัดความรับผิดชอบ โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกยกขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง ถ้าเขากลับไปช้าล่ะก็คงถูกคุณอาดุอีกแน่ๆ
   
“เอ้อจริงสิ...” ตีมือแปะราวกับนึกบางอย่างออก ใบหน้าเข้ารูปละมุนหันไปส่งยิ้มให้คนที่เพิ่งพยุงตัวเองจนลุกขึ้นมาได้ “น้องเยลลี่คงไม่รู้... ตอนแรกพี่ก็ไม่คิดที่จะอะไรหรอกนะครับ แต่เราก็ยัดเยียดข้อหาให้พี่เหลือเกิน จนตอนนี้...” ประโยคถูกเว้นช่วงไปอย่างต้องการจะยั่วโทสะ วันสุขหัวเราะแผ่ว เอียงคอยิ้มน้อยๆ อย่างเคยตัว
   
“อยาก ‘ได้’ ขึ้นมาจริงๆ ซะแล้วล่ะ”
   
ไม่มีเสียงกรี๊ดลั่นอย่างที่คิด เธอคนนั้นลุกขึ้นได้ก็จ้องเขม็งทิ้งท้ายแทนคำพูด ก่อนจะเดินฉับๆ จากไปด้วยท่าทีโมโหสุดขีด วันสุขมองตามอย่างสงสัย อดพึมพำออกมาไม่ได้ด้วยความสับสนว่าตนพูดอะไรผิด
   
“เด็กๆ นี่เอาใจยากจังนะ”


   


กว่าจะมาสำนึกได้อีกทีก็ตอนกลับมาถึงบ้าน...
   
เสียงน้ำซาซ่าดังก้องภายในห้องแคบๆ มือเรียววักของเหลวเย็นเฉียบขึ้นลูบใบหน้า เสียงถอนหายใจยาวเหนื่อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองภาพสะท้อนตัวเองภายในกระจก หัวสมองระลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเที่ยงอย่างเหนื่อยล้า
   
เขาทำบ้าอะไรลงไปนะ?
   
วันสุขอดถามกับตัวเองเช่นนี้ไม่ได้ ชั่ววูบเดียวที่สติระเบิดออก โดยที่สมองยังไม่ทันได้สั่งการ ตัวเขาเองก็เผลอทำเรื่องโง่ๆ ไปเสียได้ ดูอย่างไรก็เกินกว่าเหตุไปไม่น้อย ทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นเลยแท้ๆ
   
แต่สิ่งที่พอจะคิดออกว่าเพราะอะไรก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวสมอง มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมอง... และเขาก็พบว่ามันกำลังสั่นระริก...
   
เขากำลังกลัว กลัวว่าไอ้ ‘สิ่งนั้น’ มันจะกลับมาอีกครั้ง กลับมาทำลายชีวิตเขา ทำลายความสุขที่ตัวเองค่อยๆ สร้างขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็นในรอบหลายปีนี้...
   
เสียงหัวเราะร้ายกาจดังก้องอยู่ในหัว คล้ายบางสิ่งกำลังตอกย้ำให้ตัวเขาจมลงไปในความเป็นจริงที่มันเคยเกิดขึ้น และวินาทีนั้นเองที่สายตาเผลอมองไปที่แหวนสีดำ จู่ๆ หัวใจก็คล้ายกับจะบีบรัดเข้าหากันจนหายใจลำบาก...
   
วันสุขปิดตาแน่น ท่องคำพูดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมองเพื่อให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ มือกำขอบอ่างล้างหน้าแน่น แน่นจนเขาสัมผัสได้ว่าปลายนิ้วของตัวเองกำลังเจ็บแปลบ
   
“พี่วัน เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อย พี่อยู่ในนั้นใช่หรือเปล่า”
   
พลันเสียงทุ้มนุ่มก็ดังแทรกเข้ามาในช่วงเวลาเหมาะเจาะอย่างเช่นทุกครั้ง วันสุขสะดุ้งเฮือก พยายามปรับลมหายใจตัวเอง วักน้ำเย็นเฉียบสาดใส่ใบหน้าจนเสื้อชุ่ม สาดสายตามองสบกับนายวันสุขในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปลดล็อกกลอนประตูเสียงดังกริ๊ก
   
“เข้ามาในบ้านพี่ได้ยังไง?” จำได้ว่าพอเขาเลิกงานเสร็จ คนตรงหน้าก็โทรมาบอกว่าจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แล้วจู่ๆ ทำไมถึงมาโผล่ที่บ้านเขาได้? คิดแล้วก็ไม่อยากจะไปควานหาคำตอบนัก และเลือกที่จะเดินสวนออกไป มือก็คว้าผ้าขนหนูนุ่มนิ่มมาซับหน้าตัวเองพลางๆ
   
“ตอนแรกก็เรียกพี่ตั้งนาน เห็นไม่ตอบก็เลยเดินเข้ามา” เด็กตัวโตว่า แล้วก็จ้องหน้าเขานิ่งพลางขมวดคิ้วมุ่น “พี่ไปทำอะไรมา ฝันร้ายเหรอครับ?” เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง นิ้วยาวนั่นยกขึ้นแตะแก้ม แตะซอกคอเขาเบาๆ
   
“เปล่า แค่วันนี้ไปเจอเรื่องตกใจมานิดหน่อยน่ะ” ว่าเสียงเบาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พาดคอไปกับพนักพิง ดวงตาปิดแน่น ใช้เพียงแค่โสตเท่านั้นที่คอยจับการเคลื่อนไหวของใครอีกคน
   
“อย่างเช่นจู่ๆ ก็กระชากเยลลี่เข้ามาจูบ อะไรเทือกนี้ใช่ไหม?” เสียงเรียบกระซิบข้างหู วันสุขเปิดตาพรึบ จะลุกยืน แต่ไหล่ของเขาก็ถูกกดไว้ด้วยอ้อมแขนที่โอบมาจากด้านหลัง พอเห็นว่าไม่มีทางให้หนี เขาก็ได้แค่ถอนหายใจเฮือก
   
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
   
“แต่ยายนั่นปากเจ่อมาเลยนะ” น้ำเสียงบ่งอารมณ์ไม่ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคนคนนี้กำลังโกรธ หรือว่ากำลังแกล้งหยอกเขาเล่นกันแน่ โชคดีหน่อยที่วันนี้คุณอากลับดึก เขาถึงไม่ต้องมาพะวง ถ้าเกิดเด็กนี่คิดทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมา
   
“โกรธเหรอ?” ถามออกไปตรงๆ เขาไม่ชอบบทงอนง้อสักเท่าไหร่ มีอะไรก็บอกไป ซานเองก็ดูท่าจะเป็นประเภทนั้นเช่นกัน
   
“ไม่เชิง” พอได้คำตอบมาแบบนั้น วันสุขก็เอียงคอนึกอีกสักพัก
   
“อิจฉาเหรอ?” รอบนี้ซานหัวเราะเย็นๆ ส่งมาให้แทน ดวงตาสีเข้มนั่นฉาบแววบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ถูก วันสุขกระตุกยิ้ม เอนศีรษะเข้าหาอีกฝ่ายจนจมูกแทบจะชนกัน
   
“พี่รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า” เขาพูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป
   
พักนี้เวลารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ระดับอารมณ์มันมักจะมีแค่สองแบบเสมอ... พุ่งพล่านจนฉุดไม่อยู่ ไม่ก็ห่อเหี่ยวจนอยากจะตายมันเสียตรงนั้น... เขารู้ดีว่ามันคืออะไร รู้ดีมาตลอด และมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว
   
ทั้งที่เมื่อก่อนเขาคุมมันได้ดีแท้ๆ แต่ก็นั่นแหละ... เพราะมีคุณอากับเวย์อยู่ด้วยต่างหาก ทุกอย่างมันถึงผ่านมาได้ด้วยดี และตอนนี้สิ่งที่ทุกคนอุตส่าห์ช่วยกันสร้างก็คล้ายกับจะพังลงมาง่ายๆ เมื่อเจ้าแมวตัวใหญ่นี่กระโดดเข้ามา
   
“ทำไมถึงจูบเยลลี่?” คนเด็กกว่าเอียงหน้าเข้าหา แล้วถามคำถามที่เขาก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี
   
“พี่ก็ไม่รู้” วันสุขพึมพำเสียงแผ่ว หรุบตาลงอย่างใช้ความคิด “ตอนนั้นโกรธจนนึกอะไรไม่ออก”
   
“คนอย่างพี่โกรธจนนึกอะไรไม่ออกเป็นด้วยเหรอครับ หืม?” ซานบี้ถามเขาอีกครั้ง
   
“เป็นสิ... แค่ครั้งนี้พี่ฝืนมันไม่ได้ แต่ว่า...ต่อไปจะพยายาม” ว่าอย่างไม่มั่นใจนัก ยิ่งพักหลังนี้เขายิ่งคุมตัวเองได้น้อยลง...
   
“เวลาอยู่กับผม พี่ไม่เห็นต้องฝืนตัวเอง” ซานว่า กดจมูกลงกับเปลือกตาเขาเบาๆ “จริงๆ เวลาพี่อาละวาดก็ดูน่ารักดี” พูดเหมือนกับเคยเห็นเขาในสภาพนั้นมาแล้วอย่างนั้นแหละ...
   
วันสุขหัวเราะแผ่ว ดวงตาสีอ่อนแวววาวหรี่ลงอย่างเคยชิน ริมฝีปากส้มสวยยกยิ้มบางอย่างที่ชอบทำประจำ...
   
เขาเกลียดเหลือเกินเวลาที่ตัวเองถูกแย่งของสำคัญไป เกลียดทุกครั้งที่รู้ว่าตัวเองจะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง เกลียดที่คนอื่นมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในสิ่งที่เขาคิดว่ามันต้องเป็นของเขา... ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
   
เพราะแบบนั้นถึงต้องทำอะไรสักอย่าง...เพื่อย้ำให้ตัวเขาแน่ใจ ว่าสุดท้ายแล้วยังมีคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ...สุดท้ายแล้วตัวเขาเองยังคงได้รับสิ่งที่ต้องการ ...อย่างที่มันควรเป็น
   
อย่าฝืนตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
   
เพียงสิ้นความคิด มือที่วางอยู่บนตักก็ยกขึ้นแตะท้ายทอยอีกฝ่าย ไล้นิ้วเข้าไปใต้กลุ่มผมนุ่มนิ่มสีดำเข้ม ซานหัวเราะอีกครั้ง เมื่อริมฝีปากของเขาเผยอออกเพื่อกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด
   
“จูบพี่”



To be continued...
 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7 - ชัดเจน คลุมเครือ (29/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-07-2014 19:36:31
ขะมุกขะมัว
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7 - ชัดเจน คลุมเครือ (29/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 29-07-2014 19:59:57
พี่วันเป็นไบโพล่าอ้ะป่าว
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7 - ชัดเจน คลุมเครือ (29/07/14)
เริ่มหัวข้อโดย: poporimikoru ที่ 30-07-2014 19:04:24
โอยยยยย ตามมากรี้ดจากเด็กดีค่ะ แงงงง


อ่านแล้วอารมณ์แบบนี้มัน... มันเป็นสไตล์ของพี่ใช่ไหมคะเนี่ย เรื่องแนวดาร์กๆโดนอารมณ์น่ะ!!!

ชอบมากกกกกก


อินมาก มันดูเป็นคนมีปมด้อยและความมืดในตัวแบบสมจริงมากอ่ะ TTwTT โอยยยย สนุกจริงไ นะติดตามต่อไปค่ะะะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7.5 - ผืนดิน (01/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 01-08-2014 20:05:23
บทที่ 7.5 - ผืนดิน



“เด็กน้อยได้ยินเรื่องราวกล่าวขานมานาน...ว่าใครได้จับหิ่งห้อยมาเก็บเอาไว้ใต้หมอน...นอนคืนนั้นจะฝันดี...จะฝันเห็นดวงดาวมากมาย ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง...ฝันแสนสวยงาม...”
   
เสียงของสายลมพัดแผ่วอยู่ข้างหู กังหันสีแดงในมือทิ้งลู่ไปกับพื้นถูกกำไว้หลวมๆ แผ่นหลังนอนราบไปกับม้านั่งหินอ่อนเย็นเฉียบ เปลือกตาปิดพริ้ม ริมฝีปากสีส้มสวยขยับพึมพำคำร้องด้วยถ้อยคำนุ่มหวาน
   
สายลมแห่งอดีตพัดพามาอีกครั้ง
   
“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง”
   
พลันเสียงทุ้มห้าวก็ดังขึ้นขัดบรรยากาศ เขาเงียบเสียงลง...ถอนหายใจเฮือก แต่ไม่คิดที่จะลืมตาขึ้นมา นอนนิ่งสนิทอยู่ที่เดิมราวกับไม่อยากจะรับรู้การปรากฏตัวของผู้มาใหม่นัก
   
“ไม่คิดว่าวันจะร้องเพลงอะไรแบบนี้” ฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ใครคนนั้นทิ้งตัวลงเบียดจนเขาเกือบตกม้านั่ง ไออุ่นๆ บริเวณเอวถูกแบ่งมาให้ ในขณะที่ลมยะเยือกพัดพามาอีกครั้ง
   
“บอกหน่อยได้ไหมว่าเพลงชื่ออะไร?” เปลือกตาถูกไล้เบาๆ ด้วยปลายนิ้วหยาบ เสียงหัวเราะแผ่วนั่นชวนให้รู้สึกรำคาญไม่น้อย
   
“อย่ามากวนได้ไหม” บอกปัดไปอย่างเช่นทุกครั้ง ใครคนนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง...เกลียดเสียจริง ไอ้ท่าทีเหมือนเมฆลอยไปลอยมาแบบนั้น เขาเกลียดเสียจริง...เกลียด
   
“แลกกับที่พี่จะไม่ไปบอกคุณอาของวันว่าวันหลบมาทำอะไรอยู่ที่นี่” ข้อต่อรองถูกเสนอเข้ามา เขาเงียบไป ชั่งน้ำหนักดูก็รู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ทั้งที่หลับตาอยู่ แต่ก็นึกภาพออกอย่างแจ่มชัดว่าคนคนนั้นคงฉีกยิ้มเย้าอยู่อย่างที่ชอบทำ
   
“อาจารย์ฝึกสอนมาแทนตัวเองว่า ‘พี่’ กับนักเรียนได้ด้วยหรือไง?” ถามออกไปเพื่อเบี่ยงประเด็น พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ มือยกขึ้นปิดใบหู ไม่อยากจะฟังเสียงอะไรทั้งนั้น แค่อยากให้คนคนนั้นปล่อยให้เขาได้นอนเงียบๆ อยู่แบบนี้
   ก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน...ไม่ว่าจะหลบไปอยู่ที่ไหนก็ถูกตามตัวเจอแทบทุกครั้ง แต่คนอย่างเขาก็ไปได้ไม่กี่ที่นั่นแหละ... ขอแค่สถานที่นั้นใกล้กับท้องฟ้ามากที่สุด ต่อให้ต้องปีนเสาธงโรงเรียนขึ้นไปเขาก็จะทำ
   
“แทนได้สิ นี่นอกเวลางานนี่นา”
   
นั่นสินะ...เลยเวลาโรงเรียนเลิกมาหลายชั่วโมงแล้ว เขาโดดตลอดคาบบ่าย เพราะเอาแต่หลับยาวอยู่บนด่านฟ้า กว่าจะมารู้สึกตัวก็ตอนหัวค่ำ พอลืมตาขึ้นมองฟ้าก็อดร้องเพลงออกมาไม่ได้ สมองก็คิดแค่ว่าอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย...ไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีใครคอยเป็นห่วง หรือว่าใครที่ออกตามหา
   
“วันยังไม่ได้ตอบพี่เรื่องชื่อเพลง” คำถามถูกทวนซ้ำอีกครั้ง...
   
“นิทานหิ่งห้อย...” เขาว่าไปอย่างตัดรำคาญ เสียงทุ้มนั่นหัวเราะแผ่วอีกครั้ง สัมผัสอุ่นๆ แตะลงบนศีรษะ และเขาก็เลือกที่จะปัดมันออกอย่างไม่ใยดี
   
“วันนั้นลูกหว้าขึ้นมาที่นี่แล้วก็ร้องไห้...ทะเลาะกันอีกแล้วใช่ไหม?” พึมพำขึ้นมาแผ่วเบา บรรยากาศคล้ายกับจะตึงเครียดขึ้น เสียงหัวเราะที่ได้ยินเงียบหาย ไหล่ของเขาถูกแตะเบาๆ ด้วยมือข้างนั้นอีกครั้ง
   
“วันน่ะ...ชอบดวงดาวขนาดนั้นเลยเหรอ...พี่เห็นตอนกลางคืนทีไรเราก็ชอบมองขึ้นไปบนนั้นทุกที”
   
“เมื่อไหร่จะเลิกทำให้เธอร้องไห้สักที?” เขาถามต่อ ไม่สนใจเรื่องที่ใครคนนั้นพยายามเบี่ยงประเด็นแม้แต่น้อย
   
อุ้งมือใหญ่นั่นทาบลงมาบนหน้าผาก เลื่อนลงมาช้าๆ จนปิดดวงตาทั้งสองข้าง...อยากจะปัดออก แต่ก็เลือกที่จะอยู่เฉยๆ ...จู่ๆ รู้สึกเอือมระอาปนเหนื่อยใจ
   
“พี่น่ะ...ไม่เคยแหงนมองมองจริงๆ เลยสักครั้งว่าดวงดาวมันเป็นยังไง”
   
“เงียบน่ะ ตอบคำถามมาได้แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกทำให้ยายนั่นหยุดร้องไห้สักที” เขาเปิดดวงตาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แต่สิ่งที่มองเห็นก็ยังคงเป็นเพียงความมืดเช่นเดิมเท่านั้น เสียงหัวเราะที่แสนเกลียดนั่นดังแผ่วขึ้นมาอีกครั้ง...
   
“เพราะพี่รู้ตัวดีว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเอื้อมถึง... ถึงเป็นได้แค่ ‘ดิน’ ยังไงล่ะ”
   
ฝ่ามือข้างนั้นถูกเขาปัดออกไป แสงสะท้อนจากแหวนสีดำบนนิ้วซ้ายนั่นสะท้อนวาบเข้าสู่นัยน์ตา
   
“นี่...พี่ดีใจจริงๆ นะ”
   
รอยยิ้มสว่างจ้าใต้แสงไฟ...พร่ามัวจนต้องหรี่ตาลง
   
“ดีใจอะไร?” เขาอดที่จะถามออกไปไม่ได้
   
“พี่ดีใจ...ที่ตัวเองถูกวันเกลียดแบบนี้...”

   

รอยยิ้มนั่นยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ
   
ตราลึกราวกับจะตอกย้ำ
   
ทรมาน...เสียดแทงจนเหมือนจะหายใจไม่ออก



To be continued...


แฮ่ๆ ตอนเสริมแบบสั้นกุด...
ใครกันนะคนคนนั้น?

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามเช่นเดิมก่ะ
 :กอด1: :L2: :กอด1:

<a href="https://www.facebook.com/turelightwriter"><img src="http://www.uppic.org/image-D0EC_53E060A0.gif" /></a>
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7.5 - ผืนดิน (01/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 01-08-2014 22:54:59
คนนั้นคือคนในความทรงจำพี่วันสินะ เริ่มออกมาทีละนิดๆ
ตอนที่แล้วพี่วันทำเราเงิบ จริงๆพี่วันเก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริงไว้ใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7.5 - ผืนดิน (01/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 01-08-2014 22:58:45
พี่วันสองบุคลิก ??? 
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7.5 - ผืนดิน (01/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 02-08-2014 11:29:27
วันสุข.....ช่างเป็นคนที่น่าค้นหาจริงๆ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7.5 - ผืนดิน (01/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-08-2014 21:58:15
มาให้สงสัย
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 7.5 - ผืนดิน (01/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 02-08-2014 23:25:45
ขอบคุณค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 8 - รัก เกลียด (05/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 05-08-2014 11:53:35
บทที่ 8 - รัก เกลียด



จู่ๆ ก็อยากร้องไห้...
   
พอคิดปุ๊บ น้ำตามันก็ร่วงเผาะลงมาอย่างไม่มีเหตุผล จูบอุ่นๆ ละจากริมฝีปากแตะแผ่วเบาลงกับเปลือกตา อ้อมแขนจากด้านหลังนั่นโอบแน่น โดยปราศจากคำพูด ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่นิ่งสงบ และนั้นยิ่งทำให้น้ำตามันไหลออกมามากยิ่งขึ้นไปอีก
   
“ไม่แปลกใจหรือไง?” วันสุขอดที่จะออกปากถามไม่ได้ คนปกติที่ไหนคงไม่มีใครมานั่งร้องไห้อย่างไร้เหตุผลเหมือนกับเขาตอนนี้ ยิ่งด้วยในสถานการณ์แบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่เข้ากันไปใหญ่
   
“ก็ไม่นี่ ตอนโกรธพี่ก็น่ารักดี ตอนร้องไห้พี่ก็น่ารักดีเหมือนกัน” ซานว่าพลางโยกตัวไปมาเหมือนกำลังปลอบเด็ก เขายู่หน้า แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
   
หลังมือถูกยกขึ้นปาดน้ำใสๆ ออก ทว่าเหมือนยิ่งปาดก็ยิ่งไหล  เหมือนน้ำตามันไหลออกมาของมันเอง หยุดไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะร้องไปทำไมด้วย
   
“ขยี้แบบนั้นเดี๋ยวก็ช้ำหรอก” เจ้าของเสียงนุ่มนั่นว่า แล้วก็จัดการจับข้อแขนเขาไว้แน่นด้วยมือสองข้างของตัวเอง “ไม่ร้องนะไม่ร้อง โอ่เอ๊ โอ่เอ๊” ตามมาด้วยคำปลอบประหลาดๆ ที่ทำเอาต้องขมวดคิ้วมุ่น
   
“โอ่เอ๊ โอ่เอ๊ อะไร?” ถามทั้งที่น้ำตายังร่วงเผาะ เขาอยากจะยิ้มอยู่หรอก แต่ภาพที่ออกมาคงพิลึกน่าดู
   
“ก็เห็นในละครเขาชอบทำกันเวลาปลอบคนร้องไห้”
   
“นั่นเขาไว้ปลอบเด็ก” อดแย้งไม่ได้ ข้างหูเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะละมุนแผ่ว
   
“ต้องปลอบแบบ ‘ผู้ใหญ่’ สินะครับ?” คนเด็กกว่าพูดเสียงใสพลางถูแก้มลงกับไหล่เขา
   
“คิดอะไรอยู่นะ?” วันสุขถามอย่างนึกปลงตก น้ำตาหยุดไหลไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้ เหลือทิ้งไว้เพียงแค่รอยชื้นบนผิวแก้มซึ่งกำลังถูกปลายนิ้วมือเรียวเกลี่ยให้เบาๆ
   
“หึๆ พี่นั่นแหละคิดอะไรอยู่” โดนถามกลับมาแบบนี้ เป็นเขาเองที่ต้องเงียบไป
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก เหลือบหางตามองเสี้ยวหน้าของใครอีกคนที่ยังติดรอยยิ้มบางๆ ไว้ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองไหม แต่ซานมักจะโผล่มาในช่วงเวลาที่เขาต้องการที่ยึดเหนี่ยวสักอย่างแทบทุกครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า...
   
เด็กนี่เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด และในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาคิดมากจนสมองจะระเบิด อย่างกับว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาทำให้เขาปวดหัว พอเห็นเขาทรมานจนพอใจ เจ้าตัวก็จะหิ้วยาแก้ปวดมาป้อนให้ถึงที่อย่างทุกครั้ง
   
“ไม่รู้ว่าพี่คิดไปเองหรือเปล่า” วันสุขเปรยขึ้นมา แล้วก็อดถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่ได้
   
“คิดอะไรครับ?”
   
“คิดว่าเรากำลังปั่นหัวพี่อยู่” พูดพลางสบตากับนัยน์สีเข้มลึกคู่นั้น ซึ่งเจ้าของของมันเองก็นิ่งชะงักไป ก่อนจะแย้มยิ้มร้ายส่งมาให้
   
“เมี้ยว...”
   
“ไม่ต้องมาแกล้งร้องเลียนเสียงแมวเลย” เขาเอ็ดเสียงดุ มือที่ถูกรั้งไว้สะบัดเชือกมีชีวิตออก แล้วก็ยันใบหน้าที่เข้ามาคลอเคลียให้ไปห่างๆ
   
“หิวข้าวแล้ว ออกไปกินข้าวกัน” ว่าแล้วก็เริ่มกลับมางอแงตามประสา
   
“หา?” วันสุขร้องทวนเสียงสูง ดวงตาเองก็เหลือบไปมองนาฬิกาข้างฝาผนัง เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว ของในตู้เย็นก็หมดแล้วด้วย เพราะคุณอาไม่ค่อยได้กลับมากินข้าว เขาเลยไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามาเติม
   
“ออกไปกินข้าวกัน เดี๋ยวขับรถให้”
   
“ทำไมต้องออกไปด้วยครับ? หน้าปากซอยก็มีเซเว่น” คนไม่ชอบกินข้าวนอกบ้านอย่างเขาร้องแย้งขึ้นมาตามประสา แต่เหมือนจะช้ากว่าอีกคน เพราะรายนั้นวิ่งตึงตังขึ้นไปบนบ้าน กลับมาอีกทีก็มีกุญแจรถเขาเป็นตัวประกันแล้ว!
   
“ไปกินนอกบ้านกันครับ” แมวยักษ์ถลาเข้ามาคว้าแขนเขาหมับ วันสุขขืนตัวเต็มที่ แต่เหมือนว่าจะไม่เป็นผลเท่าไหร่
   
“ไม่เอา ไม่ไป!” โวยวายขึ้นมาอย่างลืมตัว มือจิกเบาะโซฟาแน่น ขณะที่เสียงหัวเราะสนุกสนานก็ดังประกอบฉากพิลึกนี่ไม่มีหยุด
   
“น่า...ไปกันครับ ไปผ่อนคลายกัน พี่เครียดเกินไปแล้ว รู้ไหม?”
   
“ไม่เครียดนี่ครับ ซานเอาอะไรมาตัดสินว่าพี่เครียดกัน” ว่าเสียงเรียบ เอียงคอถาม แต่ตัวเกร็งแน่นเมื่ออีกฝ่ายออกแรงดึงแขนเขาเต็มแรง
   
“ถ้าพี่จะบอกผมว่า ที่พี่คิ้วขมวดตลอดเวลาเพราะกำลังมีความสุข ผมว่าพี่พิลึกแล้วล่ะ” เด็กเจ้าเล่ห์ตีจุดเขาจนเถียงไม่ออก “จะไปไม่ไปครับ? จริงๆ อาจารย์โทรมาบอกผมว่าให้พาพี่ออกไปนอกบ้านบ้าง”
   
“ถ้าคุณอาไม่โทรมาก็ไม่คิดจะมาสินะ?” ไม่รู้ว่าเสียงเขากร้าวไปหรือเปล่า เมื่อครู่ยังนั่งร้องไห้อยู่หยกๆ เผลอเดี๋ยวเดียวก็มาขึ้นเสียงเข้มอีกฝ่ายได้แล้ว
   
“ถ้าอาจารย์ไม่โทรมา ผมก็ไม่มาพาพี่ไปกินข้าวหรอก แต่จะพาพี่ไปทำอย่างอื่น...” ประโยคหลังเข้ามากระซิบชิดริมหู กดจมูกแรงๆ บนแก้มเขาทิ้งท้ายอีกฟอดใหญ่ แล้วก็ยิ้มลอยหน้าลอยตา เห็นแล้วมันน่าตีสักที
   
“หืม? จะพาพี่ไปดูดาวเหรอ?” วันสุขถามเสียงนุ่ม
   
“ครับดาว...ดาวบนชั้นเจ็ด!!”
   
“!!!”
   
แรงดึงมหาศาลกระชากทีเดียวทำเอาเขาปลิวถลาไปหาอีกฝ่าย เสียงหัวเราะของผู้ชนะดังก้องไปทั่วบ้าน เขาที่ออกแรงดิ้นเป็นต้องยอมอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายลากไปจนถึงโรงรถ และสุดท้ายก็อดหัวเราะเบาๆ คลอไปกับเสียงทุ้มนุ่มนั่นไม่ได้
   
ความสุขเนี่ย...อุ่นดีจริงๆ นะ...


   


วันสุขไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะดีไหม เพราะหลังจากอีกฝ่ายลากเขาออกมาจากบ้านได้แล้ว สุดท้ายก็มานั่งคว้างอยู่ในรถท่ามกลางถนนยามค่ำประกอบแสงไฟสวย
   
รถไหลเอื่อยๆ ไปเรื่อยเพราะคนขับไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก เขาสังเกตเอาจากคิ้วเข้มขมวดของอีกฝ่าย เจ้าตัวคงกำลังนึกอยู่ว่าจะไปไหนดี ซึ่งผ่านมาก็หลายร้าน บางร้านก็เริ่มจะมีสาวๆ ออกมายืนเรียกลูกค้ากันแล้ว
   
“จะว่าไป...เราบอกพี่เองนี่ว่าวันนี้จะไปกินเลี้ยงกับเพื่อน” นั่งอยู่นานก็เปิดเรื่องชวนคุย
   
“ไปมาแล้วครับ แค่แวะไปทักทายเฉยๆ แล้วก็รีบบึ่งรถมาหาพี่” เสียงทุ้มนุ่มว่าเอื่อย นิ้วเรียวเคาะไปบนพวงมาลัย ทำท่าราวกับว่าคุ้นกับรถเขานักหนา
   
“แล้วทำไมตอนออกมาถึงไม่ใช้รถตัวเอง?” นึกแล้วก็อดถามเสียงดุไม่ได้ เพราะซานเล่นทิ้งรถตัวเองไว้หน้าบ้านเขา แล้วเลือกที่จะขโมยรถของเขาออกมานั่งขับเล่นแทนเสียนี่
   
“ก็ตอนนั้นผมไม่รู้นี่ว่าจะลากพี่ออกมาจากบ้านยังไงดี... เครื่องอืดจัง” บ่นหงุงหงิงไปตามประสา ตบท้ายด้วยการบ่นเรื่องความเร่งเครื่องให้เจ้าของรถเคืองเล่น
   
“อีโคคาร์นี่จะเอาอะไรกับมันมาก” ตอนซื้อรถเขาก็เลือกเจ้านี่มาเพราะทรงมันกระปุ้กลุกน่ารักดี อีกอย่างขับในเมือง ถนนคงไม่มีเลนส์ว่างให้ซิ่ง เน้นประหยัดเงินค่าน้ำมันไว้ดีกว่าเสียอีก
   
“หน้าตาพี่ดูไม่เหมาะกับรถเทือกนี้เลย” คนเด็กกว่าวิจารณ์ รถกระตุกไปวูบหนึ่ง ดูท่าเจ้าตัวจะไม่ชินกับการขับเกียร์กระปุกเท่าไหร่
   
“พี่ไม่เหมาะกับรถเครื่องแรงๆ หรอกนะ” วันสุขว่าเสียงเบาพลางหาวหวอด ง่วงอยากหลับเต็มที ถ้าสารถีจำเป็นยังหาร้านที่ถูกใจไม่ได้ เขาจะเอนเบาะนอนมันตรงนี้นี่แหละ
   
“ไม่เหมาะยังไงครับ? ผมให้พี่ยืมรถผมได้นะ เห็นพี่ชอบดาว คันนั้นก็มีดาวแปะเหมือนกัน”
   
“ไม่ล่ะ รถแรงๆ ไม่เหมาะกับคนใจร้อนอย่างพี่เท่าไหร่” เขาว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุ เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็กดปิด
   
“พี่ดูไม่เหมือนคนใจร้อน” ซานพูดพลางกลั้วหัวเราะทำเอาเขาอดยิ้มตามไม่ได้
   
ใครๆ ก็ว่ากันแบบนั้น นายวันสุขดูไม่เหมือนคนใจร้อน แต่จะบอกว่าเขาไม่ใช่คนใจร้อนเสียทีเดียวก็คงไม่ถูก ถึงภายนอกจะเหมือนคนอารมณ์เย็น เรียบๆ เรื่อยๆ อย่างที่คนรู้จักทั้งหลายว่า แต่การกระทำเหล่านั้นก็เพียงเพื่อเลี่ยงอารมณ์ที่ปะทุง่ายดายของตัวเองก็เท่านั้น
   
แสร้งไม่ใส่ใจ บอกปัด หูทวนลม ยิ้มขำขันกับเรื่องที่ไม่น่าขำ... เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร พอทำสิ่งเหล่านั้นมากๆ เข้า มันก็คล้ายจะติดกลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ถึงแม้ไอ้สิ่งที่เขาอยากเลี่ยงนักเลี่ยงหนาเหล่านั้นมันจะไม่สิ่งที่เขาเป็นจริงๆ ก็เถอะ
   
“จริงๆ ก็ไม่ได้ใจร้อน แต่ว่าโมโหร้าย” แล้วพอโมโหขึ้นมาทีก็คุมตัวเองได้ยากเสียด้วย เหมือนกับวันนี้...
   
“ผมก็โมโหร้ายเหมือนกัน เอ้า...ร้านข้างหน้าดีไหม ขี้เกียจเลือกแล้ว”
   
รถคันเล็กเบี่ยงวูบเข้าข้างทางผ่านตึกใหญ่ที่เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จ ป้ายชื่อร้านวางไล่เลี่ยกันไปจนถึงลานเทซีเมนต์กว้างที่มีรถอยู่ไม่เยอะนัก แสงไฟสลัวชวนให้รู้สึกไม่ปลอดภัยพิกล ใกล้กันมีเสาแขวนชื่อป้ายร้านเก่าๆ ซึ่งกำลังโยกไปเยกมาเพราะแรงลม
   
“อืม...เปลี่ยนร้านดีกว่าไหม?” ตัวตั้งตัวตีเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ แต่มีหรือเขาจะยอมกลับไปนั่งง่วงในรถอีก ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองดูก็ไม่เสียหาย
   
“ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว ถ้ายังเรื่องมากอีก คืนนี้ก็ไม่ต้องกิน” ว่าพลางกวาดหน้ามองหาตัวร้าน จนสายตาไปปะทะกับสะพานไม้เก่าๆ ซึ่งพาดข้ามลำน้ำสายเล็กๆ ไปยังอีกฝั่งซึ่งมีซุ้มประตูไม้ประดับชื่อร้านไว้อยู่
   
“ไปกันครับ” พอเห็นเป้าหมาย วันสุขก็จัดการลากแขนอีกฝ่ายให้เดินตามทันที คนเด็กกว่าทำท่าอิดออด ดูจากสภาพแล้วคงไม่ค่อยได้มาคลุกคลีกับอะไรแบบนี้ ก็ถือว่าพาคุณชายมาเปิดโลกก็แล้วกัน วันๆ คงเที่ยวอยู่ไม่กี่ที่ มาสัมผัสอะไรเก่าๆ บ้าง เผื่อจะหลงรักบรรยากาศแบบนี้อย่างที่เขาชอบ
   
เสียงน้ำดังคลอเข้ามาในหู ประกอบกับเสียงเอียดอาดของไม้เก่า สะพานสลัวที่เห็นได้เพียงรางๆ เพราะแสงไฟส้มนวลจากอีกฝั่งชวนให้รู้สึกประหลาด อย่างกับตัวเองกำลังเดินอยู่ในห้วงมิติอะไรสักอย่างนั้นแหละ
   
ยิ่งเดินเข้าไป เสียงรถราจอแจจากด้านนอกก็เงียบลง แทนที่ด้วยเพลงลูกกรุงเก่านุ่มๆ ชวนให้ยกยิ้มชอบใจขึ้นมาแทน ลมเย็นพัดโชยเอากลิ่นไม้หอมลอยมาแตะจมูก
   
“บังเอิญ หรือจะเรียกว่าอะไรดีนะ?” หันไปถามคนเลือกร้านที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ดูท่าจะมีแต่เขาคนเดียวที่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ซึ่งพอเห็นซานแล้วก็นึกถึงตัวเองสมัยก่อน นายวันสุขที่หน้าบูดหน้าบึ้งตอนคุณอาพาแวะกินข้าวริมทางในวันนั้น...
   
“อะไรครับ เป็นคนเลือกร้านเองแท้ๆ อย่ามาทำหน้าแบบนั้นสิ เสียบรรยากาศหมดนะรู้ไหม” วันสุขพูดขำๆ แล้วก็เลิกสนแมวเอาแต่ใจนั่นแทบจะในทันทีที่ภาพสวนต้นไม้รกครึ้มกับเรือนบ้านเก่าปรากฏสู่สายตา...
   
“สวัสดีจ้ะ กี่ที่จ๊ะ? ตอนนี้ศาลาริมน้ำเต็มหมดแล้ว เหลือแค่โต๊ะในสวนกับบนเรือนนี่แหละ” พนักงานมากอายุเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทีเป็นกันเอง
   
“ในสวนยุงจะเยอะไหมครับ?” วันสุขถาม ตัวเลือกในสวนนั้นดีทีเดียว เพราะดูท่าจะสงบเงียบไร้คนมาก่อกวน
   
“มียากันยุงจุดให้จ้ะ ไม่ต้องกลัว” คุณป้ายืนยันมาแบบนั้นเขาก็ลองดูเสียหน่อย ซึ่งสุดท้ายโต๊ะที่ได้ก็เป็นม้าหินบ้านๆ ธรรมดา มีแสงไฟสีส้มอ่อนนวลๆ ไม่ทำให้มืดเกินไปนัก กลิ่นยากันยุงลอยมาอ่อนๆ และโชคดีที่พวกเขาใส่ขายาวกันมาเลยไม่เป็นปัญหา
   
“ไอ้นี่มันกินได้ด้วยเหรอ?”
   
พอพ้นหลังพนักงาน วัยรุ่นผู้ไม่คุ้นเคยกับอาหารไทยก็จิ้มนิ้วลงกับเมนูชื่อ ‘ไข่เจียวดอกอัญชัน’ พร้อมหน้าตาท่าทางคิ้วขมวดเหมือนสงสัยเต็มประดา
   
“กินได้สิ น้ำอัญชันใส่น้ำผึ้งมะนาวอร่อยนะ ชุบแป้งทอดทำเป็นยำกรอบก็ยังได้ แต่พี่ชอบพวกกลีบบัวมากกว่า” ไม่รู้ว่าเสียงเขาดูอารมณ์ดีเกินไปหรือเปล่า อีกฝ่ายซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามถึงได้พับเมนูปับ แล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมานั่งกดเล่นเสียอย่างนั้น
   
ถ้าจำไม่ผิด...ตัวตั้งตัวตีที่จะออกมากินข้าวนอกบ้านไม่ใช่เขานะ... แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น วันสุขก็ไม่คิดจะใส่ใจเท่าไหร่ มือกรีดหน้าเมนูเก่าไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี พอพนักงานมาก็สั่งอาหารไปสามสี่อย่าง สองในสามเป็นต้มจืดธรรมดากับปลาทับทิมราดยำผลไม้
   
ลมเย็นๆ พัดมาอีกครั้งชวนให้หนาวอยู่หน่อยๆ กลิ่นฝนลอยมาแตะจมูก เขาก็ได้แต่ภาวนาว่ามันคงจะไม่ตก ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้สุนทรีย์นัก เมื่อเสียงเกมส์มือถือดังแว่วมาขัดความสงบ
   
“บรรยากาศออกจะดี” วันสุขเปรยขึ้นเบาๆ
   
“ไม่เห็นจะดีเลย” ซานที่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกดุยอมวางเจ้าเครื่องทรงสี่เหลี่ยมบางเฉียบลงกับโต๊ะ
   
“เปิดใจหน่อยสิ ความสงบแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะ”
   
“ผมไม่ได้อยู่ในช่วงวัยที่ต้องการความสงบเสียหน่อย”
   
วันสุขไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่คล้ายกับจะโดนเจ้าเด็กนี่ด่าทางอ้อมว่าแก่ชอบกล ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ถังน้ำแข็งกับน้ำเปล่าถูกยกมาส่งให้ที่โต๊ะ เขาอาสาขอพนักงานทำเอง อาจด้วยเพราะไม่ชอบให้ใครมาบริการอะไรให้สักเท่าไหร่
   
เสียงกริ๊งกรั๊งของก้อนน้ำแข็งซึ่งหล่นกระทบแก้วช่วยไม่ให้บรรยากาศตึงเกินไปนัก น้ำเปล่าถูกรินใส่อย่างช้าๆ และในเวลาเดียวกันนั้นเองที่เขาส่งแก้วให้คนฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยถามด้วยโทนเสียงที่เขาเกลียดเหลือเกิน
   
“เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม...เรื่องเจ้าของของแหวนวงนั้น...” น้ำเสียงราบเรียบ ไม่บ่งแม้แต่อารมณ์...จนเขาเดาไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่ โดยเฉพาะดวงตาสีเข้มเหมือนลูกปัดดำนั่นด้วยแล้ว...
   
“อยากรู้...ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เสียงของเขา...แผ่วจนแม้แต่ตัวเองก็แทบจะไม่ได้ยิน ลำคอมันแห้งผาก เพียงแค่นึกถึงเรื่องของบางคนขึ้นมา หัวใจก็คล้ายกับจะกระตุกไปวูบหนึ่ง เสียงซาซ่าเหมือนโทรทัศน์ขาดสัญญาณดังแว่วอยู่ในหัว
   
“ที่พาพี่ออกมาถึงที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?” พอสมองเริ่มคาดเดาบางอย่างได้ เขาก็ไม่รีรอที่จะรั้งคำถามนั้นไว้กับตัวเอง... วันสุขนั่งนิ่งรอคำตอบ บรรยากาศสบายๆ ที่เขาคิดมาตลอดว่ามันเป็นคล้ายกับว่าจะไม่ใช่อีกต่อไป...
   
“ผมก็แค่อยากรู้...ว่าทำไมเขาถึงได้สำคัญนัก”
   
“พี่คิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปแล้ว” ไอเย็นๆ จากแหวนกำลังโอบล้อมรอบนิ้วของเขา และมันก็เริ่มชาจนแทบกระดิกไม่ได้
   
“เพราะผมยังสำคัญไม่พอหรือเปล่าครับ?”
   
คำถามประหลาดถูกส่งมาให้ทำเอาเขาพูดไม่ออก เด็กนั่นไม่ได้ล้อเล่น... ดวงตาจริงจังนั่น จริงจังจนน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่เป็น... และภาพนั่นมันก็กำลังซ้อนทับกับใครสักคนที่เคยถามคำถามแบบนั้นกับเขาเมื่อครั้งอดีต
   
ศีรษะคล้ายกับจะปวดจี๊ดขึ้นมา มือกำแก้วน้ำแน่น หวังจะพึ่งของเหลวเย็นเฉียบช่วยดับสติเบลอมัว ทว่ามือของเขากลับเกร็งจนสัมผัสได้ว่ามันกำลังสั่นจนน้ำในแก้วกระฉอก
   
“...พอเถอะ” ว่าเสียงแผ่ว ปิดตาแน่น พยายามสูดหายใจเข้าลึก รวบรวมสติอยู่นานกว่าหัวใจจะกลับมาเป็นปกติได้... แม้จะไม่ทั้งหมดก็เถอะ
   
“ขอโทษครับ...” ซานพึมพำแผ่ว “แต่ว่า...พี่วันน่ะ ‘สำคัญ’ นะครับ” สิ้นคำพูดก็มีเพียงแค่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้ ซานเอื้อมแขนมาคว้าแก้วน้ำออกไปจากมือเขาก่อนจะแทนที่ด้วยนิ้วอุ่นๆ บีบแน่น
   
วันสุขสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง และเลือกที่จะเสตามองไปทางอื่น เสียงซ่าๆ ในหัวก็เริ่มจางหายไป กลิ่นอาหารลอยโชยมาแตะจมูก บรรยากาศหนักๆ เริ่มจะเบาบางลง...แค่เสี้ยววินาที
   
“รู้ไหม...ตอนเยลลี่มาเล่าว่าพี่ทำอะไรลงไป ผมโกรธมากแค่ไหน”
   
จู่ๆ เด็กตรงหน้าก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นๆ นี่กะจะไม่ให้เขาพักหายใจเลยสินะ?
   
“ว่าแล้วเชียว...โกรธพี่สินะครับ?” วันสุขยิ้มเอื่อย แม้น้ำเสียงจะเหนื่อยอ่อนเต็มที หัวยังปวดตุบๆ แต่ก็ยังแสร้งเอียงคอมองคนฝั่งตรงข้ามด้วยสายตานุ่มๆ อย่างเคยตัว...
   
“โกรธสิ...” ชั่วแวบหนึ่งที่เด็กตรงหน้าพูด เหมือนประกายรุนแรงจะแล่นวูบผ่านดวงตาคู่นั้น และมันถูกส่งตรงมายังเขา... “พี่ไม่น่าทำแบบนั้น ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำได้แบบนั้น”
   
วันสุขรู้สึกอึดอัด...อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เหมือนลำคอมันจะตีบตันขึ้นมาดื้อๆ ฐานะที่เด็กนั่นพูดถึง เขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร รู้อยู่แก่ใจดี แต่อยู่ๆ เจ้าตัวก็มาพูดใส่กันแบบนี้... ทำไมจู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบจนแก้มแสบไปหมดนะ?
   
“พี่น่ะสำคัญนะครับ... แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรแบบนั้นได้”
   
“พี่เกลียดที่เราพูดแบบนี้...”
   
ถ้อยคำบางอย่างหลุดออกจากปากไป...เสียงยะเยือกที่แม้แต่ตัวเขาเองยังต้องตกใจ ชักมือออกจากการเกาะกุม นิ้วกำแน่นจนเล็บแทบจิกลงเนื้อ อารมณ์เดือดปะทุกำลังพุ่งสูง และเหมือนว่าเขาแทบจะคุมตัวเองไม่ได้อีกครั้ง
   
“ต้มจืดเต้าหู้กับหมูหมักเหล้าจีนค่ะ”
   
เสียงใสๆ ของเด็กสาวแรกรุ่นดังขึ้นขัดบรรยากาศ อาหารถูกวางลงตรงหน้าพร้อมข้าวเปล่าที่เขาสั่งไปด้วย วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามระงับสติตัวเอง ก่อนจะต้องชะงักไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบกับคนฝั่งตรงข้ามที่กำลังหยักยิ้ม...
   
นี่เขา...โดนปั่นหัวอีกแล้วสินะ?
   
“ตอนพี่โกรธน่ะ น่ารักจริงๆ ด้วย ...ยากหรือเปล่าครับที่ต้องคุมเข้มกับอารมณ์ตัวเองแบบนั้น”
   
“หมูนี่อร่อยดี” พอรู้ตัวว่าโดนยุเข้าให้ก็แสร้งเปลี่ยนเรื่อง แล้วตักหมูชิ้นขนาดพอดีไปวางบนจานอีกฝ่าย
   
พวกเขานั่งกันอยู่ไม่นานของก็มาครบ ซานดูท่าทางตื่นเต้น คงไม่ค่อยได้กินอะไรพวกนี้มากนัก วัยรุ่นสมัยนี้อย่างมากก็พึ่งข้าวกล่องตามร้านสะดวกซื้อ หรือไม่ก็อาหารในห้าง ซึ่งดูจากเค้าแล้วเด็กตรงหน้าน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
   
คราวหลังถ้าซานหวังจะมาพึ่งข้าวเย็นที่บ้านเขาอีก เห็นทีคงต้องทำอะไรแปลกๆ ให้ได้ลองบ้าง คิดซะว่าสอนให้รู้จักไม่เลือกกินก็แล้วกัน...
   
“จริงสิ เสร็จจากนี่ไปแล้วเดี๋ยวช่วยไปแวะที่ตลาดใกล้ๆ นี่หน่อยได้ไหม” ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลาพลางพูดบอกอีกฝ่าย
   
“จะไปทำอะไรเหรอครับ? จะสี่ทุ่มแล้วนะ” ซานถามอย่างสงสัย มือก็ตักของกินเข้าปากไม่หยุด
   
“ซื้อต้นไม้น่ะ ของเพิ่งจะเอามาลงกัน น่าจะมีให้เลือกเยอะ” ว่าแล้วก็เริ่มคำนวณในใจว่าจะซื้ออะไรดี จะได้ถือโอกาสใช้แรงงานอีกฝ่ายเป็นการเอาคืนเล็กๆ
   
“ดึกขนาดนี้เนี่ยนะครับ?”
   
“บรรยากาศดีนะ ปกติพี่จะมาคนเดียว ได้เรามาเดินเป็นเพื่อนก็แก้เหงาขึ้นเยอะ” ว่าเรียบเรื่อย แต่ดูเหมือนคนตรงข้ามจะนั่งหน้ามุ่ยอีกแล้ว
   
“แค่แก้เหงาเองเหรอครับ?” ซานถามเสียงหงอย แต่ทั้งเสียงทั้งสีหน้านั้นสวนทางกับแววตาเหลือเกิน
   
“ระหว่างเดิน...จะได้เล่าเรื่องที่เราอยากรู้ไปด้วย” ว่าพลางรินน้ำให้อีกฝ่าย และถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะเล่าจริงๆ
   
“โกหกไม่ดีนะครับ” คนรู้ทันพูดดักเสียงเข้ม
   
วันสุขแสร้งทำหน้าไม่ใส่ใจ ยกมือซ้ายขึ้นไล้ปลายผมตัวเองแล้วจับมันทัดหูไว้หลวมๆ วงแหวนสีดำสะท้อนล้อแสงไฟเป็นประกายวูบ
   
“...ผมยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ”
   
แมวตัวใหญ่พูดกลั้วเสียงหัวเราะ รอยยิ้มคุ้นตาถูกส่งมาให้ และบทสนทนาทั้งหลายของพวกเขาก็จบลงอยู่แค่นั้น


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 8 - รัก เกลียด (05/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 05-08-2014 11:56:38


พวกเขาออกมาจากร้านอาหารเอาก็ตอนสี่ทุ่มกว่า รถราบนถนนไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย โดยเฉพาะตัวตลาดต้นไม้ที่คนเยอะผิดปกติ ซึ่งกว่าพวกเขาจะวนหาที่จอดรถได้ก็ทำเอาลำบากเหมือนกัน
   
ลานจอดรถอยู่ห่างจากตลาดพอสมควร แสงไฟที่เปิดก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก ท้องฟ้าครึ้มเมฆจนมองแทบไม่เห็นพระจันทร์ กลิ่นฝนโชยมาอ่อนๆ ลมเย็นพัดวูบชวนหนาวเยือก
   
“ปกติพี่มาคนเดียวตลอดเลยเหรอครับ?” ซานออกปากถามขณะที่ก้าวขึ้นมาเดินตีคู่เขา วันสุขพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาสีอ่อนกวาดมองมองทิวสลัวข้างทางอย่างเหม่อลอย เวลาอยู่ท่ามกลางความมืดทีไร...จิตใจมันเหมือนจะถูกชักให้ล่องลอยตามไปอย่างไรชอบกล โดยเฉพาะช่วงที่เขากำลังอ่อนแอแบบนี้
   
“พี่วัน...”
   
เสียงเรียกแว่ววานเลือนหายไป จู่ๆ ขาก็ก้าวไม่ออกเสียดื้อๆ ... แสงไฟสีขาวแยงตาส่องอยู่ไกลๆ ภาพรอบกายคล้ายมัวเบลอ กลิ่นชื้นฝนลอยโชยมาแตะจมูก เสียงประหลาดดังก้องอยู่ข้างหู เสียงหัวเราะ เสียงตะโกน เสียงของน้ำ...
   
ซา ซ่า... ซา ซ่า...
   
“พี่วัน!”
   
พลันเสียงหนึ่งก็ดังแทรกทุกอย่างเข้ามา... สายตาเบลอมัวค่อยๆ ชัดขึ้นอย่างช้าๆ และสิ่งแรกที่เห็นนั่นก็คือดวงตาสีเข้มจัดคู่หนึ่ง...
   
“อา...ขอโทษที พี่ดันเผลอคิดเรื่องประหลาดๆ ขึ้นมาน่ะ” ทั้งที่เมื่อครู่เขายังปกติดีอยู่แท้ๆ คงเป็นเพราะเผลอนึกถึงเรื่องของคนคนนั้นขึ้นมา...ผนวกกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทั้งวัน ...คงใกล้จุดที่ตัวเขาเองจะรับไม่ไหวแล้วหรือไงนะ?
   
“ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวฝนจะตกนะครับ” ซานเอ่ยเตือนสติเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่มีท่าทีตกใจอะไร ทั้งมืออุ่นนั่นยื่นมาคว้าข้อแขนเขาไว้แล้วออกแรงดึงเบาๆ “พี่วัน?” พลางทวนชื่อเขาด้วยน้ำเสียงฉงน เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะเดินตามมา
   
“ขอโทษนะ... แต่ว่ากลับกันเถอะ”
   
วันนี้ท่าทางเขาจะแย่แล้วจริงๆ กลับไปคงไม่พ้นต้องพึ่งยานอนหลับ สภาพอ่อนแอน่าอดสูแบบนี้ แค่นึกว่าต้องมาทำให้คนอื่นเห็นนอกจากเวย์กับคุณอาแล้ว...มันก็ชวนให้รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กนั่นได้เห็นเขาในสภาพนี้ก็เถอะ...
   
“เดินสักนิดก็ได้นี่ครับ” ซานยังไม่ยอมแพ้ แววห่วงใยฉาบบางอยู่บนดวงตานั่น เห็นแล้วเขาก็อดคิดไม่ได้...ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่านะ?
   
“กลับกันเถอะ...” วันสุขส่งยิ้มอ่อนไปให้และยังคงยืนยันคำเดิม ถ้าเกิดฝืนต่อไป เขาเองก็กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา “กลับกันเถอะ นะ...” และถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ขากลับก้าวไม่ออก...
   
“คิดถึงเจ้าของแหวนนั่นอีกแล้วสินะครับ?” ข้อมือถูกบีบแน่นจนเจ็บ คางถูกเชยขึ้นสบกับใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ ดวงดาวพราวบนฟ้าสีดำคู่นั้นไหววูบราวกับถูกพายุพัดพา
   
“กลั...”
   
“พี่วันครับ”
   
วันสุขจำต้องเงียบไปเมื่อถูกพูดแทรก ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขาอยู่ชั่วขณะ เสียงฟ้าครืนครานดังแว่ววานมาแต่ไกลๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ใบหน้าของเขาถูกอีกฝ่ายประคองเบาๆ ไม่ให้เอียงหลบ
   
“ผมอยากฟังนะครับ...เรื่องของคนคนนั้น สักนิดก็ยังดี” เสียงทุ้มนุ่มดูจะอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง รอยยิ้มจางถูกส่งมาให้ ซานดูไม่เหมือนกับเด็กที่เขาเคยรู้จักนัก... พวกเขากำลังสลับบทกันอยู่หรือเปล่านะ? คนหนึ่งดูโตขึ้น ในขณะที่อีกคนอ่อนแอไม่ต่างจากเด็ก
   
“...” เขาเลือกที่จะเงียบ แต่วันสุขรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรออย่างใจเย็น
   
แสงสว่างจ้าของรถคันหนึ่งสาดส่องเข้ามาแล้วแล่นวูบผ่านไป ลมยะเยือกพัดโชย หัวสมองเต็มไปด้วยความคิดว้าวุ่นมากมายซึ่งตีกันไปตีกันมา กว่าจะมารู้ตัวอีกทีเขาก็เผลอดันอีกฝ่ายจนไปติดกำแพงแล้ว...
   
มันคงเป็นภาพประหลาดพิลึกที่มีผู้ชายสองคนมายืนซบกันอยู่ตรงนี้...
   
“เคย...กลัวความรัก...หรือเปล่า?” รวบรวมความกล้าและพึมพำออกมาเสียงแผ่ว ปรือตาลงเมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบหลังศีรษะของเขาเบาๆ ถ้าเป็นเวลาปกติคงโวยใส่ไปบ้าง ทว่าตอนนี้มันช่วยให้รู้สึกสบายใจดีเหลือเกิน
   
“ไม่เคยครับ แต่เกลียด” ผิวแก้มสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นยามที่อีกฝ่ายพูดออกมา
   
“เหรอ? แล้วเกลียดมากไหม?” ถามออกไปขณะที่ริมฝีปากยกยิ้มบาง
   
“มาก” คำยืนยันหนักแน่นของอีกฝ่ายทำเอาเขาหัวเราะ
   
“แล้วเคย...รักใครสักคนหรือเปล่า?” ถามออกไปจนได้ สุดท้ายก็มีเพียงแค่ความเงียบเป็นคำตอบกับอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้นเท่านั้น กลิ่นน้ำหอมคุ้นเคยชวนให้ปิดเปลือกตาลงอย่างสบายใจ...กลิ่นเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด...
   
“พี่เคยนะ... จำได้ว่าแอบไปนอนร้องไห้ทุกวัน...” ยิ่งเล่าเสียงก็ยิ่งแผ่ว ใจมันบีบแปลบเข้าหากัน มือเองก็เผลอกำเสื้ออีกฝ่ายแน่น สติกำลังแกว่งไกว แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะเล่าได้
   
“ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ” ซานถาม ลมแรงพัดหวือมาระลอกใหญ่
   
“ทั้งผู้หญิง...แล้วก็ผู้ชาย...” ไม่ว่าใครก็เป็นคนสำคัญทั้งนั้น และเพราะแบบนั้นเอง สุดท้ายก็เลยไม่เหลือใคร ไม่เหลือเลยสักคน... “บางที...ถ้าพี่ไม่ไปยืนอยู่ตรงนั้น...ทุกอย่างมันคงดีกว่านี้” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่น บางสิ่งที่เก็บไว้มานานนับสิบปีก็คล้ายจะแตกออก เหมือนกำแพงเขื่อนที่สายน้ำรุนแรงพรั่งพรูออกมา...
   
ซาซ่า ซาซ่า...
   
สายฝนเทสาดลงมา เย็นแทบบาดกระดูก...
   
“ทำไมถึงโทษตัวเองแบบนั้น...” ซานถาม เสียงแผ่วแทบจะกลืนหายไปกับฝนกระหน่ำ ทว่ากลับชัดเจนจนน่าแปลก
   
“เขา...ตาย...” แค่นึกถึงตอนนั้นขึ้นมา กายมันก็พานหนาวยะเยือก เสียงของฝนยิ่งทำให้กลัวจนตัวสั่น เสียงของน้ำ กลิ่นเลือด ภาพในอดีตนับสิบที่ฉายเข้ามาในหัว ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
   
“เจ้าของแหวนนี่ใช่ไหม?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สภาพของเขาตอนนี้คงไม่มีแรงจะไปใส่ใจอะไรอีกแล้ว สิ่งที่รอดออกมาจากริมฝีปากมีเพียงแค่เสียงสะอื้นน่าอดสูกับสายน้ำตาเท่านั้น
   
“พี่รักเขา...”
   
ความรู้สึกจริงแท้ที่หลอกหลอนเขามาตลอดเวลาถูกถ่ายทอดออกมาอย่างง่ายดายทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก้อนเนื้อในอกบีบแปลบจนเหมือนจะหายใจไม่ออก น้ำตาที่ผสมไปกับสายฝนก็ยิ่งพรั่งพรูลงมา ในขณะที่อีกฝ่ายยืนนิ่งเงียบไม่ต่างจากรูปปั้น
   
นายวันสุขร้องไห้อีกแล้ว... เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวก็ร้องไห้... เขาเกลียดจริงๆ เกลียดไอ้อาการบ้าๆ นี่ที่ห้ามเท่าไหร่มันก็ยิ่งกำเริบหนักขึ้นทุกวัน เกลียดความอ่อนแอของตัวเอง เกลียดความคิดมากของตัวเอง เกลียดมันไปซะทุกอย่าง เกลียด...เกลียดตัวเองเสียจริงๆ
   
“ซาน...พวกเรา ไม่ได้รักกันใช่ไหม?”
   
เขาถามอะไรออกไปนะ... แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองก็ต้องสบเข้ากับแววตาประหลาดคู่นั้น ดวงตาสีดำยะเยือก นัยน์ที่ไม่ได้ฉายแววใดๆ ทั้งที่มันแต้มพราวไปด้วยดวงดาวสีสวยแท้ๆ
   
“ตอบมาสิ...” ตอบมาว่าไม่ได้รัก พูดออกมาว่าจะไม่มีวันพูดคำนั้นให้เขาได้ยิน ใจนี้มันกลัวคำคำนั้นเหลือเกิน เพราะถ้าหากมันถูกเอ่ยขึ้นมาแล้ว...อีกไม่นาน สุดท้ายก็จะเป็นเขาเองที่ต้องอยู่คนเดียว
   
“บอกไปแล้วนี่ว่าเกลียดความรัก” สิ้นคำพูดก็แต้มจูบลงกับแก้มของเขา ทิ้งสัมผัสอุ่นวาบซึ่งถูกชะล้างออกไปทันทีด้วยฝนเย็น “อีกอย่างผมเองก็เกลียดพี่ด้วย”
   
เหมือนผีเสื้อร่อนลงแตะลงบนริมฝีปาก...แล้วก็บินจากไป นับสิบนับร้อยครั้ง... ไม่ได้รุนแรง แต่แผ่วเบา ทิ้งไออุ่นวาบประหลาดให้พล่านไปทั่วทั้งกาย ...เผลอเบียดตัวเองเข้าหาอีกฝ่าย คล้องแขนโอบรอบลำคอ กดจูบแผ่วให้ย้ำหนักตามแรงอารมณ์
   
แสงสว่างวาบของไฟหน้ารถส่องผ่านไป แต่ไม่มีใครสักคนที่คิดจะหยุดการกระทำ หูของเขาอื้ออึง สติกระเจิดกระเจิง ขณะที่หัวใจกลับเต้นรัวกระหน่ำ น้ำตายังไหลออกมา... แต่ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังร้องไห้เพราะเรื่องอะไร
   
“จะเกลียดผมก็ได้นะ...” จูบหยุดอยู่ชั่วขณะ ปลายจมูกแตะเข้าหากัน เสียงกระซิบดังแผ่ว แต่กลับก้องกังวาน “พี่รักเขา... แต่จะเกลียดผมก็ได้...”
   
ประโยคแบบนี้ เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนในอดีต แต่ทำไมมันถึงได้ให้ความรู้สึกต่างกันขนาดนี้นะ? เกลียดเหรอ? เกลียดได้จริงๆ น่ะเหรอ?
   
“พี่เกลียด...ที่เราชอบเข้ามาวุ่นวาย...”
   
“ผมเองก็เกลียดที่พี่ชอบทำตัวให้น่าเป็นห่วงอยู่เรื่อย” ซานว่า ทำเอาเขาหลุดขำ ใครกันแน่ที่ทำตัวน่าเป็นห่วง?
   
“พี่เกลียด...ที่เราชอบทำเหมือนรู้อะไรบางอย่าง...แล้วก็ไม่ยอมบอกพี่”
   
“พี่เองก็ชอบนั่งอมทุกข์ มีอะไรไม่ยอมบอก ผมก็เกลียดนิสัยแบบนั้นเหมือนกัน”
   
“พี่เกลียด...ที่เราชอบปั่นหัวพี่ ยุให้พี่คุมตัวเองไม่ได้ ยุให้พี่เล่าเรื่องที่ไม่อยากเล่า” พอพูดมาถึงตรงนี้ก็ต้องชะงักไป ตาสีอ่อนหรี่มองใบหน้าที่ห่างกันแค่คืบอย่างคาดโทษ มือยกขึ้นบิดเนื้อเอวอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิดเต็มกำลัง
   
“เจ็บๆ พอแล้ว พอแล้ว! พี่นี่รู้ตัวเร็วชะมัด...” แมวตัวโตบ่นหงุงหงิงแล้วก็รวบกอดเขาแน่น วันสุขออกแรงดิ้นขลุกขลัก แต่ยิ่งดิ้นเนื้อก็ยิ่งเสียดสีกัน สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะอยู่นิ่งๆ เพราะดูจะปลอดภัยกว่า
   
“หลอกพี่สินะ!?” แค่นเสียงกราดเกรี้ยวออกมาจากลำคอ ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะอารมณ์ดี
   
เด็กนี่มันร้ายเสียจริง! พอรู้ว่าอะไรกระตุ้นเขาได้ก็คอยยุตลอด ยุมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็มาระเบิดเอาในวันนี้ ส่วนคนเจ้าเล่ห์ก็ตักเอาตักเอา ตักเอาความทุกข์ของเขาเปลี่ยนเป็นความสุขให้ตัวเอง
   
“ก็ปากพี่ชอบบอกอีกอย่าง การกระทำอีกอย่างตลอด ผมก็อยากได้ความแน่นอนในชีวิตบ้าง จะได้แน่ใจกับเขาสักทีว่า คน ‘กลัว’ ความรักอย่างพี่นี่ตกแล้วยังไง”
   
“หึ...แล้วได้คำตอบไหมล่ะ?” วันสุขแค่นเสียงถาม คิ้วของเขาตอนนี้คงขมวดกันเป็นปม
   
“ได้แล้วครับ”
   
“เหรอ?” เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
   
“พี่วันครับ...” ทว่าคนที่คิดว่าน่าจะเงียบไปแล้วกลับเรียกชื่อเขาอีกครั้ง วันสุขชะงักไป หรี่ตามองเสี้ยวหน้าคมๆ ซึ่งยังประดับรอยยิ้มอุ่นๆ ที่ดูละมุนแปลกตา แม้จะเปียกโชกด้วยฝนก็เถอะ
   
“...”
   
“เรียกแล้วก็พูด เงียบทำไม” วันสุขยืนรออยู่นาน สุดท้ายก็อดเร่งอีกฝ่ายไม่ได้ เขาชักจะเริ่มหนาวแล้ว ถ้ายังคิดจะมาคุยกันท่ามกลางสายฝนแบบนี้ ไม่แคล้ววันพรุ่ง หวัดที่เพิ่งหายได้ไม่นานคงได้กลับมาเยือนเขาอีกรอบ
   
“เป็นแฟนกัน”
   
“หา?”
   
“ถามไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ ผมนั่งอัพสเตตัสสละโสดไปตั้งแต่ตอนนั่งกินข้าวกันแล้ว”
   
“เดี๋ยวก่อนสิ”
   
“ต่อไปนี้ก็ทำอะไร ‘สะดวก’ ขึ้นแล้วเนอะ”
   
“สะดวกอะไรของเรา แล้วพี่ไปตกลงกับเราตอนไหน!?”
   
“ก็พี่จะได้หึงผมได้อย่างเป็นทางการ แล้วก็... ‘สะดวกๆ ’ โอ๊ย!”


To be continued...


จริงๆ แล้วซานอาจจะเป็นแค่เด็กกวนประสาทคนหนึ่ง หรือมีอะไรซับซ้อนกว่านั้นก็ได้
แต่พี่วันนี่โดนปั่นหัวซะหมุนเลยเชียวตอนนี้ (หัวเราะ)
 :กอด1: :L2: :กอด1:

<a href="https://www.facebook.com/turelightwriter"><img src="http://www.uppic.org/image-D0EC_53E060A0.gif" /></a>
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 8 - รัก เกลียด (05/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: poporimikoru ที่ 05-08-2014 20:15:42
โอยยย ปมมันลึกมาก ดาร์กอ่อนๆถึงป่นกลาง

ที่ตายนี่คุณพ่อรึเปล่าคะ??


แต่ตอนหลังแอบหวานนะเนี่ย 5555555555


หวานปมขมมันแซ่บจริงๆ ฮือออ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 8 - รัก เกลียด (05/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 07-08-2014 19:37:11
ที่ตายนี่คือใคร คนในครอบครัว ?  หรือผู้ชายคนนั้น คนที่บอกว่าดีใจที่พี่วันเกลียด
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 9 - อดีต ปัจจุบัน (12/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 12-08-2014 12:27:12
บทที่ 9 - อดีต ปัจจุบัน



เหมือนฝันไป...
   
ความรู้สึกตอนนี้คงคล้ายกับตัวเองกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆนุ่มๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น หยิกแขนสักกี่ทีก็ไม่รู้สึกเจ็บ ลมอ่อนๆ พัดโชยให้ร่างเบาหวิวมันละล่องไปตามริ้วอากาศ
   
เขาคงบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็คงถูกเจ้าเด็กนั่นสะกดจิต ตอนนั้นถึงได้ไม่ปฏิเสธคำขอเอาแต่ใจนั่นไป ทั้งที่ทำได้ง่ายๆ แค่เปล่งเสียงออกมา แต่ใจลึกๆ กลับยินดีอย่างน่าประหลาด หรือว่าบางทีเขาควรจะเชื่อจิตใต้สำนึกข้างในของตัวเองมากกว่าความคิดจากสมองสั่ง?
   
นายวันสุขร้างราจากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มานานจนแทบจะลืมไปแล้วว่า ไอ้ความรู้สึกนั้นมันหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงจะเตรียมใจมาพอสมควรว่าตัวเองจะลองลุยดูสักตั้ง แต่พอเอาเข้าจริงแล้วก็ยังอดแปลกใจ มึนงง ไม่ได้
   
มันแปลก...คงเพราะนานแล้วที่ไม่เคยให้ใครมายุ่มย่ามกับตัวเองแบบนี้ นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกว่าสามารถโกรธใครสักคนได้เต็มที่ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน และก็นานแล้วที่เวลาเดินคู่กับใครสักคน...แล้วมันรู้สึกอยากหลบฉากไปให้พ้นๆ สายตาผู้คนขนาดนี้
   
ตั้งแต่ใช้ชีวิตมา เขาไม่เคยวาดภาพตัวเองทำท่าเหนียมอายอย่างคนขนาดความมั่นใจเลยสักครั้ง เสียศูนย์ไปสักพัก กว่าจะกลับมาตั้งลำได้ก็โดนแมวตัวใหญ่พูดล้อบ่อยๆ
   
ข่าวคราวของพวกเขาสองคนแทบจะลอยไปเข้าหูของคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย ใครมันจะไปรู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะโด่งดังขนาดนั้น หลายวันมานี้ก็มีคนแปลกๆ วิ่งเข้ามาพูดอะไรประหลาดๆ ใส่ นายวันสุขก็ทำได้แค่ยิ้มอ่อนๆ ตอบไปตามฉบับอย่างที่เขาเคยเป็น
   
ไม่น่านึกประมาทเลยจริงๆ รู้อย่างนี้แล้ว เขาน่าจะบังคับให้ซานลบสเตตัสป่าวประกาศเทือกนั้นเสียตั้งแต่วันแรก แต่พอนึกภาพดูแล้ว ซานคงไม่ยอมลบง่ายๆ อยู่ดี
   
แต่โดยรวมแล้วเขาก็มีความสุขดี ชีวิตราบรื่นจนน่าใจหาย แทบไม่มีใครมาคัดค้านการคบหากันอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ วันสุขเองก็ไม่ค่อยเข้าใจคนสมัยนี้นัก โดยเฉพาะพวกผู้หญิง แต่ก็ต้องขอบคุณความโชคดีนี่ที่ไม่นำพาเรื่องน่าปวดหัวมาให้
   
ทว่าถึงปากจะบอกว่าคบกัน แต่มันก็เป็นแค่ฐานะที่พวกเขาสมมติขึ้นมาเท่านั้น ทำให้มันเป็นทางการ ทั้งที่ความสัมพันธ์ก็คืบหน้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมแค่ดูแลกันมากขึ้นก็เท่านั้น
   
“ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าจริงๆ เราเกลียดกัน หรือว่าแค่อยากอยู่ด้วยกันเรื่อยๆ ไปนานๆ กันแน่”
   
ซานเคยถามเขาแบบนี้หลังจากตกลงกับเขาแล้วว่าจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปกัน เด็กคนนั้นมักจะแทนคำว่า ‘รัก’ ด้วยคำว่า ‘เกลียด’ เสมอ เพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบมันแค่ไหน
   
จนทุกวันนี้เขาเองก็ยังหาคำตอบให้คำถามนั้นไม่ได้เช่นกัน แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีแล้ว ความสัมพันธ์ที่ให้เวลาค่อยๆ เกลา ค่อยๆ สร้างแบบนี้...ดีกว่าความฉาบฉวยที่ลมพัดเบาๆ ก็พังครืนเป็นไหนๆ


   


“จริงๆ แล้วทุกอย่างต้องเริ่มจากหนึ่งสินะครับ?”
   
วันสุขพูดขึ้นมาลอยๆ ขณะที่ตายังจับจ้องไปที่กระดาษข้อสอบเช่นเดิม ข้างกันบนพื้นยังมีปึกกระดาษอีกปึกใหญ่วางกองอยู่ ฤดูสอบปลายภาคมาถึงแล้ว งานหนักส่งท้ายก่อนที่เขาจะได้พักสบายๆ อีกเดือนหนึ่งเต็มๆ
   
“บ่นอะไรของเรา ทะเลาะกับซานมาเหรอ?” คุณอาที่นั่งทำงานติดหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษกรอกคะแนนเก็บ เสียงทุ้มหนักซึ่งดังเบาๆ ทำเอาเขาสะดุ้ง
   
เวลาโดนคุณอาทักเรื่องนี้ทีไร วันสุขเองก็ปั้นหน้าไม่ถูกทุกที ใครจะไปรู้ว่าเรื่องจะไปถึงหูท่านเร็วขนาดนี้ เพราะหลังกลับมาจากตลาดวันนั้น เขาก็รีบอาบน้ำเข้านอน ตื่นเช้ามาก็เจอคุณอามายืนทำเซอไพรส์กันถึงห้อง ซึ่งถ้อยคำอวยพรวันนั้นยังหลอนหูเขาไม่หาย...
   
“เปล่าครับ แค่บ่นเฉยๆ น่ะ” ยอมสละสีข้างตัวเองเพื่อหลบฉากออกมาจากการถูกซัก แต่มีหรือหนุ่มใหญ่ที่เลี้ยงเขามากับมือคนนั้นจะจับท่าทีนี้ไม่ได้
   
“พักนี้ไม่ค่อยเห็นซานเลยนะ”
   
นั่นไงล่ะ...ว่าแล้วว่าต้องถามแบบนี้
   
“ผมไล่ให้ไปอ่านหนังสือสอบน่ะ” วันสุขพูดความจริงออกไปครึ่งหนึ่ง จริงๆ ต้องบอกว่าหลังจากเขาไล่เด็กนั่นให้ไปจริงจังกับการสอบ เจ้าตัวก็หายไปเกือบอาทิตย์แล้ว โชคยังดีที่ยังพอโทรไปหาติด แต่ก็คุยกันได้ไม่เกินห้านาทีทุกที
   
“แน่เหรอ?” ผู้เจนประสบการณ์ทวนเสียงสูง
   
“จริงๆ แล้วติดต่อยากกว่าเดิมด้วยน่ะครับ แต่ผมก็ไม่อยากไปจุ้นจ้านมาก ช่วงสอบด้วย” ว่าไปอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนักทั้งที่ห่วงอีกฝ่ายอยู่หน่อยๆ แต่จะให้เขากลายร่างเป็นไก่คอยจิก...นั่นก็ไม่ใช่นิสัยเขาเท่าไหร่
   
“ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าเราจะมาคบกับเด็ก อายุก็ห่างกันตั้งขนาดนั้น”
   
“ผมเองยังไม่ค่อยเชื่อตัวเองเลยครับ” พูดกลั้วเสียงหัวเราะ แล้วก็โยนใบข้อสอบใบสุดท้ายลงไปในกองที่ตรวจเสร็จแล้ว
   
“ตามใจเราก็แล้วกัน” คุณอาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาหา มือใหญ่ยกขึ้นตีหน้าผากเขาเบาๆ พร้อมยกยิ้มเอ็นดู “ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอก ยังไงอาก็ยังอยู่ตรงนี้ สนใจคนแก่กันหน่อย โดนวันเมินมากๆ อาก็เหงาเป็นเหมือนกัน”
   
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ!” อดที่จะร้องเสียงหลงไม่ได้ เมื่อจู่ๆ หัวข้อถูกเปลี่ยนไป กลายเป็นเรื่องของเขาเข้าแทนเสียแล้ว “ผมเคยเมินคุณอาที่ไหน!?”
   
“เมื่อก่อนยังเรียก ‘คุณอาๆ ’ แล้วก็วิ่งมาเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังบ่อยๆ แท้ๆ แล้วดูเราตอนนี้สิ มีอะไรก็ไม่ยอมเล่า กลัวอาเป็นห่วงหรือไง? ถ้าเราไม่เล่า อาสิจะยิ่งห่วง” ท่านว่าเสียงเข้มแล้วก็ยกมือดึงแก้มของเขาจนเจ็บไปหมด
   
วันสุขเบ้หน้า ส่งเสียงร้องประท้วง แต่ยิ่งเขาโวยวายเท่าไหร่ แรงดึงก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น จนท่านพอใจนั่นแหละถึงได้ยอมปล่อยให้แก้มเขาเป็นอิสระ ซึ่งพอพ้นมือแล้วก็อดกระถดตัวถอยไปห่างๆ ชายร่างสูงใหญ่คนนี้ไม่ได้
   
“เดี๋ยวคืนนี้ผมจะลองโทรหาอีกที ถ้ายังมีปัญหาอีก พรุ่งนี้จะไปเคาะประตูห้องคอนโดเลย” วันสุขว่าเสียงอ่อย “ทำไมถึงได้เชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้นะ?” แล้วก็อดบ่นทิ้งท้ายไม่ได้
   
“เห็นหลานมีความสุข อาก็ต้องเชียร์สิ เราจะทำอะไร ยังไงอาก็อยู่ข้างเราเสมอนั่นแหละ” พูดเสร็จก็เอื้อมมือมาลูบศีรษะเขาเบาๆ อย่างที่ทำเป็นประจำ
   
วันสุขอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ คุณอาชอบพูดประโยคนี้ให้เขาฟังบ่อยๆ ตอนแรกมันก็น่าอายอยู่นั่นแหละ อย่างกับประโยคจากการ์ตูนแบบนั้น แต่ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าถ้อยคำนั่นมันจะทำให้เขารู้สึกดีได้ขนาดนี้
   
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะทำของโปรดไว้ให้เยอะๆ เลย” ว่าแล้วสมองก็เริ่มนึกสารพันเมนูขึ้นมาในหัว
   
“อ้าว อายังไม่ได้บอกเหรอว่าวันนี้จะกลับดึก ไม่ต้องทำเผื่อ”
   
“อีกแล้วเหรอครับ?” วันสุขอดที่จะโวยขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องงานก็เถอะ แต่แบบนี้มันบ่อยเกินไปแล้ว... ประชุมอีกแล้วสินะ? จะประชุมอะไรกันนักหนานะ!?
   
“ใจเย็นหน่อยวัน” คนอายุมากกว่าเอ่ยเตือนเบาๆ ทำเอาเขาต้องสูดหายใจลึก ริมฝีปากสีส้มสวยเม้มแน่นอย่างคนที่ต้องการจะสะกดอารมณ์
   
“ขอโทษครับ” พึมพำออกไป แล้วก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามใดๆ ด้วยการกลับไปหยิบชุดข้อสอบเดิมขึ้นมาตรวจทานความถูกต้องอีกรอบ
   
เขายังไม่ได้บอกคุณอาเรื่องอาการย่ำแย่ของตัวเอง ถึงจะผ่านเรื่องของซานมาได้แล้ว แต่ตะกอนที่ถูกกวนจนฟุ้งน้ำมันก็ต้องใช้เวลา กว่าหลายๆ สิ่งจะตกลงไปนอนนิ่งที่ก้นบึ้งก็คงอีกสักพัก...ใหญ่ๆ
   
บรรยากาศในห้องทำงานกลับมาเงียบเชียบเหมือนเดิมอีกครั้ง เสียงกระดาษดังขึ้นเป็นจังหวะ สลับกับเสียงขูดขีดของปากกาลูกลื่น แต่ถึงวันสุขจะทำเป็นไม่รู้สึก ทว่าเขาเองก็ยังจับได้ถึงสายตาที่มองมาตลอดเวลาจากอีกคน
   
“อารอเรามาเล่าให้ฟังอยู่นะ”
   
แทบจะสะดุ้งโหยง เมื่อไหล่ถูกบีบเบาๆ จากด้านหลัง วันสุขสูดหายใจลึก ความรู้สึกผิดกำลังวนเวียนอยู่ข้างในจิตใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที...แผ่นหลังกว้างนั่นก็ลับหายไปพร้อมเสียงปิดประตูแล้ว
   
เขาวางข้อสอบลงกับพื้นโต๊ะ ทิ้งหลังพิงกับโซฟาเต็มแรง แล้วถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ คอพาดไปกับพนักอย่างเคยชิน สายตาเหม่อมองเพดานขาว และขณะที่สมองกำลงครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็แผดลั่นห้อง
   
‘Don’t you ever wish...’
   
“ว่าไงครับน้องปรัชญ์”
   
วันสุขเอ่ยทักอย่างแปลกใจ ปรัชญ์เองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เขาแทบจะไม่เห็นหน้าเลยตั้งแต่เด็กคนนั้นมาทำงานที่บ้านเขา เคยจะลองโทรไปถามสารทุกข์สุกดิบก็หลายที แต่มันดูจะเกินหน้าที่ของเขาไปเสียหน่อย
   
“พี่วันครับ อยู่ที่ห้องหรือเปล่า?” น้ำเสียงทุ้มๆ ที่ไม่ได้ยินมานานฟังดูร้อนรนอย่างประหลาด
   
“ครับ อยู่ที่ห้อง น้องปรัชญ์มีอะไรหรือเปล่า?” อดที่จะถามอย่างสงสัยไม่ได้ ลึกๆ เองเขาก็เริ่มจับได้ถึงลางบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจชอบกล
   
“พี่วันไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” คำถามประหลาดถูกส่งมาอีกครั้ง ได้ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
   
“ไม่นะครับ น้องปรัชญ์มีอะไรหรือเปล่า?”
   
“...เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมคงคิดไปเอง”
   
“ยิ่งเราพูด พี่ก็ยิ่งสงสัยนะเนี่ย” ว่าพลางกลั้วหัวเราะ และในเวลาเดียวกัน เสียงเรียกเข้าอีกเสียงก็ดังลั่นห้อง
   
วันสุขพูดขอตัวกับปรัชญ์แล้วกดวางสายไป ขาเองก็เดินเอื่อยๆ ไปยังโต๊ะทำงานของคุณอา สายตาเองก็สอดส่ายจนเจอเป้าหมาย โทรศัพท์เจ้ากรรมตกอยู่บนพื้นไม่ไกลจากเก้าอี้นัก มีรอยบิ่นเล็กๆ ที่มุมขอบ เห็นแล้วก็อดเสียดายไม่ได้
   
“สวัสดีครับ วันสุขพูดสายครับ...คุณอาลืมโทรศัพท์ไว้ครับ” ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับอย่างถือวิสาสะ กรอกเสียงลงไป ทว่าปลายสายอีกฝั่งนั้นกลับไม่พูดไม่จาใดๆ
   
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าจากไหนครับ...” ลองถามกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ก็เงียบอีก ก็ได้แต่คิดว่าสัญญาณคงไม่ดี สุดท้ายพอลองถามมากๆ เข้าเขาก็ยอมแพ้ ตัดใจกดวางสายไป แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
   
“สวัสดีครับ วันสุขพูดสะ...” ยังไม่ทันจะจบประโยคดี เสียงตัดสายก็ดังขึ้น มาคราวนี้เขาถึงกับต้องขมวดคิ้วสงสัย ไม่รู้ว่าคนที่โทรมานี่โทรผิด หรือตั้งใจจะมาก่อกวนกันแน่ และยังไม่ทันที่จะวางเจ้าโทรศัพท์นี่ลงกับโต๊ะ เสียงเรียกเข้าก็แผดลั่นอีกครั้ง...
   
“คุณอาไปทำอะไรไว้นะ” อดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้ ดวงตาเองก็มองเบอร์โทรประหลาดที่ขึ้นโชว์กลางหน้าจอ ชั่งใจอยู่นานว่าจะรับดีไหม ทว่าสักพักเดียวสายก็ถูกตัดไป
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง! คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่แล้วยิ่งขมวดเข้าหากันเข้าไปใหญ่ มือเองก็กดรับสายอย่างรวดเร็ว ปากกรอกประโยคเดิมๆ ลงไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการตัดสายใส่ทั้งที่เขายังพูดไม่จบ
   
“...”
   
ไม่รู้ว่าคนที่โทรมานี่โทรผิด หรือว่าจะก่อกวนกันแน่ แต่ดูจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ...เปิดเจ้าเบอร์นั้นขึ้นมา แล้วกดโทรออกทันที
   
‘Until the day I reach eternal sleep, that smiling face will have to stay with me… ~’
   
เสียงเพลงประหลาดดังขึ้นอยู่หน้าห้อง ท่อนเดิมวนซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่เสียงสัญญาณรอสายของเขายังไม่มีการตอบรับ
   
วันสุขจ้องไปที่ประตูไม้เก่า ความไม่แน่ใจปนหวาดกลัวบางๆ ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาอย่างช้าๆ น้ำลายในคอดูจะเหนียวหนืดขึ้นมา ใจเองก็ภาวนาให้มันเป็นแค่การหยอกล้อของนักศึกษาบางคน
   
เขายกโทรศัพท์ออกห่างจากหู เพลงด้านนอกยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มองหน้าจออย่างชั่งใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจกดปุ่มวางสาย และเมื่อนั้นเอง...
   
‘Until the day I reach eternal sle… ปิ๊บ’
   
แกร๊ก
   
พลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ดึงสายตาของเขาให้หันไปมอง แวบแรกว่าจะดุเรื่องการละเล่นที่ไม่เข้าท่า ทว่าสิ่งที่จะเอ่ยออกไปกลับถูกกลืนหายไปจนหมด
   
เขา...ตาฝาดไปหรือเปล่า?
   
ถามตัวเอง...ซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาสีอ่อนจับจ้องไปยังสตรีร่างสูงระหงอย่างยากจะละออก... โดยเฉพาะใบหน้านั่น แม้จะดูสวยสดขึ้น แต่ก็ยังมีเค้าเดิมของคนที่เคยคุ้นกันดี ซึ่งชั่วขณะหนึ่ง...วันสุขคิดว่าอาการของเขาคงจะหนักขึ้นถึงขนาดที่ว่าเห็นภาพหลอน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่
   
“สวัสดี”
   
เสียงหวานเพราะที่ไม่ได้ยินมานานดังทักทาย เหมือนระฆังที่กำลังตีเหง่งหง่างขับไล่สติให้กระเจิดกระเจิง กว่าจะรู้สึกตัวก็ต้องสูดหายใจเข้าลึก ทั้งยังเผลอวาดมือซ้ายของตัวเองไปด้านหลัง แล้วยิ้มทักทายคนเคยรู้จักกลับไป แต่ดูเหมือนว่ายิ้มของเขาจะฝืดฝืนเต็มที
   
ยิ่งจ้องใบหน้านิ่งเฉยนั่นนานเท่าไหร่ ก็คล้ายกับว่าจะยิ่งหายใจยากมากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศเงียบงัน ตึงเครียดจนน่าอึดอัด การพบกันในรอบเกือบสิบปีนี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีสักนิด เพราะไม่ว่าจะเป็นเขา หรือหญิงสาวตรงหน้า...ก็คงไม่มีใครยินดีที่จะได้กลับมาพบกันอีก
   
“แปลกใจเหรอ? ” เธอเอียงคอเลียนแบบท่าทีที่เขาชอบทำ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ่อนยกยิ้มน้อยๆ
   
“กลับมาทำไม” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว เลือกที่จะเสตาหลบไปมองทางอื่น ทว่าถ้อยคำของหญิงสาวตรงหน้านั้นกลับดึงสายตาให้มองไปยังจุดเดิมอีกครั้ง
   
“กลับมาเยี่ยม ‘เพื่อน’ น่ะ” เธอว่าเรียบเรื่อย ถ้อยคำในประโยคเหมือนจะดูไม่มีอะไร แต่สายตาที่จ้องมองมานั้นกลับอัดแน่นด้วยถ้อยคำที่ไม่จำเป็นต้องพูด...หัวใจมันก็ปวดแปลบขึ้นมา
   
“เหรอ...แล้วผิดหวังหรือเปล่า?” วันสุขยกยิ้มส่งกลับไปให้ มือที่กำแน่นค่อยๆ คลายออกอย่างช้าๆ แล้วถามต่อเสียงนุ่ม “ที่กลับมาก็เพราะว่าอยากจะมาดูให้แน่ใจใช่ไหม?”
   
“ใช่... พอเห็นวันแล้ว ลูกหว้าก็อดถามตัวเองไม่ได้...”
   
“...” วันสุขนิ่งเงียบไป ปล่อยให้บรรยากาศหนักๆ เข้ามาครอบคลุมพวกเขาทั้งสองคน ใจปวดหนึบ...รอเพียงถ้อยคำจากหญิงสาวที่ตนเคยรู้จัก รอให้เสียงหวานนั่นลงมีดลงมา แล้วฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นด้วยคำพูดของเธอ...อย่างที่มันเคยเป็น
   
“ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังมีชีวิตอยู่อีกนะ? ทำไมถึงยังดูปกติสุขดี...ทั้งที่เขาเป็นคนพรากพี่ดินไปจากลูกหว้าแท้ๆ ...วันพอจะให้คำตอบลูกหว้าได้ไหม?”
   
...ดิน...
   
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยินชื่อนั้น? ชื่อต้องห้ามนั่นที่ถูกเอ่ยออกมาอีกครั้งจากปากหญิงสาวตรงหน้า ชื่อที่เขาอยากลบมันออกไปจากความทรงจำ แต่ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง...
   
ทุกครั้งที่เขาพยายามจะลืม แหวนสีดำนี่มันก็จะเย็นวาบขึ้นมา ตอกย้ำบางอย่างที่เขาได้เคยกระทำ ความผิดที่ไม่ว่าจะล้างมันออกสักกี่ครั้ง บาปนั่นมันก็ไม่เคยเจือจางหายไป...
   
พลันภาพสีแดงสดก็ฉายวาบเข้ามาในหัวสมอง เสียงของน้ำ เสียงของโลหะตกกระทบพื้น เสียงกรีดร้องของใครบางคน เสียงหัวใจที่เต้นรัวกระหน่ำ...
   
วันสุขปิดตาแน่น เขาสูดหายใจลึกเพื่อตั้งสติ ดวงตาพร่าเบลอเปิดขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่เขาเห็นนั่นก็คือภาพของผู้หญิงคนนั้น...ซึ่งกำลังจ้องมองมาด้วยแววหม่นหมองชวนให้ปวดหัวใจ
   
“คิดคำตอบออกหรือยัง?” เธอถาม กดดันเขาด้วยน้ำเสียง “ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่?” และคำถามเดิมก็ถูกย้ำอีกครั้ง
   
วันสุขนิ่งไป เบนใบหน้ากลับมาจับจ้องนัยน์ตาโศกคู่นั้น กลีบปากสีส้มสวยยกยิ้มเบาบาง แม้จะยังรู้สึกเจ็บหน่วงอยู่ข้างใน
   
เสียงนุ่มเอื่อยพึมพำตอบกลับไป ผะแผ่ว อ่อนแรงอย่างที่มันไม่เคยเป็น...
   
“ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเหรอ? ...ไม่รู้เหมือนกันสินะ”



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 9 - อดีต ปัจจุบัน (12/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 12-08-2014 12:28:52


กลิ่นกาแฟลอยจางๆ มาแตะจมูก ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศดูจะหนาวกว่าทุกวัน เสียงฝนดังลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เสียงจอแจดังเบาๆ มาจากห้องครัวชั้นล่าง
   
วันสุขแนบหน้าไปกับโต๊ะไม้อย่างอ่อนแรง รู้สึกง่วงจนอยากจะหลับ แต่ก็หลับไม่ลง สภาพของเขาดูแย่ขนาดที่ว่า พอโผล่หน้าไปที่ร้านซึ่งไม่ได้เข้าไปนานพอสมควร สุดท้ายก็โดนเหล่าบรรดาลูกจ้างไล่ให้ขึ้นมานั่งตั้งสติที่ห้องทำงานเสียอย่างนั้น
   
เมื่อวานลูกหว้ากลับไปอย่างไรเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว สติมันไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ พอกลับบ้านมาได้ก็ตาค้างอยู่ทั้งคืน ข่มตานอนทีไร เสียงหลอนหูพวกนั้นมันก็มักจะดังขึ้นมาทุกครั้ง เหมือนว่าตัวเองกำลังฝันร้ายอยู่ทั้งที่ยังไม่ได้หลับ
   
มัวแต่พะวงกับเรื่องไม่คาดฝัน คืนนั้นเขาก็ลืมติดต่อซานไปเสียสนิท ทั้งที่สัญญากับคุณอาไว้แล้ว พอเช้ามาหลังจากวูบหลับไปได้ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายว่าวันนี้เขาจะเข้าร้าน
   
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซานจะสนข้อความเขาหรือเปล่า เพราะพักนี้ก็เป็นอย่างที่เห็น... ห่างกันเสียจนนึกว่าเรื่องที่เคยขอคบกันนั้นเขาแค่ฝันไป แต่จะให้มานั่งระแวงว่าอีกฝ่ายหายไปอยู่กับใครก็ไม่ใช่นิสัยเขาเท่าไหร่ เพราะห่วงเสียมากกว่า... ถ้าไม่เป็นอันตรายก็คงจะดี
   
ก๊อก ก๊อก...
   
“ชากับสโคนค่ะคุณวัน”
   
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหวานๆ ของผู้จัดการร้าน เธอเดินยิ้มเข้ามาหาเขา ในมืออีกข้างก็ถือแผงยาพาราหอบติดมาด้วย
   
“กาแฟผมยังไม่พร่องเลย เอาของมาเพิ่มอีกแล้วเหรอ” วันสุขบ่นอุบอิบ เมื่อถ้วยสีขาวส่งกลิ่นหอมกุหลาบอ่อนๆ กับสโคนหน้าตาน่าทานพร้อมแยมสีสดใสถูกวางลงตรงหน้า
   
“รองท้องเบาๆ ก็ยังดีค่ะ จัดการหมดแล้วก็ทานยาตามด้วยนะคะ” ว่าแล้วก็แกะยาสองเม็ดวางบนจานรองถ้วยชา ซึ่งเขาก็เผลอเบะปากทันทีที่ถูกอีกฝ่ายทำนายโรคให้เสร็จสรรพ
   
“นี่ผมดูเหมือนคนที่ใกล้เป็นหวัดขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
“สภาพแบบนี้ ไม่พ้นคืนนี้แน่ค่ะ” เธอย้ำเสียงขำเมื่อเห็นเขายกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง “ถ้ามีอะไรก็เรียกนะคะ คุณวันน่ะนอนพักจะดีกว่า อาการดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยลงไปข้างล่างนะคะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังโซฟามุมห้องซึ่งพับเป็นเตียงได้ ไม่วายไปขนหมอนกับผ้าห่มในชั้นวางมาจัดให้เสร็จสรรพ
   
“ดีจังน้า...ได้คุณแม่เพิ่มมาตั้งคนหนึ่ง” วันสุขพึมพำขณะที่กำลังบิสโคนหอมๆ เข้าปาก แต่มีหรืออีกคนจะไม่ได้ยิน เพราะหลังจากจัดเตียงเสร็จ เธอก็เดินเข้ามาดึงแก้มเขาแรงๆ ทีหนึ่งจนเจ็บไปหมด
   
“ถ้ามีลูกอย่างคุณวัน คงต้องปวดหัววันละหลายๆ รอแน่ค่ะ” เสียงเพราะนุ่มว่า ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปทำงาน ปล่อยให้ห้องเย็นๆ นี่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
   
วันสุขนั่งจิบชาไปเรื่อยๆ อย่างคนที่ไม่มีอะไรทำ สลับกับแนบหน้าปิดตาลงกับโต๊ะบ้าง พอทำวนไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเบื่อ สุดท้ายก็ตัดสินใจจะไปนอนสักงีบ เผื่ออะไรๆ มันจะได้ดีขึ้น
   
‘Don’t  you ever wish… you were someone else, you were…’
   
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเมื่อเขาทำท่าว่าจะลุกจากเก้าอี้นุ่มๆ เบอร์โทรคุ้นตาทำเอาขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกดรับ เพราะจะเสียมารยาทกดตัดสายอย่างที่ทำบ่อยๆ กับเพื่อนสนิทก็คงไม่ได้
   
“สวัสดีครับน้องปรัชญ์” กรอกเสียงไปตามเรื่อง เท้าเองก็เดินเอื่อยๆ ไปหาเตียงที่ถูกปรับจากโซฟา แล้วทิ้งตัวลงไปอย่างเกียจคร้านจนเสียงสปริงดังเอี๊ยดอ๊าด
   
“สวัสดีครับ พี่วันสะดวกคุยหรือเปล่า” เสียงกล้าๆ กลัวๆ ถามกลับมา
   
“สะดวกครับ มีอะไรหรือเปล่า”
   
“พอดีคุณแม่จะฝากให้ผมเอาต้นไม้ไปให้น่ะครับ คราวก่อนนู้นที่มาทำร้านให้ คุณเวย์เขาขอพวกไม้กระถางเล็กๆ เพิ่ม วันนี้ของเพิ่งมา แต่ผมติดต่อคุณเวย์ไม่ได้เลย” ปรัชญ์เล่ามาเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็อดปล่อยขำเบาๆ ไม่ได้จนอีกฝ่ายทำเสียงงุนงงตอบกลับมา
   
“ไม่... ไม่มีอะไร เล่าต่อสิ” วันสุขกลั้นขำกับคำเรียกที่อีกฝ่ายใช้ ก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะปรัชญ์เรียกเขาว่า ‘พี่วัน’ แต่ดันเรียกเพื่อนสนิทเขาว่า ‘คุณเวย์’ คำเรียกแบบนี้ทำเอาอีกฝ่ายกลายเป็นลุงแก่ๆ ไปเสียอย่างนั้น
   
“พอดีผมว่าจะเข้าไปที่ร้านวันนี้ พี่วันสะดวกไหมครับ”
   
“สะดวกครับ ตอนนี้พี่ก็อยู่ที่ร้าน ถ้ามาถึงแล้วก็ไปบอกผู้จัดการร้านนะ เดี๋ยวเขาก็มาปลุกพี่เอง” วันสุขว่าพลางทิ้งศีรษะลงกับหมอนนุ่ม กลิ่นตู้ไม้ลอยมาแตะจมูก ดวงตาปรือปิดอย่างเหนื่อยอ่อน
   
“เสียงพี่ดูเหนื่อยๆ ” ปรัชญ์พูดเบาๆ ท่าทางดูจะไม่ค่อยกล้าแสดงออกมากนักว่ากำลังห่วงเขาอยู่
   
“เมื่อคืนนอนไม่หลับน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” วันสุขว่าแล้วก็ยกยิ้ม จริงๆ เขาก็รู้สึกดีทุกครั้งนั่นแหละที่รู้ตัวว่าตัวเองได้รับความสำคัญจากคนรอบตัว คงเป็นสิ่งเสพติดไปแล้ว แต่อีกใจหนึ่งกลับไม่ชอบให้ใครต่อใครเข้ามาก้าวก่ายชีวิตตัวเองเท่าไหร่
   
“ซานไม่ได้อยู่กับพี่เหรอครับ?” คำถามประหลาดออกมาจากปากของคนปลายสาย... เขานอนไม่หลับแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับซานนะ?
   
“พี่นอนไม่หลับก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับซานนะ จะว่าไปน้ำเสียงเราเมื่อวานก็แปลกๆ ” ถามกลับไปเสียงฉงน
   
“อ่า...ขอโทษครับ พอดีเมื่อวานผมเห็นเขาวิ่งไปไหนไม่รู้ ท่าทางตื่นๆ ก็เลยอดโทรไปหาพี่ไม่ได้ ผมนึกว่าพี่วันจะเป็นอะไร” เสียงทุ้มยิ่งเล่าก็ยิ่งเบา แต่ยิ่งได้ฟังเรื่องราว แม้จะสั้นกุด แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เขาห่วงซานมากเข้าไปอีก
   
“พี่สบายดีครับ แค่เพลียๆ นิดหน่อย” วันสุขตวัดผ้าขึ้นห่ม แต่ดูเหมือนยิ่งคุยกับอีกฝ่ายเท่าไหร่ ความง่วงก็ยิ่งลดหายไปเท่านั้น
   
“ดีแล้วล่ะครับ...ผมกลัวจริงๆ ว่าพี่จะเป็นอะไรไป เอ่อ...ผมไม่กวนแล้วครับ เจอกันที่ร้านนะครับ สวัสดีครับ” เริ่มประโยคมาเรื่อยๆ ก็ดูปกติดี จนมาถึงท่อนกลางนี่แหละที่จู่ๆ ก็รวบรัดตัดสายไปซะจนเขายิ่งสงสัย
   
วันสุขเปิดตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เหม่อมองเพดานห้องล่องลอยอยู่สักพัก ปกติปรัชญ์ก็ขี้ห่วงอยู่แล้ว แต่ว่าคราวนี้กลับต่างออกไป เด็กคนนั้นดูวิตก... และยิ่งคิด เขาก็ยิ่งเผลอเอาลูกหว้ามาโยงเข้าด้วยกัน... และความคิดนั้นเองที่ทำเอากายหนาววาบขึ้นมา
   
“ให้ตายสิ...”
   
ลูกหว้าไม่ใช่คนร้ายกาจขนาดที่จะลากคนอื่นมาเกี่ยวพันกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้ แต่ตอนนี้เขาเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจ เพราะหลังจาก ‘วันนั้น’ ผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักก็คล้ายกับจะเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปคนละคน
   
วันสุขพลิกกายนอนตะแคง แทบจะขดตัวเข้าหากัน โทรศัพท์ที่โยนไปมั่วๆ ถูกควานขึ้นมาถือไว้ เบอร์กดไล่เรื่อยจนไปถึงเบอร์ที่เพิ่งถูกเรียกใช้ไปเมื่อเช้า... ชั่งใจอยู่สักพัก สุดท้ายก็เลือกที่จะกดรูปซองจดหมายแทนที่จะเป็นโทรศัพท์สีเขียว หน้าจอเด้งขึ้นมา และนิ้วก็รัวพิมพ์ข้อความส่งไปหาอย่างรวดเร็ว
   
‘อยู่ที่ไหน? อยากเจอ... มาหาเดี๋ยวนี้’


   


โลกสีขาวปุกปุย... ฟ้าราตรีสีเข้ม ดาวสีทองพาดผ่านละลานตา บ้างใหญ่ บ้างเล็ก เท้าของเขาสัมผัสลงกับพื้นน้ำใส ดอกไม้สีขาวอมส้มนวลตาแทรกกายหลบใต้ปุยสีขาวนุ่มนิ่ม
   
ดวงตาสีอ่อนก้มลงมองที่ปลายเท้า ภาพสะท้อนของคนคนหนึ่งส่งตรงกลับมา และนั่นก็ไม่ใช่ภาพของเขา
   
โลกที่ใต้ผืนน้ำไม่ได้เป็นฟ้าพร่างดาวอย่างที่ควรเป็น แต่กลับเป็นปุยเมฆสีเทาแดง ดอกไม้สีเลือดสด และฝุ่นควันขี้เถ้าลอยโขมง มีดวงจันทร์สีขาวส่องแสงอ่อนๆ คล้ายหลอดไฟที่ใกล้จะดับ เงานั่นชัดขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นภาพของคนบางคนที่แทบจะลืมไปแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
   
‘เพราะว่าเป็นแค่ ดิน ก็เลยไม่เคยมองขึ้นไปบนฟ้าจริงๆ สักครั้ง’
   
‘ยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเอื้อมถึง ยิ่งมองคงได้แค่เจ็บปวด โหยหา น้อยใจ...ว่าทำไมถึงได้ห่างไกลกันขนาดนั้นนัก’
   
‘ไม่มีเหตุผลที่ต้องทรมานตัวเอง แต่มารู้ตัวอีกที ทั้งที่ก้มหน้าหันหนี แต่ขามันกลับกระเสือกกระสน พาตัวเองให้เข้าไปใกล้กับฟ้าทุกครั้ง’
   
คำพูดมากมายของคนคนนั้นผุดวาบขึ้นมาจากกลุ่มความทรงจำ ใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มเสมอยังคงไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป ยิ้มที่เจ้าตัวภูมิใจหนักหนาว่ามันช่วยให้ทุกคนมีความสุข...
   
