Chapter 1
แสงแดดยามเย็นกระทบพื้นดิน สายลมอ่อนๆหยอกล้อใบไม้บนต้นไม้ใหญ่ จากตัวอาคารชั้นสาม…มองลงไปข้างล่าง …เด็กนักเรียนหลายคนกำลังเดินไปยังประตูทางออกของโรงเรียน
ร่างเล็กนั่งมองบรรยากาศด้านนอกผ่านหน้าต่างบานใสของห้องเรียน เสียงหวานใสของหญิงวัยกลางคนดังมาจากหน้ากระดานเป็นระยะ บางส่วนเข้าหูบ้าง บางส่วนก็ลอยหายไปในอากาศ เหลือบไปมองเพื่อนร่วมห้องที่นั่งเท้าคางอยู่…คงรู้สึกเบื่อไม่ต่างไปจากเขา
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน
ครูคงเก็บกดถึงได้พูดอะไรเยอะแยะ ทั้งที่ห้องอื่นครูทยอยให้กลับบ้านได้แล้ว
ทันใดนั้น เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น
ครูผู้หญิงที่พูดอะไรอยู่คนเดียวมาพักใหญ่เงียบเสียงลงทันที เธอเอ่ยอะไรอีกนิดหน่อยก็ปล่อยให้นักเรียนกลับบ้าน
ร่างเล็กเก็บสมุดหนังสือลงกระเป๋า ตรวจเช็คอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ยกกระเป๋าเป้วาดขึ้นเตรียมสะพาย แต่ทว่าคงออกแรงเหวี่ยงมากไปนิดหน่อย…
“อั่ก!” เสียงร้องดังมาจากด้านหลัง เขาหันไปมองด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! เป็นอะไรมากหรือเปล่า? โทษๆ” คนตัวเล็กปรี่เข้าไปใกล้คนเจ็บที่ยืนกุมหน้าอกอยู่… คงโดนเข้าที่หน้าอกเต็มๆ
คนเจ็บซี้ดปากน้อยๆ ยกยิ้มแหยๆ “ไม่…เป็นไร”
“โชกุน มายืนทำอะไรตรงนี้วะ?” ร่างเล็กของใครอีกคนเดินตรงเข้ามา เขามองคนแปลกหน้าสองคนตรงหน้าด้วยแววตาสงสัย ไม่ต่างจากสองคนนั้นที่ส่งแววตาสงสัยกลับมาเหมือนกัน
“ขอโทษนะ… เราไม่ได้ตั้งใจ” เจ้าของกระเป๋าที่เป็นตัวต้นเหตุเอ่ยออกมา สองคนที่เพิ่งมาใหม่มองมานิ่งๆคล้ายพิจารณา
“เราไม่เคยเห็นนายมาก่อนเลย นายเพิ่งย้ายโรงเรียนมาหรือ?” คนตัวเล็กกว่าเป็นคนถามออกมา ข้างๆกันมีคนที่ถูกเรียกว่า”โชกุน”ยืนมองอยู่
“เราเพิ่งย้ายมา…” ใช่..เขาเพิ่งย้ายมา ในฐานะนักเรียนทุน..
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เราชื่อมิน ส่วนไอ้นี่ชื่อโชกุน เราสองคนอยู่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่ เกรด 7 ละ”
ร่างเล็กที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ส่งยิ้มน้อยๆให้เพื่อนใหม่ทั้งสองคน
“นายชื่ออะไร?” คนตัวเล็กๆที่ชื่อมินเอ่ยถาม ทำเอาคนถูกถามถึงกับสะดุ้งน้อยๆ.. ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้แนะนำตัว
“เราชื่อสปาย” ยิ้มน้อยๆให้กับเพื่อนร่วมห้อง “เมื่อกี๊เราขอโทษนะ ที่ฟาดกระเป๋าไปโดน…เอ่อ…”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร เราเดินไม่ดูทางเอง” ร่างสูงใหญ่ของโชกุนรีบบอกปฏิเสธทันควัน สปายได้แต่ยิ้มน้อยๆไปให้
“นี่..เลิกเรียนแล้ว เราไปหาอะไรกินกันไหม? ถือซะว่าเลี้ยงต้อนรับสปายด้วย” มินเอ่ยชวน …สปายปฏิเสธแทบไม่ทัน
“ขอโทษนะ..เราคงไปไม่ได้ เราต้องรีบไปแล้ว” ยิ้มน้อยๆให้เพื่อนใหม่ทั้งสองคน เท้าเล็กก้าวเดินออกไปจากห้องเรียนโดยไม่หันหลังกลับไปมอง
คนตัวเล็กเดินผ่านห้องเรียนแต่ละห้องที่มีป้ายบอกระดับชั้นเรียนว่า “Grade 10”
สปายเดินก้มหน้าไม่มองเด็กนักเรียนคนอื่นๆที่ยืนออกันอยู่ระหว่างทางเดิน
ถึงสปายจะเพิ่งย้ายมาใหม่ แต่สปายไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักเพื่อนใหม่ที่โรงเรียนใหม่แห่งนี้เลย
เพราะเรามันคนละชั้นกันน่ะสิ….
