Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)  (อ่าน 61678 ครั้ง)

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามนะจ๊ะ  ลุ้นอยู่นะ  แต่เราเชียร์น้องซานจ้า
ชอบแมว  น่ารักดี

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 5 - ภาพใบใหม่ เรื่องราวเก่าๆ


ห้องมืดสีดำ...
   
แขนแสบแปลบ...
   
เสียงหัวเราะจากอีกฟากประตู...
   
ไม่รู้ว่าอีกกี่ครั้งที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายในคืนหนึ่ง
   
“คุณแม่ครับ น้องวันสอบได้ที่สามของระดับชั้นแหละ” เสียงใสๆ เจื้อยแจ้ว กระเป๋านักเรียนถูกถอดโยนไว้ที่ข้างประตู วิ่งตึงตังเข้ามาในบ้าน ฉีกยิ้มให้กับสาวสวยคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่โถงกลางห้อง กระดาษแข็งประทับตรารางวัลสำหรับเด็กเรียนดีถูกยื่นไปให้ เธอรับไปถือไว้ กวาดตามองเพียงชั่วแวบแล้วขมวดคิ้ว
   
“ทำไม่ถึงสอบไม่ได้เต็มคะ?” เสียงหวานถามเรียบเรื่อย ยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กชายค่อยๆ เบาบางลง ดวงตาสวยคมคู่นั้นปราดมองมาที่เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
   
“ทำไมน้องวันสอบไม่ได้เต็มคะ? ข้อสอบง่ายๆ แบบนี้”
   
“แต่น้องวันได้ที่สาม... คนทั้งสายชั้นมีตั้งสี่สิบกว่าคน...” ว่าเสียงอ่อย มือกำแน่นเข้าหากัน
   
“แล้วยังไงคะ? แต่น้องวันก็ยังไม่ได้เต็มเหมือนเดิม ทำไมหนูถึงโง่แบบนี้ ลูกโง่ๆ แบบนี้นี่ใช่ลูกคุณแม่แน่หรือเปล่าคะ?” วาจาเชือดเชือนนั้น เขาเพียงได้แต่ยิ้มรับ โดนว่าจนชินชา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
   
“คุณก็อย่าไปดุมันมากนักเลย ปล่อยๆ ไปเถอะ” พลันเสียงทุ้มจากใครอีกคนก็ดังขึ้นไม่ไกล ศีรษะของเขาถูกลูบเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้เป็นพ่อส่งยิ้มอ่อนมาให้ ทว่าในดวงตาคมคู่นั้นกลับดูเฉยชาเสียเหลือเกิน
   
“คราวหน้าน้องวันจะพยายาม” เขาว่าเสียงอ่อย หลายครั้งที่อ่านหนังสือจนตาลาย แต่คะแนนที่ทำได้ก็ยังแพ้อยู่ดี ต้องพยายาม พยายามมากขึ้นไปอีก พยายามจนกว่าจะได้เต็ม...
   
“ไม่ต้องพยายามหรอก ยังไงก็ไม่ได้เต็มอยู่แล้ว” คุณพ่อว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ถ้อยคำร้ายกาจนั้นทำเอาเขานิ่งค้าง
   
อดทนไว้...
   
เขาท่องอยู่ในใจ คุณครูบอกว่าเด็กทุกคนต้องรักคุณพ่อกับคุณแม่ ตามตำราก็บอกว่าพ่อแม่ทุกคนก็จะรักลูกตัวเอง...
   
พูดย้ำๆ ท่องซ้ำๆ
   
“แล้วนั่นคุณจะออกไปไหนคะ?” หญิงสาวร้องถาม โยนกระดาษประกาศผลสอบไปอีกทางจนเขาวิ่งตามไปเก็บแทบไม่ทัน เค้าของบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอีกแล้ว เห็นแบบนั้นก็ค่อยๆ เลี่ยงออกมา อยู่นานคงไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดช้าเกินไป...
   
“ไปหานังนั่นอีกแล้วเหรอ!? ลูกคุณก็อยู่ตรงนี้ คุณจะยังไปหาเพิ่มอีกเหรอคะ!?” สิ้นเสียงหวีดแหลม แขนของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรง ร่างลอยหวือมาประจันกับผู้เป็นพ่อ เล็บยาวสีสวยนั่นจิกครูดเข้าไปในเนื้อ เขาเบ้หน้า กลั้นน้ำตาเอาไว้ อยากจะร้อง แต่ถ้าร้องไห้จะยิ่งโดนหนักกว่าเดิม...
   
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเด็กนั่น? คุณพาใครต่อใครมาเรี่ยราดในบ้านทำไมผมจะไม่รู้ คิดว่ามีมันไว้แล้วจะไปทำอะไรได้ฮะ!?” เสียงทุ้มนุ่มละมุนกลายเป็นตะคอกรุนแรง
   
เขากัดฟัน ปิดตาแน่นเตรียมรอรับความเจ็บ... เสียงฟาดเปรี้ยงของอะไรสักอย่างดังลั่น แขนแสบยิ่งกว่าเดิม กลิ่นเลือดคุ้นเคยลอยคลุ้งจนต้องเบ้หน้า...เลือดของเขาเอง
   
“ถ้ามันหายไปสักคนคุณก็คงจะเลิกเกาะแกะผมสักทีใช่ไหม? งั้นก็ดีเลย!” หญิงสาวกรีดร้องลั่น ร่างของเขาถูกเหวี่ยงไปด้านหลังจนล้มไปกับพื้น
   
มือเล็กๆ ตะกุยตะกายพยายามลุกขึ้นมา หัวเข่าแสบไปหมด กัดฟันแน่นฟืนความเจ็บ อยากจะตัวใหญ่กว่านี้... อยากจะเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ ถ้าตัวโตแบบคุณอาก็คงไม่มีใครมาทำอะไรได้...
   
“ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา พ่อคุณไม่เอาคุณไว้แน่!” เธอตะคอก ในน้ำเสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความชิงชัง
   
เมื่อเขาได้ยินเสียงโทนนั้นก็ไม่ต้องคิดให้มากความอีกแล้ว... ขามันสั่งให้วิ่งเร็วจี๋ขึ้นไปบนห้องตัวเอง ผู้ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาจะคว้าเขาไว้ แต่หญิงสาวเข้ามาขวางทัน เสียงโครมครามดังตามมา และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
   
ถลาเข้าไปในห้องตัวเอง ปิดประตูดังปึง ลงกลอนอย่างแน่นหนาด้วยมือสั่นเทา อาศัยเพียงแสงเบาบางซึ่งลอดมาจากผ้าม่านหนาเพื่อมองนาฬิกาว่าอีกกี่นาทีคุณอาจะกลับ
   
เสียงปึงดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาสะดุ้งเฮือก ประตูห้องถูกทุบอย่างรุนแรงจนกลอนแทบจะกระเด้งหลุดออกมา
   
“ออกมาเดี๋ยวนี้วัน!!”
   
ท่าทีของพ่อเปลี่ยนไปแทบจะกลายเป็นหลังมือ ความเกรี้ยวกราดนั่นทำเอาเขาหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด หันซ้ายหันขวาหาตัวช่วย รีบกระโดดแผล็วเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ลงกลอนอีกชั้นที่คุณอาอุตส่าห์ทำให้เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงปึงปังดังสนั่น
   
“พี่ทำบ้าอะไรอยู่!”
   
หัวใจน้อยๆ คล้ายกับจะอุ่นวาบขึ้นมาแทบจะในทันที เสียงคุ้นเคยนั่นทำเอาเขาโล่งอก... ฮีโร่ตลอดกาลของน้องวันมาช่วยแล้ว... นึกได้ก็เปิดประตูตู้พรวดออกไป ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพของคนสองคน
   
“ถ้ายังเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง พี่ก็ช่วยหยุดทำเรื่องบ้าๆ นี่ได้สักที!” ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของบ่ากว้างยืนหันหลังให้กับเขา เสียงทุ้มห้าวเข้มกังวานก้อง
   
“แต่นั่นมันลูกกู กูจะทำอะไรกับมันก็ได้!”
   
“ทำได้พี่ก็ลองดู เขาเองก็หลานผมเหมือนกัน! ถ้ายังรักเขาอยู่ พี่ก็สงบสติอารมณ์ได้แล้ว!!”
   
จำไม่ได้แล้วว่าบทโต้เถียงนั่นไปจบลงที่ตรงไหน แต่พ่อก็ยอมล่าถอย แม้ดวงตาคุกกรุ่นคู่นั้นจะยังเพ่งมองมายังเขาก็ตาม... ฮีโร่ของน้องวันถอนหายใจเฮือก ร่างสูงใหญ่หันมาประจันหน้า รอยแดงเข้มปาดป้ายบนเชิ้ตขาวทำเอาเขาปล่อยโฮลั่น
   
คุณอาเจ็บตัวเพราะเขาหลายครั้ง พ่อเองก็ไม่เคยยั้งมือ ถึงจะเคยโดนบอกบ่อยๆ ว่าผู้ชายคนนั้นมีปัญหาบางอย่างซึ่งต้องไปพบแพทย์ประจำ แต่เขาในวัยเด็กนั้นไม่เคยจะเข้าใจ คุณแม่ก็อีกคน...เธอไม่เคยทำร้ายคุณอาก็จริง แต่มักจะมาลงมือลงไม้กับเขาแทน ทั้งที่เมื่อก่อนเธอดีเหลือแสน ทว่านับวันกลับร้ายขึ้นจนเขากลัว...
   
“ไม่เอาครับไม่เอา น้องวันของคุณอาไม่ร้องนะครับ” กอดอุ่นๆ ปลอบประโลมอย่างเช่นทุกที เขากอดคุณอาแน่น ร้องไห้ไม่หยุด ความรู้สึกบางอย่างมันพลุ่งพล่านอยู่ข้างใน สิ่งที่เคยท่องซ้ำๆ ย้ำในหัวดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว
   
“ตาย...”
   
“น้องวันครับ?”
   
“ทำไมพ่อไม่ตายไปซะ! น้องวันเกลียดที่สุด! เกลียดที่สุด เกลียดเขาที่สุด!!”
   
คำพูดนั่นยังดังกังวานอยู่ในใจของเขาจวบจนถึงทุกวันนี้...


   

ความฝัน...จบลงที่ตรงไหน เขาเองก็ไม่รู้ตัว ฝันซ้ำๆ หลายครั้งเข้าก็ทำเอานอนไม่หลับ ยาหน้าตาเดิมๆ ถูกพึ่งพาอีกครั้ง หลายคืนเข้าก็ทำเอาชักกลัวว่าจะมีปัญหา ถ้อยคำร้ายกาจในวัยเด็กถูกรื้อฟื้นขึ้นมาเล่นงานจิตใจจนชักจะอ่อนแรง
   
“เฮ้อ...”
   
“เป็นอะไร? ถอนหายใจมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” คุณอาร้องถามเมื่อเห็นสภาพของเขา วันสุขยิ้มบาง เอียงคอไปมา ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
   
“กำลังคิดถึงเรื่องสมัยเด็กน่ะครับ” ว่าเสียงเบาพลางตัดไข่เจียวปูไปวางไว้บนจานของคนฝั่งตรงข้าม ในขณะที่เจ้าของจานเขม่นตามองเขาแทบจะในทันที
   
“อย่าบอกว่าฝันอีกแล้ว? ปล่อยใจให้ว่างไว้บ้าง ฟุ้งซ่านมากๆ เข้า ระวังอาการมันจะกลับไปแย่เหมือนเดิม” ท่านเตือนด้วยความหวังดีทำเอาเขาถอนหายใจอีกรอบ อยากจะสารภาพอยู่หรอกนะว่าพักหลังมานี่เริ่มกลับไปพึ่งยานอนหลับบ่อยๆ แต่ถ้าบอกไปคงได้เป็นเรื่องแน่
   
“เวย์มันก็ชอบโทรมาย้ำกับผมเหมือนกัน” เจ้าเพื่อนตัวดีนี่ก็จับความรู้สึกเขาได้ไวเหมือนทุกที พักหลังก็ชอบโทรศัพท์มาหา หลอกล่อเขาให้เข้าไปหามันที่โรงพยาบาลบ่อยๆ สงสัยแผนกจะร้างคนเลยอยากได้ลูกค้าไปปั่นรายได้
   
“อาว่า...เข้าไปหาหน่อยก็ดี ดูเรามีเรื่องกังวลใจหลายอย่างนะตอนนี้” สมกับเป็นคนเลี้ยงเขามา มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขามีปัญหาอะไร วันสุขคิดว่าคุณอาก็น่าจะรู้ แค่ท่านไม่พูดออกมาโต้งๆ แต่รอให้เขาบอกเองจากปากก็เท่านั้น
   
“ก็ครับ เยอะเลยเชียว” แถมมีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้นเสียด้วย...
   
“เรื่องหัวใจงั้นสิ?” ท่านถามพลางทำเสียงล้อเลียนเขา “ก็อย่าไปคิดมากนักเลย ปกติวันสุขของอาก็ไม่เคยคิดอะไรอยู่แล้วนี่” ต่อจนจบประโยคก็ทำเอาเขาสำลักน้ำจนไอค่อกแค่ก ไม่รู้ว่าถูกด่าทางอ้อมหรือเปล่า แต่พอมาโดนพูดตรงๆ แบบนี้ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
   
“คุณอาพูดเหมือนผมไม่เคยคิดอะไรเลยอย่างนั้นแหละ” พูดพลางบู้หน้าใส่
   
“อ้าว...ปกติก็ไม่เคยคิดอะไรอยู่แล้วจริงๆ นี่” ท่านยกยิ้มอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะชอบใจที่แหย่เขาได้
   
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” วันสุขแย้งเสียงอ้อมแอ้ม
   
“อารู้ๆ เราน่ะถึงจะดูเหมือนไม่คิดอะไร แต่ก็ชอบเผลอคิดมากทุกทีใช่ไหม? บางเรื่องตัวเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ อาก็เห็นว่าเราชอบหลอกตัวเองบ่อยๆ เหมือนคนที่ชอบพูดว่า ‘วันนี้ฝนไม่ตกหรอก’ แต่ก็แหงนหน้ามองฟ้าทุกหนึ่งนาที” นั่นมันเขาชัดๆ
   
“โอเคๆ ยอมรับก็ได้ครับ” ว่าเสียงอ่อนแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นครืดคราดแล้วนิ่งไป คุณอาหัวเราะเบาๆ ดวงตาคมนั่นฉาบแววเจ้าเล่ห์อยู่ลึกๆ
   
วันสุขเหล่มองหน้าจอแล้วกดเปิดข้อความ ก็พบว่าเป็นภาพวาดสีน้ำรูปท้องฟ้ายามค่ำ เห็นแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว ไหนเจ้าตัวบอกว่าวาดไม่สวย แต่สิ่งที่เขาเห็นนี่มันตรงข้ามกับคำบอกนั้นเสียจริง
   
สีน้ำเงินเข้มผสมกับม่วงครามปาดป้ายแทนฟ้า ประกายสีเหลืองอ่อนพราวแทนดวงดาวนับพัน เมฆสีเทาฟ้าลอยเอื่อย พระจันทร์ขี้อายแอบหลบอยู่ด้านหลังปุยนุ่มนั่น บนผืนดินมีแมวขนฟูนั่งแหงนหน้ามองดวงดาวด้วยท่าทางมุ่งมั่น... พอได้เห็นแล้วมุมปากก็เผลอยกยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...
   
“คนมีความรัก มักจะไม่ทำหน้าตาบึ้งตึง”
   
เสียงร้องเพลงดังขึ้นขัดทำเอายิ้มหุบทันควัน วันสุขแกล้งรวบจานเปล่าบนโต๊ะไปล้างอย่างรวดเร็ว ทว่าเพลงเย้าแหย่นั่นยังตามมาหลอกหลอนเขาไปถึงในครัว


   

คราวก่อนอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวจนเขาจับไข้ มาวันนี้ดันแดดเปรี้ยงกันตั้งแต่ช่วงสาย ธรรมชาตินี่เชื่อใจไม่ได้เสียจริง พยากรณ์อากาศก็บอกว่ามีเมฆมากแท้ๆ แล้วทำไมท้องฟ้าถึงได้สว่างใสไร้เมฆเสียอย่างนั้น
   
ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก หมวกฟางใบเก่าที่ได้ติดมาจากไร่ของเพื่อนคุณอาช่วยกันแดดได้ไม่มากนัก ยิ่งความร้อนที่เริ่มรุมเร้าเข้ามาก็รู้สึกว่าตัวเองจะไข้กลับ มือถือบัวรถน้ำสีชมพูจากฝีมือคุณอา ก่อนจะกัดฟันรดน้ำลงกระถางต้นไม้เล็กๆ ต่อไป
   
“ตัวแดงเป็นลูกหนูแล้วนั่น พักก่อนไหม?” เสียงเย้าแหย่ดังมาจากในครัว วันสุขหันไปมองแล้วถอนหายใจเฮือก
   
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณอาซึ่งปลูกไว้ตั้งแต่ท่านยังหนุ่มๆ จะเรียกว่าเรือนหอก็ได้ เสียอย่างเดียวตรงที่เจ้าสาวมาอาศัยอยู่ได้ไม่นานนักเธอก็จากไป พานพาให้หัวใจของคนตรงหน้าเขาคนนี้ไม่เปิดรับใครอีก บ้านซึ่งทำจากไม้อย่างดีทาสีขาวกับหลังคาสีเทาครีมเลยมีแค่อากับหลานซึ่งอาศัยอยู่กันมาจนถึงปัจจุบัน
   
ที่ครัวหลังบ้าน สถานที่ซึ่งเขามักจะมาคลุกอยู่ประจำได้รับการต่อเติมมาไม่นานนี้ คุณอาติดประตูกระจกกับชานระเบียงไว้พอสำหรับนั่งพักขา ก็ถือว่าเป็นมุมหย่อนใจมุมหนึ่ง และเขาก็ชอบมันมาก เพราะตรงนี้น่ะสงบที่สุด กลางค่ำกลางคืนก็เหมาะแก่การมาเอกเขนกดูดาว ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องยุงล่ะก็นะ...
   
“คุณอาครับ ขโมยของทำเค้กผมมากินอีกแล้ว รอบนี้ผมไม่ยอมนะ” หลักฐานเป็นแคนตาลูปชิ้นโตนั่นทำเอานึกโกรธ แต่ก็โกรธได้ไม่นาน เมื่อชายวัยกลางคนเดินสวบๆ เข้ามาแล้วยัดผลไม้เย็นเฉียบเข้าปากจนบ่นต่อไม่ได้อีก
   
“กินสดๆ แบบนี้อร่อยดีออก เอาไปทำเค้กทำไม เสียของ” ว่าแล้วก็เคี้ยวหงับๆ เยาะเย้ยเขา พอแกล้งจนพอใจก็หลบแผล็วเข้าไปในบ้านพร้อมจานใส่แคนตาลูปใบโต
   
เห็นแล้วก็ยิ้มขัน... เขาบอกว่าพอคนเราแก่ตัวลงก็จะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนั้นท่าจะจริง เพราะเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าคุณอาชักจะดูวัยรุ่นขึ้นทุกที ผิดกับเขาเนี่ยแหละที่เริ่มล้าหลัง ตามอะไรใครเขาก็ไม่ค่อยจะทัน
   
“คุณอาครับ! เดี๋ยวรดน้ำต้นไม้เสร็จผมว่าจะออกไปห้าง ให้ผมทำอะไรไว้ให้ไหม?” ว่าเสร็จ คุณอาก็โผล่หน้ามาจากประตูกระจก ท่านทำหน้านึกเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะ
   
“เดี๋ยวอาออกไปกินข้าวที่โน่นเลย นัดเพื่อนเก่าเอาไว้ เราไม่ต้องลำบากทำไว้หรอก”
   
วันสุขพยักหน้าหงึกหงัก เขาเองก็ว่าจะออกไปหาอะไรกินที่ห้างเหมือนกัน พักนี้เหมือนจะเหนื่อยง่ายชอบกล ไม่ก็พิษไข้ยังไม่หมด อาการเพลียเลยยังตกค้างจนไม่อยากจะทำอะไร
   
รดน้ำเสร็จก็เพิ่งนึกได้ว่าลืมพรวนดิน ไปๆ มาๆ เนื้อตัวก็กลับมาเลอะเทอะจนต้องอาบน้ำซ้ำอีกรอบ ลงมาที่ชั้นล่างใครอีกคนก็ออกไปแล้ว
   
วันสุขชะโงกหน้ามองรอยล้อรถยนต์อย่างนึกห่วง ก่อนจะฉีกยาลดไข้ขึ้นมากินกันไว้ล่วงหน้า ขนมปังที่ใกล้เสียอีกแผ่น แล้วก็จัดการลงกลอน ดับไฟ สตาร์ทรถ มุ่งสู่ห้างปลายทางอย่างเอื่อยเฉื่อย...


(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage

โครก...
   
ท้องร้องลั่นจนขนาดที่ว่าตัวเองยังตกใจ วันสุขเคาะหน้าผากลงกับพวงมาลัยแข็งๆ มือคว้าขวดน้ำข้างประตูมาดื่มอึกๆ เมื่อครู่ตอนรับบัตรจอดรถ ท้องเจ้ากรรมมันก็ดังร้องลั่น พานพาให้เจ้าของมันรีบเหยียบคันเร่งหนีแทบไม่ทัน ขนาดเข้าซองจอดได้ก็ยังไม่กล้าออกไป นั่งนิ่งรอกระเพาะน้อยๆ ของตัวเองให้เข้าสู่ความสงบ
   
“น่าอนาถชะมัด...”
   
ปกติเขาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหิวขนาดนี้ ถ้าฝืนทำของกินง่ายๆ อย่างข้าวไข่ดาว แล้วเอาเวลาขับรถที่เหลือไปนอนพักอาจจะเข้าท่ากว่า แต่ทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้ก็ไม่รู้...
   
“เอาล่ะ...ไหนๆ ก็มาแล้ว” พูดปลอบใจตัวเอง ถ้ากินข้าวเสร็จก็คงต้องออกไปเดินซื้อของสักหน่อย ตอนวนรถขึ้นมาก็เห็นเสื้อผ้าของเด็กสมัยนี้แล้วอดย้อนมามองตัวเองไม่ได้
   
เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ มันตอนไหน... ออกไปไหนก็พึ่งเสื้อเชิ้ตสีเข้มๆ ตลอดอย่างกับคนไว้ทุกข์ บางทีไปซื้อพวกชุดอยู่บ้านมาติดตู้ไว้ก็คงจะดี...
   
วันสุขเดินเอื่อยเฉื่อยลงมาจากรถ สูดหายใจเข้าลึกอีกทีก่อนจะตรงดิ่งไปยังประตูเข้าห้างสรรพสินค้า แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีอ่อนกวาดมองผู้คนแล้วก็เริ่มรู้สึกปวดหัว ริมฝีปากสีส้มสวยเม้มเข้าหากัน
   
“คนเยอะเกินไปแล้ว...” บ่นงึมงำขึ้นมาอย่างหมดแรง
   
ทั้งที่ไม่ได้มีเทศกาลอะไร แต่คนมาจากไหนกันเยอะแยะนักนะ? ถึงจะเคยชินกับปริมาณคนในมหาวิทยาลัย แต่สถานศึกษากับห้างย่อมให้อารมณ์ต่างกันอยู่แล้ว... เสื้อผ้าลายตา เสียงคุยจอแจ และกลิ่นน้ำหอมชวนเวียนหัว
   
“อ้าว...พี่วัน สวัสดีครับ” พลันเสียงทักทายก็ดังขึ้นจากด้านหลัง วันสุขชะงักไปแล้วหันขวับไปมอง
   
“ซาน?” เอ่ยทวนชื่ออย่างนึกแปลกใจ รอยยิ้มคุ้นตานั่นถูกส่งมาให้ ไม่รู้ทำไมมันถึงดูละมุนตากว่าทุกครั้ง
   
เด็กหนุ่มตัวสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตาพราวคู่นั้นจับจ้องมายังเขาอย่างพิจารณา ก่อนที่คิ้วเข้มสวยจะขมวดมุ่นเข้าหากัน
   
“หน้าพี่ซีดๆ นะ ไม่สบายอีกแล้วเหรอครับ?” ว่าเสร็จก็ยกมือขึ้นทาบหน้าผากเขาทันควัน วันสุขยิ้มบางเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นปฏิกิริยาจากผู้คนรอบข้าง ...อย่างไรเสียดูยังไงมันก็คงแปลก ผู้ชายสองคนมาทำอะไรกันแบบนี้ ปกติเสียที่ไหน
   
“ตัวรุมๆ นะครับ กลับบ้านไปนอนน่าจะเหมาะกว่า” พอพินิจอาการเขาเสร็จก็สรุปเอาดื้อๆ
   
“เจอหน้าแทนที่จะทัก แต่มาไล่พี่กลับบ้านเนี่ยนะ?” แย้งอย่างนึกโมโหปนขัน แต่แมวตัวใหญ่กลับฉีกยิ้มใส่เขาเสียอย่างนั้น
   
“ไล่กลับบ้านน่ะถูกแล้ว คราวก่อนก็ไม่สบายจนเกือบแย่ อายุปูนนี้แล้ว...ห่วงสังขารบ้างเถอะครับ โอ๊ย!” บ่นยังไม่ทันจบประโยคก็โดนเขาสับสันมือเข้าท้องไปตามระเบียบ ถึงจะไม่ได้เครียดเรื่องอายุอะไร แต่โดนพูดซึ่งหน้าแบบนี้มันก็ต้องลงโทษกันหน่อยล่ะ
   
โครก...
   
วันสุขแทบสะดุ้งโหยง เมื่อเสียงโอดครวญจากท้องน้อยๆ ของตัวเองดังลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โชคดีที่ไม่ดังมาก แต่ซานที่อยู่ใกล้ขนาดนี้ย่อมได้ยินเป็นธรรมดา
   
“ตะกี้เสียงอะไรน้า” เด็กหนุ่มเปรยขึ้นมาเบาๆ มุมปากนั่น...ยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว
   
“หูฝาดมากกว่า” เขากระแอมกลบเกลื่อนแล้วเดินหนี หน้ามันชักร้อนๆ ชอบกล ทว่าแขนกลับถูกคว้าเอาไว้ พออีกฝ่ายกระตุกเบาๆ ก็ทำเอาเขาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวลอยหวือ
   
“มากินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย กินคนเดียวมันเหงาน่ะ” พูดอย่างเอาแต่ใจ แล้วก็ลากแขนเขาตรงดิ่งไปยังร้านสเต็กไม่ใกล้ไม่ไกลแถวนั้นทันที


   

“สองท่านนะคะ”
   
พนักงานในร้านถามเสียงหวาน วันสุขฝืนยิ้มบางๆ ให้พวกเธอ ถึงตอนนี้จะไม่มีอารมณ์มาสานสัมพันธ์กับใครก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะไปทำหน้าตาหงุดหงิดใส่คนที่ตัวเองไม่รู้จัก
   
“เชิญทางนี้เลยค่ะ” เธอว่า สายตามองสลับระหว่างเขากับซาน ท่าทางขวนเขินนั่นทำเอาต้องถอนหายใจเฮือก อารมณ์เหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาในชั้นแล้วมีเด็กหญิงมาด้อมๆ มองๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อตัวไหนดี
   
“มองแบบนั้น...ผมไม่ชอบ”
   
เปล่า...ไม่ใช่เสียงของเขาหรอก เสียงของเจ้าแมวตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต่างหาก ซานดูมีท่าทีหงุดหงิด ดวงตาสีเข้มคู่นั้นฉาบความรำคาญ สงสัยคงจะโมโหหิว...คิดได้แล้วเขาก็รีบกุลีกุจอเปิดเมนูให้อีกฝ่าย ชี้ชวนให้ดูนั่นนี่
   
“เอาอันนี้” เจ้าตัวว่าพลางจิ้มมือไปยังเมนูชื่อยาวเหยียด พอสั่งของตัวเองได้ก็เดินลิ่วๆ ไปตักสลัดทันที
   
“ผมขอแค่สลัดก็พอครับ ส่วนน้ำ...” ถึงเขาจะหิวแค่ไหน แต่การกินเนื้อมากๆ ไม่ได้ทำให้สุขภาพดี อีกอย่างในช่วงที่ร่างกายยังอ่อนแอแบบนี้ พวกของย่อยยากควรเลี่ยงให้ไกล
   
วันสุขนั่งเล่นมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย รออีกฝ่ายกลับมา ก่อนจะมารู้สึกตัวว่าสายตาหลายคู่ในร้านจับจ้องมาที่เขาอยากสนอกสนใจ
   
ชินซะแล้วล่ะ... เพราะแบบนี้ไงล่ะถึงไม่ค่อยชอบออกมากินข้าวนอกบ้านเท่าไหร่ ไปที่ไหนก็มีแต่คนมอง ทั้งสายตาชื่นชม สายตาสงสัย หรือแม้แต่สายแปลกๆ ก็เถอะ ทว่าบ่นไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเขาพาตัวเองมารนหาที่เองนี่นะ...
   