เขาเกลียดรอยยิ้มแบบนั้น เพราะมันอัดแน่นไปด้วยความโศกที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีสักนิด ทั้งดวงตาที่เหมือนไม่เคยใส่ใจอะไร แต่มักมองมาอย่างเปิดเผยทุกครั้งว่าเสียใจมากขนาดไหน ทว่าน้ำเสียงกลับระรื่น และเพราะเป็นแบบนั้น...ยิ่งคุยกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมองหน้ากันน้อยลงขึ้นทุกที จนสุดท้ายก็แทบจะหันหลังชนกัน
   
“สวัสดี... สบายดีหรือเปล่า”
   
เสียงที่ไม่ได้ยินมานานเอ่ยทักทายถามสารทุกข์สุขดิบ แต่เขาเลือกที่จะนิ่งเฉย สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเพียงแค่โลกของความฝัน สิ่งที่จิตใต้สำนึกสร้างมันขึ้นมา... และนั่นน่ากลัวเหลือเกิน เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ตะกอนตกค้างของคนคนนั้นในตัวของเขาก็ไม่เคยลดน้อยลงสักนิด
   
“ที่ผ่านมา พี่มีความสุขมากเลยนะ”
   
ลมหายใจของเขากระตุกวาบทันทีที่ได้ยินคำพูดนั่น เสียงของตัวเองคล้ายจะหายไปดื้อๆ เมื่อพยายามจะพูดโต้ตอบ มือกำแน่นเกร็งจนขึ้นข้อ แต่คนฟากตรงข้ามก็ยังคงยกยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญ
   
“อยากอยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ อยากอยู่ข้างๆ วัน”
   
เสียงครืนในความฝันดังสนั่น สายฝนสีแดงเทสาดลงมา หยดน้ำตกกระทบกับผิวใสตีเป็นคลื่นวงกลม และนั่นก็ทำให้ภาพอีกฝั่งมัวเบลอ... เขาพยายามเค้นเสียง ความหวาดกลัวบางอย่างตีทะลวงขึ้นมาจนจุกอยู่ที่คอหอย อยากจะตะโกนออกมา แต่ก็เกร็งจนไม่อาจพูดได้
   
“อยาก...เวลามันมากกว่า... ถ้าหยุด... ไว้ได้ ...คงจะดี”
   
ฝนกระหน่ำกลบเอาเสียงทุ้มห้าวนั่นจนฟังไม่ถนัด แต่ใจกลับรู้ดีว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร ภาพลำดับเหตุการณ์มันประดังเดเข้ามาในหัวสมอง เหมือนว่าเรื่องราวเพิ่งผ่านพ้นและยังสดใหม่
   
“อยาก ...บอก ...สุดท้าย...ไม่ว่าเมื่อไหร่... รู้สึก... ไม่...เปลี่ยน...”
   
ไหล่ของเขาสั่นเทิ้ม ปากกัดแน่นจนได้ยินเสียงฟันกรอด ปอดบีบตัวจนรู้สึกว่าหายใจลำบาก เมื่อภาพฝั่งตรงข้ามกำลังกลายเป็นทะเลสีเลือด ปลายเท้าซึ่งอยู่บนจุดเดียวกันของอีกฝ่ายค่อยๆ ออกห่างไป ราวกับร่างกายนั่นถูกฉุดให้ร่วงหล่นลงไปในมิติที่เขาไม่มีวันเอื้อมถึง
   
รอยยิ้มบนใบหน้าดูใจดีถูกส่งมาให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ของเหลวสีแดงจะกลืนกินร่างกายนั้นอย่างช้าๆ เหลือไว้เพียงท่อนแขนขาวซึ่งถูกยกขึ้นมา ราวกับเป็นคำขอร้อง...ที่เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และสุดท้ายก็จมหายไปในที่สุด...
   
“...ก...นะครับ”
   
น้ำตามันพร่างพรูลงมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงขาดๆ หายๆ นั่น... เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอื้อมมือเข้าไปฉุดแขนข้างนั้น...ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน หรือแม้แต่ในความฝันนี่ก็ตาม...
   
ใครกันที่ฆ่าเขาคนนั้น... จะเป็นใครล่ะ... นอกจากตัวเขาเอง!!!
   
ปึง!
   
“!!”
   
เสียงทุบปึงปังของอะไรบางอย่างดังลั่นจนถึงกับสะดุ้งเฮือก ดวงตาสีอ่อนเปิดพรึบอย่างตระหนก แสงจากหลอดไฟพร่ามัวจนต้องปิดเปลือกตาลง ลมหายใจหอบถี่จนรู้สึกเหนื่อย เนื้อตัวชื้นเหงื่อทั้งที่แอร์ในห้องเย็นเฉียบ
   
“ตื่นสักที”
   
เสียงนุ่มคุ้นหูดังอยู่ในระยะประชิด และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งมารู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งกองอยู่บนพื้นห้องแทนที่จะเป็นเตียงโซฟา ผ้าห่มกับหมอนกระจัดกระจายไปทั่ว พอสติเริ่มคงตัวมากขึ้น หูเองก็ได้ยินเสียงหัวใจของคนที่ทำหน้าที่เป็นเบาะพิงให้กับเขา...
   
“ซาน?” เผลอเรียกชื่ออีกฝ่าย ก่อนจะต้องชะงัก เมื่อพบว่ามือตัวเองกำลังจิกลงบนแขนของเด็กคนนั้นจนเลือดซิบ “ขอโทษ...” นี่เขา...อาละวาดอีกแล้วสินะ คงเพราะฝันบ้าๆ นั่น...
   
“ยืนไหวไหม?” โทนเสียงประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่คนพูดใช้ปลายแขนเสื้อซับน้ำใสๆ ตามแก้มให้เขาเบาๆ
   
วันสุขเบี่ยงหน้าหนี ไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มกับอิริยาบถแบบนี้เท่าไหร่นัก พยายามชันเข่าเพื่อลุกขึ้นยืน แต่สุดท้ายก็กลับมานั่งแปะลงที่เดิม หัวมันหนักๆ โลกเอียงกะเท่เร่จนรู้สึกคลื่นไส้
   
“นอนต่อสักพักก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปบอกผู้จัดการร้านให้” ซานว่าพลางพยุงเขาให้ขึ้นไปนั่งบนเตียง แล้วก็ใช้มือกดไหล่ของเขาจนล้มปับไปกับเบาะนิ่ม
   
“เดี๋ยว...” เสียงขาดๆ หายๆ เอ่ยเรียกคนที่กำลังจะหันหลังกลับ มือเอื้อมไปดึงชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ ดวงตาเองก็จ้องไปที่ต้นแขนซึ่งมีวงเปื้อนสีแดงเข้ม... แผลนั่นไปได้มาจากไหน? เขาถามไปด้วยสายตา และเด็กนั่นก็เหมือนจะรู้ดี
   
“อุบัติเหตุนิดหน่อย จริงๆ เพิ่งไปเย็บมาเมื่อวาน” ซานพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ร่างสูงเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขา จ้องหน้ากันเงียบๆ และเป็นเขาเองที่ต้องเสตาหลบ
   
เพิ่งเย็บมาเมื่อวาน แต่เลือดออกจนโชกแบบนั้น...ที่แผลมันเปิดก็เป็นเพราะเขาสินะ? คิดแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ทว่าใจก็ยิ่งสงสัย แผลที่ได้มาเมื่อวาน... ลูกหว้าที่มาหาเขาเมื่อวาน และท่าทีประหลาดของปรัชญ์...
   
“มันไม่ใช่ความผิดของพี่” คำปลอบเรียบๆ ชวนให้ยกยิ้มไม่ได้ มารู้ตัวอีกทีแขนก็เอื้อมไปโน้มคออีกคนให้เข้ามาหา แตะริมฝีปากของเขาเบาๆ กับคนตรงหน้าเสียแล้ว
   
ถึงจะยังติดใจสงสัยอยู่บ้าง แต่วันสุขก็ไม่อยากซักอะไรนักถ้าซานไม่ยอมเปิดปากเล่า เพราะเขาเองก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่พร้อมจะเล่าให้คนคนนี้ฟัง ถ้าหากเวลาที่เหมาะสมมาถึง วันนั้นคงได้คุยกันอย่างเปิดอก ยกเอาเรื่องสารพันมาเล่าสู่กันฟังได้อย่างสบายใจ
   
“ขอบคุณที่มา” พึมพำออกไปเบาๆ ปล่อยแขนออก แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ แต่ก็ต้องเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเบาะข้างตัวถูกเท้าจนยุบยวบลงไป และเงาสีดำก็ทาบทับลงมา
   
“ถ้าพี่ฝัน...ถ้าฝันถึงเรื่องผมบ้างก็คงจะดี” ซานช้อนมือซ้ายของเขาขึ้นมา แนบแก้มลงไปเบาๆ ท่าทางออดอ้อนเหมือนลูกแมว แต่สายตาที่ท่วมไปด้วยเพลิงระริกคู่นั่นทำเอาหนาววาบ...
   
“เพราะถ้าพี่ยังเอาแต่ฝันถึงเรื่องบ้าๆ นั่น... สักวันผมคงทนไม่ไหว...”
   
“...” วันสุขเลือกที่จะนิ่งเงียบ ซานอารมณ์แปรปรวนง่ายเสมอ แต่ก็ยังดีกว่าเขาที่ไม่เคยจะควบคุมตัวเองได้ “เจ็บ” ทว่าสุดท้ายก็ต้องหลุดอุทานออกมา เมื่อหลังมือถูกจิกแน่น ยามที่แววตาคู่นั้นวาวโรจน์อย่างที่มันไม่เคยเป็น...
   
“...ถึงตอนนั้น...ไอ้แหวนเวรนี่คงได้ลงไปว่ายน้ำอยู่ในอ่าวไทย!”




To be continued...

 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 9 - อดีต ปัจจุบัน (12/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 13-08-2014 12:19:03
ขอบคุณค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 9 - อดีต ปัจจุบัน (12/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-08-2014 14:04:02
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 9 - อดีต ปัจจุบัน (12/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: maruko ที่ 13-08-2014 14:17:12
ซาน อาจจะเกี่ยวข้องกับดินหรือลูกหว้ารึเปล่า??
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 10 - ความจริง ความฝัน (15/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 15-08-2014 14:03:38
บทที่ 10 - ความจริง ความฝัน

   

“คุณอา ทำไมพ่อไม่รักน้องวัน?”
   
เสียงสะอื้นของเด็กชายคนหนึ่งเอ่ยถามคนเป็นอาซึ่งกำลังแตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงบนแผลถลอกที่ฝ่ามือเล็กๆ นั่น ดวงตากลมคลอรื่นด้วยน้ำใส ไม่ใช่เพราะเจ็บแผล แต่เป็นเพราะความน้อยใจ
   
“พ่อเขารักน้องวันครับ” เสียงทุ้มห้าวพูดอย่างหนักแน่น ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ อย่างนึกเอ็นดูปนสงสารไปในที ทว่าเด็กน้อยกลับมองตอบกลับมาด้วยสายตาอย่างคนที่ไม่เข้าใจ
   
“โกหก... พ่อชอบตีน้องวัน ทำร้ายคุณอาด้วย น้องวันเกลียดพ่อ” เสียงใสๆ เอ่ยแย้ง ว่าแล้วก็ชูร่องรอยบาดแผลตามลำตัวให้อีกฝ่ายดู อย่าว่าแต่ตัวเลย กระทั่งคุณอาเองก็มีแผลไม่น้อยไปกว่าเขานั่นแหละ แผลหนักกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งแผลพวกนั้นก็ได้มาเพราะเข้ามาช่วยเขาแท้ๆ
   
“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะครับ ถ้าพ่อเขามาได้ยินเขาจะยิ่งเสียใจนะ” วูบหนึ่งดวงตาคมคู่นั้นปรากฏแววเสียใจชั่วขณะ คนเป็นอาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ในขณะที่เด็กชายตรงหน้านั้นก็เด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งที่คนเป็นพ่อนั้นเป็น
   
“น้องวันพูดไปแล้ว แล้วพ่อก็ตีน้องวัน” เสียงใสๆ ยังเล่าเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ นิ้วเล็กๆ จิ้มที่แก้มซ้ายของตัวเองซึ่งยังมีรอยฝ่ามือแดงชัด แต่คุณอากลับทำหน้าตกอกตกใจแทนที่จะถามอย่างเป็นห่วงอย่างเช่นทุกครั้งเสียนี่
   
“อย่าพูดแบบนั้นกับเขาพูดอีกนะครับน้องวัน ถือว่าอาขอร้อง...นะครับ” เสียงทุ้มวอนขออย่างยากที่จะได้เห็น เด็กชายจ้องหน้าอาแท้ๆ ของตัวเองด้วยไม่เข้าใจ สุดท้ายก็พยักหน้ารับง่ายๆ อย่างที่ชอบทำประจำ
   
“ที่บอกว่า ‘รัก’ เนี่ย จริงๆ เหรอ?” เพราะถ้า ‘รัก’ ทำไมถึงต้องตีเขากันนะ? เด็กชายก็ได้แต่ถามตัวเอง ซึ่งท่าทีนั้นก็เรียกรอยยิ้มจากคนทำแผลได้มากพอสมควร
   
“พ่อเขาชอบแอบมานั่งเฝ้าตอนน้องวันหลับนะครับ แล้วก็ของเล่นในห้อง พ่อเขาก็ไปซื้อมาให้เรานะ คุณอาก็ไปช่วยเลือกด้วยเหมือนกัน”
   
“แล้วทำไมถึงชอบตีน้องวัน? พ่อไม่เห็นต้องโมโหตลอดเวลาเลยนี่เวลาที่น้องวันตื่น” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ คิ้วเล็กๆ ขมวดมุ่นอย่างคนใช้ความคิด
   
“พ่อเขาไม่สบายครับ เป็นมาตั้งนานแล้ว พักหลังยิ่งเครียดก็เลยยิ่งเป็น” คนเป็นอาอธิบายเสียงนุ่ม เลือกใช้คำที่คิดว่าน่าจะเข้าใจง่ายสำหรับเด็ก
   
“ไม่สบายตรงไหน?” เขาที่เห็นว่าพ่อเองก็ปกติดีอดแย้งไม่ได้
   
“ตรงนี้ครับ” นิ้วของคุณอาแตะลงมาแถวบริเวณหัวใจของเขา “พ่อของน้องวันเลยต้องไปหาคุณหมอบ่อยๆ ยังไงล่ะครับ”
   
“พ่อเป็นโรคหัวใจเหรอ?” คุณครูเคยเล่าให้เขาฟังบ่อยๆ ว่าโรคที่เกี่ยวกับหัวใจก็คือ โรคหัวใจ ถ้าแบบนั้นเขาเองก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงได้ไปโรงพยาบาลบ่อยนัก แต่เขาจำไม่เห็นได้เลยนี่ว่า เป็นโรคหัวใจแล้วต้องโมโหร้ายแล้วตบตีเขาแบบนั้น
   
“เป็นโรคที่คล้ายๆ กับโรคหัวใจครับ เวลาที่ปวดใจขึ้นมาเขาก็จะแสดงออกมาอีกอย่าง ตอนเขาตีน้องวัน เขาไม่รู้สึกตัวหรอกนะ พอมารู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป...สุดท้ายก็หลบไปนั่งเศร้าอยู่คนเดียวทุกที” คุณอาของเขาเล่าเสียงนุ่ม มือใหญ่เองก็ยกขึ้นลูบศีรษะนี่จนรู้สึกอุ่นไม่น้อย
   
“ปวดใจนี่เป็นยังไง? เหมือนเวลาที่น้องวันร้องไห้เพราะพ่อไม่รักหรือเปล่า?”
   
“ครับ... แค่พ่อเขาไม่รู้จะแสดงออกมายังไง ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย”
   
“พ่อโมโหทุกครั้งที่เห็นน้องวัน แสดงว่าพ่อกำลังเสียใจใช่ไหม?” เด็กชายพยายามจะเข้าใจ แต่ใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยคำถามอยู่ดี
   
“ครับ เพราะอย่างนั้นมาช่วยกันเนอะ เวลาที่เขาไม่โมโหก็มี น้องวันไม่ได้สังเกตเหรอ?”
   
“เวลาอยู่กับน้องวันสองคน พ่อจะไม่ค่อยพูด แต่พอมีคุณแม่อยู่ด้วย พ่อก็โมโหทุกครั้ง” พอเริ่มจับทางได้ เขาก็เริ่มจะนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆ กับตัวเอง และมันก็เป็นจริงเช่นนั้น เว้นก็แต่ตอนนี้เขาพลั้งปากบอกว่าเกลียดไป... คำคำนั้นก็ทำให้พ่อเสียใจหรือเปล่า? เพราะถ้าคุณอามาบอกว่าเกลียดเขา เขาเองก็คงจะเสียใจเช่นกัน
   
คุณอาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ยิ้มอุ่นๆ มาให้ ริมฝีปากเข้ารูปแตะเข้าที่หน้าผากเขาเบาๆ อย่างที่ชอบทำทุกครั้งเมื่อทำแผลเสร็จ แล้วก็กลับไปนั่งจัดการกับเศษแก้วซึ่งแตกกระจายเกลื่อนพื้น เด็กชายทำท่าว่าจะเข้าไปช่วยด้วย แต่ก็ถูกเอ็ดให้กลับมานั่งเฉยๆ
   
“ทำอะไรกันครับเนี่ย เลอะเทอะเชียว”
   
เสียงคุ้นหูของใครบางคนดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสงบ เขารีบหันหน้าขวับไปมอง เพราะคนนอกที่กล้าเข้ามาจนถึงในตัวบ้านแบบนี้ได้ก็มีไม่กี่คนหรอก และหนึ่งในนั่นก็คือเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องนั่งเล่น
   
เห็นแบบนั้นแล้ว เสียงใสก็ตะโกนลั่นอย่างดีใจ ร่างเล็กๆ กระโดดผึงลงจากเตียง สองขาวิ่งปร๋อไปหาผู้มาใหม่ในทันที
   
“พี่ดิน!”


   


เขาได้ยินเสียงเพลง...
   
วันสุขลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ หัวมันหนักจนแทบจะยกไม่ขึ้น ลมหายใจของตัวเองก็ร้อนจนสัมผัสได้ หนาวจนต้องซุกกายเข้าไปใต้ผ้าห่มทั้งที่เหงื่อออกจนชุ่มหลัง ตาเบลอๆ พยายามจะกวาดมองไปรอบๆ สุดท้ายก็เห็นแผ่นหลังไหวๆ ของใครบางคนซึ่งกำลังนั่งดีดเปียโนแผ่นสำหรับพกพา
   
“พี่วันตื่นแล้วเหรอครับ”
   
เสียงทุ้มนุ่มทักมาจากอีกฝั่งทำให้รู้ว่าในห้องนี้มีคนอยู่อีกคน วันสุขเบือนหน้าหันไปมอง ตอนนี้ร่างกายมันหนักไปหมด สมองเบลอๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปบ้าง
   
“เรื่องต้นไม้ ผู้จัดการเขาจัดให้เสร็จแล้วครับ” ปรัชญ์บอกกับเขา แล้วก็อธิบายรายละเอียดคร่าวๆ ว่าทำอะไรลงไปบ้าง พูดไปสายตาก็เหลือบมองซานไปเป็นพักๆ และท่าทีนั้นก็ชวนให้เขาสงสัย
   
“ทะเลาะกันเหรอ?” วันสุขถามออกไปเสียงแผ่ว โชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้รู้สึกแสบคออะไร คงมีเพียงแค่ไข้สูงเท่านั้น
   
“เปล่า” คราวนี้กลายเป็นคนที่เล่นเปียโนเองซึ่งตอบคำถามเขา แล้วจังหวะเพลงก็เริ่มทิ้งช่วง กลายเป็นนุ่มแผ่วชวนให้สบายชอบกล
   
“ดีแล้วล่ะ” พึมพำขึ้นมาเบาๆ แล้วก็อดหลับตาลงไม่ได้ เพลียจนอยากจะหลับอีกสักรอบ แต่เหงื่อชื้นนี่ทำเอาไม่สบายตัวเสียเลย
   
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ” ปรัชญ์ว่าอย่างเกรงใจ และพอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง ข้อแขนแข็งแรงนั่นก็ถูกมือเขาคว้าหมับ
   
“ดูไม่ค่อยเศร้าเท่าไหร่นะ” วันสุขปรือตาพลางถามคำถามประหลาดๆ กับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะปล่อยมือเมื่อเสียงเปียโนมันหยุดไปชั่วขณะ ปรัชญ์ยืนนิ่งแล้วหัวเราะแหย
   
แปลกจริงๆ นั่นแหละ ปกติเวลามีซานอยู่ด้วยทีไร ถ้าไม่ทำหน้าเศร้า ก็ชอบมองเขาด้วยสายตาเหมือนลูกหมาถูกทิ้งทุกที แม้ตอนนี้จะยังมองมาเหมือนเดิม แต่บรรยากาศก็ดูจะต่างออกไป...
   
“ก็... พอไม่ได้เจอพี่วันนานเข้า ผมก็เริ่มคิดได้หลายๆ อย่าง” น้ำเสียงดูเหมือนคนที่ยังไม่แน่ใจ “บางทีพี่วันก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับแม่น่ะ... ขอโทษด้วยนะครับถ้าผมเคยทำอะไรให้พี่ลำบาก” พูดพลางก้มหน้ายกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองอย่างที่เจ้าตัวมักทำเวลาเก้อเขิน
   
วันสุขหัวเราะ ถึงจะไม่ค่อยมีแรงก็เถอะ ริมฝีปากสีส้มอ่อนยกยิ้มบางๆ มือเองก็โบกไหวๆ บอกอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไร แต่อีกใจหนึ่งเขาเองก็แอบผิดหวังเล็กๆ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยนัก... แต่ก็นั่นแหละตัวตนของเขา
   
พอสิ้นเสียงปิดประตู เสียงเปียโนก็หยุดแทบจะในทันที คนที่เอาแต่เงียบเดินไปลงกลอนประตูห้อง วันสุขเองที่มองตามทุกการกระทำก็อดสงสัยไม่ได้... นี่คงไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆ กับเขาอีกหรอกนะ? ถ้าคนป่วยยังกล้ารังแก จริยธรรมในใจเด็กนี่คงแย่เกินเยียวยา
   
“ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก แค่กันคนนอกเข้ามาน่ะ” ซานอธิบายเสียงเรียบ กายสูงเดินเข้ามานั่งบนเตียงจนเบาะยวบลงไป ฝ่ามืออุ่นแตะลงบนหน้าผากเขา แล้วคิ้วเข้มซึ่งพาดเฉียงเหนือดวงตาคมสวยก็ขมวดมุ่น “ไข้ไม่ลดลงเลย” ว่าแล้วก็ตลบผ้าห่มออกไป
   
เขาซึ่งไม่มีอะไรให้ซุกหนีไอหนาวมีหรือจะทำอะไรได้ นอกจากกระเถิบตัวเข้าไปหาคนข้างๆ เอี้ยวแขนกอดเอวไม่หนาไม่บางนั่นไว้ แล้วก็ซุกตัวเข้าไปใกล้ๆ อย่างที่ชอบทำกับคุณอาบ่อยๆ
   
“เช็ดตัวให้หน่อย” งึมงำบอกอีกฝ่าย เหงื่อพอเจอไอแอร์กลายเป็นยิ่งหนาว เนื้อตัวก็เริ่มสั่นกึกๆ
   
“หืม?” ซานเลิกคิ้ว ทำท่าไม่เข้าใจ
   
“เช็ดตัวให้หน่อย...ทำเป็นใช่ไหม? ถ้าไม่เช็ด ไข้ก็คงไม่ลง” ยิ่งพูดเสียงเขายิ่งสั่น ตอนนี้ไม่มีเวลามาเล่นหยอกล้อหรอกนะ เพราะพอจะคลานไปเอาผ้าห่มคืน ฝ่ายนั้นก็ดันโยนไปไว้มุมห้อง เขาซึ่งไม่มีแรงจะลุกคงเดินไปหยิบไม่ไหว
   
“ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามมาก่อนได้ไหม?” ซานถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขำ
   
“คำถาม?”
   
“ตอนที่คุยกับปรัชญ์ ทำไมถึงต้องทำหน้าเสียดายแบบนั้นด้วย?”
   
คำถามนั่นทำเอาเขาต้องนิ่งไป สมองเรียบเรียงคำตอบ แต่เพราะเงียบไปนาน คนถามซึ่งใจร้อนรอไม่ไหว สุดท้ายก็เดินไปหยิบผ้าห่มมาให้ คงเพราะสภาพของเขาดูแย่เต็มที
   
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร” เสียงทุ้มเรียบว่า ทำเอาวันสุขรีบสวนแย้งกลับไปแทบไม่ทัน
   
“เปล่า... มันพูดยากน่ะ เช็ดตัวเสร็จแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง”



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 10 - ความจริง ความฝัน (15/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 15-08-2014 14:11:58


สุดท้ายพวกเขาก็ลงความเห็นกันว่าควรกลับมาที่บ้านจะสะดวกสุด แต่เขาขับรถไม่ไหว ทั้งวันนี้คุณอาเองก็ไม่กลับ เห็นว่าต้องไปค้างที่วิทยาเขตอื่นเพราะเรื่องงานสารพัน ผู้จัดการสาวเองก็ค้านหัวชนฝาเรื่องกลับไปนอนบ้าน เพราะไข้เขายังไม่ลด คุยไปคุยมาซานก็แบกเขามาที่ห้องเจ้าตัวจนได้
   
ครั้งที่สองแล้วที่ได้มาที่นี่ และก็แทบจะไม่มีเวลาสังเกตอะไรๆ เช่นเดิม เพราะพอเหยียบเข้ามาในห้องได้ ขาเขามันก็หมดแรงเสียตรงนั้น กว่าจะประคองกันมาถึงเตียง จากที่เบลอหน่อยๆ กลายเป็นว่าทั้งปวดหัว ทั้งตาลาย คลื่นไส้จนอยากจะอาเจียน
   
ซานดูจะตกใจกว่าเขาเสียอีก เด็กนั่นวิ่งวุ่นไปรอบห้อง หาผ้าขนหนู หากะละมัง ท่าทางตื่นๆ แบบนั้นทำเอาเขาอดยิ้มขำไม่ได้ สมองเองก็เผลอนึกไปถึงใครอีกคนที่เคยวิ่งวุ่นเพราะเขาแบบนี้
   
แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เพราะถึงแม้ซานจะดูตื่นตูมขนาดนั้น ทว่าท่าทางคล่องแคล่วเหมือนเคยดูแลคนอื่นจนชินนั่นก็ทำเอาเขาสงสัยไม่น้อย สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้ แต่เจ้าตัวกลับเลี่ยงด้วยการบิดน้ำเย็นๆ ใส่เขาเสียนี่
   
ทนหนาวตัวสั่นกึกๆ บนเตียงอยู่นานถึงได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยน หลวมนิดหน่อย แต่ก็พอดีตัวในระดับหนึ่ง เตียงก็ยังนุ่มนิ่มเหมือนเดิม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้สบายใจแปลกๆ
   
“ไหนบอกว่าจะเล่าให้ฟังไง?” คนเด็กกว่าทวงสัญญา ว่าแล้วก็ทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนเตียงข้างๆ เขา ดวงตาสีเข้มหรี่มองมาอย่างคาดคั้น ท่าทางอยากรู้อยากเห็น เหมือนเจ้าหนูจำไมที่กำลังรอคำตอบจากผู้ใหญ่
   
“นิสัยเสียของพี่น่ะ...” วันสุขพึมพำตอบ
   
“ยังไงครับ?”
   
“พี่ชอบให้คนเข้าหาน่ะ” ว่าแล้วก็เงยมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย คงเพราะไม่ได้เปิดไฟ อาศัยเพียงแค่แสงจากบานหน้าต่าง บรรยากาศก็เลยชวนง่วงเข้าไปอีก “พอมีใครมาทำดีด้วยแล้ว...มันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาน่ะ”
   
“มิน่าล่ะ...ถึงชอบทำตัวแบบนั้นบ่อยๆ ” ซานว่าพลางขมวดคิ้วใส่ หลังมือสวยยกขึ้นมาอังหน้าผากของเขา “พี่ชอบให้คนเข้าหา แต่ชอบสร้างกำแพงกั้นชาวบ้าน ย้อนแย้งกันดีนะครับ” และยังไม่ลืมที่จะเหน็บทิ้งท้ายด้วย
   
“พี่ก็เป็นแบบนั้น อยากเป็นที่รัก... แต่ก็กลัวความรัก” วันสุขหัวเราะเบาๆ พลิกกายเข้าไปหาคนที่นั่งข้างๆ “ตอนที่รู้ว่าปรัชญ์หาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว...มันก็อดเสียดายไม่ได้น่ะ เหมือนทำดอกไม้ในช่อหายไปหนึ่งดอก หายไปง่ายๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เอาไปปักแจกัน”
   
“พูดจาโหดร้ายจริงนะ” ซานว่าเสียงขำ ทำท่าจะก้มมาทำอะไรสักอย่าง แต่ถูกเขาเอามือผลักออกไปเสียก่อน
   
วันสุขไม่อยากให้เด็กนี่ติดหวัดเขาเท่าไหร่ แค่มาดูแลให้ขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ก็ยังไม่พ้นช่วงสอบ ซานที่ต้องอ่านหนังสือ แล้วยังมีเรื่องเขามาให้วุ่นวายแบบนี้ เขากลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในตัวการให้ผลการเรียนคนคนนี้ตก
   
“ไม่ไปอ่านหนังสือเหรอ? เกรดตกเพราะพี่ ระวังที่บ้านจะดุเอานะครับ” ว่าเสียงดุเพราะความเป็นห่วง ทว่าซานกลับชะงักไปเมื่อเขาจบประโยค
   
“ตกไม่ตก ยังไงเขาก็ไม่สนหรอก” ว่าพลางทิ้งตัวลงนอนข้างเขา วันสุขกระเถิบออกห่าง แต่อีกฝ่ายก็กลิ้งตามเข้ามากอดเอวเขาไว้แน่น
   
“พ่อเหรอ?” เขาถาม จริงๆ แล้วก็แทบจะไมรู้อะไรเกี่ยวกับซานเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจับได้ว่าเด็กคนนี้ดูจะไม่ถูกกับครอบครัวเท่าไหร่...มิน่าล่ะถึงไม่เคยเล่า ไม่เคยแม้แต่จะหลุดออกมาให้ได้ยิน
   
“พ่อตายตั้งนานแล้ว เหลือแต่แม่ ตอนนี้แต่งงานใหม่ แล้วก็อยู่ดูรีสอร์ทที่เชียงราย” ซานพูดงึมงำ ในน้ำเสียงจับความไม่พอใจได้บางส่วน ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มผมนุ่มนิ่มมุดเข้ามาซุกให้เขากอดอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ 
   
“เสียงเราเหมือนไม่ชอบแม่เท่าไหร่นะ” วันสุขว่า ไม่ได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดหรือเห็นใจอะไร ซานดูจะไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่างเขาดีใจเสียอีกที่ได้ฟังเรื่องของคนคนนี้มากขึ้น ถึงตอนนี้สติมันจะสะลึมสะลือ ตาใกล้จะปิดเต็มทีแล้วก็เถอะ
   
“ก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ นี่นา พอพ่อตายเขาก็แต่งงานใหม่เลย แล้วก็ส่งผมมาอยู่กับญาติพ่อ” ซานเล่าเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ดูจะเป็นเรื่องเศร้าแท้ๆ แต่มุมปากของเจ้าตัวกลับยกยิ้มทันทีที่พูดถึง ‘ญาติ’ ที่ว่านั่น
   
“เล่าเรื่องญาติให้ฟังหน่อยได้ไหม?” วันสุขถามอย่างสงสัยในท่าทีนั่น ใจเองก็แอบลุ้นอยู่หน่อยๆ สมองก็คาดเดาไปเรื่อย แต่ปากกลับหาวหวอด
   
“ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องนิสัยแปลกๆ กับแม่เขาอีกคน ก็สนุกดีครับ ตอนนั้นผมแค่สิบหน่อยๆ เองมั้ง อยู่ไปได้ไม่กี่ปี แม่เขาก็ตาย ก็เหลือแค่พวกเราสองคน เหมือนพี่วันกับอาจารย์” ซานอมยิ้ม ท่าทางเหมือนเด็กๆ ชวนให้เขายิ้มตาม
   
“ผมอยากได้อะไรเขาก็ตามใจทุกอย่าง เงินที่มีใช้อยู่ตอนนี้ก็เงินเขาเหมือนกัน ตอนแรกก็เกรงใจนะ แต่พอฟังเจ้าตัวบ่นบ่อยๆ ว่าไม่มีเวลาใช้เงิน...มารู้ตัวอีกทีผมก็ช่วยใช้เงินแทนไปแล้ว”
   
วันสุขยิ่งได้ฟังก็ต้องหัวเราะขำ ว่าแล้วก็พานนึกไปถึงคุณอา รายนั้นก็เป็นเหมือนที่ซานเล่านี่แหละ ตามใจเขาแทบจะทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ซื้อให้ จนเป็นเขานั่นแหละที่เกรงใจท่านแทน และพอยิ่งเกรงใจเท่าไหร่ ฝ่ายนั้นก็ยิ่งคะยั้นคะยอให้เขารับของที่ตัวเองซื้อมามากเท่านั้น
   
“แล้วเขาส่งเราไปเรียนเปียโนด้วยหรือเปล่า พี่เห็นเราเล่นได้” วันสุขอดถามไม่ได้ ซานมีนิ้วเรียว เรียวแล้วก็สวยกว่านิ้วของเขาเสียอีก ก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเจ้าตัวต้องเล่นเครื่องดนตรีสักอย่าง แต่เปียโนก็ดูเหมาะดี
   
“พ่อสอนผมเล่นน่ะ พอพ่อตาย ผมก็ไม่ได้ไปเรียนกับใคร แต่พอไปอยู่ในบ้านนั้น จู่ๆ วันหนึ่งคนที่รับเลี้ยงเขาก็วิ่งโวยวายเข้ามาหา แบกคีย์บอร์ดไฟฟ้าตัวใหญ่มาให้ตัวหนึ่ง แล้วพอเดือนถัดมา เปียโนหลังเบ้อเริ่มก็มาตั้งอยู่กลางบ้าน”
   
“ดีจังเนอะ...” วันสุขอมยิ้มเล็กๆ แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็เถอะ ความรู้สึกระหว่างพ่อกับลูก หรือแม้แต่คำว่าครอบครัวจริงๆ มันเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว ไม่ว่าจะคุณอา เวย์ หรือเด็กตรงหน้านี่ด้วย แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับคนอย่างเขาแล้ว
   
“แล้วพ่อกับแม่พี่ล่ะ?” ซานถามกลับ แล้วก็นั่งนิ่งรอคำตอบจากเขาเงียบๆ มือเองก็เกี่ยวเอวเขาแน่นขึ้น ศีรษะทุยที่ซุกอยู่แถวอกเงยขึ้นมาเพื่อแตะริมฝีปากตัวเองกับใต้คางของเขาจนรู้สึกจักจี้
   
“อ้อนให้พี่เล่าหรือไง?” วันสุขปรือตามองแมวตัวใหญ่ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ฟัง วันนี้เด็กนี่น่ารักกว่าทุกวัน ถึงจะมีหลายๆ เรื่องให้น่าสงสัยก็เถอะ
   
“ก็เราสนิทกันแล้ว พี่ก็เลิกเรียกผมว่า น้องซานๆ ไปตั้งนานแล้วด้วย” ยกข้ออ้างมาพร้อมกับจ้องเขาตาแป๋ว
   
“จริงด้วยสินะ เลิกเรียกไปตั้งแต่ตอนไหนนะ?” วันสุขทำท่านึกพลางหาวหวอดใหญ่ ง่วงเกินกว่าจะต่อบทสนทนาได้ สุดท้ายเลยรวบเด็กตัวใหญ่นี่เข้ามากอดแทนหมอนข้างซะเลย ไม่กลัวติดไข้เขาก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์เสียหน่อย
   
“อยากใกล้กันขนาดนี้ เดี๋ยวผมถอดเสื้อให้ก็ได้นะ”
   
“หมอนข้างน่ะเงียบไป พี่จะนอน” ปรือตา พูดเสียงงึมงำ ไม่ได้สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่ดิ้นหนีออกจากการเป็นหมอนข้างของเขาเลยแม้แต่น้อย นึกว่าจะนอนเป็นเพื่อนกันเสียอีก…
   
“พรุ่งนี้ผมมีสอบ พี่ก็นอนไป ผมก็นั่งอ่านบนเตียงนี่แหละ” แมวตัวใหญ่ว่าพลางหรี่ตาอย่างกับรู้ทันว่าเขาจะพูดอะไร
   
วันสุขอมยิ้ม ปิดตาลงอย่างสบายใจ น้ำหนักบนเตียงอีกฝั่งหายไป เสียงประตูดังขึ้นเบาๆ สองครั้ง และไออุ่นๆ ที่หายไปก็กลับมาอีกครั้ง
   
“เรื่องของแม่พี่จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่พี่กับพ่อไม่เคยคุยด้วยกันดีๆ สักครั้ง” พึมพำขึ้นมาทั้งที่หลับตา ภาพฝันเมื่อครั้งนั้นวนเวียนอยู่ในหัวสมองอีกครั้ง
   
“เขาตีพี่ ทำร้ายคุณอา ตอนนั้นพี่ยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง พยายามหลายครั้งอยู่ แต่พอโดนตีมากๆ เข้าก็พานเกลียดเขาไปเลย จำไม่ได้แล้วว่าไปพูดจาร้ายๆ ใส่เขาว่าอะไรบ้าง แต่สาเหตุที่เขาเป็นอย่างนั้นก็เพราะพี่”
   
ยิ่งเล่าเสียงก็ยิ่งขาดๆ หายๆ ไม่กล้าจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็พยายามสูดหายใจลึก เรียบเรียงคำพูดออกมาอย่างช้าๆ
   
“พอทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้น สุดท้ายพี่ก็มาอยู่กับคุณอา นานๆ จะเจอเขาสักทีหนึ่ง แต่มันตลกดี...เพราะเขาก็มาหาพี่ทุกวันนั่นแหละ แต่เป็นตอนที่พี่หลับไปแล้ว”
   
“ตุ๊กตา ของเล่น มีอยู่เต็มห้อง คุณอาไม่เคยบอกว่าใครซื้อมาให้ แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเขาก็โผล่หน้ามาพร้อมกับคุณแม่ ยิ้มแย้มเหมือนว่าเรื่องราวที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น เขาชวนพี่ไปเที่ยว ท่าทางมีความสุขจนพี่สงสัย นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราดูเหมือนจะเป็นครอบครัวกันจริงๆ ”
   
“ทำไมเขาถึงดูมีความสุขขนาดนั้น ไม่โมโห ไม่ตีพี่ตอนพี่เผลอพูดอะไรรุนแรงออกไป แต่ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ...กว่าจะมาเข้าใจก็เอาตอนโต จะกลับไปพูดขอโทษกับเขาก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
   
พูดเรื่องนี้ทีไร น้ำตามันพานไหลออกมาทุกที จะเรียกว่าจุดอ่อนไหวของเขาดีหรือเปล่านะ? พอโดนจี้เบาๆ ทำนบมันก็แตกจนหยุดไม่อยู่ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อมีผ้าอุ่นๆ มาซับให้อย่างเบามือ
   
“จำรอยสักที่เอวพี่ได้หรือเปล่า...” รอยสักผีเสื้อสีดำนั่น...
   
“จำได้ครับ”
   
“จำที่พี่บอกได้ใช่ไหมว่าพี่สักมันเอาไว้เพื่อย้ำกับตัวเอง” ดวงตาค่อยๆ ปรือเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ สบเข้ากับลูกแก้วสีนิลพร่างพราวคู่นั้น
   
“...” ซานพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไร นอกจากวางหนังสือลงบนตักแล้วยกมือขึ้นไล้ปลายผมของเขาเบาๆ เท่านั้น
   
“พี่ไว้ย้ำกับตัวเองน่ะ ว่าชีวิตนี้เคยทำให้ใครบ้างต้องตายจากไป”
   
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
   
ซานว่าเสียงหนัก ประกายอ่อนโยนฉาบบนดวงตาคู่นั้น และมันก็ทำให้เขาต้องยิ้ม...ยิ้มอย่างสุขใจ เหมือนคำสัญญาที่เขาอยากจะได้ยินจากใครสักคน ย้ำว่าเรื่องในอดีตมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น ย้ำให้เขาแน่ใจ...ว่าจะไม่ต้องสูญเสียใครไปอีก
   
“บางครั้งเราก็ทำตัวอย่างกับรู้จักพี่มานานแล้วอย่างนั้นล่ะ...” วันสุขอดที่จะเปรยขึ้นมาไม่ได้ ตาสีอ่อนจ้องลึกเข้าไป แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถคว้าคำตอบใดๆ กลับมาได้เช่นเดิม
   
“มันก็ไม่แน่นะ” เด็กคนนั้นยิ้มอ่อนๆ พลางยกนิ้วเรียวขึ้นสางผมให้เขาเบาๆ ไม่มีคำพูดใดต่อจากนั้นอีก นอกจากความเงียบซึ่งนำพาสายสัมพันธ์บางๆ ให้กระหวัดกันแน่นขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
   
วันสุขหลับตาลง ทอดลมหายใจยาว และปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่นิทรา...


   


‘Don’t  you ever wish… you were someone else, you were meant to be…’
   
เสียงเรียกเข้าคุ้นหูดังขึ้นปลุกเขาให้ตื่นในยามดึก วันสุขสะลึมสะลือ มือควานไปทั่วหัวเตียงอย่างเคยชิน แต่นิ้วกลับไปชนเข้ากับผนังไม้เรียบเสียได้ จนสุดท้ายก็ต้องสะดุ้งตื่นเต็มตา และก็เพิ่งมานึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา
   
“อือ...” เสียงงึมงำจากคนข้างตัวดังขึ้น ไฟหัวเตียงยังคงเปิดไว้ แต่หรี่จนเกือบสุด หนังสือกับชีทหล่นกระจายเต็มพื้น ส่วนคนที่บอกว่าจะอ่านกลับลงมานอนเบียดอยู่ข้างๆ เขาแทน
   
ถึงไข้จะลงไปมากแล้ว แต่สมองก็ยังคงมึนงงอยู่ดี ทิ้งขาลุกขึ้นจากเตียง เดินเซไปเซมาหาที่มาของเสียง ก่อนจะไปเจอโทรศัพท์ของตนวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างห้องน้ำ พอเจอเป้าหมายก็รีบคว้าขึ้นมา กดรับสายกรอกเสียงพลางเดินกลับมานอนที่เดิม
   
“สวัสดีครับ...” งึมงำทั้งที่ยังปิดตา
   
“นอนเร็วกว่าที่คิดนะ” เสียงหวานๆ ตอบกลับมาทำเอาเขาเปิดตาพรึบ ร่างกายชาวาบไปชั่วขณะ
   
“ลูกหว้า?” พึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆ และตอนนั้นเองที่เด็กซึ่งนอนหลับอยู่ข้างๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจ้องเขาด้วยแววนิ่งๆ ซึ่งท่าทีนั่นไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นเลยแม้แต่น้อย
   
“ท่าทางยังจะสบายดีอยู่นะ” เธอว่า น้ำเสียงมีแววแปลกใจฉายชัด ชั่วแวบหนึ่งก็คล้ายกับว่ากำลังดีใจที่ได้คุย “ลูกหว้ามาหาวันกับคุณอาที่บ้าน แต่ไม่มีใครอยู่เลยสักคน พร้อมใจกันหนีหน้าดีนะ”
   
“พี่วัน...ใครเหรอ?” ซานถามเสียงไม่เบานัก และก็เหมือนว่ามันจะเล็ดรอดเข้าไปจนปลายสายได้ยิน ซึ่งก็นำพาเสียงหัวเราะใสๆ ให้ลอยตอบกลับมา
   
“มิน่าล่ะถึงไม่อยู่บ้าน” ประโยคลอยๆ ดังแผ่ว น้ำเสียงใสๆ เปลี่ยนโทนไปจนเขาตามแทบไม่ทัน
   
“มีธุระอะไรถึงโทรมา” วันสุขถามเข้าประเด็น เพราะยิ่งได้ยินน้ำเสียงแบบนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าจะหายใจไม่ออก ซานซึ่งนอนอยู่ข้างๆ เองก็เบียดตัวเข้ามาใกล้อีก ท่าทางจะอยากฟังเหลือเกินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
   
“แค่อยากโทรน่ะ... อุตส่าห์โผล่ไปเจอแล้วแท้ๆ ลูกหว้าก็รอโทรศัพท์จากวันตั้งนาน สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายโทรมาหาเองจนได้...” เธอว่าเรื่อยๆ เสียงหวานๆ พูดเหมือนว่ากำลังชวนคุยกันปกติ ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำกระซิบที่เขาเดาไม่ออกว่านั่นแค่คิดจะแหย่เล่นหรืออะไร “...ไม่รักกันแล้วใช่ไหม?”
   
“ก็ยังเหมือนเดิม” วันสุขตอบ ทว่าความหนักแน่นในน้ำเสียงนั้นกลับเบาหวิว...จะไปเหมือนเดิมได้อย่างไร เพราะเมื่อ ‘วันนั้น’ ผันผ่านไป สิ่งต่างๆ ที่กอปรขึ้นมามันก็พังครืนลงมาง่ายๆ จนเขายังตกใจตัวเอง
   
ความเจ็บปวดจากการจากไปของคนคนนั้นมันมากพอที่จะลบทุกสิ่งทุกอย่าง มากพอที่จะฉุดกระชากให้เขาตกลงไปในวังวนสีดำ ทว่าเขาเองก็ยังคงรักเธออยู่ แต่ความรักนั้นมันก็เปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง คงเพราะเคยถลำลึกมาก่อน เยื่อใยที่แทบจะตัดไม่ขาดนั่นก็ยังคงฝากร่องรอยเอาไว้...เป็นความเคยชิน
   
“ไม่หนักแน่นเลยนะ...ต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ ” เสียงหวานใสแผ่วเบาลงคล้ายกับคนที่กำลังจะกลั้นก้อนสะอื้น ภาพของเด็กสาวตัวเล็กๆ ในอดีตฉายวาบขึ้นมาในหัวสมองของเขาอีกครั้ง และเธอคนนั้นก็มักจะร้องไห้เพราะเรื่องของ ‘พี่ดิน’ อยู่บ่อยครั้ง
   
“ขอถามอีกสักครั้งได้ไหม...ทำไมถึงกลับมา?” วันสุขพูดเสียงเรียบ มือเองก็ยกขึ้นลูบหลังศีรษะของซานเบาๆ เพียงเพื่อหวังว่ามันจะลดทอนความเย็นยะเยือกจากดวงตาอีกฝ่ายได้บ้าง
   
“กลับมาสะสางทุกอย่างให้มันจบ”
   
“ว่าไงนะ? อะ...ซาน!” เขาถามเสียงเครียด ก่อนจะต้องอุทานเสียงหลงเมื่อคนที่นอนนิ่งมาตลอดกระชากโทรศัพท์ออกไปจากมือของเขาเสียอย่างนั้น แถมเกยตัวขึ้นมาทับจนเขาแย่งคืนมาไม่ได้ หูเองก็แว่วเสียงโวยวายของคนเคยสนิทซึ่งดังลั่นพอที่จะลอดลำโพงออกมา
   
“หายไปซะ...”
   
ประโยคนั่นจากคนข้างบนทำเอาลืมดิ้นไปชั่วขณะ พอซานพูดเสร็จก็กดตัดสายทิ้ง พลางโยนโทรศัพท์ของเขาไปที่เก้าอี้เบาะเล็กๆ มุมห้องอย่างแม่นยำ
   
“พี่ยังพูดกับเธอไม่จบ...อึก” วันสุขโวยวายเบาๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมากัดเนื้อคอของเขาอย่างไม่ทันจะได้ตั้งตัว สัมผัสเจ็บจี๊ดทำเอาต้องขมวดคิ้ว เล็บจิกไหล่อีกคนแน่น “เจ็บ...พี่ไม่สบายอยู่นะ” พลางพูดเรียกสติอีกฝ่าย และซานก็ยอมปล่อยเขาแต่โดยดี...
   
“คนนั้นใคร?” แต่กลายเป็นว่าวกกลับมาถามเขาเสียงเข้มแทนเสียนี่
   
“อดีตเพื่อนสนิทพี่ แล้วก็เป็น...คนรักเก่าของเจ้าของแหวนนี่...” วันสุขชูแหวนให้อีกฝ่ายดูอีกครั้ง
   
“พี่ไปแย่งแฟนเธอมา?” ซานเลิกคิ้วถาม ท่าทางเหมือนจะปักใจเชื่อไปแล้ว ทำเอาเขาหงุดหงิดไม่ได้
   
“เปล่า...ไม่ใช่” พอนึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาในอดีต ความเจ็บปวดบางๆ ก็พุ่งเข้ามาจนเจ็บแปลบ มุมปากเองก็เผลอยกยิ้มเหยียดให้ตัวเองไม่ได้...
   
“เธอมาแย่งแฟนเก่าพี่?” ซานเริ่มเดาอีกครั้ง เด็กนั่นกลับไปทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอย่างเดิมอีกครั้ง แถมยังกวาดหนังสือที่วางไว้บนเตียงลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
   
“นั่นก็ไม่ใช่อีก”
   
“แล้วตกลงมันยังไง?” ท่าทางคนอยากรู้คำตอบจะเริ่มหงุดหงิดเสียแล้ว
   
“มันค่อนข้าง...จะซับซ้อนน่ะ...” วันสุขพูดเสียงแผ่ว เขาไม่พร้อมจริงๆ นั่นแหละที่จะเรียบเรียงมันออกมาเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฟังได้อย่างละเอียด เพราะเพียงแค่นึกถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา หัวใจมันก็บีบรัดเข้าหากันจนปวดไปหมด
   
“ถ้ายังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไรครับ” ซานว่าเสียงอ่อนเหมือนจะจับความรู้สึกเขาได้ ท่าทางดูจะเย็นลงมากแล้ว “แต่ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?” ทว่าก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนเดิม
   
“ครับ?”
   
“พี่ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเธอแล้วใช่ไหม” หน้าตาจริงจังจนเขาหลุดหัวเราะ จากที่เครียดอยู่ทำเอาผ่อนคลายไปได้เยอะเลยทีเดียว... และนี่ก็คงเป็นด้านหนึ่งกระมังที่เขาชอบเกี่ยวกับเด็กคนนี้...
   
“เมื่อก่อนน่ะใช่...แต่ตอนนี้ไม่มีวันจะกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีกแล้วล่ะ” ริมฝีปากสีส้มสวยแย้มยิ้ม
   
“ทำไม?”
   
“ก็ตั้งแต่วันที่พี่ทำให้คนคนนั้นตาย...ความสัมพันธ์ของพวกเราก็พังลงตั้งแต่วันนั้น” วันสุขเล่าเสียงเรียบ ทว่ามือกลับกำแน่นจนสั่นกึก ลมหายใจติดขัดจนต้องสูดลึกเพื่อเรียกสติ
   
“หมายความว่ายังไง?” ซานถาม ทำเอาเขาต้องนึกย้อนไปถึงตอนนั้นอย่างช่วยไม่ได้
   
“เราสามคนสนิทกัน... แต่จู่ๆ พวกเขาคบกัน...” ภาพของอดีตหวนกลับมาเป็นฉากๆ วันนี้มันหนักหนาสำหรับเขาจริงๆ ทว่าวันสุขเองก็รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย เพื่อพูดออกมาจนจบประโยคในที่สุด “แต่เขารักพี่... พี่รักพวกเขา...ทั้งรักแล้วก็เกลียดมากๆ ในเวลาเดียวกัน” ถึงมันจะดูน่าตลกที่สามารถบอกได้ว่าใครที่มารักตัวเอง แต่เขาก็พูดออกไปได้อย่างเต็มปาก แน่ใจจนไม่มีแม้แต่ความลังเล…
   
“พวกเรา...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่กระชากลากถูความสัมพันธ์บ้าๆ นั่นมาได้จนถึงวันนั้น แต่สุดท้ายมันก็พังลง...เละแหลก เหมือนแก้วที่แตกละเอียดนั่นแหละ”
   
“...” ซานนิ่งเงียบยามที่เขาซุกตัวเข้าหา ยามที่กายมันสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวที่เข้ามากอบกุมทุกขณะจิต เพราะไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่เคยจางหายไป
   
“ ‘หายไปซะ’ พี่เคยอยากจะพูดกับเขาแบบนั้น แต่ถึงมันจะเป็นแค่ความคิด แต่เขาก็ดันหายไปจริงๆ ”

   
“...หายไปจากโลกใบนี้จริงๆ ”



To be continued...