ที่นี่มันโรงเรียนคนรวย ผู้ดีมีอันจะกินส่วนใหญ่ก็ส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนนี้
เหตุผลที่เขามาอยู่ที่นี่ได้…เพราะแม่อุ๊บอกว่าที่นี่เปิดโอกาสให้นักเรียนสอบเข้าได้พร้อมมีทุนการศึกษาให้ด้วย
เขาได้ยินแม่อุ๊บอกเรื่องนี้กับเด็กทุกคนในบ้าน…
“บ้าน” ที่เขาเรียกว่าบ้าน แต่สำหรับคนนอกคงมองบ้านของเขาเป็นแค่”สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า”
ตั้งแต่จำความได้เขาก็โตมากับแม่อุ๊แล้วก็พี่น้องคนอื่นๆในบ้านเกือบ 100 คน … เป็นครอบครัวใหญ่ที่หาได้ยากในสังคมจริงๆ
สปายไม่รู้ว่าพ่อแม่แท้ๆเป็นใคร ไม่รู้ว่าตัวเองมีญาติพี่น้องที่ไหนอีกหรือไม่ … แต่เขาก็ยินดีที่จะไม่รับรู้และตามหาอีกต่อไปแล้ว แค่มีแม่อุ๊กับทุกคนในบ้าน เขาก็พอใจ
แม่อุ๊แบ่งเวลาดูแลเด็กๆทุกคนได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงในบ้านจะมีพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแลอีกประมาณ 4-5 คน แต่อย่างไรเสีย อำนาจการตัดสินใจเด็ดขาดอยู่ที่แม่อุ๊คนเดียว
แม่อุ๊ส่งเด็กทุกคนในบ้านให้ได้รับการศึกษา ออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างด้วยทุนของตัวเอง เป็นผู้ปกครองให้เด็กทุกคน หากใครไม่อยากเรียนแต่อยากทำอย่างอื่นแทน แม่อุ๊ก็ยินดีสนับสนุน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นมีข้อแม้อยู่ว่าต้องเป็นไปในทางที่ดีและต้องไม่เหนือบ่ากว่าแรงด้วย
ตั้งแต่เรียนจบม.3 … เขาก็พาตัวเองออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ล่ำลาแม่อุ๊และทุกคนที่อยู่ด้วยกันมา ตั้งใจไว้ว่าจะสอบให้ได้ทุนเรียนต่ออย่างที่แม่อุ๊คอยพร่ำบอกทุกคน
15 ปีเพียงพอแล้วกับการที่แม่อุ๊ต้องดูแลเขา …
เขาออกมาจาก”บ้าน”หลังนั้นกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกหนึ่งคน เช่าห้องที่คิดว่าถูกที่สุดอยู่ด้วยกัน… ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ 3 เดือนแล้ว
ชีวิตในโลกภายนอกไม่ได้โหดร้ายเกินไปสำหรับเขาเท่าไรนัก
บางเรื่องอาจเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเขามันกลับเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ชินชาไปเสียแล้ว
สปายก้าวเท้าไปตามทางเท้าของโรงเรียน มองเด็กนักเรียนคนอื่นๆที่มีรถยนต์ส่วนตัวมารอรับกลับบ้าน บางคนมีคนคอยเปิดประตูพร้อมค้อมศีรษะให้ บางคนมีรถยนต์ขับเป็นของตัวเอง
สปายเดินผ่านภาพเหล่านั้นไปอย่างไร้ความรู้สึก
ไม่รู้จะอิจฉาหรือน้อยใจไปเพื่ออะไร เขาอยู่อย่างทุกวันนี้ก็มีความสุขดีแล้ว
เขามาเรียน… ก็แค่เรียน เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องสนใจ