“หือ? ชอบสลัดมันฝรั่งเหรอครับ?” อดถามไม่ได้เมื่อจานสลัดของคนตรงหน้าพูนด้วยมันฝรั่ง อย่างอื่นมีนิดๆ หน่อยๆ เหมือนเจ้าตัวตักมาแก้เลี่ยน ซานซึ่งพอโดนถามเองก็เหลือบมองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วพยักหน้าหงึกหงัก วันสุขวางมือเท้าคางกับโต๊ะพลางหัวเราะในลำคอ
   
“พี่ทำอร่อยนะ”
   
“ ‘อร่อย’ จริงอ่ะ?” เสียงทุ้มนุ่มนั่นถาม ดวงตาพราวกวาดมองเขาขึ้นลงราวกับกำลังสำรวจ เห็นแบบนั้นก็อดยกมือขึ้นดีดหน้าผากอีกฝ่ายไม่ได้ ซานร้องโอดโอยประหนึ่งว่าเจ็บหนักหนา ทั้งที่เขาแค่ผ่อนแรงจนเหมือนเอานิ้วไปสะกิดมากกว่า
   
วันสุขเดินหนีออกมาตักของสำหรับตัวเอง เทียวไปเทียวกลับ เดี๋ยวเดียวจานใส่ผัก ใส่ซุป ก็วางเกลื่อนโต๊ะ เห็นปริมาณของแล้วก็เริ่มมองหาตัวช่วย ชินเสียแล้วที่เวลาออกมากินบุฟเฟ่ต์ทีไรจะตักเยอะกว่าปริมาณที่ตัวเองจะกินได้เสมอ...นิสัยแบบนี้ก็โดนอาดุประจำ และก็มักจะเป็นท่านตลอดที่ช่วยจัดการให้
   
“เยอะไปหรือเปล่าพี่วัน? กินหมดแน่เหรอ” ซานถามอย่างสงสัย ปริมาณมันมากไปจริงๆ นั่นแหละ ถึงร้านจะไม่ได้เขียนไว้ว่าเหลือแล้วจะปรับราคา แต่ถ้าเหลือทิ้งไว้มากๆ มันก็ดูน่าเกลียด
   
“พี่...ลืมตัวน่ะ” ว่าเสียงอ่อยแล้วก็ลงมือจิ้มผักสดมาเคี้ยวหงึบหงับ รสชาติน้ำซีซาร์สลัดทำเอาตาโต เขาชิมน้ำสลัดเปล่าๆ ไปอีกหลายคำ แล้วโทรศัพท์มือถือก็ถูกยกขึ้นมาจดโน้ตแทบจะทันที
   
“นี่ผมพาพี่มาขโมยสูตรเขาหรือเปล่าเนี่ย?” ซานถามพลางอมยิ้มขำกับท่าทีของเขา วันสุขหัวเราะเบาๆ ไม่ตอบคำถาม นี่ก็นิสัยเสียอีกอย่างหนึ่ง พอเจอรสชาติที่ชอบก็จะพยายามจดเอาไว้ว่ามันน่าจะมีอะไรผสมอยู่บ้าง ว่างๆ จะได้เอาไปทำกินเอง
   
ปลายนิ้วสไลด์ไปบนหน้าจอโทรศัพท์ เปิดนู่นเปิดนี่ไปด้วย แล้วมือก็พลาดไปเปิดอัลบั้มรูปเข้าให้ ภาพวาดท้องฟ้ายามค่ำเด้งหราขึ้นมา หูเองก็แว่ววานเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์คนของอีกฝั่ง
   
“ผมดีใจนะ พี่วันเซฟเอาไว้ด้วย”
   
“ก็มันสวยดี ไหนบอกว่าวาดไม่สวยไง พี่ว่าแบบนี้มันห่างจากคำว่าไม่สวยไปเยอะนะ” พอเอ่ยปากชมเจ้าตัวก็ทำท่าอายม้วนต้วนดูน่าหมั่นไส้ทันที
   
“ท้องฟ้าที่จังหวัดเลยน่ะ ผมมีรูปถ่ายด้วยนะ” พูดเสร็จก็เปิดรูปให้เขาดูด้วยท่าทางตื่นเต้น วันสุขเบิกตากว้าง ปลายนิ้วก็เลื่อนดูแต่ละรูปไปเรื่อยๆ ภาพวาดว่าสวยแล้ว แต่อย่างไรเสียรูปของจริงนั้นสวยกว่าหลายเท่ามากนัก
   
“สวยกว่ารูปที่วาดใช่ไหมล่ะ แต่อยากให้พี่วันไปดูของจริงมากกว่า สวยกว่าภาพถ่ายอีก...” ซานว่าเสียงนุ่ม ดวงตาวาววับเหมือนเด็กที่กำลังจะขอคุณพ่อซื้อของเล่น “สนใจอยากไปเที่ยวเลยไหมครับ?” ถามเขาด้วยเสียงกระซิบ ใบหน้าหล่อเหลาดูดีนั่นชะโงกเข้ามาใกล้ ทำเอาโต๊ะที่กั้นอยู่ดูจะไร้ประโยชน์ไปในทันใด
   
“หืม...ทำไมต้องไปล่ะ?” วันสุขแสร้งถามอย่างสงสัย ไม่ได้โยกใบหน้าหลบ แต่จ้องตอบกลับไปตรงๆ ริมฝีปากสีส้มสวยคลี่ยิ้มเบาบาง
   
“พี่เคยบอกว่าชอบดาว ที่นั่นน่ะท้องฟ้าสวยนะครับ รีสอร์ทดีๆ ก็มี” แมวเหมียวพยายามชักชวนเมื่อถอยกลับไปนั่งพิงเก้าอี้ของตัวเองเรียบร้อย
   
“อยากไปอยู่หรอกนะ แต่พี่เกลียดการนั่งรถนานๆ ” ที่พูดไปน่ะไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ชอบการนั่งรถนานเท่าไหร่ ถ้าหากติดธุระที่ต้องทำแบบนั้นจริงก็จะพึ่งยานอนหลับเสมอ เพราะฉะนั้นเลยไม่เคยได้ไปไหนไกลเกินกว่าพัทยาหรือชะอำ จังหวัดไกลๆ น่ะเลิกพูดถึงไปได้เลย
   
“งั้นสนใจไปท้องฟ้าจำลองกันไหมครับ?” พอเห็นท่าว่าชวนเท่าไหร่อย่างไรก็คงโดนปฏิเสธ แมวตัวเขื่องถึงได้เลือกสถานที่ใกล้ๆ แทน วันสุขนิ่งไปพลางนึกคิด ท้องฟ้าจำลองที่ไปครั้งสุดท้ายนั้นก็นานมากแล้ว...
   
“น่าสนนะ...พี่ไม่ได้ไปตั้งแต่เด็กแล้ว” จู่ๆ ก็นึกอยากลองกลับไปหวนรำลึกความทรงจำดูบ้าง ถึงอดีตจะไม่ได้สวยงามอะไร แต่ก็ไม่ได้ดำมืดไปเสียหมด ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขาคงได้เข้าไปนั่งในโรงพยาบาลบ้าแทนที่จะได้มายืนอยู่ตรงนี้
   
“ไปจริงๆ นะครับ?” ซานถามย้ำพลางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด
   
“อืม...ว่างเมื่อไหร่เดี๋ยวบอกอีกทีแล้วกัน” เขาตกปากรับคำไปอย่างง่ายๆ ...อาจเพราะว่าเป็น ‘ซาน’ เลยไม่ได้คิดมากอะไร ก็ปล่อยให้ความรู้สึกมันไหลไปเรื่อยๆ รอให้แมวเบื่อเดี๋ยวมันก็คงไปเอง...
   
วันสุขชะงักไปเล็กน้อย เมื่อล่วงรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจ หลุมดำวูบโหวงคล้ายกับจะขยายใหญ่ขึ้น เขาเม้มปากแน่น แสร้งหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ตาแอบเหลือบมองคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แค่พอคิดว่าเก้าอี้ที่ถูกจับจองอยู่นั่นจะเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า...ก็รู้สึกเหงาขึ้นมาแปลกๆ แล้ว
   
“แปลกจังนะ...” เผลอเปรยขึ้นมาแผ่วเบา หรุบตาลงมองโต๊ะสีนวล ปลายนิ้วลากหยดน้ำ ขีดเขียนจนมันกลายเป็นลายเส้นและซึมหายไป
   
“ครับ?”
   
“แค่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มีความสุขง่ายกว่าแต่ก่อนน่ะ” ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยิ้มแบบไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำสีหน้าอย่างไร แต่รู้สึกแย่ไม่น้อยที่จู่ๆ ก็พาคนร่วมโต๊ะเข้าสู่บรรยากาศอึมครึม
   
“พอมาคิดว่า ‘อา...อีกเดี๋ยวก็กลับไปเป็นแบบแต่ก่อนแล้ว’ หรือ ‘สุดท้ายก็ตัวคนเดียว’ แล้วมันเหงาแปลกๆ น่ะ” แสร้งยิ้มกลบเกลื่อน ชักจะมึนศีรษะหน่อยๆ เสียแล้ว ซานเองจู่ๆ ก็มีท่าทีไม่อยากอาหารขึ้นมาเสียเฉยๆ อดโทษตัวเองไม่ได้ที่ทำให้บรรยากาศโต๊ะกลายมาเป็นแบบนี้
   
“คิดแบบนั้นมันก็ต้องเหงาอยู่แล้วสิครับ คิดแล้วไม่เหงาสิแปลกคน” ผักในจานถูกแย่งกิน วันสุขถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าจัดการสเต็กเรียบร้อยไปแล้ว
   
“ไม่แนะนำหรือปลอบใจอะไรพี่หน่อยเหรอ?” ร้องท้วงหาความเห็นอกเห็นใจด้วยน้ำเสียงขบขัน
   
“ไม่ครับ ความคิดคนมันห้ามได้ที่ไหน แนะนำไปยังไงเดี๋ยวพี่ก็ต้องคิดอยู่ดีนั่นแหละนะ” ซานชี้ส้อมใส่เขาแล้วกลับไปจัดการสารพันของที่เขาตักมาแล้วกินไม่หมดแทน
   
“อีกอย่าง...ผมก็เห็นพี่ชอบปลีกวิเวกออกมาจากกลุ่มคนแบบเนียนๆ ตลอด เพราะฉะนั้นห้ามมาบ่นครับ”
   
“ใจร้ายจังนะ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็เลียนแบบท่าทางพองลมจนแก้มป่องของเจ้าตัว
   
“พี่น่ะใจร้ายกว่าผมอีก” แมวเหมียวส่งยิ้มร้ายมาให้ ทำเอาเขาเผลอหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว


   

“น้องชายหรือคะ?”
   
“ครับ ซนๆ อย่างที่เห็นนั่นแหละ” กลั้วหัวเราะตอบพนักงานขายของไป ก่อนจะหันไปให้อีกฝ่ายเอาเสื้อยืดสีอ่อนมาทาบ จะเรียกว่าน้องได้ไหมนะ อายุห่างกันเป็นสิบปี ให้เรียกว่า อาหลาน ก็ยังได้
   
“พี่วันใส่เสื้อสีอ่อนแล้วเหมาะดีออก ทำไมถึงใส่แต่สีเข้มๆ ” โดนวิจารณ์กันตรงๆ ก็ได้แค่ส่งยิ้มให้ ความจริงเขาเองก็มีเหตุผลส่วนตัวอยู่ อีกอย่างเสื้อสีเข้มก็ดูแลง่าย สกปรกอะไรมาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคราบมาก และถึงจะทิ้งรอยไว้ก็แทบมองไม่เห็น
   
“สีเหลืองไข่ ไม่ก็ชมพูอ่อน แม่บ้านโคตรๆ เข้ามากๆ ” เชิ้ตสีเหลืองอ่อนถูกนำมาทาบกับตัว ส่วนเจ้าคนที่จู่ๆ ลากเอาเขามาเป็นตุ๊กตาลองเสื้อก็รี่ตรงไปยังราวถัดไป
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก ตอนแรกหลังกินข้าวกันเสร็จก็ว่าจะตัวใครตัวมัน ทว่าแมวซนนี่ดันลากเขาติดมาด้วย จะแอบหนีออกไปเงียบๆ ก็โดนจับได้ทุกที
   
“ขอสีเข้มๆ พี่ไม่ชอบเสื้อสีอ่อน” ใส่สีอ่อนทีไรโดนเหมาว่าเป็นเด็กรุ่นเดียวกับนักเรียนของอาจารย์ทุกที อีกอย่างเขาเป็นพวกเข้ากับสีเข้มๆ อยู่แล้ว ยิ่งใส่ยิ่งดูดี ถึงคำว่า ‘ดูดี’ ในที่นี้จะไม่ใช่ในเชิงบวกสักเท่าไหร่ก็เถอะ
   
“สีอ่อนดีกว่า”
   
“แต่พี่ไม่ชอบ”
   
“ผมชอบ” ชั่วขณะ...สายตาปะทะกัน การโต้เถียงหยุดอยู่แค่นั้น วันสุขถอนหายใจเฮือก สุดท้ายก็ได้เสื้อสีเหลืองนวลสกรีนลายกราฟฟิกสีเขียวมา ก็ยังนับว่าดีกว่าเสื้อสีชมพูหวานแหววล่ะนะ
   
ซื้อได้ตัวหนึ่งก็โดนลากข้อมือเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ซานเลือกของเก่ง และใช้เงินเก่งพอสมควร ทว่าเด็กสมัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น วันสุขไม่อยากจะไปบ่นอะไรมาก ในเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาเองก็ไม่อยากไปยุ่มย่าม
   
“สร้อยสวยดีนะครับ” ซานเอื้อมแขนมาคล้องเส้นโลหะเย็นๆ ลงบนคอของเขา
   
วันสุขชะงักไปเล็กน้อย ยกนิ้วเรียวช้อนตัวจี้ขึ้นมาดูอย่างนึกสนใจ จี้สีเงินรูปจันทร์เสี้ยวสลักลายเส้นสีทองสวย ที่โค้งด้านบนของจันทร์มีดาวดวงเล็กๆ ห้อยอยู่
   
“สวยดี” สวยจริงๆ แต่พอจะหันไปถามราคา อีกฝ่ายก็จูงมือลากเขาออกมาจากร้านแล้ว
   
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการฝืนไม่ให้ยิ้มนี่ยากเหลือเกิน...
   
เขาไม่ได้ถามถึงเรื่องสร้อยอีก แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน... เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บเอาไว้เงียบๆ จะดีกว่า ในเมื่อต่างคนต่างรู้ ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามใดๆ แบบนี้เรียกว่าอะไรนะ? ‘รู้ใจ’ เหรอ? ไม่น่าจะใช่ เพราะมันไม่ได้สวยงามอะไรขนาดต้องใช้คำนั้น
   
เดินไปนู่นมานี่กันเกือบชั่วโมงก็มานั่งพักกันที่ลานน้ำพุ โชคดีที่ชั้นนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ นั่งได้ก็ต้องสูดหายใจลึก เสียงน้ำพุช่วยทำให้รู้สึกสบายอย่างแปลกๆ อาการปวดศีรษะดูจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง รอบนี้ปวดจี๊ดขึ้นมาจนต้องนิ่วหน้า และเริ่มรู้สึกหายใจลำบากชอบกล
   
“ปวดหัว” พูดเสร็จแล้วก็หลับตานิ่ง
   
“น้ำเย็นๆ หน่อยไหมครับ” เสียงทุ้มนุ่มนั่นถามอย่างเป็นห่วง วันสุขส่ายศีรษะ ยกมือขึ้นนวดขมับแล้วถอนหายใจเฮือก
   
“ขอพักสักเดี๋ยว” บอกเสียงเบาแล้วก็เอนพิงไหล่คนข้างๆ อย่างถือวิสาสะ มากันขนาดนี้แล้วก็ไม่รู้จะไปเอียงอายอะไรอีก โดนหยอกแรงๆ มาก็ตั้งหลายรอบ แค่ขอไหล่มาพิงสักพักคงไม่มีปัญหาอะไร
   
“ตัวพี่หอมกลิ่นวานิลลาดี” วันสุขรู้สึกเหมือนเส้นผมบนศีรษะถูกสางเบาๆ
   
“หน้าพี่ซีดๆ นะครับ ไม่สบายก็น่าจะบอกผมตั้งแต่แรก” เขาจำได้ว่าคนพูดนั่นแหละที่ลากเขาไปนู่นมานี่ ปากก็ไล่เขาให้กลับบ้านนอน แต่มือน่ะดึงเข้าร้านอาหาร กินข้าวกันเสร็จเขาจะชิ่งกลับก็ยังโดนบังคับให้มาเดินซื้อของต่ออีก... พออาการเขาแย่ก็ดันมาบ่นใส่ทั้งที่ตัวเองผิดล้วนๆ แบบนี้มันน่าจับมาตีเสียจริง!
   
“เงียบไปเลย” อดพูดออกไปไม่ได้ หน้าผากถูกมือเย็นๆ แตะ ตามด้วยที่ซอกคอและข้อแขน ได้แค่นิ่งปล่อยให้แมวเหมียวทำตามใจไป ซึ่งพอไม่เห็นเขาตอบโต้อะไรเจ้าตัวนั่งก็ทำหน้าที่เบาะพิงอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เงียบไปเดี๋ยวเดียวก็ก่อกวนเขาอีกรอบ
   
“อย่าหลับนะครับ”
   
“อือ...” วันสุขอือออตอบกลับไป ประสาทการรับรู้ชักจะเลือนๆ เข้าไปทุกที
   
“ผู้หญิงตรงนั้นเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปพวกเราด้วย”
   
“อือ...” แก้มถูกปลายนิ้วเขี่ยเบาๆ
   
“คนแก่นี่ป่วยง่ายเนอะ โอ๊ย!” รอบนี้เขาหยิกต้นขาอีกฝ่ายอย่างแรง
   
“พี่ยังไม่แก่ ยังยกกระถางต้นไม้ไหว” พูดจบก็แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ ดังอยู่เหนือศีรษะ
   
“เหรอ? แล้ว ‘ยกวาง ยกวาง’ ไหวไหม?”
   
โดนพูดขนาดนี้เลยต้องปรือตาขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ ลูกแก้วสีดำพราวอยู่ใกล้แค่ช่วงนิ้ว บางทีก็แอบสงสัยเหมือนกันว่า ดวงตาคู่นั้นจำลองเอาท้องฟ้ากลางคืนมาใส่ไว้หรือเปล่า ทำไมมันถึงได้วิบวับขนาดนี้...
   
“ไปนอนสิ เดี๋ยวก็รู้ว่าพี่ ‘ยกวาง ยกวาง’ ไหวไหม” พูดจบก็โดนทำหน้าเบ้ใส่ พลันเบาะพิงก็ลุกหนีไปดื้อๆ เห็นว่ามีโทรศัพท์เข้า วันสุขเอนหลังพิงกับขอบน้ำพุ แหงนหน้าขึ้นมองหลังคากระจกของห้างอย่างเลื่อนลอย...
   
“พี่วัน ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” ซานเดินเข้ามาใกล้ โน้มหน้ามาบังแสงจนหมด
   
“อืม...ไปเถอะ เดี๋ยวพี่ต้องเข้าไปเอาเอกสารที่ทำงานอีก” พอได้พักอาการก็เริ่มดีขึ้น วันสุขชันกายลุกขึ้นยืนแล้วสูดหายใจลึก มือคว้าถุงใส่เสื้อผ้าแล้วยิ้มลาให้ใครอีกคนซึ่งมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
   
“ไหวแน่นะครับ” ถามแบบนี้คิดว่าเขาเป็นใครกัน? ต่อให้ป่วยแทบตาย แต่จิตวิญญาณสำนึกรักในหน้าที่น่ะแรงนะจะบอกให้...
   
เขาแยกออกมาโดยไม่ได้กล่าวลาอะไร กว่าจะเดินมาถึงรถได้ก็นึกว่าตัวเองจะวูบอีกรอบ คิดแล้วก็ได้แต่ปลงกับชีวิต บางทีตอนวัยรุ่นเขาคงจะหักโหมมากไป ร่างกายมันก็เลยเสื่อมเร็วกว่าปกติ หรือว่าช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากก็ไม่รู้...
   
พลันเสียงข้อความเข้าดังขึ้นขัดความคิด วันสุขยกมือก่ายหน้าผากพลางหลุดหัวเราะทันทีที่ได้อ่าน
   
‘ห้ามทิ้งนะครับ’
   
ถึงจะไม่ได้บอกว่าหมายถึงอะไร แต่สัมผัสเย็นเฉียบที่ลำคอกลับแจ่มชัดกว่าทุกที สายตาเหม่อมองออกไปนอกรถ มือเผลอลูบจี้จันทร์เสี้ยวกลางอกอย่างเลื่อนลอย แสงสะท้อนจากแหวนที่ข้อนิ้วราวกับจะย้ำเตือนบางอย่าง แล้วจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง...
   
“ครับ? อ้าวน้องปรัชญ์เองหรอกเหรอ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


To be continued...

 :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
มาจองก่อน แล้วมาติดตามด้วยน้าาาาาา :katai2-1:

ออฟไลน์ lightseeker

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ซานนี่คิดจะมาก็มาจะไปก็ไปทำตัวเหมือนหมาหยอกไก่อ่า จริงจังหน่อยยยย เราเชียร์เธอนะ   :hao7:

ออฟไลน์ Raiwyn

  • - ไรวิน -
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
พี่วันชอบซานเข้าแล้วรึเปล่านะ วุ้ย น่ารักจัง  :-[

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 5.5 - ความจริงไม่ได้เดินคู่กับความฝัน


เขาเคยมีคำถาม... หลายต่อหลายครั้ง
   
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร
   
คนธรรมดาที่เคยมีความฝัน คนธรรมดาที่เคยตกหลุมรักใครสักคน ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขากลับเลือกที่จะปลีกตัวออกมาอย่างเดียวดายด้วยเหตุผลบางอย่าง...
   
บางสิ่งที่เต้นตุบอยู่ภายในมันค่อยๆ แผ่วบางลง ทีละเล็ก...ทีละน้อย ท้ายที่สุดก็ด้านชา เสียงในอกมันหายไปพร้อมกับรอยยิ้มบนริมฝีปาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน ฝืนยิ้มแบบไหนออกมา...
   
เขาวิ่งหนีความจริง เขาหลอกตัวเอง เขายังทำตัวปกติ ทั้งที่ภายในนั้นอ่อนล้าจนอยากจะหยุดพัก อยากหยุดทุกอย่าง แต่ก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะเมื่อหยุดแล้ว...มันจะไม่มีวันกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้อีกเลย
   
เขาท้อแท้ หมดหวังให้กับสิ่งรอบตัว เขามองทุกอย่างด้วยสายตาเหยียดหยัน... อิจฉาที่เห็นคนหัวเราะ อิจฉาแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ในครอบครัวอบอุ่น
   
เขาเกลียด...เกลียดทุกสิ่งที่โลกไม่เคยมอบมันให้แก่เขา ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เคยเกลียดลง ท้องฟ้ายามค่ำที่ไม่ว่าจะเงยหน้ามองกี่ครั้ง...แสงระยิบนั่นก็พัดพาความคิดสกปรกให้จางหายไปเสมอ
   
แล้ววันหนึ่ง...แสงสว่างอุ่นๆ ก็ส่องวาบเข้ามา...


   

“วันสุข ช่วยครูหน่อยได้ไหม พรุ่งนี้ต้องสรุปคะแนนเก็บของนักศึกษาแล้ว” ช่วงเวลาเย็นขณะที่เขากำลังเก็บของเตรียมกลับ ม่านกั้นห้องก็ถูกแหวกออกพร้อมกับอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ใบหน้าของเธอดูซีดเซียว คล้ายกับจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ในมือถือปึกข้อสอบกองใหญ่ ทำเอาเขารี่เข้าไปช่วยถือแทบไม่ทัน
   
“ให้ช่วยตรวจสินะครับ เดี๋ยวผมทำให้นะ” ยิ้มรับอารมณ์ดี โชคดีที่วันนี้คุณอากลับดึก เขาเลยไม่ต้องรีบกลับไปเตรียมข้าวเย็น
   
“ขอบคุณจริงๆ คราวหน้าเดี๋ยวครูจะซื้อขนมมาฝากนะ” เธอว่าอย่างขอบอกขอบใจ ก่อนจะขอตัวกลับไปเคลียร์งานที่เหลือ ช่วงนี้ก็ใกล้สอบกันแล้ว แต่ละคนก็ดูยุ่งวุ่นวายกัน ไม่ได้มีแค่นักศึกษาหรอกที่งานเยอะ บรรดาอาจารย์ทั้งหลายแหล่ที่มักจะกลับตั้งแต่ช่วงบ่ายก็อยู่ดึกกันจนดูแปลกตา
   
นั่งตรวจไปสายตาก็เริ่มล้า สุดท้ายก็ต้องพัก วันสุขถอนหายใจเฮือก ทิ้งปากกาลงกับโต๊ะแล้วเอนหลังพิงพนัก แหงนคอขึ้นมองฝ้าเพดานอย่างเหม่อลอย พลันต้องชะงักกึกเมื่อมีเสียงประหลาดดังขึ้นหน้าห้อง...เสียงเคาะประตู...
   
“เข้ามาได้เลยครับ ห้องไม่ได้ล็อก” ตะโกนบอกไปตามประสา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบสนิท... วันสุขขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้คิดอะไรมากเลยปล่อยผ่านไป พอนั่งพักจนหายล้าก็เริ่มตรวจงานต่ออีกครั้ง ทว่า...
   
ก๊อก ก๊อก
   
“...ห้องไม่ได้ล็อกครับ เข้ามาได้เลย” แล้วสิ่งที่ได้รับก็คือความเงียบอีกครั้ง เขาถอนหายใจหงุดหงิด ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ตรงดิ่งไปยังประตูห้อง มือบิดกลอนแล้วกระชากออก ก่อนจะผงะเมื่อสายตาปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง
   
กล่อง... กล่องสีขาวนวลวางแน่นิ่งอยู่บนพื้นก่อนที่มันจะสั่นกุกกัก ขาก้าวถอยออกมาโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงประทัดดังสนั่น!
   
ปัง! ปุก!
   
กล่องขาวระเบิดออก ประกายไฟสีสันสดใสแตกเปาะแปะ ของเหลวสีแดงสดสาดกระจายลงบนพื้นขาว...กลิ่นคาวคุ้นเคยลอยโชยมาแตะจมูก
   
“น้องวัน! มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่ได้ยินเสียงประ... ตายแล้วเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย!?” เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลชะโงกหน้าออกมาถาม ก่อนจะร้องลั่นยามที่สายตาของเธอปะทะกับอะไรบางอย่างบนพื้น
   
คราวนี้เลยเป็นเรื่องใหญ่ กว่าจะทำความสะอาดเช็ดเลือดไปทิ้งได้ก็ร่วมชั่วโมง ส่วนตัวการก็หาคนผิดไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็ทำงานอยู่ในห้องตัวเอง ยิ่งหัวค่ำแบบนี้คงไม่มีใครมาอยู่ตามทางเดิน กล้องวงจรปิดในตึกก็เพิ่งโดนทุบไป
   
“ครูว่ารีบกลับกันเถอะ อยู่ดึกคืนนี้ดูท่าจะไม่ค่อยปลอดภัย”
   
อาจารย์อาวุโสออกความเห็นซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ส่วนงานที่ค้างอยู่ก็คงต้องหอบกลับเอาไปทำที่บ้าน โชคดีที่เขาช่วยทำจนเกือบเสร็จไปแล้วเลยไม่มีภาระอะไร


   

“น้องวันระวังตัวด้วยนะคะ เดินทางปลอดภัยค่ะ” พวกเขาพากันเดินออกมาจากตึกก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทาง วันสุขยกยิ้มโบกมือลาสาวๆ กลุ่มใหญ่แล้วหรุบตาลงมองพื้นอิฐ
   
“เมื่อไหร่จะหายสั่นนะ” เขาพึมพำขึ้นมาแผ่วเบา...มือสองข้างกำแน่น แม้หัวใจจะไม่ได้เต้นระรัว ทว่าปลายเท้ากลับเย็นเฉียบ เลือดสีแดงละเลงเต็มพื้นขาวพานจะปลุกภาพร้ายๆ ในอดีตให้ฟุ้งขึ้นมาอย่างยากจะหยุด...
   