ตอนนี้ค่อนข้างรวบรัดเอาเรื่องเลยทีเดียว  :katai4:
ส่วนในพาร์ทอดีตของวัน ถ้าจะให้เขียนแบบลงลึก คาดว่าจะได้นิยายอีกเรื่องออกมาเลยล่ะมั้ง แต่คงเป็นแนวอย่างอื่นแทน (หัวเราะ)
เรื่องดำเนินมาถึงตอนที่ 10 แล้ว อีกประมาณ 4-5 ตอนก็จะจบ ซึ่งจะมีตอนพิเศษอีก 2 ตอน
เรื่องนี้ไม่ยาวเท่าไหร่ถ้าเทียบกับ ไกลกว่ารัก อันนั้นค่อนข้างยาว เลยยัดรายละเอียดได้เยอะ

แต่ยังไงก็ขอให้รักพี่วันไปนานๆ นะ แล้วเจอกันตอนหน้า
 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 10 - ความจริง ความฝัน (15/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 16-08-2014 15:02:35
อ๊ากกก อยากรู้  ทำไมพี่ดินถึงตายยยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 11 - ปกปิด เปิดเผย (18/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 18-08-2014 17:50:31
บทที่ 11 - ปกปิด เปิดเผย

   

วันสุดท้ายของการส่งคะแนนใกล้ถึงไวกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก งานก็มาก คุณอาเองก็วุ่นๆ เรื่องนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย เขาที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องของคะแนน ทั้งกรอกสารพันตัวเลขลงช่อง ทั้งค้นการบ้านเก่าๆ ขึ้นมาดู ทั้งยังต้องรองานจากบางคนที่ไม่ยอมมาส่งเสียอีก
   
ห้องพักที่ปกติไม่ค่อยได้มีใครเข้ามาเยี่ยมเยียน เป็นได้ต้อนรับแขกมากหน้าหลายตา เข้ามาส่งงานบ้าง เข้ามาถามเกี่ยวกับข้อสอบบ้าง บางคนถึงขั้นมานั่งร้องไห้เพราะอยากได้เกรดสวยๆ เลยก็มี
   
“ให้หนูผ่านเถอะค่ะ... นี่ปีสุดท้ายแล้ว...หนู หนูอยากจบพร้อมเพื่อน”
   
เสียงสะอึกสะอื้นทำเอาวันสุขต้องส่งทิชชูไปให้อีกฝ่าย กล่องที่เพิ่งเปิดเมื่อเช้าก็หมดไปตั้งแต่บ่ายแล้ว นี่ก็กล่องที่สองของวัน เขาลองมองดูคร่าวๆ ถ้าเด็กตรงหน้ายังร้องไม่หยุด คงได้ไปเอากล่องที่สามมาเปิด
   
“แล้วทำไมถึงไม่มาเรียนล่ะครับ คะแนนเข้าห้องเราไม่มีเลย ถ้ามีส่วนนี้เราก็จะผ่านแล้วแท้ๆ ” วันสุขพูดเสียงนุ่ม พลางส่งใบคะแนนให้กับอีกฝ่าย และเพราะการกระทำนั่นยิ่งทำให้เสียงสะอื้นกลายเป็นเสียงร้องโฮในที่สุด
   
ดวงตาสีอ่อนได้แต่มองเด็กตรงหน้าอย่างรู้สึกสงสารแทน เขาจำไม่ได้ว่าคุณอามีการประกาศคะแนนสอบไฟนอลเสียหน่อย แต่พอใกล้ช่วงส่งคะแนนทีไร มักจะมีพวกที่รู้ตัวเองโผล่หน้ามาหาประจำ
   
“เอาว่าพี่จะรับเรื่องไว้แล้วกันครับ ยังไงก็ต้องให้คุณอาพี่เขาตัดสินใจ พี่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”
   
“ช่วยไม่ได้จริงๆ เหรอคะ? อย่างน้อยช่วยพูดให้หนูหน่อยก็ได้” สาวเจ้าเริ่มเรียกร้อง น้ำตาคลอทำเอาเครื่องสำอางเปรอะเต็มหน้าไปหมด
   
“ไม่ได้จริงๆ ครับ” เสียงนุ่มว่า ริมฝีปากสีส้มสวยยกยิ้มอ่อนโยน สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก รอให้เสียงร้องไห้ค่อยๆ เงียบหายไป
   
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณจริงๆ ค่ะที่ช่วยรับเรื่องไว้ สวัสดีค่ะพี่วัน” ใบหน้าหงอยๆ ทำเอาเขารู้สึกแย่ไปด้วย แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นแค่ลูกจ้างมาตรวจงานเฉยๆ พวกตัดเกรดอะไรนั่น สุดท้ายอำนาจก็อยู่ที่คุณอาอยู่ดี...ซึ่งหลังจากที่เห็นมาหลายปี ส่วนมากท่านก็ไม่ค่อยจะปรานีเด็กๆ เท่าไหร่นัก...ถึงท่าทางจะดูใจดีก็เถอะ
   
วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนอนกับโซฟากลางห้อง ฟ้าด้านนอกเริ่มเป็นสีส้มแล้ว และอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็คงตกดิน ดวงตาสีอ่อนเหลือบไปมองกองกระดาษคะแนนเก็บของเด็กๆ ที่คุณอาสอน แล้วจู่ๆ ก็หมดแรงเอาเสียดื้อๆ
   
ก๊อก ก๊อก
   
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำเอาเขาผงกหัวขึ้นมาจากโซฟา หูแว่วยินเสียงขออนุญาตคุ้นเคยก็ล้มลงไปฟุบหมดแรงต่อที่เดิม
   
“สวัสดีครับพี่วัน... อ้าวเป็นอะไรครับนั่น” ปรัชญ์กล่าวทักทาย ร่างกายสูงใหญ่อย่างคนที่ทำงานตลอดเวลาแบกปึกสมุดเล่มเล็กๆ มาด้วย ยิ่งเห็นแบบนั้น วันสุขก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยมากเข้าไปอีก
   
“วางสมุดไว้บนโต๊ะเลยครับ...” งานสมุดจดที่จะเอามาช่วยอัพคะแนนให้เหล่าเด็กๆ ทั้งหลายถูกส่งมาครบแล้ว... แค่คิดว่าตัวเองต้องมานั่งอ่านว่าเจ้าพวกนี้เขียนอะไรลงไปบ้าง เขาก็ปวดหัวตุบๆ
   
“ท่าทางพี่วันดูเหนื่อยๆ ” หนุ่มร้านต้นไม้ช่างสังเกต ตาคมๆ มองมาอย่างเห็นห่วง ท่าทางอยากจะเข้ามาสำรวจ แต่ก็ดูเกรงอกเกรงใจจนเขานึกขำแทน
   
“นั่งอ่านตัวเลขทั้งวันจนตาลายน่ะ แต่พอรู้ว่าต้องมานั่งอ่านลายมือในกองสมุดจดนั่นพี่ยิ่งเหนื่อย” วันสุขโอดครวญ ซุกหน้าลงกับหมอนอิง แล้วก็นอนนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้อีกคนยืนคว้างตามประสา
   
“เอ่อ...ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย...” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ
   
“มีครับ ช่วยพี่ตรวจสมุดหน่อย ให้คะแนนตามเกณฑ์นี้เลย” วันสุขดีดตัวผึงขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว มือเองก็จัดแจงแบ่งส่วนสมุดจดไปให้เด็กตรงหน้าพร้อมเกณฑ์คะแนนที่คุณอาลิสต์เอาไว้
   
“อ่าครับ” เสียงทุ้มรับคำ แล้วก็หยิบสมุดขึ้นมาเปิดอ่านไปพลาง ขมวดคิ้วไปพลาง มีบ้างที่เงยหน้าขึ้นมาถามจุดที่สงสัยกับเขาเป็นบางครั้ง
   
วันสุขเลือกที่จะทิ้งตัวนอนอยู่ที่เดิม เขาอยากจะพักสายตาสักครึ่งชั่วโมง ขอให้ร่างกายได้ผ่อนคลายบ้าง แล้วจะลุกขึ้นมาทำงานต่อ ถึงมันจะดูน่าเกลียดก็เถอะ และโดยส่วนใหญ่เขาก็ไม่เคยทำแบบนี้ แต่มันเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยกับหลายๆ อย่างจนเรี่ยวแรงมันแทบไม่เหลือ
   
“เมื่อกี้ผมเห็นซานอยู่แถวๆ สระว่ายน้ำ เขาไม่ได้มาช่วยพี่ทำงานเหรอครับ?” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
   
เขาปรือตามองหน้าคนถาม พอเห็นว่าอีกฝ่ายแค่ถามเพราะอยากชวนคุยเท่านั้นก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้... ก็นึกว่าจะทำหน้าทำตาเหมือนคนเศร้าใจเสียอีก แค่ผ่านไปเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนความรู้สึกไปได้ง่ายๆ ...ปรัชญ์นี่เก่งจริงๆ ผิดกับเขาลิบลับ
   
“มาช่วยป่วนจะถูกกว่า พี่เลยไล่ให้ไปทำอย่างอื่นรอแทน” พูดไปแล้วก็นึกถึงภาพหน้ายู่ๆ ของบุคคลที่สาม ว่าแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ “นอกจากร้องเงี้ยวง้าวกับชอบทำให้เป็นห่วงบ่อยๆ ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” พูดเข้าไปนั่น...อย่างกับว่าตัวเองกำลังเล่านิสัยแมวที่เลี้ยงไว้อย่างนั้น
   
“แต่ผมว่า...ซานน่ะเก่งดีนะครับ”
   
“หือ?” คำชมนั่นทำเอาเขานึกสงสัย
   
“เขาจัดการปัญหาเก่งดีน่ะครับ แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง ผมเองยังเทียบไม่ติดเลย” ปรัชญ์เล่า ในน้ำเสียงมีแววอิจฉาอยู่ลึกๆ ชั่วแวบหนึ่งที่คนตรงหน้าสบตาเข้ากับเขา และเด็กนั่นก็เลือกที่จะเสหลบไป
   
“พี่นึกว่าน้องปรัชญ์จะไม่ชอบเขาเสียอีก” วันสุขพูดเสียงฉงน แต่สายตากลับหรี่มองจำเลยที่เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก
   
“พอดีช่วงนี้มีเรื่องที่พวกผมต้องรับผิดชอบร่วมกันน่ะครับ”
   
“รับผิดชอบร่วมกัน?”
   
“ง...งานวิชาอื่นน่ะครับ!”
   
วันสุขพยักหน้ารับ อือออไปกับท่าทีของอีกฝ่าย ปรัชญ์โกหกไม่เก่งจริงๆ นั่นแหละ มันคงมีเรื่องอะไรสักอย่างที่เจ้าเด็กพวกนั้นไม่ยอมบอกเขา ไม่รู้หรอกนะว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ที่ทำได้ก็คงมีแค่รอ รอต่อไปเรื่อยๆ จนอีกฝ่ายยอมเล่านั่นแหละ...
   
ก็ได้แต่หวังลึกๆ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น...จะไม่มีลูกหว้าเข้ามาเกี่ยวข้อง


   


กว่าจะเคลียร์เอกสารเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบทุ่ม วันสุขทิ้งตัวนอนแผ่อยู่บนโซฟาอย่างหมดแรง ปรัชญ์ที่มาช่วยงานก็กลับไปตั้งนานแล้วเพราะติดธุระที่บ้าน ส่วนกองสมุดจดก็ลดไปเกือบครึ่ง
   
“พรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พึมพำบอกกับตัวเองเบาๆ แล้วยกมือขึ้นนวดขมับ คงเพราะเครียดมากไป อาการปวดหัวมันถึงได้กลับมาเล่นงานอีกระลอก
   
โทรศัพท์ซึ่งวางไว้บนปึกเอกสารสั่นครืดเตือนว่ามีข้อความเข้า เขาถอนหายใจเฮือก ภาวนาลึกๆ ว่าคงไม่ใช่คุณอาส่งมาสั่งงานเพิ่ม
   
‘ว่ายน้ำอยู่ที่สระ เสร็จแล้วมาหาด้วย’
   
แต่พอเห็นข้อความว่าเป็นของใคร ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
   
วันสุขลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ บิดกายไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย สูดหายใจลึกเรียกสติ เขาไม่อยากพึ่งยาแก้ปวดมากเท่าไหร่ พักนี้ก็พยายามจะห่างจากยานอนหลับเท่าที่จะทำได้ และเขาคงต้องหาเวลาว่างเพื่อไปพบกับเพื่อนสนิทตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ สักครั้ง
   
พอไปเจอหน้ากันแล้วจะบอกกับเพื่อนอย่างไรดีกับสภาพที่เป็นอยู่ แต่ก่อนอื่นคงไม่พ้นโดนสวดจนหูชา... คิดพลางก็คว้ากุญแจห้องติดมือออกมาด้วย ก่อนจะไล่ปิดไฟทีละดวงจนหมด บิดกลอนเปิดประตูออกไปด้านนอก สายตาสอดส่อง...อย่างกับกลัวว่าจะมีลูกหว้าโผล่ออกมาทักทายเขาจนไม่ทันได้ตั้งตัว
   
...อย่างกับพวกวิตกจริตแน่ะ... วันสุขคิดขำๆ กับตัวเอง ก็โถงทางเดินตึกเก่าๆ ยามค่ำนั้นน่ากลัวไม่น้อย เปลี่ยวเงียบสงบ ถ้าจู่ๆ จะมีคนพุ่งเข้ามาต่อยเขาจนสลบแล้วลากไปเรียกค่าไถ่ ก็คงทำได้ง่ายๆ และโจ่งแจ้งได้อย่างสุดๆ
   
“อ้าววัน เพิ่งกลับเหรอ ขยันนะเนี่ย” เสียงทักทายดังขึ้นทำเอาเขาเกือบสะดุด วันสุขหันขวับไปมองผู้มาใหม่ พอพบว่าเป็นอาจารย์คุ้นหน้าคนหนึ่งก็ก้มศีรษะทักทายอย่างที่ชอบทำ
   
“เพิ่งกลับครับ แล้วอาจารย์ล่ะ?” ถามกลับไปตามมารยาท คนตรงหน้าหัวเราะเล็กน้อย แล้วก็บอกกับเขาว่าเจ้าตัวลืมเอกสารเอาไว้ เล่าไปได้สักพัก ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
   
“จริงสิ ยามบอกผมมาว่าที่หน้าตึกมีคนท่าทางแปลกๆ ชอบมายืนท่อมๆ แถวนี้ได้สักพักแล้ว วันเดินไปตรงทางเชื่อมแล้วไปออกอีกตึกหนึ่งน่าจะปลอดภัยกว่านะ ผมก็เดินมาจากอีกตึกเหมือนกัน”
   
“คนท่าทางแปลกๆ เหรอครับ? แปลกนี่...แปลกยังไง?” วันสุขเอียงคอถามสีหน้าฉงน แต่หัวใจข้างในเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ไอเย็นวาบแผ่ซ่านขึ้นมาจากปลายเท้า แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
   
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า” จบประโยคก็กล่าวลากันเล็กน้อย
   
เขามองตามอีกฝ่ายที่เดินลับหายไป สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นบน ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก ทางเชื่อมยังเปิดอยู่ และถ้าเดินผ่านทางนั้น เขาเองก็จะใช้ตรงนั้นนั่นแหละมองลงมาว่า คนท่าทางแปลกๆ นั่นเป็นยังไง
   
เดินมาไม่นานก็ถึงทางเชื่อมตึกที่ว่า วันสุขชะโงกหน้าออกไป สายตาพยายามสอดส่อง แต่สุดท้ายก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมอะไรสักอย่าง เขาถอนหายใจเฮือก รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ขาเองก็ซอยถี่เพื่อที่จะได้ออกไปจากแถวนี้ไวๆ ซานก็ส่งข้อความมาเร่งจนโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นครืดๆ แจ้งเตือนตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะหยิบขึ้นมาดู
   
ลงมาจากอีกตึกได้ก็เดินลิ่วๆ ตรงไปยังสระว่ายน้ำกลางของมหาวิทยาลัยแทบจะในทันที และคงเพราะรีบร้อนจนเกินไป ถึงไม่ได้สังเกตอะไรๆ รอบตัว...
   
“กลับดึกจังนะวัน”
   
“!!”
   
วันสุขสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงหวานคุ้นเคย รอบข้างมืดสลัว มีเพียงแค่โคมไฟเรี่ยพื้นสีส้มอ่อนช่วยให้ความสว่าง เงาคนทึมๆ ซ่อนอยู่หลังมุมพุ่มไม้ ท่าทางไม่ต่างจากฉากสยองขวัญในหนังเท่าไหร่นัก
   
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น นึกว่าพี่ดินมาหลอกเหรอ?” เสียงหวานๆ ยังคงดังต่อไป แต่คนพูดไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกมาจากเงามืดเลยแม้แต่น้อย
   
วันสุขยืนนิ่ง หรี่ตามองท่าทีประหลาดที่เขารู้สึกได้จากผู้หญิงคนนั้น สุดท้ายก็เบือนหน้าหนี ไม่มีอะไรให้คุยหรือเสวนาอีก ทว่าทันทีที่เท้าทำท่าจะก้าวเดินต่อ ขาจำต้องหยุดชะงักเพราะคำพูดของใครอีกคน
   
“เด็กที่ว่ายน้ำอยู่ในสระนั่น...แฟนใหม่เหรอ? หน้าตาดีจนน่ากลัวเลยนะ...ลูกหว้าอิจฉาแทนพี่ดินจริงๆ ”
   
“คิดจะทำอะไรเขา?” วันสุขแค่นเสียงถาม เพลิงร้อนๆ มันเริ่มจะลุกปะทุอยู่ข้างใน ทั้งห่วงซาน แต่ความโกรธนั้นมีมากกว่า แค่สมองคิดไปว่าผู้หญิงตรงหน้านี่จะทำอะไรกับเจ้าแมวตัวใหญ่นั่น...ต่อให้เป็นลูกหว้าก็เถอะ...
   
“มาคบกับวันแบบนี้ อีกเดี๋ยวเดียวคงได้กลายเป็นแบบพี่ดิน” ชื่อของบุคคลซึ่งล่วงลับไปแล้วถูกเอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะตอกย้ำ และมันก็ได้ผล... เพราะทันทีที่เขาได้ยินประโยคนั่น เพลิงในใจมันก็ดับวูบลงเหมือนถูกน้ำเย็นสาดโครมใหญ่
   
ชั่วแวบหนึ่ง...ภาพสีแดงสดกับเสียงน้ำไหลผุดวาบเข้ามาราวกับมายาที่ชวนตระหนก วันสุขกำหมัดแน่น สะบัดศีรษะเรียกสติ ดวงตาสีอ่อนซึ่งฉาบแววเจ็บปวดเบาบางจับจ้องไปยังหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ในเงามืดนั่น
   
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ประโยคสัญญาที่ซานเคยพูดไว้ถูกเอ่ยออกไป...แม้จะไม่ได้หนักแน่นอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ทำเอาคนตรงหน้าเงียบไปได้ครู่หนึ่ง
   
“วันจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
   
“เขาต่างจากพี่ดิน” วันสุขพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ...  ต่างหรือ? เขาเองก็ยังไม่เคยคิดไปถึงตรงนั้น ที่ว่าต่าง ต่างกันที่ตรงไหนล่ะ?
   
“เขาไม่ได้ต่าง...พวกเขาไม่ได้ต่างกันเลยวัน” เสียงหวานๆ นั่นแผ่วลง
   
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา วันสุขชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้ากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ความอึดอัดทำให้รู้สึกแย่ ไม่ต่างจากเหตุการณ์เดิมๆ ซึ่งเคยเกิดขึ้น วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ลูกหว้าที่กำลังร้องไห้ และเขาที่ได้แต่ยืนมองอย่างนิ่งเงียบ
   
“ขอถามอีกสักครั้งได้ไหม... ลูกหว้ากลับมาที่นี่ทำไม” คำถามเดิมๆ ถูกเอ่ยออกไปอีกครั้ง ความสับสนกำลังเข้ามาเกาะกุมจิตใจ พอๆ กับความกลัวไร้ที่มาซึ่งชวนให้ร้อนรนเหลือเกิน
   
“กลับมาสะสางให้ทุกอย่างมันจบ” เธอพูดเสียงเรียบ
   
“ขอความจริงได้ไหม” วันสุขสวนกลับไปทันที สายตาเองก็เห็นเงาดำๆ นั่นขยับไหวเล็กน้อย
   
“แค่อยากกลับมาหาคำตอบให้ตัวเองน่ะ...” เสียงหวานพึมพำจนเขาแทบไม่ได้ยิน
   
“เรื่องพี่ดินเหรอ?” วันสุขถามออกไป มือกำแน่น หัวใจเต้นรัว และแทบจะหยุดลง เมื่อใครอีกคนบอกคำตอบที่เขาหวาดกลัวจับจิตออกมา...
   
“เรื่องของวันต่างหาก”
   
“หมายความว่ายังไง” เขาย้อนถามเสียงแผ่ว ทั้งที่มีคำตอบในใจ และจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ
   
“ลูกหว้านึกว่าพี่ดินจะบอกวันเรื่องนี้แล้วเสียอีก...” เธอเกริ่นขึ้นมาเสียงเครือ ท่าทางคล้ายกับคนใกล้ร้องไห้เต็มที “พวกเราน่ะ...ไม่ได้คบกันเพราะรักกันหรอกนะ” และประโยคนั้นเองที่ทำเอาเขาต้องนิ่งงัน...
   
ก้อนแข็งๆ ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ความอึดอัดแผ่ซ่านจนแทบจะหายใจไม่ออก อารมณ์ตีรวนอยู่ภายใน หงุดหงิด โศกเศร้า ร้อนรน สับสน และเจ็บ... เจ็บอย่างกับว่ามีใครเอามีดเล่มคมๆ เสียบลงมาที่กลางอก
   
วันสุขก้มหน้าลงต่ำ ดวงตาสีอ่อนมองไปที่ปลายเท้าของตัวเอง ไหล่ของเขามันกำลังสั่นเทิ้ม และหยาดน้ำใสที่กลั่นออกมาจากความวุ่นวายภายในก็ใกล้จะหลั่งรินออกมา... ริมฝีปากส้มสวยเปิดเผยอ น้ำเสียงขาดๆ หายๆ ดังแผ่วอย่างคนหมดแรง
   
“รู้แล้วล่ะ...เรื่องนั้นน่ะ...วันรู้มาตั้งนานแล้วล่ะ...”
   
และเพราะแบบนั้น... ถึงจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
   
สุดท้ายเขาก็ไม่เคยวิ่งหนีความจริงพ้นสักที



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 11 - ปกปิด เปิดเผย (18/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 18-08-2014 17:52:29


อย่างกับคนถูกถอดสติ เหมือนหุ่นยนต์ที่ดูจะไม่สมประกอบนัก เพราะเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ...ว่าเดินหมดเรี่ยวหมดแรงจนมาถึงสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยได้อย่างไร
   
สมองมันยังคงอื้ออึง ความเป็นจริงที่พยายามหนีมานานถูกฟาดเข้ามาไม่ต่างจากคนที่ถูกตบหน้า บทสนทนาระหว่างเขากับลูกหว้าจบลงอยู่แค่นั้น เพราะไม่นานนัก รถยนต์หรูก็เข้ามาจอดเทียบท่าด้านหลัง...
   
ร่างเล็กๆ ในเงามืดพุ่งพรวดออกมา เนื้อตัวบอบบาง และใบหน้าสวยสดไม่ได้มีเค้าอะไรต่างจากเดิม ผิดก็แต่ดวงตาแดงช้ำอย่างกับคนที่ผ่านการร้องไห้หนักมาหมาดๆ และตอนนั้นเองที่ความรู้สึกผิดหนักๆ ก็เทโครมลงมาใส่เขาจนแทบจะยืนไม่อยู่
   
ลืมไปได้อย่างไรว่าคนคนนี้นิสัยก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะมัวแต่ระแวงไม่เข้าเรื่อง... สุดท้ายแทนที่จะได้คุยกันดีๆ ก็กลายเป็นต่างคนต่างเจ็บไม่ต่างจากเมื่อก่อน และจะให้มานึกดูดีๆ แล้ว ตั้งแต่วันที่คนคนนั้นจากโลกนี้ไป...เป็นเขาเองแท้ๆ ที่เริ่มหันหลังให้ทุกคน
   
“อึก” อาการปวดหัวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ขาอ่อนแรงจนเซไปพิงกำแพง เสียงวี้ๆ ดังอยู่ในหู ทั้งมึน ทั้งคลื่นไส้จนยืนแทบไม่อยู่ และพอพักสูดหายใจลึกๆ อาการก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางดังเก่า
   
เสียงของน้ำดังก้องเข้ามาในหู หลังจากถอดรองเท้าเก็บใส่ตู้พลางเดินผ่านบันไดทรายล้างขึ้นมา แสงของสปอร์ตไลท์สว่างจ้าจนต้องหรี่ตาลง เสียงของใครสักคนกระโจนลงน้ำดังขึ้นมาอีกครั้ง... ซานนั่นเอง
   
สระกว้างขนาดมาตรฐานมีคนจับจองอยู่เพียงหนึ่ง ร่างกายได้สัดส่วนสวยนั่นดำผุดดำว่าย ท่าทางคล้ายคนที่กำลังเล่นสนุกมากกว่าจะว่ายจริงๆ จังๆ ผิวขาวอย่างคนสุขภาพดีอาบด้วยหยดน้ำใสๆ ซึ่งสะท้อนวิบวับกับไฟจ้าแยงตา
   
“มาว่ายที่นี่บ่อยเหรอ?” วันสุขเอ่ยถาม เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นเขาก็ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ ในระหว่างที่รอ เขาก็พับขากางเกงขึ้นพลางนั่งหย่อนขาลงกับน้ำเย็นเฉียบ “ไม่หนาวเหรอ?”
   
“...ผมชินแล้วน่ะ” ซานว่าเสียงเรียบ ขณะพูดไม่ได้สบตาอย่างปกติ ตรงกันข้ามเจ้าตัวกลับดีดขากับผนังสระ แล้วลอยตัวออกห่างจากเขาแทน
   
วันสุขมองตามท่าทางนั้น เขาเองก็อยากจะถามเรื่องลูกหว้าเหมือนกัน แต่หัวมันหนักๆ จนไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว ซานเองก็ไม่รู้ว่ากำลังโกรธเขาด้วยเรื่องอะไร อาจจะเรื่องเดียวกับที่เขากำลังหนักใจอยู่ก็ได้
   
“วันนี้...มีผู้หญิงเข้ามาคุยกับผมด้วยล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มเล่าเรียบเรื่อย “เธอพูดถึงเรื่องพี่ไปก็ร้องห่มร้องไห้ไปจนผมทำอะไรแทบไม่ถูก ไปๆ มาๆ ก็ดันมาขอให้ผมเลิกคบกับพี่เสียอย่างนั้น”
   
“...” วันสุขนิ่งเงียบ ความรู้สึกผิดพุ่งวูบเข้ามาอีกครั้ง มือกำแน่นจนเกร็งไปหมด ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อข้อแขนถูกแตะด้วยปลายนิ้วเย็นเฉียบ...
   
“เรื่องที่พี่เล่าให้ผมฟังเมื่อคืนนั้น...ช่วยเล่าแบบเต็มๆ ได้หรือเปล่า” แววตาเว้าวอนกึ่งขอร้องถูกส่งมาให้ทำเอาใจกระตุก ซานไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน และเขาเองก็จับเค้าแห่งการล้อเล่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
   
“ทำไม...” วันสุขพึมพำถามกลับไป สมองคิดไปสาระตะ และยิ่งคิดก็คล้ายกับว่าเขาจะยิ่งหายใจยากมากขึ้นเท่านั้น
   
“การเป็นคนคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย...มันรู้สึกแย่นะครับ” น้ำเสียงสั่นๆ นั่นต่างออกไปจากทุกที “จริงๆ ผมทนได้นะ...ให้ทนกว่านี้ก็ยังพอทนได้ ทั้งเรื่องแหวนนั่น ทั้งเรื่องอดีตของพี่ ทนจนไม่รู้จะทน...”
   
ซานสูดหายใจเข้าลึก ปล่อยมือออกจากข้อแขนของเขา เสียงของน้ำดังเบาๆ เมื่อเจ้าตัวขยับ และกายเปียกโชกนั่นก็รวบกอดเอวของเขาเอาไว้แน่น
   
“ผมกลัวครับ... เพราะคนพวกนั้นน่ะสำคัญกับพี่วัน สำคัญจน...ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปยืนอยู่ตรงไหนกันแน่”
   
วันสุขนิ่งงัน เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กตรงหน้านี่จะคิดอะไรไปไกลขนาดนี้ คงเพราะเข้าใจมาตลอดว่าซานมักจะมองเรื่องซับซ้อนให้ดูง่ายๆ เสมอ ทั้งยังชอบยิ้มแย้มก่อกวนเขาแทบจะตลอด ถ้าไม่ยิ้มก็ทำหน้าบึ้ง โกรธกระฟัดกระเฟียด ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่จะเหมือนครั้งนี้
   
เสียงสั่นเครือเว้าวอนนั่นทำเอาเขาเห็นภาพซ้อนทับกับใครอีกคน... และคำพูดของลูกหว้าก็ดังวนไปเวียนมาในหัวของเขาอีกครั้ง
   
‘พวกเขาไม่ได้ต่าง...ไม่ได้ต่างกันเลย’
   
“อึก” อาการเจ็บจี๊ดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เจ็บจนต้องเบ้ปาก เผลอจิกไหล่เปลือยเปล่าของคนตรงหน้าแน่น เสียงอื้ออึง ภาพเบลอมัว ราวกับประสาทสัมผัสจะมืดบอดไปชั่วขณะ
   
วันสุขหอบหายใจหนัก ซบหน้าลงกับไหลกว้างนั่นเพื่อหาที่ทรงตัว น้ำหนักแทบจะเทถ่ายไปให้ซานเกือบทั้งหมด และดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็ดูตกอกตกใจกับท่าทีของเขาพอสมควร เพราะเสียงทุ้มนั่นตะโกนเรียกชื่อเขาไม่หยุด
   
“ไม่เป็นไร...แค่เครียด...มากไปหน่อย” แค่นเสียงเรียบเรียงประโยคอย่างยากเย็น พยายามจะปรือตาเปิด แต่อาการปวดแสบที่กลางกระหม่อมกลับมีมากกว่า หูอื้ออึง ฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าใครอีกคนกำลังพูดอะไร
   
ภาพหลอนบางอย่างพุ่งพรวดเข้ามาแทรกความมืดที่เขามองเห็น ในห้องเล็กๆ ...เศษกระจกแตกหล่นเกลื่อนเต็มพื้น ดอกไม้ในแจกันบี้แบนติดกับพรม ชั้นหนังสือล้มระเนระนาด รอยเลือดเปรอะเปื้อนลากยาวไปทั่วห้อง... ยาวไปจนหลังประตูห้องน้ำซึ่งมีกำแพงปาดป้ายสีสด...
   
“!!!”
   
พลันเหมือนถูกกระชากขึ้นมาจากใต้น้ำ ภาพเบลอมัว เสียงอื้ออึง อาการปวดหัวที่คล้ายกับจะชะงักไปชั่วขณะ เมื่อริมฝีปากของเขาถูกบดจูบรุนแรงจนได้กลิ่นเลือดคลุ้งติดลิ้น...
   
“ซะ...น อะ...” พยายามจะเอ่ยห้าม แต่คำพูดก็ถูกกลืนหายลงไปกลายเป็นเสียงครางแผ่ว ยามที่ริมฝีปากสวยนั่นขบจูบลงกับเนื้อคอ... นิ้วมือเย็นสอดล้วงเข้ามาจากชายเสื้อ กรีดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเอวไปจนถึงแผ่นหลัง เจ็บจนต้องเบ้หน้า เพราะเล็บคมๆ ของอีกฝ่ายคงจะทิ้งรอยแดงลากยาวลงบนเนื้อเขา
   
“เมื่อกี้...นึกถึงเรื่องเขาอีกแล้วใช่ไหม” เสียงแหบพร่านั่นตั้งคำถาม ดวงตาสีเข้มเหมือนฟ้ากลางคืนคู่นั้นฉาบแววเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ผสมปนเปไปกับแรงโทสะ “มองหน้าผม!” และตวาดลั่นทันทีที่เขาพยายามจะเบนสายตาออกไปทางอื่น
   
“ขอโทษ...” วันสุขพึมพำออกไป และก็ยิ่งใจหายเมื่อเห็นประกายหม่นฉายวูบขึ้นบนใบหน้าที่ห่างกันแค่ไม่ถึงคืบนั่น “ซานเองก็สำคัญ...ไม่รู้ตัวหรือไง สำคัญกับพี่มากๆ ไม่แพ้คุณอานั่นแหละ” ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งหมดแรง
   
“แต่ว่า...” เสียงทุ้มนั่นดูอ่อนลง ก่อนจะเงียบหายเมื่อเขาทิ้งตัวใส่อีกฝ่ายแล้วยกแขนโอบรอบบ่ากว้างนั่นพลางกอดแน่น...
   
“พี่สัญญา...ว่าจะเล่า อีกไม่นานหรอก...แค่ขอเวลา...สักพัก...” เขาพูดออกไป... คงเพราะท่าทีของเด็กตรงหน้านี่มันช่างคล้ายกับคนคนนั้นเหลือเกิน สายตาเว้าวอน ถ้อยคำร้องขอนั่น... และเพราะไม่เคยได้คุยกันดีๆ สักครั้ง สุดท้ายก็จบลงด้วยการสูญเสียที่เรียกคืนมาไม่ได้อีกต่อไป
   
ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ตอนที่ซานถามหาความสำคัญกับเขานั้น วันสุขปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจมันแทบจะหล่นวูบลงไป... ก่อนจะตามมาด้วยความเสียใจที่ประดังเดเข้ามา อดน้อยใจไม่ได้ที่คนตรงหน้านั่นมองว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของเจ้าตัว ทั้งที่แท้จริงแล้วมันตรงข้ามกันสิ้นเชิง
   
วันสุขไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอะไร... เพราะตั้งแต่ลองเปิดใจให้เจ้าแมวตัวโตนี่เข้ามากระโดดเล่นหลังรั้วกำแพง ชีวิตที่ผ่านมาก็คล้ายกับจะมีสีสันขึ้น เรื่องวุ่นๆ ก็โถมเข้ามาไม่หยุด รวมถึงเรื่องในอดีตที่เขาพยายามจะซุกมันไว้... เจ้าเหมียวนี่ก็เอาอุ้งเท้ามากวนจนตะกอนมันฟุ้งขึ้นมาได้ทุกครั้ง
   
แต่ก็แปลก... ทั้งที่วิ่งหนีความเป็นจริง และอดีตของตัวเองมาตลอด นี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาเอ่ยปากออกมาให้ใครสักคนฟังว่าเขาจะเล่ามัน... และก็เป็นครั้งแรกที่เริ่มจะยอมรับสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นได้ทีละนิด...
   
ดูอย่างตอนที่คุยกับลูกหว้านั่นไงล่ะ... เพราะถ้ายังเป็นตัวเขาเมื่อก่อน สุดท้ายคงจะยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งไม่ได้ยิน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรับฟัง... แต่นี่ดันกลับยอมรับออกไปง่ายๆ แม้จะยังเจ็บจนจุกไปบ้าง แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วสำหรับเขา
   
“ขออยู่แบบนี้...สักพัก” พึมพำขึ้นมาเบาๆ พลางปิดตาลง ไออุ่นๆ ของอีกคนช่วยให้เขารู้สึกสบายจริงๆ นั่นแหละ และพอได้พักหายใจ ก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา เหมือนคนที่วิ่งตลอดเวลาโดยไม่หยุด แค่พอได้นั่งพัก อาการเหนื่อยสะสมมันก็เข้ามาเล่นงานจนลุกขึ้นวิ่งต่อไม่ไหว
   
“ขอโทษนะที่ทำให้ไม่สบายใจ” ปลายนิ้วลูบเบาๆ ที่หลังคอของอีกฝ่าย และทั้งที่กำลังเอนพิงสบายๆ อยู่แท้ๆ ซานก็ดันตัวเขาออกมาให้กลับไปนั่งหลังตรงอีกครั้ง ดวงตาสีเข้มจ้องมาที่ใบหน้าเขานิ่ง คิ้วสวยขมวดมุ่นเหมือนคนที่กำลังไม่มั่นใจ
   
“ขอโทษครับ...” แล้วคำพูดประหลาดจากคนตรงหน้าก็ทำเอาต้องเลิกคิ้วอย่างสงสัย ปากเองก็พูดสวนออกไปแทบจะในทันที
   
“พี่ต่างหากที่ต้องขะ...” ยังไม่ทันจะได้จบประโยค มือสวยนั่นก็เอื้อมมาโน้มคอเขาลงไปประกบจูบอีกครั้ง
   
กลีบปากนุ่มนวลแตะลงมาเบาๆ ไม่ได้จาบจ้วงอย่างโมโหร้ายเช่นเมื่อครู่ พอผละจากปากเขาได้ จมูกโด่งสวยนั่นก็กดลงมาที่แก้มของเขาทีหนึ่ง ลำแขนเปียกน้ำเลื่อนลงมาจากหลังคอเขาเป็นโอบรอบเอว ศีรษะซึ่งปุกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำนั่นก็ซุกเข้าหาอย่างกับแมวที่อ้อนให้เจ้าของกอดอย่างนั้น
   
“เป็นอะไรไป?” วันสุขอดถามไม่ได้ แต่ก็กอดตอบกลับไปอย่างเคยชิน
   
“ผมขอโทษ” ซานพูดขอโทษอีกครั้ง
   
“เรื่องอะไรครับ?”
   
“ขอโทษที่ผมทำให้พี่ต้องเป็นแบบนี้อีกแล้ว ขอโทษครับ ขอโทษ...” คำว่าขอโทษวนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด อ้อมแขนเองก็รัดแน่นจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก “ทั้งที่รู้ว่าพี่ไม่สบายแต่ก็ยังเอาแต่ใจ...ขอโทษนะครับ” และคำพูดนั่นก็ทำเอาเขาชะงักกึก
   
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าพี่ ‘ไม่สบาย’ น่ะ” แม้อาการปวดหัวจะยังตกค้างอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้มึนขนาดที่จะตีความหมายของซานไม่ออก โดยเฉพาะคำว่า ‘ไม่สบาย’ นั่น
   
“ผมเห็นพวกซองยาเกี่ยวกับจิตเวชในลิ้นชักห้องนอนพี่...”
   
คำเฉลยนั่นทำเอาวันสุขอยากจะแกล้งหลับไปทั้งอย่างนั้น แล้วก็หายตัวไปให้พ้นสายตาของคนตรงหน้าเสีย ทว่าเขาคงทำไม่ได้ และสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ก็คงมีแต่ความกลัวและกังวล
   
สมกับเป็นซานจริงๆ ...เพราะปล่อยให้เขาสบายใจได้ไม่นาน เด็กบ้านี่ก็พาเรื่องชวนเครียดมาแบบไม่ให้เขาได้พักหายใจอีกแล้ว!
   
“ตัวสั่นหมดแล้ว...จริงๆ ผมรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้วล่ะครับ ขอโทษที่ทั้งรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ทำให้พี่ต้องมาหนักใจเพราะคำพูดผมบ่อยๆ ” คำสารภาพนั่นเหมือนกับค้อนปอนด์อันใหญ่ๆ ซึ่งฟาดเปรี้ยงลงมาจนยืนแทบไม่อยู่
   
“หมายความว่ายังไง...” วันสุขเอ่ยถามด้วยท่าทีสับสน
   
“ผมน่ะรู้เรื่องที่พี่มีปัญหาเทือกนี้มาตั้งนานแล้วล่ะครับ” ซานเองก็ย้ำอีกรอบ
   
“แล้วทำไม...ถึงเพิ่งมาบอก?” นี่แสดงว่ายังมีอีกหลายเรื่องเลยสินะที่เจ้าเด็กนี่ยังไม่ได้เล่าให้เขาฟัง... ไปรู้มาได้ยังไงว่าเขาเป็นอะไร แถมยังดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับตัวเขาดีเสียด้วย
   
“ผมก็แค่...กลัวว่าพี่จะไม่ยอมเปิดใจให้เท่านั้น...” แมวตัวใหญ่ว่าเสียงหงอ พลางถูแก้มลงกับหน้าท้องของเขาอย่างออดอ้อน คงคิดว่าน่ารักเสียเต็มประดา แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะนึกเอ็นดูเลยจริงๆ
   
“ไปรู้มาจากไหน” เขาถามเสียงเย็น... ไอ้คำอ้างที่ว่าเจอยาในลิ้นชักน่ะฟังไม่ขึ้นหรอกนะ เพราะดูจากการกระทำ และการรับมือเขาตอนสติใกล้จะหลุดเต็มทีของซานนั้น...เชี่ยวชาญเอาการจนน่ากลัวเชียวล่ะ
   
“งั้นมาแลกกัน พี่เล่าเรื่องอะไรก็ได้ที่ปิดบังผมมาสักเรื่อง แล้วผมจะบอกว่าผมไปรู้มาจากไหน”
   
“เรื่องอะไรก็ได้เหรอ?” วันสุขขมวดคิ้วถาม
   
“อะไรก็ได้ครับ...แค่บอกผมมาสักเรื่องก็พอ” ซานว่าเสียงนุ่ม ทำท่าทีอย่างกับเด็กที่พยายามจะเอาขนมมาล่อให้เพื่อนไปเล่นด้วยอย่างนั้น “นะ... นะนะ” ไม่วายตบท้ายด้วยเสียงอ้อนๆ อีกครั้ง
   
“เรานี่มัน...” วันสุขถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ว่าควรจะขำ หรือรู้สึกอย่างไรดี เจ้าเด็กนี่กระชากอารมณ์เขาไปมา จนตัวเขาเองยังรู้สึกมึนงงกับความแปรปรวนของอีกฝ่าย แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งอดระแวงไม่ได้ นี่เขาคงไม่ถูกหลอกให้พูดอีกหรอกนะ?
   
“ผมจะนับแล้วพูดพร้อมกันนะ เอ้า หนึ่ง...” ดวงตาสีเข้มนั่นฉาบประกายแวววาวประหลาด
   
“สอง...” วันสุขอดขำเบาๆ ไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายลากเสียงยาวยานคาง นี่จะเผื่อเวลาให้เขาทำใจหรือไงนะ?
   
“สาม...” เลขสามลากยาวกว่าทุกที และเมื่อมันค่อยๆ เงียบหายไป เสียงแผ่วๆ ของเขาก็ดังขึ้นมา
   
“พี่เป็นไบโพลาร์... ซาน!!”
   
ตูม!! ...ซ่า
   
โลกเหมือนหมุนกลับหัวตลบ เสียงน้ำอื้ออึงอยู่ในหู ร่างกายจมลงไปในสระสีฟ้าใส นัยน์เบิกกว้างมองแสงไฟสีขาวซึ่งสว่างจ้าจนตาพร่าจากก้นสระ เสียงบุ๋งๆ ของฟองอากาศตีวนจนเขาสับสนทำอะไรไม่ถูก
   
แขนขาตะกุยตะกาย สายตากวาดมองหาตัวการที่ไม่รู้ว่าว่ายหนีไปไหน ตั้งสติได้ก็ถีบขาขึ้นมาจากก้นสระลึกๆ พอใบหน้าโผล่พ้นผิวน้ำได้ก็ตีขาพาตัวเองเข้าหาขอบสระ
   
ริมฝีปากอ้ากว้างพยายามตักตวงอากาศ สลับกับไอโขลกเพราะสำลักน้ำ แต่ก็ต้องโวยปนหอบขึ้นมาอีกรอบ เมื่อใครอีกคนเข้ามาคว้าเอวของเขาจากด้านหลัง แล้วลากเขาออกไปในระยะที่ลึกที่สุด
   
“คะ...แค่ก พี่ว่ายน้ำไม่เป็น!” ความลับเรื่องที่สองถูกบอกออกไปอย่างลืมตัว วันสุขเบ้หน้า รู้สึกว่าตัวเองหมดสภาพสุดๆ เอาก็วันนี้ แต่กลับกัน...เจ้าเด็กนั่นดันหัวเราะร่าที่แกล้งเขาได้!
   
“ลงโทษต่างหาก เรื่องไบโพลาร์น่ะผมรู้อยู่แล้ว มาบอกซ้ำอีกทำไมเนี่ย”
   
“ก็บอกว่าเรื่องไหนก็ได้ ทีเรายังไม่บอกพี่เลยว่าไปรู้เรื่องนี้จากไหนมา” วันสุขพูดอย่างหงุดหงิด มือเองก็จิกแขนคนเด็กกว่าเอาไว้แน่น เนื้อตัวเกร็งจนขนาดที่ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกได้
   
“ก็พี่ดันบอกเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วนี่นา...แต่แลกกับเรื่องที่...นายวันสุขว่ายน้ำไม่เป็น...” น้ำเสียงยียวนดังอยู่หลังท้ายทอยของเขานี่เอง ทว่าท้ายประโยคกลับก้มเข้ามากระซิบประชิดริมหู
   
“เงียบไปเลย” วันสุขพูดงึมงำ หน้ามันชักจะร้อนๆ เพราะความลับนี่ขนาดเวย์ที่เป็นเพื่อนสนิท เขาก็ยังไม่เคยบอกเลยสักครั้ง!
   
“พี่วันว่ายน้ำไม่เป็น” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าเด็กนี่ล้อเขาไป กลั้วหัวเราะไป เมื่อเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากเกร็งตัวเพราะกลัวว่าจะโดนปล่อยให้จมมันซะตรงนี้
   
“เงียบนะ” วันสุขพูดเสียงเบา ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกอายเท่าครั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่เพียรสร้างมาตั้งนาน มาพังครืนเอาง่ายๆ เพราะโดนเด็กบ้านี่มาล้อเขาเรื่องว่ายน้ำไม่เป็น...
   
“พี่วันว่ายน้ำไม่เป็น... พี่วันว่ายนะ...”
   
สุดท้ายวันสุขก็ทนไม่ไหว ยอมเสี่ยงตายแกะมือที่เหมือนทุ่นลอยนั่นออก แล้วอาศัยจังหวะเดี๋ยวเดียวพลิกตัวกลับหลัง สองแขนรีบโอบรอบบ่ากว้างนั่น ใบหน้าแต้มเลือดฝาดเอียงองศาเข้าประกบปากจนอีกฝ่ายพูดไม่ได้อีก
   
คงเพราะโถมแรงใส่มากเกินไป พวกเขาถึงได้จมลงไปในใต้น้ำชั่วขณะ ก่อนจะลอยขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อซานได้สติ แขนแข็งแรงข้างหนึ่งรั้งเอวเขาเข้าไปหาแผ่นอกเปลือยเปล่านั่น สัมผัสอุ่นๆ ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นเฉียบ ทำเอาร่างกายมันร้อนๆ ขึ้นมา
   
วันสุขเบียดกายเข้าหาโดยสัญชาตญาณ จากจูบที่ตั้งใจว่าจะให้ซานหยุดพูด กลายเป็นสนามสงครามชั่วขณะ ลิ้นร้อนๆ เกี่ยวกันจนแทบจะแยกไม่ออก เสียงครางเบาๆ ของเขาเองก็คล้ายกับน้ำมันซึ่งเร่งให้อีกฝ่ายเพิ่มแรงบดเบียดมากเข้าไปอีก
   
เสียงของน้ำดังเบาๆ อยู่ข้างหู เมื่อต่างฝ่ายต่างขยับตัวเข้าหากัน เสื้อเชิ้ตสีเข้มเปียกโชก ชายเสื้อลอยสูงเหมือนเปิดเชิญชวนให้อีกฝ่ายใช้มือวนไปเวียนมาบนเนื้อตัวของเขาได้ไม่หยุด
   
“ฮื้อ” หลุดครางออกมาเมื่อหน้าท้องถูกลูบด้วยฝ่ามือร้อนๆ ไล่มาถึงขอบเข็มขัด กรีดนิ้วหลบลงมาที่ช่วงต้นขาทำเอาเขาเกร็งตัว ก่อนจะวกกลับไปที่บั้นเอวอีกครั้ง
   
“อือ...ซาน” ริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ และเป็นฝ่ายนั้นที่กดจมูกลงมาที่หลังใบหูของเขา... เสียงทุ้มหัวเราะต่ำ แล้วก็เริ่มฝากรอยจูบย้ำหนักเอาไว้อย่างจงใจให้เกิดอารมณ์ ก่อนจะเป็นเขาเองที่ร้องขัดใจเมื่ออีกฝ่ายหยุดการกระทำทุกอย่างชั่วขณะ
   
วันสุขมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะชะงักเมื่อสบเข้ากับดวงตาพราวเจ้าเล่ห์นั่น ทั้งริมฝีปากเข้ารูปสวยที่กำลังยิ้มร้าย และเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบจนแทบไม่ได้ยิน...
   
“ผมฟังเรื่องของพี่มาจากพี่เวย์ ...พี่วันได้คำตอบแล้วนะครับ”



To be continued...
 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 11 - ปกปิด เปิดเผย (18/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: poporimikoru ที่ 22-08-2014 22:39:28
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  :katai1:


สนุกมากก ให้ตายเถอะะะ เป็นไบโพล่าจริงๆด้วยยยย โรคนี้โคตรน่ากลัวค่ะ ยิ้มมีความสุขอยู่ดีๆรู้ตัวอีกทีก็ฆ่าตัวตายแล้ว T^T


โอยยย สนุกมากกก  ปมมมม ปมเต็มไปหมด ค่อยๆคลายเยอะแล้วเนี่ย!!
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 12 - นิทาน ความจริง (29/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 29-08-2014 00:01:21
บทที่ 12 - นิทาน ความจริง

   

ลมหนาวเย็นพัดพา อากาศแห้งจนทุกเช้าที่ตื่นมารู้สึกแสบคอแทบทุกครั้ง กลิ่นมะลิอ่อนที่ชายคาลอยเบาบางมาแตะจมูก ร่างเล็กๆ ซุกหนีลมหนาวเข้าหาคนอีกคน เสียงทุ้มห้าวหัวเราะเบาๆ มือใหญ่อุ่นๆ ยกขึ้นลูบศีรษะจิ๋วด้วยความเอ็นดู
   
แม้จะดูเหมือนขาดอะไรไป แม้คนที่สามซึ่งเคยนอนอยู่อีกฟากถัดจากเขาจะไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว แม้ทุกเช้าจะดูหงอยเหงากว่าทุกที แต่มันกลับเป็นทุกเช้าที่มีความสุขมากที่สุดเท่าที่เด็กชายชื่อ วันสุข จะมีได้
   
หลายครั้งเคยถามคุณอาว่าชื่อของเขาใครเป็นคนตั้ง พอได้รู้คำตอบเป็นต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะชื่อนี่พ่อเป็นคนตั้งให้... จนมาถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าความหมายของมันคืออะไรกันแน่...
   
วันสุข ย่อมาจากวันแห่งความสุข...พ้องกับวันศุกร์ที่เป็นวันก่อนจะขึ้นวันเสาร์ วันสุดท้ายที่ทุกชีวิตจะได้หยุดพัก ใครๆ ก็รักวันศุกร์... วันสุข น้องวัน...หมายเลขหนึ่ง สุขที่หนึ่ง สุขเพียงหนึ่ง ความสุขเล็กๆ ที่มีเพียงหนึ่งเดียว...
   