เขาเดินออกจากโรงเรียนโดยไม่สนใจสายตาของนักเรียนคนอื่นที่มองมา… ไม่เคยมีใครใช้ลำแข้งตัวเองกลับบ้านกันหรือไงนะ..มองกันอยู่ได้
คนตัวเล็กเดินลัดเลาะไปซอยต่างๆในละแวกชุมชน
ผ่านหมู่บ้านจัดสรร ข้ามสะพานผ่านคลองเล็กๆ ผ่านร้านค้า ผ่านบ้านเรือนต่างๆมากมาย… ระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรที่เดิน ไม่ได้ทำให้เหนื่อยสักเท่าใด… ดีกว่าต้องเสียเงินค่ารถสองแถวหรือค่าวินมอเตอร์ไซค์ตั้งหลายเท่า… ถ้าต้องเสียค่ารถทุกวัน ไม่ไหวแน่ๆ
สปายเดินมาถึงตึกแถวในซอยเล็กๆ ตึกที่เขาเลือกห้องหนึ่งห้องในตึกนั้นไว้อาศัยอยู่
ที่ผนังด้านนอกของตัวตึกเต็มไปด้วยสีเขียวคล้ำของตะไคร่น้ำ แผ่นสีที่ทาไว้หลุดลอกเป็นรอยร้าวเต็มฝาผนัง เหล็กที่กั้นระเบียงเต็มไปด้วยคราบสีน้ำตาลของสนิมที่เกาะกิน เห็นแค่นี้ก็พอจะเดาอายุของอาคารได้ลางๆ ยิ่งสภาพตึกเป็นแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องหวังพึ่งลิฟต์เลย … ของแบบนั้นไม่เหมาะกับที่แบบนี้หรอก
สปายเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสามของอาคาร เป้าหมายคือห้องพักเล็กๆของตัวเอง
มือบางจับลูกบิดประตูหมุนโดยไม่ต้องเคาะเตือนคนในห้อง
…ประตูไม่ได้ล็อค แสดงว่ามีคนอยู่
สปายเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ปิดประตูลงกลอนให้สนิท สายตาใสเห็นใครอีกคนกำลังนั่งกินข้าวอยู่กลางห้อง
“กินข้าวกัน ฉันซื้อหมูแดดเดียวมาด้วย” เสียงใสของคนที่นั่งกินข้าวอยู่เอ่ยชักชวน
สปายเอากระเป๋านักเรียนวางไว้มุมหนึ่งของห้อง เดินมานั่งตรงข้ามคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
ดวงตาใสพิจารณาคนที่นั่งกินข้าวอยู่
เสื้อสีดำแขนยาวแบบซีทรู ถึงจะมีเสื้อกล้ามด้านในใส่อยู่แต่มันก็ดูวาบหวิวไม่น้อย เสื้อที่มันยาวเลยสะโพกลงไปอย่างหมิ่นเหม่ เผยกางเกงขาสั้นสีดำวับๆแวมๆ ยิ่งพอนั่งกับพื้นแบบนี้ ยิ่งทำให้ดูเหมือนไม่ได้ใส่กางเกงเลย
“นี่คือชุดไปทำงาน?” สปายถามออกไป คนที่นั่งกินข้าวอยู่เงยหน้ามองน้อยๆ กลืนข้าวลงคอไปคำใหญ่ก่อนเผยยิ้มออกมา
“พี่ที่ทำงานเขาให้มา บอกว่าถ้าใส่ชุดนี้ แขกจะได้ให้ทิปเยอะๆ”
“แกก็เลยยอมใส่?” สปายถามเสียงเครียด ขมวดคิ้วน้อยๆ
“เอาน่า… ดีกว่าไม่ได้เงินนะ ชุดนี้น่ะพี่เขาก็ให้มาเฉยๆ เพราะพี่เขาซื้อมาแล้วใส่ไม่ได้”
“โซดา แกระวังนะ…”
“รู้แล้วล่ะน่า ฉันเสิร์ฟเครื่องดื่มอย่างเดียว ไม่ทำอย่างอื่นหรอก” ถึงโซดาจะบอกแบบนั้น แต่สปายก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
“แล้วเป็นไง? ไปโรงเรียนวันแรก” โซดาลุกเอาจานข้าวไปล้าง พลางคุยกับเพื่อนไปด้วย เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ… ได้ยินสปายถอนหายใจน้อยๆ “มันไม่โอเคหรือวะ?”