สุดท้ายก็ต้องหยุดเดิน เอนหลังพิงกับต้นไม้แล้วสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอยู่หลายนาทีกว่าตัวเขาเองจะสงบลง
   
ลากขาอ่อนแรงของตัวเองมาจนถึงลานจานรถ ก่อนที่สายตาจะปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง... ถึงจะหลบอยู่ในมุมมืด แต่อย่างเขามีหรือจะไม่เห็น รึต้องบอกว่าอะไรบางอย่างข้างในมันสั่งให้กราดตามองไปทางนั้นก็ไม่รู้ ทว่าภาพที่สะท้อนกลับมาทำเอายกยิ้มเหยียด
   
ไอ้ความรู้สึกข้างในนี่มันอะไรกันนะ?
   
“สนใจอยากให้พี่ช่วยถ่ายคลิปเป็นพยานรักไหมครับ?” ตะโกนออกไปด้วยเสียงไม่เบานัก คนสองคนในเงามืดผละออกจากกัน ฝ่ายหญิงดีดตัวผึง แต่ฝ่ายชายกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนไม่คิดจะใส่ใจอะไร
   
“อ้าว น้องเยลลี่” วันสุขเอียงคอยิ้มเอ่ยทักไปตามประสา เธอหันมาทำหน้าตกใจใส่ แล้วก็วิ่งหนีหายไปเสียอย่างนั้น... สภาพหลุดลุ่ยนั่น ไม่โดนทำอะไรระหว่างทางก็คงจะดี... พอมองตามหลังลิบๆ เสร็จก็หันมามองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมซึ่งไม่ต้องให้เดาเขาก็รู้ว่าใคร
   
“เรานี่มันจริงๆ ทำอะไรก็ห่วงอนาคตหน่อยเถอะ ถ้าคนอื่นมาเห็นจะทำยังไงครับ?” ดุเสียงเข้มแล้วก็ก้าวฉับๆ เข้าไปใกล้ ถอนหายใจอีกเฮือกอย่างอดไม่ได้ มือเอื้อมไปกลัดกระดุมซึ่งถูกปลดจนหมดแผงของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ปลายนิ้วที่เผลอโดนกับเนื้อนั่นสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าว จะว่าไปสายตาที่มองมายังเขานี่ก็ดูร้อนดีเหมือนกัน...
   
“อย่าได้คิดจะทำอะไรแผลงๆ เชียว” เอ่ยเตือนทันทีเป็นการตัดปัญหา แมวตัวโตทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์ เห็นแบบนั้นก็พานพาเขาหงุดหงิดไปด้วยอย่างไม่มีเหตุผล
   
“พี่ดูอารมณ์เสีย เป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าตัวถาม หลังมืออุ่นร้อนยกขึ้นนาบกับแก้มของเขาเบาๆ วันสุขชะงัก...เพราะเพิ่งจะรู้ตัว
   
“ขอโทษที พอดีเพิ่งเจอเรื่องน่าหงุดหงิดมาน่ะ” เจ้ากล่องระเบิดได้นั่น...มันทำเอาเขาหงุดหงิด พอหงุดหงิดมากเข้าก็ลืมที่จะคุมตัวเอง อาจเพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนอื่นด้วยก็ได้เขาก็เลยลืมเสียสนิท
   
“ไม่เห็นต้องรีบเก็บอารมณ์ขนาดนั้น อยู่กับผมพี่ก็ดูไม่ค่อยสนอะไรอยู่แล้ว ปล่อยอารมณ์ออกมาบ้างก็ได้ ผมไม่ว่าหรอก” ซานว่ายิ้มๆ “อีกอย่างเวลาพี่หงุดหงิดแล้วดูน่ารักดี” เอวถูกรวบให้เข้าไปหา ก่อนคนถือวิสาสะจะโคลงตัวไปมาทำเหมือนเขาเป็นเด็ก
   
“ถ้าพี่โมโหมากๆ ต่อยผมสักหมัดเดี๋ยวก็หายโกรธแล้ว เพราะฉะนั้น...ไม่เป็นอะไรหรอก เนอะ?”
   
เด็กตรงหน้าเขา...พูดราวกับจะรู้อะไรบางอย่าง วันสุขนิ่งเงียบในขณะที่ศีรษะถูกกดลงกับบ่ากว้าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้เบาใจแปลกๆ
   
จะว่าไปก็ประหลาดดีเหมือนกัน ผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งเลิกจากงาน และเพิ่งประสบกับเหตุบางอย่างมา พอเดินมาถึงลานจอดรถเพื่อกลับบ้านก็มาเจอะกับคนรู้จักกำลังนัวเนียอยู่กับผู้หญิง ผู้ชายคนนั้นเข้าไปตักเตือน...แล้วอยู่ดีๆ ก็ออกมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้
   
“ถ้าแถวนี้มืดอีกหน่อยก็คงจะดี” เสียงนุ่มนั่นว่าเอื่อยเฉื่อยทำเอาเขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
   
“ทำไม?”
   
“ก็พี่อาจจะได้เห็นดาวแบบไม่ต้องมองฟ้าน่ะสิ”
   
ได้ฟังแล้วก็เผลอหัวเราะ มือตีเพี้ยะลงบนข้อแขนอีกฝ่ายยามที่อุ้งเท้าแมวพยายามจะลุกล้ำเข้ามาใต้เสื้อเชิ้ต พอจัดการจนแน่ใจว่าซานจะไม่เล่นแผลงๆ ก็อดเงยหน้าขึ้นมองฟ้ากลางคืนไม่ได้ ฟ้าครึ้มเห็นเพียงแค่จันทร์ แต่สำหรับเขาไม่ว่าจะฟ้าแบบไหนมันก็สวยทั้งนั้น
   
“ฟ้าสวยดีนะ...เมฆปุยๆ เหมือนอยู่ในความฝันดี ว่าไหม?” อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ก่อนที่ภาพบางอย่างในอดีตจะย้อนเข้ามาในสมอง
   
“ผมชอบความจริงมากกว่า...” ปลายนิ้วของคนตรงหน้าแตะแผ่วลงบนแก้มของเขา วันสุขนิ่งเงียบไป...บางสิ่งบางอย่างที่ดวงตามองเห็นคล้ายกับจะซ้อนทับกัน ก้อนกระจุกภายในใจทะลักพรวดขึ้นมาอัดอยู่ที่ลำคอ ภาพอดีตยิ่งแจ่มชัด ยามที่เด็กตรงหน้ายกยิ้มเบาบางอย่างยากจะตีความหมาย
   
“...พี่รู้ไหมว่าทำไม? เพราะมันจับต้องได้ยังไงล่ะ”
   
เพราะว่ามันจับต้องได้ยังไงล่ะ... คำพูดนั่นทำเอาหัวใจกระตุก เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ถ้อยคำที่เขาไม่อยากได้ยินมากที่สุดกำลังดังออกมาจากปากคนตรงหน้า ซานยังคงยกยิ้มละมุน ตรงข้ามกัน...เป็นเขาเองที่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
   
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่เจอเรื่องอะไรมา แต่ว่า...เรื่องในอดีตน่ะ...ถ้ามันเศร้าก็ลืมไปซะเถอะนะครับ ลืมไปเสีย ลบมันออกไป... แต่ถ้าพี่ลบมันออกไปไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอกเนอะ เดี๋ยวผมจะลบมันให้เอง...”
   
“พูดอะไรของเราน่ะ อยากเล่นบทพระเอกเอ็มวีหรือไง?” วันสุขพึมพำเสียงแผ่ว แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะ เด็กหนุ่มโอบแขนพยุงตัวเขาไว้ แล้วเสียงนุ่มนั่นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
   
“นั่นผมอุตส่าห์จำมาจากในหนังเชียวนะ” ได้ยินแล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไหร่ มุมปากเผลอกระตุกยิ้ม แต่บางสิ่งบางอย่างกลับไหลออกมาจากดวงตา
   
นึกถึง ‘เรื่องนั้น’ ทีไร เขาก็กลายเป็นคนอ่อนแอแทบทุกที... คิดพลางปรือตาปิดอย่างอ่อนล้า วันนี้หลายสิ่งหลายอย่างมันประดังเดเข้ามามากเกินไป กลิ่นหอมอ่อนๆ นี่ก็ชวนให้เหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก ถ้าได้พักสักหน่อยก็คงจะดี...
   
“จะหลับก็ได้นะ เดี๋ยวผมแบกพี่ไปส่งเอง”
   
“แน่ใจว่าจะแค่แบก?”
   
“ไม่เชื่อใจกันอีก ให้จูบสาบานก็ยังได้นะ”
   
อดยิ้มไม่ได้ก่อนที่จะหลับตา เอนศีรษะพิงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย ถ้อยคำประกาศถือดีว่าจะช่วย ‘ลบ’ บางอย่างให้ดูจะไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้คนตรงหน้าก็ช่วย ‘ลบ’ บางอย่างให้เขาแล้ว…
   
ความฝัน...ค่อยๆ วาดผ่านภายในจิตใจ ปุยเมฆลอยล่องไปตามจินตนาการ
   
และแล้วโลกก็กลายเป็นสีดำ...
   
...สีดำอุ่นๆ


   

กังหันพลาสติกสีสันสดใสบนขอบรั้วตะแกรงเหล็กหมุนวนไปมาเมื่อต้องลม
   
ท้องฟ้าสีครามกับแดดอ่อนๆ ยามเช้านวลตา เท้าสองข้างยังยืนอยู่ ณ ที่เดิม ดวงตาทอดมองออกไปไกล ริมฝีปากปิดเงียบ อยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่อาจทำได้
   
“ทะเลาะกันอีกแล้ว ลูกหว้าทะเลาะกับเขาอีกแล้วล่ะวัน... ความรักเนี่ย เหมือนฝันเลยเนอะ ทั้งจับต้องไม่ได้ ทั้งไม่มีอยู่จริง แต่กลับทำให้เราร้องไห้ตั้งหลายครั้ง...” เสียงสะอื้นกับน้ำตายังเหมือนเดิม
   
“ไม่เอาแล้ว...อยากจะหยุดแล้ว แต่ว่ามันหยุดไม่ได้...” ถ้อยคำพร่ำเพ้อต่อจากนั้น จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง เขาทำเพียงยืนนิ่งเหมือนว่ารับฟัง แต่ความจริงแล้วกลับไม่คิดจะรับรู้ด้วยซ้ำ ทว่าวันนี้ต่างไปจากทุกวัน...เจ็บปวดเกินจะอดทน
   
“พอเถอะ” เขาพูดออกไปอย่างลืมตัว “เลิกฝันได้แล้ว...กลับมาอยู่บนความจริงเถอะ วันก็ยังอยู่ตรงนี้ ลูกหว้าน่ะเลิกฝันได้แล้ว” คำพูดที่เก็บไว้ในใจพรั่งพรูออกมาอย่างยากจะหยุด
   
นึกสมเพชตัวเอง...คนอย่างเขามีสิทธิ์อะไรไปพูดถึงเรื่องความจริง หรือความฝันกัน
   
“จริงด้วยสินะ...บนความเป็นจริง ลูกหว้ายังมีวันอีกทั้งคนนี่นา... แต่ว่านะ...” เธอเงียบไป ยิ้มอ่อนโยนที่มักจะถูกส่งมาให้ดูขมขื่นเสียเหลือเกิน มือเล็กๆ อย่างผู้หญิงตัวเล็กแตะลงบนหน้าท้องของเขา สัมผัสสั่นสะท้านนั่นบ่งบอกว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน
   
“ลูกหว้าว่า...มันคงไม่ทันแล้วล่ะ...”



To be continued...


ตอน 5.5 เป็นตอนเสริมของเนื้อเรื่อง จริงๆ มันก็คือตอนที่ 5 แต่ต้องตัดย่อยออกมาเพราะยาวไป
แถมเหตุการณ์บางส่วนไม่ค่อยจะต่อกันเท่าไหร่
ตอนนี้เอานิยายอีกเรื่องหนึ่งมาลงเล้าแล้ว เป็นแนว twincest ลิ้งก์ >> ไกลกว่ารัก
แล้วเจอกันตอนหน้าจ่ะ


 :L2: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อยากตบซานแรงๆหนึ่งที เข้าใจหาที่จู๋จี๋เนอะ  :beat:
ทำตัวไม่ชัดเจนเลย ไม่โอเคเลย เหมือนจะจีบพี่วันแต่เอาเข้าจริงๆดูเหมือนไม่จริงใจอะไรมากมาย โอ้ยย ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวเองเราจะเปลี่ยนไปเชียร์ปรัชแล้วนะ  :katai1:

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
คือซานเป็นพระเอก??
พี่วันทั้งน่ารักและน่าสงสารพราะเรื่องของอดีต จริงๆถ้าซานเป็นพระเอกคืออยากให้เป็นคนที่ดูจริงใจกว่านี้ไม้แบบเหมือนหยอกไปเรื่อย ทำเหมือนชอบ แต่เอาจริงๆไม่ชัดเจน อยากให้พี่วันพึ่งพิงได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 6 - ความเงียบ ถ้อยคำ



ฝันร้าย...ยาวนาน ปวดหัวใจ ทว่าอบอุ่นไปในที
   
จิตใจถูกผลักให้ดำดิ่งลงไปข้างใต้ ต่อให้ว่ายขึ้นมาเท่าไหร่ สุดท้ายก็จะจมลงไปอยู่ดี... ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า ก่อนจะถูกฉุดลงไป ลึกขึ้น ลึกขึ้น จวบจนอากาศสุดท้ายขาดหาย จวบจนหัวใจหยุดเต้นในที่สุด...
   
แล้วก้อนเนื้อนั่นก็กลับมาเต้นใหม่อีกครั้ง
   
ราวกับความทรมานยาวนาน ราวกับถ้อยคำในอดีตซึ่งผูกมัดเขาเอาไว้ ความผิดพลาดที่เคยได้กระทำ ถ้อยคำร้ายกาจ เรื่องราวสีแดงสด...หมุนวน วนเวียน หมุนวน เป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันจบสิ้น
   
“ก็เป็นเสียแบบนี้ ดื้อ! มีอาอยู่ทั้งคน อย่าเก็บอะไรเอาไว้คนเดียว น้องวันเข้าใจไหมครับ?”
   
คุณอาเคยบอกกับเขาแบบนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนนั่น...ราวกับแสงสว่างสุดท้ายที่พัดพาเอาความมืดในใจให้ปลิวหายไป ถ้อยคำปลอบประโลม อ้อมกอดอบอุ่น...ไหล่กว้างซับน้ำตา ความห่วงใยซึ่งไม่เคยถูกกาลเวลาทำให้มันผันเปลี่ยน สิ่งเหล่านั้นฉุดเขาขึ้นมา ดึงรั้งจนมาเจอกับแสงสว่างซึ่งไม่เคยได้สัมผัส
   
เขาเพิ่งมารู้สึกตัวว่า แท้จริงแล้วทุกก้าวที่เดินมาจนถึงวันนี้ได้ หากขาดคุณอาไป ชีวิตเขาคงจะล้มตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ คุณอาเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นบุคคลซึ่งอยู่สูงสุดในใจของเขา และจะไม่มีวันถูกแทนที่ด้วยใครอื่น
   
“ผม...จะลบมันให้เอง”
   
ดวงตาสีเข้มพร่างพราวไม่ต่างจากฟ้ากลางคืนคู่นั้น...เขายังจำได้ติดตาแม้จะอยู่ในความฝัน ระยิบระยับ ดำเงาเหมือนผิวกระจก ล้ำลึกไม่ต่างจากหุบเหว แต่กลับสวยงามและสงบนิ่งไปในเวลาเดียวกัน
   
หัวใจมันแกว่งไกวอีกครั้ง ความไร้เหตุผลมากมายกำลังเกิดขึ้นกับตัวของเขา ความรู้สึกนั่นยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งกระจ่างชัด และยิ่งชัดเจนขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งห้ามตัวเองยากมากเท่านั้น
   
ยิ่งถูกกระตุ้น ยิ่งกระหายที่จะไขว่คว้า
   
แม้มันจะยังไม่ใช่ ‘สิ่งนั้น’ ทว่ามันกลับเข้าใกล้คำคำนั้นมากขึ้นทุกที อย่างไร้ที่มา อย่างไร้เหตุผล หรือบางทีรั้วกั้นหัวใจของเขามันจะทอดห่างกันเกินไป...แมวตัวใหญ่นั่นถึงแอบกระโดดเข้ามาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
   
“ความรักเนี่ย...น่ากลัวจังเลยนะ”
   
ถ้อยคำสีแดงสด...สาดกระจายลงมาในความฝัน ภาพอุ่นๆ ของคุณอาเลือนหายไป พอกันกับที่ภาพแมวเหมียวยิ้มกริ่มแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยเสียงน้ำซาซ่า ไอเย็นเฉียบหล่อหลอมอยู่ที่ข้อเท้า เสียงหัวเราะหวานละมุนดังแว่วอยู่ไม่ไกล และเมื่อนั้นเอง...ตัวของเขาก็ดำดิ่งลึกลงไปในก้นบึ้งอีกครั้ง
   
ความรักเนี่ย...น่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ เขาหวาดกลัว กลัวเหลือเกิน แค่เพียงนึกถึง หัวใจก็พลันเย็นวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ รอยยิ้มเศร้าของเธอคนนั้นยังตกตะกอนค้างอยู่ในความทรงจำ ถ้อยคำอำลาของใครคนนั้นยังติดอยู่ริมหูราวกับว่าเพิ่งได้ยินมาเมื่อวาน
   
สิ่งที่สูญเสียไม่อาจเรียกกลับมาได้อีกแล้ว
   
แล้วใครกันล่ะที่ทำให้มันเป็นแบบนั้น...


   

สายลมรุนแรงหวีดหวิวปะทะเข้ากับใบหน้า อากาศเย็นๆ กับสัมผัสเจ็บแปลบตามเนื้อตัว ลมบาดเนื้อพัดกระหน่ำ ขณะที่ฝ่าเท้าของเขายืนเหยียบอยู่บนอะไรบางอย่างเย็นเฉียบ เสียงกระดิ่งแว่ววานราวความฝัน นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลอ่อนปรือปรอยอย่างเหม่อลอย...
   
เขาเห็น...ท้องฟ้าพร่างพราวที่อยู่บนดิน... ฟ้าราตรีที่มนุษย์สร้างขึ้นกับฟากฟ้าสีครึ้มเบื้องบน กลิ่นชื้นโชยมาแตะจมูก ดวงตาเหม่อมองทิวทัศน์เบื้องหน้านิ่งงัน จันทร์ที่เคยคิดว่าอยู่สูง บัดนี้ดูใกล้และใหญ่โตเสียจริง...
   
เขาเอื้อมมือออกไปอย่างเผลอตัวเหมือนทุกครั้ง
   
“อย่า!!”    
   
เสียงตวาดกร้าวดังลั่นกระชากทุกอย่างให้กระจ่างชัด วันสุขสะดุ้งสุดตัวก่อนจะสะบัดใบหน้าไปด้านหลัง เอวของเขาถูกเกี่ยวแน่น...ดวงตาต่างฟ้ายามค่ำคู่นั้นฉาบประกายคมปลาบ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน มืออีกข้างซึ่งว่างอยู่กำขอบประตูไม่ใกล้ไม่ไกลจากแถวนั้นแน่นจนขึ้นข้อ
   
“ถ้ารู้สึกตัวแล้วก็กลับเข้ามาเถอะครับ” เสียงนั่นถูกปรับโทนจนกลับมานุ่มละมุนอีกครั้ง ซานยิ้มอ่อนเหมือนขอร้องอยู่ในที แต่เขาไม่เข้าใจ...
   
“กลับ?” วันสุขเอียงคอถามเสียงฉงน มืออีกข้างพยายามแกะบางสิ่งที่เกาะเกี่ยวเอวของตัวเองไว้ แต่นิ้วของอีกฝ่ายกลับเกร็งจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อของเขา ซานคำรามกรอดในลำคอ ก่อนที่แรงกระชากมหาศาลจะดึงจนเขาล้มหงายไปด้านหลัง
   
โลกหมุนตลบ สิ่งที่มองเห็นมีเพียงท้องฟ้าและดวงจันทร์ ไออุ่นจากลมหายใจหอบแนบชิดอยู่ที่หลังคอ แผ่นหลังนาบอยู่กับอกกว้างชื้นเหงื่อนั่น ก่อนที่เบาะรองมีชีวิตจะลุกขึ้นนั่ง ทำเอาเขาที่นอนนิ่งอยู่ไหลพรืดลงไปในอ้อมแขนอีกฝ่าย
   
เกิดอะไรขึ้น?
   
คำถามนั่นดังวนเวียนอยู่ในหัว ภาพความทรงจำค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามาก่อนจะหยุดลงที่ภาพความมืดสีดำสนิท ความฝันหลอกหลอนนั่นทำเอาอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ วันสุขเม้มปากแน่น เหลือบสายตาขึ้นมองบางสิ่งที่ตัวเขาเพิ่งหล่นลงมา พลันต้องหนาววาบไปทั้งกาย...
   
“จู่ๆ พี่ก็ปีนขึ้นระเบียง แล้วก็ทำท่าว่าจะกระโดดลงไป” คนเห็นเหตุการณ์เล่าเสียงเบา อ้อมแขนรัดกระชับแน่นจนเขาแทบหายใจไม่ออก
   
“ผมตกใจแทบบ้าเลยพี่รู้ไหม” เขาก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน...โชคดีที่มีซานอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง...เขาเองก็ยังไม่รู้
   
“ขอโทษที...คงละเมอน่ะ” วันสุขว่าไปเรื่อยเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แสร้งหัวเราะคลอบรรยากาศ หวังเพียงแค่ว่ามันจะให้อีกคนสงบลง มืออุ่นๆ นี่กำเสื้อเชิ้ตเขาแน่นจนยับย่น แรงสั่นเบาบาง แม้จะแทบสัมผัสไม่ได้ แต่เขาก็รู้สึก
   
“ละเมอน่ากลัวดีนะครับ เอ้ายืนไหวไหม เดี๋ยวผมช่วยพยุงเข้าไปในห้อง” พึมพำแผ่วเบาแล้วก็ลุกพรวดฉุดให้เขาลุกตาม แข้งขาอ่อนแรงของตัวเองชวนให้รู้สึกหงุดหงิด พอสติกลับเข้าร่างอาการสารพันก็เข้ามาจู่โจม สัมผัสแสบๆ ในคอกับศีรษะหนักอึ้งเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ดีว่า ไข้กลับอีกแล้ว...
   
ถูกอีกฝ่ายแบกเขามาทิ้งไว้ที่เตียงกว้าง เพิ่งจะมาสังเกตเมื่อครู่นี่เองว่าห้องที่เขาอยู่นั้นหาใช่ห้องของตัวเองไม่ เพดานใต้แสงสลัวมีหมู่ดาวเรืองแสงอยู่เต็มไปหมด...วอลเปเปอร์เรืองแสงสินะ?
   
วันสุขอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาเคยมีความคิดที่จะเอามาติดแบบนี้เหมือนกัน แต่หาแบบที่ถูกใจไม่ได้สักที ส่วนผนังฝั่งหนึ่งเป็นกรอบรูปเล็กๆ ติดอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่ารูปอะไรบ้างเพราะแสงในห้องนั้นน้อยเหลือเกิน
   
“ห้องต่างจากที่คิดเอาไว้นะ” เอ่ยขึ้นลอยๆ หวังทำลายความเงียบ ยาสารพันชนิดถูกวางลงในมือพร้อมแก้วน้ำอุ่น เขาพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วกินมันเข้าไป พอจัดการอะไรเสร็จก็ทิ้งตัวเองลงกับเตียงนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมเย็นๆ ลอยมาแตะจมูกชวนให้รู้สึกดีอย่างประหลาด
   
“ตอนที่พี่หลับ ผมได้ยินเสียงพี่พึมพำหาใครสักคน” ซานเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทำเอาเขาที่กำลังจะเคลิ้มหลับตากระตุกกึกขึ้นมาทันที
   
“ช่วยทำเป็นไม่ได้ยินได้ไหม? พี่จำไม่ได้หรอกนะว่าเพ้ออะไรไปบ้าง แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่” เขาว่าเสียงเบา ตลบผ้าห่มขึ้นมาแล้วหันหลังให้
   
“พี่ตะโกนว่าจะฆ่าเขา สักพักพี่ก็ร้องไห้เป็นชั่วโมง แล้วจู่ๆ ก็พุ่งไปที่ระเบียง...”
   
“ซาน...”
   
“ขอโทษครับ” เตียงยุบยวบลงไป แล้วใครบางคนก็เอนตัวพาดศีรษะลงกับหลังของเขา “ได้ยินเสียงหัวใจพี่ด้วย...” พูดแล้วก็กลิ้งทับเขาเพื่อข้ามมาอีกฝั่ง
   
วันสุขส่งเสียงประท้วง ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อแมวตัวโตมุดผ้าห่มเข้ามานอนซุก ทั้งที่เด็กนี่ตัวโตกว่าแท้ๆ แต่แบบนี้ก็ดูน่ารักดี ออดอ้อนอย่างที่ทำประจำ ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่ามันห่างไกลจากคำว่า อ้อน เหลือเกิน
   
“พี่คิดว่าผมเป็นยังไง?” คำถามประหลาดถูกส่งมาให้ ทำเอาต้องก้มหน้าลงมองดวงตาซึ่งจ้องเป๋งกลับมาจากใต้ผ้าห่ม วันสุขขมวดคิ้ว ทำท่านึกอยู่นานพอสมควร เพราะต้องใช้เวลาประมวลการกระทำของเด็กตรงหน้าพักใหญ่
   
“ชอบทำอะไรแปลกๆ ดื้อ เอาแต่ใจ นิสัยเสีย” ยิ่งพูด ซานก็ยิ่งทำหน้ามุ่ยจนเขาอดหัวเราะไม่ได้ “ทำไม? ไม่ถูกใจหรือไง?” เอ่ยแซวไปตามประสา บรรยากาศหนักๆ ดูจะเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ
   
“เปล่าหรอก...ดีแล้วล่ะที่พี่มองแบบนั้น” มือของเขาถูกคว้าไปซุกที่ซอกคอของใครอีกคน ริมฝีปากบางหยักสวยแย้มยิ้มเล็กๆ เสียงหงอยเหงานั่นชวนให้รู้สึกน่าสงสารอย่างประหลาด
   
“ทำไม?” อดถามขึ้นมาไม่ได้ เด็กตรงหน้าเขาดูมีมุมอยู่หลากหลาย ไม่รู้ว่ายังมีอีกกี่มุมกันแน่ แต่คิดว่าต่อไปเขาคงจะได้เห็น ทีละเล็กทีละน้อย...เหมือนกันกับที่เขาค่อยๆ แสดงตัวตนของตัวเองออกมาเช่นกัน
   
พลันสิ้นความคิด คนซึ่งนอนอยู่เคียงกันก็ลุกพรวดขึ้นมา เงาดำทาบทับเขาเอาไว้ สิ่งที่สะท้อนอยู่มีเพียงแค่ดวงตาคู่คมล้อแสงสลัวเท่านั้น...
   
“ไม่มีอะไร...ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว” มือข้างเดิมถูกยกขึ้นมากดจูบลงที่ร่องนิ้ว เสียงทุ้มนุ่มนวลหัวเราะแผ่วในลำคอคล้ายกับคนที่กำลังเจอของสนุก “มองผมแบบนั้น...ไปนานๆ นะครับ”
   
วันสุขนิ่งเงียบไป สมองคาดการณ์ไปสารพันว่าเจ้าเด็กตรงหน้าคิดจะทำอะไรกันแน่? พลันไฟหัวเตียงกลับถูกเปิดพรึบทำเอาเขาตาพร่า ตัวการหัวเราะลั่นที่แกล้งเขาได้ แล้วจู่ๆ ก็กระโดดแผล็วหนีหายออกไปจากห้องนอนแทบจะในทันทีทันใด
   
“พี่นอนไปก่อนแล้วกัน ผมจำได้ว่ายังไม่ได้ทำชีทที่ต้องส่ง”


   

ครั้นเนื้อครั้นตัวแปลกๆ คงยังเพราะไม่ได้อาบน้ำ สุดท้ายก็นอนไม่หลับ เห็นแบบนี้ แต่เขาก็เป็นพวกรักสะอาดอยู่เหมือนกัน ไม่มีทางหรอกนะที่จะยอมนอนทั้งที่เนื้อตัวชื้นเหงื่อ... พอคิดได้ก็ตลบผ้าห่มออก ไอเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศชวนให้หนาวเยือกไม่น้อย ห้องสลัวดูเงียบลงไปถนัดตายามที่เจ้าของออกไป
   
“สวยจังเลยนะ...” เงยหน้าขึ้นมองเพดานเรืองแสงอีกครั้ง แล้วก็อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ ถึงของจริงจะสวยกว่าก็เถอะ แต่ของจำลองนี่ก็สวยในแบบของมันเช่นกัน
   
วันสุขถอดกางเกงพาดไว้ที่ปลายเตียง กระดุมเชิ้ตดำถูกปลดออกทีละเม็ดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อจู่ๆ ภาพความฝันปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง...คงเพราะซานทำเอาเขาลืมเรื่องพวกนั้นไปชั่วขณะ พอได้จมอยู่กับความเงียบคนเดียว...มันก็กลับมา
   
เผลอหรุบตาลงไปมองยังปลายเท้า พื้นพรมนุ่มนิ่มสีดำสนิทดูคล้ายกับผืนน้ำเวิ้งว้างในความฝัน ปลายเท้าคล้ายกับจะค่อยๆ จมลง จมลงไปอย่างช้าๆ โสตประสาทอื้ออึงเหมือนถูกฉุดลงไปข้างใต้ อากาศถูกแย่งชิงไป และไม่นานหัวใจคงจะหยุดเต้นเฉกเช่นทุกครั้ง...
   