ต่อให้ลองคิดสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็คงมีเพียงแค่คนตั้งเท่านั้นที่จะรู้ความหมาย แต่พอลองคิดถึงคำว่า วันสุข แล้ว ความรู้สึกอุ่นๆ ในหัวใจนี่คงเป็นคำตอบเพียงหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
   
“น้องวัน ตื่นเร็วครับ”
   
เสียงเรียกของเช้าวันนั้นกับเด็กชายที่ดูจะดื้อดึงเป็นพิเศษ มือเล็กๆ กอดผ้าห่มแน่น หน้าตาเหยเกท่าทางคล้ายกับจะใกล้ร้องไห้เต็มที
   
“ไม่เอา ถ้าตื่น คุณเอาจะเอาน้องวันไปให้พ่อ คุณอาโกหก น้องวันไม่อยากเจอพ่อ” เสียงเล็กๆ โยเยงอแงรับอรุณ หนึ่งปีแล้วที่คุณอารับเขามาอยู่ด้วย นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยเจอพ่ออีกเลย แต่คุณอาบอกว่าสารพันของเล่นกับสมุดภาพดวงดาวนี่เป็นของที่พ่อซื้อให้
   
“ทำไมล่ะครับ เมื่อคืนก็คุยกันดีแล้วนี่” คุณอาว่าเสียงอ่อน พยายามชักจูงเด็กชายทุกวิถีทาง
   
“คุณอาจะเอาน้องวันไปทิ้ง คุณอาไม่รักน้องวันแล้ว” เสียงใสๆ โวยวาย สุดท้ายก็ปล่อยโฮมันเสียตรงนั้น สะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ออก มือเองก็กำผ้าห่มแน่น ราวกับจะกลัวว่าถ้าปล่อยมันเสียตอนนี้จะถูกอุ้มพาตัวออกไป
   
“ไม่เอาครับไม่เอา อย่าร้องไห้นะ ถ้าตาช้ำไปเจอพ่อ เขาเล่นอาตายแน่ๆ ”
   
“พ่อจะตีคุณอา คุณอาโกหก ไหนบอกว่าพ่อหายป่วยแล้วยังไงล่ะ น้องวันไม่ไป! ไม่ไปไหนทั้งนั้น!!” ยิ่งพูดก็ยิ่งร้อง คนแก่กว่าเป็นอันทำอะไรไม่ถูก ยืนเลิ่กลั่กอยู่แบบนั้น ก่อนจะต้องสะดุ้งกันทั้งอาทั้งหลาน เมื่อเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นเบาๆ
   
“เด็กดีเขาไม่ร้องไห้กันนะ”
   
เสียงห้าวแตกหนุ่มดังลอดเข้ามาในห้อง ลูกบิดประตูหมุนกึกจนเกิดเสียง  แล้วตอนนั้นเองที่ร่างเล็กๆ กระโดดผึงลงจากเตียง ปล่อยผ้าห่มผืนหนาเข้าไปหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวได้ดีกว่า
   
“พี่ดิน!” ตะโกนปนสะอื้น แขนกอดขาคนตัวสูงไว้แน่นหนึบ เสียงหัวเราะนุ่มอ่อนโยนดังอยู่เหนือศีรษะของเขา แล้วมือคู่นั้นก็ช้อนร่างกายเล็กๆ นี่ขึ้นอุ้มด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
   
“เป็นอะไรหืม? ร้องแต่เช้าเชียว” ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาออกไปให้ ไม่ได้สนใจสักนิดว่าจะถูกเขากำเสื้อจนยับยู่ยี่
   
“คุณอาจะเอาน้องวันไปทิ้ง” รีบฟ้องทันทีอย่างเคยชิน ตาโตๆ มองคนเป็นอาอย่างขวางๆ ตั้งแง่ขู่แฮ่ใส่ ถ้าอีกฝ่ายคิดจะเข้ามาในรัศมีแขนเอื้อมถึง
   
“เอาไปทิ้ง?” พี่ชายข้างบ้านถามเสียงฉงน
   
“พ่อน้องวันเขาจะพาไปเที่ยวน่ะ อาก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร เมื่อคืนก็ตกลงกันดิบดี เช้ามาก็ดื้อแบบนี้แหละ” คนเป็นอาพูดไปนวดขมับไป ตาคมเองก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนังเป็นพักๆ
   
“แต่น้องวันไม่อยากไปแล้ว” คนงอแงก็ยังงอแงไม่เลิก หน้าเล็กๆ ซุกบ่าคนอุ้มอย่างดื้อดึง หูเองก็แว่วเสียงหัวเราะแผ่วๆ เอ็นดู
   
“พี่ว่าวันนี้จะชวนเราไปท้องฟ้าจำลองซะหน่อย แต่ถ้าน้องวันสัญญากับคุณอาไว้แล้วก็ต้องไปครับ” ประกายเหงาๆ ฉาบวูบอยู่บนดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววนิ่งสงบอย่างที่เคย
   
“ไม่เอา น้องวันจะอยู่กับพี่ดิน จะไปท้องฟ้าจำลอง” เสียงใสๆ โวยวาย ถึงจะไม่รู้จักหรอกว่าท้องฟ้าจำลองคืออะไร แต่ถ้าเขาอยู่กับคนคนนี้ก็จะไม่ต้องไปเที่ยวกับพ่อ
   
“สัญญาแล้วก็ต้องไปครับ เด็กดีต้องไม่ผิดสัญญานะ” ปลอบเสียงอ่อนพลางโยกตัวไปมา เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงรถไม่คุ้นหูดังอยู่ที่หน้ารั้วบ้านพอดี
   
“น้องวันไม่อยากเป็นเด็กดี” เด็กชายเบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ ขนาดคนคนนี้ยังไม่ยอมเข้าข้างเขา คุณอาก็จะเอาเขาไปทิ้ง พ่อเองถ้าเจอหน้ากันก็คงจะตีเขาอย่างที่เป็นประจำ... ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล ตาที่แดงช้ำอยู่แล้วก็ยิ่งช้ำหนักเข้าไปอีก
   
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะไม่รัก” น้ำเสียงเย็นชาเป็นคำขาดจากอีกฝ่าย เด็กชายพลันปล่อยโฮลั่น ความกลัวที่มีต่อคำพูดนั่นมันมากกว่าที่จะต้องไปเที่ยวกับพ่อวันนี้เสียอีก...
   
“ไม่เอา! น้องวันจะไปแล้ว...น้องวันจะไปแล้ว!!” ตะโกนอย่างหวาดผวา ตัวสั่นกึกกักเมื่อจินตนาการว่าถ้าจู่ๆ จะถูกคนตรงหน้าเกลียดขึ้นมาจะเป็นอย่างไร...
   
ชีวิตของเด็กชายตัวเล็กๆ นี่มีแค่คนสองคนนี้เท่านั้นจริงๆ เพราะโลกเล็กๆ แทบจะไม่เคยเปิดให้ใครเข้ามา การจะต้องสูญเสียบางอย่างไปถึงได้น่ากลัวจับจิต... และถึงจะดื้อแค่ไหน ถ้าขู่ว่าจะ ‘ไม่รัก’ ไม่ว่าจะให้ทำอะไรเขาก็ยอมทำทั้งนั้น...


   


“น้องวัน...มองหน้าพ่อหน่อยเร็ว” เสียงกระซิบเบาๆ ดังมาจากคุณอา เด็กชายวันสุขซึ่งหลบอยู่หลังของพี่ชายข้างบ้าน ค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองคนที่เขาแทบจะจำหน้าไม่ได้แล้ว...
   
ใครกัน? นั่นคือคำถามแรกที่ผุดวาบเข้ามาในใจ ความทรงจำรางเลือนเกี่ยวกับพ่อสำหรับเขานั้น...แทบจะถูกแทนที่ด้วยคุณอาทั้งหมด เพราะเท่าที่นึกออกก็มีเพียงแค่ช่วงเวลาร้ายๆ เท่านั้น
   
การเลือกที่จะไม่จำในช่วงปีที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างเลยตกหล่นหาย สิ่งที่รู้ก็มีเพียงแค่ความรู้สึกประหลาด และความหวาดกลัวบางๆ ที่ยังฝังอยู่ตามร่างกายเท่านั้น
   
“ตาแดงเชียว...ร้องไห้เพราะกลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เสียงนุ่มฟังไม่คุ้นหูทำเอาเขาไม่แน่ใจ ช้อนตามองใบหน้านั่นอีกสักรอบ แต่แสงที่แทงสวนเข้ามาทำเอาต้องหรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว
   
“คนคนนี้ใคร?” เอ่ยถามเสียงฉงน ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ และก็เป็นคนแปลกหน้าคนนั้นที่หัวเราะออกมาเบาๆ มือใหญ่เหมือนกับคุณอาเอื้อมเข้ามาหา แต่ขาของเด็กชายกลับก้าวถอยอย่างเผลอตัว
   
“สวัสดีครับ...” เสียงทักทายของพี่ชายข้างบ้านดังขึ้นตัดบรรยากาศ...
   
นับตั้งแต่วินาทีนั้นภาพต่างๆ ก็คล้ายกับจะมัวเบลอ ความทรงจำขาดๆ หายๆ แล่นผ่านสมองไปอย่างช้าๆ เสียงของเครื่องยนต์ เสียงพูดคุยของพ่อที่เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปตลอดทาง เสียงของคุณแม่ที่ดังมาเป็นพักๆ เป็นบรรยากาศประหลาดที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ทั้งที่น่าจะเป็นการเที่ยวกันแค่พ่อแม่ลูกแท้ๆ แต่กลับมีพี่ดินเข้ามานั่งเพิ่มอีกคน เด็กชายวันสุขตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่เพราะมีคนคนนั้นอยู่ด้วย...เขาถึงได้กล้าคุยกับพ่อมากขึ้น...
   
พ่อเล่าว่าจะพาพวกเขาไปดูดาวที่ยอดดอย พ่อบอกว่าที่นั่นฟ้าโปร่ง...ดาวสวย ยิ่งกว่าในหนังสือนิทานเสียอีก เขาที่ไม่เคยออกมาไกลจากเมืองหลวงเป็นได้ตื่นเต้นจนลืมกลัว พี่ดินเองแม้จะมีท่าทีแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร
   
“แวะพักตรงนี้ก่อน น้องวันอยากได้ขนมไหมครับ” เสียงนุ่มๆ ถาม ฟังไม่คุ้นหู แม้จะไม่ได้เข้ามาใกล้ แต่ในสายตานั่นก็มีแววน้อยใจปนอยู่นิดๆ เมื่อเห็นว่าเขาติดพี่ดินแจจนแทบไม่ยอมออกห่าง
   
“มันฝรั่ง” พอเป็นเรื่องของกิน ต่อให้ยังกลัวอยู่ แต่ก็ตอบเสียงแจ้วๆ กลับไป พอพากันลงมาจากรถได้ก็ออกมายืนยืดเส้นยืดสาย ฟ้าเริ่มมืดแล้ว รอบข้างมีแต่ป่า ถนนตัดลัดภูเขาดูน่ากลัว ผู้คนในปั๊มน้ำมันก็ดูหนาตากว่าทุกที ทว่าความเคลื่อนไหวบางอย่างท่ามกลางกลุ่มคนนั้นกลับดึงสายตาของเขาให้มองตามไป
   
“คุณแม่คุยกับใคร?” เด็กชายเอ่ยถามคนข้างตัวอย่างสงสัย เมื่อเห็นกลุ่มคนท่าทางประหลาดเข้ามาเข้ากระซิบกระซาบกับมารดาของตน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา ทว่าพี่ดินมีท่าทีระวังตัวกว่าทุกครั้ง เด็กหนุ่มยกเขาขึ้นอุ้ม ทำท่าว่าจะเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ
   
“!!” ชั่วพริบตาก่อนที่ใครจะได้ตั้งตัว หลังของเขาเจ็บแปลบ...ร่างร่วงกระแทกกับพื้นสาก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เสียงของเนื้อกระทบกันดังลั่นสนั่น วัตถุสีดำฟาดลงกับสันคอของพี่ชายคนสนิท ร่างสูงโปร่งล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไม่ต่างจากคนตาย
   
“พี่ดิน!!” เด็กชายตะโกนลั่น หวาดกลัวจับจิต ก่อนจะต้องร้องออกมาอีกรอบเมื่อคอถูกคว้าด้วยมือใหญ่ ขาดิ้นแกว่งไกว ลมหายใจแทบจะชะงัก เมื่อพบว่าวัตถุสีดำซึ่งจ่อไปยังคนสลบคือปืนมันวาวด้ามหนึ่ง
   
ปัง!
   
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังสนั่น...เสียงของปืนรัวเร็วจนหูอื้ออึง...
   
“วัน!!!” เสียงของพ่อดังแทรกเข้ามาท่ามกลางความวุ่นวาย โลกคล้ายกับจะหมุนตลบ กายร่วงหล่นจนกระแทกกับพื้นอีกครั้ง ขณะที่ร่างของคนบางคนพุ่งสวนเข้าไป และเสียงปืนก็ดังลั่นขึ้นมาอีกหลายนัด...
   
“พ่อ!!”
   
ครั้งนั้นคงเป็นครั้งที่เขาตะโกนดังที่สุดในชีวิต... กายของบุรุษสูงใหญ่สะบัดไปตามแรงอัดของลูกกระสุน เสียงปืนดังลั่นสวนกลับไป ร่างโชกเลือดโซซัดโซเซวิ่งเข้ามาหา รวบกอดอุ้มเขาขึ้นมา... ลมหายใจหนักหอบกระชั้นชิดประสมกลิ่นเลือดข้นคลั่ก
   
“พ...พี่ดิน”
   
ภาพของคนคนนั้นซึ่งนอนสลบห่างไกลออกไปทุกที... พ่อพาเขากลับมาที่ลานจอดรถ เสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเบาะ รถกระชากออกไปอย่างรุนแรง เด็กชายซึ่งนั่งกองอยู่บนตักกว้างนั่นกระซิบกระซาบเรียกชื่อของคนซึ่งถูกลืมอย่างหวาดผวา
   
“เขาจะปลอดภัย...” พ่อบอกแบบนั้น พลางทิ้งมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งมาลูบศีรษะปลอบเขาอย่างที่ไม่เคยเป็น และนั่นคงเป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ได้ว่า...สัมผัสอ่อนโยนนี่มันเหมือนกับมือปริศนาอุ่นๆ ที่มาลูบกล่อมเบาๆ ให้แทบทุกคืน
   
“เลือด...” พอรู้ตัวว่ากำลังนั่งพิงแผลของอีกฝ่ายก็อดผวาไม่ได้... นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เขาตอนนั้นซึ่งไม่เข้าใจอะไรได้แต่ตั้งคำถามอย่างหวาดผวา...
   
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร... ทุกอย่างต้องไม่เป็นไร...”
   
ปัง!
   
เสียงของปืนดังขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความตึงเครียด กระจกกันกระสุนถูกยิงเจาะจนเป็นรอยแตก รถสะบัดไปเพราะคนขับเสียสมาธิ และตอนนั้นเองที่เขาเลือกที่จะเงียบ นั่งหวาดผวาตัวสั่น ปล่อยให้น้ำตามันเอ่อออกมาเป็นตัวแทนความกระเจิดกระเจิงภายในจิตใจ
   
มือซึ่งลูบปลอบยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป แต่มือซึ่งกุมพวงมาลัยอยู่นั้นกลับเกร็งแน่นราวกับจะบีบห่วงกลมๆ นั่นให้แหลกคามือ ใบหน้าตึงเครียด เสียงหอบหายใจ... เลือดที่ไหลบ่าออกมาจนเสื้อเชิ้ตสีเข้มชุ่มเหมือนจุ่มลงกับน้ำ...
   
“อะ...” เขาอุทานออกมาเบาๆ เมื่อจู่ๆ แสงสีขาวสว่างจ้าบาดตาก็สาดเข้ามาจากด้านหน้า สว่างขึ้น... สว่างขึ้น...
   
“บัดซบเอ๊ย!!!”
   
เอี๊ยด...โครม!
   
ร่างถูกรวบกอดในชั่ววินาทีที่เสียงชนดังลั่นสนั่น กายเหมือนถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้าสูง แสงไฟจ้าดับวูบเหลือเพียงความมืดสีดำสนิท ลมหายใจเหมือนถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ เวลาคล้ายกับจะช้าลง... ก่อนที่ประสาทสัมผัสจะถูกเร้าขึ้นมาอีกครั้งเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะที่กำลังทิ้งดิ่งลงสู่พื้นพสุธา...
   
ครึ่ก! เพล้ง!
   
สารพันเสียงดังลั่นเข้ามาในหู คล้ายกับก้อนเหล็กยับๆ ที่ถูกโยนลงในดงป่า กิ่งไม้ฟาดเข้ามาจนกระจกแตกกระจาย ขาแสบไปหมด เจ็บจนชาคล้ายกับจะมีอะไรเสียบเข้ามา อ้อมกอดปกป้องไม่ได้คลายออกจากกัน... เสียงหัวใจที่แนบอยู่ข้างหูยังคงเต้นระรัวกระหน่ำ
   
กี๊ด...
   
เสียงของเหล็กครูดเข้ากับอะไรสักอย่างแหลมบาดหู มือเล็กๆ ขยุ้มเสื้อโชกเลือดเอาไว้แน่น รถเหมือนกับจะกระแทกเข้ากับหินแข็งๆ หลังคาเหมือนจะยุบลงมา โลกกำลังเด้งกระดอน... ใจของเขากรีดร้องขอให้ทุกอย่างมันหยุดเสียที และก่อนที่ทันจะได้คิดอะไรนั้นเอง...
   
สวบ...
   
“อะ...อึ...” บางอย่าง... อะไรสักอย่าง... แทงสวบลงมา...ทะลุโล่ซึ่งกำลังโอบกอดเขาเอาไว้ลงมาที่เอวขวานี่... เจ็บจนพูดไม่ออก ดวงตาเบิกกว้างตระหนก...
   
แปะ แปะ...
   
“พ่...อ” เอ่ยเรียกคนที่กำลังหอบหายใจหนักอย่างยากลำบาก มือเล็กๆ พยายามยกขึ้นแตะใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มบางๆ นั่นไว้ แสงจันทร์อ่อนฉาบฉายลงมา สะท้อนดวงตาคู่โศกที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมัน
   
“ขอ...โทษ” เสียงแหบแห้งเอ่ยบอก กอดแน่นแข็งแรงไม่มีที่ท่าว่าจะคลายลง เสียงของเลือดหยดแหมะลงกับพื้นโลหะ... เปาะแปะเหมือนสายฝน “ดาว...สวย...หรือเปล่า?” คำถามประหลาดถูกส่งมาอย่างไม่เข้าสถานการณ์ มืออุ่นร้อนลูบเบาๆ ที่หลังศีรษะของเขาคล้ายเร้าให้เร่งตอบ
   
“สวย...” เด็กชายตอบออกไปทั้งที่ดวงตาแทบมองไม่เห็นอะไร นอกจากเสี้ยวหน้าหมองเศร้านั่น “...อดทนเอาไว้” พยายามพูดปลอบอย่างที่คุณอาเคยพูดกับเขา เพราะท่าทางของอีกฝ่ายนั้นดูทรมานเหลือเกิน...
   
ถึงจะไม่เคยรู้สึกว่ารัก ถึงจะเคยบอกว่าเกลียดจนอยากให้ตาย แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่ปรารถนาจะให้คนตรงหน้านั้นตายจากไปจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเสีย ความรู้สึกลึกๆ ในอกก็ยังอยากได้รับความรักจนคนที่เป็นพ่ออยู่ ทว่า...กลิ่นของเลือดไม่มีทีท่าว่าจะเจือจางไป ตรงข้ามกับเสียงหัวใจข้างหูของเขาที่มันกำลังแผ่วช้าลง
   
หวาดกลัว...ความหวาดกลัวนี่มันคืออะไรกัน...
   
“ฝัน...ว่าจะได้...กอดแบบนี้...นาน แล้ว...” เสียงขาดๆ หายๆ ดังแผ่ว “กอดไป...เล่าเรื่อง...ดาวไป...” พูดพลางหัวเราะติดๆ ขัดๆ ทั้งที่ไม่ได้เข้ากับสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
   
“ขอโทษนะ...เพราะ...อยาก...ทำตัว...ให้สมเป็น...พ่อ...สักวัน...แท้ ๆ ...” ประโยคขอโทษแผ่วๆ จนเหมือนกับเสียงกระซิบ เด็กชายรีบส่ายศีรษะ พยายามเค้นคำพูดออกมาจากคอว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องขอโทษใดๆ
   
“อยาก...คุย ให้มากกว่านี้... อยาก... จะ... เข้าใจ... อยาก...ให้เข้าใจ...”
   
ประโยคนั่นทำเอาน้ำตาของเขามันไหลออกมาจนมองแทบไม่เห็นอะไร เบลอมัว...หายใจแทบไม่ออก แสบร้อนอยู่ในอก ทรมานจนอยากจะร้องออกมาดังๆ
   
อดทนไว้... อดทนไว้... ยังมีเรื่องอีกตั้งเยอะแยะที่อยากจะเล่าไม่ใช่หรือ? อยากจะทำความเข้าใจไม่ใช่หรือ? จะยอมคืนดีด้วยให้ก็ได้ ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มต้นแท้ๆ ทั้งที่เพิ่งจะได้เริ่มหันหน้าเข้าหากันแท้ๆ
   
วันนี้ต้องรอดไปด้วยกัน ต้องมีชีวิตอยู่...
   
“แต่แค่นี้...ก็มี...ความสุข...แล้ว” จูบเบาๆ ประทับลงกับหน้าผาก กอดคลายลงราวกับคนหมดแรง... เสียงของลมหายใจทอดยาว ยิ้มอ่อนโยนดูมีความสุขกว่าทุกครั้ง แม้จะมองแทบไม่เห็นภายใต้แสงจันทร์รางๆ นี่ก็ตามที
   
เสียงของหัวใจนั่นกำลังแผ่วลง...
   
ต้องมีชีวิตอยู่! ...ถ้อยคำตะโกนกู่ร้องอยู่ในใจ
   
แผ่วลง...
   
จะกลับไปเกี่ยวก้อยคืนดี ...มือปะป่ายตีลงกับแก้มอุ่นๆ นั่นที่ไม่มีทีท่าว่าจะไหวติง
   
เบาลง...
   
อย่าตายนะ! ...ริมฝีปากเปิดเผยอ สิ่งที่ออกมามีเพียงแค่เสียงอืออาไม่ได้ศัพท์
   
เบา...
   
อย่าทิ้งวันไป!! …
   
เหลือเพียงแค่ความนิ่งสงบ...



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 12 - นิทาน ความจริง (29/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 29-08-2014 00:03:47


“พี่วัน... พี่วันครับ ตื่นเร็ว...”
   
เสียงเรียกคุ้นหูที่มักจะได้ยินอยู่ทุกเช้าดังแผ่วอยู่ไกลๆ ไหล่ข้างหนึ่งถูกเขย่าเบาๆ เรียกสติ แพขนตาค่อยๆ เปิดขยับ ก่อนที่จะรับรู้ได้ว่าสัมผัสเปียกชื้นนั้นเปรอะเปื้อนอยู่เต็มหน้าของตัวเขาเอง...
   
“...” ลมหายใจทิ้งแผ่ว ยังหวาดผวากับฝันร้ายไม่หาย นานแล้วที่ไม่ค่อยได้ฝันถึงเรื่องนั้น เพราะนึกกี่ทีสมองก็คล้ายกับว่าจะสั่งให้ต้องเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นอยู่บ่อยๆ ยิ่งนึกรังแต่จะต้องเจ็บปวด ความน่ากลัวของสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ได้ชัดแจ้งอย่างครั้งนั้น แต่ก็สมจริงทุกครั้งเท่าที่ร่างกายนี้จะจินตนาการมันออกมาได้
   
“ฝันร้ายเหรอ?” เงาคนมัวๆ ขยับไหว เตียงหนาที่นอนอยู่ยุบยวบลงไปเมื่อคนอีกคนพลิกกายเบียดเข้าหา นิ้วเรียวเกลี่ยหยดน้ำที่ข้างแก้มให้ เบาบางอ่อนโยนจนนึกกลัวว่าสักวันสิ่งเหล่านี้จะหายไป
   
“กอดพี่ที” พึมพำเสียงแหบ สมองยังคงมึนเบลอ หัวใจยังเต้นระรัวและเหมือนจะไม่ยอมสงบง่ายๆ ความหวาดกลัวทำเอาตัวสั่น อารมณ์เข้าขั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด... พอเริ่มจะควบคุมไม่ได้ เสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นก็หลุดออกมา... ท้อแท้อย่างไร้สาเหตุ ท้อแท้กับตัวเอง รู้สึกแย่จนทนแทบไม่ไหว
   
“พี่วัน” ซานเรียกชื่อเขา ลูบเข้าที่หลังเบาๆ คล้ายกับพยายามเรียกสติ
   
วันสุขชะงักไป... พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก เพ่งสมาธิไปกับเสียงปลอบนุ่มเบาข้างหู และหัวใจระรัวนี่ก็ค่อยๆ สงบลงอย่างรวดเร็ว...
   
“ถ้าเมื่อก่อน...คงเกือบอาทิตย์กว่าพี่จะกลับไปเป็นปกติ...” นึกถึงตอนสมัยเรียนที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคอะไร พอผ่านช่วงซึมเศร้าอย่างรุนแรงมาได้เพราะการจากไปของใครบางคน... จู่ๆ นายวันสุขที่ไม่คิดอยากจะเข้าสังคมกับคนหมู่มากก็กระโดดเข้าไประเริงท่ามกลางแสงสีเสียได้
   
ตอนนั้นคุณอาก็คอยปรามเขาเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายอะไร ท่านเองก็คงรู้สึกผิดด้วยส่วนหนึ่งจากเหตุการณ์พวกนั้น... แต่เขาเองเสียสิ...จากที่ไม่เคยก้าวร้าวก็เริ่มทำลายข้าวของอย่างไม่มีเหตุผล ทะเลาะกับคนรอบตัว...รุนแรงจนหนักขึ้นเรื่อยๆ พอมาถึงจุดจุดหนึ่งถึงได้ฉุกคิด...แล้วสติมันก็เริ่มจะกลับมา...
   
“พี่กลัวแทบตายตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายไปเป็นแบบพ่อ” ความกลัวตอนนั้นเขายังจำมันได้ดี กลัวไปหมดทุกอย่าง จากคนบ้าๆ ที่ชอบเข้าไปคลุกคลีกับคนอื่น ก็เกิดอาการไม่อยากคบหน้าใครทั้งนั้นเข้ามาแทนที่ ถ้าตอนนั้นไม่ได้เวย์ที่จับสังเกตเขาได้...ป่านนี้ก็สภาพของเขาคงย่ำแย่น่าดูชม
   
“ดีที่เวย์ช่วยไว้” วันสุขพึมพำขึ้นมา
   
“พี่เวย์ชอบบอกว่าพี่เอาแต่ใจ รับมือยาก” ซานว่าเบาๆ พลางหัวเราะในลำคอ
   
“แล้วเขาพูดว่าอะไรอีกบ้าง?” วันสุขอดถามไม่ได้...
   
หลังจากคืนนั้นที่เจ้าเด็กนี่ยอมสารภาพ คนที่รับเจ้าตัวไปเลี้ยงนั้นคือเพื่อนสนิทของเขาเอง แต่เวย์ไม่เคยเล่าเรื่องของซานให้ฟังเลยสักครั้ง หรือว่าอาจจะเล่า? แต่สภาพของเขาในตอนนั้น ถึงจะพูดอะไรไปก็คงไม่หือไม่อือสักอย่าง
   
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เขาไปบ้านเวย์บ่อยครั้ง ทว่าไม่เคยเจอซานเลยสักครั้ง ซานก็บอกว่าช่วงที่เขามามักจะชนกับช่วงที่เจ้าตัวต้องออกไปเรียนพิเศษ คลาดกันแทบจะตลอด ถึงจะเจอกันทีไรก็มีแต่เขานั่นแหละที่นอนหลับเป็นตายบนโซฟาบ้านคนอื่น แถมแทบจะไม่ตอบสนองกับสิ่งรอบตัว
   
“ก็เล่าว่าพี่เป็นพวกหน้าอย่างใจอย่าง นิสัยเหมือนเด็ก ชอบทำอาหาร บ้าต้นไม้ คิดเองเออเอง ชอบอมพะนำ” ซานยกนิ้วขึ้นนับ ไล่เรียงไปทีละนิ้ว “...แล้วก็อีกเยอะ” สุดท้ายก็กลับมานอนกอดเขาแน่นเช่นเดิม ทำทีเหมือนอยากจะให้เขาเซ้าซี้ขอให้เล่าต่ออย่างไรชอบกล
   
“แล้วเวย์บอกเรื่องที่พี่...ป่วยหรือเปล่า?” ไม่อยากจะใช้คำนี้นัก ลึกๆ เขาก็ไม่อยากจะยอมรับตัวเองนักหรอก แต่การยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นก็ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนพื้นฐานที่เขาต้องรับให้ได้ ถ้ายังอยากจะรักษาให้อาการบ้าๆ พวกนี้มันทุเลาลงจนกลับไปเป็นปกติ
   
“อา... ถ้าจำไม่ผิดก็เพิ่งมารู้ตอนผมเข้ามหาวิทยาลัย... จำวันรับน้องวันนั้นได้ไหม สายตาเราสบกันด้วยล่ะ” ซานเล่าเสียงใส ทำท่าทีตื่นเต้น
   
“พอจำได้อยู่” วันสุขขมวดคิ้วนึก อาการเกร็งๆ จากฝันร้ายดูจะผ่อนคลายขึ้น เพราะถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งเรื่องเทือกนี้ก็ดูเหมือนซานจะเชี่ยวชาญดี
   
“ผมเห็นพี่ผมก็ยังไม่แน่ใจหรอก พี่ไม่ได้เข้ามาบ้านพี่เวย์ตั้งหลายปี เปลี่ยนไปตั้งเยอะ”
   
“เปลี่ยนยังไง?” วันสุขถามอย่างสงสัย
   
“ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น? แล้วก็ยิ้มได้เสแสร้งการค้าสุดๆ โอ๊ย!” ซานร้องลั่น เมื่อถูกเขากัดเข้าให้ที่ข้อแขน กล้าดีมากล่าวหากันแบบนี้ ลงโทษกันสักทีก็คงไม่เป็นไร
   
“เล่าต่อสิ” วันสุขสั่ง ไม่ได้สนเสียงโอดครวญของอีกฝ่ายสักนิด
   
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แค่อยากไปทักทายอย่างคนรู้จัก แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ดันมีแต่ผมที่รู้จักพี่ มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้” เรื่องเล่าจากมุมมองคนเอาแต่ใจ ก็ใส่ความเอาแต่ใจเข้าไปเต็มเปี่ยม “จำวันที่ฝนตกวันนั้นได้หรือเปล่า?”
   
“อา...จำได้” วันที่เขาโดนขโมยจูบตอนหลับนั่นไง จำไม่ได้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะให้พูดยังไง ตั้งแต่ช่วยงานอาจารย์มายังไม่มีใครอาจหาญขนาดนั้นเลยนะ...มีก็แต่เจ้าเด็กบ้านี่แหละ
   
“พี่ละเมอตลอดทาง ปล่อยลงเตียงก็ยังร้องไห้ ตาเหม่อๆ อย่างกับคนไม่ได้สติ เพ้อแปลกๆ ” ซานเล่าด้วยน้ำเสียงขบขัน มุมปากสวยยกยิ้มนิดๆ ตลอดเวลา ทำเอาเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์นั่นดูน่ามองเข้าไปอีก
   
“เพ้อยังไง?” เขาจำได้แค่ว่าตอนนั้นตัวเองหมดสติ นอกจากนั้นก็จำไม่ได้แล้วว่าทำอะไรไปบ้าง พอฉุกคิดขึ้นมาได้ก็อดกลัวอยู่หน่อยๆ เวลาเขาไม่สบายหนักๆ ก็มักจะเพ้อทุกที นี่คงไม่ได้ไปทำอะไรแปลกๆ หรอกนะ?
   
“พี่บอกว่า ‘รักผมที ใครก็ได้...มารักผมที’ ร้องไห้น้ำตาคลอแล้วยังทำท่าทางแบบนั้น ใครทนได้ก็คงต้องไปบวชแล้วล่ะ” แวบหนึ่ง ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นฉาบประกายพราวระยับ เจ้าเล่ห์อย่างกับแมวหง่าวกำลังหลอกล่อเจ้าของให้เปิดประตูบ้านอย่างนั้นล่ะ
   
“นี่เราเป็นเกย์เหรอ?” วันสุขเผลอถามออกไปก่อนจะได้คิด แล้วก็ต้องชะงัก...ว่าไปนั่นก็เหมือนจะเข้าตัวเองชอบกล แต่สำหรับเขา ใครก็ได้ทั้งนั้นแหละ
   
“ฟีโรโมนมันไม่เลือกเพศหรอกนะ ผมว่าพี่น่ะรู้ตัวดียิ่งกว่าผมอีก” ซานเหน็บแนม “ทิ้งสายตา ทอดหางเสียง เอียงคอ หัวเราะเบาๆ ถึงนั่นจะเป็นนิสัยพี่ก็เถอะ...” ว่าเสียงจิ๊จ๊ะแล้วก็กดจมูกโด่งๆ นั่นลงกับแก้มเขา หัวเราะในลำคอเบาๆ ทิ้งท้าย...จากแก้มมันก็เริ่มลามมาที่คอ
   
“ตีห้าแล้ว พี่ต้องลงไปรดน้ำต้นไม้” วันสุขพูดออกมานิ่งๆ ไม่ได้สนใจท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ใช้ศอกดันคางแมวตัวใหญ่ออกไปเบาๆ พลางชันกายลุกขึ้นจากเตียง
   
“ต้นไม้สำคัญกว่าผมเหรอ?” คนเด็กกว่าร้องทวงสิทธิ์ของตัวเอง ก่อนจะเงียบลง...
   
วันสุขไม่ได้สนใจท่าทีนั้นนัก หัวสมองก็คิดแต่เรื่องเมนูกับขนมวันนี้ว่าจะทำอะไร กายเองก็ก้มลงถอดกางเกงนอนพรืดลงกับพื้น เหลือทิ้งไว้แต่เชิ้ตสีเข้มตัวโคร่งของคุณอาซึ่งลู่ไปกับช่วงสะโพก ขาขาวก้าวเดินฉับๆ มือไล่แกะกระดุมเสื้อทีละเม็ดไปจนถึงประตูห้องน้ำ
   
“ไปเอาเนื้อไก่ในตู้เย็นออกมาละลายน้ำแข็งให้ด้วย” ช่วงที่กำลังจะถอดเสื้อโยนลงตะกร้า ไม่วายหันมาชี้มือสั่งคนที่นอนตาวาวอยู่บนเตียงด้วยเสียงเรียบๆ เหมือนสิ่งที่ทำอยู่นี่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
   
“พี่นี่มัน...”


   


หมดช่วงสอบไฟนอลไปได้เกือบอาทิตย์แล้ว คะแนนก็เคลียร์ส่งได้แบบเฉียดฉิวเช่นทุกปี พอเสร็จงานคุณอาก็ไปต่างประเทศต่อทันที กว่าจะกลับก็เกือบเปิดเทอม วันสุขที่หมดภาระหน้าที่ก็บอกลามหาวิทยาลัยสักพัก กลับมานอนอยู่บ้าน ปรับสภาพจิตใจตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนดังเก่า
   
“ไม่เอาพายไก่” เสียงบ่นหงุงหงิงดังมาจากห้องนั่งเล่น เมื่อวันสุขเริ่มอบพายไก่ไปได้เกือบห้านาที
   
รายนี้ก็อีกคน พอคุณอาไป เขาก็นึกว่าจะได้ใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่กับตัวเอง ที่ไหนได้ วันต่อมาเจ้าตัวก็หอบกระเป๋าใบโตพร้อมข้าวของเครื่องใช้มากองไว้ที่บ้านเขา ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมกลับท่าเดียว แถมนับวันยิ่งทำเหมือนบ้านนี้เป็นบ้านตัวเองเข้าไปอีก
   
“เดี๋ยวพี่ทำซุปข้าวโพดด้วย” วันสุขว่าพลางคีบฝักข้าวโพดต้มขึ้นมาจากหม้อ กลิ่นหวานหอมทำเอาอยากฝานออกมากินเสียตอนนี้ ซุปครีมเองก็ใกล้เดือด กลิ่นละมุนๆ ลอยฟุ้งไปทั่วครัว
   
“ไม่เอาซุปข้าวโพด” ระดับเสียงดังยิ่งกว่าตอนโวยเรื่องพายไก่เสียอีก
   
วันสุขขมวดคิ้ว ใช้มีดฝานเมล็ดข้าวโพดลงมา สับอีกครั้งพอหยาบ ก่อนจะเทลงไปในซุปครีม หรี่ไฟเบาๆ แล้วเดินเข้าไปหาเจ้าตัวปัญหาที่นอนยึดโซฟาเป็นที่ประจำ
   
“ไม่เอาพายไก่ ไม่เอาซุป แล้วจะกินอะไร?” ถ้ายังเรื่องมากอีกเขาจะทอดไข่ดาวเปล่าๆ ให้กินแทน
   
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใส่เนย” ซานทำหน้านึก “ซุปใสมันฝรั่งใส่ไก่ก็ได้ อาหารไทยๆ ก็ได้...” ว่าพลางแกว่งมือไปมา แล้วก็ชะงักไปเหมือนมีบางสิ่งไปดึงความสนใจบางอย่างของเจ้าตัว
   
“ก็ของในตู้เย็นมันมีเท่านี้นี่นา” พอคุณอาไม่อยู่ เขาก็ตระเวนออกไปซื้อของสำหรับทำเบเกอรี่ไว้เต็มตู้ ตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้เลยว่า สิ้นเดือนนี้ถ้ายังไม่สำเร็จวิชาเบเกอรี่ก็อย่ามาเรียกว่านายวันสุขเลย!
   
“เท่านี้ของพี่วัน คือมีของเอามาทำอาหารได้เท่านี้ใช่ไหม?” ซานเบะปากใส่ มือขาวยกขึ้นตีพุงตัวเองปุๆ และท่าทางนั้นก็เรียกรอยยิ้มของเขาได้ดี
   
“ถ้ากลัวอ้วนก็กลับบ้านไป พี่จะทำของพี่แบบนี้ อย่ามาห้ามเสียให้ยาก” ครัวบ้านนี้เป็นอาณาเขตของนายวันสุข เพราะฉะนั้นอำนาจการตัดสินใจของเขาถือเป็นสิทธิ์ขาด!
   
“วิญญาณแม่บ้านเข้าสิงอีกแล้ว” ซานบ่น “ขุนผมดีขนาดนี้ พออ้วนท้วนสมบูรณ์...คงไม่เอาไปกินใช่ไหม?” แล้วก็ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ใส่
   
วันสุขขมวดคิ้ว อยากจะพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่ก็เลือกที่จะเดินกลับไปเคี่ยวซุปในครัวต่อ ยืนทำนู่นทำนี่ไปสักพัก หูก็ได้ยินเสียงร้องเพลงเบาๆ ...แล้วเสียงเปียโนคุ้นเคยจากเครื่องเล่นเพลงที่อุตส่าห์เอาไปซ่อนไว้ในเก๊ะใต้โซฟาก็ดังขึ้น
   
แล้วก็ได้ทิ้งทุกอย่างพลางวิ่งตึงตังมาที่ห้องนั่งเล่นอีกรอบ...
   
“ซาน!” ตะโกนลั่นเรียกชื่อคนที่นั่งทำหน้าแปลกใจอยู่บนโซฟา วันสุขพุ่งตัวเข้าไปหา พยายามจะแย่งเครื่องเล่นเพลงกลับคืน แต่อีกฝ่ายก็ดันหลบทันอย่างว่องไว
   
“ไปเอาเพลงนี้มาจากไหนครับเนี่ย” เสียงนุ่มกลั้วหัวเราะถาม โยกตัวหลบเขาไปมาเหมือนแมวเปรียวอย่างไรอย่างนั้น
   
“เอาคืนมานะ” วันสุขไม่ตอบ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ตัวเขาเองถึงได้รู้สึกหวงเจ้าเพลงนี่นัก ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวจริงๆ ก็ไม่คิดจะเปิดให้ใครฟังหรอกนะ
   
มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะเก็บเอาไว้คนเดียว...
   
“สำคัญเหรอ? ทำไมถึงหวงขนาดนั้น?” คำถามยียวนถูกส่งมาทำเอาคิ้วกระตุก
   
“สำคัญสิ เอาคืนมานะ” เขาว่าเสียงเข้ม ยืนนิ่งๆ รอสบจังหวะอีกฝ่ายเผลอ
   
“มากกว่าแหวนนั่นหรือเปล่า?” ซานยังคงถามต่อไป และเพราะความกระวนกระวาย ทำเอาเขาลืมสังเกตอะไรบางอย่างไปเสียสนิท
   
“แหวนนี่น่ะของต่างหน้า แต่เพลงนั่นน่ะเครื่องช่วยหายใจพี่ เอาคืนมะ...!” ยังไม่ทันที่จะจบประโยค ตัวก็ถูกอีกฝ่ายรวบกอดเสียแน่น เสียงหัวเราะสดใสดังแผ่ว ท่าทางเหมือนคนที่กำลังดีใจสุดขีด
   
“พี่นี่มัน... จริงๆ เลยสิ” งึมงำเสียงขันอยู่ข้างหู จมูกโด่งนั่นเองก็กดลงกับแก้มเขาหลายฟอดใหญ่ๆ วันสุขยืนขมวดคิ้ว สมองเพิ่งจะได้ลองประมวลผล พอเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อกัน ฉับพลันแก้มมันก็รู้สึกร้อนๆ ขึ้นมา...
   
“อย่าบอกนะว่า...”
   
“ฮื่อ...ถึงจะหลายปีแล้วก็เถอะ แต่ผมก็จำได้หมดแหละว่าเพลงไหนที่ตัวเองเคยแกะมาเล่นบ้าง” ซานว่าพลางกอดเขาแน่น ซุกหน้าลงที่ซอกคอ แล้วโยกตัวไปมาอย่างเด็กๆ
   
วันสุขขมวดคิ้ว อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก แถมยังยอมรับออกไปอีกว่าเพลงนี่มันสำคัญกับเขาแค่ไหน... เวลาที่ปวดหัว รู้สึกสับสน รู้สึกเหมือนโดนทิ้งอยู่คนเดียว ทุกครั้ง...ก็มักจะกลับมานั่งเปิดเพลงเพลงนี้ฟังอยู่เสมอ
   
และเพราะว่ามันสำคัญมาก เขาถึงได้เก็บมันเอาไว้ฟังคนเดียว มีบ้างบางครั้งที่คุณอาเผลอมาได้ยิน แต่ท่านก็เลือกที่จะเดินหลบออกไปเงียบๆ ปล่อยให้เขาใช้เวลาอยู่ในโลกของตัวเองไป และทั้งที่เคยบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าอยากจะเจอคนที่เล่นเจ้าเพลงนี่สักครั้ง อยากเข้าไปขอบคุณสักหลายๆ หน แต่พอได้มารู้จริงๆ ... กลับพูดไม่ออก
   
“ดีใจจังครับ” ซานพูดเสียงเบา กอดเขาแน่นกว่าเดิม
   
วันสุขยังคงนิ่ง เพราะทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็เลือกที่จะยกมือขึ้นกอดตอบอีกฝ่ายแทน บรรยากาศแปลกๆ ชวนให้รู้สึกประดักประเดิดชอบกล ริมฝีปากสีสวยเผยอออก ทำท่าว่าจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็เลือกที่จะเงียบเหมือนเดิม
   
“ตอนพี่อายนี่ก็น่ารักดีนะ” ไม่วายแหย่เขาเล่นอีกประโยค
   
วันสุขขมวดคิ้ว ความรู้สึกในตอนนี้...น่าอายอย่างบอกไม่ถูก นี่ขนาดยังไม่ได้บอกอีกฝ่ายนะ...ว่าเขาเอาเพลงไปใช้ทำอะไรบ้าง มีแต่เรื่องน่าอายทั้งนั้น แค่ท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อครู่ ก็ทำเอาเขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
   
“ที่บอกว่าเป็นเครื่องช่วยหายใจเนี่ย...พี่เอามันไปเปิดฟังตอนไหนบ้างเหรอครับ?”
   
แมวจมูกดี! วันสุขเม้มปากขมวดคิ้ว สมองคิดวกวนว่าจะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์นี้อย่างไร
   
“ก็เปิดปกติ อย่าสำคัญตัวให้มากนักเลย” ว่าเสียงเรียบ ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ
   
“เหรอ?” ซานขานรับสั้นๆ คล้ายจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะตอบแบบนั้น ซึ่งพอเขาเงียบไปอีก เด็กนี่ก็หัวเราะได้ใจ “ใช่สิ...สำคัญตัวผิดไปเองแหละ ไม่อย่างนั้นพี่วันไม่มาเดือดร้อนกับอีแค่ผมเปิดเพลงนี่หรอก...พี่นี่ขี้หวงเอาเรื่องนะ”
   
“อา...ซุปจะไหม้แล้ว” วันสุขเปรยขึ้นมาเหมือนคนนึกได้ กลิ่นเข้มๆ ลอยเข้ามาแตะจมูก และตอนนั้นเองที่เผลอเอามือผลักอกอีกฝ่ายจนหลุดออกมา ปลายเท้าก้าวขวับ เตรียมหมุนตัววิ่งกลับไปที่ครัว...
   
กิ๊งก่อง...
   
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นทำเอาเท้าชะงัก
   
“พี่ไปที่ครัวก่อน เดี๋ยวผมออกไปดูให้เอง” ซานอาสา ท่าทางดูหงุดหงิดที่ถูกเขาผลักไปเมื่อครู่
   
วันสุขยืนนิ่ง ยังไม่ทันที่จะได้โต้ตอบ อีกฝ่ายก็เดินฉับๆ ไปที่หน้าบ้านแล้ว ดวงตาสีอ่อนมองตามแผ่นหลังนั่นไป ชั่งใจอยู่เล็กน้อย รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ สุดท้ายก็เลือกที่จะตามออกไปด้วยคน...
   
สาวเท้าเข้าใกล้ประตู เสียงพูดคุยของคนนอกรั้วดังลอดเข้ามายามเขาแง้มเปิดมัน และเมื่อเสียงบทสนทนาดูรุนแรงขึ้น สุดท้ายวันสุขก็ตัดสินใจเปิดออกไปดูแทบจะในทันที
   
“ซาน ใครมาหะ...”
   
“กลับเข้าไป!!” เด็กคนนั้นหันกลับมาตะคอกใส่เขาเสียงดัง วันสุขชะงักกึก เท้าก้าวถอยตามสัญชาตญาณ... แต่คล้ายจะช้าไป...
   
ปัง!

   
ภาพสีแดงสดในวันนั้น...ถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง...



To be continued...
 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 12 - นิทาน ความจริง (29/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 29-08-2014 15:11:25
สนุกมากกกกกกกกกกกกกก มันหวาน ๆ ขม ๆ บอกไม่ถูก

อยากให้วันสุขมีความสุขเร็ว ๆ จัง
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 12 - นิทาน ความจริง (29/08/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 05-09-2014 22:39:23
ขอบคุณนักเขียนนะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 13 - เงียบงัน กรีดร้อง (12/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 12-09-2014 10:45:48
บทที่ 13 - เงียบงัน กรีดร้อง


   
เหมือนเสียงแตกของแก้วซึ่งก้องอยู่ในหัว...
   

ปัง!
   

เสียงของปืนดังลั่นขึ้นมาอีกนัด ร่างของคนคุ้นเคยซึ่งหันมามองเขาอย่างตระหนกสะบัดไปตามแรงกระสุน เลือดสีสดสาดกระจาย เมื่อปลายแหลมของโลหะเรียวเจาะเข้าที่ฐานคอและสะบักไหล่...
   

“ซาน!”
   

วันสุขตะโกน... ดังที่สุดเท่าที่เส้นเสียงนี่จะอำนวย ขาที่ก้าวถอยเปลี่ยนทิศพุ่งเข้าหา อ้าแขนรับร่างที่ล้มฟุบเข้ามาทั้งที่ยืนอยู่ หัวใจเหมือนจะถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ กายเย็นยะเยือก ความหวาดกลัวพุ่งพล่านเข้ามาเกาะกุมสติ ไออุ่นของเลือดอาบย้อมมือทั้งสองข้าง... อุ่น...ไม่ต่างจากเหตุการณ์ในวันนั้น
   

ภาพของพ่อฉายวาบเข้ามาซ้อนทับกับคนตรงหน้า เสียงของหัวใจเต้นตุบในวันนั้นดังก้องอยู่ในหัว เสียงที่ค่อยๆ แผ่วลง แผ่วลงไป...
   

“!” พลันร่างกายกลับทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นหญ้า เรี่ยวแรงเหมือนถูกสูบหายไปเสียดื้อๆ เสียงครางเจ็บปวดดังแว่วเข้ามาเรียกสติ วันสุขเบิกตากว้าง มือไม้สั่นๆ แตะไปที่แก้มสีซีดนั่น อีกมือก็ประคองคนเจ็บไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก
   

ปัง! เพล้ง!
   

เสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้งทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก กระจกซึ่งอยู่ด้านหลังแตกกระจายลงมา สายตาถูกดึงไปยังที่มาของวิถีกระสุน และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะมาระลึกได้ว่า นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งตระหนกอยู่ตรงนี้
   

“ลูกหว้า...” เสียงกระซิบเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากที่ค่อยๆ เม้มแน่นเข้าหากัน ดวงตาสีจางจ้องไปยังร่างระหงนั่นซึ่งกำลังสั่นสะท้าน คล้ายคนที่กำลังหวาดกลัว
   

ปืนสีเงินในมือบางสั่นระริกยามที่ปากกระบอกเล็งมายังเขา ดวงตากลมโตคู่นั้นดูหมองมัวเศร้าสร้อย รื่นด้วยน้ำใส เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ชวนให้หนักอึ้งอย่างแปลกประหลาด
   

“คิดจะทำอะไร” วันสุขถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี อย่างน้อยก็อยากจะถ่วงเวลาเอาไว้ หัวใจที่เหมือนจะหยุดเต้นไปแล้ว เปลี่ยนจังหวะรัวเร็ว... มือประคองโอบกอดร่างของคนที่กำลังหายใจหอบ ท่าทางทรมานจนน่ากลัว เลือดปริมาณมหาศาลเทโชก...
   

“คิดจะทำบ้าอะไรกันแน่...ลูกหว้า...” เขากัดฟันกรอด ทั้งโกรธ ทั้งปวดใจไม่แพ้กัน เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี่ มันไม่ต่างจากวันนั้นสักนิด เพียงแค่บริบทของแต่ละคนได้เปลี่ยนไปแล้วเท่านั้น
   

“พวกเราน่ะ...สุดท้ายแล้ว...ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนี่นา...” เสียงหวานสั่นเครือ ใบหน้าสวยสดนั่นบิดเบ้อย่างคนกลืนก้อนขม กระโปรงราตรีสีเข้มบนร่างกายนั่นขยับไหว ยามที่เธอก้าวเข้ามาใกล้พวกเขา “ทั้งพี่ดิน ทั้งลูกหว้าเอง แล้วก็ทั้งวันด้วย...”
   

“...” วันสุขเลือกที่จะเงียบ ไม่มีเหตุผลที่จะยกข้อโต้เถียง เมื่อสิ่งที่คนเคยสนิทตรงหน้าพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด ต่อให้ทำเป็นมองไม่เห็นอย่างไร สุดท้ายแล้วก็กลับไปยังจุดจุดเดิมไม่ได้อยู่ดี...
   

“ความเงียบแบบนั้นน่ะ... ลูกหว้าเกลียดที่สุด รู้หรือเปล่า?” เสียงเครือแตกพร่า น้ำสีใสไหลลงมาตามแก้มขาว ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น...คล้ายคนที่ใกล้ระเบิดอารมณ์เต็มที
   

วันสุขหรุบตาลงต่ำ หัวใจเจ็บแปลบ ชั่วขณะหนึ่ง...เสียงหัวเราะเบาๆ ของคนในอดีตก็ดังแผ่วขึ้นมาในหัว คล้ายกับกำลังเยาะเย้ยกับบาปของเขา
   

 “วันน่ะเงียบทุกครั้ง ไม่เคยพูดอะไรเลย ไม่เคยสนใจ ไม่เคยใส่ใจ ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร วันก็เอาแต่เงียบ ไหนบอกว่าสำคัญยังไงล่ะ! ถ้าสำคัญ..ทำไมถึงปล่อยให้พี่ดินฆ่าตัวตายล่ะ!! ทั้งที่รู้ว่าเขาจะทำ...ทั้งที่รู้ว่าลูกหว้าโกหก... ทำไมถึงไม่ทำอะไรเลย... ทำไมถึงใจร้ายขนาดนี้...ทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้...”
   