“มันก็โอเค… แต่ไม่รู้สิ… บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงเพราะเป็นวันแรกเลยยังไม่คุ้นที่” สปายพูดไปก็รู้สึกเหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง สายตามองคนที่นั่งล้างจานอยู่ไม่ไกล
“แกไม่คิดจะเรียนต่อจริงๆหรือวะ?” สปายถามออกไปเรียบๆ โซดารีบส่ายหัวให้โดยไม่ต้องคิดนาน
“ไม่เอาว่ะ ฉันเรียนไม่เก่งเหมือนแก ขืนไปเรียนมีแต่เปลืองเงินเปล่าๆ แล้วฉันก็ไม่ได้หัวดีถึงกับขนาดสอบชิงทุนได้ ทำงานแบบนี้น่ะดีแล้ว” โซดาสะบัดน้ำในจานเบาๆ เอาจานไปเก็บเข้าที่ ก่อนเดินมานั่งหน้ากระจก มองซ้ายมองขวาในกระจกอยู่พักใหญ่
“งานที่แกทำมันอันตรายมากเลยนะ” สปายอดพูดไม่ได้จริงๆ แม้จะเตือนตั้งแต่ก่อนเจ้าตัวไปสมัครงาน แต่โซดาก็ยังยืนยันที่จะทำงานนี้
ด้วยอายุแค่นี้ ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่ค่อยรับ อย่าว่าแต่งานประจำเลย…งานพาร์ทไทม์ยังหายาก
บางที่…รับคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป … บางที่รับ 21 ปีขึ้นไป…
แล้วพวกเขาที่เพิ่งอายุ 16 ปี จะหางานทำได้อย่างไร
งานอะไรล่ะที่เหมาะกับพวกเขา?
งานที่ไม่ต้องจำกัดอายุ…
งานที่ไม่ว่าใครก็ทำได้…
งานที่เลี่ยงข้อบังคับของกฏหมายสักหน่อยก็ได้ทำแล้ว…
“ถ้าทำงานนี้ แกก็มีเงินไปโรงเรียน พวกเราก็จะมีเงินจ่ายค่าห้อง เผลอๆมีเงินเก็บเผื่อไว้ใช้ด้วย” เสียงของคนที่นั่งหน้ากระจกดังเข้ามา
สปายถอนหายใจแรงๆ “เราบอกแล้วไง ว่าเรื่องโรงเรียนเราไม่อยากรบกวนแก”
โซดาหันมามองเพื่อนที่นั่งอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงเครียด
“ฉันอยากให้แกมีอนาคตที่ดีกว่าฉันนะ… ฉันจะเป็นอย่างไรน่ะ…ช่างเถอะ… แค่ให้แกได้เรียน ฉันก็มีความสุขแล้ว ฉันไม่คิดว่านั่นคือการรบกวนด้วยซ้ำ” โซดายู่หน้าน้อยๆ เบือนหน้าหนีเพื่อนตัวเองอย่างน้อยใจ
สปายขบริมฝีปากล่างน้อยๆ เดินเข้าไปโอบเพื่อนจากด้านหลัง
“แต่ฉันเป็นห่วงแกนะ… แกทำงานอื่นก็ได้ ที่มันไม่เสี่ยงแบบนี้”มือน้อยโอบเพื่อนตัวเองแน่น
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ลืมแล้วหรือว่าฉันคือใคร ฉันน่ะ..โซดาเลยนะเว้ย” โซดาหัวเราะน้อยๆ หันมายิ้มยิงฟันใส่เพื่อนที่กอดตัวเองไว้ สปายเห็นอย่างนั้นก็ยู่หน้าน้อยๆอย่างหมั่นไส้ ปล่อยมือออกช้าๆ
“แกน่ะ… ชอบเป็นแบบนี้ทุกทีเลย” สปายว่าอย่างงอนๆ โซดาชอบแกล้งหาเรื่องดราม่า แล้วก็จะพาลจบเรื่องเป็นเชิงว่าหยอกเล่นแบบนี้เรื่อยเลย
“น่า…เดี๋ยวแกเครียด แล้ววันนี้แกจะไปทำงานที่ภัตตาคารหรือเปล่า?” โซดาบีบมือเพื่อนเล่นอย่างเพลินมือ เงยหน้ามองเพื่อนตัวเอง เห็นสายตาปลงๆส่งออกมา