แกร๊ก
   
“พี่วันครับ ผมโทรไปบอกอาจารย์แล้วนะ...พี่ทำอะไรน่ะ?”
   
เหมือนถูกกระชากขึ้นมาสู่อากาศ วันสุขสะดุ้งเฮือกก่อนจะถอนหายใจแผ่ว ปลายนิ้วเรียวถูกยกขึ้นนวดขมับ ดูท่าเขาจะอาการแย่ลงเรื่อยๆ เสียแล้ว อาจเพราะพักนี้มีเรื่องให้เครียดตลอดเวลา อาการเก่ามันเลยกำเริบเข้าให้
   
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ” คนมาใหม่ว่า แต่สายตาน่ะกวาดมองเขาไปทั่วทั้งตัว ไล่มาตั้งแต่ช่วงไหล่ไปจนแผ่นอก โคนขา ปลายเท้า...
   
วันสุขหัวเราะแผ่ว มือก็ไล่ปลดกระดุมต่อไปอย่างไม่ยี่หระ จนเมื่อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออกนั่นแหละ ร่างกายของเขาก็ถูกผ้าขนหนูผืนใหญ่ตวัดขึ้นห่มด้วยฝีมือของใครอีกคน
   
“ทำไมพี่ชอบทำตัวแบบนี้อยู่เรื่อยนะ... แต่ผมก็ชอบนะ” แมวตัวโตบ่นเบาๆ แล้วเดินอ้อมมาด้านหลัง จัดแจงโอบผ้าผืนนั้นมาทบรอบเอวให้ แล้วเกี่ยวเอาเชิ้ตสีดำของเขาทิ้งลงพื้น
   
“ชอบ...อย่างนั้นเหรอ?” วันสุขถามเสียงต่ำ มุมปากยกยิ้มเบาบางอย่างอดไม่ได้ นัยแฝงในรูปประโยคไม่จริงจังนั่น...ชวนให้คิดไปไกลเสียจริง
   
“ครับ...ชอบ” เสียงทุ้มแตะแผ่วที่ปลายหู นิ้วเย็นๆ ไล้ลงที่บั้นเอวขวาของเขา “ตรงนี้...มีผีเสื้ออยู่ด้วย คราวนั้นผมไม่ทันสังเกต แต่ผีเสื้อกับสายลม...เหมาะกับพี่ดี” ว่าแล้วก็ลากปลายนิ้วไปตามลายเส้นซึ่งวาดกระหวัดเป็นรูปผีเสื้อกระพือปีก สายลมเกลียวคล้ายคลื่นน้ำทอดยาวเฉียงขึ้นไปจนเกือบถึงกลางหลัง ทุกอย่างมีเพียงแค่สีดำล้วนเท่านั้น
   
“จะถามใช่ไหมว่าคิดยังไงถึงสัก” วันสุขปัดมือที่เริ่มจะล้วงลึกเข้ามาใต้ผ้า ยกแขนซ้ายขึ้นกอดเอวตัวเองไว้แล้วใช้ปลายนิ้วลูบตัวผีเสื้อเบาๆ “ตรงนี้น่ะ มีแผลเป็นอยู่ แผลเป็นไม่น่าดู ก็เลยสักทับซะ”
   
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นผีเสื้อล่ะครับ” เจ้าหนูจำไมคล้ายกับจะถามขึ้นมาไม่ถูกเวลานัก วันสุขยิ้มเหยียดให้กับตัวเอง พอนึกถึงเหตุผลเมื่อนานมาแล้วนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
   
“ช่างที่สักให้เป็นคนญี่ปุ่นน่ะ...เขาบอกพี่ว่า ผีเสื้อ เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณของคนตาย...”
   
“วิญญาณ...”
   
“ครับ...เวลามองมันทีไรมันก็ช่วยย้ำพี่หลายๆ เรื่องน่ะ” หัวเราะเบาๆ ทั้งที่ใจกลับแสบแปลบ สัมผัสเย็นเฉียบแล่นริ้วขึ้นมาจากแหวนสีดำซึ่งสวมอยู่
   
เขาสะบัดหน้าไล่ความคิดร้ายๆ ออกไปจากหัว แล้วก็ตรงดิ่งไปยังประตูห้องน้ำซึ่งแง้มไว้ พอเปิดพรวดเข้าไปเป็นต้องยืนนิ่ง ลมหายใจกระตุกไปชั่วแวบราวกับเห็นภาพซ้อนอย่างไรอย่างนั้น
   
คงเพราะไม่ใช่ห้องน้ำที่บ้าน...ก็เลยไม่คุ้นเอาเสียเลย...
   
“ซาน...” เอ่ยปากเรียกคนที่เดินตามมาติดๆ ไฟในห้องน้ำถูกเปิดพรึบทำเอาเขาโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
   
“ครับ?”
   
“พี่...ไม่อยากอาบน้ำคนเดียว...”
   
นี่เขาพูดบ้าอะไรออกไปนะ? แต่ช่างเถอะ...ในช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวทีไรเป็นต้องคิดเรื่องร้ายๆ แบบนี้ ต่อให้เข้ามาแค่อาบน้ำ อย่างน้อยมีคนอื่นอยู่ด้วยก็ไม่เป็นจะเป็นอะไร
   
“ผมก็ว่าจะถามพี่เหมือนกันว่าอยากให้อยู่เป็นเพื่อนไหม”
   
เด็กหนุ่มหัวเราะพลางยกยิ้ม...ยิ้มละมุนซึ่งตีความไม่ออก...


   

แปลกดีเหมือนกัน...ห้องน้ำที่นี่มีที่สำหรับนั่งอาบเสียด้วย เรนชาวเวอร์ขนาดใหญ่ติดเพดานเองก็ดูหรูหราแปลกตา อีกฟากหนึ่งเป็นมู่ลี่กั้นแบ่งโซน เจ้าของห้องบอกเขาว่าฝั่งนั้นเป็นอ่างสำหรับนอนแช่
   
นี่มันใช่ที่ที่นักศึกษาธรรมดาจะมาอยู่ได้แน่เหรอ?
   
วันสุขนั่งชันเข่าเงียบๆ ให้สายน้ำเย็นจัดไหลผ่านร่างไม่ต่างจากสายฝนนักตามชื่อของมัน น้ำลู่ไล่มาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายผม สุดที่ปลายเท้า แล้วเจิ่งเต็มแท่นนั่งเย็นยะเยือก เสียงซาซ่าเปาะแปะทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
   
“พี่วันชอบน้ำเย็นเหรอ?”
   
เสียงถามไถ่ดังแทรกเสียงน้ำเข้ามา วันสุขหัวเราะแผ่ว ทิ้งแผ่นหลังนาบไปกับกระจกใส ซึ่งอีกฟากหนึ่งมีแผ่นหลังของใครบางคนพิงอยู่เช่นกัน ทั้งที่เนื้อกระจกก็ไม่ได้บางอะไร แต่นี่คงเป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกได้ถึงไออุ่นๆ จากฟากตรงข้ามกระมัง
   
เขาเอี้ยวคอมองต้นคอกับบ่ากว้างนั่น ซานนั่งกดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจอะไรเขาเท่าไรนัก ก็แปลกดีที่ต้องมาอาบน้ำแล้วมีใครบางคนนั่งหันหลังให้ แต่ถึงอย่างนั้น...เขากลับไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร ยังมีอะไรให้อายกันอีกล่ะ?
   
วันสุขยกสองแขนขึ้นโอบรอบเข่า เสี้ยวหน้าด้านหนึ่งนาบไปกับกระจกอย่างเหม่อลอย
   
“ซาน...เคยฝันร้ายหรือเปล่า” เผลอถามออกไปอย่างลืมตัว แล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบรอคำตอบ
   
“เคยสิครับ ทำไมจะไม่เคยล่ะ”
   
“แล้วเคย...ฝันว่าตัวเองกำลังจมลงไปในน้ำหรือเปล่า” ภาพฝันที่เขามักเห็นบ่อยๆ ถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเย็นเฉียบทำให้ปลายนิ้วด้านชา แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ...หนาววาบมาจากข้างใน
   
“พี่น่ะ...ฝันอยู่บ่อยๆ ว่าตัวเองถูกผลักให้จมลงไป แต่ในฝันก็ไม่เคยจะตะเกียกตะกายว่ายขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ สักที ก็ได้แค่ตีแขนตีขา สักพักก็หมดความพยายาม แล้วก็ยอมให้ตัวเองถูกดึงให้ลึกลงไปกว่าเดิม” ปลายนิ้วไล้ขึ้นไปตามแผ่นกระจก กรีดลายวาดเล่นไปเรื่อยเปื่อย ราวกับจะต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวสายตา
   
“ทำไม?” เด็กคนนั้นถามเสียงเบา
   
“เพราะที่ก้นบึ้งนั่น มีใครบางคน...รอรับพี่อยู่ตลอดน่ะสิ”
   
ที่ก้นบึ้งนั่นมีใครบางคน...คนที่อยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนานแสนนาน คนที่รอให้เขาจมลึกลงไป ลึกลงไปจวบจนมือคู่นั้นไขว่คว้าหาตัวเขาได้ในที่สุด
   
“ในฝันนั่นน่ะ... พี่กลัว...กลัวว่าแท้จริงแล้วตัวพี่เองนั่นแหละกลับยินดีที่ถูกฉุดกระชากลงไป”
   
เสียงสั่นพร่าทำเอาอดยิ้มเย้ยตัวเองไม่ได้ ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ? ความอ่อนแอนี่ราวกับจะตอกย้ำเขา ว่าตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง คนธรรมดาที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
   
“นี่...ผมถามอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหม”
   
พลันเจ้าของดวงตาสีเข้มกลับหันมาถามพลางชะงักไป ก่อนจะยกยิ้มอ่อนมาให้ เด็กคนนั้นค่อยๆ เลียนแบบท่าทางของเขา ทิ้งศีรษะพิงลงมาในตำแหน่งเดียวกัน จนสายตาประสานกันในที่สุด
   
มันให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งที่ไม่ได้สัมผัสกัน แต่เหมือนกระจกที่กั้นกลางพวกเขาเอาไว้คล้ายกับจะไม่มีตัวตนอีกแล้ว... วันสุขอดที่จะหรุบตาลงต่ำไม่ได้ แอบกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ เพราะถ้าขืนเขาปลุกให้มันตื่นขึ้นมา...ทุกอย่างคงหยุดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
   
“รอยสักนั่นกับแหวนสีดำ มันเกี่ยวข้องกันใช่ไหมครับ” สายตาจริงจังคู่นั้นคล้ายกับจะเร่งให้เขาตอบ เด็กเอาแต่ใจก็ยังคงเอาแต่ใจอยู่วันยังค่ำ พอเขาห้ามไม่ให้ถามเรื่องหนึ่ง เจ้าตัวก็ยังทู่ซี้หาช่องมาถามเขาจนได้ และคงจะถามไปเรื่อยๆ อยู่แบบนี้จนกว่าจะได้คำตอบ...
   
“เกี่ยว...แต่ก็ไม่ทั้งหมด...” เพราะแหวนนี่เป็นเหมือนเครื่องเตือนความจำ ส่วนรอยสักเป็นเสมือนสิ่งย้ำเตือนความผิดหลายๆ อย่างที่เขาได้ทำไป ความผิดพลาดที่ต่อให้ชีวิตนี้ชดใช้อย่างไรก็ไม่หมด
   
“เขาคนนั้น สำคัญ...มากเลยสินะครับ” ซานหรุบตาลงต่ำ ยกยิ้มอ่อนดูเหงาหงอยอย่างแปลกประหลาด “แต่ว่า...ยิ่งสำคัญมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากจะลบตัวตนของเขาออกไปนะ” สายตาที่จ้องมาชวนให้รู้สึกอยากจะค้นหาความจริงใต้คำพูดนั่นเหลือเกิน
   
ลบหรือ? ถ้าหากลบออกไปได้ล่ะก็... แต่ว่า
   
“เราพูดเหมือนว่าพี่เป็นคนสำคัญ” คนที่ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรต่อกันจะมาพูดแบบนี้ใส่กันหรือ? ความระแวงของเขาบอกไว้แบบนั้น... ยิ่งรู้จักกัน เขาเองก็ยิ่งไม่เข้าใจการกระทำของคนตรงหน้า คงเพราะอะไรก็ดูเร็วเกินไป...ใกล้กันเร็วเกินไป
   
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่าทางของพี่ดูอยากจะให้ผมพูดแบบนั้นเท่านั้นเอง” เด็กหนุ่มยกยิ้ม ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศจากซานก็ดูแปลกไป คล้ายกับว่าเด็กนี่จะรู้อะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาคาดเดาไม่ออก
   
“โกหกหรือเปล่า” เขาถาม ...ใครจะมานั่งอ่านใจคนอื่นได้ ขนาดจิตแพทย์ที่เก่งที่สุดยังไม่สามารถคาดเดาความคิดของคนไข้ได้เลยแท้ๆ
   
“ผมพูดเรื่องจริง” ซานว่าเสียงนุ่ม ตาคมสวยหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์
   
“ใครมันจะไปเชื่อ...” เขาแย้ง เขม่นตาจ้องกลับไป
   
“พิสูจน์ไหมล่ะครับ” คนเด็กกว่าท้าเสียงแผ่ว
   
“...” เขาเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร บรรยากาศนิ่งเงียบไปชั่วขณะ... ก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มนั่นจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
   
“ผมจะลบเขา”
   
ชั่วขณะหนึ่งเหมือนเสียงทุกอย่างจะเงียบสนิท คำพูดนั่นดังก้องในหัว... เหมือนเสียงระฆังกังวาน วันสุขเม้มปากแน่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าทันทีที่ได้ยินถ้อยคำแบบนั้น...หัวใจมันก็คล้ายกับ...
   
“หวั่นไหวใช่หรือเปล่า”
   
คำพูดถือดีถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีสวยนั่นอีกครั้ง ซานคลี่ยิ้มร้ายกาจ เสียงหัวเราะทุ้มแผ่วทำเอาเขาพูดไม่ออก เหมือนถูกจับได้จนไปต่อไม่ถูก เหมือนเสียท่ากลายๆ แต่ความกระหายบางอย่างในใจกลับทะยานสูงขึ้นจนน่ากลัว
   
“ถ้าอย่างนั้น...ขอค่าพิสูจน์ด้วยนะครับ”
   
สิ้นเสียงพูด กลีบปากสีสวยนั่น...ก็แตะลงมายังตำแหน่งเดียวกันกับของเขา แผ่วผ่านเนื้อกระจกเย็นเฉียบ ส่งริ้วไออุ่นที่ไม่มีตัวตนให้แล่นวาบเข้ามาสู่หัวใจกระตุก
   
เหมือนปีกผีเสื้อกระพือ...แผ่วเบา


(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage


หลังจากวันนั้นพอกลับบ้านไปได้ก็ถูกคุณอาดุยกใหญ่ ท่านโกรธเขามาก โกรธเสียจนไม่ยอมอยู่โยงรอกินข้าวเย็นร่วมอาทิตย์ วันสุขนึกเสียใจ... เมื่อก่อนเขามักจะทำอะไรไปโดยไม่คิดถึงคนอื่นเท่าไหร่ ทั้งที่สัญญากับตัวเองไว้แล้ว แต่ก็ยังเผลอทำเรื่องแบบนั้นอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
   
กว่าจะง้อคุณอาได้ก็เหนื่อยเอาเรื่อง แลกกับการเล่าเรื่องปัญหาที่เป็นอยู่ตอนนี้กับโต๊ะกินข้าวที่จะไม่เงียบเหงาอีกต่อไปนั้นก็คุ้มค่าทีเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง...ใครสักคนที่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป หลังจากผ่านพ้นคืนนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ซานตามติดเขาแจยิ่งกว่าเดิม
   
“พี่วัน...ทอดไข่ดาวให้หน่อย” เสียงเงี้ยวง้าวดังมาจากห้องนั่งเล่น วันสุขวางมีดซึ่งเพิ่งล้างเสร็จหมาดๆ ลงกับตะแกรงพัก ถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ตรงดิ่งไปยังแมวอืดที่นอนยึดโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์
   
“เมื่อเช้าก็กินเข้าไปเยอะแล้วนะครับ” อดบ่นขึ้นมาไม่ได้ วันหยุดแท้ๆ แต่ก็ยังต้องมานั่งสู้รบกับแมวเหมียวอีก ตอนสายๆ ปรัชญ์ก็จะเข้ามาทำสวนหลังบ้านให้ คิดแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อยากจะรู้จริงๆ ว่าสวนจะออกมาหน้าตาแบบไหนกันนะ?
   
“ไข่ดาว...” พอไม่ได้ดังใจก็เปลี่ยนวิธีการ ไม่รู้ว่าเด็กนี่จับจุดเขาถูกหรืออย่างไร เวลาอ้อนอะไรถึงได้ชอบใช้สายตาแบบนั้นจ้องมาทุกที
   
“อะไรเล่า...กินมากเดี๋ยวท้องอืดนะครับ ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้” วันสุขขมวดคิ้วมุ่น
   
“แค่ไข่ดาวเองวัน อาเอาด้วยแล้วกัน รองท้องสักหน่อย เดี๋ยวเที่ยงๆ ต้องออกไปต่างจังหวัด” คุณอาที่นั่งดูรายการโทรทัศน์ไม่ไกลเปรยขึ้นขำๆ ทำเอาเขาขัดไม่ได้ วันสุขยู่หน้า
   
“ออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอครับ ผมไม่อยากให้อาไปไหนไกลๆ เลย” เขาบ่นเสียงอ่อน นอกจากจะเกลียดการเดินทางไกลแล้ว เขายังเกลียดการให้คนรู้จักไปไหนไกลๆ ด้วย...มันอดกังวลไม่ได้ เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ...
   
“กังวลเกินไปแล้วนะเรา” คุณอาเดินเข้ามาใกล้พลางจับศีรษะเขาโยกไปมาเหมือนเด็กๆ วันสุขทำสีหน้าไม่พอใจอย่างลืมตัว ก่อนจะต้องโวยลั่นเมื่อถูกคนแก่กว่าดึงแก้มจนเจ็บไปหมด พอแกล้งเขาจนพอใจก็เดินหัวเราะเข้าครัวไป
   
“แค่ไข่ดาวเดี๋ยวอาทำเองก็ได้ เราน่ะไปตลาดเถอะ”
   
“ครับๆ ” รับคำแล้วถอนหายใจเฮือก ถอดผ้ากันเปื้อนสีสันแสบตาวางพาดกับราวแถวนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาก็ปะทะสายตากับแมวตัวโตทันที...ซานมองมานิ่งๆ จ้องราวกับสัตว์ที่กำลังสังเกตการณ์
   
“พี่ดูไม่เหมือน วันสุข ที่ผมรู้จักเลย” เด็กหนุ่มว่า
   
“ไม่เหมือนยังไงครับ?” เอียงคอถามเสียงฉงน นัยน์ตาวาวๆ คู่นั้นทำเอารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล
   
“พี่ดูจับต้องได้”
   
“หมายความว่ายังไงล่ะนั่น” ฟังแล้วดูเหมือนไม่ใช่คำชมเท่าไหร่
   
“พี่วันน่ารักครับ” น้ำเสียงนั่น...จริงจังกว่าทุกที หนักแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะหยอกล้ออย่างที่เคย วันสุขเม้มปาก คิ้วขมวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำวันนั้นฉายวาบเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง
   
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” ซานว่าพลางยกมือซนๆ ดึงแก้มเขาเล่นอย่างนึกสนุก เขาขืนตัวออก แต่ก็หลบไม่พ้นมือคู่นั้นอยู่ดี หูเองก็แว่วเสียงเพลงเย้าแหย่ดังมาจากในครัว พลันเสียงสั่นครืดของบางสิ่งก็ดังขึ้นตัดบรรยากาศ
   
“เยลลี่โทรมาแหละ” ซานว่าแล้วก็กดรับสาย ลุกหนีออกไปคุยธุระที่ในสวน เขามองตามแผ่นหลังนั่นไป...ทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟา ตบมือตีแก้มเรียกสติ ความรู้สึกที่ปะทุเดือดขึ้นมาในใจถูกเป่าให้พัดหายไปในทันทีที่มันผุดขึ้นมา
   
ไอ้ที่เคยย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่าจะลองปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่ควรเป็นนั้น...ไม่รู้ว่าตัวเขาจะทำตามอย่างที่เคยพูดไปได้อีกนานสักเท่าไหร่ มันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริงๆ ยิ่งความสุขมีมากขึ้นเท่าไหร่...ความหวาดกลัวก็รังแต่จะมากขึ้นเท่านั้น


   

ปรัชญ์มาก่อนที่เขาจะกลับจากตลาด พอแบกสารพันของเข้าบ้านมาได้ก็เจอะเข้ากับบรรยากาศกดดันซึ่งแผ่มาจากห้องนั่งเล่น คนงานสองสามคนที่คาดว่าเด็กคนนั้นน่าจะพามาด้วยเริ่มงานกันแล้วที่หลังบ้านโดยมีคุณอาคุมอยู่
   
วันสุขแอบหลบเข้าไปในครัว นำสารพันข้าวของไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าว แล้วก็ตรงดิ่งไปยังห้องนั่งเล่น น่าแปลกตรงที่แม้ว่าเขาจะเข้าไปยืนอยู่กลางห้อง แต่กลับไม่มีใครเปิดปากพูดขึ้นมาสักคำ
   
“ทะเลาะกันเหรอครับ?” อดถามไม่ได้ ซานนอนอ่านหนังสืออย่างปกติ ต่างออกไปก็ตรงใบหน้าซึ่งมักจะมีรอยยิ้มติดอยู่เสมอดูเย็นชาอย่างประหลาด ปรัชญ์ที่ดูอ่อนน้อมใจเย็นก็มีประกายกรุ่นโกรธฉาบอยู่ในแววตา
   
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา หรุบตาลงต่ำทันทีที่โดนเขาจ้อง วันสุขถอนหายใจเฮือก ไอ้ท่าทีแบบนี้จะบอกว่าไม่มีอะไรก็คงเชื่อยาก แต่ถ้าไม่มีใครยอมอธิบายอะไร เขาเองก็คงไปยุ่มย่ามไม่ได้
   
“จริงสิ ในครัวมีก๋วยเตี๋ยวนะ พี่ทำเผื่อคนงานเขาด้วย”
   
“ขอบคุณมากครับ แต่ว่าไม่รบกวนพี่วันแน่นะครับ” ปรัชญ์ถามเขาอย่างเกรงใจตามประสา วันสุขเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
   
“รบกวนอะไรกัน พี่ก็ทำแบบนี้ปกตินั่นแหละ” ยิ้มอารมณ์ดีก่อนที่หนุ่มร้านต้นไม้จะขอตัวไปทำงานต่อ วันสุขทำท่าว่าจะเดินตามออกไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อปลายแขนเสื้อถูกดึงเบาๆ
   
“ครับ?” เอียงคออย่างแปลกใจ ซานเหลือบมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือ วางหนังสือลงกับโต๊ะ แล้วก็นอนหันหลังให้เสียอย่างนั้น
   
“เดี๋ยวพี่ออกไปช่วยงานข้างนอกก่อนนะ ถ้าหิวก็มาเรียกพี่ได้นะครับ” พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินตามหลังปรัชญ์ออกไปสวนทางกับคุณอาซึ่งเข้ามาบอกเขาว่าท่านต้องออกไปทำธุระแล้ว
   
กอดลากันอย่างที่ทำประจำ ความกังวลเริ่มเข้ามากัดกินจิตใจ และมันคงจะเป็นอย่างนี้จนกว่าคนเดินทางไกลจะกลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
   
“น้องปรัชญ์ครับ มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า?”
   
ส่งคุณอาเสร็จเขาก็ออกมาที่สวนหลังบ้าน อดแปลกใจไม่ได้ ภาพหนุ่มร้านต้นไม้กับนักศึกษาเรียนดีที่เขามักเห็นบ่อยๆ นั้นดูจะต่างกันลิบลับ ปรัชญ์ดูเอาจริงเอาจัง สีหน้าเองก็ดูดีขึ้นกว่าตอนที่เจอในมหาวิทยาลัยเยอะ ดูมีชีวิตชีวากว่ากันตั้งหลายเท่า คงอย่างที่คุณแม่ของปรัชญ์บอกจริงๆ เด็กคนนี้งานนี้...เหมือนกับที่เขารักการทำอาหารกระมัง?
   
“แค่พี่วันทำก๋วยเตี๋ยวเลี้ยง พวกเราก็เกรงใจจะแย่แล้วล่ะครับจะให้ลูกค้ามาช่วยงานอีก ผมโดนคุณแม่ดุแน่ๆ ” ปรัชญ์ว่าเสียงใส แล้วหันไปแกะไม้พุ่มเล็กๆ ซึ่งเขาจำได้ว่าเคยเลือกไว้เพื่อใส่ลงไปในหลุมดิน
   
วันสุขมองภาพเหล่านั้นยิ้มๆ ทิ้งตัวนั่งไกวขาที่ชานเรือน แล้วก็เดินไปหยิบกระติกใส่น้ำแข็งพร้อมแก้วน้ำไปวางไว้ให้ พอใกล้เที่ยงแดดก็เริ่มแรง สภาพท่วมเหงื่อของปรัชญ์เองก็แปลกตาดีเหมือนกัน
   
“น้องปรัชญ์นี่...พอไม่ได้ทำตัวเรียบร้อยแล้วดูดีขึ้นเยอะเลยนะครับ” ชันเข่าเท้าคางมองพลางเอ่ยปากชม เด็กสมัยนี้นี่น่าอิจฉาจังเลยนะ? ตัวโตโครงร่างดีกันทั้งนั้น ยิ่งเจ้าตัวทำงานที่ต้องใช้แรงมาตั้งแต่เด็ก สภาพกล้ามเนื้อเลยดูแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง
   
“พี่วันน่ะดูดีกว่าผมอีก” ปรัชญ์หันมาย้อนชมเขาเสียงเบา แก้มแต้มสีฝาดเบาบางอย่างทุกที
   
“ดูดียังไงก็สู้เด็กสมัยนี้ไม่ได้หรอก เอ้าเหงื่อไหลเข้าตาแล้วนั่น” ว่าขำๆ แล้วก็คว้าผ้าขนหนูที่เตรียมเอาไว้พลางเดินเข้าไปใกล้ ซับผ้าลงกับใบหน้าของอีกฝ่าย เด็กคนนั้นสะดุ้งโหยงทันที่ที่ถูกเขาโน้มคอให้ก้มลงต่ำ วันสุขหัวเราะขันก่อนจะเอาผ้ามาพับทบทำเป็นที่คาดกันเหงื่อเข้าตาให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพ
   
“ขอบคุณครับ” ปรัชญ์ก็ยังคงเป็นปรัชญ์ พอโดนเขายิ้มใส่เข้าไปอีกทบเจ้าตัวก็ก้มหน้างุดๆ เดินหนีไปอีกทาง
   
วันสุขมองตามแผ่นหลังนั่นไป ก่อนจะกลับไปนั่งเล่นที่ชานระเบียงอีกครั้ง ฮัมเพลงขึ้นมาเพลินๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดคราด หยิบขึ้นมาดูว่าใครโทรมา พอเห็นชื่อเท่านั้นก็ต้องถอนหายใจเฮือก
   
“ว่าไงเวย์? คิดยังไงถึงโทรมา”
   
“คิดว่าแกตายไปแล้วไงไอ้วัน! มีปัญหาทำไมถึงไม่ยอมมาหาฮะ!?” ปลายสายตะโกนลั่นทำเอาเขาเบ้หน้า วันสุขยกโทรศัพท์ออกห่างหูในทันใด ขณะที่เสียงแว้ดๆ ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง
   
“ก็คิดว่ามันคงไม่น่าจะมีอะไร...” ว่าเสียงอ่อย ถ้าจะให้ใส่ฐานะสำหรับคนสนิท วันสุขว่าเพื่อนเขาคนนี้คงได้รับตำแหน่งแม่บังเกิดเกล้าแน่ๆ คบกับมันมาเป็นสิบปี แรกๆ ก็ไม่อะไร แต่ยิ่งรู้จักนานเท่าไหร่ ชีวิตเขาก็ยิ่งถูกมันบงการมากเท่านั้นแหละ
   
“บอกแบบนี้ทุกที แล้วก็มีปัญหาทุกที กลับมากินยานอนหลับอีกแล้วใช่ไหม? น้ำเสียงดูเพลียๆ ด้วย อีแบบนี้ถึงจะหายหวัดเดี๋ยวเดียวก็เป็นใหม่” สมกับเป็นคุณหมอ ไม่ต้องมาตรวจกันให้เห็นหน้า แค่ฟังน้ำเสียงก็พยากรณ์โรคให้เขาเสร็จสรรพ
   
“ก็มีเรื่องให้คิดเยอะ” บ่นอุบอิบ หางตาเหลือบไปเห็นซานที่เดินเข้ามาในครัวพอดี
   
“เรื่องอะไร?” เวย์ถามเสียงเหี้ยม รายนี้ก็ทุกที แต่เขาก็โวยวายอะไรไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายทำเป็นเพราะห่วงเขาจริงๆ
   
“โน่น นี่ นั่น เยอะแยะ” พูดกลั้วหัวเราะ เรื่องบางเรื่องไม่ต้องบอกตรงๆ คนปลายสายก็น่าจะเดาได้อยู่แล้ว
   
“จะเอายาเพิ่มไหมจะได้ฝากผู้จัดการร้านไปให้...” พอโวยวายเสร็จก็เข้าโหมดขรึมแบบตามแทบไม่ทัน วันสุขยิ้มเย็นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
   
“ไม่ล่ะ ของเก่ายังมีอยู่ บางทีก็อยากลองพยายามด้วยตัวเองเหมือนกัน” ต่อให้ต้องพยายามทั้งชีวิตเขาก็จะทำ ในเมื่อทุกอย่างมันดีขึ้นแล้ว แม้ช่วงนี้จะแย่ลงมาบ้าง แต่อีกไม่นานมันก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่นานหรอก...
   