เรื่องในอดีตถูกขุดคุ้ยขึ้นมากะทันหัน... วันสุขกัดฟันแน่น เขาไม่อยากจะรับฟังอะไรทั้งนั้น เรื่องที่มันผ่านมาแล้ว ต่อให้กลับมานั่งถกอย่างไร คนที่ตายไปก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมา คำพูดที่เคยพูดก็ไม่อาจเรียกกลับมาได้ แก้ไขอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่ปล่อยให้มันจมจ่อมอยู่อย่างนั้น ให้มันตายไปพร้อมกับการมีอยู่ของเขา
   

“แล้วคิดว่าวันจะทำอะไรได้...” พึมพำขึ้นมาเสียงแผ่ว ขอบตามันร้อนขึ้นมาอย่างยากจะห้ามอยู่ “คนขี้ขลาดอย่างวัน...ลูกหว้าคิดว่าจะทำอะไรได้บ้างล่ะ...”
   

ความกลัวในวันนั้นเขายังรับรู้มันได้ดี ช่วงเวลาที่สูญเสียพ่อไป... ทั้งพี่ดินทั้งคุณอาก็เข้ามาเป็นที่พึ่งให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบ เขาต้องเปลี่ยนที่เรียน ออกมาจากสังคม หวาดกลัวที่จะต้องรู้จักกับใครๆ แล้วคนใจดีอย่างลูกหว้าก็เข้ามา
   

ใครจะอยากเสียคนสำคัญไปกันอีกล่ะ... แค่การตายของพ่อคราวนั้นก็ทำร้ายเขามากพอแล้ว ร่างอุ่นๆ ที่ค่อยๆ เย็นชืดนั่น แขนที่กอดเขาเอาไว้ตลอดหลายชั่วโมง เสี้ยวหน้าที่กำลังหลับอย่างสงบ เลือดที่คลุ้งจนชินกลิ่น...
   

“ลูกหว้าเองก็รู้ พี่ดินเองก็รู้ ว่าสุดท้ายแล้ว...วันก็ไม่มีทางเลือกใครได้สักคน...” วันสุขพึมพำ การที่จะต้องเสียใครสักคนไป...ต่อให้คนคนนั้นไม่ได้ผูกพันอะไรกันมากมาย แต่มันน่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจนเขาไม่กล้าที่จะเลือกเสี่ยง
   

‘ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก?’ เขาจำได้ดี... ลูกหว้าถามคำถามนี้กับเขาตลอดเวลา พี่ดินเองก็เหมือนกัน คนสำคัญเหล่านั้นบอกว่าเขาต้องเลือกสักคน ทำไมถึงต้องบีบให้เขาเลือกด้วยนะ? ทำไมความสัมพันธ์ซึ่งแรกเริ่มมันก็ไม่ได้มีอะไร ทำไมถึงได้ซับซ้อนวุ่นวายขึ้นมาเรื่อยๆ
   

อยากถามออกไป...หลายครั้ง ‘ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก’ ‘ทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวนัก’ พวกเขา...ไม่ว่าใคร ก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น รู้อยู่แก่ใจเองดี แต่เสี้ยวหนึ่งลึกๆ กลับไม่เคยยอมรับความรู้สึกนั้นจริงๆ สักครั้ง
   

...เพราะแบบนั้นถึงได้เกลียด...
   

เกลียดเหลือเกินที่ยังฝืนพากันมาจนถึงปากเหว เกลียดที่ต้องมาอยู่ตรงกลาง เกลียดความอ่อนแอ เกลียดความขลาดกลัว เกลียดหัวใจที่โลเล เกลียดโชคชะตา เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่พาให้พวกเขาต้องมาเจอกัน
   

“แต่ถ้าตอนนั้น...ได้พูดรั้งเขาเอาไว้สักนิดก็คงจะดี...สินะ?”
   

น้ำตา... หยุดเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว...
   

วันสุขกัดริมฝีปาก พยายามสูดหายใจ แต่ว่ายากเต็มที สองแขนโอบกอดซานแน่น ซุกหน้าลงกับบ่าชุ่มเหงื่อ ภาวนาให้เสียงหอบหายใจนี่ยังไม่เงียบลง
   

“ซบลงมาแบบนี้...มันสะเทือนแผล...นะครับ”   
   

เสียงแผ่วปนหอบหนักกระซิบอยู่ข้างหู หลังคอถูกแตะเบาๆ ด้วยปลายนิ้วอุ่น วันสุขชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองคนเจ็บอย่างช้าๆ ชั่วขณะเหมือนความหวาดกลัวในใจถูกพัดพาหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
   

“แก...” ลูกหว้ากัดฟันกรอด มือบางยกขึ้นสไลด์ลำปืนดังกริ๊ก ปากกระบอกหันทิศเปลี่ยนจากชูขู่เขาไปยังคนที่นอนหอบหายใจหนัก ดวงตากลมโตซึ่งรื่นไปด้วยหยดน้ำ พลันอัดแน่นด้วยความชิงชังจนน่ากลัว
   

วันสุขเบิกตากว้าง รีบวางซานลงกับพื้นหญ้า แล้วเบี่ยงตัวเองขึ้นมาเป็นโล่บังให้เด็กนั่นแทน เขาพอจะรู้แล้วว่าจุดหมายในการมาของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มีแค่เขา... เพราะถึงปากกระบอกปืนนั่นจะสั่นกึกกักยามที่เล็งมายังกายนี่ ทว่าเมื่อมันเบนไปหาอีกคน...
   

“เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย” วันสุขพยายามพูดเตือนสติ
   

“แต่วันเลือกเขา...” ลูกหว้าพูดเสียงเบา “เพราะเขาสำคัญกว่าใช่หรือเปล่า? ทั้งที่ลูกหว้าเองก็ยังอยู่ แต่วันก็ไม่เคยเรียกหาเลยสักครั้ง”
   

“เพราะเหตุผลแค่นั้น...เลยคิดจะฆ่าเขาหรือไง?” ถามอย่างนึกโกรธ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนจะต้องเงียบเสียงลงเมื่อก้อนแข็งๆ มันมาจุกอยู่ที่คอ
   

“ความรู้สึกของคนที่ไม่ได้ถูกรักน่ะ... วันน่าจะเข้าใจดีไม่ใช่เหรอ!?” เธอคนนั้นตะโกนขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว “เด็กนี่น่ะ...หายไปซะได้ก็ดี! หายไปเหมือนกับพี่ดินซะได้ก็ดี!!”
   

“ลูกหว้า!!” วันสุขตะโกนลั่น เขาไม่อยากจะฟังคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผู้หญิงตรงหน้าอีกแล้ว...ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม...
   

นับตั้งแต่วันที่พี่ดินตาย ไม่มีสักวันที่ลูกหว้าจะไม่โทษเขา ถ้อยคำร้ายๆ เหมือนมือที่ช่วยผลักให้ตัวตนนี่ดำดิ่งจมลึกลงไปในโคลนสีเลือดยิ่งกว่าเก่า และทั้งที่จะเอาแต่โทษเขาแบบนั้น ในดวงตาคู่สวยนั่นกลับไม่เคยมีแม้แต่ความเศร้าฉาบอยู่เลยสักนิด
   

“ชีวิตพวกพี่เนี่ย...เหมือนละคร...เลยเนอะ...” ซานพูดตัดบรรยากาศขึ้นมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “นางเอกที่คบกับพระรอง...เพราะอยากให้พระเอกสนใจ...แต่พระเอกก็ดันมาพูดอวยพรเสียอีก...” พร้อมมืออุ่นๆ ที่วางทาบลงมาบนแผ่นหลังของเขาแผ่วเบา
   

“ใจร้ายจริงๆ เนอะ...ว่าไหม?”
   

“ซาน...” วันสุขเผลอครางชื่ออีกฝ่ายขึ้นมา เด็กนี่ฉลาดจนน่ากลัว เดี๋ยวเดียวก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้เสียแล้ว...
   

“แก...” หญิงสาวกัดฟันกรอด ท่าทีเปลี่ยนกลับไปเป็นดังเก่า
   

“โกรธเหรอ... คิดว่าทำร้ายผม...แล้วจะยอมถอยให้เหรอ...” ซานหอบหายใจหนัก ว่าเสียงขบขัน ยั่วอารมณ์อีกฝ่ายอย่างคนที่ไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ “พอขู่แล้วไม่ได้ผล...รอบนี้...ก็เลยจะฆ่ากันเหรอ?”
   

“หมายความว่ายังไง...” วันสุขอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ ‘รอบนี้’ อย่างนั้นเหรอ? แสดงว่าก่อนหน้านี้... ไม่สิ...หรือว่าแผลประหลาดกับท่าทีแปลกๆ ของเด็กนี่เมื่อวันนั้น...
   

“ก็หมายความว่าอย่างนั้น...” ซานพูดเสียงแผ่ว แล้วก็ค่อยๆ ชันกายลุกขึ้นนั่ง วันสุขผวาเฮือก เมื่ออีกฝ่ายยิ่งขยับ เลือดก็ยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น
   

“ยังขยับไหวอีกงั้นเหรอ” ลูกหว้าพูดเสียงเครียด ตั้งท่าว่าจะยิงซ้ำอีกครั้ง
   

“กระสุนแค่ลูกสองลูก... คิดว่าจะหยุดกันได้รึไง!!”
   

สิ้นเสียงตะโกน บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งวูบผ่านเขาไป หญิงสาวกรีดร้องลั่น เสียงปืนดังสนั่นขึ้นนัดหนึ่ง หลังของเขาถูกมือของคนเจ็บกดอย่างแรงจนต้องฟุบหมอบกับพื้น ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นเงาของคนที่ไม่น่าจะมีแม้แต่แรงลุกฉายชัดเข้ามา
   

“ซาน!”
   

วันสุขตะโกน ความกลัวพุ่งวูบเข้ามาอีกครั้ง เมื่อเด็กบ้าบิ่นนั่นพุ่งตัวเข้าไปหาคนที่ยังมีปืนติดมือ!
   

“อย่าเข้ามานะ!” หญิงสาวร้องตระหนก มือบางพยายามจะสไลด์ขึ้นลำปืน แต่กลับช้ากว่าใครอีกคนที่คว้าข้อมือขาวนั่นได้อย่างทันเวลา
   

“ถึงจะเป็นผู้หญิง...แต่ก็ขอสักหมัดแล้วกันนะครับ”
   

วันสุขเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั่น รู้สึกหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก ยามที่ซานกระชากร่างของลูกหว้าเข้าหาตัวเอง แล้วส่งกำปั้นหนักๆ ตะบั้นใส่ใบหน้าสวยสดนั่นอย่างไม่มีออมแรง...
   

เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเพรียวเซถลาไปตามแรงหมัด แต่ดูเหมือนว่าคนที่ประกาศว่าแค่ ‘หมัดเดียว’ จะไม่ยอมปล่อยให้เธอได้ตั้งตัวง่ายๆ ข้อมือที่ยังถูกกุมแน่นไม่ปล่อย เหมือนสายเชือกที่กระตุกเข้าหา แล้วหมัดที่สองก็ทำเอาเขาตะลึงค้าง...
   

พลั่ก!
   

“ค่อยโล่งใจหน่อย...” ว่าเสียงใส ก่อนจะปล่อยมือคนสลบให้ล้มลงไปกองกับพื้น ร่างสูงเริ่มโงนเงน เหมือนใบไผ่ที่ปลิวได้ง่ายๆ ถ้ามีลมพัด
   

“ซาน!” วันสุขร้องตระหนก ขาสั่งให้ดีดตัวเข้าไปรับร่างที่กำลังล้มลงมา เลือดปริมาณมหาศาลไหลทิ้งเป็นทางยาวจนน่ากลัว เสียงหอบหายใจขาดๆ หายๆ เหงื่อเย็นซึมชื้นตามแนวขมับ ดวงตาสีเข้มที่มักจะมองมาด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ ตอนนี้กลับดูเลื่อนลอยคล้ายคนที่ใกล้จะหลับเต็มที
   

“อย่าหลับนะ! พี่จะรีบเรียกรถ...” มือควานไปทั่วตัวเพื่อหาโทรศัพท์ สมองมีแต่ภาพของพ่อซึ่งฉายซ้ำไปซ้ำมาจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
   

“ใจ...เย็นหน่อย” ซานเตือน ทั้งที่สภาพตัวเองนั้นย่ำแย่เต็มที
   

“แต่ว่า...! ซาน...ซาน!!” ตั้งท่าจะเถียงกับอีกฝ่ายเช่นทุกครั้ง แต่ดวงตาคู่นั้นชิงปิดไปเสียก่อน วันสุขตะโกนลั่นเรียกชื่ออีกฝ่าย สมองลืมไปหมดว่าต้องทำอะไรบ้าง มือไม้สั่นกึกกัก ลมหายใจติดขัดเหมือนปอดถูกเบียดจนเจ็บแปลบ
   

“...อะ” หมดคำพูด ไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียงออกมา มือพยายามจับไหล่กว้างนั่นแล้วเขย่า... แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย...
   

“วัน!”
   

พลันเสียงเรียกคุ้นเคยก็ดังขึ้น... วันสุขเงยหน้าขึ้นมาจากคนที่กำลังหายใจแผ่ว สายตาปะทะเข้ากับรถยนต์คุ้นตา ชั่วแวบหนึ่งเหมือนมีแสงเทียนจุดขึ้น ริมฝีปากสีส้มสวยยกยิ้มอย่างดีใจ เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่ดูแลเขามาตลอดทั้งชีวิต
   

“เกิดอะไรขึ้น!?”
   

ท่านถามอย่างตระหนก ดวงตาคมดุกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรเรียกรถพยาบาลแทนเขาที่ตกใจจนไม่เป็นอันทำอะไร
   

“...อึก”
   

เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เสียงสะอื้นฮักไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีก ทะเลน้ำตาไหลบ่าลงมาอย่างยากจะกลั้น ถึงจะยังตกใจจนควานหาเสียงของตัวเองไม่เจอ แต่พอมีคุณอาโผล่เข้ามา แค่นี้ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมากแล้ว...
   

“ไม่เป็นไร เขาจะปลอดภัย ตั้งสติหน่อยวัน...”
   

ไหล่ของเขาถูกบีบแน่น วันสุขพยักหน้าเบาๆ แขนเองก็กอดร่างของคนที่หายใจแผ่วเอาไว้หลวมๆ พยายามสูดอากาศเข้าปอด แต่ก็ต้องเลิกล้ม เพราะกลิ่นเลือดมันทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่าเก่า
   

“ทำไมลูกหว้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ท่านถามเสียงเครียด “ถอดเสื้อเขาออกก่อน เดี๋ยวอาจะไปหาผ้ามากดปากแผล” แต่ก็เลือกที่จะไม่ตั้งคำถามใดๆ ทั้งยังหันมาสั่งเขาเสียงเข้ม ก่อนจะหมุนตัวเดินฉับๆ เข้าไปในบ้าน
   

วันสุขนั่งนิ่ง มือแตะเข้าที่ชายเสื้ออีกฝ่าย แทบไม่กล้าดึงมันขึ้นมาเพราะกลัวกระทบบาดแผล และเพราะมัวแต่ลังเลอยู่แบบนั้น คุณอาที่เดินกลับออกมาถึงท่าทางจะดุเขาเสียยกใหญ่
   

“มัวแต่ชักชะ... วัน!”
   

เสียงขยับตัวดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเวลาเดียวกับที่เขาหันขวับไปมอง ก่อนที่โลกทั้งใบจะกลายเป็นสีดำสนิท...
   

ปัง!



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 13 - เงียบงัน กรีดร้อง (12/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 12-09-2014 10:47:55
   

ลมเย็นยะเยือกพัดผ่านบาดผิว ฟ้าเปิดโล่งกว้างกว่าทุกวัน ดาวพร่างฟ้ากว่าทุกวัน ดวงจันทร์กลมโตดูสว่างไสวยิ่งกว่าทุกวัน... บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงหรีดหริ่งของแมลง... ไม่มีแม้แต่เสียงรถยนต์ หรือเสียงพูดคุยของผู้คน
   

บนดาดฟ้าที่เก่า... กลอนประตูถูกงัดจนหลุดมากองบนพื้นซีเมนต์ เศษกระจกแตกกระจายเกลื่อนพื้น ร่องรอยของการบุกรุกถูกทิ้งเกลื่อนกลาดตามทาง
   

ตั้งแต่สอบวิชาสุดท้ายในวันสุดท้ายของภาคการศึกษา...เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมานั่งเหม่อมองฟ้าที่นี่ตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่ว่าต้องมาเท่านั้น ต้องมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขึ้นมาที่นี่ให้ได้...
   

ไม่ได้รู้สึกอยากอาหาร ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะกลับบ้าน แค่อยากใช้วินาทีสุดท้ายมองฟ้าจากที่ตรงนี้ให้นานเท่าที่จะนานได้ หวังเพียงให้สมองมันปลอดโปร่งกว่านี้ หวังเพียงให้ลมยะเยือกบาดผิวพัดพาความกังวลใจออกไป
   

ปลายนิ้วแตะลงไปบนซี่ลูกกรงเย็นเฉียบ สายตากวาดทั่วฟ้าแล้วมองมายังปลายเท้า ลมหวีดหวิวพัดพาลงมาจากด้านล่างตึก เหมือนแอ่งสีดำที่คล้ายกับจะดึงดูดให้เข้าหา ชั่วขณะหนึ่งความคิดที่ว่าอยากจะโดดลงไปในหมอกสีเข้มนี่ก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวสมอง
   

“ทำไมถึงไม่กลับบ้าน”
   

มาอย่างเงียบงันไม่ต่างจากลม... เสียงทักแผ่วดังขึ้นอยู่ด้านหลัง เขากำมือแน่น จิตใจว่างเปล่าพลันหนักอึ้งขึ้นมา ฟันกัดกรอด...พร้อมความโกรธที่กำลังปะทุขึ้นมาจุกอยู่ในอก
   

“ลูกหว้าไม่ได้มาสอบ รู้ใช่หรือเปล่า” บังคับให้ปากขยับ สุดท้ายก็พูดเรื่องของเธอคนนั้นขึ้นมา หูแว่วยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ แล้วหยุดทิ้งระยะห่างไว้อย่างที่รู้ว่าเขาไม่ชอบ
   

“เธอโทรมาบอกพี่ว่าแท้งเด็กไปแล้ว” ถ้อยคำเรียบเรื่อย เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ทำเอาลมหายใจของเขากระตุก มือกำซี่กรงแน่น เกร็งจนแขนขึ้นข้อ
   

“สมใจแล้วใช่หรือเปล่า...”
   

“...” ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย ความเงียบบังเกิดขึ้นมาอย่างช้าๆ จนสุดท้ายแล้วก็เป็นเขาเอง ที่ต้องหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับอีกคน
   

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้สบตากันตรงๆ แบบนี้? ความรู้สึกนั้นทำเอาลมหายใจกระตุก เสี้ยวหน้านั่นถูกฉาบด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนสลัว มองแทบไม่เห็น คล้ายกับจะกลืนหายไปได้ง่ายๆ ในความมืดสีดำสนิท
   

...สิ่งเดียวที่ฉายชัดมีเพียงแค่ดวงตาคู่โศกนั่นเท่านั้น
   

“ทำไมถึงทำแบบนั้น” แค่นเสียงถาม พยายามระงับสติ อย่างน้อยก็ยังอยากจะกลับไปคุยได้อย่างแต่ก่อน ทว่าอดีตสุขสันต์ที่เคยผ่านมาราวกับมายาจางๆ ที่มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง
   

“เกลียดเหรอ...ที่ทำแบบนี้” คำถามประหลาดถูกส่งกลับมา น้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนแก้วว่างเปล่านั่นผิดแผกไปจากทุกที
   

“เกลียดสิ! มันอันตรายไม่ใช่รึไง ถ้ากล้าที่จะทำกับเธอแบบนั้น...ทำไมถึงไม่รับผิดชอบ...” เขาแผดเสียงตวาดลั่น ก่อนที่มันจะค่อยๆ เบาลง เมื่อสมองนึกถึงภาพร้องไห้โฮของเพื่อนสนิท...
   

“ขอโทษ...” เสียงแผ่วพึมพำ กระซิบกระซาบจนแทบไม่ได้ยิน และนั่นเองก็ทำให้ความโกรธที่มันระอุอยู่ข้างใน...ระเบิดออกมา
   

“คนที่พี่ควรจะไปขอโทษน่ะ มันลูกหว้าต่างหาก!!” สิ้นเสียงตะโกนของตัวเอง ขามันก็สั่งให้เท้าก้าวสวบเข้าไปหาร่างสูงนั่น มือขยุ้มปกคอเสื้อเชิ้ตสีขาว พลางเหวี่ยงคนที่เหมือนจะยอมโอนอ่อนตามแรงให้ไปติดกับซี่ลูกกรง
   

“พอสักทีได้ไหม...หยุดได้แล้ว พี่จะทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปขนาดไหนกัน...” ยิ่งพยายามถูลู่ถูกังลากพากันไปเท่าไหร่ บาดแผลบนเส้นทางที่ฝืนเดินผ่านกันมา รังแต่จะมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีใครได้อะไร มีแต่ต้องสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ
   

“ขอโทษ...ที่ทำให้มันกลายเป็นแบบนี้...” คำขอโทษดังขึ้นมาอีกครั้ง ตาคู่โศกนั่นก้มมองลงมา ก่อนจะหรุบต่ำ แหวนสีดำที่เจ้าตัวเคยบอกว่าสำคัญนักหนา สะท้อนวาววับล้อกับแสงไฟ
   

“ช้าไปหรือเปล่า...” เขาแค่นเสียง รู้สึกจุกเสียดไปทั้งอก ลำคอเกร็งจนสั่นพร่า “ช้าไปหรือเปล่า...เพิ่งมาพูดเอาตอนนี้น่ะ มันช้าเกินไปหรือเปล่า!?”
   

“พี่ก็แค่...”
   

“แล้วที่ผ่านมายังสำคัญไม่พออีกเหรอไง...” เขาขัดขึ้นมา ตัดคำพูดอีกฝ่ายราวกับจะรู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าจะบอกอะไร “พี่ก็รู้นี่...ชีวิตวันมันก็มีแค่พี่กับคุณอาเท่านั้นจริงๆ ส่วนลูกหว้าก็เข้ามาทีหลัง...พี่คิดว่าวันจะให้เขาสำคัญกว่าพี่หรือไง?”
   

ยิ่งเขาพูดออกไปมากเท่าไหร่ ความโกรธมันก็ค่อยๆ ปลิวหายไปเหมือนถูกลมพัด กลายเป็นความอัดอั้นตันใจที่เก็บสะสมมาตลอดหลายปี ความรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ไม่ต่างจากเจ้าของดวงตาคู่โศกนั่นสักเท่าไหร่
   

“ขอโทษ...” เสียงทุ้มห้าวพึมพำ มือเย็นเฉียบคู่นั้นยกขึ้นมา ทำท่าว่าจะแตะลงกับข้างแก้มนี่อย่างที่เคยทำ แต่สุดท้ายก็ชักกลับไป
   

ระยะห่างที่ไม่เคยมีเหมือนมันกว้างขึ้น และตอนนั้นเอง...ความรู้สึกที่เหมือนว่าจะไม่มีวันได้กลับไปยืนข้างๆ กันได้อีกก็ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ในอก
   

“วันภาวนาทุกวัน...ตั้งแต่ที่ลูกหว้ามาบอกว่าคบกับพี่ ...ทำไมถึงไม่เลิกกันซะ กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว จะแกล้งคบกันไปถึงไหน...จะปั่นหัววันกันไปถึงไหน” ความรู้สึกลึกๆ ถูกพูดออกมาอย่างยากจะหยุด มือเองก็ยิ่งกำเสื้ออีกฝ่ายแน่นขึ้น
   

“พี่เองก็ภาวนา...ถ้าเวลามันย้อนกลับไปได้...ก็คงจะดีใช่ไหม” พลันอีกฝ่ายก็พูดขึ้นด้วยเสียงเครือ ดูอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็น “อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม... แต่พอเลือกที่จะเดินมาแล้ว สุดท้าย...มันก็ต้องก้าวต่อไปเรื่อยๆ ...ไม่มีทางให้หันหลังกลับ ไม่มีทางที่จะแก้ไขอะไรได้”
   

พอได้ฟังก็ต้องเม้มปากแน่น เขาเกลียดประโยคแบบนี้ที่สุด และเกลียดเหลือเกิน...ที่เขาเองก็ดันเป็นเฟืองตัวหนึ่งที่พาให้ทุกอย่างมาจนถึงจุดนี้ จุดที่ไกลเกินกว่าจะกลับไปแก้ไข...
   

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่แค่จะพูดขอโทษแล้วกลับไปเป็นแบบเก่า ในเมื่อรอยแผลมันขยายวงกว้างจนไม่มีทางที่จะรักษาหายอีกต่อไป ระยะห่างที่ดึงกลับมาไม่ได้ ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม และสิ่งที่ผูกมัดพวกเขาเอาไว้ก็มีเพียงแค่สายใยบางๆ จากความสัมพันธ์ในอดีตเท่านั้น
   

“...เพราะพี่โลภมากสินะ” คนตรงหน้ายิ้มบาง “ทั้งที่เป็นแค่ ‘ดิน’ แท้ๆ แต่ก็ยังเรียกร้อง ทำให้เรื่องมันบานปลายจนแก้อะไรไม่ได้อีก” และนิ้วเรียวนั่นก็แตะลงมาเบาๆ กับมือของเขา
   

“แต่ที่ผ่านมาน่ะ พี่มีความสุขมากเลยนะ” คนพูดหรุบตาลง คล้ายกับกำลังนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ในวันวาน มุมปากหยักยิ้ม ดูอบอุ่น แต่ก็ซึมเศร้าไปในที
   

สายลมพัดพามาอีกครั้ง ทำเอาปลายเสื้อเชิ้ตปลิวสะบัด แขนเสื้อซึ่งไม่ได้ติดกระดุมของคนตรงหน้าพับขึ้นไปตามแรง และนั่นเองก็ทำให้เขาเห็นข้อมือขาวที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลมากมาย
   

“...” ริมฝีปากสีส้มสวยเผยอออก ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ช้ากว่าอีกคนที่ชักมือไปด้านหลังเพื่อหลบสายตาเขา ถึงท่าทีนั่นจะดูอ้อยอิ่งแนบเนียนแค่ไหนก็ตามที
   

“อยากอยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ อยากจะอยู่ข้างๆ วัน ...ถ้าเวลามันหยุดเอาไว้ได้ก็คงจะดี”
   

“เวลา...หยุดไม่ได้หรอกนะ” และหากจะเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง เขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะกลับไปเริ่มกันใหม่ได้อีกแล้ว ก็เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยังไงล่ะ...
   

“นั่นสินะ...” คนตรงหน้ายิ้มเศร้า พลางหัวเราะเสียงแผ่วเหมือนใกล้จะหมดแรงเต็มที “พรุ่งนี้...พี่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น เก็บของล่วงหน้าเป็นอาทิตย์แล้ว...ดีใจหรือเปล่า?” แล้วก็กลับมาตีหน้ายิ้มเริงร่าได้ใหม่อีกครั้ง
   

“ย้าย...?” เขาทวนคำ หัวใจวูบโหวงไปชั่วขณะ สมองตีความคำพูดนั่นได้ทันทีที่ได้ฟัง ความรู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างถูกกระชากออกไป ในอกเหมือนถูกตีรวนจนว้าวุ่นสับสน ความโกรธพุ่งพรวดขึ้นมา แต่ก็ยังเลือกที่จะนิ่งงัน
   

“อืม...ก็เลยจะมาลา...คิดแล้วเชียวว่าต้องอยู่บนนี้” ยิ้มอ่อนปรากฏอยู่บนดวงหน้านั่น แหวนสีดำถูกถอดออกจากข้อนิ้วเรียว วางลงบนมือใหญ่ ก่อนจะถูกยื่นมาให้ “เก็บไว้ให้หน่อยได้ไหม?”
   

“...” เขาไม่ตอบ ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะแผ่ว มือเย็นเฉียบคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนของเขา แล้วก็ยัดแหวนสีดำนั่นลงมาอย่างถือวิสาสะ พลางบีบมือนี่แน่น ราวกับจะกลัวว่าเขาจะขว้างมันทิ้งทันทีที่ได้รับ
   

“ก่อนที่จะไม่ได้บอก... แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเมื่อไหร่ ความรู้สึกพี่ก็ไม่เคยเปลี่ยน” เสียงทุ้มห้าวนั่นดูอ่อนลง คนพูดเงียบไปชั่วขณะ พลางสูดหายใจลึก และยิ้มที่ปั้นอยู่ก็ไม่ได้ดูสดใสอีกแล้ว...
   

“พี่ภาวนา...ถ้าเราไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก พี่ขอให้วันมีความสุข มีคนรักที่ดี มีชีวิตที่ไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องอย่างนี้อีก... ขอบคุณสำหรับอดีตของพวกเรา แล้วก็ขอโทษสำหรับปัจจุบัน...” คำพูดค่อยๆ แผ่วหาย แทบจะกลืนไปกับเสียงของลม
   

คนตรงหน้านิ่งเงียบไป ดวงตาคู่นั้นที่ก้มลงมาใกล้ดูเปล่งประกายกว่าทุกครั้ง ตาคู่สวยเหมือนฟ้าพราว ริมฝีปากอุ่นๆ ซึ่งแตะลงกับหน้าผาก...
   

“รักนะครับ”
   

คำสารภาพที่เศร้าที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยได้ยินมา...ถูกสายลมพัดพาไป
   

จางหาย...ไปพร้อมกับภาพแผ่นหลังที่กลืนไปกับความมืดสีดำสนิท


   


ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ด...
   

เสียงอะไรสักอย่างดังแว่วเข้ามาในหู สัมผัสเจ็บแปลบที่กลางอกค่อยๆ รุนแรงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทรมานเท่าไหร่นัก บางสิ่งซึ่งครอบหน้าเขาไว้ครึ่งหนึ่งดูน่ารำคาญพิกล สติมึนเบลอ คิดอะไรไม่ค่อยจะออก แต่สิ่งที่ยังตกค้างอยู่ในสมองมีเพียงแค่ภาพฝันของคืนนั้น
   

น่าแปลก...ที่ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจอะไรอย่างแต่ก่อน ไม่มีน้ำตาไหลคลอทุกครั้งอย่างที่เคย แค่เหมือนฝันถึงเรื่องราวที่มันเคยเกิดขึ้น ไม่ได้รู้สึกลึกล้ำ หรือเหมือนถูกฉุดกระชากลงไป แม้จะวูบโหวงอยู่บ้าง และอดเสียดายไม่ได้อยู่ในที
   

นี่เขากำลังเปลี่ยนหรือเปล่า? ทั้งที่ไม่นานมานี้ยังขังตัวเองอยู่กับอดีตอยู่เลยแท้ๆ แต่พอมีเด็กบ้านั่นเข้ามา เจ้าเหมียวก็ฉุดเขาขึ้นมาจากวังวนนั่นได้อย่างง่ายๆ ท่าทางเหมือนไม่ต้องพยายามมากมายด้วยซ้ำ
   

ทว่าพอนึกถึงเรื่องของซานขึ้นมาได้ ภาพความทรงจำล่าสุดก็ฉายเข้ามาในสมอง ดวงตาเปิดพรึบอย่างลืมตัว ก่อนจะต้องหรี่ลงเมื่อแสงไฟจ้าสาดใส่เข้ามาจนพร่าเลือนไปหมด แขนพยายามขยับ แต่ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของเขาเอง...
   

หูแว่วยินเสียงพูดคุยฟังไม่ได้สรรพ แล้วความง่วงก็เข้ามาครอบครองสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เงาคนมากมายวูบไหวอยู่รอบตัว ท่าทางดูตื่นตระหนก สัมผัสได้ถึงใครบางคนที่แตะเบาๆ ตามเนื้อตัวของเขา ก่อนที่การรับรู้จะค่อยๆ เบาบางลง
   

ดวงตาปรือปิด...ตัดขาดจากทุกอย่าง และจมลงสู่นิทราอีกครั้ง

   

ฝันประหลาดเข้ามาครอบครองสติ...
   

แต่ครานี้กลับเป็นภาพแมวสีขาวปุกปุยตัวหนึ่ง...
   

กับฟ้าพราวพร่างดาว...สีทองกระจ่างตา...




To be continued...


อีกนิดก็จะจบแล้ว แปบเดียวเอง...
 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 13 - เงียบงัน กรีดร้อง (12/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-09-2014 11:17:42
 :katai2-1: :L2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 13 - เงียบงัน กรีดร้อง (12/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 12-09-2014 13:23:15
ไม่นะะะะะะะะะะะ พี่วันนนนนน อย่าเป็นไรไปนะ T T
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 13 - เงียบงัน กรีดร้อง (12/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 12-09-2014 21:37:02
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 19-09-2014 15:34:31
บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ

   

“อืม...อีกไม่กี่วันก็ได้กลับบ้านแล้ว อย่าห่วงนักเลย” เสียงนุ่มพูดแผ่วท่ามกลางความเงียบสงัด มือถือเครื่องบางเฉียบแนบอยู่ข้างหู ดวงตาสีอ่อนเหม่อมองไปที่นอกหน้าต่าง ริมฝีปากสีส้มสวยยิ้มบางๆ ขณะที่นิ้วเรียวไล้ไปตามปลายผมของคนที่นั่งฟุบหลับอยู่ข้างๆ
   

“เพื่อนโดนยิงเกือบตาย จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง! นี่ถ้าเคลียร์งานทางนี้ได้จะรีบไปเยี่ยมเลย” เวย์ตะโกนโหวกเหวก ในน้ำเสียงมีแววโกรธกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะเขาเพิ่งจะโทรไปรายงานสภาพตัวเองกับอีกฝ่ายเมื่อชั่วโมงก่อน บทเทศนายาวเหยียดก็เลยยืดเยื้อมาเป็นชั่วโมง
   

“ทำงานไปน่ะดีแล้ว มาเยี่ยมก็เสียเวลาเปล่าๆ ” วันสุขหัวเราะ แต่ก็ต้องหยุดไปเพราะเจ็บเสียดแถวอก ถึงสภาพเขาดีขึ้นมากแล้วก็เถอะ แต่อาการตกค้างก็ยังมีอยู่บ้าง ต่างจากอีกคนที่ดีวันดีคืน ไม่รู้ว่าเพราะยังเด็กอยู่หรือเปล่า สภาพร่างกายถึงได้ฟื้นฟูเร็วนัก
   

“พูดมาได้นะ... แล้วเป็นยังไงบ้าง นอนโรงพยาบาลเกือบเดือนเลยใช่ไหม” หลังจากบ่นเขามาเกือบชั่วโมง อีกฝ่ายก็เหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าควรจะถามสารทุกข์สุกดิบของคนป่วยเสียที
   

“ก็ปกติดี” วันสุขตอบ แกล้งจิ้มนิ้วกับแก้มคนหลับ เสียงงึมงำส่งประท้วง แล้วก็คว้ามือเขาเข้าไปซุกไว้ไม่ยอมปล่อย
   

“ไม่ได้รู้สึกกระสับกระส่าย หรือฝันอะไรประหลาดๆ ใช่ไหม” สมกับเป็นเพื่อนสนิท ถามมาแต่ละอย่างทำเอาเขาขมวดคิ้วได้ทุกที เวย์คงทำงานมากไป หลายครั้งถึงได้ไม่ค่อยยอมวางบทบาทอาชีพตัวเองลงสักเท่าไหร่
   

“ฮื่อ ดีขึ้นแล้ว จู่ๆ ก็ทุเลาลง แปลกดีเหมือนกัน” พูดพลางหัวเราะ “ต้องบอกว่าสบายใจแล้วมากกว่า พอโดนลูกหว้ายิงไปที ก็คล้ายกับว่าเรื่องหนักๆ มันเบาลงโข”
   

“แล้วได้คุยกันหรือยัง ไม่แจ้งความจะดีเหรอ?” เวย์ถามเสียงเครียด ท่าทางไม่พอใจเด่นชัด
   

“ก็ตอนฟื้นหลังจากถูกยิง ลูกหว้าเขาก็มาเยี่ยมนะ ได้คุยกันนิดหน่อย ส่วนเรื่องโดนยิง...แถวนั้นไม่มีใครอยู่อยู่แล้ว ขอร้องคุณหมอเอาไว้แล้วด้วยว่าให้ช่วยปิดเรื่อง ทางบ้านฝั่งลูกหว้าเขาก็มาเจรจากับคุณอาเอง ก็ได้ค่าขนมมาเยอะอยู่นะ” เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
   

“ง่ายดีนะ!” เวย์แค่นเสียงประชด
   

“ง่ายๆ นั่นแหละ... เรื่องนี้มันเริ่มด้วยจุดง่ายๆ ให้มันจบง่ายๆ แบบนี้น่ะดีแล้ว ถึงตัวละครตอนจบจะไม่ครบก็เถอะ” วันสุขว่าเสียงเรียบ
   

เรื่องบ้าๆ นี่เขาเองก็มีส่วนผิด เป็นคนที่ผิดมากที่สุดด้วยซ้ำ... โดนยิงแค่นี้ยังคงชดใช้ได้ไม่หมด สิ่งที่ทำได้คงมีแต่ใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ลืมสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นเท่านั้น
   

“อีกอย่าง...ลูกหว้าก็โดนทางบ้านส่งกลับต่างประเทศไปแล้ว ต่อจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง ทางนั้นเขาเคร่งกันจะตาย” เป็นตระกูลเคร่งๆ ที่เจ้าระเบียบยิ่งกว่าอะไรดี “พอมาคิดดูแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเรา...เหมือนเป็นจุดรวมของคนขาดๆ เกินๆ เลยเนอะ”
   

“ให้ตายสิ... แล้วซานเป็นไงบ้าง”
   

“นึกว่าจะไม่สนน้องตัวเองซะแล้ว” วันสุขเย้าแหย่ เขายังอดแปลกใจไม่ได้ ตอนโทรไปบอกเวย์ว่าใกล้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว อีกฝ่ายตกใจยกใหญ่ นี่แสดงว่าซานไม่ยอมบอกอะไรเพื่อนสนิทเขาเลยสินะ
   

“แสดงว่ายังไม่ตาย แค่นี้แล้วกัน พยาบาลเรียกแล้ว” ว่าอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ตัดสายทิ้งไปเสียดื้อๆ
   

วันสุขนั่งนิ่ง เขาชักไม่ค่อยจะเข้าใจความสัมพันธ์ของสองคนนี้เท่าไหร่ ฟังจากซานเล่า เวย์ก็ดูเห่อน้องดี แต่ทำไมถึงทำท่าทีไม่ใส่ใจแบบนี้นะ? แต่คิดได้ไม่นานก็ต้องยกยิ้ม เมื่อเสียงโทรศัพท์ของคนหลับบนโต๊ะข้างเตียงสั่นครืดคราดอยู่สักพัก ก่อนจะเงียบไป
   

เขาหัวเราะแผ่ว ดึงมือออกมาจากแก้มอุ่นๆ แล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบศีรษะได้รูปนั่นแทน กลุ่มผมนุ่มนิ่มลื่นมืออย่างบอกไม่ถูก ชวนให้เพลินชอบกล
   

เรื่องที่โดนยิงเขาแทบจะไม่ได้บอกใครเลยสักคน นอกจากเพื่อนๆ ในวงการของเวย์ และคุณอาที่คอยมาดูแลเขา แล้วก็ทางฝ่ายครอบครัวของลูกหว้า เพราะแบบนั้น พอเปิดเทอมเข้ามาใกล้ ซานที่เริ่มจะหายดีถึงได้ขอทำเรื่องออกก่อนกำหนด
   

น่าเสียดายตรงช่วงเวลาหยุดยาว เขาต้องมาขลุกอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีอะไรให้ทำ ได้แค่นอนดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังเพลงไปเรื่อยๆ ขยับตัวก็แทบจะไม่สะดวก แต่ความทรมานหลังจากรอดตายมาใหม่ๆ ยังทำเอาหนาวติดเนื้ออยู่เลย
   

หลังจากคืนแรกที่ฟื้น เขาฝันถึงพี่ดินบ่อยครั้ง แปลกตรงที่ว่า นอกจากจะฝันถึงเรื่องแย่ๆ แล้ว พักหลังมานี่ก็มักจะนึกเรื่องดีๆ บ่อยขึ้น และนั่นก็ทำให้รู้สึกประหลาด
   

ชีวิตนี่มันตลกเสียจริง... เรื่องบางเรื่องง่ายๆ ที่เขาไม่เคยนึกถึง อย่างเช่นการจับเข่าคุยระหว่างคนสามคน หรือแม้แต่การพูดอะไรสักอย่างออกไป แค่จุดเล็กๆ น้อยๆ ...ปัจจุบันที่เป็นอยู่นี่อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็ได้
   

แต่ก็เพราะว่ามันตลกนั่นแหละ และตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่ตัวเขาในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นคนเราก็คงไม่มีเรื่องขำขันให้นึกถึงเวลาเล่าเรื่องอดีต หรือรู้สึกเสียใจเมื่อพบว่าหากทำบางสิ่ง โอกาสที่หลุดลอยไปก็จะเข้ามาหาได้อย่างง่ายๆ
   

ก็เพราะว่ามันไม่แน่นอน แล้วสายตาของนายวันสุขก็ไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ ตัวเขาเองในปัจจุบันยังไม่อาจเข้าใจตัวเขาได้อดีตได้เลย แต่นั่นกลับทำให้เขารู้สึกดี... เพราะว่านั่นคือสิ่งที่บอกว่าเขากำลังเปลี่ยน…
   

ถึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นายวันสุขคนนี้จะไม่ลืมเรื่องของพี่ดิน และแม้จะย้ำกับตัวเองบ่อยแค่ไหนว่า โกรธการกระทำของผู้ชายคนนั้นเหลือแสน แต่เกินกว่าครึ่งในความรู้สึก ก็ยังคงเป็นความรักและคิดถึงไม่เคยเปลี่ยน
   

ความโกรธมันเป็นแค่ข้ออ้างที่ทำให้รู้สึกผิดน้อยลง เมื่อรับรู้ว่าคนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้วก็เท่านั้นเอง เพราะตอนนั้นโกรธถึงได้ไม่ยอมพูดรั้งอะไรออกไป ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเองก็เป็นแค่มนุษย์ขี้ขลาดคนหนึ่ง
   

“เวย์วางสายไปแล้วรึ?”
   

เสียงแหบเข้มดังขึ้นมาที่หน้าประตู วันสุขฉีกยิ้มให้กับผู้มาใหม่ คุณอาเดินอาดๆ เข้ามาหา สายตาคมเหลือบมองคนหลับแวบหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มอย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก


“วางสายไปแล้วครับ ผมก็นึกว่าคุณอาบอกเขาแล้ว พอโทรไปรายงาน ฝ่ายนั้นเทศน์ผมยกใหญ่” โอดครวญอย่างที่ชอบทำ มุ่ยหน้าใส่ หวังเรียกร้องความเห็นใจ แต่คนเป็นอาเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มขำให้เขาแทน
   

“อยากกลับไปเป็นเด็กอีกหรือไง?” ท่านถาม “แล้วเรื่องทำบุญล่ะว่าไง ไปไหวหรือเปล่า อาทิตย์หน้าแล้วนะ” ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นกล่องใส่ขนมมาให้
   

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เวลาเดินยังเจ็บอยู่เลย” วันสุขถอนหายใจเฮือก เพราะสภาพเขาเป็นแบบนี้ ทุกคนเลยดูแลประคบประหงมกันเสียอย่างกับเขาเป็นคนไข้ที่เพิ่งออกจากไอซียู
   

“เลื่อนออกไปก่อนก็ได้นะ” คุณอาพูดเสียงนุ่ม ช่วงขายาวนั่นเดินฉับๆ ไปนั่งที่โซฟาข้างเตียง
   

“จริงๆ งดไปสักปีก็ได้ครับ” เขาพูด สายตาอดมองไปที่แหวนสีดำบนนิ้วข้างเดิมไม่ได้ หลายครั้งแล้วที่ตั้งใจจะถอดมัน แต่ก็ทำใจไม่ได้สักที แต่เรื่องนี้เขาไม่อยากจะบอกใครสักเท่าไหร่ ก็แค่อยากจะพยายามด้วยตัวเองสักครั้ง
   

“แต่นั่นวันเกิดเรานะ” คนเป็นอาท้วงอย่างรวดเร็ว ท่าทางจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเขาเสียเต็มประดา
   

“ไม่ใช่แค่วันเกิดผมคนเดียวสักหน่อย แต่เป็นวันที่พ่อไปอยู่บนฟ้านู่นแล้วด้วยต่างหาก” เขาพูดเสียงเบา รู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เมื่อครบวันเกิด เขาก็จะไปทำบุญวันเกิดกับทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อในทีเดียวเลย
   

“ก็นั่นแหละ งดไปจะดีจริงๆ เหรอ? ” คุณอาถามย้ำ คงเพราะทำติดต่อกันมาหลายปีจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว พอเห็นเขามาพูดแบบนี้ ท่านก็เลยอดท้วงไม่ได้
   

“งั้นผมขอรวบยอดไปปีใหม่เลยดีไหม ทำบุญวันเกิด ทำให้พ่อ ให้พี่ดิน ให้ลูกที่แท้งของลูกหว้า แล้วก็จะไปเยี่ยมแม่ด้วย” เขาร่ายโปรแกรมยาว นึกๆ ไปแล้วก็อดหนาวเยือกไม่ได้...
   

“เรื่องผู้หญิงคนนั้นน่ะ ยอมแพ้เถอะ” คุณอาว่าเสียงขุ่น ท่านไม่ชอบแม่ของเขาเท่าไหร่ ไม่ชอบมาตั้งนานแล้ว เพราะแบบนั้นเด็กชายวันสุขอย่างเขาในตอนนั้นถึงได้ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ว่าทำไมคุณอาถึงได้ไม่เคยโกรธพ่อสักครั้ง แต่พอพูดถึงเรื่องแม่ขึ้นมาก็มักจะหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอด
   

“นั่นสิเนอะ...ถึงไปหายังไงก็คงโดนญาติๆ ฝ่ายนั้นตะเพิดกลับมา” เขาทำหน้าครุ่นคิด ข่าวคราวครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเกี่ยวกับแม่ตัวเองก็ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เห็นว่าป่วยร้ายแรง แต่พอจะไปเยี่ยมก็โดนปฏิเสธตลอด
   

นับตั้งแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุคราวนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าแม่ของเขาทำอะไรไว้บ้าง น่าหงุดหงิดที่ฝ่ายนั้นเส้นสายตำรวจใหญ่โต คดีเลยเงียบหายไป สุดท้ายก็จบลงแบบมึนๆ งงๆ
   

คุณอาไม่เคยบอกเขาสักครั้งว่าทำไมแม่ถึงได้ทำแบบนั้น แต่เขาก็พอคาดเดาเหตุผลได้รางๆ จากสิ่งที่มันเกิดขึ้น ...ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ผู้หญิงน่าอัศจรรย์เสมอ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม...
   

“พอมาคิดๆ ดูแล้ว ชีวิตผมนี่ก็ตลกดีเหมือนกันนะครับ” วันสุขพูด ลากนิ้วลงบนเส้นผมนุ่มนิ่มของคนหลับอุตุ ริมฝีปากสีส้มสวยคลี่ยิ้มอ่อน “ใครมันจะไปคิดล่ะว่าจะมาลงเอยแบบนี้”
   

“พูดเหมือนคนแก่” คุณอาขัด ทำเอาเขาเบ้หน้าใส่
   

“จะว่าไปแล้ว...” เสียงนุ่มเกริ่นก่อนจะเงียบลง นิ่งไปสักพักคล้ายกับคนที่กำลังเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่ “เด็กที่ลูกหว้าไปเอาออกเมื่อตอนนั้น...ไม่ใช่ลูกของพี่ดินสินะครับ”
   

“ไม่ใช่... ยังคิดมากอยู่อีกเหรอ”
   

“แต่ว่าเด็กคนนั้นก็ตายเพราะผมใช่ไหมล่ะ?” วันสุขถาม นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็ชวนให้อึดอัดใจทุกครั้ง เพราะเด็กคนนั้นด้วยเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามคนยิ่งอึมครึมเข้าไปใหญ่ เป็นเด็กที่ไม่ได้ทำอะไรผิด และก็ไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
   

“ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเอง อย่าเอาแต่แบกเรื่องหนักๆ ให้มากนัก เห็นแก่ตัวซะบ้างจะได้สบายใจ” สมกับเป็นคุณอา แนะนำมาแต่ละอย่างทำเอาเขาอดที่จะยกยิ้มไม่ได้
   

“ถ้าว่ามาแบบนั้นล่ะก็นะ...”
   

คำพูดเงียบหาย เสียงแผ่วเบาลง สายตาทอดมองแหวนสีดำอีกครั้ง ความคิดที่จะถอดมันด้วยตัวเองเริ่มเปลี่ยนไป หูแว่ววานเสียงฝีเท้าย่ำหนัก ก่อนที่เสียงประตูปิดจะดังขึ้นเบาๆ ทิ้งให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 19-09-2014 15:40:12
   

ไม่นานนักหลังจากที่คุณอาออกไป ก็มีความเคลื่อนไหวจากคนที่น่าจะหลับสนิท ทำเอาเขาต้องชะงักมือซึ่งลูบศีรษะเจ้าตัวอยู่ ดวงตาพราวนั่นค่อยๆ ปรือเปิด ไม่ได้มีเค้าของคนที่เพิ่งตื่นเลยสักนิด เจ้าตัวครางงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ มือปะป่ายลงกับเตียง ก่อนจะคว้าเอวเขาเข้าไปกอดแน่น
   

“ถ้าตื่นตั้งนานแล้วทำไมไม่บอก” วันสุขถาม ไล้ปลายนิ้วเล่นกับแก้มอีกฝ่าย สัมผัสนุ่มอุ่นชวนให้รู้สึกดีอย่างประหลาด
   

“ผมไม่อยากขัด” ซานว่า คว้ามือเขาเขาไปซุกอีกครั้ง กดจมูกลงกับหลังมือ ท่าทางอ้อนๆ แบบนั้นทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วใส่
   

“เป็นอะไรน่ะเรา” อดถามไม่ได้ จะชักมือออก แต่ก็โดนดึงกลับไปอีกรอบ
   

“ดีใจน่ะครับ ได้รู้เรื่องของพี่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว” เสียงนุ่มนั่นกระซิบบอก “ผมอยากให้พี่เล่าให้ฟังเยอะๆ ”
   

“ไม่มีอะไรน่าฟังหรอกนะ” วันสุขส่ายหน้า นึกไม่ออกจริงๆ นั่นแหละว่าจะเอาอะไรไปเล่าดี ในเมื่อแต่ละอย่างก็เป็นเรื่องซับซ้อนทั้งนั้น
   

“อย่างเรื่องของคนที่ชื่อดิน...” เด็กนั่นตีจุดเขาอีกแล้ว
   

“จะฟังให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย” เขาขมวดคิ้ว ดึงแก้มคนถามอย่างนึกมันเขี้ยว แมวตัวใหญ่แสร้งร้องโอดโอย ทำท่าเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา
   

“ถ้าไม่รู้ว่าเขาเข้ามาในใจพี่ได้ยังไง แล้วผมจะไปรู้วิธีทำให้พี่ลืมเขาได้ยังไงล่ะครับ” ซานยกเหตุผลขึ้นมากล่อมเขา วันสุขถอนหายใจเฮือก คิดเอาไว้แล้วเชียว ไม่ช้าไม่นานก็คงต้องยอมเล่าออกไปจริงๆ สักที
   

“ตอนที่ไปบ้านพี่น่ะ...จำบ้านร้างที่อยู่ข้างๆ กันได้หรือเปล่า?” ซอยเปลี่ยวนั่นมีบ้านแค่สองหลัง นอกนั้นก็เป็นป่ารกๆ กลางกรุง เป็นที่ดินที่ปู่กับพ่อเหลือทิ้งไว้ให้
   

“จำได้ครับ บ้านของคนชื่อดินเหรอ?”
   