“ไม่ทำแล้วล่ะ เจ้าของร้านจับได้แล้วว่าฉันยังไม่ถึง 18 เขาเลยไล่ฉันออก แต่คุยกับป้าแม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็นหน้าปากซอยไว้แล้ว ฉันว่าจะไปล้างจานที่นั่น”
“ยังไงก็อย่ากลับดึกนะเว้ย มันอันตราย” โซดาเอ็ดเบาๆ
“บอกตัวเองก่อนโซดา” สปายย้อนเข้าให้ โซดาเลยยิ้มแหยๆตอบ
โซดาเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้ที่ฝาผนัง
“ฉันไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวสาย” โซดาลุกขึ้นเดินไปคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กๆไว้ใส่สิ่งของที่จำเป็น บอกลาเพื่อนอีกเล็กน้อยก็ออกจากห้องไป
สปายมองตามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
…ไม่มีวันไหนที่ไม่ห่วงโซดาเลยจริงๆ
หลังจากโซดาออกไปทำงานแล้ว… สปายอาบน้ำ กินข้าวเย็น เตรียมพร้อมออกไปทำงานบ้าง
ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ของเจ๊เป็ดหน้าปากซอยเป็นที่ทำงานที่ใหม่ของคืนนี้..
…หวังว่าจะได้เงินไว้ใช้ถึงวันพรุ่งนี้นะ
เจ๊เป็ดแกใจดีอยู่บ้าง ถึงแกจะเสียงดังไปหน่อย คุยเก่งไปนิด แต่แกก็เป็นเจ้านายที่พอคุยกันรู้เรื่อง
“สปาย เก็บโต๊ะด้วย” เสียงเจ๊เป็ดดังเข้ามาเป็นระยะ สปายวิ่งทำความสะอาดโต๊ะเป็นว่าเล่น พอเอาชามมากองได้ เจ๊เป็ดก็เรียกไปเก็บโต๊ะอีก … เท่าที่สังเกตดู เหมือนว่าเจ๊เป็ดแกไม่มีพนักงานเลย แล้วแกต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?
“ไอ้ต้อง นั่นเอ็งจะไปไหนวะ?!” เสียงเจ๊เป็ดดังเข้ามา สปายหันไปมองคนที่เจ๊เป็ดคุยด้วย…
ชายหนุ่ม…น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าร้านไป เจ๊เป็ดตะโกนตามอย่างไม่อายเสียง
“นัดเพื่อนไว้น่ะแม่ เดี๋ยวดึกๆจะมาช่วย” เสียงหายไปพร้อมๆกับควันมอเตอร์ไซค์… เท่านี้สปายก็พอจะเดาได้ว่าใครที่คอยช่วยเจ๊เป็ด
“ไอ้ลูกคนนี้ ใช้อะไรไม่ได้สักอย่าง” ได้ยินเจ๊เป็ดบ่นออกมา มือก็ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ปากก็บ่นอวยพรลูกชายไม่หยุด
สปายเลิกสนใจเรื่องของครอบครัวคนอื่น กลับมาจดจ่อกับกองชามก๋วยเตี๋ยวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลูกค้าเข้าออกร้านเป็นพักๆ สปายมีหน้าที่เก็บชามมาล้างอย่างเดียว ส่วนเจ๊เป็ดทั้งทำ ทั้งเสิร์ฟ ได้ยินแกบ่นเบาๆว่ากลัวเขาเสิร์ฟผิดโต๊ะ
เวลายังคงเดินไปเรื่อยๆ…
จนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นวี่แววว่าลูกชายของเจ๊เป็ดจะมาช่วยงานอย่างที่บอกไว้
สปายล้างชามเสร็จหมดแล้ว ทุกโต๊ะไม่มีจานชามหลงเหลืออยู่
มองไปที่รถเข็นหน้าร้าน… เจ๊เป็ดกำลังเก็บของเข้าที่ หยิบอุปกรณ์ที่ใช้เสร็จแล้วมาวางไว้ให้เขาล้างต่อ ส่วนเจ๊เป็ดเดินไปพับโต๊ะเก้าอี้ให้เรียบร้อย