“ถ้ายืนยันแบบนั้นก็ตามใจ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรต้องบอก เข้าใจไหม?” เพื่อนสนิทกำชับเสียงเข้ม
   
“อืม...ครับ คุณแม่”
   
“เปลี่ยนฐานะจากคุณแม่เป็นว่าที่สามีให้พี่เวย์จะดีกว่าน้องวัน” โดนตอกมาแบบนี้ทำเอาสะอึก เผลอยกมือขึ้นนวดขมับไม่ได้ ภาพประหลาดสมัยตอนยังเรียนมหาวิทยาลัยผุดวาบขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
   
“นี่ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีกเหรอ?” เขายังจำได้ถนัดเลยล่ะ ไปเล่าให้ใครเขาฟังก็คงไม่มีใครอยากจะเชื่อเท่าไหร่ ว่าผู้ชายที่ตามแจสมัยเรียนในวันนั้นจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทจนถึงวันนี้ หรือว่ามีแต่เขาฝั่งเดียวที่คิดว่ามันเป็นเพื่อนสนิทกันนะ?
   
“ก็รอให้คุณแม่บ้านหาคู่ให้ได้เร็วๆ นั่นแหละจะได้ตัดใจได้สักที” ไม่รู้ที่พูดมาล้อเล่นหรือจริงจัง เวย์มันก็เป็นแบบนี้ เอาแน่เอานอนไม่ได้สักที...นิสัยแบบนี้...เหมือนกับใครบางคนไม่มีผิด จะเชื่อได้อยู่อย่างเดียวนั่นแหละว่า ความห่วงใยที่มีให้มาตลอดน่ะของจริงแท้แน่นอน
   
“งั้นก็รอไปแล้วกัน นายวันสุขจะโสดไปจนตายเนี่ยแหละ”
   
“เหรอ? น้ำเสียงหาความหนักแน่นไม่ได้เลยนะ อา...ต้องไปดูร้านก่อนแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรต้องบอกนะเข้าใจไหม!?” ไม่วายทิ้งท้ายกำชับเสียงเข้มจนเขาต้องตกปากรับคำไปก่อนถึงจะยอมวางสาย
   
“หิวแล้ว”
   
เสียงเรียกจากทิศหนึ่งดังขึ้น วันสุขหันไปมองก็เจอะกับแมวตัวใหญ่ซึ่งกำลังยืนพิงตู้เย็น ตาสีเข้มจ้องมองมานิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ แต่ทำไมเขากลับรู้สึกกังวลใจแปลกๆ ก็ไม่รู้
   
“เอ้อ งั้นเดี๋ยวพี่หั่นผักให้ก่อนแล้วกัน” บอกออกไปแบบนั้น แต่แมวตัวโตทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนจะกลับไปนอนอ่านหนังสือเงียบๆ
   
แปลก...แปลกจริงๆ นั่นแหละ
   
“ซาน เป็นอะ...” หวังจะถามว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ต้องชะงักไป เมื่อคนงานด้านนอกส่งเสียงเรียกเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับจุดวางน้ำพุจำลอง วันสุขถอนหายใจเฮือก วางชามก๋วยเตี๋ยวไว้ข้างๆ คนที่เอาแต่นอนเงียบ ก่อนจะเดินฉับๆ ออกไปที่หลังบ้าน
   
ถ้าจะให้เดาแบบเข้าข้างตัวเองล่ะก็ เขาก็พอจะรู้คำตอบอยู่หรอกนะ...


   

งานเดินเร็วกว่าที่คิด เดี๋ยวเดียวก็ใกล้จะเสร็จแล้ว มุมน้ำพุจำลองก็ออกมาสวยทีเดียว สวนโล่งๆ ก็ดูจะมีสีสันขึ้นมาทันตา เหลือเพียงแค่เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างก็เสร็จ
   
พอเข้าช่วงพักเที่ยง ก๋วยเตี๋ยวที่ทำไว้ก็ขายดีพอสมควร เห็นคนกินชมเปราะว่าอร่อยก็อดยิ้มภูมิใจไม่ได้ นานแล้วที่เขาไม่ได้ทำของเลี้ยงคนเยอะๆ แบบนี้
   
วันสุขปลีกตัวออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน มองนู่นนี่ไปเรื่อย แดดบางลง ฟ้าก็ครึ้มๆ คล้ายกับว่าฝนจะตก เขาทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นหญ้านุ่มๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฝีเท้าของใครสักคนดังเข้ามาใกล้
   
“พี่วันครับ”
   
“ครับ?” ขานตอบไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก ปรัชญ์นั่นเอง... “ไปทำอะไรมาครับ ท่าทางดูไม่ดีเลย...” อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด็กตรงหน้ายังยิ้มแย้มดีอยู่แท้ๆ
   
“ซาน...มาที่นี่บ่อยหรือเปล่าครับ?” คิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องเรื่องนี้
   
“พักนี้ก็มาบ่อยอยู่ ทำไมเหรอ?”
   
“เปล่าครับ...” ว่าแล้วแล้วก็เงียบไป...ต่างคนต่างไม่พูดอะไร วันสุขเหม่อมองท้องฟ้าอีกครั้ง แดดอ่อนๆ จางหายไปแล้วเหลือเพียงลมเย็นกับเมฆครึ้มสีเทาเท่านั้น บรรยากาศชวนให้หดหู่เสียจริง เผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองคนข้างตัว
   
“พี่กับซานน่ะยังไม่ได้คบกันหรอกนะ” บอกออกไปจนได้ แม้จะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่นี่ก็ยังคงเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ความสัมพันธ์ขมุกขมัวนี่...จะเรียกว่าคบกันก็คงไม่ใช่ เพราะเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเริ่มมาจากไหน...หรือบางทีมันยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ... เรียกว่าสนิมสนมกันเกินพอดีจะเข้ากว่า
   
“แต่เขาบอกผม...”
   
“บอก?” เอียงคออย่างสงสัย บอกอะไรนะ? คงไม่ใช่บรรยากาศตึงๆ ตอนที่เขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นหรอกนะ?
   
“เขาบอกผมว่าพี่จะไม่มีวันหันมามองผม...ตราบเท่าที่เขายังอยู่ข้างพี่ตอนนี้” วันสุขเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อได้ฟัง
   
“น้องปรัชญ์ก็ทำให้พี่เลิกมองเขาสิครับ” ว่ายิ้มๆ เสียงนุ่มตามประสา พอนึกถึงหน้าแมวขู่ฟ่อๆ แล้วก็อดขำไม่ได้ ...น่ารักดีจริงๆ นั่นแหละ อย่างไรเสียซานก็ยังเด็ก ทำอะไรเป็นเด็กๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนมีใครมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแบบนี้
   
“ผมน่ะ...ทำไม่ได้หรอกครับ” ปรัชญ์พูดเสียงอ่อยอย่างคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองนัก “แค่เห็นตอนที่พี่คุยกับเขา...ผมก็รู้แล้วล่ะครับ...” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา ท่าทางนั่นคล้ายกับคนใกล้ร้องไห้ชอบกล
   
วันสุขมองนิ่งๆ เขาไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ให้คนข้างๆ นี่ฝังใจขนาดนี้ แต่เขาเองก็พอจะเข้าใจอยู่...ความรู้สึกซึ่งยึดติดกับอะไรบางอย่าง บางครั้งมันก็ไม่ต้องการเหตุผล และหลายครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาด้วยซ้ำ
   
“น้องปรัชญ์น่ะ จริงๆ แล้วคิดยังไงกับพี่กันแน่ครับ?”
   
“ชอบครับ...” น่าแปลกที่ตอบกลับมาไวกว่าที่คิด ปกติคงต้องทำท่าทีเขินอาย หน้าแดงแล้วก็วิ่งหนีเขาอย่างทุกทีสิ?
   
“ชอบแบบไหนล่ะ?” วันสุขยกยิ้มบางๆ แล้วถามต่อเหมือนจะรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว
   
“ผมไม่รู้...แค่รู้สึกว่าพี่น่ะเก่งมากๆ ยิ้มสวย แล้วก็ทำกับข้าวอร่อยด้วย ผมชอบที่พี่วันเป็นแบบนั้น”
   
“แต่มันก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเรื่องของพี่กับซานนี่ครับ?” อดที่จะถามออกไปไม่ได้
   
“ก็เวลาที่พี่อยู่กับเขา...ผมไม่ชอบเลย พี่เหมือนไม่มีความสุข ดูกังวล แล้วก็เหมือนจะร้องไห้ทุกที” ใบหน้าที่ก้มลงต่ำตลอดเงยขวับขึ้นมาจ้องเขาในทันใด ดวงตาคู่ตรงหน้านั่นอัดแน่นไปด้วยประกายมุ่งมั่นแปลกๆ ชอบกล
   
“แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น ทั้งที่พี่ดูเศร้าขนาดนั้นแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าพี่วันน่ะดูผ่อนคลายกว่าทุกที... ผมน่ะอิจฉานะครับ ทำไมเขาถึงทำให้พี่เป็นแบบนั้นได้ แต่ทำไมผมถึงทำไม่ได้...”
   
“น้องปรัชญ์...”
   
“เพราะเขาสำคัญใช่หรือเปล่า? ผมน่ะแค่อยากสำคัญแบบเขาบ้าง...แค่สักนิด สักนิดก็ยังดี...” ไหล่ถูกคว้าไว้ วันสุขเบิกตากว้างยามที่อีกฝ่ายกระชากเขาเข้าไปกอดแน่น ถ้อยคำวิงวอนดังแผ่วคล้ายกับคนที่ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไร
   
“พี่เอง... ไม่รู้สินะ...” เขาพึมพำ อดยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างนั่นเพื่อปลอบโยนไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า ทว่าในดวงตาของปรัชญ์ซึ่งมองมายังเขานั้นราวกับจะทะลุผ่านไป เหมือนเด็กตรงหน้ากำลังนึกถึงเรื่องบางอย่างแล้วใช้ภาพของเขาแทนบางสิ่งเท่านั้น
   
“ซานเองก็สำคัญ ปรัชญ์เองก็สำคัญเหมือนกัน เราน่ะมีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่า? เล่าให้พี่ฟังได้นะ” ว่าเสียงนุ่มอ่อนอย่างที่ใช้ประจำยามที่ต้องปลอบคนอื่น เอวถูกรัดแน่นขึ้นไปอีกราวกับว่าเขาไปจี้จุดอะไรเข้า... ดูท่าเรื่องที่คุยกันมาตั้งแต่ต้นเขาอาจจะต้องตีความเอาเสียใหม่ ปรัชญ์ไปเจออะไรมากันถึงได้มีสภาพแบบนี้นะ?
   
“พี่น่ะ...” พร้อมจะรับฟัง...
   
พลันคำพูดขาดหายก็ถูกกลืนไปในลำคอยามที่สายตาสบเข้ากับบางสิ่ง... ใครบางคนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้าน กายสูงพิงกับขอบประตูด้วยท่าทางสบาย ใบหน้าใต้เงาสลัวจากชายหลังคามองตรงมาที่พวกเขา ริมฝีปากขึ้นรูปสวยนั่นยกยิ้มเบาบางอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเหมือนปกติ
   
“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง...ผมก็เดินหาพี่เสียทั่ว ที่แท้มาอยู่หน้าบ้านนี่เอง”
   
เสียงเนิบนาบดังกังวาน...
   
กว่าจะมาได้สติอีกทีก็ตอนที่แขนถูกกระชากอย่างไม่เบามือนัก แทบหงายลงไปถ้าไม่มีใครบางคนมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เอวถูกคว้าหมับกอดแน่น เขาซึ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนมองสีหน้าตื่นตะลึงของปรัชญ์เท่านั้น
   
“ซาน...” วันสุขพึมพำชื่อของผู้มาใหม่อย่างลืมตัว ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อเสียงหัวเราะแผ่วดังขึ้นขัดจังหวะ
   
“นี่...พี่วัน กอดเขาแล้วก็กอดผมบ้างสิ...” ลาดไหล่ถูกเกยด้วยคางได้รูป ดวงตาสีเข้มนั่นเหลือบมองขึ้นมา เอวด้านขวาของเขาถูกจิกแน่นจนเจ็บ...
   
“แมวเป็นสัตว์ขี้อิจฉา พี่รู้หรือเปล่า?”



To be continued...


ยักแย่ยักยัน ปั่นหัวกันไป ปั่นหัวกันมา แต่ละคนก็ทำอะไรไม่ชัดเจน
พี่วันก็เอาแต่กลัว ปากร้องเรียก แต่มือก็ยันเอาไว้ ซานก็ดูลอยชาย เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็มี
เรื่องนี้ปรัชญ์เนี่ยแหละชัดสุดแล้วมั้งเนี่ย (หัวเราะ) แต่ตัวละครที่ชอบที่สุดตอนเขียนก็คือคุณอานี่แหละ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านเช่นเดิมจ่ะ
 :กอด1: :L2: :กอด1:


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดูทุกอย่างมันเป็นปริศนาหมดเลย

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
งะทำไมมันหน่วงๆ

ปล.เชียร์ปรัชญ์ -..-

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ชอบแมวนะคะ แต่ไม่ชอบซานอ่ะ
เชียร์น้องปรัชญ์ อีกเสียง สู้ๆๆๆ นะคะ

ออฟไลน์ Raiwyn

  • - ไรวิน -
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 7 - ชัดเจน คลุมเครือ


   
“พี่ทำแบบนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่า?”
   
คำถามนั่นดังออกมาจากปากของคนที่เพิ่งเอาแต่ใจไปหมาดๆ ในขณะที่เสียงของรถดังออกไปไกล ปรัชญ์กลับไปแล้วด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
   
พวกเขากลับมานั่งเล่นที่โซฟา แมวตัวใหญ่นี่ก็เกาะแกะเขาแทบจะตลอดเวลา รั้งเอวเขาเข้าไปกอด คางสวยเกยที่ลาดไหล่ โยกตัวไปมาราวกับจะอ้อนไปในที
   
“เปล่า” วันสุขว่าเสียงเบา แต่สายตากลับเงยขึ้นมองนาฬิกาบ่อยครั้ง ดึกแล้ว ทว่าคุณอายังไม่กลับสักที โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกวิตกไม่น้อย
   
“แต่พี่กอดตอบเขา ผมเกลียดที่พี่ทำแบบนั้น” ซานยังเซ้าซี้ไม่เลิก แม้น้ำเสียงจะดูสดใสดี แต่แววตาที่มองมาก็ชัดเจนว่าเจ้าตัวพร้อมระเบิดใส่เขาได้ทุกวินาที...
   
คิดไว้แล้วเชียว...เด็กนี่เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด ยิ่งภายนอกดูสว่างสดใสเท่าไหร่ โลกภายใต้รอยยิ้มพวกนั้นมักจะไม่ค่อยน่ามองเสมอ
   
“เขาพิเศษ” ว่าเรียบเรื่อย มือเองก็คว้ารีโมตมากดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ คนที่เอาแต่จับเขาโยกไปมาชะงักกึก แค่นเสียงหัวเราะดังแผ่ว
   
“แล้วผมล่ะ?” เด็กขี้อิจฉาท้วงขึ้นมาอีกครั้ง
   
“ซานเองก็พิเศษ” เขาก็ไม่เข้าใจนัก ทำไมถึงต้องอยากจะพิเศษอะไรขนาดนั้น สำหรับเขาไม่ว่าใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็พิเศษหมดนั่นแหละ จะต่างออกไปก็ตรงฐานะบางอย่างที่เขาหยิบยื่นให้แขกที่เข้ามาเคาะประตูชีวิต ซึ่งมีอยู่แค่สองอย่าง ‘สำคัญ’ กับ ‘ไม่สำคัญ’
   
“พิเศษ...แล้วสำคัญด้วยไหม?”
   
“พิเศษ แต่ยังไม่สำคัญครับ” บอกออกไปตรงๆ ถ้าให้เทียบคงคล้ายกับปัจจัยสี่สำหรับชีวิตกระมัง คำว่า ‘สำคัญ’ สำหรับเขานั้น คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ คุณอานั่นอย่างไรตัวอย่าง พิเศษและสำคัญอย่างถึงที่สุด
   
“นี่ขนาดผมบอกชอบพี่ไปแล้ว พี่ยังไม่เห็นผมสำคัญอีกเหรอ” ซานส่งเสียงงุ้งงิ้งไปตามประสา มือกดไหล่ทั้งสองข้างจนตัวเขาตกโซฟาไหลไปกองกับพื้นพรม อุ้งมือเย็นเฉียบตามเข้ามาช้อนปลายคางให้เชิดหน้าขึ้นจนเจ็บ ดวงตาประกายนั่นมองสบลงมา แววไม่พอใจฉาบชัด
   
“หา? ตอนไหนกัน” ขมวดคิ้วมุ่นมองสบกลับไป เสียงพิธีกรจากรายการโทรทัศน์ดังลั่น กลีบปากของเขาถูกปลายนิ้วไล้เบาๆ เหมือนถูกเย้าแหย่
   
“บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าผมชอบพี่”
   
วันสุขเลิกคิ้ว สมองทบทวน แล้วก็ถึงบางอ้อ... พวกคำพูดทีเล่นทีจริงทั้งหลายนั่นคือคำสารภาพอย่างนั้นหรือ? เขาชักจะเริ่มไม่แน่ใจ...ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกปั่นหัวหรือไม่ ทว่าสมองกลับตอบรับความคิดจากเบื้องลึกในใจไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
   
“คำพูดของเราน่ะเชื่อได้สักแค่ไหนกะ...”
   
“...”
   
เสียงถูกกลืนหาย เมื่อแมวเอาแต่ใจนั่นขโมยลมหายใจของเขาไปเสียหมด ไออุ่นจัดนาบชิดลงมา...บดเบียดเคล้าคลึง จูบย้ำเน้นหนักครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ได้แค่ปรือตา นั่งนิ่งให้ใครอีกคนได้ตักตวงไปจนกว่าจะพอใจ...
   
“อือ...” ครางแผ่วในลำคอยามที่นิ้วอุ่นแทรกผ่านปกเสื้อเข้ามาด้านใน เผลอสะดุ้งเมื่อเนื้อกายถูกปลายเล็บกรีดไล่ไปจนถึงช่วงอก วันสุขสูดหายใจลึก เบี่ยงหน้าตัวเองหลบออกมา แต่การกระทำนั้นกลับเปิดทางให้อย่างอื่นแทน
   
“อึก” มือข้างเดิมช้อนคางของเขาให้แหงนขึ้น ภาพเพดานสีนวลฉายเข้ามาในตา สัมผัสแสบๆ ที่ต้นคอทำเอาต้องกลั้นเสียง... เขี้ยวสวยนั่นฝังลงมาบนเนื้อแบบไม่มีออมแรง ก่อนที่ลิ้นร้อนจะไล้ไปตามรอยที่ตัวเองฝากไว้
   
“กลิ่นดินนี่มัน... น่าหงุดหงิดจริงๆ ” ซานว่าเสียงเบา แต่ย้ำคำหนักไม่ต่างจากจูบที่กดลงต้นคอ
   
“เจ็บ...” พึมพำบอกออกไป โทนเสียงแปร่งหู... ลมหายใจหอบหนัก
   
แย่ล่ะสิ... ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็...
   
“ผมน่ะ ชอบพี่มากเลยรู้หรือเปล่า...ชอบมากจริงๆ ชอบจนไม่รู้ว่าจะพิสูจน์มันยังไง เพราะฉะนั้น...อย่าตั้งคำถามเลยนะครับ...” เสียงนุ่มแผ่วกระซิบกระซาบ รอยกัดถูกกดลงมาอีกครั้ง กระดุมเสื้อเองก็ถูกปลดออกไปทีละเม็ด
   
วันสุขขมวดคิ้วแน่น เมื่อริมฝีปากคู่เดิมกลับมาขโมยลมหายใจของเขาอีกครั้ง...กลิ่นเลือดคาวจางติดมากับลิ้นชื้นซึ่งพันกระหวัดกับเขาไว้ ที่มาของมันก็คงไม่พ้นสัมผัสแสบๆ ที่ยังทิ้งเอาไว้ตรงช่วงคอ
   
“นี่เรา...เป็นคน...แบบนี้เอง งั้นเหรอ?” เสียงกระท่อนกระแท่นถูกส่งออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ “เป็นความชอบ...ที่รุนแรงจริงนะ...”
   
พลันสิ้นคำพูด สัมผัสต่อมาก็ทำเอาเขานึกขอบคุณคุณอาไม่น้อยที่เลือกปูห้องนั่งเล่นด้วยพื้นพรม เพราะไหล่ที่ถูกกดลงอย่างแรงทำเอากายล้มลงไปนอนแผ่หลาบนพื้น เงาสีดำตามลงมาทาบทับ ดวงตาระริกคู่นั่นราวกับกำลังยิ้มอยู่ก็ไม่ปาน
   
“ซาน...พี่ เจ็บ” ร้องประท้วง แต่แขนกลับยกโอบรอบคออีกฝ่าย แผลเดิมถูกย้ำซ้ำอีกครั้ง ราวกับว่าถ้าไม่ได้เลือดของเขากลับไป เจ้าตัวก็คงไม่พอใจ ท่าทางดูก็รู้ว่ายังคงโกรธอยู่ แต่มันเป็นความโกรธที่ชวนให้เขารู้สึกแปลกประหลาดเสียจริง
   
ได้แค่คิด...มุมปากมันก็เผลอยกยิ้มอย่างลืมตัว
   
แย่จริงๆ แย่แล้วจริงๆ นั่นแหละ...
   
พลันสัมผัสเย็นบาดเนื้อแล่นแปลบขึ้นมาจากนิ้วนางของซ้าย วันสุขเผลอหัวเราะแผ่ว ความทรงจำพวกนั้นโผล่เข้ามาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง...ในเวลาที่ไม่ได้เหมาะเจาะเอาเสียเลย
   
“มองแค่ผม” เสียงนุ่มคำรามคล้ายคนโกรธจัด “ความคิดของพี่น่ะ...มีที่เอาไว้แค่สำหรับผมคนเดียวก็พอแล้ว” แล้วฟันคมๆ ก็กัดลงมาย้ำจุดเดิมทำเอาเขาครางแผ่ว
   
“ซาน...” เสียงเรียกชื่อนั่น ระโหยโรยแรงจนไม่เหมือนเสียงของเขาเอาเสียเลย วันสุขสูดหายใจลึก และจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น เจ้าของชื่อชะงักไปแล้วจ้องมองตอบกลับมา ทว่าแววกรุ่นโกรธไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลง
   
เด็กนั่นคงไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป... ถ้าพวกเขาคิดจะไปต่อละก็...ทุกอย่างคงเรียกกลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว ทว่า...
   
“ใคร...สั่ง...ให้...หยุด...”
   
เขาหยุดมันไม่ได้อีกแล้ว...ตัวตนที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาเพื่อลบเลือนอย่างกำลังตายจากไปอย่างช้าๆ ในขณะที่สันดานดิบข้างในถูกสะกิดให้ลืมตาตื่น... เหมือนกับลูกบอลที่ถูกอัดลมจนระเบิดออก ฝุ่นสีดำโชยคลุ้งจนชวนให้หลงมัวเมา
   
เขาต้องการ...คนตรงหน้านี่ คนที่ล่วงล้ำเข้ามาจนได้สัมผัสกับตัวตนของเขา... มากกว่านี้ มากยิ่งไปกว่านี้...ให้โลกสีดำนี่มันกลายเป็นสีขาวโพลน ให้ความคิดในหัวมันว่างเปล่าจนไม่เหลืออะไร
   
ลบอดีตหลอกหลอนนั่นให้หายไปเสีย ทำอย่างที่เคยได้ลั่นวาจาเอาไว้ แม้จะเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวก็ตาม
   
มากยิ่งไปกว่านี้...จวบจนกว่าร่างกายนี่จะตักตวงมันเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป...
   
“นี่พี่...เป็นคนแบบนี้เอง...อย่างนั้นสินะครับ” เสียงนุ่มๆ กระซิบลงมาที่ข้างหู ดวงตาสีดำอยู่ใกล้กว่าที่เคย รอยยิ้มร้ายกาจฉาบฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา เสียงหัวเราะสมใจดังแผ่ว แล้วปีศาจร้ายตนนั้นก็ตักตวงอากาศจากเขาไปอีกครั้ง...
   
เนิ่นนาน...จนเกือบจะลืมไปเสียแล้วว่าตัวเองต้องหายใจอย่างไร


   


เสี่ยงแล้วก็ต้องเดินต่อไปให้ถึงที่สุด...
   
หลังจากวันนั้นมา ซานคล้ายกับจะยังทำตัวเหมือนเดิม ยังหัวเราะ และยังชอบหยอกเขาอย่างแต่ก่อน ทว่ามีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าสิ่งนั้นคืออะไร...
   
บางทีอาจจะไม่ได้มีแค่ซานเท่านั้นที่เปลี่ยน เขาเองก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน รู้สึกว่าอยากจะดูแลเด็กนั่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เอาแต่กังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณแม่ที่มีลูกชายห่ามๆ สอนอะไรไม่ค่อยอยากจะรับฟัง
   
แต่ก็สนุกดี...นานแล้วที่ชีวิตไม่ได้มีสีสันอะไรเหมือนอย่างตอนนี้
   
ส่วนเวย์เองพักหลังก็โทรมาหาบ่อยขึ้น เซ้าซี้ให้เขาเข้าไปหาเจ้าตัวทุกครั้ง ก็น่าแปลกดีที่เวลาเขาเข้าไปร้านทีไรไม่เคยเจอเพื่อนสนิทคนนี้สักครั้ง คลาดกันได้ตลอดเวลา เหมือนมีใครสักคนจงใจแกล้งอย่างนั้นแหละ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดี เพราะเวลาคุยกันต่อหน้าทีไร ก็มีแต่เขานี่ต้องยอมลงให้ก่อนทุกที
   
ทว่าซานไม่ชอบให้เขาคุยโทรศัพท์กับเวย์นัก แมวตัวใหญ่นั่นมักชอบมองด้วยสายตาวาวๆ สายตาที่ให้ความรู้สึกขนลุกอย่างแปลกๆ กลับกันเป็นเขาเองที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ยามที่เห็นเจ้าตัวยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ ก็ได้เพียงแค่แค่นยิ้ม ไม่ได้ออกความเห็นอะไร ไม่ได้เอ่ยปากถามว่าใครที่โทรมา
   
ฐานะขมุกขมัวนี่ยังดำเนินต่อไปเหมือนอย่างทุกวัน ถึงแต่ละคนจะเริ่มเปลี่ยนการกระทำของตัวเองเพื่อเข้าหากันมากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามถึงความกระจ่างระหว่างพวกเขาเลยสักคน
   
ภาพในวันนั้นยังฝังหัวเขาไม่หาย แม้แต่แผลที่คอเองก็เพิ่งจะหายสนิทได้แค่ไม่กี่วัน ทว่ากลับไม่มีใครเริ่มที่จะพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นแม้แต่ประโยคเดียว แต่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดี...ตั้งแต่เด็กคนนั้นเข้ามาเหยียบสวิตซ์นั่นแหละ...
   