“ฮื่อ... พี่ย้ายเข้าไปที่นั่นตั้งแต่ยังเด็ก มารู้ตัวอีกทีก็มีเขาคอยมาดูแลแทนคุณอาที่กลับดึกบ่อยๆ ” ประโยคถูกหยุดไป ในขณะที่สมองเริ่มนึกย้อนไปถึงวันวานเหล่านั้น “ชีวิตพี่มีเท่านั้นจริงๆ นั่นแหละ... ไปเรียน กลับบ้าน เล่นกับพี่ดิน แล้วก็นอน”
   

“น่าเบื่อจริงๆ ” ซานว่า ทำท่าหาวหวอด แต่ตาก็ยังคงมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
   

“น่าเบื่อใช่ไหมล่ะ วันๆ พี่ก็ทำแค่นั้นแหละ เพราะมีแค่พี่ดินที่คอยอยู่ข้างๆ กับคุณอา แล้วยิ่งหลังจากเสียพ่อไป พี่ก็ยิ่งติดเขาแจ เหมือนเป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่งนั่นแหละ”
   

ซานลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่งข้างๆ เขาแทน มือก็ยังคงกุมมือเขาเอาไว้ ส่งๆ ไออุ่นๆ มาให้คล้ายกับจะให้กำลังใจอยู่ในที
   

วันสุขยกยิ้ม ปรือตาลง เอนศีรษะพิงกับไหล่ของอีกฝ่าย ถอดถอนลมหายใจยาว น่าแปลกที่แม้จะรู้สึกปวดใจอยู่สักหน่อย แต่การนึกถึงเรื่องที่มันเคยเกิดขึ้นกลับทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปพร้อมๆ กัน
   

“เขาสำคัญนะ สำคัญกับพี่มากๆ ส่วนพี่เองก็สำคัญกับเขาเหมือนกัน คงเหมือนคนอ่อนแอสองคนที่ดึงดูดเข้าหากันล่ะมั้ง” เพราะมีกันและกัน ในแต่ละวันที่ต้องหายใจอย่างยากลำบากถึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
   

“ฟังแล้วน่าหงุดหงิดดีนะครับ” ซานขัด คิ้วคมสวยเริ่มขมวดปม
   

“เหรอ? แต่จริงๆ ความสัมพันธ์มันก็มีเท่านั้นแหละ แต่เพราะมีลูกหว้าเข้ามา เรื่องมันก็เลยกลายเป็นแบบนี้”
   

“ผมรู้สึกว่าตัวเองแพ้ยังไงก็ไม่รู้” แมวตัวใหญ่พูดด้วยเสียงหงุดหงิด
   

“แพ้ยังไง?” เขาถาม แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่นิดๆ
   

“เขามาก่อนผม อยู่กับพี่มาตั้งนาน...ล้างสมองพี่มาตั้งกี่ปีก็ไม่รู้ พอตายไปแล้วยังฝากฝังอุปสรรคไว้ให้อีก” ซานว่าเสียงเรียบ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะตีเจ้าเด็กนี่สักที มาพูดเสียมารยาทกับคนตายแบบนี้ได้ที่ไหน แต่พอฟังๆ ไปแล้วมันก็จริงอยู่หลายส่วนทีเดียว...
   

“ล้างสมองเหรอ?” วันสุขขมวดคิ้วบ้าง
   

“อย่างประโยคจำพวก ‘มีกันและกันก็พอแล้ว’ ‘อยู่ด้วยกันตลอดไป’ จำพวกนี้... เขาเคยพูดกับพี่สักครั้งไหม?”
   

“พูดบ่อยๆ ” พอมานึกๆ ดู พี่ดินก็ชอบย้ำกับเขาแบบนี้ตลอด
   

“ว่าแล้วไหมล่ะ...” ซานทำท่าเหมือนเดาคำตอบถูก จากนั้นน้ำเสียงก็ดูหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม “ถ้าอยากจะผูกใครสักคนไว้กับตัวเอง เป็นผม...ผมก็จะพูดแบบนั้นเหมือนกัน”
   

“แต่วันที่ได้แหวนนี่มา... เขายังอวยพรให้พี่ได้เจอคนใหม่ที่ดีอยู่เลย” มือซ้ายถูกยกขึ้นดู แหวนสีดำสะท้อนวิบวับล้อกับแสงไฟ
   

“พี่คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ?” คนเด็กกว่าเหน็บแนม “คนที่ยึดติดมากๆ ต่อให้ปากพูดไปแบบนั้น... แต่ใจก็ไม่มีวันคิดแบบนั้นหรอก ไม่อย่างนั้นไอ้แหวนนี่มันคงไม่มาโผล่บนนิ้วพี่แบบนี้”
   

“เราพูดอย่างกับรู้จักพี่ดินดี” วันสุขท้วง มือซ้ายถูกคว้าไปกุมหลวมๆ
   

“บางทีผมอาจจะคล้ายๆ กับเขาด้วยก็ได้ล่ะมั้ง...” ซานพูด ใช้นิ้วโป้งลูบกับหลังมือเขาเบาๆ “แต่ผมว่าผมต่างจากเขา...”
   

“ต่างยังไงล่ะ?” เขาถาม ชักจะอยากรู้ขึ้นมาหน่อยๆ แล้วว่าเจ้าเด็กนี่จะมาไม้ไหนกันแน่
   

“เขาจากไปเพราะรักพี่ใช่หรือเปล่า?” ซานถามกลับ และคำถามนั่นก็ทำเอาเขานิ่งเงียบไปสักพัก
   

“ไม่เชิง... แต่ถ้าจะให้พูดแบบดูหลงตัวเองก็คง...ใช่” เพราะอ่อนแอจนไม่อาจรับความรู้สึกใดๆ ได้อีก ความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนถูกทอดทิ้งนั่น เขาเข้าใจดี... ทว่า ณ เวลานั้นตัวเขาเองกลับไม่พูดห้าม ได้แต่ยืนมองอย่างขี้ขลาด สุดท้ายก็สูญเสียคนสำคัญไปอีกคน
   

“ถ้าเป็นผม ผมจะฆ่าพี่ก่อน แล้วถึงค่อยฆ่าตัวตายตาม” คนเด็กกว่าพูดเสียงเรียบ แรงกดดันบางอย่างทำเอาเขายกยิ้มอ่อน
   

“โหดร้ายจังนะ”
   

“ผมไม่ได้ใจดีขนาดที่จะให้ใครต่อใครเอาตัวพี่ไปหรอกนะ”
   

“ไม่มีใครเขามาสนใจพี่หรอก” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นกดจมูกลงกับแก้มอีกฝ่าย กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ชวนให้สบายใจเหมือนทุกที “พี่มีแมวหวงกระดูกอยู่ตั้งตัวหนึ่ง แค่ส่งเสียงเงี้ยวง้าว ชาวบ้านเขาก็วิ่งแจ้นไปหมดแล้ว”
   

ซานหัวเราะ แล้วก็เงียบไปอีก ใบหน้าคมดูดีนั่นมีท่าทีครุ่นคิด เพราะแบบนั้นเลยทำเอาเขาต้องเงียบไปด้วย แต่บรรยากาศก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ละคนก็จมลงอยู่กับความคิดตัวเอง และเป็นเขาเองที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน
   

“พี่น่ะ...ลืมพี่ดินไม่ได้หรอกนะ” เขาสารภาพเสียงแผ่ว
   

“ถ้าสำคัญขนาดนั้นผมก็จะไม่บังคับให้ลืมหรอก” ซานเองก็ตอบกลับมาง่ายดายกว่าที่คิดไว้
   

“แต่ว่า...คิดเอาไว้แล้วล่ะ ตอนนี้แค่เพิ่งเริ่มต้นเองแท้ๆ เพราะฉะนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันนะ” วันสุขว่าอย่างไร้ความรับผิดชอบ เด็กนั่นชะงักไป พวกเขามองสบตากันอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกัน
   

“จะเริ่มจริงจังแล้วใช่ไหม” ซานถาม ตรงประเด็นเสียจนเขานึกว่าอีกฝ่ายอ่านใจได้
   

“อืม จะเอาจริงเอาจังแล้วล่ะ” ที่ผ่านมาเอาแต่บอกกับตัวเองว่าจะให้เวลาตัดสิน จับมือเดินกันไปเฉื่อยๆ ไม่ได้มีใครจริงๆ จังๆ กับความสัมพันธ์นี่กันสักคน และถึงจะทำท่าทางว่าจริงจัง ทว่าแต่ละคนก็ดูจะรู้ตัวกันดี
   

“ผมขี้หึงกว่าที่เห็นนะ”
   

“เรื่องนั้นพี่รู้แล้วล่ะ” สัมผัสแสบๆ ที่คอนั่น นึกขึ้นมาทีไรยังซึ้งรสชาติมันไม่หาย
   

“ผมจะจริงจังเต็มที่เลย” ซานว่าเสียงใส ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ดวงตากลับฉายแววร้ายลึก
   

“ตามใจเถอะ ยังไงก็เป็นแฟนกันแล้วนี่ เราก็พูดเองแบบนั้น ลืมแล้วเหรอ?” วันสุขยังจำได้อยู่ คำสารภาพนั่นไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรสักนิด อย่างกับเล่นขายของ ดูง่ายๆ ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร แต่ก็นั่นแหละ ...ง่ายๆ นี่นะ
   

“นั่นสิเนอะ ถ้าอย่างนั้นจะเริ่มจริงจังล่ะนะ...” แมวตัวโตงึมงำ มือเองก็บีบมือเขาแน่นกว่าเดิม แขนอีกข้างโอบกอดเอวเขาแน่น แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นชั่วขณะอีกครั้ง
   

“คิดอะไรอยู่?” อดถามไม่ได้ อาจเพราะบรรยากาศชวนให้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างไรไม่รู้
   

“ผมกำลังคิดว่าแหวนนี่สะท้อนไฟมาแยงตาผมหลายรอบแล้ว” ว่าพลางใช้มือคลำๆ ไปบนแหวนเย็นเฉียบบนนิ้วเขา “แถมชอบมาครูดหน้าผมอีก” ไม่วายบ่นสำทับอีกรอบ
   

“พี่ว่าจะถอดอยู่ แต่ก็ไม่กล้าน่ะ” สุดท้ายก็บอกออกไปจนได้ ทั้งที่จะเก็บคำพูดนั้นไว้ย้ำกับตัวเองแท้ๆ แต่เสี้ยวหนึ่งในใจกลับสั่งให้เขาบอกเด็กตรงหน้านี่ไป เพราะซานมักจะมีวิธีดีๆ มาช่วยเขาเสมอ
   

“ก็ถอดซะสิ ง่ายจะตายไป แบบนี้”
   

ไม่ทันที่จะได้ท้วง เด็กนั่นก็คว้าข้อแขนเขาหมับ รูดวัตถุสีดำซึ่งอยู่ติดนิ้วเขามาเป็นสิบปีออกไปจากนิ้วนางข้างซ้าย โดยที่เขาไม่ทันจะได้ตั้งตัว...
   

สัมผัสเย็นวาบแล่นเข้าแทนที่ เมื่อข้อนิ้วไม่ได้มีสิ่งใดปกปิดอีกต่อไป รอยของแหวนยังคงเด่นชัด ชั่วขณะหนึ่งหัวใจที่เต้นระรัวก็ค่อยๆ สงบลง และความรู้สึกคล้ายกับนกที่ถูกปล่อยออกจากกรงก็แล่นวาบเข้ามา สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ มารู้ตัวอีกทีไหล่ก็ถูกกดลงกับเตียงโรงพยาบาลซะแล้ว
   

“ทีนี้เสี้ยนหนามชีวิตที่ตำตาผมมานานก็หมดไปอีกหนึ่งล่ะนะ”
   

เงาดำที่คร่อมลงมาฉีกยิ้มชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยเป็น วันสุขหายใจลึก พยายามขืนตัวขึ้นมา แต่แผลที่ยังไม่หายก็ทำเอาเขาเบ้หน้ายอมแพ้ ทิ้งตัวกลับลงไปนอนนิ่งๆ ตามเดิม สายตาเองก็มองตามแหวนที่ถูกเอาไปวางบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของคนที่ก้มลงมาใกล้
   

“ตอนนี้เหลืออีกอย่างหนึ่ง”
   

“อะไร” ขมวดคิ้วถาม รู้สึกระแวงอย่างบอกไม่ถูก
   

“เสื้อผ้าพี่”



To be continued...


บทหน้าจะเป็น บทส่งท้าย
แผลอเดี๋ยวเดียวก็จะได้ปิดเรื่องนี้แล้ว ตอนแรกที่เอามาลงเล้าก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะไม่ใช่นิยายแนวตลาดที่คนอ่านเยอะ
ยิ่งลงคนยิ่งร่อยหรอ แต่ใจชื่นทุกทีที่ยังเห็นว่ายังมีนักอ่านตามกันอยู่  :กอด1:
เรื่องนี้ยังมีตอนพิเศษอีก 2 ตอน ซึ่งจะเอามาลงต่อจากบทส่งท้ายฮับ

ขอบคุณทุกๆ ท่านเช่นเคย
แล้วเจอกันตอนหน้า...

ปล. ติดตามข่าวสารอัพเดทนิยายอื่นๆ ได้บน facebook น่อ
<a href="https://www.facebook.com/turelightwriter"><img src="http://www.uppic.org/image-D0EC_53E060A0.gif" /></a>
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 19-09-2014 16:00:31
มันเป็นเรื่องแนวที่ต้องติดตาม ค้นหา ไปพร้อมกับผู้แต่งเที่สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา
คนตามอ่านก็ตามลุ้น ตามดู ตามมอง คาดคะเนกันไป
เรื่องของจิตใจนี่ เป็นเรื่องเหนือการคาดคะเน สนุกที่ได้อ่านนิยายจริงๆ ค่ะ :กอด1:
++
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 19-09-2014 16:11:59
ถอดเลย ถอดเลย ถอดเลย

 :hao6: :hao6: :hao6:

หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 19-09-2014 16:49:09
ซาน ตรงและมุ่งมั่นจนกลัวแทนวันสุขเลย  55
แต่ก็นะ ยังไงน้องก็รักวันสุขจริง และรักในแบบของน้อง
วันสุขคงจะได้มีสุขสมชื่อซะทีนะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ที่ 19-09-2014 17:37:57
ชอบแนวนี้คะ งื้อออออ
มันแลดูมีปม น่าติดตาม เนอะ 55555
ชอบแนวตัวเอกเป็นโรคทางจิต ไม่รู้ดิ มันทำให้เรื่องวกวนแบบว่า เร้าใจ 55555
แลดูโรคจิตล้ะเนี่ย 55555
แอร๊ย เขินจัง จะจบแล้ว ~
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 19-09-2014 17:57:31
เป็นเรื่องที่มีเสน่ห์นะ ดีกว่าเรื่องที่บ้าๆ บอๆ ไปวันๆ
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ (19/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: poporimikoru ที่ 20-09-2014 23:55:10
เสื้อผ้าพี่ ตอนท้ายทำเอา กรีดร้องลั่นห้องง


หนูจ๋า โรงพยาบาลลล เครียดมาหลายตอนจนองเอยแบบนี้ มันช่างน่ากรีดร้องเหลือเกิน อร้ายยยยยยย ชอบแนวเรื่องแบบนี้ที่สู้ดดดด :katai1: :katai1: กรี้ดดด
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 26-09-2014 11:29:12
บทส่งท้าย


   
เช้าทุกเช้าก็ยังเหมือนเดิม...
   

เสียงนาฬิกาปลุกตอนตีห้า อากาศหนาวเย็นทำเอาเขาไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงสักเท่าไหร่ ครางงึมงำในลำคอ เอื้อมแขนออกไปจากผ้านวมหนา ไอเย็นเฉียบทำเอาชะงักมือ สุดท้ายก็ตัดสินใจกดปิดมันในที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง ขยี้ตางัวเงีย... ยังล้าไม่หาย อาจเพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอน
   

เขาแตะปลายเท้าลงกับพื้นเย็นเฉียบ เดินเซๆ เหมือนโลกโคลงเคลงเข้าไปในห้องน้ำ สัมผัสหนาวเย็นทำเอาห่อตัวเข้าหากันไม่ได้ ภาพซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่นัก
   

นายวันสุขในกระจกมองตอบกลับมาด้วยสายตางัวเงีย เชิ้ตดำยับๆ ตัวใหญ่หลุดลุ่ยตกไหล่ไปข้างหนึ่ง เส้นผมสีเข้มที่ไม่ได้ตัดมาเกือบปียาวเคลียข้างแก้มไปจนถึงหลังคอ ร่างกายก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน แต่แค่ยืนทรงตัวให้ตรงอยู่ได้ก็ลำบากเอาเรื่อง
   

คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ก่อนจะแหวกสาบเสื้อที่ติดกระดุมอยู่แค่สองเม็ดออก ลายกุหลาบสีเข้มแต้มเต็มไปเกือบทั้งตัว เขาถอนหายใจเฮือก เย็นนี้ต้องออกไปคุยธุระกับลูกค้าแท้ๆ
   

“แบบนี้ก็แย่สิ...”


   


เสียงโทรทัศน์ดังแผ่วมาจากห้องนั่งเล่น พอเดินเข้าไปก็เจอกับคุณอาซึ่งนั่งดูข่าวเช้าอยู่ ใบหน้าคมคร้ามมีริ้วรอยมากกว่าแต่ก่อน แต่ท่าทางแข็งแรงนั่นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ซ้ำยังดูมีสง่าราศีมากกว่าเดิมเสียอีก
   

“คุณอาตื่นก่อนผมอีกแล้ว”
   

ทักทายพร้อมเดินเข้าไปหา ส่งยิ้มให้คนอายุมากกว่าซึ่งหันมาพยักหน้าให้เบาๆ ข่าวเศรษฐกิจบนโทรทัศน์ทำเอาเขาขมวดคิ้ว ปีนี้ยอดขายของร้านไม่ได้ตกอะไร แต่ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่เช่นกัน
   

“ชินน่ะ ถึงจะไม่มีสอนแล้วก็เถอะ” คนเป็นอาว่าเสียงเรียบ “เดี๋ยวว่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย ข้าวเช้าไม่ต้องทำเผื่อนะ”
   

“พักอยู่บ้านบ้างเถอะครับ เกษียณออกมาแล้วทั้งที” เขาขมวดคิ้ว ตอนที่คุณอาบอกว่าจะเกษียณคราวนั้น อุตส่าห์ดีใจแทบตาย ที่ไหนได้...ท่านอยู่บ้านได้พักเดียว หลังๆ มานี่ก็ชอบออกไปนู่นมานี่บ่อยๆ
   

“ที่ร้านเป็นยังไงบ้างล่ะ” คนแก่กว่าเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง มือใหญ่ยกถ้วยกาแฟควันฉุยขึ้นจิบ สายตาเองก็เหลือบไปมองสารพันกระเช้าและช่อดอกไม้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโทรทัศน์
   

“อีกสองสาขาก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ เย็นนี้เดี๋ยวจะเข้าไปคุยกับลูกค้า ทางนั้นเขาอยากได้เค้กที่ร้านไปใช้ในงานจัดเลี้ยงบริษัทน่ะ” ว่าเสียงเนิบนาบ ในขณะที่คนถามหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
   

“พักนี้เสน่ห์แรงนะ” ท่านพูดเรื่องที่ดูจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อสนทนาเท่าไหร่ แต่ประโยคนั่นทำเอาเขายิ้มกริ่ม
   

“มีของดีมันก็ต้องใช้บ้าง” ว่าแล้วก็ช้อนดอกไม้ในช่อที่ยังไม่แกะขึ้นมาหมุนเล่นอย่างอารมณ์ดี “ผมไปรดน้ำต้นไม้ก่อนดีกว่า” ก่อนจะขอตัวออกมาเผชิญกับลมหนาวสะท้านนอกบ้าน


   


“ฮัดเช้ย!”
   

จามออกมาเต็มแรง ลมยะเยือกพัดวูบ ตัวสั่นกึกกักเพราะความหนาว ฟ้ายังมืดอยู่ แสงไฟสลัวหน้ารั้วบ้านเองก็ส่องนวลๆ ชวนให้รู้สึกเย็นขึ้นมากกว่าเดิม มือที่กำบัวรดน้ำชาดิก ไม่นึกไม่ฝันเลยว่ากรุงเทพจะหนาวได้ขนาดนี้
   

หลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นครืดคราด วันสุขขมวดคิ้ว คว้าวัตถุบางเฉียบรุ่นล่าสุดขึ้นมาถือไว้ ดวงตาสีอ่อนมองชื่อคนโทรเข้าอย่างชั่งใจ ก่อนจะกดรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
   

“ว่าไงเวย์” ทักทายเสียงเหนื่อย
   

“อาทิตย์หน้าจะกลับกรุงเทพ” เสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานกรอกมาตามสาย วันสุขเบิกตากว้าง
   

“ร้านที่อังกฤษเจ๊งแล้วเหรอ?” เขาอุทาน เพราะหลังจากเพื่อนลาออกจากงานได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าตัวก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีไปอังกฤษไม่บอกกันสักคำ ข่าวคราวแทบติดต่อไม่ได้ มารู้ตัวอีกทีก็ได้ข่าวว่าเวย์พาเอาร้านที่ร่วมหุ้นกันไปเปิดสาขาที่นั่นแล้ว
   

ลำบากเขาต้องตามไปคอยคุมร้านที่นู่น ฝึกพนักงานกันแทบตาย ไม่รวมสูตรที่ต้องปรับให้เข้ากับลิ้นคนที่นั่นอีก แต่ก็สนุกดี... บินไปบินกลับ ไม่สนุกอย่างเดียวก็คนข้างตัวเขานี่แหละที่ยังดูฉุนเรื่องนั้นไม่หาย
   

“แช่งกิจการตัวเองหรือไง? ที่นี่หนาวเกินไปต่างหาก อยู่ไม่ไหวแล้ว” อดีตจิตแพทย์โวยวายเสียงสั่น ดูท่าจะหนาวจริงอย่างที่พูด นี่คงจะหนีกลับมาแล้วทิ้งให้ผู้จัดการคนสวยของเขาไว้สินะ?
   

“แล้วผู้จัดการล่ะ?” ขมวดคิ้วถาม ตั้งแต่เวย์ไปเปิดสาขาที่อังกฤษ ผู้จัดการร้านก็ตามไปที่นู่นด้วย เรียกว่าย้ายบ้านไปตั้งรกรากเลยก็ได้ แรกๆ เขาก็ห่วงว่าจะอยู่ไหวไหม โดยเฉพาะสามีเธอ แต่ข่าวคราวจากทางนั้นก็ทำเอาโล่งใจไปไม่น้อย
   

“รายนั้นสะทกสะท้านที่ไหน เด็กๆ เองก็มาช่วยงานที่ร้านด้วย กลายเป็นขวัญใจลูกค้าไปแล้วตอนนี้” เวย์รายงาน ท่าทางดูมีความสุข เขาเองก็อดยิ้มไม่ได้ นึกถึงเด็กซนๆ สองคนนั้นแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้
   

“เดี๋ยวจะบอกซานให้แล้วกัน” เขาว่า คุยไปสักพักก็กล่าวลาวางสายกันไป
   

วันสุขยิ้มให้กับโทรศัพท์ แล้วก็อดคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะตั้งแต่เรื่องของลูกหว้าจบลงจนมาถึงตอนนี้ มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปขนาดที่ว่าตัวเขาเองยังแปลกใจ
   

เขาออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักที่บ้าน โดนคุณอาถอดออกจากการเป็นลูกจ้างชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยอีกเลย แต่น่าดีใจก็ตรงมีคนเข้ามาถามหากันเยอะแยะ บ้างบางครั้งก็เลยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนบ้าง
   

เพราะอยู่บ้านไปวันๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร เขาเข้าไปหาเวย์บ่อยขึ้น คุยนู่นนี่นั่นไปเรื่อย อาการที่เป็นอยู่ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แรกๆ ก็ต้องพึ่งยา พักหลังมานี่ก็เริ่มดีขึ้น แต่โรคที่หายไม่ขาดนี้ก็ทำให้เขาต้องคุมอารมณ์ให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเอง
   

เขาเข้ามาดูแลร้านอย่างเต็มตัว ชีวิตอยู่แต่ที่ร้าน ไม่ก็นอนดูแลสวนอยู่ที่บ้านสลับกันไป วันดีคืนดีก็มีรายการโทรทัศน์ติดต่อมาหา หลังจากได้ออกอากาศสั้นๆ ไม่กี่นาที จู่ๆ ร้านก็ดังเป็นพลุแตก หลังจากนั้นก็โดนคุณอาแซวอยู่บ่อยครั้งว่า ‘ร้านนี้เขาขายเจ้าของ ไม่ได้ขายอาหาร’
   

และหลังจากนั้นไม่นานปรัชญ์ก็ทำเรื่องน่าตกใจด้วยการซิ่วเรียนอีกรอบ เด็กคนนั้นสอบเข้าคณะเกี่ยวกับการจัดแต่งสวน และก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะดูมีความสุขขึ้น บางครั้งที่มาเยี่ยมเยียนก็จะเล่าเรื่องเพื่อนที่ภาคให้ฟังบ่อยๆ พักหลังมานี่เหมือนจะมีเรื่องทะเลาะกับผู้หญิงห้าวๆ คนหนึ่ง
   

เธอคนนั้นเป็นสาวสวยหุ่นดีที่เขาเคยเจอแค่ครั้งเดียว ท่าทางแข็งแรงมั่นใจ พูดจาฉะฉาน ดูตรงข้ามกับปรัชญ์อย่างสิ้นเชิง แต่แบบนี้ก็เหมือนมาเติมเต็มกันและกันชอบกล ถึงมุมที่เขาเห็นจะเหมือนเป็นปรัชญ์เองเสียมากกว่าที่โดนแกล้งอยู่บ่อยๆ


   


“วันทำอะไร? หอมจัง”
   

เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นอยู่ด้านหลัง เอวถูกโอบด้วยท่อนแขนหนา แผ่นหลังถูกรั้งจนแนบชิดกับอกกว้าง จมูกโด่งคมสวยกดเข้าที่ข้างแก้ม กลิ่นหอมเฉพาะตัวกรุ่นอ่อนผสมกับกลิ่นเนยในครัว
   

วันสุขไม่ตอบ วางมือจากไม้พาย หรี่ไฟบนเตาให้อ่อนลง หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนตัวใหญ่ มือเองก็ยกขึ้นจัดแจงปกเสื้อให้อีกฝ่ายอย่างเคยชิน นี่ก็อีกความเปลี่ยนแปลงที่เขานึกไม่ถึง...
   

“โกรธเรื่องเมื่อคืนเหรอ?” เสียงทุ้มหัวเราะแผ่ว ดวงตาคมคายพราวระยับ ริมฝีปากสีสวยนั่นแย้มยิ้มร้ายลึก ก่อนจะกดจูบลงกับหลังมือเขาอย่างเอาใจ ใบหน้านั่นทาบทับด้วยแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าซึ่งส่องเข้ามาในครัว ฉายให้เห็นถึงความคมลึกที่เด่นชัดกว่าแต่ก่อน
   

ร่างกายสูงใหญ่ ผิวที่เคยขาวจัดดูเข้มขึ้นเพราะออกแดด ท่าทางกวนๆ เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้า กลายเป็นนิสัยชอบหยอกล้อที่ชวนให้เขารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อยู่บ่อยๆ
   

ห้าปี...
   

เด็กเอาแต่ใจนั่นกลายเป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์เหลือร้ายจนเขาหาวิธีรับมือไม่ถูกซะแล้ว...
   

“ก็เย็นนี้ต้องคุยกับลูกค้านี่” เขาท้วง ปกติก็มักจะใช้ประโยชน์นิดๆ หน่อยๆ จากสิ่งที่ตัวเองมีเข้าช่วยในการคุยอยู่แล้ว แต่คนรู้ทันก็ทำเอาแผนเขาล่มทุกที เล่นฝากของไว้เต็มตัวแบบนี้...ลืมไปได้เลยว่าจะใส่เสื้อคอลึกออกนอกบ้านได้
   

“ซานไปคุยแทนวันให้เองไหม” น้ำเสียงติดจะขำดึงขึ้นอยู่ข้างหู ไม่วายกดไออุ่นร้อนๆ ลงกับต้นคอเขาอีก ปลายนิ้วเย็นเฉียบก็ละไล้อยู่ที่บั้นเอวใต้ชายเสื้อ
   

“งานพังกันพอดี” วันสุขขมวดคิ้ว ตีมืออีกฝ่ายดังเพี้ยะ ก่อนจะหันกลับไปทำข้าวเช้าต่ออย่างไม่ใส่ใจ แต่ดูเหมือนคนในชุดสูทจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ เหมือนทุกที เอวถูกรั้งเข้าไปอีกครั้ง จมูกโด่งกดที่ลาดไหล่
   

“ช่อดอกไม้นั่นของใคร?” โทนเสียงเริ่มเปลี่ยนไป และนั่นก็ทำเอาเขาหัวเราะแผ่วในลำคอ
   

“ดอกไม้จากลูกค้าที่จะไปคุยวันนี้ กระเช้าจากลูกค้าวันก่อน แล้วก็ขนมในตู้เย็นจากโรงแรมที่ไปจัดงานเมื่อเดือนที่แล้ว” เขาร่ายรายการ จริงๆ ยังมีของที่ไม่ได้เอากลับบ้านมาอีก แต่ทิ้งเอาไว้ที่ร้านกับแจกจ่ายให้พนักงานไปกันคนละชิ้นสองชิ้น
   

“หือ?” คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่น ประกายรุนแรงฉาบวาบผ่านดวงตาคู่สวย
   

“อาทิตย์หน้าเขาก็นัดมาอีก ไม่รู้ว่าจะคุยธุระหรือว่าอะไร” วันสุขยังพูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างนึกสนุก มือหมุนปิดเตาแก๊ส เทของในกระทะลงกับจานก้นลึก เอาแป้งที่กลึงไว้มาปิดทับ เตรียมเข้าเตาอบเป็นพอทพาย
   

“ว่าไงนะ?” เสียงทุ้มเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ เอวเขาถูกจิกแน่นจนเจ็บ
   

“สงสัยคงจะถูกจีบล่ะมั้ง?”
   

สิ้นเสียงพูด กายก็ถูกหมุนขวับ ขาถูกดันจนเอวไปชนกับขอบโต๊ะกินข้าว หลังถูกกดจนหงายแนบไปกับไม้เย็นเฉียบ วันสุขหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากสีส้มสวยคลี่ยิ้มบางเย้าอีกฝ่าย
   

“พูดใหม่อีกทีสิ เมื่อกี้ได้ยินไม่ถนัด” แมวที่โตเป็นเสือคำรามฮึ่มในลำคอ มือปลดกระดุมแหวกสาบเสื้อเขาออก จมูกโด่งซุกไซร้ลงมาที่ลาดไหล่ ฟันสวยขบกัดย้ำหนักเหมือนจะข่มขู่ หน้าขาแกร่งดันแทรกเข้ามาทำเอาเขาเผลอครางเสียงแผ่ว
   

“หนักใจจริงๆ เดือนหน้าตารางก็แน่นไปหมด ไม่รู้จะไปกับใครก่อนดี” เขาหัวเราะยั่ว โน้มคออีกฝ่ายเข้ามาหา ฝากจูบร้อนบนสันคางแกร่ง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก...
   

เวลายั่วให้คนโกรธ มันสนุกแค่ไหน...เขาก็เพิ่งมารู้ไม่นานนี้
   

ห้องครัวดูจะร้อนจนทนอยู่แทบไม่ได้ เสื้อผ้าเรี่ยราดเกลื่อนพื้นบ้าน คอแสบไปหมด เสียงแหบแห้งจนต้องกินน้ำอุ่น นัดคราวนี้คงต้องยกเลิกเพราะคงไปไม่ไหว ดูไปดูมามีแต่เขาที่เสียล้วนๆ ส่วนอีกคนกลับออกไปทำงานได้หน้าตาเฉย
   

“ให้ตายสิ...” พึมพำขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงกับโซฟากว้าง ห่อกายกับผ้านวมหนา สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็อดยกยิ้มบางๆ ขึ้นมาไม่ได้
   

จริงอยู่ที่หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป เขาเองก็เปลี่ยนเช่นกัน... แต่ว่ายังมีบางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ต่อให้เวลามันผ่านมาขนาดนี้แล้วก็เถอะ บางสิ่งที่กรุ่นอยู่ในใจ และก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย มีแต่เพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน
   

เขาบอกได้เต็มปากเลยล่ะ เขาไม่เสียใจสักนิดที่เลือกเส้นทางนี้ ต่อให้ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาจะก้าวต่อไปข้างหน้า ก้าวไปเรื่อยๆ ทดแทนเวลาที่เคยหยุดเดินไป จะรักษาสิ่งมีค่าที่ได้รับมา ทะนุถนอมมันเท่าที่ชีวิตนี้จะให้ได้
   

ตราบเท่าที่ร่างกายนี้ยังหายใจ...
   

“อา... ยาแก้ปวดอยู่ไหนกันนะ”




-จบบริบูรณ์-



บทส่งท้ายมาแบบสั้นๆ
ตอนหน้าจะเป็นตอนพิเศษอีก 2 ตอนฮับ เป็นตอนเกี่ยวกับพี่ดินแล้วก็น้องซานของเราๆ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจริงๆ
แล้วเจอกันตอนหน้า
 :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 26-09-2014 11:50:33
น้องวันนนนนนนนนนนนนน
ดีใจที่มีความสุขกับเขาซะที
ยั่วเก่งจริงจริ้ง เป็นไงล่ะ เจอจัดหนักซะเลย ฮ่าๆๆๆ

รออ่านตอนพิเศษอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 26-09-2014 20:27:50
เขียนเก่งจัง หน่วงทั้งเรื่อง555 เยลลี่หายไปไสสสพอเป็นแฟนกันแล้วเหมือนเยลลี่หายตัวไปเลย
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 26-09-2014 20:47:12
เสน่ห์เหลือร้ายทั้งคู่เลย
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Raiwyn ที่ 26-09-2014 23:43:58
เขินจัง  :m1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 26-09-2014 23:51:17
วันสุขยั่วเก่งขึ้นน๊า คิ ๆ รอตอนพิเศษต่อจ้า
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 27-09-2014 17:03:00
สนุกมากจ้า รอตอนพิเศษน้าาา
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทส่งท้าย (26/09/14)
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 29-09-2014 18:32:47
ชอบจัง ไม่ค่อยเจอลักษณะการบรรยายแบบนี้ มันเหมือนจะอบอุ่นแบบขมุกขมัว
เหมือนจะสบายๆ แต่หนักหน่วง อารมณ์คนเป็นไบโพลาร์เลยค่ะ คือรู้สึกบรรยายได้ถึงอาการจิตไม่คงที่

ผู้ป่วยไบโพลาร์เนี่ยต้องการคนที่เข้าใจ ซึ่งดีแล้วละที่วันมีซาน :)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 1 - เพียงดิน (03/10/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 03-10-2014 13:45:09
บทพิเศษ - เพียงดิน



เขาเกลียดท้องฟ้าเหลือเกิน...
   

จันทร์กลมโตลอยเด่น ดาวพร่างพราย อากาศหนาวเหน็บ ความงดงามที่ไม่มีวันเอื้อมถึง... ขาที่สัมผัสกับดิน ราวกับจะตอกย้ำว่าตัวตนนี้ต้อยต่ำเพียงไร
   

บ้านเงียบสนิท ไม่มีใครกลับมาที่นี่นานแล้ว จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกับพ่อมันนานเท่าไหร่ พี่เลี้ยงที่ดูจะห่างเหินกันเหลือเกินก็กลับไปตั้งแต่เย็น อาหารชืดๆ ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ไม่ได้มีอะไรพร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย
   

ทำไมดาวบนฟ้าถึงอยู่คู่กัน ทั้งที่บนดินนี่มีเขาแค่คนเดียว?
   

ยิ่งมองก็ยิ่งเกลียด แต่เพราะมันสวยงามเหลือเกินถึงได้ไม่เคยละสายตาได้สักครั้ง...
   

เสียงของรถดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ บ้านหลังข้างๆ ซึ่งเงียบไปนานดูจะคึกคักขึ้นมาเป็นพิเศษ เขาจำได้ว่ามีคู่รักคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น แต่ไม่นานก็ย้ายออกไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาอยู่อีก ซอยเปลี่ยวเงียบเหงานี่ถึงได้ไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน...
   

ไฟจากรถบรรทุกฉายเข้ามาผ่านแนวรั้ว เสียงร้องไห้ของเด็กดังมากระทบหู เขาขมวดคิ้ว เดินออกไปหน้าบ้าน เขย่งขามองผู้มาใหม่ ก่อนจะพบว่าเป็นผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง และเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังยืนสะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ
   

ชั่วขณะหนึ่ง โดยไม่ทันรู้สึกตัว ดวงตากลมโตรื่นด้วยหยาดน้ำใสๆ นั่นก็เงยขวับขึ้นมองมาที่เขาทันใด เสียงร้องไห้หยุดชะงัก ร่างเล็กๆ ถอยกรูดไปหลบอยู่ด้านหลังของผู้ชายตัวใหญ่ และความเคลื่อนไหวนั่นก็ทำเอาคนที่กำลังวุ่นวายกับการย้ายของรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเขา
   

“สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย” เขาทักทายก่อน เมื่อเห็นใบหน้านั่นก็จำได้ทันทีว่าเป็นอดีตเพื่อนบ้านซึ่งเคยย้ายออกไป แต่คราวนี้กลับมาพร้อมกับเด็กตัวเล็ก... ลูกหรือ?
   

“อ้าวดิน... สวัสดีครับ เสียงดังรบกวนหรือเปล่า?” ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนส่งมาให้ เขาส่ายศีรษะ ดวงตาก็ยังคงมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นั่นอย่างสนอกสนใจ
   

“น้องวัน มาทักทายพี่ดินเขาเร็ว” เพราะสังเกตเห็นท่าทางของเขา มือใหญ่นั่นจึงดุนหลังเล็กๆ ให้ออกมาจากที่ซ่อน
   

“สวัสดีครับ ชื่ออะไรน่ะเรา” เขาเปิดรั้วบ้าน สาวเท้าเข้าไปใกล้เด็กที่กำลังมองมาอย่างขลาดกลัว แล้วย่อตัวนั่งแตะเข่ากับพื้นเพื่อให้ระดับสายตาตรงกัน
   

“วัน...สุข เป็นหลานคุณอา” เสียงเล็กๆ พูดแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน และท่าทางตื่นกลัวก็ไม่ได้ลดน้อยลง
   

“เขากลัวคนน่ะ” ชายคนนั้นว่า ในดวงตาคมนั่นฉาบประกายหม่นเล็กน้อย “อารบกวนดินหน่อยได้หรือเปล่า พอดีต้องให้คนงานขนของเข้าบ้าน...” ก่อนจะเกริ่นประโยคขอร้องด้วยท่าทางหนักใจ
   

“ได้สิครับ” เขาพูด เพราะอย่างไรเสียก็อยู่บ้านว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร รับฝากเด็กสักคนไว้ชั่วคราวคงไม่มีปัญหา ทว่าดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเขาสักนิด
   

“ไม่เอา! น้องวันจะอยู่กับคุณอา”
   

พอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขาได้ก็เริ่มดิ้นขลุกขลัก เนื้อตัวสั่นเทาจนน่าสงสัย ร้องไห้โยเยจนคนเป็นอาต้องรับไปอุ้มกล่อมปลอบเสียยกใหญ่
   

“ไม่เอานะครับ ไม่ร้องนะ” เสียงนุ่มอ่อนโยนพูดปลอบ เขามองสองอาหลานนั่นด้วยนึกอิจฉาลึกๆ อาจเพราะไม่เคยได้รับความเอาใจใส่แบบนั้นเลยสักครั้ง
   

“นี่...ชอบท้องฟ้าหรือเปล่า?”
   

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เสียงร้องไห้ชะงักกึก ตากลมโตเงยขึ้นมองหน้าเขาอีกครั้ง แสงจากไฟรถสะท้อนเข้ามา ทำเอาเห็นชัดว่าดวงตาคู่สวยนั่นเป็นสีน้ำตาลอ่อนพราวเหมือนลูกปัดราคาแพง
   

“น้องวันชอบดาว...” เสียงหงุงหงิงพูดแผ่ว แต่ยังมองมายังเขาด้วยท่าทีหวาดระแวง
   

“ถ้าอย่างนั้นไปดูดาวกันไหม ที่บ้านพี่มีกล้องดูดาวด้วยนะ”
   

สิ้นคำพูด จากเด็กที่ร้องไห้ไม่ยอมท่าเดียวก็ยิ้มร่า ชูมือออกกว้างหวังให้เขาอุ้ม เห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องยิ้มอ่อน รับร่างเล็กๆ เขามาไว้ในอ้อมแขน ไออุ่นๆ ทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาด
   

แม้จะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ก็อุ่นหัวใจอย่างประหลาด
   

ค่ำนี้หนาวกว่าทุกวัน แต่น่าแปลกที่ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่เคย...


   


“คุณอาเมื่อไหร่จะกลับ”
   

เสียงบ่นดังขึ้นเบาๆ ในบ้านเงียบเฉียบ เขาชะงักมือที่กำลังปลดกระดุมเสื้อนักศึกษา สายตาเหลือบไปมองคนคนหนึ่งซึ่งเท้าคางทอดสายตาออกไปยังด้านนอก
   

“อีกเดี๋ยวก็คงกลับ โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง?” เขาเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้คนที่มักจะทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลามีสีหน้าเศร้าไปมากกว่านั้นนัก ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ...เตียงยุบยวบลงไป
   

“เหมือนเดิม” เด็กหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจเฮือก เอนศีรษะพิงกับไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ แพขนตายาวอยู่ใกล้เพียงแค่หรุบตามอง
   

“ไม่คิดจะหาเพื่อนกับเขาเลยเหรอ?” เขายิ้ม ถามเสียงนุ่ม ยกมือขึ้นลูบปอยผมอีกฝ่าย
   

“วันมีแค่พี่ดินก็พอแล้ว”
   

เขานิ่งไป ในอกสั่นสะท้านอย่างประหลาด ทั้งดีใจ อบอุ่น ชั่วขณะเดียวกันก็เจ็บปวดอยู่ลึกๆ ก้มลงมองคนที่เอาแต่ดูฟ้ายามค่ำ ทั้งที่รับรู้มาตลอดเวลาว่าตัวเองสำคัญกับเด็กคนนี้มากแค่ไหน แต่คล้ายกับว่ายิ่งตักตวงความสุขนี่มากเท่าไหร่ ความกระหายนี่ก็ไม่เคยถูกเติมจนเต็ม
   

“ท้องฟ้ามีอะไรน่าสนใจนัก” เขาถามเสียงแผ่ว พยายามกลบความไม่พอใจของตัวเองไว้ เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องนี่ เด้กคนนั้นยังไม่ได้หันมามองเขาเต็มๆ ตาเลยสักครั้ง
   

ทั้งที่ยังอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่หันมามอง...
   

หรือว่าเม็ดดินตรงหน้านี่มันไม่ได้พร่างพราวเหมือนดาวบนฟ้ากัน?
   

“ข่าวบอกว่าคืนนี้จะมีดาวตก” ดาวตาสีน้ำตาลอ่อนหันมาสบเข้ากับเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ยกยิ้มบาง “มาอยู่ดูด้วยกันดีไหม” พร้อมคำถามที่เขาไม่เคยปฏิเสธได้ลง...
   

เกลียดฟ้านัก... แต่ก็ไม่เคยบอกความรู้สึกออกไป เพราะอีกฝ่ายดูจะรักสิ่งนั้นเหลือเกิน สิ่งที่อยู่สูงจนเขาไม่อาจเอื้อมถึง ไม่ว่าจะพยายามไขว่คว้าเท่าไหร่ ดินก็ยังคงเป็นเพียงดิน ...ถ้าหากคนตรงหน้าก้มลงมามองเม็ดดินกระจ้อยนี่สักหน่อยก็คงจะดี
   

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น? เรียนเหนื่อยหรือเปล่า?”เสียงทักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
   

คล้ายสติถูกเรียกกลับมา ตะกอนดำมืดในใจถูกกวาดปัดไปซุกไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนอีกครั้ง เขาปรือตา ทิ้งตัวลงนอนกับเตียงกว้าง ฉุดรั้งคนตัวเล็กกว่าลงมาด้วย ในขณะที่ตากลมๆ นั่นจ้องเขาอย่างสงสัย นอนนิ่งไม่ขัดขืนให้เขากอดอยู่แบบนั้น
   

“เหนื่อย...” ว่าเสียงแผ่ว ปิดเปลือกตา แสงจากจันทร์บนฟ้าแยงลงมาจนไม่อยากจะเงยขึ้นมอง
   

“ถ้าอย่างนั้นวันไม่กวนดีกว่า เดี๋ยวจะกลับไปรอคุณอาที่บ้าน พี่ดินจะได้พัก” คนเด็กกว่าว่าเสียงเรียบ แต่ก็ยังมีความห่วงใยแฝงอยู่ในนั้น
   

“อยู่ที่นี่ได้ไหม” เขาอ้อนวอน... รั้งข้อมือนั่นเอาไว้ หูแว่วยินเสียงหัวเราะแผ่ว
   

“แต่วันจะดูฝนดาวตก ไม่รบกวนพี่ดินเหรอ?”
   

“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากขอพรด้วย...” ความง่วงเริ่มคืบคลานเข้ามา แต่ก็ยังไม่กล้าหลับ เพราะกลัวเหลือเกินว่าคนตรงหน้าจะแอบย่องหนีไป
   

“จะขออะไรล่ะ?”
   

ชั่วขณะหนึ่งที่เขาจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ริมฝีปากเปิดเผยอ... ก่อนจะกลืนถ้อยคำทั้งหมดลงไปในคอ นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจในที่สุด
   

“อยากได้อะไรก็ขอแบบนั้นไปแล้วกัน”
   

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กตรงหน้าพูดอะไรต่อจากนั้น สัมผัสได้เพียงแค่ไออุ่นๆ ซึ่งยังตกค้างอยู่ในอุ้งมือ พอตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน...คนคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
   

เช้าในหน้าร้อนวันนี้... ทำไมถึงได้หนาวนัก?
   

ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ ทำไมถึงมีแค่เขานะที่ยังย่ำอยู่ที่เดิม...


   


“หันมามองกันหน่อยได้ไหม?”
   

เขาพูดเสียงแผ่ว สายตาทอดมองแผ่นหลังในชุดนักเรียนนั่น ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงแต่ความเงียบงัน และนั่นก็ทำเอาเจ็บจนหายใจไม่ออก
   

“ทำไมถึงคบกับลูกหว้า” น้ำเสียงเย็นชา กระชากถาม ไม่มีแม้แต่ความนุ่มนวลอย่างทุกที
   

“...” เขาเลือกที่จะเงียบ ใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นผุดขึ้นมาในหัวสมอง เสียงหัวเราะหวานใสยังดังก้องอยู่ในหัว สมาชิกใหม่ของกลุ่มที่เพิ่งเข้ามา เป็นเด็กสาวที่สดใสสว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน
   

แค่คิดขึ้นมา ความชิงชังก็พุ่งพรวดมาจุกอยู่ที่คอ
   

“คบเหรอ?” เขาถามเสียงฉงน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปคบกับเธอตอนไหน เกลียดขี้หน้ากันอย่างกับอะไรดี แค่ทำทียิ้มแย้มสนิทสนมกันได้ก็เต็มกลืนแล้ว
   

...ผู้หญิงนั่นคิดจะทำอะไร?
   

“พี่กำลังคิดอะไรอยู่... ทำไมถึงทำแบบนั้น...”
   

คำถามนั่นทำเอาเขานิ่งงันไป หากอธิบายไปตอนนี้ก็คงไม่ฟังใช่ไหม? ในเมื่อปักใจเชื่อไปแล้ว ยังจะมีที่ว่างอะไรให้เขาเข้าไปแก้ตัวได้อีก คล้ายรอยร้าวระหว่างพวกเขามันเริ่มมากขึ้นทุกที ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงนั่นเดินเข้ามา
   

นี่เขาไม่สำคัญแล้วใช่ไหม? เศษดินนี่ไม่สำคัญอีกแล้วใช่ไหม?
   

“...วันพรุ่งนี้ไปท้องฟ้าจำลองกันไหม” เขาเปลี่ยนเรื่อง ฝืนยิ้มให้กับแผ่นหลังนั่น “ไม่มีโอกาสได้ไปกับวันสักที” แสร้งพูดเสียงนุ่ม ทั้งที่ขอบตามันเริ่มจะร้อนผ่าว เขายังคงยืนรอคำตอบ แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น
   

เขาทำอะไรผิด?
   

อดถามกับตัวเองไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามควานหาคำตอบสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็เจอเพียงความสับสนเท่านั้น ใจเจ็บร้าว สมองอื้ออึง สุดท้ายก็เลือกที่จะก้าวถอยกลับ ไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มอธิบายความเข้าใจผิดนี้ ...อย่างไรเสีย ถึงพูดไป สุดท้ายความผิดก็จะโยนโครมลงมาที่เขาอยู่ดี
   

พลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นด้านหลัง ร่างบอบบางวิ่งเข้ามา ท่าทางเหนื่อยหอบ เสียงหวานตะโกนเรียกชื่อพวกเขาลั่น ก่อนที่แขนนุ่มนิ่มนั่นจะเข้ามาคล้องกับเขาราวกับคนสนิทสนม
   

“วัน! พี่ดิน! มาอยู่ตรงนี้นี่เอง กลับกันเถอะ เย็นป่านนี้แล้ว”
   

“ลูกหว้า...” เขาพึมพำชื่อของเธอ ใบหน้าสวยนั่นเงยขึ้นมอง ก่อนจะฉีกยิ้มหวาน
   

“ลูกหว้า” เด็กหนุ่มซึ่งยืนเกาะระเบียงหันมองมาที่พวกเขา ใบหน้านุ่มนวลไม่ได้มีเค้าความเศร้าอย่างที่คิดไว้ แต่ดวงตาราบเรียบคู่นั้นกลับทำเอาใจวูบโหวง
   

ได้โปรด...อย่ามองมาด้วยสายตาแบบนั้นเลย...
   

“ยินดีด้วยนะ”
   

เหมือนค้อนปอนด์อันใหญ่ที่ฟาดลงมากลางกระหม่อม ลมหายใจชะงักกึก หนาววาบไปทั้งกาย มือกำแน่นจนเกร็ง โดยเฉพาะเมื่อหูแว่ววานเสียงหัวเราะคิกคักที่จงใจให้เขาได้ยิน
   

“ขอบคุณจ้ะ”
   

เขาเหลือบมองเด็กสาวคนนั้นด้วยหางตา เพลิงสีดำกำลังลุกโชนอยู่ในอก... สมองเริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว
   

จะเอาแบบนี้หรือ? ท้าทายกันแบบนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นเขาเองก็คงไม่มีทางเลือก...
   

“กลับกันเถอะ” เขาว่าเสียงแผ่ว ส่งยิ้มให้คนทั้งสองราวกับไม่สะทกสะท้านกับบรรยากาศหนักๆ  “เดี๋ยวพี่จะแวะส่งวันก่อนแล้วกัน ว่าจะพาลูกหว้าไปซื้อของสักหน่อย”
   

ถ้าหากย้อนเวลาไปได้ล่ะก็...เขาจะไม่มีวันพูดประโยคนั้นเด็ดขาด
   

รอยบิ่นที่มุมกระจก เริ่มปริร้าวจนแตกหัก...
   

ไม่นานเศษคมๆ ก็คงจะร่วงกราวลงมา...ทิ่มแทงหัวใจจนแหลกเละไม่มีชิ้นดี


   


เสียงของน้ำซาซ่าดังอยู่ข้างหู รู้สึกง่วงอย่างบอกไม่ถูก สัมผัสเย็นเฉียบไหลผ่านเส้นผมลู่ลงตามเนื้อหนัง แผ่นหลังพิงกับผนังกระเบื้องอุ่น สติดูจะเลื่อนลอย บอกไม่ถูกสักนิดว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่
   

เหนื่อยจนไม่อยากจะหายใจ...
   

อาทิตย์ที่ผ่านมา เขาจำได้ว่าขังตัวเองอยู่ในห้องมืดแคบๆ น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด... ในความมืดไม่มีสิ่งใด กลับมาอยู่กับความเงียบเหงาอีกครั้งเหมือนทุกครั้ง
   

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเริ่มทำร้ายตัวเองทั้งแต่เมื่อไหร่ คมมีดซึ่งกรีดลงแขน ความเจ็บปวดที่ได้รับ คล้ายกับจะปลุกสติให้ตื่นขึ้นมา ย้ำให้รู้ว่าร่างกายนี้ยังมีชีวิต ยังคงหายใจ แต่ยิ่งนานวันเข้า มันยิ่งชาจนแทบจะไม่รู้สึก ไม่ว่าจะกรีดคมลึกเท่าไหร่ นอกจากของเหลวสีแดงสดที่เทบ่าลงมา ก็ไม่มีสิ่งใดอีก...
   

ใจลึกๆ มันยังคงรอคอย ให้คนคนนั้นฉุดมือข้างนี้ขึ้นไปจากวังวน เพราะขาทั้งสองข้างมันหมดสิ้นเรี่ยวแรง ไม่อาจฝืนยืนต่อได้อีกแล้ว ทว่ากลับไม่มีแม้แต่คำห้าม ...การลาจากครั้งสุดท้ายนั้นเหมือนด้ายรั้งที่ถูกตัดจนขาดสะบั่น
   

อยากให้เขาหายไปขนาดนั้นเลยหรือ?
   

เพราะเป็นแค่ดินใช่หรือเปล่า ต่อให้พยายามสักเท่าไหร่ ...สายตานั่นก็ไม่เคยละจากฟ้าสักครั้ง คงมีเพียงแค่ดินที่พยายามจะตะเกียกตะกาย ครั้งแล้วครั้งเล่า... เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ตัวตนของเม็ดดินก้อนเล็กๆ นี้คงไร้ความหมาย
   

สมองหวนนึกไปถึงวันวานเก่าๆ เด็กตัวเล็กๆ ที่วิ่งตามเขาในวันนั้น... ตากลมโตที่มักจะมองมาด้วยความรัก เสียงสดใสที่ทำให้ยิ้มได้เสมอ ไออุ่นที่ยังติดอยู่ในอ้อมแขน
   

ไม่เหลือแล้ว... ไม่เหลืออะไรเลย... ไม่เหลืออะไรสักอย่าง...
   

“พี่ดิน!”
   

เพล้ง!
   

เสียงเรียกคุ้นเคยดังก้องในความมืด ผสมปนเปไปกับเสียงแตกของกระจก ปลุกให้หัวใจอ่อนล้าเต้นกระตุก ...จู่ๆ ก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา มุมปากยกยิ้มอ่อน ความรู้สึกหนักอึ้งในใจปลิวหาย เหมือนถูกน้ำเย็นฉ่ำสาดซัด
   

ปึง!
   

ประตูไม้ถูกชนอย่างแรงด้วยอะไรสักอย่าง กลอนขึ้นสนิมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายใกล้จะหลุด... เขาหัวเราะแผ่ว ระบายลมหายใจยาว ดวงตาค่อยๆ ปรือปิด ความง่วงคล้ายกับจะเข้ามาคืบคลานสติ ทั้งที่อยากจะตื่นอีกสักพัก แต่ก็ไม่อาจฝืนร่างกายเอาไว้ได้
   

ปึง!
   

เสียงสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบหาย และแม้จะหลับตาอยู่ ทว่าแสงที่สาดเข้ามาหลังประตูบานนั้น... ทั้งเจิดจ้าและอบอุ่นเหลือเกิน...

   

แล้วเจอกันนะครับ...
   

ณ ที่ใดสักแห่ง... บนฟ้ากว้างพราวดาวนั่น...



Hope to see you again...


ถ้าพูดกันตามตรง หากพี่ดินยังมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งพระเอกของซานนี่จะสั่นคลอนมาก
อาจมีการ NTR ดราม่าหนักหน่วงกระชากตับกว่านี้หลายสิบเท่า (หัวเราะ)

พี่ดินเป็นตัวละครที่ชอบมากคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เขียนเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ จะทำให้รู้สึกได้ถึงอะไรๆ ที่มันไม่แน่นอนเอาซะเลย
เหมือนที่เราตัดสินใจอะไรสักอย่างหนึ่ง ทั้งที่เห็นว่า โอกาสมันก็กองอยู่ตรงหน้า แต่สมองมันก็สั่งให้เลือกไปอีกทาง สุดท้ายก็กลับมาแก้อะไรไม่ได้แล้ว และทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงาม ...การจบชีวิตลงของพี่ดินก็เป็นเรื่องชั่ววูบที่สร้างรอยแผลเอาไว้ให้วันสุข

"ถ้าตอนนั้นพูดออกไปตรงๆ ก็คงจะดี"
"ถ้าพูดห้ามเอาไว้ก็คงจะดี"
สองวลีนี้เป็นสิ่งที่สื่อได้ค่อนข้างดีเกี่ยวกับคนสองคน

ตอนหน้าจะเป็นตอนพิเศษอุ่นๆ ของซาน
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม แล้วเจอกันฮับ
 :กอด1: :L2: :กอด1:


เพลงบังคับฟัง (หัวเราะ)
เนื้อแปลค่อนข้างจะมีความหมาย แต่ถ้าดูจากในเล้ามันจะขึ้นบรรทัดไม่ครบซะงั้น
(สามารถกดที่คำว่า youtube เพื่อขึ้นหน้าต่างใหม่, หากใครเนื้อแปลไม่ขึ้นกดที่รูปฟันเฟือน > ตรงช่อง Annotations เลือก On)
http://www.youtube.com/v/7bvJJ4urbjQ
เพลงนี้มีความหมายกับตัวละครหลายตัวในนิยายที่แต่งเลยทีเดียว พี่ดินคือหนึ่งในนั้น
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 1 - เพียงดิน (03/10/14)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 03-10-2014 14:54:47
เรื่องนี้เศร้า ปมเยอะจริงๆ เขียนดีมากกกกกกกกกกกค่ะ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 1 - เพียงดิน (03/10/14)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 03-10-2014 14:57:42
วัน... นี่นายดึงดูดแต่คนประหลาดมาหลงรักเหรอเนี่ย

มีแต่พวกอยากเป็นที่รักทั้งนั้น แถมยังทำอะไรแปลกๆ เรียกร้องความสนใจจากวันอีก
อ่านแล้วหลอนแทน
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 1 - เพียงดิน (03/10/14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2014 19:19:05
อ่านมาจนจบ พูดได้้คำเดียวว่า ดีแล้ว มันสนุกน่ะแต่หาคำพูดไม่ได้
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 1 - เพียงดิน (03/10/14)
เริ่มหัวข้อโดย: Onlymin ที่ 08-10-2014 17:11:55
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 1 - เพียงดิน (03/10/14)
เริ่มหัวข้อโดย: michiri.sama ที่ 08-10-2014 20:34:09
อยากอ่านตอนพิเศษของซานจังค่ะ >___<
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 10-10-2014 16:26:21
บทพิเศษ 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น


Spirited Away: Always With Me piano version
http://www.youtube.com/v/7GCz7MbBM_U?loop=1&playlist=7GCz7MbBM_U


เขาเกลียดผู้หญิง...
   

ความรู้สึกนั้นมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันที่แม่ตายจากโลกนี้ไป พ่อแต่งงาน พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาใหม่... เขาเกลียดแม่นั่น พอเกลียดมากๆ เข้าก็พานพาให้ไม่ชอบผู้หญิงเข้าไปด้วย
   

เสียงวี้ดว้ายน่ารำคาญ นิสัยจุกจิก เห็นแก่เงิน รอยยิ้มเสแสร้ง
   

ไม่ว่าจะกี่คนที่ผ่านเข้ามา อย่างน้อยต้องมีสิ่งเหล่านั้นหนึ่งถึงสองอย่าง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงเลือกที่จะแต่งงานใหม่ แต่เขาทำได้แค่เงียบ เป็นเสียงส่วนน้อยของบ้าน มองดูผู้หญิงคนนั้นใช้เงินที่พ่อหามาราวกับเทไวน์ลงพื้นสนามหญ้า
   

หลายปีที่อดทน สุดท้ายพ่อก็ตายจากไปด้วยโรคหัวใจ... เขาถูกทิ้ง... ผู้หญิงนั่นหอบเงินหนีไปแต่งงานกับสามีใหม่ที่อายุน้อยกว่า เห็นแบบนั้นก็ต้องยกยิ้มเหยียด นึกสาปแช่งลึกๆ ในใจ ภาวนาขอให้แม่นั่นโดนทำอย่างที่มันทำกับพ่อของเขา
   

ในงานแต่งงานที่จัดแจงเสียยิ่งใหญ่ จู่ๆ ญาติห่างๆ ของพ่อซึ่งมาร่วมงานด้วยก็เข้ามาคุยกับเขา จำไม่ได้แล้วว่าบทสนทนาดำเนินไปอย่างไร แต่เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงซึ่งต่างจากคนก่อนๆ ที่เขาเคยเจอมา
   

เขาได้บ้านใหม่... บ้านหลังใหญ่ซึ่งมีคนอยู่เพียงแค่สองคน และคนใช้อีกเป็นโขยงไม่ต่างจากในหนัง คุณอาผู้หญิง...ผู้ปกครองคนใหม่ของเขามาจากตระกูลเศรษฐีผู้ดีเก่า เธอมีลูกชายที่อายุมากกว่าเขาเป็นสิบปีอยู่คนหนึ่ง รายนั้นจบหมอจากมหาวิทยาลัยดัง และกำลังอยู่ในช่วงเรียนต่อเฉพาะทาง
   

ตอนแรกก็นึกว่าจะเข้ากันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะอยากได้น้องชายเป็นพิเศษ ชีวิตที่คิดว่าคงจะต้องอยู่เงียบๆ คนเดียวเหมือนเดิมก็คล้ายกับจะวุ่นวายขึ้นมาทันตา แต่ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่จะแปลกประหลาดที่สุดจะไม่ใช่พี่ชายคนใหม่... แต่เป็นเพื่อนของพี่ชายต่างหาก


   


“คุยกับใคร? ทำไมต้องมานั่งคุยในห้องมืดๆ ”
   

เขาถามพี่ชายที่เพิ่งวางสายจากโทรศัพท์ เงาดำขยับไหว ไม่มีทีท่าว่าจะวิ่งเข้ามาแกล้งเขาอย่างทุกที เห็นแบบนั้นก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น อยากจะถามอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่มย่ามกับเรื่องของผู้ใหญ่นัก
   

“เป็นเด็กเป็นเล็ก อาบน้ำเข้านอนไป อยู่แค่มัธยมต้น ริอ่านกลับบ้านดึกนะ” เสียงทุ้มเข้มดูดุดังขึ้นมาอย่างคาดโทษ เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อักษรดิจิตอลโชว์หราเป็นเลขยี่สิบเอ็ด
   

“รถมันติด ช่วยไม่ได้” หยักไหล่ว่าอย่างไม่ใส่ใจ
   

“บีทีเอสติดได้ด้วยเหรอ?” เสียงนั่นเข้มขึ้นกว่าเดิม
   

“ไปแวะซื้อหนังสือมา” ว่าแล้วก็ชูหลักฐานเล่มใหญ่ให้อีกฝ่ายเห็น มันเป็นนิทานภาพภาษาอังกฤษที่วาดด้วยสีน้ำ ราคาแพงเอาเรื่องอยู่ แต่เขาชอบปลายพู่กันของคนเขียน ถึงได้ยอมควักค่าขนมซื้อติดมือมา
   

“เล่มนั้นเพื่อนพี่มี” คนในเงามืดพูดเสียงแผ่วผิดวิสัย
   

“เวย์มีเพื่อนด้วยเหรอ?” ถามอย่างนึกฉงน นับตั้งแต่อยู่ที่นี่มา เขาไม่เคยเห็นคนตรงหน้าจะพูดถึงเพื่อนสักที มีก็แต่คนในโทรศัพท์ที่เจ้าตัวคุยไปทีไรก็ทำหน้าเศร้าๆ ตลอด
   

“ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนสักหน่อย... เอ้าไปนอนไป พรุ่งนี้สอบไม่ใช่หรือไง?” ต้นประโยคแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน น้ำเสียงสั่นสะท้านดูอ่อนแอจนน่าสงสัย ก่อนจะปรับเป็นเข้มดุ เพื่อไล่ให้เขาขึ้นนอน
   

“นี่ยังจีบไม่ติดอีกเหรอ? อ่อนหัดชะมัด” เขาเยาะเย้ย ไม่ยอมขึ้นนอนง่ายๆ มุมปากยกยิ้มเหยียดอย่างที่อีกฝ่ายไม่ชอบให้ทำ
   

“เงียบน่ะ! ไม่ได้จีบสักหน่อย ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนสนิทกันต่างหาก” พี่ชายโวยวายขึ้นมา ท่าทางจะเริ่มโมโหเข้าเสียแล้ว
   

“ประโยคแก้ตัวของพวกขี้แพ้” เขาหัวเราะหยัน ก้าวเท้าหลบหมอนอิงที่ลอยหวือออกมาจากห้องมืดๆ นั่น “เห็นมีแต่สาวๆ รุมล้อม คนอย่างเวย์ผิดหวังกับเขาเป็นด้วยเหรอ? ผู้หญิงนั่นเป็นยังไง? ยากเหรอ?” ก่อนจะถามคำถามที่ถ้าคุณอาผู้หญิงยังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะโดนดุยาวจนหูชา
   

“เหอะ... ถ้าได้เจอตัวจริงจะพูดแบบนั้นไม่ออก” อีกฝ่ายว่าเสียงหงุดหงิด
   

“เหรอ?” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เก็บความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจ หัวก็นึกถึงภาพของคนที่ว่า แต่ทำยังไงก็นึกไม่ออก...


   


บ่ายสามโมงวันนี้ที่ห้องนั่งเล่น...
   

เพราะโดดเรียนวิชาสุดท้ายกลับมาบ้าน พี่ชายส่งข้อความมาว่าจะกลับดึก บ้านเงียบเชียบกว่าทุกที เพราะคนงานพากันลากลับหมดเนื่องจากวันหยุด อุตส่าห์วางแผนเสียดิบดีว่าจะนั่งไล่ดูหนังเก่าๆ ที่วางเรียงไว้เต็มชั้น แต่พอเปิดประตูเข้ามาในห้องนั่งเล่นของบ้านได้เท่านั้น...
   

ใคร?
   

เครื่องหมายคำถามผุดวาบลอยคว้างอยู่เต็มไปหมด เท้าที่กำลังจะก้าวเหยียบพรมนุ่มชะงักกึก สายตาทอดมองร่างในชุดสีดำล้วนซึ่งกำลังนอนนิ่งอยู่กลางห้อง
   

“เฮ้... คุณ...” เรียกฝ่ายนั้นเสียงเบา เริ่มสงสัยว่านี่เป็นแขกของพี่ชายหรือเปล่า แต่เพราะอีกฝ่ายนอนคู้ตัวเหมือนกำลังเจ็บปวดทรมาน เขาถึงได้ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้กว่านั้น
   

“อึก...” เสียงครางแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ไหล่ที่ห่อเข้าหากันกำลังสั่นสะท้านจนน่ากลัว
   

“เป็นอะไรหรือเปล่า” สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลง ก่อนจะต้องชะงักกึกเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ...ถ้าจะให้นิยามกับสิ่งที่เขาเห็น คงจะบอกได้แค่ว่า สิ่งมีชีวิตตรงหน้านี่เข้านิยามของคำว่า ‘คุณชาย’ แทบจะทุกประการ
   

มนุษย์ที่ดูดีจัดจนน่ากลัวแบบนี้...มีชีวิตรอดมาได้ยังไงนะ?
   

เคยมีคนบอกว่า ของบางอย่าง ต่อให้วาดแทบตายสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่ได้เสี้ยวของของจริง ตอนนี้เขาชักจะเข้าใจเจ้าประโยคนั่นไม่มากก็น้อย ก็คนคนนี้น่ะ...ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
   

“ปวดหัว...” เสียงนุ่มเพราะครางงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ มือขาวพยายามชันร่างขึ้นมาจากพรม ท่าทางไม่ได้สนใจการมีอยู่ของเขาสักนิด
   

“ฮะ...เฮ้!”
   

น้ำหนักมหาศาลโถมลงมาจนเขาล้มไปกองกับพื้น คนที่พยายามชันตัวเมื่อครู่นอนนิ่งไม่ขยับ ท่าทางเหมือนจะหมดสติไปแล้ว แต่ก็ยังคงทิ้งปัญหาไว้ให้
   

“หนัก...” อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ พยายามดันตัวอีกฝ่ายออก เพราะร่างกายเล็กกว่าเกือบครึ่ง จะทำอะไรก็ทุลักทุเลจนน่าหงุดหงิด ...อย่าให้สูงบ้างก็แล้วกัน
   

กลิ่นหอมนวลอ่อนลอยมาแตะจมูก ทำเอาความหงุดหงิดในใจถูกพัดพาไปจนหมด เขาถอนหายใจเฮือก หลังจากหนีออกมาจากการถูกทับได้ งานหนักต่อมาก็คือการพาคนตัวสูงไปนอนที่โซฟากว้าง สุดท้ายก็มานั่งหอบมองหน้าคนหลับสนิทที่ดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร...
   

ผู้ชายคนนี้เข้ามาในบ้านเขาได้ยังไงนะ? อีกทั้งนี่เป็นส่วนนั่งเล่นด้านใน... ไม่มีทางเสียหรอกที่คนนอกจะเข้ามาขนาดนี้ได้ถ้าไม่มีคีย์การ์ด ซึ่งพอคิดมาถึงตรงนี้แล้ว สิ่งที่เขาพอจะนึกออกอย่างเดียวก็คือ คนคนนี้คงเป็นแขกของพี่ชายแน่แท้
   

“อย่า...ไป...” เสียงพึมพำดังขึ้นขัดความคิดอีกครั้ง เขาสะดุ้งโหยง มองคนหลับที่เริ่มขมวดคิ้ว ก่อนที่หยาดน้ำสีใสจะร่วงหล่นลงมาตามแนวแก้มเนียน
   

ทำอะไรไม่ถูก...
   

หันซ้ายหันขวา ละล้าละลัง ไม่รู้ว่าควรเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายดีไหม แต่ท่าทางโดดเดี่ยวรวมกับเสียงสะอึกสะอื้นนั่น ทำให้รู้สึกเจ็บปวดลึกๆ อย่างประหลาด... บรรยากาศชวนให้หดหู่ และมารู้ตัวอีกที เขาก็คว้ามือที่ใหญ่กว่าของตัวเองนั่นมากุมไว้เสียแล้ว
   

ทั้งที่ตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะ แต่ทำไมถึงดูอ่อนแอแบบนี้นะ?


   


เขามารู้ทีหลังว่าผู้ชายคนนั้นชื่อ วันสุข ...ชื่อประหลาด แต่ก็ติดหู จะบอกว่าเพราะไหมก็บอกไม่ถูก แต่มันดูมีความหมายแบบแปลกๆ เป็นความหมายที่เขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าคืออะไร
   

พักหลังมานี่ ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้กลับบ้านเร็วกว่าเดิมนัก เพราะเมื่อก่อนเอาแต่กลับดึก ถึงได้คลาดกับคนคนนั้นอยู่บ่อยๆ มารู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าแขกคนนี้มักจะมาที่บ้านเขาอาทิตย์ละสี่วัน เจ้าตัวจะอยู่ในห้องนั่งเล่น หากไม่เหม่อเหมือนคนยังไม่ได้สติดี ก็ต้องหลับสนิทแน่นิ่ง บางครั้งก็เพ้อ และร้องไห้บ่อยๆ
   

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาเปิดเข้ามาในห้องนั่งเล่น แล้วก็เจอะกับแขกคุ้นหน้าซึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้นพรม เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ต้องคิ้วขมวด สาวเท้าเข้าไปใกล้ รวบรวมแรงแบกคนตัวหนักขึ้นไปบนโซฟาอย่างยากลำบากเหมือนทุกที
   

คล้ายกับเป็นหน้าที่ไปแล้ว... ถึงจะไม่เคยคุยกันสักคำก็เถอะ...
   

“นี่... ทำไมถึงมาที่ได้ได้ตลอดนะ” เขาคุยกับคนหลับ... งานอดิเรกใหม่ฆ่าเวลา ในบ้านเงียบๆ ที่ไม่มีใครนี่ คงมีแค่คนตรงหน้านี่แหละที่พอจะเป็นหุ่นนิ่งๆ ให้เขาเล่าสารพัดเรื่องให้ฟังได้โดยไม่มีการโต้ตอบ
   

“วันนี้มีคนตีกันที่โรงเรียนด้วย... แล้วก็...”
   

เล่าไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้อยู่ว่าคนฟังคงไม่หือไม่อืออย่างเช่นทุกครั้ง มือเองก็คลี่ผ้าห่มขึ้นคลุมอีกฝ่าย ก่อนจะลงไปนั่งข้างโซฟา มองหน้าคนหลับอย่างไม่รู้จะทำอะไร
   

“ทำไมเวย์ถึงไปรู้จักคนอย่างพี่ได้นะ?” ถามอย่างนึกสงสัย ก็พี่ชายเขาน่ะให้ความรู้สึกตรงข้ามกับคนคนนี้โดยสิ้นเชิง ดูแล้วไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ อีกอย่างยังสนิทถึงขั้นมีกุญแจบ้านเขาได้นี่...
   

“อย่าบอกนะว่าคบกันอยู่”
   

“เปล่า...”
   

แทบสะดุ้งสุดตัว เมื่อคนที่ควรจะหลับกลับเอ่ยตอบคำถามของเขาเสียอย่างนั้น กายถอยพรวดออกห่างจากโซฟา ในขณะที่แพขนตาหนาของใครอีกคนค่อยๆ ปรือเปิดอย่างเชื่องช้า
   

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเลื่อนลอยจับจ้องมาที่เขา แต่เหมือนว่าจะมองผ่านทะลุร่างกายนี้ไปยังที่ไหนสักแห่ง ความว่างเปล่าที่สัมผัสได้จากบุคคลเบื้องหน้าทำเอาวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก ริมฝีปากอิ่มสีสวยเผยอออก กระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่างที่เขาฟังไม่ออก
   

“สวัสดี...”
   

ทักทายอีกฝ่ายไปอย่างคนที่รู้ว่าจะเริ่มบทสนทนาอย่างไรดี แต่เหมือนเสียงของเขาจะส่งไปไม่ถึงคนฟัง สุดท้ายก็เลยพูดย้ำหนักอีกรอบ “สวัสดีครับ” แล้วก็ได้ผล...
   

ดวงตาคู่สวยสบเข้ากับเขา ท่าทางจะเริ่มรับรู้การมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย และเพียงชั่วแวบ ดวงตาคู่นั้นก็ผละจากเขาไปอย่างรวดเร็ว แขกของพี่ชายกลับไปจมกับโลกแห่งความคิดของตัวเองอีกครั้ง
   

...สื่อสารด้วยยากจริงๆ
   

เขาถอนหายใจยอมแพ้ ชันกายลุกขึ้น เตรียมกลับไปทำการบ้านที่ยังค้างอยู่บนห้อง แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อปลายกางเกงนักเรียนถูกกระตุกเบาๆ พอหันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของมือซึ่งรั้งเขาเอาไว้ มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว... ด้วยดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้นนั่นแหละ
   

“อย่า...ไป...”
   

เหมือนถูกสะกดจิต...
   

สุดท้ายก็ทิ้งตัวนั่งลงอีกรอบ คว้ามือเย็นเฉียบนั่นมากุมไว้เหมือนทุกที...


   


วันนี้ที่โรงเรียนเลิกครึ่งวัน ใกล้ช่วงงานกีฬาสีแล้ว อากาศหน้าหนาวก็เย็นกว่าทุกที กุหลาบที่ปลูกไว้หน้าบ้านเริ่มออกดอกสวย รออีกสักพักคงจะเอามาเป็นแบบวาดรูปได้
   

พอเปิดประตูเข้าบ้านไปก็เห็นรองเท้าคู่เดิมซึ่งจะเริ่มคุ้นตา เขาแทบจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนร่วมบ้านไปเสียแล้ว ยิ่งพักหลังมานี่กิจวัตรประจำวันอย่างการพาคนหลับไปนอนบนโซฟา เขาเองก็ทำจนเป็นเรื่องปกติ …กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่รู้ตัว
   

ทว่าวันนี้ต่างไปจากทุกวัน... เพราะทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น คนที่ควรจะหลับเหมือนทุกครั้งกลับนั่งกอดเข่าคู้ตัว ไหล่ใต้เชิ้ตสีดำสั่นสะท้าน เสียงสะอื้นดังแผ่ว
   

“...” ขาที่จะก้าวเข้าไปหากลับหยุดชะงัก ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ใช้ดวงตาจับจ้องคนคนนั้นอย่างที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร... เพราะท่าทางนั่นดูทรมานกว่าทุกที และเพราะเริ่มที่จะคุ้นเคย ความรู้สึกหดหู่เจ็บปวดนั่นถึงส่งมายังเขาซึ่งทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
   

เพราะเป็นแค่เด็ก เลยไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนั้นถึงมีท่าทีแบบนี้ เขาเคยพยายามถามพี่ชายบ่อยครั้ง แต่ฝ่ายนั้นก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มหมองๆ มาให้ สุดท้ายก็เลยเลิกถามไปเสีย ปล่อยทุกอย่างมันดำเนินไป แต่เหมือนยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ สภาพของคนเบื้องหน้าก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว
   

ไม่อยากให้ร้องไห้เลย...
   

“อยากฟังเพลงหรือเปล่า?” โพล่งถามออกไป แต่เหมือนเสียงของเขาก็ยังคงส่งไปไม่ถึงอีกฝ่ายสักที ได้แต่เม้มปากแน่น เลี่ยงเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น ตรงไปยังโถงบ้านซึ่งอยู่ติดกัน ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังวัตถุขนาดใหญ่ซึ่งถูกคลุมทับด้วยผ้าสีขาวสะอาด
   

เขาดึงมันออก... ฝุ่นกระจายลอยบางอยู่ในอากาศ แสงแดดจากบานหน้าต่างติดกับสวนด้านนอกสาดส่องลงมา แกรนด์เปียโนสีขาวงาช้างดูนวลตากว่าทุกครั้ง...
   

“จะไหวไหมนะ” บ่นกับตัวเองเบาๆ เพราะไม่ได้เล่นมาเกือบปี
   

เขาทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ ความรู้สึกเก่าๆ กำลังไหลบ่าเข้ามาในสมอง ปลายนิ้วกดลงไปบนคีย์ เสียงนุ่มดังขึ้นท่ามกลางบ้านที่เงียบสงัด... ตัวโน้ตค่อยๆ ไล่เรียงอยู่ในสมอง พยายามนึกเพลงที่พอจะจำได้ ก่อนที่มือจะเริ่มพรมลงคีย์บอร์ดขาว
   

…Always With Me…
   

ทำนองเพลงอุ่นๆ ปนเหงาเบาบางดังขึ้น ความรู้สึกที่ชวนให้นึกถึงวันวานเก่าๆ ทำเอาเขายกยิ้ม... เพลงโปรดที่ไม่ว่าจะเล่นกี่ครั้งก็ทำให้หัวใจอบอุ่นเสมอ หวังเพียงแค่ว่าเสียงนี่จะส่งไปถึงคนห้องข้างๆ บ้าง
   

โน้ตไล่เรียงอ่อนหวาน... ก่อนที่คีย์ตัวสุดท้ายจะทิ้งช่วงแผ่วนุ่มนวล
   

ไม่รู้ว่าเสียงร้องไห้นั่นเงียบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่...
   

เขาเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น เริ่มกิจวัตรเดิมๆ ด้วยการแบกคนหลับขึ้นไปนอนบนโซฟา หาผ้ามาห่มให้ ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ คว้ามือใหญ่นั่นมากุมไว้เช่นทุกที แปลกก็เพียงแค่ว่า...ริมฝีปากสีส้มสวยนั่นยกยิ้มอ่อนๆ อย่างที่ไม่เคยเป็น
   

หัวใจเหมือนจะเต้นกระตุก...
   

ไม่เข้าใจนักหรอกว่าอาการนี่มันคืออะไร...
   

แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น...ใครจะไปรู้ว่าเขาจะได้กลับมาสัมผัสกับความรู้สึกนี้อีกครั้ง



I wish to see you again...


จบไปแล้วกับตอนพิเศษสุดท้ายของเรื่องนี้ :D
ทีนี้ก็จะได้รู้กันแล้วว่า ตาซานทำไมถึงได้ทำตัวสนิทสนมกับพี่วันนัก เหตุแท้แล้วเป็นอย่างนี้นี่เอง

ช่วงที่แต่งนิยายเรื่องนี้ เป็นช่วงที่ได้รู้สึกว่า กำลังแข่งกับตัวเองอยู่อย่างไรชอบกล และเพราะหน้ากระดาษที่จำกัด
ผนวกกับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ช่วงค่อนท้ายของเรื่องจึงค่อนข้างเร่ง และอาจจะจบห้วนไปสักนิดหนึ่ง
การเขียนพี่วันทำให้ได้รู้ว่า ตัวเองยังขาดฝีมือในหลายๆ ด้าน ซึ่งก็ต้องเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ และระหว่างนี้ก็อยากให้ตัวเองรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำด้วย โดยการเขียนเรื่องนี้ก็ให้อะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็นิสัยการเขียนที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน (หัวเราะ)

ขอบคุณทุกท่านที่ตามมาจนถึงตอนนี้ฮับ
ข่าวสารต่างๆ สามารถดูได้ทางเฟสบุ๊กจากลิ้งค์หน้าแรกของนิยาย และสามารถไปตามกันต่อได้ที่นิยายอีกเรื่องหนึ่ง ไกลกว่ารัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42992.0)

ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งสำหรับกำลังใจ และหลายๆ อย่างฮับ
 :กอด1: :L2: :กอด1:

ปล. จนจบเรื่องแล้วเวย์เพิ่งจะได้ออก
ปลล.สุดท้ายก็ยังไม่ได้คิดชื่อคุณอา
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-10-2014 19:39:24
เราเสียดายมากเลย ที่เข้ามาอ่านตอนมันจบแล้ว เราอยากให้กำลังใจคุณคนแต่งมากกว่า ๑ เม้นท์นี้จังค่ะ :z2:
สนุกจนเราไม่ทำการบ้านเลยล่ะ พรุ่งนี้มีพรีเซ้นท์งานก็ช่าง (ดูไม่มีความรับผิดชอบเนอะ :laugh:)
เอาใจช่วยตัวเองตลอดว่าจะทนอ่านจนจบไหม เพราะปกติเราไม่ชอบนิยายสีเทาๆซักเท่าไหร่ค่ะ เพราะเราจะอินมาก เราอ่อนไหว แต่เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เราไม่หนีไปไหน ต้องอ่านจนจบให้ได้  :mew6:
ก็อยากให้วันมีความสุขจริงๆนี่นา :hao5:
แต่ว่าชอบคุณอานะคะ ชอบมากกว่าซานอีก :jul3:
สุดท้ายกำลังจะไปตามอ่านอีกเรื่องนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Raiwyn ที่ 10-10-2014 20:24:16
เพิ่งรู้ว่าพี่วันลักษณะหน้าตาเหมือนคุณชาย เราก็จินตนาการตอนแรกแบบ หนุ่มร่างบางผมยาวระคอไรงี้ 555555555
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-10-2014 21:11:16
บอกตามตรงน่ะทุกวันนี้ก็ยังนึกหน้าวันสุขไม่ออกว่าจะมาแนวไหน 5555 เขาชอบเรื่องนี้น่ะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 11-10-2014 11:12:06
เค้าคุ้นเคยกันมาก่อนขนาดนี้นี่เอง
ดีจัง ที่ได้กลับมาเจอ ให้ซานได้เข้ามาดูแลจนได้
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 12-10-2014 01:15:04
อ่านแล้วหน่วงจริงๆ อึมครึมกับสภาพนายเอก สงสารด้วยที่ต้องทนทุกข์ในใจ

ดีแล้วที่สุดท้ายแฮปปี้

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 13-10-2014 13:04:01
อ่านเริ่มแรกรู้สึกว่าตัวเอกคือผู้กระทำ แต่อ่านมาเรื่อยๆ กลายเป็นผู้ถูกกระทำที่น่าสงสารไปซะแล้ว เรื่องราวผูกปมมาด้วยผู้หญิง จนมาปมที่ชื่อลูกหว้า  รู้สึกว่าถ้าไม่มีคนนี้ คงจะมีความสุขแท้ ทั้งๆ. ที่เป็นตัวสร้างความเลวร้ายด้วยความเห็นแก่ตัวของลูกหว้าเองแท้เลย แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เรื่องราวชวนติดตามมาก  อ่านแล้วต้องตามไปเรื่อยจริง ขอบคุณสำหรับเรื่องราวชวนติดตามอีกเรื่อง ^_^
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Zitraphat ที่ 14-10-2014 19:56:25
ชอบนิยายเรื่องนี้ ชอบความละมุนละมัย ชอบวันสุขที่ดูร้ายลึกและเหม่อลอย ความจริงชอบโกเด้นท์อย่างปรัญช์นะ ไม่ค่อยชอบพวกคว้าไม่ได้อย่างซานเท่าไหร่ แต่ก้พอรับได้เพราะชอบ วันสุขมาก ชอบในความหมายหลายๆ อย่าง ชอบมากจริงๆ ขอบคุณคนแต่งมาก ขอบคุณงานดีๆ เราเชียร์อยู่นะ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ เราชอบทุกอย่างที่เขียนไว้ ตรงกับความชอบเราทุกอย่าง ขอบคุณ

**ปล.เราไม่อ่านบทของพี่ดิน เพราะเราไม่ถูกจริตกับผู้ชายประเภทนั้น ถึงแม้จะรักมาก แต่ถ้าชีวิตตัวเองยังไม่รัก เราก็ไม่อยากจะคิดถึงเรากลัวว่าถ้าคิดถึงไป เราจะกลายเป้นอีกคนที่ฝังใจพี่ดิน แล้วคิดมากเหมือนวันสุข
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: poisongodx ที่ 15-10-2014 00:23:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 15-10-2014 14:59:00
อ่านจบในสองวัน..และนั่งอึนอย่างนั้นสองวัน.
เป็นเรื่องที่อ่านแรกๆแล้วดูเหมือนโลกช่างอบอุ่น สว่างสดใสมาก แต่พออ่านเจอเม้นนึงบอกครือๆเหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิด
ก็สงสัยทำไมบอกแบบนั้น จนเข้าตัวกลางเรื่อง..
อึนยาวเลย.. ปกติเป็นคนที่อ่านแล้วจะอินมาก เรื่องนี้นี่อ่านไปปวดหัวไป ปวดหัวใจไป รู้สึกซึมเศร้าตามพี่วันไป
กว่าจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ก็นั่งอึนผูกเรื่องในใจต่ออีกยาว รู้สึกยิ่งอ่านยิ่งถลำลงไปลึกยังไงไม่รู้..
ปล.อิมเมจในใจของซานกับพี่วันนี่ทำไมคิดถึงงานPuchitto HajiketaของKanda Nekoยังไงไม่รู้..
ปล.2 ซานนี่ใช่ที่แปลว่าภูเขามั้ยคะ.. อ่านๆไปแล้วรู้สึกเหมือนชื่อให้ฟีลเดียวกับพี่ดิน..
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 15-10-2014 16:51:08
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 15-10-2014 22:53:07

เป็นเสมือนไอหมอกยามเช้าที่เฝ้าตื่นมามองหา ขมุกขมัว เลือนลาง เห็นไม่ชัดเจน ทว่าเย็นสบาย ถวิลหาอยู่ในที

หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: felin_kkr ที่ 16-10-2014 16:37:18
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วให้อารมณสีเทาจางๆ ชอบมากกก  :o12:

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Tamz ที่ 16-10-2014 20:00:24
ขอสเปอีกได้มั้ยค่ะ  :hao5: ชอบเวลาวันสุขอยู่กับซานมากๆ ถึงบรรยากาศในเรื่องจะอึมครึมแต่มันก็อบอุ่น บอกได้คำเดียวว่า ชอบ มากกกกกกกกกกกกกกกกกก

ต้องอ่านตั้งพักนึงแนะกว่าจะรู้ว่าคุณอาเป็นผู้ชาย แล้วก็เพิ่งรู้ว่า วันสุข และซาน หล่อมาก-_-;?

ปล.แอบสงสารเวย์อ่ะY_Y
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 17-10-2014 01:34:20
เพิ่งมาอ่านจนจบ (ตามมาอ่าน เพราะลิ้งจาก หมีแสบแสนสวย Zitraphat
โทนเรื่องหม่นๆ อึนๆ หน่วง และมีปม ร้าวๆ ลึกๆ อย่างนี้ เป็นอีกแบบที่ชอบอ่านค่ะ
และเรื่องนี้ ทำออกมาได้น่าติดตามมาก
ถึงจะจบแบบแฮปปี้ ผิดไปจากที่คิดไว้ ก็อ่านได้สนุก (ปกติจะชอบให้จบแบบ ตายกระจาย อุอุ)

วันสุข ที่มีเรื่องราวเจ็บปวดมากมาย สงสัยอยู่ว่าอาการทางอารมณ์นี้ มันถ่ายทอดทางพันธุกรรมรึเปล่า
ดูเหมือนพ่อก็จะมีอาการป่วย คล้ายๆกัน ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แม่ก็แปลกๆ
แต่ยังดี ที่วันสุขมีคุณอา (ที่ตลอดทั้งเรื่องเราก็ยังไม่รู้ชื่อ 555 ) อยู่คอยดูแล รัก และเข้าใจ ในอาการของหลาน
มีบทคุณอาทีไร คนอ่านยิ้มตลอดเลย

ขอบคุณนิยายดีๆ ที่มาลงให้อ่านค่ะ เดี๋ยวจะตามไปอ่านอีกเรื่อง


หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: iamsiachun ที่ 17-10-2014 17:42:11
สนุกสนุกสนุกมาก เป็นเรื่องเรื่อยๆที่อ่านจนหยุดไม่ได้
และน่าเสียดายที่พอเปิดมาหน้าที่ 4 ก็พบว่ามันได้จบลงแล้ว..
คนคุณคนเขียนมากนะครับที่ได้เขียนเรื่องสนุกๆแบบนี้ขึ้นมา
เป็นกำลังใจให้เขียนเรื่องอื่นๆต่อไปนะครับ ♥
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 18-10-2014 01:47:16
อ่านจบเมื่อกี้สดๆร้อนร้อน เป็นนิยายสีเทาที่สนุกมากๆ แรกๆเหมือนจะไม่ค่อยมีปม แต่ก็ค่อยๆมีมาเรื่อยๆ ชอบค่ะ สนุก  o13
เราชอบบทส่งท้ายมาก มันดูเป็นตอนที่วันมีความสุขแบบจริงๆอ่ะ ส่วนตัวในเรื่องชอบผู้ชายแบบพี่ดิน รักผู้ชายอบอุ่นค่ะ  :o8:
แรกๆแอบไม่ชอบซานเพราะเหมือนมาแบบไม่บริสุทธิ์ใจ แต่พออ่านสเปแล้วแบบ โอ๊ยยยย เรารักนายยยยย แล้วก็ชอบตอนซานหึงด้วย เหมือนแมวหวงเจ้าของ 55555555
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 22-10-2014 02:36:22
ในที่สุดก็อ่านมาถึงตอนจบ

ใจนึงก็อยากรู้บทสรุป แต่อีกใจนึงก็อยากติดตามเรื่องราวชีวิตของแต่ละคนไปเรื่อยๆ

เป็นนิยายที่เริ่มมาด้วยความสดใส พี่วันเสน่ห์แรง น้องซานก็ขี้อ้อนเหมือนแมว น้องปรัชญ์ที่มานิ่งๆขี้อายๆ

แต่พออ่านมาเรื่อยๆ ปมต่างๆเริ่มเผย เนื้อเรื่องและจิตใจของตัวละครเริ่มซับซ้อนและดาร์คขึ้นเรื่อยๆ
จนตอนนี้ยังอึนๆมึนๆอยู่เลยค่ะ

ปล. แอบดีใจที่เดาถูกเรื่องอาการไม่สบายของพี่วัน เรื่องลูกพี่ลูกน้องของซาน และตัวจริงของคนที่อัดเพลงบรรเลงให้

ปลล. ชอบคุณอาจังเลยค่ะ ขนาดอ่านแค่ตัวอักษร ยังกรี๊ดเลย ทำไมจะดี ทำไมจะอบอุ่น ทำไมจะหล่อขนาดนี้   :-[

ปลลล. จะติดตามผลงานตลอดไปนะคะ ชอบงานเขียนดีๆมีคุณภาพแบบนี้จังค่ะ อยากให้มีคนแต่งนิยายแบบนี้เยอะๆ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: numilddy ที่ 24-10-2014 03:28:56
โอ้ย โคตรชอบเลย
ตอนแรกๆ ที่อ่านนี้ก็แบบน้องวันดูเฉยชาต่เหมือนมีจริตแฝงอะไรงี้
กลัวซานจะมาหลอกวัน
พอมีฉากฟิน มันฟินไม่สุด อารมณ์แบบฟินแบบหน่วงๆ (สื่ออะไรเนี้ย :z3:)
พอสองบทสุดท้ายนี้อารมณ์แบบเห้ยยย เหมือนปล่อยนกออกจากกรงแบบที่วันบอก
เหมือนไม่ติดค้างอะไรกับดินแล้ว
แหมๆ ~ ห้าปีจากแมวน้อยขี้อ้อนกลายเป็นเสือคอยตะปบวันซะแล้ว :impress2:
น้องวันก็ใช่ย่อย ยั่วให้หึงซะ o13
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณผู้เขียนที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมานะค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Kanya97 ที่ 24-10-2014 20:54:08
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ
ประทับใจมาก  o13
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: mm03 ที่ 26-10-2014 21:42:08
สนุกมากกค่ะ
บรรยายได้ให้เราเป็นเหมือนพี่วันได้เลย
มันอึดอัด ทำอะไรไม่ได้

ชอบเวลาพี่วันบริหารสเน่ห์มันไม่มาก แต่น่าหลงใหลที่สุด

ส่วนซานก็ให้อารมณ์แมวเหมียวจริงๆ ช่างออดอ้อนเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kissu111 ที่ 29-10-2014 13:14:35
เนื้อเรื่องดี ภาษาสวย เขียนดีมากเลยค่ะ ขอบคุณมากๆที่เขียนให้เราได้อ่าน ไม่รู้สิเหมือนดูหนังรักดีๆ เรื่องหนึ่งเลย

ชอบวันมาก นางมีหลายด้านดี เราชอบมาก งานเขียนที่ทำให้เราเห็นหลายๆด้านของคน รอตืดตามผลงานอยู่นะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 01-11-2014 09:21:52
ชอบมากๆค่ะ
หัวข้อ: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 01-11-2014 14:06:55
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ ให้ความรู้สึกหน่วงๆดี

อยากได้ตอนพิเศษเพิ่มจัง
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 28-11-2014 14:34:49
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกัน
(แอบวิ่งไปเจาะไข่บางเม้นท์ :katai5:)

อ่านเม้นท์แล้วก็ได้แต่นั่งยิ้ม เพราะพี่วันก็ไม่ใช่เรื่องแนว mass ที่เข้าถึงกลุ่มคนง่ายเท่าไหร่
ความเฉพาะแนวเล็กๆ เลยทำให้นิยายอ่านยากไปบ้าง แค่เห็นว่ามีคนติดตามจนจบก็ยิ้มแก้มปริแล้ว

แพลนว่าจะแต่งตอนพิเศษเพิ่มฮับ อาจจะเป็นของคุณอา แต่คาดว่าคงอีกสักพักใหญ่
สามารถติดตามข่าวสารในเฟสได้เช่นเดิมฮับ

แล้วก็งานที่เคยเขียนก็ไม่ได้มีแต่อะไรอึมครึมนะ (หัวเราะ) ยังมีรวมเรื่องสั้นแบบจบในตอนที่จะลงตามเทศกาล หรือช่วงเวลาสำคัญๆ อยู่อีกฮับ แต่ไม่ได้เอาลงที่เล้า 3/4 จะเป็นเรื่องอุ่นๆ ชวนอมยิ้ม แนวฮีลลิ่งเยียวยาหัวใจ ใครสนใจก็ไปตามลิ้งด้านล่างนี้ได้เลย

(http://upic.me/i/18/novelbanner01.png)   (http://my.dek-d.com/ice_silver/writer/view.php?id=1205961)  (http://upic.me/i/ud/fanpagebanner01.png) (https://www.facebook.com/turelightwriter)
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 - โซฟาที่ถูกยึดตัวนั้น (10/10/14) (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Zitraphat ที่ 28-11-2014 15:49:28
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:  สู้ๆๆนะจ๊ะ ตามเชียร์
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: U_Ton ที่ 24-03-2015 14:08:56
 :-[ ดีใจที่อ่านจบ และเสียใจที่มาอ่านเรื่องนี้ช้าไป... พลาดไปได้ยังไงกันนนนนน  :ling1:

 :katai5: ชอบวันสุข แต่ชอบพระเอกของเรามากกว่านิดนึง ชอบบุคลิกวันสุขดูยิ้มๆ มีเสน่ห์ดีแบบคนไม่คิดอะไร

แต่จริงๆมีเรื่องราวมากมายทั้งใหม่และเก่าหมุนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา แลดูมีหลายมิติแต่ก็ไม่ใช่ :hao4:...

เหมือนจะคล้ายกับซาน แต่ซานออกแนวมาแบบร้ายๆ เจ้าเล่ห์เจ้ากล...แรกๆ อ่านมาพระเอกแบดแน่ๆ อ่านไปสักพัก

โอ๊ะ! ตานี่ไว้ใจไม่ได้ เหมือนรู้ไปซะทุกเรื่อง มีความลับอะไรมีเบื้องลึกเบื้องหลังเเน่สำหรับการปรากฏตัว (ตัวร้ายส่ง

มาเเน่ๆ) แต่สุดท้ายแล้ว แหมะ!! (ตบเข้าฉาดๆ) พระเอ๊กพระเอก ขี้หึงเเต่ก็ขี้อ้อน ก็ตามประสาคนมันรักก็อยากเป็น

คนสำคัญแหละเนอะ น่ารักกกกก พ่อวีรบุรุษผู้กอบกู้วันใหม่ให้วันสุข...

อิอิ... ชอบคุณอามากๆ เหมือนกัน เหมือนเรียบๆ ไม่โดดเด่น น่าจะเป็นตัวละครเสริมสุขภาพจิตนายเอกเฉยๆ แต่จริงๆ

แล้วมีเสน่ห์ในตัวละครมากๆ อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น รู้สึกถึงความห่วงใยแบบพ่อลูก (ไปๆ มาๆ รู้สึกเหมือนชอบอารมณ์

ตัวละครคุณอามากกว่าวันสุขอีก 55555) :katai3:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 25-03-2015 01:32:54
อยากบอกว่า ติดเรื่องนี้จนไม่ได้หลับได้นอน
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 25-03-2015 15:55:43
เรื่องนี้สนุกมาก
หน่วงแบบอึนๆ5555
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 31-03-2015 13:09:08
ขอบคุณสำหรับเรื่องค่ะ เรื่องสนุกมาก เป็นเรื่องที่เหมือนจะเรียบๆ เรื่อยๆ แต่การดำเนินเรื่องก็เร้าให้ติดตาม เป็นเรื่องหม่นๆ ที่อบอุ่นดี
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: wann ที่ 06-04-2015 21:19:23
สนุกมากกกกกกกกกกกกค่าาาา

แต่ละคนมีแผลด้วยกันทั้งนั้นน แต่หนักหน่อยคงเปนวันสุขของเราา จริงๆเรื่องคงไม่เกิดถ้าหากแต่ละคนได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกไป แต่ที่ไม่พูดเพราะกลัวจะต้องเสียคนๆนั้นไป เศร้าและสนุกมากๆเลยค่ะะะ :mew2:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-05-2015 23:29:49

 แอบสะใจนิดนึงตรงที่ซานต่อยลูกหว้าซะสลบ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: akkharadech ที่ 16-05-2015 17:35:54
คนผูกปมคือลูกหว้าสินะ ไม่งั้นวันคงแฮปปี้กะพี่ดินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 25-06-2015 09:32:50
ชอบเรื่องนี้นะครับ ถึงแม้ว่ามันจะอึมครึมหนักๆ
แต่ชอบสำนวนภาษาที่เขียน บทบรรยาย รู้สึกถึงหมอกควัน และความเงียบตลอดเวลา
ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังญี่ปุ่นเลย ที่ชอบเล่นกับจิตใจคนและความเงียบแบบธรรมชาติ

ชอบซานนะ ซานคือคนที่มีสเน่ห์มากๆเลย
ส่วนวันสุขก็ช่างยั่วจริงๆ ชอบนายเอกแบบนี้นะ

ขอบคุณผู้แต่งมากครับสำหรับเรื่องดีๆ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 02-07-2015 00:21:09
สนุกมากเลยค่ะ ชอบมาก บรรยากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตกแต่ไม่ตก เหมือนจะดราม่าแต่ไม่หนักอันที่จริงคนแต่งสามารถทำให้โศกกว่านี้ได้แต่คงความอึมครึมเอาไว้ ชอบมากเลย แม้แต่บทที่แฮปปี้มันก็ยังดูอึมครึมแบบไม่ละทิ้งคอนเซ็ปต์สรุปคือชอบค่ะ เสียดายน้อยจังเลยอยากอ่านมากกว่านี้ แล้วจะติดตามผลงานเรื่องอื่นๆ อีกนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-07-2015 20:36:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: มะปรางเปรี้ยว ที่ 27-07-2015 13:14:21
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ) + แจ้งข่าว Re.127 P.11 (28/11/57)
เริ่มหัวข้อโดย: อเลนคุง ที่ 19-09-2015 02:58:04
เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่าน เป็นนิยายที่ต้องตั้งใจอ่านทุกตัวหนังสือจริงๆ ความรู้สึกทุกอย่างส่งผ่านมาทางตัวหนังสือ อารมณ์จะอบอุ่นก็ไม่เชิง จะหน่วงก็ไม่ใช่ รู้สึกอยากให้แต่งเป็นเรื่องยาวจังเลย  :mew2:

ไว้เดี๋ยวจะไปติดตามอ่านเรื่องอื่นๆของคุณนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้ค่ะ :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 21-12-2015 00:00:21
อ่านแต่ละตอนด้วยใจตุ้มต่อมๆ ชอบภาษา ช่วงอ่านไม่กล้าหายใจเสียงดัง เหมือนดูหนังผี ช่วงหน่วงๆ ไม่กลัวแต่พอเริ่มสงบสุขตอนนั้นแหละผีโผล่ *แง้
ชอบน้องวัน ตรงที่ขี้อ่อย He's sexy and he knows it. 5555 นายเอกในอุดมคติเลย ❤
เราชอบทุกเรื่องของคนเขียนเลยค่ะ
ติดตามผลงานนะคะ
เบื่อเกมแล้ว เอานิยายมาลงด้วยน้าาาา 555
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: titeaw ที่ 31-07-2016 22:10:39
ตามมาจากแฝดค่ะ

ชอบเหมือนเดิม ชอบทุกอย่าง ทำหนังสือเถอะค่ะ ฮืออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 01-08-2016 01:07:02
อ่านตอนต้นๆเรื่องนี่มีความน่ารักนะ แต่อ่านไปอ่านมามีความหน่วง ชอบคุณอาาา
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 05-08-2016 08:35:16
พล็อตแปลกแหวกแนว สนุกดีค่ะ  o13  ยังสงสัยอยู่เรื่องนึง ทำไมตอนแรกน้องซานดู...อืมมมม ไม่แคร์พี่วันเลย? ดูเป็นแมวใจร้ายใจดำ  :mew5:  เรื่องอื่นยังพอ(กัดฟัน)มองผ่าน แต่เรื่องที่ทิ้งพี่วันตอนไม่สบายเพื่อไปหาสาวนี่.....   o22
หัวข้อ: Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 10-05-2017 17:01:53
เป็นเนื้อเรื่องที่แปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ แต่ก็อ่านเพลินดี ช่วงแรกก็น่ารักดีพออ่านไปเริ่มหน่วง ๆ แต่ก็น่ารักแบบหน่วง ๆ



ขอบคุณครับ