นี่คงเป็นสัญญาณว่างานคืนแรกกำลังจะสิ้นสุดลงแล้วสินะ…
“เอ้า นี่” เจ๊เป็ดเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนควักแบงค์สีแดงสามใบยื่นให้เขา สปายยกมือไหว้รับ
“ขอบคุณครับ” … เงินวันแรกของการทำงาน
คงพออยู่ไปถึงวันพรุ่งนี้… ไว้ถึงพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที
สปายช่วยเจ๊เป็ดเก็บร้านจนเสร็จเรียบร้อย
คนตัวเล็กเหนื่อยเกินกว่าที่จะลากขาเดินเข้าซอยเพื่อไปขึ้นบันไดสามชั้น
จากร้านเจ๊เป็ดไม่ไกล มีป้ายรถเมล์อยู่
สปายตั้งใจเดินไปที่ป้ายรถเมล์หวังหาที่นั่งพัก แต่ทว่าไม่มีที่นั่งว่างเลย สปายถอนหายใจออกมาแรงๆ.. มองซ้ายมองขวา หาที่ที่คิดว่าพอจะนั่งได้ … เยื้องป้ายรถเมล์ไม่ไกล…มีหญิงสาวสามคนนั่งอยู่ สปายเดินไปทางหญิงสาวกลุ่มนั้น หวังว่าจะพอมีที่ให้นั่งบ้าง
สปายเดินไปไม่ไกล เจอเก้าอี้ม้าหินอ่อนวางอยู่
จากตรงนี้เรียกว่าเป็นมุมอับก็ว่าได้ แสงสว่างที่อยู่ป้ายรถเมล์ ส่องมาถึงตรงนี้เพียงแค่เงา ถึงจะมืดไปหน่อย แต่ก็ยังพอมีที่ให้นั่งพัก
คนตัวเล็กนั่งมองรถเมล์ที่ขับผ่านไปทีละคัน มองผู้คนที่เดินกันขวักไขว่บนทางเท้า ..ทำไมคนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงมองเขาแปลกๆ?
มีเศษถั่วงอกติดหัวเขามาหรือ? หรือน้ำก๋วยเตี๋ยวหกรดเสื้อ?
สปายก้มมองสำรวจตัวเอง
…ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า
สายตาใสเหลือบไปทางผู้หญิงสามคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก…
ตอนแรกมีสามคน… แต่ตอนนี้เหลือเพียงคนเดียว
หายไปไหนเร็วจังแฮะ… ไม่ทันสังเกตเลย
“น้อง”
ใคร? เสียงใคร? ใครเรียกใคร?
สปายมัวแต่นั่งมองหญิงสาวที่นั่งอยู่คนเดียวเสียเพลิน ไม่ได้สนใจว่ามีรถเบนซ์สีดำขับมาจอดด้านหน้าตัวเองสักพักแล้ว
“น้อง ได้ยินไหม?” เสียงที่ดังมาจากด้านหน้า ทำให้สปายหันขวับ มองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถ เมื่อแน่ใจว่าคนบนรถคุยกับเขา จึงค่อยๆเดินเข้าไปหา…. บางทีเขาอาจจะมาถามทาง
“เท่าไร?”
“ฮะ?!”
เดี๋ยว นี่ไม่ใช่ประโยคถามทาง
แต่อะไรคือ ‘เท่าไร?’
“ท่าทางน่าจะแพง…” คนถามพึมพำเบาๆ สปายเพิ่งสังเกตว่าในรถไม่ได้มีอยู่คนเดียว ดูเหมือนว่าจะมีกันอยู่อย่างน้อยก็สองคน
“พูดถึงอะไรกัน?” สปายถามออกไป ขมวดคิ้วน้อยๆ เขายอมรับว่าเขาเหนื่อยจากงานมาก แล้วยิ่งมาเจอการสนทนาที่หาประเด็นไม่ได้แบบนี้ มันชวนหงุดหงิดไม่น้อย
“เบียร์ มึงจะคุยอะไรนักหนาวะ ถ้าเขาจะไป เขาไปกับมึงแล้ว” เสียงทุ้มของคนขับดังเข้ามา สปายเหลือบมองทั้งคนขับและคนที่นั่งข้างคนขับ… หน้าตาก็ดี ทำไมถึงคุยไม่รู้เรื่องวะ?