ความสัมพันธ์เหมือนถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ ไม่ได้แย่จนรู้สึกปวดใจ และก็ไม่ได้ดีจนรู้สึกสบายใจเช่นกัน คงเป็นความเฉยๆ ที่ชวนให้สับสนอยู่ในที ทว่ามันไม่ใช่ความหยุดนิ่ง... ช่วงเวลาที่เหมือนถูกหยุดไว้ก็แค่ช่วงสำหรับพักหายใจ เพื่อรอเวลาว่าใครคนใดคนหนึ่งจะออกวิ่งไปก่อนก็เท่านั้น
   
“มันยากที่จะเริ่ม และยากยิ่งกว่าที่จะจูงมือกันเพื่อก้าวเดินต่อไป”
   
ใครบางคนเคยบอกแบบนี้กับเขาในอดีต เพียงแค่นึกขึ้นมาก็อดยิ้มไม่ได้ จูงมือกันเพื่อก้าวเดินต่ออย่างนั้นหรือ? ถ้าตัวละครในประโยคนั่นคือพวกเขาสองคน คงมีสักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนฉุดกระชากลากถูกอีกฝ่ายไปด้วยกันเสียมากกว่า
   
แค่นึกภาพขึ้นมาก็ได้ยินเสียงเงี้ยวง้าวของแมวยักษ์ในหัวกับเสียงโวยวายของตัวเองแล้วล่ะ...



(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage


หลายวันมานี้คุณอาออกไปต่างจังหวัดบ่อยขึ้น หลายครั้งที่ต้องพักค้างคืน บ้านที่เพิ่งผ่านการตกแต่งสวนไปหมาดๆ ถึงได้เงียบเหงากว่าทุกที เขาเกลียดการอยู่คนเดียว ถึงจะบอกว่าชอบความเงียบ แต่คำว่า ‘บรรยากาศสงบ’ กับ ‘ไม่มีใครเลย’ นั้นมันต่างกัน
   
วันนี้ก็เป็นเหมือนอย่างหลายๆ วัน... ไม่มีเสียงข่าวภาคค่ำจากโทรทัศน์ ไม่มีเสียงล้างจานในห้องครัว หรือแม้แต่เสียงเรียกให้ไปทำนู่นทำนี่อย่างปกติ เป็นเขาเองที่เดินวนเปิดไฟเสียรอบบ้าน แล้วก็มานั่งกอดหมอนอยู่ในห้องนั่งเล่นคนเดียว
   
ซานเพิ่งกลับไปเมื่อเย็น หลังเข้ามาก่อกวนเขาจนเจ้าตัวพอใจก็วิ่งลิ่วจากไปพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถ วันสุขถอนหายใจเฮือก มือไล่กดรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ อย่างเบื่อหน่าย
   
ผ้าห่มผืนหนาถูกยกขึ้นคลุมหน้าตัก เสียงข้อความเข้าดังเบาๆ แล้วเงียบไป เขาเอื้อมแขนไปหยิบขึ้นมาเปิดดูก็อดยิ้มไม่ได้ เจ้าประจำนั่นแหละที่ส่งมาอย่างเช่นทุกครั้ง...
   
‘ถ้าฝันร้ายก็โทรมาหาได้นะครับ’
   
คิดอะไรอยู่กันนะเด็กคนนั้น?
   
โทรศัพท์ถูกวางลงกับโต๊ะหน้าโซฟา วันสุขเอียงตัวนอนตะแคง สายตาจ้องมองภาพบนจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังเคลื่อนไหว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจหยิบรีโมตขึ้นมาปิดมัน ...ห้องกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง มีเพียงแค่เสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น
   
เขาหลับตาลง ป่ายมือเปะปะไปที่ด้านล่างของโซฟา ดึงเก๊ะเล็กๆ ออกมาแล้วสอดมือเข้าไปด้านใน ก่อนที่เครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กจะถูกหยิบขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า มือคลำไล่ไปทีละปุ่มและกดไปยังตำแหน่งที่คุ้นเคย
   
พลันเสียงร้องเพลงหวานนุ่มอบอุ่นก็ดังแผ่วท่ามกลางความเงียบ มุมปากเผลอยกยิ้มขึ้นมาอย่างเช่นทุกครั้ง เมโลดี้เบาๆ ลอยอบอวลชวนให้สบาย
   
เขายังจำได้เสมอ...ครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ก็เพราะมีใครบางคนมาร้องให้ฟัง ทั้งทำนองติดหู ทั้งถ้อยคำภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลไม่ออก... ไม่เข้าใจความหมายด้วยซ้ำ แต่อารมณ์ที่สื่อจากเพลงยามนั้นกลับทำให้เขาไม่เคยลืมมันได้เลย
   
ยังจำได้ว่าตัวเองเที่ยวไล่เสาะหาที่มาของเพลงจนไปเจอะเข้ากับการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ซื้อติดมือมา เจ้าแผ่นซีดีเล็กๆ นั่นถูกเปิดดูวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็พัง... แต่เขาก็ยังเก็บมันไว้อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ชอบเรื่องราวเหล่านั้นนัก โดยเฉพาะเพลงจบ
   
‘Always with me’
   
จริงๆ แล้วนั่นคงจะเป็นเหตุผลเดียวที่เขาดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื้อเพลงซึ่งไม่เคยเข้าใจความหมาย จนสุดท้ายก็ต้องไปหาบทแปลมานั่งอ่าน ลงทุนสั่งซื้อแผ่นเพลงมาจากญี่ปุ่น แล้วก็เปิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคุณอาดุ
   
“คิดถึงจังเลยนะ...” วันสุขพึมพำขึ้นมาแผ่วเบา เพลงนี่นำช่วงเวลาเก่าๆ มาให้นึกถึงเสมอยามเมื่อได้ฟัง และมันน่าแปลก...ทุกครั้งเมื่อเขาไม่สบายใจ การฟังเพลงนี้กลับช่วยให้จิตใจสับสนเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
   
เสียงร้องเงียบหายไปแล้ว บรรยากาศนิ่งเงียบไป และเสียงเปียโนคุ้นเคยก็ดังขึ้น ทั้งที่เป็นเพลงเดียวกัน แต่วันสุขกลับชอบเสียงเปียโนนี่มากกว่าหลายเท่า... เขายังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนเขาเคยขอให้เวย์ช่วยแกะโน้ตเพลงนี้และอัดเสียงเปียโนให้ เจ้าเพื่อนสนิทไม่ยอมท่าเดียว จนเขาตื๊อมากๆ เข้าเจ้าตัวก็รับปากส่งๆ ไป
   
ผ่านไปเกือบปีจนแทบจะลืมไปแล้ว ในวันเกิดครบรอบยี่สิบหก แผ่นเสียงแผ่นหนึ่งก็ถูกส่งมาให้ถึงบ้าน ไม่ระบุชื่อผู้ส่ง แต่พอเขาเอาไปเปิดกับเครื่องเล่นก็ต้องเผลอยิ้มจนแก้มปริ วันต่อมาเขาก็โผล่หน้าไปเยี่ยมเพื่อนถึงที่ทำงาน ขอบคุณมันอยู่หลายครั้ง จนมันบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เอาแผ่นเสียงไปหย่อนหน้าบ้านเขาเท่านั้น
   
เวย์ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนเล่นเพลงนั่น แต่พอเขาบอกว่าชอบมันมาก เจ้าตัวก็แค่ยกยิ้มอารมณ์ดี ท่าทางดีใจจนเกินเหตุชวนให้สงสัยพิรุธ แต่ซักแทบตาย เพื่อนปากแข็งก็ไม่ยอมคายความลับออกมา จนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนเล่นมัน...
   
เสียงเปียโนอุ่นๆ เบาบาง และเงียบเหงาไปในที บางครั้งก็ทิ้งจังหวะยาวเหมือนกำลังทอดถอนหายใจ บางครั้งก็เรียบรื่นราวกับกำลังหัวเราะ และบางครั้งก็นุ่มนวลคล้ายกับยิ้มอ่อนโยนซึ่งเจือแววโศกอยู่ในที
   
เพลงซึ่งมีเสียงร้องนุ่มหวาน ชวนให้รำลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่พาให้หัวใจอบอุ่น
   
เพลงซึ่งมีเพียงเสียงเปียโน ชวนให้รู้สึกประหลาด และอยากเข้าไปกอดปลอบเจ้าของเสียงเพลงนั่นเหลือเกิน
   
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับตาฟังเพลงเดิมๆ วนไปจนรอบที่เท่าไหร่แล้ว ริมฝีปากพึมพำร้องคลอไปกับท่วงทำนอง ความง่วงงุนถาโถมเข้ามาอย่างช้าๆ จวบจนความฝันสีดำแผ่ขยายครอบครองสติในที่สุด
   
เขาชอบจริงๆ นั่นแหละช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองแบบนี้...
   
และก็เกลียดมันที่สุดเช่นกัน...


   


ดวงตาปรือเปิดขึ้นมาอย่างง่วงงุน แสงทองอ่อนๆ ส่องลอดผ่านทิวไม้เข้ามากระทบใบหน้า ลมเย็นพัดโชยชวนให้หนาวไปในที ตัดกับแสงอุ่นสบาย ลมหายใจทอดถอนยาวเอื่อยเฉื่อย
   
เสียงกรอบแกรบของฝีเท้าย่ำลงใบไม้แห้งดังเข้ามากระทบโสตประสาท วันสุขชันกายขึ้นนั่งบนม้าหินอ่อนตัวยาวหลังตึกภาควิชา ดวงตาปรือกวาดมองผู้มาใหม่อย่างสงสัย เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นเชิงทักทาย ทว่าดูเหมือนเธอจะไม่คิดรับไมตรีสักเท่าไหร่
   
“พี่วันมาทำอะไรตรงนี้คะ?” เสียงหวานใสเอ่ยถาม วันสุขนิ่งไปเล็กน้อย เพราะเพิ่งตื่นจากการงีบหลับ สมองเลยไม่ค่อยจะแล่นนัก
   
“นอนพักน่ะ” งึมงำตอบไปเบาๆ มือเองก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว
   
“แถวนี้ไม่มีคนเลยนะคะ” เยลลี่หัวเราะแล้วมองไปรอบๆ ต้นไม้รกครึ้ม ชุดเก้าอี้วางระเกะระกะ ไม่ไกลก็เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกขุดเอาไว้แต่นานนม
   
“อืม...สงบดีนะ พี่ก็เลยชอบหลบมานอนแถวนี้บ่อยๆ ”
   
“ซานไม่ได้มาด้วยเหรอคะ?” เธอเอียงคอถามยิ้มๆ
   
“ถ้าหาหมอนั่นอยู่ล่ะก็ พี่ไล่ให้ไปเข้าเรียนแล้วล่ะ” ช่วงสายๆ แมวยักษ์ก็เข้ามาก่อกวนเขาแต่หัววัน โชคดีที่คุณอาอยู่ด้วยเขาเลยไม่โดนทำอะไรรุ่มร่ามใส่นัก
   
“เยลลี่ไม่ได้มาหาซานหรอกค่ะ”
   
“งั้นก็...มาหาพี่สินะ?” วันสุขหัวเราะแผ่วแล้วเอ่ยปากถาม เขาคาดไม่ผิดสักเท่าไหร่ว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่ก็นั่นแหละ...เป็นใครก็คงทนไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด แบบนี้นี่บาปหรือเปล่านะ?
   
“พี่กับซาน...ดูสนิทกันจังเลยนะคะ”
   
มาอีกแล้ว...ประโยคอมตะ ทำไมพักนี้มีแต่คนถามเขาแบบนี้กันนะ? เขากับซานดูสนิทกัน? ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องถามด้วยซ้ำ ในเมื่อคนถามก็รู้อยู่แก่ใจดี ตามันเห็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ
   
“ก็สนิทกันครับ” แถมสนิทกันถึงขนาดที่พูดออกสาธารณะไม่ได้เชียว
   
“สนิทกันมากจริงๆ ค่ะ ขนาดพี่มาทีหลังแท้ๆ ”
   
“หืม? ดูออกขนาดนั้นเลยหรือครับ?”
   
“ค่ะ เขาโพสต์รูปพี่ลงในเฟสบุ๊คด้วย ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้”
   
อา...เขาจำได้ว่าปรัชญ์ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน มันแปลกมากขนาดนั้นเลยหรือ? ดูท่าว่าคงต้องไปถามซานเสียแล้วว่าเด็กนั่นเอารูปเทือกไหนของเขาไปโพสต์กันแน่
   
“พวกผู้หญิงในนั้นก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แต่เยลลี่ไม่เห็นจะชอบเลย” เธอว่าพลางขมวดคิ้วมุ่น ดวงตากลมโตจ้องมาที่เขาอย่างสำรวจไปในที
   
“ทำไมไม่ชอบล่ะ” วันสุขถามไปตามเรื่อง กลีบปากสีส้มสวยหยักยิ้มสบายอารมณ์ จริงๆ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่เขาต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เทือกนี้
   
“มันแปลกออกนี่คะ ผู้ชายสองคน พี่วันไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”
   
“แปลกเหรอ?” เลิกคิ้วอย่างสงสัย เขาลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ก็เพราะไม่ค่อยจะสนใจอยู่แล้วว่าใครจะเข้ามา ส่วนใหญ่เขาก็แค่แหย่เล่นไปตามประสาเท่านั้น ใครๆ เขาก็รู้กัน มีก็แต่ซานคนเดียวนั่นแหละที่ทำให้เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ดูจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป...
   
“แปลกสิคะ ถึงสมัยนี้เขาจะเปิดกว้างกันแล้ว แต่เยลลี่น่ะไม่ชอบเลย” เธอว่าเสียงสะบัดแล้วก็จ้องมาที่เขาเขม็ง “พี่วันไม่อายตัวเองบ้างเหรอคะที่มาแย่งแฟนคนอื่นเขาแบบนี้”
   
เข้าเรื่องเร็วกว่าที่คิดหากเทียบกับเคสที่แล้วๆ มา วันสุขนึกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะพูดวกไปวนมาจนกว่าจะตะล่อมให้เขารู้ตัวเสียอีก แต่ก็ดี ตรงๆ แบบนี้แหละดี
   
“ซานกับพี่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” ว่าไปเอื่อยๆ พลางหาวหวอดบิดขี้เกียจ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ นี่เขาก็พูดความจริงออกไปแล้ว จะเอาอะไรอีกนะ?
   
“เยลลี่ไม่เชื่อหรอก ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วว่าพี่กับซานเป็นอะไรกัน”
   
“แต่พี่กับเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน” เด็กนั่นยังไม่เคยออกปากขอเขาให้ได้ยินเลยสักครั้ง “น้องเยลลี่มาสรุปเองแบบนี้ แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะครับ?”
   
“เยลลี่อยากให้พี่วันเลิกยุ่งกับเขาค่ะ อย่ามายุ่มย่ามกับเขา คืนเขามาให้เยลลี่เดี๋ยวนี้” เธอว่าเสียงกร้าว เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ คราวก่อนยังเห็นมาเกาะแกะเขาต่อหน้าซานอยู่เลยแท้ๆ และยิ่งได้ฟังประโยคดูเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนั่นแล้ว...ข้างในมันก็กรุ่นแปลกๆ
   
ผู้หญิงเนี่ย...มหัศจรรย์จริงๆ ด้วยสินะ...
   
“ไม่คืนครับ นี่เรากำลังเล่นขายของกันอยู่เหรอ?”
   
“อย่ามาพูดล้อเล่นนะ เยลลี่จริงจังค่ะ เยลลี่รักเขา เขาเองก็รักเยลลี่ มีแต่พี่วันนั่นแหละมือที่สาม ทำตัวทุเรศ”
   
“ทุเรศ? ทุเรศจริงๆ ด้วย” เท้าคางแล้วยกยิ้มอ่อน และท่าทางแบบนั้นก็ทำเอาอีกคนกรุ่นโกรธมากขึ้นไปอีก
   
“จู่ๆ ก็โผล่มาแล้วก็แย่งของรักของคนอื่นไป ถ้าไม่บอกว่าทุเรศแล้วยังจะให้ใช้คำแบบไหน”
   
“ ‘แย่ง’ อย่างนั้นเหรอ?” ไม่รู้ว่าเขาควรจะยังดีใจอยู่ไหมที่เด็กสาวตรงหน้ายังถนอมด้วยการไม่ด่ากราดใส่เขาด้วยภาษาหยาบคายเหมือนคนข้างถนน วันสุขหัวเราะแผ่ว คำด่าคล้ายๆ กันนี้เหมือนจะถูกฉายซ้ำขึ้นทับกับภาพในอดีตชอบกล
   
แย่ง... เขาเกลียดคำคำนี้จริงๆ
   
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสินะคะ ท่าทางพี่ก็ดูไม่เบา สนุกหรือเปล่าคะ ทำให้คนเขาแตกคอกัน! หน้าด้าน!! เจ้าของเขาตามมาทวงถึงที่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น!!!” เสียงหวีดแหวทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าสวยบูดบึ้งอย่างยากจะได้เห็น
   
“หุบปาก...” เขาพึมพำแผ่ว ...ความโกรธกำลังปะทุเดือดขึ้นในใจอย่างยากจะหยุด มือกำแน่นจนสั่นระริกเหมือนคนที่กำลังควบคุมตัวเองไม่อยู่...ไม่สิ จริงๆ เขาก็ควบคุมมันไม่ได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว...
   
“ซานน่ะเขาเป็นของเยลลี่มาตั้งแต่ต้น! พี่นะไม่มีสะ... !!”
   
เหมือนเสียงแก้วแตกสนั่นอยู่ในหู
   
ชั่วขณะที่สามัญสำนึกถูกผลักให้หลุดหายไป มือมันก็กระชากต้นแขนบางนั่นให้เข้ามาหาตัว ริมฝีปากกระแทกกันกึกจนสัมผัสได้ถึงรสเลือดเค็มๆ เสียงหวีดร้องตระหนกในลำคอนั่นชวนให้เขาบดริมฝีปากลงไปรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยิ่งกลิ่นเลือดเข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ สติมันก็เตลิดรุนแรงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น
   
“!!”
   
อกของถูกผลักอย่างแรง เด็กสาวหงายล้มลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้าขึ้นสีเพราะความเกรี้ยวโกรธจ้องมาที่เขาอย่างมาดร้าย... วันสุขยกยิ้มเหยียด ดวงตาคมสวยหรี่มองราวกับคนสาแก่ใจ เพลิงเดือดปะทุในใจพานลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น...
   
“อะไรกัน...พี่ทำตัวเป็น ‘หลอด’ ให้แล้วก็นึกว่าจะดีใจเสียอีก” วันสุขผายมือออกด้านข้างราวกับว่าเสียดายหนักหนา แต่เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้นัยน์ตาของตัวเองคงเต้นระริกรี้เหมือนไฟเทียนไม่มีผิด “พี่ก็เห็นวัยรุ่นเขาชอบใช้มุกจูบทางอ้อมกัน เช่น กินน้ำจาก ‘หลอดเดียวกัน’ อะไรแบบนี้”
   
“!!!”
   
“ส่วนเรื่องซานน่ะ ไปคุยกับเจ้าตัวเองเถอะนะครับ” ว่าอย่างปัดความรับผิดชอบ โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกยกขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง ถ้าเขากลับไปช้าล่ะก็คงถูกคุณอาดุอีกแน่ๆ
   
“เอ้อจริงสิ...” ตีมือแปะราวกับนึกบางอย่างออก ใบหน้าเข้ารูปละมุนหันไปส่งยิ้มให้คนที่เพิ่งพยุงตัวเองจนลุกขึ้นมาได้ “น้องเยลลี่คงไม่รู้... ตอนแรกพี่ก็ไม่คิดที่จะอะไรหรอกนะครับ แต่เราก็ยัดเยียดข้อหาให้พี่เหลือเกิน จนตอนนี้...” ประโยคถูกเว้นช่วงไปอย่างต้องการจะยั่วโทสะ วันสุขหัวเราะแผ่ว เอียงคอยิ้มน้อยๆ อย่างเคยตัว
   
“อยาก ‘ได้’ ขึ้นมาจริงๆ ซะแล้วล่ะ”
   
ไม่มีเสียงกรี๊ดลั่นอย่างที่คิด เธอคนนั้นลุกขึ้นได้ก็จ้องเขม็งทิ้งท้ายแทนคำพูด ก่อนจะเดินฉับๆ จากไปด้วยท่าทีโมโหสุดขีด วันสุขมองตามอย่างสงสัย อดพึมพำออกมาไม่ได้ด้วยความสับสนว่าตนพูดอะไรผิด
   
“เด็กๆ นี่เอาใจยากจังนะ”


   


กว่าจะมาสำนึกได้อีกทีก็ตอนกลับมาถึงบ้าน...
   
เสียงน้ำซาซ่าดังก้องภายในห้องแคบๆ มือเรียววักของเหลวเย็นเฉียบขึ้นลูบใบหน้า เสียงถอนหายใจยาวเหนื่อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองภาพสะท้อนตัวเองภายในกระจก หัวสมองระลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเที่ยงอย่างเหนื่อยล้า
   
เขาทำบ้าอะไรลงไปนะ?
   
วันสุขอดถามกับตัวเองเช่นนี้ไม่ได้ ชั่ววูบเดียวที่สติระเบิดออก โดยที่สมองยังไม่ทันได้สั่งการ ตัวเขาเองก็เผลอทำเรื่องโง่ๆ ไปเสียได้ ดูอย่างไรก็เกินกว่าเหตุไปไม่น้อย ทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นเลยแท้ๆ
   
แต่สิ่งที่พอจะคิดออกว่าเพราะอะไรก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวสมอง มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมอง... และเขาก็พบว่ามันกำลังสั่นระริก...
   
เขากำลังกลัว กลัวว่าไอ้ ‘สิ่งนั้น’ มันจะกลับมาอีกครั้ง กลับมาทำลายชีวิตเขา ทำลายความสุขที่ตัวเองค่อยๆ สร้างขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็นในรอบหลายปีนี้...
   
เสียงหัวเราะร้ายกาจดังก้องอยู่ในหัว คล้ายบางสิ่งกำลังตอกย้ำให้ตัวเขาจมลงไปในความเป็นจริงที่มันเคยเกิดขึ้น และวินาทีนั้นเองที่สายตาเผลอมองไปที่แหวนสีดำ จู่ๆ หัวใจก็คล้ายกับจะบีบรัดเข้าหากันจนหายใจลำบาก...
   
วันสุขปิดตาแน่น ท่องคำพูดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมองเพื่อให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ มือกำขอบอ่างล้างหน้าแน่น แน่นจนเขาสัมผัสได้ว่าปลายนิ้วของตัวเองกำลังเจ็บแปลบ
   
“พี่วัน เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อย พี่อยู่ในนั้นใช่หรือเปล่า”
   
พลันเสียงทุ้มนุ่มก็ดังแทรกเข้ามาในช่วงเวลาเหมาะเจาะอย่างเช่นทุกครั้ง วันสุขสะดุ้งเฮือก พยายามปรับลมหายใจตัวเอง วักน้ำเย็นเฉียบสาดใส่ใบหน้าจนเสื้อชุ่ม สาดสายตามองสบกับนายวันสุขในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปลดล็อกกลอนประตูเสียงดังกริ๊ก
   
“เข้ามาในบ้านพี่ได้ยังไง?” จำได้ว่าพอเขาเลิกงานเสร็จ คนตรงหน้าก็โทรมาบอกว่าจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แล้วจู่ๆ ทำไมถึงมาโผล่ที่บ้านเขาได้? คิดแล้วก็ไม่อยากจะไปควานหาคำตอบนัก และเลือกที่จะเดินสวนออกไป มือก็คว้าผ้าขนหนูนุ่มนิ่มมาซับหน้าตัวเองพลางๆ
   
“ตอนแรกก็เรียกพี่ตั้งนาน เห็นไม่ตอบก็เลยเดินเข้ามา” เด็กตัวโตว่า แล้วก็จ้องหน้าเขานิ่งพลางขมวดคิ้วมุ่น “พี่ไปทำอะไรมา ฝันร้ายเหรอครับ?” เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง นิ้วยาวนั่นยกขึ้นแตะแก้ม แตะซอกคอเขาเบาๆ
   
“เปล่า แค่วันนี้ไปเจอเรื่องตกใจมานิดหน่อยน่ะ” ว่าเสียงเบาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พาดคอไปกับพนักพิง ดวงตาปิดแน่น ใช้เพียงแค่โสตเท่านั้นที่คอยจับการเคลื่อนไหวของใครอีกคน
   
“อย่างเช่นจู่ๆ ก็กระชากเยลลี่เข้ามาจูบ อะไรเทือกนี้ใช่ไหม?” เสียงเรียบกระซิบข้างหู วันสุขเปิดตาพรึบ จะลุกยืน แต่ไหล่ของเขาก็ถูกกดไว้ด้วยอ้อมแขนที่โอบมาจากด้านหลัง พอเห็นว่าไม่มีทางให้หนี เขาก็ได้แค่ถอนหายใจเฮือก
   
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
   
“แต่ยายนั่นปากเจ่อมาเลยนะ” น้ำเสียงบ่งอารมณ์ไม่ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคนคนนี้กำลังโกรธ หรือว่ากำลังแกล้งหยอกเขาเล่นกันแน่ โชคดีหน่อยที่วันนี้คุณอากลับดึก เขาถึงไม่ต้องมาพะวง ถ้าเกิดเด็กนี่คิดทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมา
   
“โกรธเหรอ?” ถามออกไปตรงๆ เขาไม่ชอบบทงอนง้อสักเท่าไหร่ มีอะไรก็บอกไป ซานเองก็ดูท่าจะเป็นประเภทนั้นเช่นกัน
   
“ไม่เชิง” พอได้คำตอบมาแบบนั้น วันสุขก็เอียงคอนึกอีกสักพัก
   
“อิจฉาเหรอ?” รอบนี้ซานหัวเราะเย็นๆ ส่งมาให้แทน ดวงตาสีเข้มนั่นฉาบแววบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ถูก วันสุขกระตุกยิ้ม เอนศีรษะเข้าหาอีกฝ่ายจนจมูกแทบจะชนกัน
   
“พี่รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า” เขาพูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป
   
พักนี้เวลารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ระดับอารมณ์มันมักจะมีแค่สองแบบเสมอ... พุ่งพล่านจนฉุดไม่อยู่ ไม่ก็ห่อเหี่ยวจนอยากจะตายมันเสียตรงนั้น... เขารู้ดีว่ามันคืออะไร รู้ดีมาตลอด และมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว
   
ทั้งที่เมื่อก่อนเขาคุมมันได้ดีแท้ๆ แต่ก็นั่นแหละ... เพราะมีคุณอากับเวย์อยู่ด้วยต่างหาก ทุกอย่างมันถึงผ่านมาได้ด้วยดี และตอนนี้สิ่งที่ทุกคนอุตส่าห์ช่วยกันสร้างก็คล้ายกับจะพังลงมาง่ายๆ เมื่อเจ้าแมวตัวใหญ่นี่กระโดดเข้ามา
   
“ทำไมถึงจูบเยลลี่?” คนเด็กกว่าเอียงหน้าเข้าหา แล้วถามคำถามที่เขาก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี
   
“พี่ก็ไม่รู้” วันสุขพึมพำเสียงแผ่ว หรุบตาลงอย่างใช้ความคิด “ตอนนั้นโกรธจนนึกอะไรไม่ออก”
   
“คนอย่างพี่โกรธจนนึกอะไรไม่ออกเป็นด้วยเหรอครับ หืม?” ซานบี้ถามเขาอีกครั้ง
   
“เป็นสิ... แค่ครั้งนี้พี่ฝืนมันไม่ได้ แต่ว่า...ต่อไปจะพยายาม” ว่าอย่างไม่มั่นใจนัก ยิ่งพักหลังนี้เขายิ่งคุมตัวเองได้น้อยลง...
   
“เวลาอยู่กับผม พี่ไม่เห็นต้องฝืนตัวเอง” ซานว่า กดจมูกลงกับเปลือกตาเขาเบาๆ “จริงๆ เวลาพี่อาละวาดก็ดูน่ารักดี” พูดเหมือนกับเคยเห็นเขาในสภาพนั้นมาแล้วอย่างนั้นแหละ...
   
วันสุขหัวเราะแผ่ว ดวงตาสีอ่อนแวววาวหรี่ลงอย่างเคยชิน ริมฝีปากส้มสวยยกยิ้มบางอย่างที่ชอบทำประจำ...
   