“พวกคุณหลงทาง? หรืออะไร?” สปายทำใจกล้าถามออกไป ไม่ได้สนใจหน้าตาเหมือนไก่ตาแตกของคนสองคนที่อยู่บนรถ
“นั่นไง กูว่าแล้ว…” คนขับพึมพำเบาๆ คนข้างคนขับที่สปายจับใจความได้ว่าชื่อ ‘เบียร์’อ้าปากค้างไปเรียบร้อย
“พอได้แล้ว ไอ้เบียร์” คนขับรถทำท่าจะออกตัวรถ แต่คนข้างๆดึงมืออีกคนที่จับเกียร์ไว้ก่อน
“โห่ น้ำแข็ง… ใจเย็นสิวะ” เบียร์หันมามองเด็กตัวเล็กตาใสที่ยืนมองอยู่นอกรถ
“แล้วมึงจะทำยังไง เด็กมันยังไม่รู้เลยว่ามึงจะซื้อมัน”
ประโยคจากคนขับ ทำเอาสปายอ้าปากค้าง ตาใสเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“คุณว่าอะไรนะ!” สปายตะโกนลั่น มือบางกำแน่นเข้าหาตัว
“กูว่าไปกันเหอะ” คนขับจะออกรถอีกครั้ง กดเลื่อนกระจกรถปิดขึ้น แต่เด็กตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านข้างของตัวรถ เดินมาชิดกระจกรถ มือบางตีประตูรถเป็นเชิงบอกให้หยุด
“สงสัยน้องเขาเปลี่ยนใจ” เบียร์ว่าพลางยกยิ้มน้อยๆ มือหนากดเลื่อนกระจกรถลง แต่ยังไม่ทันได้ยื่นหน้าออกไป มือน้อยๆที่กำแน่นก็ออกแรงเหวี่ยงเข้ามาปะทะปลายคางเข้าพอดี
“ทุเรศ สถุล ต่ำช้า เห็นคนทุกคนเขาเป็นที่ระบายหรือไง ไอ้พวกคนรวยเอ๊ย!!” เสียงหวานดังตามเข้ามาไม่หยุด
น้ำแข็งมองคนข้างๆที่กุมคางร้องซี้ดปากอยู่เบาๆ
สายตาคมสบตากับคนตัวเล็กที่ยืนกัดริมฝีปากอยู่ด้านนอก
“พวกเราขอโทษ เราไม่รู้ คิดว่าเธอขาย…” น้ำแข็งเว้นจังหวะไว้ ก่อนเหลือบไปมองหญิงสาวคนเดียวที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเด็กคนนี้เท่าไรนัก
สปายเหลือบมองไปตามสายตาคม หญิงสาวที่นั่งอยู่คนเดียวมาพักใหญ่กำลังยืนคุยกับคนที่อยู่ในรถเปิดประทุนคันงาม ไม่นานเธอก็เดินขึ้นรถคันนั้นไป
“เธอไม่รู้หรือว่าที่นั่งตรงนี้เขาไว้ทำอะไร” น้ำแข็งอดไม่ได้ที่จะเอ็ดไปน้อยๆ … ก็ถ้ามีคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเขามาคุยด้วย ป่านนี้เด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร … คงไม่มีโอกาสปล่อยหมัดใส่ใครแบบนี้แน่
“กลับบ้านไปซะ อย่ามานั่งตรงนี้อีก” น้ำแข็งเอ่ยทิ้งไว้แค่นั้นก่อนขับรถออกไป ทิ้งเด็กหนุ่มตัวเล็กไว้เบื้องหลัง
สปายมองตามรถคันนั้นด้วยสายตาอ่านไม่ออก
ทั้งโมโห ทั้งขอบคุณ
คนตัวเล็กหันไปมองที่ที่เคยมีหญิงสาวสามคนนั่งอยู่
ตอนนี้เหลือเพียงที่นั่งว่าง
สปายเหลือบมองที่นั่งที่ตัวเองเพิ่งลุกออกมา
...คนที่ไม่รู้… อย่ามานั่งตรงนี้เหมือนเขานะ
MOONLIGHT
[/font]
เปิดตัวละครแทบทุกตัวในตอนเดียว …พระนางเจอกันเร็วมาก!
ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ^ ^
เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^