เขาเกลียดเหลือเกินเวลาที่ตัวเองถูกแย่งของสำคัญไป เกลียดทุกครั้งที่รู้ว่าตัวเองจะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง เกลียดที่คนอื่นมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในสิ่งที่เขาคิดว่ามันต้องเป็นของเขา... ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
   
เพราะแบบนั้นถึงต้องทำอะไรสักอย่าง...เพื่อย้ำให้ตัวเขาแน่ใจ ว่าสุดท้ายแล้วยังมีคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ...สุดท้ายแล้วตัวเขาเองยังคงได้รับสิ่งที่ต้องการ ...อย่างที่มันควรเป็น
   
อย่าฝืนตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
   
เพียงสิ้นความคิด มือที่วางอยู่บนตักก็ยกขึ้นแตะท้ายทอยอีกฝ่าย ไล้นิ้วเข้าไปใต้กลุ่มผมนุ่มนิ่มสีดำเข้ม ซานหัวเราะอีกครั้ง เมื่อริมฝีปากของเขาเผยอออกเพื่อกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด
   
“จูบพี่”



To be continued...
 :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ขะมุกขะมัว

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
พี่วันเป็นไบโพล่าอ้ะป่าว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ poporimikoru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอยยยยย ตามมากรี้ดจากเด็กดีค่ะ แงงงง


อ่านแล้วอารมณ์แบบนี้มัน... มันเป็นสไตล์ของพี่ใช่ไหมคะเนี่ย เรื่องแนวดาร์กๆโดนอารมณ์น่ะ!!!

ชอบมากกกกกก


อินมาก มันดูเป็นคนมีปมด้อยและความมืดในตัวแบบสมจริงมากอ่ะ TTwTT โอยยยย สนุกจริงไ นะติดตามต่อไปค่ะะะ

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 7.5 - ผืนดิน



“เด็กน้อยได้ยินเรื่องราวกล่าวขานมานาน...ว่าใครได้จับหิ่งห้อยมาเก็บเอาไว้ใต้หมอน...นอนคืนนั้นจะฝันดี...จะฝันเห็นดวงดาวมากมาย ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง...ฝันแสนสวยงาม...”
   
เสียงของสายลมพัดแผ่วอยู่ข้างหู กังหันสีแดงในมือทิ้งลู่ไปกับพื้นถูกกำไว้หลวมๆ แผ่นหลังนอนราบไปกับม้านั่งหินอ่อนเย็นเฉียบ เปลือกตาปิดพริ้ม ริมฝีปากสีส้มสวยขยับพึมพำคำร้องด้วยถ้อยคำนุ่มหวาน
   
สายลมแห่งอดีตพัดพามาอีกครั้ง
   
“มาอยู่ตรงนี้นี่เอง”
   
พลันเสียงทุ้มห้าวก็ดังขึ้นขัดบรรยากาศ เขาเงียบเสียงลง...ถอนหายใจเฮือก แต่ไม่คิดที่จะลืมตาขึ้นมา นอนนิ่งสนิทอยู่ที่เดิมราวกับไม่อยากจะรับรู้การปรากฏตัวของผู้มาใหม่นัก
   
“ไม่คิดว่าวันจะร้องเพลงอะไรแบบนี้” ฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ใครคนนั้นทิ้งตัวลงเบียดจนเขาเกือบตกม้านั่ง ไออุ่นๆ บริเวณเอวถูกแบ่งมาให้ ในขณะที่ลมยะเยือกพัดพามาอีกครั้ง
   
“บอกหน่อยได้ไหมว่าเพลงชื่ออะไร?” เปลือกตาถูกไล้เบาๆ ด้วยปลายนิ้วหยาบ เสียงหัวเราะแผ่วนั่นชวนให้รู้สึกรำคาญไม่น้อย
   
“อย่ามากวนได้ไหม” บอกปัดไปอย่างเช่นทุกครั้ง ใครคนนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง...เกลียดเสียจริง ไอ้ท่าทีเหมือนเมฆลอยไปลอยมาแบบนั้น เขาเกลียดเสียจริง...เกลียด
   
“แลกกับที่พี่จะไม่ไปบอกคุณอาของวันว่าวันหลบมาทำอะไรอยู่ที่นี่” ข้อต่อรองถูกเสนอเข้ามา เขาเงียบไป ชั่งน้ำหนักดูก็รู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ทั้งที่หลับตาอยู่ แต่ก็นึกภาพออกอย่างแจ่มชัดว่าคนคนนั้นคงฉีกยิ้มเย้าอยู่อย่างที่ชอบทำ
   
“อาจารย์ฝึกสอนมาแทนตัวเองว่า ‘พี่’ กับนักเรียนได้ด้วยหรือไง?” ถามออกไปเพื่อเบี่ยงประเด็น พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ มือยกขึ้นปิดใบหู ไม่อยากจะฟังเสียงอะไรทั้งนั้น แค่อยากให้คนคนนั้นปล่อยให้เขาได้นอนเงียบๆ อยู่แบบนี้
   ก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน...ไม่ว่าจะหลบไปอยู่ที่ไหนก็ถูกตามตัวเจอแทบทุกครั้ง แต่คนอย่างเขาก็ไปได้ไม่กี่ที่นั่นแหละ... ขอแค่สถานที่นั้นใกล้กับท้องฟ้ามากที่สุด ต่อให้ต้องปีนเสาธงโรงเรียนขึ้นไปเขาก็จะทำ
   
“แทนได้สิ นี่นอกเวลางานนี่นา”
   
นั่นสินะ...เลยเวลาโรงเรียนเลิกมาหลายชั่วโมงแล้ว เขาโดดตลอดคาบบ่าย เพราะเอาแต่หลับยาวอยู่บนด่านฟ้า กว่าจะมารู้สึกตัวก็ตอนหัวค่ำ พอลืมตาขึ้นมองฟ้าก็อดร้องเพลงออกมาไม่ได้ สมองก็คิดแค่ว่าอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย...ไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีใครคอยเป็นห่วง หรือว่าใครที่ออกตามหา
   
“วันยังไม่ได้ตอบพี่เรื่องชื่อเพลง” คำถามถูกทวนซ้ำอีกครั้ง...
   
“นิทานหิ่งห้อย...” เขาว่าไปอย่างตัดรำคาญ เสียงทุ้มนั่นหัวเราะแผ่วอีกครั้ง สัมผัสอุ่นๆ แตะลงบนศีรษะ และเขาก็เลือกที่จะปัดมันออกอย่างไม่ใยดี
   
“วันนั้นลูกหว้าขึ้นมาที่นี่แล้วก็ร้องไห้...ทะเลาะกันอีกแล้วใช่ไหม?” พึมพำขึ้นมาแผ่วเบา บรรยากาศคล้ายกับจะตึงเครียดขึ้น เสียงหัวเราะที่ได้ยินเงียบหาย ไหล่ของเขาถูกแตะเบาๆ ด้วยมือข้างนั้นอีกครั้ง
   
“วันน่ะ...ชอบดวงดาวขนาดนั้นเลยเหรอ...พี่เห็นตอนกลางคืนทีไรเราก็ชอบมองขึ้นไปบนนั้นทุกที”
   
“เมื่อไหร่จะเลิกทำให้เธอร้องไห้สักที?” เขาถามต่อ ไม่สนใจเรื่องที่ใครคนนั้นพยายามเบี่ยงประเด็นแม้แต่น้อย
   
อุ้งมือใหญ่นั่นทาบลงมาบนหน้าผาก เลื่อนลงมาช้าๆ จนปิดดวงตาทั้งสองข้าง...อยากจะปัดออก แต่ก็เลือกที่จะอยู่เฉยๆ ...จู่ๆ รู้สึกเอือมระอาปนเหนื่อยใจ
   
“พี่น่ะ...ไม่เคยแหงนมองมองจริงๆ เลยสักครั้งว่าดวงดาวมันเป็นยังไง”
   
“เงียบน่ะ ตอบคำถามมาได้แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกทำให้ยายนั่นหยุดร้องไห้สักที” เขาเปิดดวงตาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แต่สิ่งที่มองเห็นก็ยังคงเป็นเพียงความมืดเช่นเดิมเท่านั้น เสียงหัวเราะที่แสนเกลียดนั่นดังแผ่วขึ้นมาอีกครั้ง...
   
“เพราะพี่รู้ตัวดีว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเอื้อมถึง... ถึงเป็นได้แค่ ‘ดิน’ ยังไงล่ะ”
   
ฝ่ามือข้างนั้นถูกเขาปัดออกไป แสงสะท้อนจากแหวนสีดำบนนิ้วซ้ายนั่นสะท้อนวาบเข้าสู่นัยน์ตา
   
“นี่...พี่ดีใจจริงๆ นะ”
   
รอยยิ้มสว่างจ้าใต้แสงไฟ...พร่ามัวจนต้องหรี่ตาลง
   
“ดีใจอะไร?” เขาอดที่จะถามออกไปไม่ได้
   
“พี่ดีใจ...ที่ตัวเองถูกวันเกลียดแบบนี้...”

   

รอยยิ้มนั่นยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ
   
ตราลึกราวกับจะตอกย้ำ
   
ทรมาน...เสียดแทงจนเหมือนจะหายใจไม่ออก



To be continued...


แฮ่ๆ ตอนเสริมแบบสั้นกุด...
ใครกันนะคนคนนั้น?

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามเช่นเดิมก่ะ
 :กอด1: :L2: :กอด1:

<a href="https://www.facebook.com/turelightwriter"><img src="http://www.uppic.org/image-D0EC_53E060A0.gif" /></a>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2014 11:40:36 โดย ArgèntaR๛ »

ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
คนนั้นคือคนในความทรงจำพี่วันสินะ เริ่มออกมาทีละนิดๆ
ตอนที่แล้วพี่วันทำเราเงิบ จริงๆพี่วันเก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริงไว้ใช่มั้ย

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
พี่วันสองบุคลิก ??? 

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
วันสุข.....ช่างเป็นคนที่น่าค้นหาจริงๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มาให้สงสัย

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
ขอบคุณค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 8 - รัก เกลียด



จู่ๆ ก็อยากร้องไห้...
   
พอคิดปุ๊บ น้ำตามันก็ร่วงเผาะลงมาอย่างไม่มีเหตุผล จูบอุ่นๆ ละจากริมฝีปากแตะแผ่วเบาลงกับเปลือกตา อ้อมแขนจากด้านหลังนั่นโอบแน่น โดยปราศจากคำพูด ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่นิ่งสงบ และนั้นยิ่งทำให้น้ำตามันไหลออกมามากยิ่งขึ้นไปอีก
   
“ไม่แปลกใจหรือไง?” วันสุขอดที่จะออกปากถามไม่ได้ คนปกติที่ไหนคงไม่มีใครมานั่งร้องไห้อย่างไร้เหตุผลเหมือนกับเขาตอนนี้ ยิ่งด้วยในสถานการณ์แบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่เข้ากันไปใหญ่
   
“ก็ไม่นี่ ตอนโกรธพี่ก็น่ารักดี ตอนร้องไห้พี่ก็น่ารักดีเหมือนกัน” ซานว่าพลางโยกตัวไปมาเหมือนกำลังปลอบเด็ก เขายู่หน้า แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
   
หลังมือถูกยกขึ้นปาดน้ำใสๆ ออก ทว่าเหมือนยิ่งปาดก็ยิ่งไหล  เหมือนน้ำตามันไหลออกมาของมันเอง หยุดไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะร้องไปทำไมด้วย
   
“ขยี้แบบนั้นเดี๋ยวก็ช้ำหรอก” เจ้าของเสียงนุ่มนั่นว่า แล้วก็จัดการจับข้อแขนเขาไว้แน่นด้วยมือสองข้างของตัวเอง “ไม่ร้องนะไม่ร้อง โอ่เอ๊ โอ่เอ๊” ตามมาด้วยคำปลอบประหลาดๆ ที่ทำเอาต้องขมวดคิ้วมุ่น
   
“โอ่เอ๊ โอ่เอ๊ อะไร?” ถามทั้งที่น้ำตายังร่วงเผาะ เขาอยากจะยิ้มอยู่หรอก แต่ภาพที่ออกมาคงพิลึกน่าดู
   
“ก็เห็นในละครเขาชอบทำกันเวลาปลอบคนร้องไห้”
   
“นั่นเขาไว้ปลอบเด็ก” อดแย้งไม่ได้ ข้างหูเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะละมุนแผ่ว
   
“ต้องปลอบแบบ ‘ผู้ใหญ่’ สินะครับ?” คนเด็กกว่าพูดเสียงใสพลางถูแก้มลงกับไหล่เขา
   
“คิดอะไรอยู่นะ?” วันสุขถามอย่างนึกปลงตก น้ำตาหยุดไหลไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้ เหลือทิ้งไว้เพียงแค่รอยชื้นบนผิวแก้มซึ่งกำลังถูกปลายนิ้วมือเรียวเกลี่ยให้เบาๆ
   
“หึๆ พี่นั่นแหละคิดอะไรอยู่” โดนถามกลับมาแบบนี้ เป็นเขาเองที่ต้องเงียบไป
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก เหลือบหางตามองเสี้ยวหน้าของใครอีกคนที่ยังติดรอยยิ้มบางๆ ไว้ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองไหม แต่ซานมักจะโผล่มาในช่วงเวลาที่เขาต้องการที่ยึดเหนี่ยวสักอย่างแทบทุกครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า...
   
เด็กนี่เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด และในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาคิดมากจนสมองจะระเบิด อย่างกับว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาทำให้เขาปวดหัว พอเห็นเขาทรมานจนพอใจ เจ้าตัวก็จะหิ้วยาแก้ปวดมาป้อนให้ถึงที่อย่างทุกครั้ง
   
“ไม่รู้ว่าพี่คิดไปเองหรือเปล่า” วันสุขเปรยขึ้นมา แล้วก็อดถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่ได้
   
“คิดอะไรครับ?”
   
“คิดว่าเรากำลังปั่นหัวพี่อยู่” พูดพลางสบตากับนัยน์สีเข้มลึกคู่นั้น ซึ่งเจ้าของของมันเองก็นิ่งชะงักไป ก่อนจะแย้มยิ้มร้ายส่งมาให้
   
“เมี้ยว...”
   
“ไม่ต้องมาแกล้งร้องเลียนเสียงแมวเลย” เขาเอ็ดเสียงดุ มือที่ถูกรั้งไว้สะบัดเชือกมีชีวิตออก แล้วก็ยันใบหน้าที่เข้ามาคลอเคลียให้ไปห่างๆ
   
“หิวข้าวแล้ว ออกไปกินข้าวกัน” ว่าแล้วก็เริ่มกลับมางอแงตามประสา
   
“หา?” วันสุขร้องทวนเสียงสูง ดวงตาเองก็เหลือบไปมองนาฬิกาข้างฝาผนัง เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว ของในตู้เย็นก็หมดแล้วด้วย เพราะคุณอาไม่ค่อยได้กลับมากินข้าว เขาเลยไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามาเติม
   
“ออกไปกินข้าวกัน เดี๋ยวขับรถให้”
   
“ทำไมต้องออกไปด้วยครับ? หน้าปากซอยก็มีเซเว่น” คนไม่ชอบกินข้าวนอกบ้านอย่างเขาร้องแย้งขึ้นมาตามประสา แต่เหมือนจะช้ากว่าอีกคน เพราะรายนั้นวิ่งตึงตังขึ้นไปบนบ้าน กลับมาอีกทีก็มีกุญแจรถเขาเป็นตัวประกันแล้ว!
   
“ไปกินนอกบ้านกันครับ” แมวยักษ์ถลาเข้ามาคว้าแขนเขาหมับ วันสุขขืนตัวเต็มที่ แต่เหมือนว่าจะไม่เป็นผลเท่าไหร่
   
“ไม่เอา ไม่ไป!” โวยวายขึ้นมาอย่างลืมตัว มือจิกเบาะโซฟาแน่น ขณะที่เสียงหัวเราะสนุกสนานก็ดังประกอบฉากพิลึกนี่ไม่มีหยุด
   
“น่า...ไปกันครับ ไปผ่อนคลายกัน พี่เครียดเกินไปแล้ว รู้ไหม?”
   
“ไม่เครียดนี่ครับ ซานเอาอะไรมาตัดสินว่าพี่เครียดกัน” ว่าเสียงเรียบ เอียงคอถาม แต่ตัวเกร็งแน่นเมื่ออีกฝ่ายออกแรงดึงแขนเขาเต็มแรง
   
“ถ้าพี่จะบอกผมว่า ที่พี่คิ้วขมวดตลอดเวลาเพราะกำลังมีความสุข ผมว่าพี่พิลึกแล้วล่ะ” เด็กเจ้าเล่ห์ตีจุดเขาจนเถียงไม่ออก “จะไปไม่ไปครับ? จริงๆ อาจารย์โทรมาบอกผมว่าให้พาพี่ออกไปนอกบ้านบ้าง”
   
“ถ้าคุณอาไม่โทรมาก็ไม่คิดจะมาสินะ?” ไม่รู้ว่าเสียงเขากร้าวไปหรือเปล่า เมื่อครู่ยังนั่งร้องไห้อยู่หยกๆ เผลอเดี๋ยวเดียวก็มาขึ้นเสียงเข้มอีกฝ่ายได้แล้ว
   
“ถ้าอาจารย์ไม่โทรมา ผมก็ไม่มาพาพี่ไปกินข้าวหรอก แต่จะพาพี่ไปทำอย่างอื่น...” ประโยคหลังเข้ามากระซิบชิดริมหู กดจมูกแรงๆ บนแก้มเขาทิ้งท้ายอีกฟอดใหญ่ แล้วก็ยิ้มลอยหน้าลอยตา เห็นแล้วมันน่าตีสักที
   
“หืม? จะพาพี่ไปดูดาวเหรอ?” วันสุขถามเสียงนุ่ม
   
“ครับดาว...ดาวบนชั้นเจ็ด!!”
   
“!!!”
   
แรงดึงมหาศาลกระชากทีเดียวทำเอาเขาปลิวถลาไปหาอีกฝ่าย เสียงหัวเราะของผู้ชนะดังก้องไปทั่วบ้าน เขาที่ออกแรงดิ้นเป็นต้องยอมอยู่นิ่งๆ ให้อีกฝ่ายลากไปจนถึงโรงรถ และสุดท้ายก็อดหัวเราะเบาๆ คลอไปกับเสียงทุ้มนุ่มนั่นไม่ได้
   
ความสุขเนี่ย...อุ่นดีจริงๆ นะ...


   


วันสุขไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะดีไหม เพราะหลังจากอีกฝ่ายลากเขาออกมาจากบ้านได้แล้ว สุดท้ายก็มานั่งคว้างอยู่ในรถท่ามกลางถนนยามค่ำประกอบแสงไฟสวย
   
รถไหลเอื่อยๆ ไปเรื่อยเพราะคนขับไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก เขาสังเกตเอาจากคิ้วเข้มขมวดของอีกฝ่าย เจ้าตัวคงกำลังนึกอยู่ว่าจะไปไหนดี ซึ่งผ่านมาก็หลายร้าน บางร้านก็เริ่มจะมีสาวๆ ออกมายืนเรียกลูกค้ากันแล้ว
   
“จะว่าไป...เราบอกพี่เองนี่ว่าวันนี้จะไปกินเลี้ยงกับเพื่อน” นั่งอยู่นานก็เปิดเรื่องชวนคุย
   
“ไปมาแล้วครับ แค่แวะไปทักทายเฉยๆ แล้วก็รีบบึ่งรถมาหาพี่” เสียงทุ้มนุ่มว่าเอื่อย นิ้วเรียวเคาะไปบนพวงมาลัย ทำท่าราวกับว่าคุ้นกับรถเขานักหนา
   
“แล้วทำไมตอนออกมาถึงไม่ใช้รถตัวเอง?” นึกแล้วก็อดถามเสียงดุไม่ได้ เพราะซานเล่นทิ้งรถตัวเองไว้หน้าบ้านเขา แล้วเลือกที่จะขโมยรถของเขาออกมานั่งขับเล่นแทนเสียนี่
   
“ก็ตอนนั้นผมไม่รู้นี่ว่าจะลากพี่ออกมาจากบ้านยังไงดี... เครื่องอืดจัง” บ่นหงุงหงิงไปตามประสา ตบท้ายด้วยการบ่นเรื่องความเร่งเครื่องให้เจ้าของรถเคืองเล่น
   
“อีโคคาร์นี่จะเอาอะไรกับมันมาก” ตอนซื้อรถเขาก็เลือกเจ้านี่มาเพราะทรงมันกระปุ้กลุกน่ารักดี อีกอย่างขับในเมือง ถนนคงไม่มีเลนส์ว่างให้ซิ่ง เน้นประหยัดเงินค่าน้ำมันไว้ดีกว่าเสียอีก
   
“หน้าตาพี่ดูไม่เหมาะกับรถเทือกนี้เลย” คนเด็กกว่าวิจารณ์ รถกระตุกไปวูบหนึ่ง ดูท่าเจ้าตัวจะไม่ชินกับการขับเกียร์กระปุกเท่าไหร่
   
“พี่ไม่เหมาะกับรถเครื่องแรงๆ หรอกนะ” วันสุขว่าเสียงเบาพลางหาวหวอด ง่วงอยากหลับเต็มที ถ้าสารถีจำเป็นยังหาร้านที่ถูกใจไม่ได้ เขาจะเอนเบาะนอนมันตรงนี้นี่แหละ
   
“ไม่เหมาะยังไงครับ? ผมให้พี่ยืมรถผมได้นะ เห็นพี่ชอบดาว คันนั้นก็มีดาวแปะเหมือนกัน”
   
“ไม่ล่ะ รถแรงๆ ไม่เหมาะกับคนใจร้อนอย่างพี่เท่าไหร่” เขาว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุ เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็กดปิด
   
“พี่ดูไม่เหมือนคนใจร้อน” ซานพูดพลางกลั้วหัวเราะทำเอาเขาอดยิ้มตามไม่ได้
   
ใครๆ ก็ว่ากันแบบนั้น นายวันสุขดูไม่เหมือนคนใจร้อน แต่จะบอกว่าเขาไม่ใช่คนใจร้อนเสียทีเดียวก็คงไม่ถูก ถึงภายนอกจะเหมือนคนอารมณ์เย็น เรียบๆ เรื่อยๆ อย่างที่คนรู้จักทั้งหลายว่า แต่การกระทำเหล่านั้นก็เพียงเพื่อเลี่ยงอารมณ์ที่ปะทุง่ายดายของตัวเองก็เท่านั้น
   
แสร้งไม่ใส่ใจ บอกปัด หูทวนลม ยิ้มขำขันกับเรื่องที่ไม่น่าขำ... เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร พอทำสิ่งเหล่านั้นมากๆ เข้า มันก็คล้ายจะติดกลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ถึงแม้ไอ้สิ่งที่เขาอยากเลี่ยงนักเลี่ยงหนาเหล่านั้นมันจะไม่สิ่งที่เขาเป็นจริงๆ ก็เถอะ
   
“จริงๆ ก็ไม่ได้ใจร้อน แต่ว่าโมโหร้าย” แล้วพอโมโหขึ้นมาทีก็คุมตัวเองได้ยากเสียด้วย เหมือนกับวันนี้...
   
“ผมก็โมโหร้ายเหมือนกัน เอ้า...ร้านข้างหน้าดีไหม ขี้เกียจเลือกแล้ว”
   
รถคันเล็กเบี่ยงวูบเข้าข้างทางผ่านตึกใหญ่ที่เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จ ป้ายชื่อร้านวางไล่เลี่ยกันไปจนถึงลานเทซีเมนต์กว้างที่มีรถอยู่ไม่เยอะนัก แสงไฟสลัวชวนให้รู้สึกไม่ปลอดภัยพิกล ใกล้กันมีเสาแขวนชื่อป้ายร้านเก่าๆ ซึ่งกำลังโยกไปเยกมาเพราะแรงลม
   
“อืม...เปลี่ยนร้านดีกว่าไหม?” ตัวตั้งตัวตีเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ แต่มีหรือเขาจะยอมกลับไปนั่งง่วงในรถอีก ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองดูก็ไม่เสียหาย
   
“ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว ถ้ายังเรื่องมากอีก คืนนี้ก็ไม่ต้องกิน” ว่าพลางกวาดหน้ามองหาตัวร้าน จนสายตาไปปะทะกับสะพานไม้เก่าๆ ซึ่งพาดข้ามลำน้ำสายเล็กๆ ไปยังอีกฝั่งซึ่งมีซุ้มประตูไม้ประดับชื่อร้านไว้อยู่
   
“ไปกันครับ” พอเห็นเป้าหมาย วันสุขก็จัดการลากแขนอีกฝ่ายให้เดินตามทันที คนเด็กกว่าทำท่าอิดออด ดูจากสภาพแล้วคงไม่ค่อยได้มาคลุกคลีกับอะไรแบบนี้ ก็ถือว่าพาคุณชายมาเปิดโลกก็แล้วกัน วันๆ คงเที่ยวอยู่ไม่กี่ที่ มาสัมผัสอะไรเก่าๆ บ้าง เผื่อจะหลงรักบรรยากาศแบบนี้อย่างที่เขาชอบ
   
เสียงน้ำดังคลอเข้ามาในหู ประกอบกับเสียงเอียดอาดของไม้เก่า สะพานสลัวที่เห็นได้เพียงรางๆ เพราะแสงไฟส้มนวลจากอีกฝั่งชวนให้รู้สึกประหลาด อย่างกับตัวเองกำลังเดินอยู่ในห้วงมิติอะไรสักอย่างนั้นแหละ
   
ยิ่งเดินเข้าไป เสียงรถราจอแจจากด้านนอกก็เงียบลง แทนที่ด้วยเพลงลูกกรุงเก่านุ่มๆ ชวนให้ยกยิ้มชอบใจขึ้นมาแทน ลมเย็นพัดโชยเอากลิ่นไม้หอมลอยมาแตะจมูก
   
“บังเอิญ หรือจะเรียกว่าอะไรดีนะ?” หันไปถามคนเลือกร้านที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ดูท่าจะมีแต่เขาคนเดียวที่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ซึ่งพอเห็นซานแล้วก็นึกถึงตัวเองสมัยก่อน นายวันสุขที่หน้าบูดหน้าบึ้งตอนคุณอาพาแวะกินข้าวริมทางในวันนั้น...
   
“อะไรครับ เป็นคนเลือกร้านเองแท้ๆ อย่ามาทำหน้าแบบนั้นสิ เสียบรรยากาศหมดนะรู้ไหม” วันสุขพูดขำๆ แล้วก็เลิกสนแมวเอาแต่ใจนั่นแทบจะในทันทีที่ภาพสวนต้นไม้รกครึ้มกับเรือนบ้านเก่าปรากฏสู่สายตา...
   
“สวัสดีจ้ะ กี่ที่จ๊ะ? ตอนนี้ศาลาริมน้ำเต็มหมดแล้ว เหลือแค่โต๊ะในสวนกับบนเรือนนี่แหละ” พนักงานมากอายุเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทีเป็นกันเอง
   
“ในสวนยุงจะเยอะไหมครับ?” วันสุขถาม ตัวเลือกในสวนนั้นดีทีเดียว เพราะดูท่าจะสงบเงียบไร้คนมาก่อกวน
   
“มียากันยุงจุดให้จ้ะ ไม่ต้องกลัว” คุณป้ายืนยันมาแบบนั้นเขาก็ลองดูเสียหน่อย ซึ่งสุดท้ายโต๊ะที่ได้ก็เป็นม้าหินบ้านๆ ธรรมดา มีแสงไฟสีส้มอ่อนนวลๆ ไม่ทำให้มืดเกินไปนัก กลิ่นยากันยุงลอยมาอ่อนๆ และโชคดีที่พวกเขาใส่ขายาวกันมาเลยไม่เป็นปัญหา
   
“ไอ้นี่มันกินได้ด้วยเหรอ?”
   
พอพ้นหลังพนักงาน วัยรุ่นผู้ไม่คุ้นเคยกับอาหารไทยก็จิ้มนิ้วลงกับเมนูชื่อ ‘ไข่เจียวดอกอัญชัน’ พร้อมหน้าตาท่าทางคิ้วขมวดเหมือนสงสัยเต็มประดา
   
“กินได้สิ น้ำอัญชันใส่น้ำผึ้งมะนาวอร่อยนะ ชุบแป้งทอดทำเป็นยำกรอบก็ยังได้ แต่พี่ชอบพวกกลีบบัวมากกว่า” ไม่รู้ว่าเสียงเขาดูอารมณ์ดีเกินไปหรือเปล่า อีกฝ่ายซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามถึงได้พับเมนูปับ แล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมานั่งกดเล่นเสียอย่างนั้น
   
ถ้าจำไม่ผิด...ตัวตั้งตัวตีที่จะออกมากินข้าวนอกบ้านไม่ใช่เขานะ... แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น วันสุขก็ไม่คิดจะใส่ใจเท่าไหร่ มือกรีดหน้าเมนูเก่าไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี พอพนักงานมาก็สั่งอาหารไปสามสี่อย่าง สองในสามเป็นต้มจืดธรรมดากับปลาทับทิมราดยำผลไม้
   
ลมเย็นๆ พัดมาอีกครั้งชวนให้หนาวอยู่หน่อยๆ กลิ่นฝนลอยมาแตะจมูก เขาก็ได้แต่ภาวนาว่ามันคงจะไม่ตก ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้สุนทรีย์นัก เมื่อเสียงเกมส์มือถือดังแว่วมาขัดความสงบ
   
“บรรยากาศออกจะดี” วันสุขเปรยขึ้นเบาๆ
   
“ไม่เห็นจะดีเลย” ซานที่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกดุยอมวางเจ้าเครื่องทรงสี่เหลี่ยมบางเฉียบลงกับโต๊ะ
   
“เปิดใจหน่อยสิ ความสงบแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ นะ”
   
“ผมไม่ได้อยู่ในช่วงวัยที่ต้องการความสงบเสียหน่อย”
   
วันสุขไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่คล้ายกับจะโดนเจ้าเด็กนี่ด่าทางอ้อมว่าแก่ชอบกล ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ถังน้ำแข็งกับน้ำเปล่าถูกยกมาส่งให้ที่โต๊ะ เขาอาสาขอพนักงานทำเอง อาจด้วยเพราะไม่ชอบให้ใครมาบริการอะไรให้สักเท่าไหร่
   
เสียงกริ๊งกรั๊งของก้อนน้ำแข็งซึ่งหล่นกระทบแก้วช่วยไม่ให้บรรยากาศตึงเกินไปนัก น้ำเปล่าถูกรินใส่อย่างช้าๆ และในเวลาเดียวกันนั้นเองที่เขาส่งแก้วให้คนฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยถามด้วยโทนเสียงที่เขาเกลียดเหลือเกิน
   
“เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม...เรื่องเจ้าของของแหวนวงนั้น...” น้ำเสียงราบเรียบ ไม่บ่งแม้แต่อารมณ์...จนเขาเดาไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่ โดยเฉพาะดวงตาสีเข้มเหมือนลูกปัดดำนั่นด้วยแล้ว...
   
“อยากรู้...ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เสียงของเขา...แผ่วจนแม้แต่ตัวเองก็แทบจะไม่ได้ยิน ลำคอมันแห้งผาก เพียงแค่นึกถึงเรื่องของบางคนขึ้นมา หัวใจก็คล้ายกับจะกระตุกไปวูบหนึ่ง เสียงซาซ่าเหมือนโทรทัศน์ขาดสัญญาณดังแว่วอยู่ในหัว
   
“ที่พาพี่ออกมาถึงที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?” พอสมองเริ่มคาดเดาบางอย่างได้ เขาก็ไม่รีรอที่จะรั้งคำถามนั้นไว้กับตัวเอง... วันสุขนั่งนิ่งรอคำตอบ บรรยากาศสบายๆ ที่เขาคิดมาตลอดว่ามันเป็นคล้ายกับว่าจะไม่ใช่อีกต่อไป...
   
“ผมก็แค่อยากรู้...ว่าทำไมเขาถึงได้สำคัญนัก”
   
“พี่คิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปแล้ว” ไอเย็นๆ จากแหวนกำลังโอบล้อมรอบนิ้วของเขา และมันก็เริ่มชาจนแทบกระดิกไม่ได้
   
“เพราะผมยังสำคัญไม่พอหรือเปล่าครับ?”
   
คำถามประหลาดถูกส่งมาให้ทำเอาเขาพูดไม่ออก เด็กนั่นไม่ได้ล้อเล่น... ดวงตาจริงจังนั่น จริงจังจนน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่เป็น... และภาพนั่นมันก็กำลังซ้อนทับกับใครสักคนที่เคยถามคำถามแบบนั้นกับเขาเมื่อครั้งอดีต
   
ศีรษะคล้ายกับจะปวดจี๊ดขึ้นมา มือกำแก้วน้ำแน่น หวังจะพึ่งของเหลวเย็นเฉียบช่วยดับสติเบลอมัว ทว่ามือของเขากลับเกร็งจนสัมผัสได้ว่ามันกำลังสั่นจนน้ำในแก้วกระฉอก
   
“...พอเถอะ” ว่าเสียงแผ่ว ปิดตาแน่น พยายามสูดหายใจเข้าลึก รวบรวมสติอยู่นานกว่าหัวใจจะกลับมาเป็นปกติได้... แม้จะไม่ทั้งหมดก็เถอะ
   
“ขอโทษครับ...” ซานพึมพำแผ่ว “แต่ว่า...พี่วันน่ะ ‘สำคัญ’ นะครับ” สิ้นคำพูดก็มีเพียงแค่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้ ซานเอื้อมแขนมาคว้าแก้วน้ำออกไปจากมือเขาก่อนจะแทนที่ด้วยนิ้วอุ่นๆ บีบแน่น
   
วันสุขสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง และเลือกที่จะเสตามองไปทางอื่น เสียงซ่าๆ ในหัวก็เริ่มจางหายไป กลิ่นอาหารลอยโชยมาแตะจมูก บรรยากาศหนักๆ เริ่มจะเบาบางลง...แค่เสี้ยววินาที
   
“รู้ไหม...ตอนเยลลี่มาเล่าว่าพี่ทำอะไรลงไป ผมโกรธมากแค่ไหน”
   
จู่ๆ เด็กตรงหน้าก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นๆ นี่กะจะไม่ให้เขาพักหายใจเลยสินะ?
   
“ว่าแล้วเชียว...โกรธพี่สินะครับ?” วันสุขยิ้มเอื่อย แม้น้ำเสียงจะเหนื่อยอ่อนเต็มที หัวยังปวดตุบๆ แต่ก็ยังแสร้งเอียงคอมองคนฝั่งตรงข้ามด้วยสายตานุ่มๆ อย่างเคยตัว...
   
“โกรธสิ...” ชั่วแวบหนึ่งที่เด็กตรงหน้าพูด เหมือนประกายรุนแรงจะแล่นวูบผ่านดวงตาคู่นั้น และมันถูกส่งตรงมายังเขา... “พี่ไม่น่าทำแบบนั้น ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำได้แบบนั้น”
   
วันสุขรู้สึกอึดอัด...อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เหมือนลำคอมันจะตีบตันขึ้นมาดื้อๆ ฐานะที่เด็กนั่นพูดถึง เขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร รู้อยู่แก่ใจดี แต่อยู่ๆ เจ้าตัวก็มาพูดใส่กันแบบนี้... ทำไมจู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบจนแก้มแสบไปหมดนะ?
   
“พี่น่ะสำคัญนะครับ... แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรแบบนั้นได้”
   
“พี่เกลียดที่เราพูดแบบนี้...”
   
ถ้อยคำบางอย่างหลุดออกจากปากไป...เสียงยะเยือกที่แม้แต่ตัวเขาเองยังต้องตกใจ ชักมือออกจากการเกาะกุม นิ้วกำแน่นจนเล็บแทบจิกลงเนื้อ อารมณ์เดือดปะทุกำลังพุ่งสูง และเหมือนว่าเขาแทบจะคุมตัวเองไม่ได้อีกครั้ง
   
“ต้มจืดเต้าหู้กับหมูหมักเหล้าจีนค่ะ”
   
เสียงใสๆ ของเด็กสาวแรกรุ่นดังขึ้นขัดบรรยากาศ อาหารถูกวางลงตรงหน้าพร้อมข้าวเปล่าที่เขาสั่งไปด้วย วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามระงับสติตัวเอง ก่อนจะต้องชะงักไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบกับคนฝั่งตรงข้ามที่กำลังหยักยิ้ม...
   
นี่เขา...โดนปั่นหัวอีกแล้วสินะ?
   
“ตอนพี่โกรธน่ะ น่ารักจริงๆ ด้วย ...ยากหรือเปล่าครับที่ต้องคุมเข้มกับอารมณ์ตัวเองแบบนั้น”
   
“หมูนี่อร่อยดี” พอรู้ตัวว่าโดนยุเข้าให้ก็แสร้งเปลี่ยนเรื่อง แล้วตักหมูชิ้นขนาดพอดีไปวางบนจานอีกฝ่าย
   
พวกเขานั่งกันอยู่ไม่นานของก็มาครบ ซานดูท่าทางตื่นเต้น คงไม่ค่อยได้กินอะไรพวกนี้มากนัก วัยรุ่นสมัยนี้อย่างมากก็พึ่งข้าวกล่องตามร้านสะดวกซื้อ หรือไม่ก็อาหารในห้าง ซึ่งดูจากเค้าแล้วเด็กตรงหน้าน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
   
คราวหลังถ้าซานหวังจะมาพึ่งข้าวเย็นที่บ้านเขาอีก เห็นทีคงต้องทำอะไรแปลกๆ ให้ได้ลองบ้าง คิดซะว่าสอนให้รู้จักไม่เลือกกินก็แล้วกัน...
   
“จริงสิ เสร็จจากนี่ไปแล้วเดี๋ยวช่วยไปแวะที่ตลาดใกล้ๆ นี่หน่อยได้ไหม” ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลาพลางพูดบอกอีกฝ่าย
   
“จะไปทำอะไรเหรอครับ? จะสี่ทุ่มแล้วนะ” ซานถามอย่างสงสัย มือก็ตักของกินเข้าปากไม่หยุด
   
“ซื้อต้นไม้น่ะ ของเพิ่งจะเอามาลงกัน น่าจะมีให้เลือกเยอะ” ว่าแล้วก็เริ่มคำนวณในใจว่าจะซื้ออะไรดี จะได้ถือโอกาสใช้แรงงานอีกฝ่ายเป็นการเอาคืนเล็กๆ
   
“ดึกขนาดนี้เนี่ยนะครับ?”
   
“บรรยากาศดีนะ ปกติพี่จะมาคนเดียว ได้เรามาเดินเป็นเพื่อนก็แก้เหงาขึ้นเยอะ” ว่าเรียบเรื่อย แต่ดูเหมือนคนตรงข้ามจะนั่งหน้ามุ่ยอีกแล้ว
   
“แค่แก้เหงาเองเหรอครับ?” ซานถามเสียงหงอย แต่ทั้งเสียงทั้งสีหน้านั้นสวนทางกับแววตาเหลือเกิน
   
“ระหว่างเดิน...จะได้เล่าเรื่องที่เราอยากรู้ไปด้วย” ว่าพลางรินน้ำให้อีกฝ่าย และถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดจะเล่าจริงๆ
   
“โกหกไม่ดีนะครับ” คนรู้ทันพูดดักเสียงเข้ม
   
วันสุขแสร้งทำหน้าไม่ใส่ใจ ยกมือซ้ายขึ้นไล้ปลายผมตัวเองแล้วจับมันทัดหูไว้หลวมๆ วงแหวนสีดำสะท้อนล้อแสงไฟเป็นประกายวูบ
   
“...ผมยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ”
   
แมวตัวใหญ่พูดกลั้วเสียงหัวเราะ รอยยิ้มคุ้นตาถูกส่งมาให้ และบทสนทนาทั้งหลายของพวกเขาก็จบลงอยู่แค่นั้น


(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage


พวกเขาออกมาจากร้านอาหารเอาก็ตอนสี่ทุ่มกว่า รถราบนถนนไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย โดยเฉพาะตัวตลาดต้นไม้ที่คนเยอะผิดปกติ ซึ่งกว่าพวกเขาจะวนหาที่จอดรถได้ก็ทำเอาลำบากเหมือนกัน
   
ลานจอดรถอยู่ห่างจากตลาดพอสมควร แสงไฟที่เปิดก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก ท้องฟ้าครึ้มเมฆจนมองแทบไม่เห็นพระจันทร์ กลิ่นฝนโชยมาอ่อนๆ ลมเย็นพัดวูบชวนหนาวเยือก
   
“ปกติพี่มาคนเดียวตลอดเลยเหรอครับ?” ซานออกปากถามขณะที่ก้าวขึ้นมาเดินตีคู่เขา วันสุขพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาสีอ่อนกวาดมองมองทิวสลัวข้างทางอย่างเหม่อลอย เวลาอยู่ท่ามกลางความมืดทีไร...จิตใจมันเหมือนจะถูกชักให้ล่องลอยตามไปอย่างไรชอบกล โดยเฉพาะช่วงที่เขากำลังอ่อนแอแบบนี้
   
“พี่วัน...”
   
เสียงเรียกแว่ววานเลือนหายไป จู่ๆ ขาก็ก้าวไม่ออกเสียดื้อๆ ... แสงไฟสีขาวแยงตาส่องอยู่ไกลๆ ภาพรอบกายคล้ายมัวเบลอ กลิ่นชื้นฝนลอยโชยมาแตะจมูก เสียงประหลาดดังก้องอยู่ข้างหู เสียงหัวเราะ เสียงตะโกน เสียงของน้ำ...
   
ซา ซ่า... ซา ซ่า...
   
“พี่วัน!”
   
พลันเสียงหนึ่งก็ดังแทรกทุกอย่างเข้ามา... สายตาเบลอมัวค่อยๆ ชัดขึ้นอย่างช้าๆ และสิ่งแรกที่เห็นนั่นก็คือดวงตาสีเข้มจัดคู่หนึ่ง...
   
“อา...ขอโทษที พี่ดันเผลอคิดเรื่องประหลาดๆ ขึ้นมาน่ะ” ทั้งที่เมื่อครู่เขายังปกติดีอยู่แท้ๆ คงเป็นเพราะเผลอนึกถึงเรื่องของคนคนนั้นขึ้นมา...ผนวกกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทั้งวัน ...คงใกล้จุดที่ตัวเขาเองจะรับไม่ไหวแล้วหรือไงนะ?
   
“ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวฝนจะตกนะครับ” ซานเอ่ยเตือนสติเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่มีท่าทีตกใจอะไร ทั้งมืออุ่นนั่นยื่นมาคว้าข้อแขนเขาไว้แล้วออกแรงดึงเบาๆ “พี่วัน?” พลางทวนชื่อเขาด้วยน้ำเสียงฉงน เมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะเดินตามมา
   
“ขอโทษนะ... แต่ว่ากลับกันเถอะ”
   
วันนี้ท่าทางเขาจะแย่แล้วจริงๆ กลับไปคงไม่พ้นต้องพึ่งยานอนหลับ สภาพอ่อนแอน่าอดสูแบบนี้ แค่นึกว่าต้องมาทำให้คนอื่นเห็นนอกจากเวย์กับคุณอาแล้ว...มันก็ชวนให้รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กนั่นได้เห็นเขาในสภาพนี้ก็เถอะ...
   
“เดินสักนิดก็ได้นี่ครับ” ซานยังไม่ยอมแพ้ แววห่วงใยฉาบบางอยู่บนดวงตานั่น เห็นแล้วเขาก็อดคิดไม่ได้...ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่านะ?
   
“กลับกันเถอะ...” วันสุขส่งยิ้มอ่อนไปให้และยังคงยืนยันคำเดิม ถ้าเกิดฝืนต่อไป เขาเองก็กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา “กลับกันเถอะ นะ...” และถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ขากลับก้าวไม่ออก...
   
“คิดถึงเจ้าของแหวนนั่นอีกแล้วสินะครับ?” ข้อมือถูกบีบแน่นจนเจ็บ คางถูกเชยขึ้นสบกับใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ ดวงดาวพราวบนฟ้าสีดำคู่นั้นไหววูบราวกับถูกพายุพัดพา
   
“กลั...”
   
“พี่วันครับ”
   
วันสุขจำต้องเงียบไปเมื่อถูกพูดแทรก ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขาอยู่ชั่วขณะ เสียงฟ้าครืนครานดังแว่ววานมาแต่ไกลๆ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ใบหน้าของเขาถูกอีกฝ่ายประคองเบาๆ ไม่ให้เอียงหลบ
   
“ผมอยากฟังนะครับ...เรื่องของคนคนนั้น สักนิดก็ยังดี” เสียงทุ้มนุ่มดูจะอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง รอยยิ้มจางถูกส่งมาให้ ซานดูไม่เหมือนกับเด็กที่เขาเคยรู้จักนัก... พวกเขากำลังสลับบทกันอยู่หรือเปล่านะ? คนหนึ่งดูโตขึ้น ในขณะที่อีกคนอ่อนแอไม่ต่างจากเด็ก
   
“...” เขาเลือกที่จะเงียบ แต่วันสุขรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรออย่างใจเย็น
   
แสงสว่างจ้าของรถคันหนึ่งสาดส่องเข้ามาแล้วแล่นวูบผ่านไป ลมยะเยือกพัดโชย หัวสมองเต็มไปด้วยความคิดว้าวุ่นมากมายซึ่งตีกันไปตีกันมา กว่าจะมารู้ตัวอีกทีเขาก็เผลอดันอีกฝ่ายจนไปติดกำแพงแล้ว...
   
มันคงเป็นภาพประหลาดพิลึกที่มีผู้ชายสองคนมายืนซบกันอยู่ตรงนี้...
   
“เคย...กลัวความรัก...หรือเปล่า?” รวบรวมความกล้าและพึมพำออกมาเสียงแผ่ว ปรือตาลงเมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบหลังศีรษะของเขาเบาๆ ถ้าเป็นเวลาปกติคงโวยใส่ไปบ้าง ทว่าตอนนี้มันช่วยให้รู้สึกสบายใจดีเหลือเกิน
   
“ไม่เคยครับ แต่เกลียด” ผิวแก้มสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นยามที่อีกฝ่ายพูดออกมา
   
“เหรอ? แล้วเกลียดมากไหม?” ถามออกไปขณะที่ริมฝีปากยกยิ้มบาง
   
“มาก” คำยืนยันหนักแน่นของอีกฝ่ายทำเอาเขาหัวเราะ
   
“แล้วเคย...รักใครสักคนหรือเปล่า?” ถามออกไปจนได้ สุดท้ายก็มีเพียงแค่ความเงียบเป็นคำตอบกับอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้นเท่านั้น กลิ่นน้ำหอมคุ้นเคยชวนให้ปิดเปลือกตาลงอย่างสบายใจ...กลิ่นเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด...
   
“พี่เคยนะ... จำได้ว่าแอบไปนอนร้องไห้ทุกวัน...” ยิ่งเล่าเสียงก็ยิ่งแผ่ว ใจมันบีบแปลบเข้าหากัน มือเองก็เผลอกำเสื้ออีกฝ่ายแน่น สติกำลังแกว่งไกว แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะเล่าได้
   
“ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ” ซานถาม ลมแรงพัดหวือมาระลอกใหญ่
   
“ทั้งผู้หญิง...แล้วก็ผู้ชาย...” ไม่ว่าใครก็เป็นคนสำคัญทั้งนั้น และเพราะแบบนั้นเอง สุดท้ายก็เลยไม่เหลือใคร ไม่เหลือเลยสักคน... “บางที...ถ้าพี่ไม่ไปยืนอยู่ตรงนั้น...ทุกอย่างมันคงดีกว่านี้” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่น บางสิ่งที่เก็บไว้มานานนับสิบปีก็คล้ายจะแตกออก เหมือนกำแพงเขื่อนที่สายน้ำรุนแรงพรั่งพรูออกมา...
   
ซาซ่า ซาซ่า...
   
สายฝนเทสาดลงมา เย็นแทบบาดกระดูก...
   
“ทำไมถึงโทษตัวเองแบบนั้น...” ซานถาม เสียงแผ่วแทบจะกลืนหายไปกับฝนกระหน่ำ ทว่ากลับชัดเจนจนน่าแปลก
   
“เขา...ตาย...” แค่นึกถึงตอนนั้นขึ้นมา กายมันก็พานหนาวยะเยือก เสียงของฝนยิ่งทำให้กลัวจนตัวสั่น เสียงของน้ำ กลิ่นเลือด ภาพในอดีตนับสิบที่ฉายเข้ามาในหัว ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
   
“เจ้าของแหวนนี่ใช่ไหม?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สภาพของเขาตอนนี้คงไม่มีแรงจะไปใส่ใจอะไรอีกแล้ว สิ่งที่รอดออกมาจากริมฝีปากมีเพียงแค่เสียงสะอื้นน่าอดสูกับสายน้ำตาเท่านั้น
   
“พี่รักเขา...”
   
ความรู้สึกจริงแท้ที่หลอกหลอนเขามาตลอดเวลาถูกถ่ายทอดออกมาอย่างง่ายดายทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก้อนเนื้อในอกบีบแปลบจนเหมือนจะหายใจไม่ออก น้ำตาที่ผสมไปกับสายฝนก็ยิ่งพรั่งพรูลงมา ในขณะที่อีกฝ่ายยืนนิ่งเงียบไม่ต่างจากรูปปั้น
   
นายวันสุขร้องไห้อีกแล้ว... เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวก็ร้องไห้... เขาเกลียดจริงๆ เกลียดไอ้อาการบ้าๆ นี่ที่ห้ามเท่าไหร่มันก็ยิ่งกำเริบหนักขึ้นทุกวัน เกลียดความอ่อนแอของตัวเอง เกลียดความคิดมากของตัวเอง เกลียดมันไปซะทุกอย่าง เกลียด...เกลียดตัวเองเสียจริงๆ
   
“ซาน...พวกเรา ไม่ได้รักกันใช่ไหม?”
   
เขาถามอะไรออกไปนะ... แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองก็ต้องสบเข้ากับแววตาประหลาดคู่นั้น ดวงตาสีดำยะเยือก นัยน์ที่ไม่ได้ฉายแววใดๆ ทั้งที่มันแต้มพราวไปด้วยดวงดาวสีสวยแท้ๆ
   
“ตอบมาสิ...” ตอบมาว่าไม่ได้รัก พูดออกมาว่าจะไม่มีวันพูดคำนั้นให้เขาได้ยิน ใจนี้มันกลัวคำคำนั้นเหลือเกิน เพราะถ้าหากมันถูกเอ่ยขึ้นมาแล้ว...อีกไม่นาน สุดท้ายก็จะเป็นเขาเองที่ต้องอยู่คนเดียว
   
“บอกไปแล้วนี่ว่าเกลียดความรัก” สิ้นคำพูดก็แต้มจูบลงกับแก้มของเขา ทิ้งสัมผัสอุ่นวาบซึ่งถูกชะล้างออกไปทันทีด้วยฝนเย็น “อีกอย่างผมเองก็เกลียดพี่ด้วย”
   
เหมือนผีเสื้อร่อนลงแตะลงบนริมฝีปาก...แล้วก็บินจากไป นับสิบนับร้อยครั้ง... ไม่ได้รุนแรง แต่แผ่วเบา ทิ้งไออุ่นวาบประหลาดให้พล่านไปทั่วทั้งกาย ...เผลอเบียดตัวเองเข้าหาอีกฝ่าย คล้องแขนโอบรอบลำคอ กดจูบแผ่วให้ย้ำหนักตามแรงอารมณ์
   
แสงสว่างวาบของไฟหน้ารถส่องผ่านไป แต่ไม่มีใครสักคนที่คิดจะหยุดการกระทำ หูของเขาอื้ออึง สติกระเจิดกระเจิง ขณะที่หัวใจกลับเต้นรัวกระหน่ำ น้ำตายังไหลออกมา... แต่ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังร้องไห้เพราะเรื่องอะไร
   
“จะเกลียดผมก็ได้นะ...” จูบหยุดอยู่ชั่วขณะ ปลายจมูกแตะเข้าหากัน เสียงกระซิบดังแผ่ว แต่กลับก้องกังวาน “พี่รักเขา... แต่จะเกลียดผมก็ได้...”
   
ประโยคแบบนี้ เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนในอดีต แต่ทำไมมันถึงได้ให้ความรู้สึกต่างกันขนาดนี้นะ? เกลียดเหรอ? เกลียดได้จริงๆ น่ะเหรอ?
   
“พี่เกลียด...ที่เราชอบเข้ามาวุ่นวาย...”
   
“ผมเองก็เกลียดที่พี่ชอบทำตัวให้น่าเป็นห่วงอยู่เรื่อย” ซานว่า ทำเอาเขาหลุดขำ ใครกันแน่ที่ทำตัวน่าเป็นห่วง?
   
“พี่เกลียด...ที่เราชอบทำเหมือนรู้อะไรบางอย่าง...แล้วก็ไม่ยอมบอกพี่”
   
“พี่เองก็ชอบนั่งอมทุกข์ มีอะไรไม่ยอมบอก ผมก็เกลียดนิสัยแบบนั้นเหมือนกัน”
   
“พี่เกลียด...ที่เราชอบปั่นหัวพี่ ยุให้พี่คุมตัวเองไม่ได้ ยุให้พี่เล่าเรื่องที่ไม่อยากเล่า” พอพูดมาถึงตรงนี้ก็ต้องชะงักไป ตาสีอ่อนหรี่มองใบหน้าที่ห่างกันแค่คืบอย่างคาดโทษ มือยกขึ้นบิดเนื้อเอวอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิดเต็มกำลัง
   
“เจ็บๆ พอแล้ว พอแล้ว! พี่นี่รู้ตัวเร็วชะมัด...” แมวตัวโตบ่นหงุงหงิงแล้วก็รวบกอดเขาแน่น วันสุขออกแรงดิ้นขลุกขลัก แต่ยิ่งดิ้นเนื้อก็ยิ่งเสียดสีกัน สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะอยู่นิ่งๆ เพราะดูจะปลอดภัยกว่า
   
“หลอกพี่สินะ!?” แค่นเสียงกราดเกรี้ยวออกมาจากลำคอ ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะอารมณ์ดี
   
เด็กนี่มันร้ายเสียจริง! พอรู้ว่าอะไรกระตุ้นเขาได้ก็คอยยุตลอด ยุมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็มาระเบิดเอาในวันนี้ ส่วนคนเจ้าเล่ห์ก็ตักเอาตักเอา ตักเอาความทุกข์ของเขาเปลี่ยนเป็นความสุขให้ตัวเอง
   
“ก็ปากพี่ชอบบอกอีกอย่าง การกระทำอีกอย่างตลอด ผมก็อยากได้ความแน่นอนในชีวิตบ้าง จะได้แน่ใจกับเขาสักทีว่า คน ‘กลัว’ ความรักอย่างพี่นี่ตกแล้วยังไง”
   
“หึ...แล้วได้คำตอบไหมล่ะ?” วันสุขแค่นเสียงถาม คิ้วของเขาตอนนี้คงขมวดกันเป็นปม
   
“ได้แล้วครับ”
   
“เหรอ?” เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
   
“พี่วันครับ...” ทว่าคนที่คิดว่าน่าจะเงียบไปแล้วกลับเรียกชื่อเขาอีกครั้ง วันสุขชะงักไป หรี่ตามองเสี้ยวหน้าคมๆ ซึ่งยังประดับรอยยิ้มอุ่นๆ ที่ดูละมุนแปลกตา แม้จะเปียกโชกด้วยฝนก็เถอะ
   
“...”
   
“เรียกแล้วก็พูด เงียบทำไม” วันสุขยืนรออยู่นาน สุดท้ายก็อดเร่งอีกฝ่ายไม่ได้ เขาชักจะเริ่มหนาวแล้ว ถ้ายังคิดจะมาคุยกันท่ามกลางสายฝนแบบนี้ ไม่แคล้ววันพรุ่ง หวัดที่เพิ่งหายได้ไม่นานคงได้กลับมาเยือนเขาอีกรอบ
   
“เป็นแฟนกัน”
   
“หา?”
   
“ถามไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ ผมนั่งอัพสเตตัสสละโสดไปตั้งแต่ตอนนั่งกินข้าวกันแล้ว”
   
“เดี๋ยวก่อนสิ”
   
“ต่อไปนี้ก็ทำอะไร ‘สะดวก’ ขึ้นแล้วเนอะ”
   
“สะดวกอะไรของเรา แล้วพี่ไปตกลงกับเราตอนไหน!?”
   
“ก็พี่จะได้หึงผมได้อย่างเป็นทางการ แล้วก็... ‘สะดวกๆ ’ โอ๊ย!”


To be continued...


จริงๆ แล้วซานอาจจะเป็นแค่เด็กกวนประสาทคนหนึ่ง หรือมีอะไรซับซ้อนกว่านั้นก็ได้
แต่พี่วันนี่โดนปั่นหัวซะหมุนเลยเชียวตอนนี้ (หัวเราะ)
 :กอด1: :L2: :กอด1:

<a href="https://www.facebook.com/turelightwriter"><img src="http://www.uppic.org/image-D0EC_53E060A0.gif" /></a>

ออฟไลน์ poporimikoru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอยยย ปมมันลึกมาก ดาร์กอ่อนๆถึงป่นกลาง

ที่ตายนี่คุณพ่อรึเปล่าคะ??


แต่ตอนหลังแอบหวานนะเนี่ย 5555555555


หวานปมขมมันแซ่บจริงๆ ฮือออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด