___เก็บ____รัก____ Sp.03 'ตะวัน' The End P.14 [24/04/58]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ___เก็บ____รัก____ Sp.03 'ตะวัน' The End P.14 [24/04/58]  (อ่าน 90002 ครั้ง)

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ไม่มาต่อเลยง่า  :hao5:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ไม่มาต่อเลยเหรอ ฮือๆ อยากอ่านต่อแล้วอ่า  :hao5:

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline
#Sp.02 _______ตะวัน_______ [1]





“สวัสดีครับ ผมชื่อเหมือนฝัน...เรียกว่าว่านก็ได้ครับ”


ผมยกมือไหว้หัวหน้างานพยาบาลที่ยกมือไหว้รับ ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยปากเสียงทุ้ม


“สวัสดีค่ะคุณหมอ ยินดีต้อนรับสู่โรงพยาบาลของเรานะค่ะ ป้าชื่อธิดาค่ะ”


“ครับป้าธิดา ว่าแต่...คนไข้ของผมอยู่ห้องไหนเหรอครับ ?”


ผมถามเรื่องงานก่อนจะมองย้ายขวาไปตามห้องต่างๆ ป้าธิดาอมยิ้มก่อนจะตอบผมกลับมาว่า


“เดี่ยวก็ได้เจอค่ะ ตอนนี้ ‘พระอาทิตย์’ ตกดินไปแล้ว...ไว้พรุ่งนี้เช้าแล้วกันนะค่ะ”


ป้าธิดาทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนแกจะส่งเอกสารทั้งหมดไว้ให้ผมเกี่ยวกับคนไข้รายหนึ่งซึ่งผมได้รับโอนเคสมาจากคุณหมอรุ่นพี่คนก่อนที่ไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่นิวยอร์ก ข้อมูลเบื้องต้นที่ผมได้รับมาก็เพียงแค่ว่าคนไข้ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆและอาการหนักมากจนน่าเป็นห่วงก็เท่านั้น


‘ร่าเริง  ปัญญาสว่างเลิศ’


นั้นคือชื่อที่ผมได้อ่านจากในแฟ้มประวัติคนไข้


.... น่าแปลกที่ในนั้นกลับไม่มีรูปถ่ายอย่างที่ควรจะเป็นตามปกติ


ผมเอนตัวพิงเบาะในห้องส่วนตัว ก่อนจะวางแฟ้มไว้เงียบๆแล้วลุกออกไปทานอาหารค่ำ...ซึ่งควรจะเรียกว่ามื้อดึกมากว่า


คนเป็นหมอก็แบบนี้ล่ะครับ ไม่ได้กินไม่ได้นอนตรงเวลาหรอก เพราะเป็นอาชีพที่เรียกได้ว่าขาดแคลนทรัพยากรบุคคล หรือถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นคือความต้องการกับปริมาณมันสวนทางกัน ที่สำคัญคือมีหมอจำนวนไม่น้อยที่จบหมอแต่ก็ไม่ได้ประกอบอาชีพหมอ


ผมชื่อว่าน ชื่อจริงชื่อเหมือนฝัน นายแพทย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง ชีวิตของผมก็เหมือนหมอทั่วๆไป คือครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดและต้องดิ้นรนหาทางส่งตัวเองเรียนจนกระทั้งจบโทฯ...


แต่นั้นเป็นเพียงอดีตไปแล้ว


ผมถูกย้ายมายังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามคำขอของพี่ชายซึ่งจริงๆแล้วเป็นเหมือนเพื่อนมากกว่า ที่อยากให้ผมได้รับเคสของคนไข้ของเขาโดยตรง เขาบอกกับผมว่าจริงๆแล้วตัวเองก็ไมได้อยากจะไป แต่เพราะโอกาสของความก้าวหน้าในชีวิตไม่ได้มีมาบ่อยๆ ผมเห็นด้วยกับเขาแล้วยอมย้ายมาตามคำขอ


ตีหนึ่งกว่าๆแล้ว....วันนี้คงดึกเกินกว่าจะเจอคนไข้......


“โจ๊กหมูหนึ่งถุงครับ”


ผมว่ากับคนขายโจ๊กหน้าโรงพยาบาล ตอนนี้เป็นเวลาตีสองกว่าๆแล้ว แต่เพราะอะไรๆที่หอยังไม่เรียบร้อยผมเลยเลือกที่จะค้างคืนที่โรงพยาบาลในห้องทำงานคงจะง่ายกว่า อีกทั้งวันนี้ผมรู้สึกอยากอ่านหนังสือต่อแบบแปลกๆ เป็นอารมณ์ที่นานๆครั้งจะ
เกิด


“เพิ่งย้ายมาเหรอค่ะ ?”


ป้าคนขายถาม ผมย่นคิ้วงงนิดหน่อยก่อนจะตอบกลับไป


“ครับ ป้ารู้ได้ยังไงเหรอ ?”


“โอ๊ย...ป้าขายโจ๊กมาตั้งแต่สมัยยังสาวๆ ที่นี้นะคุณหมอทุกคนป้ารู้จักหมด นี้ถ้าเดาไม่ผิดคุณหมอคงย้ายมาแทนคุณหมอนัดใช่ไหมค่ะ ?”


ผมพยักหน้ารับคำแก ก่อนป้าเขาจะยิ้มแฉ่งแล้วยื่นโจ๊กให้ผมสองถุง


“คือ...ผมสั่งไปหนึ่ง....”


“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าเลี้ยงถือซะว่าเป็นของต้อนรับคุณหมอแล้วกันนะค่ะ  แต่แปลกดีเหมือนกัน ปกติหมอที่นี้จะย้ายกันมาตอนเช้ามากกว่า เพิ่งมาเจอคุณหมอเนี้ยแหละค่ะที่ย้ายมาตอนดึก”


“ผมไม่ค่อยชอบแสงสว่างนะครับ....”


ผมตอบ...ไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองทำไมถึงต้องหม่นลงทุกครั้งที่พูดแบบนี้


“ฮ่าๆ เหรอค่ะ ว่างๆมาอุดหนุนป้าอีกนะ”


ป้าแกยิ้มอารมณ์ดี  ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินกลับขึ้นมาชั้นบน  โจ๊กหมูร้อนๆถูกเทใส่ชามถุงหนึ่ง ก่อนผมจะยกชามไปนั่งกินตรงระเบียง เหม่อมองท้องฟ้ายามดึกที่แม้จะมือแค่ไหนก็มองไม่เห็นดวงดาว อีกทั้งแสงสว่างจากหลอดไฟนีออนของมหานครที่ไม่มีการหลับทำให้ดาวหมดลงไปจากฟากฟ้า


“คุณ.....”


ผมชะงักช้อน คิดว่าตัวเองคงหูฟาดไปก่อนจะยกช้อนขึ้นตักข้าวต้มขึ้นปาก


“คุณโว้ยยย”


เสียงเล็กๆเสียงเดิมที่ผมได้ยินดังออกมาอีกหน่อย ผมขมวดคิ้วก่อนจะลงจากคานระเบียงแล้วมองซ้ายมองขวา...


...อย่าบอกนะว่าย้ายมาวันแรกก็โดนเลย


“ทางซ้ายครับ”


เสียงเดิมบอกผม ก่อนสายตาจะเลือนไปตามคำบอก...


....ถ้าพรุ่งนี้ข่าวหน้าหนึ่งพาดว่าหมอหนุ่มตกตึกตาย คงไม่ต้องบอกนะว่าผมเห็นอะไรที่มันไม่ใช่คน


เพียงแต่สิ่งที่ผมเห็นยังเป็นคนแหะ...เด็กเล็กๆคนหนึ่ง คะเนแล้วอายุไม่น่าจะเกิน12 ไม่รู้สิ เด็กสมัยนี้บางคนก็โตเร็วเกินไปจนผมแทบจะแยกอายุด้วยตาเปล่าไม่ได้อีกต่อไป


ใบหน้าจิ้มลิ้มยื่นออกมานอกหน้าต่างจากทางฝั่งซ้ายมือ เจ้าตัวลังเลไปอึกหนึ่งก่อนจะพูดออกมา แม้ระยะทางจะห่างพอสมควรแต่เพราะเป็นกลายดึกที่เงียบสงัดผมเลยได้ยินเสียงนั้นชัดเจน


“ผมอยากกินโจ๊กอ๊ะ.....”


“................”


“ก็คือ...ผมก็รู้ มันคงจะแปลกๆใช่ไหมล่ะ แต่แบบ.....”


“................”


“นี้มันก็เกือบจะตีสองแล้วไง แล้วคุณก็กินผ่านระเบียงแล้วกลิ่นมันก็โชย ผมก็เลย.....”


“หิว ?”


ผมต่อคำ อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างอายๆ ใบหน้ากลมแดงระเรื่อนขึ้นมานิดๆ


นั้นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็น.....


....ก่อนตัวเองจะปิดหน้าต่างตรงระเบียงลง


”โอ๊ย คุณใจร้าย ไอ้คุณบ้า  มากินยั่วกันแล้วปิดหน้าต่างหนี ”


“......................”


“ไอ้บ้า ไอ้คนบาป ไม่รู้รึไงว่าเขาห้ามกินของกลายดึก มันยั่วคนอื่นนะเว้ย”


“.......................”


“ไอ้คนใจบาป ผมหิวจะตายอยู่แล้วเนี้ย...ไอ้...”


เสียงก่นบ่น(ด่า)ผมยังคงดังแบบนั้น ผมขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะยกชามตัวเองไปไว้บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปตรงโต๊ะวางของ จำได้ว่าตัวเองเห็นชามพลาสติกอีกใบคว่ำไว้อยู่ตอนเอาข้าวของมาเก็บ และมันก็ยังอยู่ที่เดิมซะด้วย ผมหยิบก่อนจะเทโจ๊กที่ได้มาเป็นของแถมใส่ชามพร้อมช้อน แล้วยกขึ้นมาพร้อมกับถ้วยตัวเองใส่ลงไปในถาด


....ปลายทางคือห้องๆหนึ่งที่ถัดออกไปจากห้องตัวเองสามห้อง


ผมเคาะประตูเบาๆเพราะกลัวรบกวนคนไข้ห้องอื่น หูของผมได้ยินเสียงย้ำเท่าเบาๆก่อนประตูห้องจะเปิดออก ไอ้เด็กที่บ่นว่าหิวโจ๊กยื่นหน้าออกมาก่อนจะทำสีหน้าแปลกๆใส่ผมแต่คิดว่าคงเป็นในเชิงขอบคุณมากกว่า


“โจ๊กของนาย”


ผมว่า ก่อนจะยื่นชามโจ๊กไปให้อีกฝ่ายก่อนจะเตรียมปิดประตู หากแต่มือเล็กๆกลับรั้งชายเสื้อผมไว้


“กินเป็นเพื่อนผมหน่อย......”


“..................”


“เหงา”


อีกฝ่ายว่าเสียงอ้อน ดวงตากลมสะท้อนความต้องการออกมาชัดเจน ถึงผมจะเป็นคนใจยักษ์ใจมากขนาดไหนแต่ก็แพ้ลูกอ้อนสายตาของอีกฝ่ายอยู่ดี สุดท้ายก็ก้าวเข้าไปในห้องของอีกฝ่ายก่อนจะปิดประตูลง


“คุณหมอเพิ่งย้ายมาเหรอครับ ?”


อีกฝ่ายว่าก่อนจะนั่งลงบนเตียง ผมกวาดตามองรอบๆห้องก่อนจะตอบไปว่า


“ใช่...แล้วทำไมเพิ่งเรียกว่าหมอ...”


“ก็เพราะเพิ่งแน่ใจว่าเป็นหมอ.....สารรูปคุณมัน.....”


ไอ้เด็กนั้นว่าก่อนจะมองผมจรดศีรษะ


“ผมไม่เหมือนหมอ ?”


“มากๆ ...อย่างน้อยๆหมอที่ผมเคยเจอก็ไม่ได้เจาะหูแบบคุณ”


“ผมก็แค่ใส่ไว้เฉยๆ”


“และหมอที่ผมเคยเจอก็ไม่ได้ใส่เสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงยีนส์สีตุ่นๆแน่ๆ ...โอเคนั้นมันสีดำ”


ไอ้เด็กนั้นรีบบอกประโยคหลัง เพราะมองเห็นสายตาค้อนจากผม


“พูดเก่งจังเด็กน้อย อายุเท่าไหร่เนี้ย”


ผมถาม ก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากเงียบๆ


“12....หรือไม่ก็13มั่ง ผมลืมอายุตัวเองไปแล้วล่ะ”


“คนบ้าอะไรลืมอายุตัวเอง”


“คนใกล้ตายครับ....”


“.............”


“คุณหมอล่ะ อายุเท่าไหร่”


อีกฝ่ายถามผมบ้างหลังเห็นผมเงียบไป


“มากกว่าคุณเกินรอบหนึ่งแล้วกัน”


พอไม่รู้จะถามอะไรอีกบรรยากาศในห้องก็เงียบลงไปถนัด ผมนั่งกินโจ๊กเงียบๆแล้วเหม่ออกไปนอกหน้าต่าง น่าแปลกที่เป็นท้องฟ้าผืนเดียวกันแท้ๆแต่พอมองอีกด้านหนึ่งก็กลับเปลี่ยนมุมมองผมไปถนัดตา ผมเหม่อไปพักหนึ่งก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายถาม


“คุณหมอชื่ออะไรครับ ?”


“มีใครเคยบอกนายไหมว่า ก่อนจะถามอะไรใครควรบอกคำตอบของคำถามนั้นๆก่อน”


“โอเคๆ.....ผมชื่อร่าเริง จะเรียกเริงร่าหรือร่าเริงก็ได้ ความหมายเหมือนๆกัน”


ผมขมวดคิ้ว ในหัวนึกถึงข้อมูลที่ได้อ่านจากแฟ้มประวัติ


“วางชามโจ๊กลงเดี่ยวนี้”


ผมสั่งเสียงเรียบ อีกฝ่ายทำหน้างงก่อนจะเหวออกมาเล็กน้อย


“ผมเพิ่งกินไปได้นิดเดี่ยวเองนะ”


“แล้วกินเนื้อหมูไปบ้างรึยัง ?”


ผมว่าเสียงเครียด ก่อนจะวางชามโจ๊กตัวเองไว้บนเก้าอี้แล้วย่างสามขุมเข้าหาไอ้เด็กนี้ จากในประวัติแล้วสิ่งแรกที่ผมต้องระวังคือ
เรื่องอาหารการกิน ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกินอะไรเข้าไปบ้างในวันนี้ และได้รับเพียงพอรึยัง ไอ้ขาดนะไม่เท่าไหร่หรอกครับแต่ถ้ามาก
เกินไปนั้นแหละมันจะเกิดปัญหา


“กินหมูไปกี่ชิ้นแล้ว ?”


ผมถาม อีกฝ่ายทำหน้านึกก่อนจะชูนิ้วชี้สั้นๆให้ผมเห็น


“กินไปหนึ่ง ?”


“เหลือแค่หนึ่ง....จากสี่”


ผมกุมขมับ แทบอยากจะยกมือตบศีรษะเล็กๆนั้นแรงๆสักที่ แต่การทำแบบนั้นอาจจะเป็นอันตรายแก่อีกฝ่ายมากกว่าเดิม


“นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ควรจะกินของแบบนั้น”


“อย่าห้ามผมเลย.......”


“...................”



“ผมจะกินหรือไม่กิน......เดี่ยวก็ตายอยู่ดี”


ร่าเริงพูดเงียบๆ น้ำเสียงที่พูดออกมาไมได้แสดงความรู้สึกยินดียินร้าย ผมถอดหายใจเล็กๆก่อนจะนั่งลงข้างๆ


“ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะไม่ทำแบบนั้น.....”


“..........”


“ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเดี่ยวก็ต้องตายนะ...มันสำหรับพวกขี้แพ้”


“...........”


“ต่อให้รู้ว่าจะต้องตาย แต่ยังไงก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด....”


“วันนี้พี่จะให้เล่ากินก็ได้ แต่ครั้งต่อไปต้องควบคุม...ตกลงนะครับ”


ไม่ทราบทำไมเหมือนกันผมถึงได้เปลี่ยนสรรพนามอีกฝ่าย ร่าเริงพยักหน้านิ่งๆก่อนจะตักโจ๊กในชามเข้าปากต่อ ผมนั่งข้างๆมองน้องมันกินโจ๊กไปพลางสลับกับมองผมไปพลาง


“ผมมีเรื่องจะถาม....”


“ครับคุณหมอ ?”


มันว่า ทั้งๆที่โจ๊กยังเปื้อนปาก


“เรียกว่าพี่ก็ได้...พี่หมอนะ....”


“อ่า...โอเคครับพี่หมอ”


“ทำไมคุณธิดาถึงเรียกคุณว่า ‘ตะวัน’ ล่ะ ?”


ผมยังคงข้องใจกับคำพูดของป้าธิดา จะว่าเป็นชื่อก็ไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กนี้ชื่อร่าเริงทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น


ไอ้ตัวเล็กทำหน้าคิด ดวงตากลมโตมองขึ้นข้างบนก่อนรอยยิ้มบางๆจะคลี่ออกมาให้ผมเห็น...


“ไม่รู้สิครับพี่หมอ...เขาบอกว่าผมอบอุ่นล่ะมั่ง”


รอยยิ้มบางๆส่งมาให้ผม เป็นรอยยิ้มธรรมดาทั่วๆไปที่ผมเคยพบเห็น หากแต่ความต่างของมันคือความรู้สึกที่ส่งผ่านมา ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เกราะน้ำแข็งในใจหวั่นไปแปลกๆ


“พี่หมอครับ ?”


“ว่า”


“ถ้าพี่จะให้ผมเรียกพี่หมอ งั้นพี่ก็อย่าเรียกผมว่าคุณสิครับ”


ร่าเริงกินโจ๊กเสร็จแล้วก่อนจะดันชามไปข้างๆ ดูภายนอกแล้วแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวป่วยหนัก


“ผมถนัดเรียกทุกคนแบบนั้น”


“งั้นก็ยกเว้นผมสิ....”


“................”



“นะ....”


“แล้วจะให้ผมเรียกอะไร ?”


“แบบนี้ก็ไม่เอา ขนาดพี่นิดเขายังแทนตัวเองว่าพี่นิดเลย พี่หมอเรียกตัวเองว่าผมแล้วมันดูห่างเหินอ่า....ส่วนเรียกผมเรียกอะไร
ก็ได้..แหะๆ”


ไอ้เด็กนั้นบอกก่อนจะหัวเราะออกมา เป็นมนต์คลังแปลกๆที่ผมละสายตาออกไม่ได้


“โอเคผมจะ....เฮ้อ....พี่จะแทนตัวเองว่าพี่หมอ และจะเรียกเราว่าร่าเริงดีไหม ?”


“โอเคครับพี่หมอ ยังงั้นแหละ”


“ครับ งั้นกินเสร็จแล้วก็นอนเถอะ พรุ่งนี้สายๆเดี่ยวนี้เขามาตรวจสุขภาพ”


ผมว่า ก่อนจะหยิบชามพลาสติกที่พร่องโจ๊กลงไปเยอะวางไว้บนถาดแล้วเตรียมจะเดินออกไปจากในห้อง


“พี่หมอครับ....”


“...........”


“ขอบคุณนะ”


“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวของเราทั้งนั้น”


ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นไม่ได้หันกลับไปมอง เสียงเล็กๆสดใสดังออกมาเป็นประโยคสุดท้ายก่อนประตูจะปิดลง


“ฝันดีครับ...พี่หมอ”


ผมส่ายหัวให้กับตัวเองเบาๆ จะว่าไปแล้วหลังจากตอนนั้นมาผมเองก็ไม่เคยให้ใครเรียกว่าพี่ และก็ไม่คิดจะเรียกใครโดยใช้คำพูดแบบนั้นอีกมาวันแรกก็ได้น้องชายซะแล้วเรา.....


ผมยกชามพลาสติกไปวางไว้ตรงอ่านล้างมือ ก่อนจะเดินไปนั่งตรงโต๊ะทำงาน แล้วเริ่มต้นตรวจดูเอกสารบางอย่างที่ยังค้างคา ไปๆมาๆก็เกือบตีสี่ พอเห็นว่าได้เวลานอนแล้วก็เอนตัวลงไปกับเบาะก่อนจะหลับตานอนลงไป พร้อมๆกับคำพูดของใครบางคนที่ลอยมา


ฝันดีครับ....


TBC.

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline
Sp.03 _____ตะวัน_____[2]



“รู้สึกยังไงบ้างครับ ?”

ผมถาม หลังเอาสเตทโตสโคปแนบไว้กับหัวใจ ร่าเริงตอนนี้ถอนเสื้อออกจนเหลือเพียงกางเกงผู้ป่วยสีเขียวจางๆหนึ่งตัว ร่าเริงยิ้มจางๆให้ผมก่อนจะสองนิ้วแทนคำตอบ

กิจวัติประจำวันทุกวันที่ต้องทำ คือการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ และจังหวะการเต้น ว่ามีหัวใจห้องไหนไหมที่เสียงเต้นผิดปกติ ซึ่งการตรวจต้องทำเป็นประจำทุกๆ6-12ชม. นอกเหนือจากนั้นตารางกิจวัติประจำวันอย่างอื่นของร่าเริงคือการออกกำลังกายเบาๆเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆตาย

หลังจากนั้นคือการควบคุมปริมาณอาหารและความต้องการของร่างกาย จากข้อมูลที่ผมได้มาจริงๆแล้วร่าเริงจะอายุประมาณสิบสี่ปีในปีนี้ วันเกิดของเด็กนั้นประมาณอีกสองเดือนข้างหน้า....

...นั้นหมายถึงถ้าเขา ‘อยู่ถึง’ นะน่ะ

ผมไม่ใช่พวกหลอกตัวเองหรือโลกสวยจนไม่รู้จักคำว่าความตาย

...หรือจริงๆแล้วผมรู้จักมันดีแล้วต่างหาก

“พี่หมอว่าน ร่าเริงไม่กินผักได้ไหมครับ ?”

เด็กนั้นถาม หลังเห็นอาหารเช้าในวันนี้

“ถ้าพี่บอกว่าไม่ได้ ?”

“ก็...ไม่กินอยู่ดี”

“แล้วงั้นเราจะถามพี่ทำไม ?”

“ก็...ก็ ปกติแล้วคนเป็นหมอต้องห้ามไม่ใช่หรือไง ....แล้วไอ้ชุดพี่นี้มัน”

ร่าเริงว่า ก่อนจะมองผมที่อยู่ในชุดเมื่อคืน หากแต่มีเสื่อกาวน์หมอสวมทับ ทำไมครับผมแต่งตัวได้แย่ตรงไหน ?

“คนเป็นหมอนะห้ามได้หมดนั้นแหละ แต่คนป่วยจะฟังไหม ? ถ้าไม่.... จะห้ามทำไมครับ เราก็ปล่อยให้เขาทำตามใจไปเลย เขาอยากทำอะไรก็เรื่องของเขาไปเลยสิ เกิดพี่ห้ามเราไม่ให้ทานเราอาจจะฟังพี่ก็ได้ แต่ลับหลังก็อาจจะไปกินอย่างอื่นอีก แล้วเกิดเราเป็นอะไรขึ้นมา พี่ในฐานะหมอก็ซวยอีก เพราะงั้นพี่ไม่ห้ามเราหรอก...คิดไว้ตลอดแล้วกัน ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร ผลกระทบมันมีมาเสมอ....ไม่กระทบกับเรา ก็กระทบกับพี่ คนอื่นๆที่รักเขา....”

หลังจากการได้พูดคุยกันเมื่อคืนแล้ว ผมพอจะวิเคราะห์แนวทางในการดูแลรักษาร่าเริงได้ถูกต้อง เด็กคนนี้เป็นเด็กฉลาดและไม่ได้โง่ เพราะงั้นการค่อยๆพูดให้เขาเห็นผลลัพธ์จากสิ่งที่ต้องการ พร้อมทั้งแจงข้อดีข้อเสียให้ฟังจะเป็นการดีกว่าปล่อยหรือบังคับไปเลย

ร่าเริงพยักหน้าเข้าใจ ใบหน้ากลมๆนั้นทำปากจู๋นิดๆแต่ก็ยอมตัดผักเข้าปากอยู่ดี....นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ของผมแหละนะ

หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ร่าเริงเหลือการออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆซึ่งจะทำอยู่ภายในห้อง โอเคมันอาจจะดูเวอร์ๆไปบ้างถ้าจะบอกว่าเด็กที่ยิ้มแฉ่งอยู่นี้คือผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือคนที่กำลังใกล้จะตาย....

....พระเจ้ามักชอบพรากความสวยงามของโลกไปเสมอ

ร่างเล็กๆหมุนตัวตามจังหวะการเต้นในทีวีเกี่ยวกับการออกกำลังกาย  พอเหนื่อยก็นั่งพักกับเตียง ผมมองดูอิริยาบถพวกนั้นต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ทักท้วงหรือห้ามปรามใดๆ การห้ามคนไข้หรือแสดงความเป็นห่วงมากเกินไปจะกลายเป็นการกดดันที่ส่งผลลัพธ์ให้แย่ลงกกว่าเดิม หมออย่างผมมีหน้าที่แค่มองดู ให้คำแนะนำการปฏิบัติตอนที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง หน้าที่ของผมมีเพียงเท่านั้น....

“น้ำครับ...ค่อยๆดื่มนะ”

ผมว่า ก่อนจะส่งแก้วน้ำไปให้ ร่าเริงยิ้มรอบแล้วพยักหน้าขอบคุณผมเบาๆ

“ผมนึกว่าพี่หมอจะว่าผม”

น้องมันบอกยิ้มๆ

“ว่า...ว่าเรื่องอะไรล่ะ ?”

“ก็เรื่องที่ผมออกกำลังกายมากไปไง พี่หมอนิดนะแกบ่นผมประจำนั้นแหละ แถมยังชอบห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายมากเกินจำเป็นแกกลัวผมตา...”

“เขาเป็นห่วงเราไง...”

ผมขึ้นประโยคตัดบท รู้หรอกว่าคำสุดท้ายที่น้องมันจะพูดคืออะไร คนที่พูดคำว่าตายได้มีสองประเภท หนึ่งคือคนที่ยอมรับมันได้จริงๆและสองคือพวกที่ ‘ทำเหมือนว่า’ ตัวเองนั้น ‘ไม่ได้รู้สึกอะไร’กับสิ่งที่กำลังเกิด หากแต่ภายในต่างหากที่เป็นปัญหา ซึ่งดูเหมือนว่าร่าเริงเองก็จะเป็นจำพวกที่สอง....

มีคนมากมายพยายามทำเหมือนว่ามันโอเค ทำเหมือนกับว่าตัวเองยอมรับมันได้แล้ว หากแต่ความตายคือสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ยังหนีไม่พ้น แน่นอนว่าทุกคนหรือแม้กระทั้งตัวผมเอง ทุกคนล้วนกลัวความตาย มนุษย์กลัวทุกสิ่งที่ยังไม่รู้ กระวนกระวาย คิดไปเองจนทำให้ใจเกิดเป็นทุกข์

ยิ่งพยายามบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรมากเท่าไหร่ จิตใจภายในยิ่งบอบช้ำมากขึ้นเท่านั้น.....

“รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงไม่ห้ามเรา......”

“...........”

“เพราะเราคือคนที่ยังไม่ตายยังไงล่ะ.......”

ผมยิ้ม ก่อนจะลูบหัวไอ้ตัวเล็กที่นั่งข้างๆผม   ร่าเริงทำหน้าไม่เข้าใจจนผมต้องเปลี่ยนเป็นคำพูดง่ายๆให้เข้าใจแทน

“เพราะวันนี้เรายังไม่ตาย  ....เพราะเรายังหายใจ....พี่ถึงได้ไม่ห้าม......”

“..............”

“มันคงเป็นอะไรที่งี้เง้ามากๆ ถ้าคนเราสักคนจะหลับไปโดยไม่ตื่นแล้วยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ มีเรื่องที่ไม่สบายใจ ถ้าเป็นพี่ พี่จะใช้ทุกวินาทีที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า ใช้ชีวิตให้คุ้ม ให้เท่าที่เราได้เกิดมาเจอพ่อเจอแม่ที่รักเรา  เจอผู้คนรอบๆ ได้เรียนรู้ถึงสิ่งต่างๆ บางครั้งชีวิตก็ทำให้เราร้อง ชีวิตก็ทำให้เราสุข...แต่ก็นั้นแหละ  เพราะมันคือ ‘ชีวิต’ ยังไงล่ะ.......”

การพูด ‘ข้อเท็จจริง’ ของสิ่งที่กำลังจะเกิด ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นจะต้องพูดตรงๆด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายหมดกำลังใจ หากแต่การพูดข้อเท็จจริงที่ ‘สร้างเสริมกำลังใจ’ สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่คนเป็นหมออย่างพวกผมเลือกที่จะใช้มันเติมพลังให้กับคนไข้

คนเราหนีความตายไม่ได้

แต่เลือกได้ว่าจะตายแบบไหน....

เราไม่รู้ว่าวันไหนที่เราจะตาย

แต่เราทำให้ทุกวันเป็นวันที่เราจะตายตาหลับได้....

“ฮ่าๆ เหรอครับ.. ?”

ร่าเริงหัวเราะเบาะๆก่อนจะมองหน้าผม

“พี่เคยถามผมว่าทำป้าธิดาเคยเรียกผมว่า ‘พระอาทิตย์ ’ แล้วมีใครเคยถามพี่หมอไหมครับว่าทำพี่ ‘เหมือนพระจันทร์’ จังเลย”

“พระจันทร์ ?”

“พี่ไม่ได้อบอุ่นแบบพระอาทิตย์ หรือเป็นมิตรแบบโลก...แต่พี่น่าค้นหาแบบพระจันทร์....”

“ถ้าพี่เป็นผู้หญิง...มุกนี้คือเสียว”

ร่าเริงหัวเราะลั่น ก่อนจะหยุดหัวเราะแล้วนั่งไอ ผมเห็นแบบนั้นเลยลูบหลังปลอบเบาๆก่อนอาการไอจะสงบลง

“เอาน้ำไหม ?”

“ไม่เป็นไรครับ ....แต่ไม่ใช่มุกนะเมื้อกี้”

“...............”

“พี่....น่าค้นหาจริงๆ....”

“................”

“ในชีวิตร่าเริง ตั้งแต่ป่วยจะเจอหมออยู่สองประเภท...หนึ่งคือพวกที่กลัวว่าร่าเริงจะเป็นอะไรไปในความรับผิดชอบของเขา หรือสอง...พวกที่คิดว่าผมต้องตายแน่ๆอยู่แล้วเลยเลือกที่จะไม่ใส่ใจ....แต่พี่เป็นพวกประเภทที่สาม”

ร่าเริงว่า ก่อนจะหลับตาแล้วพิงไหล่ผม

“ไม่ได้ใส่ใจจนเกินพอดีเหมือนกับพยายามให้ผมเห็นว่าเป็นห่วง แต่พยายามไม่แสดงออกว่าใส่ใจแล้วดูแลผม....ผมว่าพี่น่าค้นหาออก”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหน หรือมุมปากยกขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่รู้สึกตัวอีกที่ก็พูดออกไปแล้วว่า

“ก็เราเป็นน้องชายพี่ไง....”

ไม่รู้ทำไมผมที่เป็นคนยิ้มยากกลับยิ้มออกมาได้ง่ายๆ

.....แค่เป็นเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มแปลกๆก็เท่านั้นเอง...

“ครับพี่ชาย...ขออยู่แบบนี้ก่อนนะ”

น้องมันว่า หัวเล็กๆยังคงพิงกับไหล่ผมต่อไป

“ตามสบายครับ...น้องชาย”




:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:





“ไหวไหม ?”

ผมว่า ก่อนจะส่งผ้าเช็ดหน้าผืนบางให้กับร่าเริง

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆตามครรลองของมัน ผมเองก็เป็นหมอประจำอยู่ที่นี้ได้เกือบเดือน ตอนนี้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างเองก็กำลังเข้าที่เข้าทาง ทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว ตั้งแต่รู้ว่าผมจบหมอ พ่อกับแม่เองก็ดีใจมากขึ้น ผมเองก็พยายามที่จะกลับไปเยี่ยมทุกอาทิตย์เท่าที่สะดวก

ท่านคงไม่คิดหรอกว่าไอ้เด็กที่เคยเห็นวิทย์-คณิตเป็นยาขมจะเดินมาได้ไกลขนาดนี้ แม้จะใช้เวลามากกว่าคนอื่นเกือบๆสองปีแต่ก็ยังคงจบออกมาได้ ได้งานที่ดี การงานเองก็ก้าวหน้าไปมาก หรือแม้กระทั้ง....

...ได้คนป่วยที่ดี

“สบายมากครับพี่”

ร่าเริงว่าก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้าจากผม มือบางขาวๆออกสีแดงระเรื่อจากการออกกำลังกาย ใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยเหงื่อไคล้ ร่าเริงเช็ดลวกๆเสร็จก็ส่งคืนกลับมาให้ผม

“อยู่นิ่งๆนะ...”

ผมว่า ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมืออีกข้างรวบผมด้านหน้าของร่าเริงขึ้น

...แล้วค่อยๆเช็ดจนเหงื่อที่เหลืออยู่หมดไป

“ขอบคุณครับ”

ริมฝีปากเล็กๆนั้นว่าก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมา

“รู้สึกปวดหัวใจมั่งไหม ?”

“ไม่เท่าไหร่ครับพี่ แค่เหนื่อยๆเท่านั้นเอง”

ร่าเริงว่า ก่อนจะกดเล่นเครื่องเล่นMP3ในมือแล้วเอนหลังลงไปนอนกับเตียง เสียงเพลงค่อยๆดังขึ้นเบาๆก่อนคนเปิดจะนอนฮัมเพลงตามไปด้วย





ไม่ว่าเจอสิ่งใด เนิ่นนานไปก็แปรเปลี่ยน สักวัน
เคยวิ่งตามความฝัน แต่บางครั้งก็ต้องหยุด แค่นั้น
เมื่อก่อนเคยรัก เคยผูกพัน
แต่มาวันนี้มันเป็นเพียง คนเคยได้รู้จักกัน
วันนี้มีสุขใจ แต่ต่อไปสักวันคง วุ่นวาย
หากความทุกข์ทนจางหาย อาจมองเห็นความสุข อีกครั้ง

จึงทำให้ฉัน ได้เข้าใจ ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไร
ฉันจะก้าวเดินต่อไป

อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำ
ยังมีเรื่องราวที่ดีที่เคยได้จดจำ
เก็บคืนและวันที่ผ่านที่เคยได้ปวดร้าว
ยังมีเรื่องราวที่ดีที่รอให้จดจำ

วันที่ทำผิดไป อาจเจอใครที่เข้าใจ สักคน
ในความมืดมนสับสน อาจเจอคนที่จริงใจ ไม่ยากนัก

จึงทำให้ฉัน ได้มั่นใจ ทุกสิ่งเปลี่ยนผันสักเท่าไร
ฉันจะก้าวเดินต่อไป
ในความมืดมิดยังมีดวงดาว
และแดดยามเช้าพาให้เราก้าวไป

อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำ
ยังมีเรื่องราวที่ดีที่เคยได้จดจำ
เก็บคืนและวันที่ผ่านที่เคยได้ปวดร้าว
ยังมีเรื่องราวที่ดีที่รอให้จดจำ




“พี่เคยมีความฝันไหม ?”

ร่าเริงถามผมเบาๆ ตายังคงหลับลงไป ผมเองก็ค่อยๆเอนหลังลงก่อนจะนอนยกแขนข้างหนึ่งมาปิดดวงตาเอาไว้

“มีสิ...พี่เคยมีความฝัน”

“ฝันว่า ?”

“พี่ฝันว่าอยากจะเดินทางรอบโลกนะ...ไม่สิ เอาแค่ที่ไทยก่อนก็ได้”

“เหรอครับ ...แต่ตอนนี้พี่เป็นหมอนิ”

“ก็ใช่ไง เป็นหมอรักษาเราไง”

ผมรู้สึกเหมือนร่าเริงขยับตัวพลิกมาทางผม ผมเลยลืมตาก่อนจะหันข้างไปหาดวงตากลมโต

“แล้วทำไมถึงมาเป็นหมอล่ะ ? ลุคพี่ไม่ให้เลยเอาจริงๆ”

ร่าเริงถามผมมาแบบนี้เท่าที่เจ้าตัวอยากจะถาม ก็จริงของน้องมันแหละครับ ลุคผมมันเหมือนพวกนักเลงหัวไม้หรือไม่ก็พวกเด็กช่างกลอาชีวะมากกว่าจะเป็นคุณหมอเฉพาะทาง แต่นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมภูมิใจ.....

“เพราะพี่ไม่อยากให้ใครมองพี่แค่ภายนอกไง...”

“ยังไงครับ ?”

ปากเล็กๆถาม ก่อนนิ้วชี้จะไล่อักษรตามลายสกรีนเสื่อผม

“พี่อยากให้ทุกคนได้เห็น ไม่ว่าข้างนอกพี่จะเป็นยังไง แต่พี่ก็ยังเป็นคนๆหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้ พี่อาจจะเจาะหู พี่อาจจะแต่งตัวเน่าๆ แต่พี่ก็มีความรับผิดชอบมากพอจะดูแลคนๆหนึ่งได้ในฐานะคนป่วย...และน้องชายของพี่ ได้ดีเท่าที่พี่หรือหมอคนหนึ่งจะทำได้”

“แล้วทำไมพี่ถึงยังไม่มีแฟนอ๊ะ... ?”

“.............”

ดวงตากลมโตสนิทยังคงจ้องมองผม

จะตอบยังไงดีล่ะ....

“พี่แค่ยังไม่เจอคนที่ใช่นะ”

“แล้วคนที่ใช่นี้...แบบไหนล่ะครับ ?”

ร่าเริงยังถามต่อ นิ้วเล็กๆยังเขี่ยไปมาบนเสื้อของผม

“อื้ม....ก็แบบ เด็กกว่าพี่หน่อย มีเหตุผลนิดๆ ไม่ขี้งอน ไม่ขี้งอแง ที่สำคัญต้องกินผัก”

“ทำไมต้องกินผัก ?”

ไม่รู้เพราะอะไร ผมรู้สึกเสียงน้องมันหม่นๆชอบกล...หรือไม่ผมก็คงคิดไปเอง

“ก็คนกินผักเป็นคนที่รักสุขภาพ...แล้วคนที่รักสุขภาพ ก็น่าจะรักพี่ไง.....”

ผมไม่แน่ใจนักหรอกว่าทำไมตัวเองถึงตอบไปแบบนั้น อาจจะเพราะอยากรู้อะไรบางอย่าง หรือไม่อย่างงั้นไอ้อาการที่หัวใจมันเต้นแรงแปลกๆนี้ ก็เพราะว่าผม ‘คาดหวัง’ อะไรอยู่บ้างรึเปล่านะ ?

ร่าเริงเงียบไปสักพัก...ไม่สิ ไม่ใช่แค่ร่าเริงหรอก ผมเองก็เงียบไปเหมือนกัน ก่อนน้องมันจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าแล้วพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

“แล้วถ้าร่าเริงกินผักล่ะ ?”

ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองใจเต้นแรกมาก มากจนกลัวว่าคนข้างในผ้าห่มจะจับได้ ร่างกายเหมือนไม่ยอมรับฟังคำสั่งรู้แค่ว่าลำตัวขยับไปด้านหน้าก่อนริมฝีปากจะกดทับลงไปกับผ้าห่มตรงบริเวณหน้าผาก


“พี่ก็คงจะรักเราแหละครับ......”



TBC.

ออฟไลน์ ๐แตกต่างเติมเต็ม๐

  • "ผมไม่ได้แค่รัก แต่ยังศรัทธาใน'เรา' #ก้องเกียรติ์
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
    • https://www.facebook.com/PokpongGonggend/timeline

“หนึ่ง...สอง...หนึ่ง...สอง”

เสียงเล็กๆนับจังหวะการเต้นดังขึ้น ก่อนจะหมุนตัวเบาๆไปมาตามเสียงเพลงที่เปิดคลอ เหงือเม็ดเล็กเม็กน้อยไหลแทบจะทุกส่วนของร่างกาย

“ค่อยๆก็ได้นะร่าเริง เดี่ยวจะแย่เอา”

ผมดุเบาๆ ก่อนจะเหล่ตาอ่านหนังสือในมือต่อ

‘ความรักต่างวัย ของเราสองคน’

.....หนังสือบ้าอะไรว่ะ ? แล้วนี้ผมอ่านทำไม ?

“อ่านๆไปเหอะครับ”

เจ้าของหนังสือส่งเสียงว่ามาแบบไม่มองหน้าผม แขนเล็กๆชูขึ้นลงก่อนจะหมุนไปมาอีกรอบ ผมส่ายหน้าเบาให้กับความทะเล้นของน้องมันแล้วอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อไป

โอเค ผมกินเด็ก

ไม่ดิ ว่าแบบนั้นไมได้นะครับ ผมยังไม่ได้ ‘กิน’

….หรือจริงๆแล้วผมไม่มีวันได้กินหรืออะไรทั้งนั้นต่างหาก.....

มันเป็นไปไม่ได้

เป็นไปไม่ได้จริงๆ......

ผมนั้งนิ่งเงียบ สายตาจ้องหนังสือแต่ไม่ได้อ่าน สมองคิดไปไกลถึงเรื่องอื่น นานมากแล้วที่ผมไม่รู้สึก ‘หวิว’ โดยไม่สามารถหาเหตุ
ผลประกอบหรืออธิบายเป็นคำพูดได้ ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าตัวเองควรหาคำตอบหรือกระทั้ง ‘ข้ออ้าง’ ไม่ให้ตัวเองรู้สึกหนึบๆที่หัวใจได้ยังไง มันไม่ได้ปวด ไม่ได้เจ็บ มันแค่รู้สึกเคว้างไปหมด เหมือนๆอากาศในปอดของผมมันหายไปก็เท่านั้น

“คิดอะไรอยู่ครับพี่หมอ”

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองนิ่งไปนานไหม แต่ก็คงนานมากพอที่จะให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้วหันมาหาผมแทน ผมยิ้มรับคำถามนั้นแล้วส่าย
หน้าน้อยๆแทน ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเลี่ยงที่จะพูดสาเหตุที่ทำให้ ‘เคว้ง’ ได้ขนาดนี้

“ไม่เอาสิครับ....ไม่เอานะ”

“..................”

“ผมแค่ตายนะ....ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อ.....”

ผมไม่รู้ว่าทำไม หรือเพราะอะไร แต่ก่อนที่ร่าเริงจะได้พูดประโยคนั้นจบ ผมหยุดมันด้วยการดึงร่างเล็กๆนั้นเข้ามากอดแนบชิดกับ
ตัว ไม่กี่ครั้งที่ผมจะรู้สึกอะไรแบบนี้

“......อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”

“ไม่เอาแล้วนะ....”

“ไม่ลากันนะ.....”

มือเล็กๆนั้นจับหัวผมดึงขึ้นมา ก่อนจะจับแก้มผมไว้แล้วดึงเบาๆแล้วหัวเราะออกมา

“พูดแบบนี้มากๆนี้แหละ ผมจะได้ไปก่อนเวลา ฮ่าๆๆ พี่หมอบ้า ทำไมชอบทำให้ผมเขินว่ะ”

...กูไม่ได้อยากทำให้มึงเขิน

เมื่อกี้นี้ซีนเครียด อีหอย...มึงช่วยมีอารมณ์ไปกับกูสักสองนาทีได้ไหมล่ะ.....

ผมส่ายหน้าเบาๆให้กับตัวเอง จะว่าไปแล้วก็กลับกลายเป็นผมเองนั้นแหละ

....ที่กลัวว่าตัวเองจะต้องสูญเสียไป

‘จุ๊บ’

ริมฝีปากบางเบาประทับลงที่แก้มหยาบๆของผม ผมหันขวับตามความรู้สึกอุ่นๆก่อนจะมองน้องมันตากว้าง

“เด็กบ้า อยากโดนพี่จับกินรึไง !!!”

ผมว่าก่อนจะเอาข้อศอกยกขึ้นไปขยี้หัวน้องมันเล่น เจ้าตัวหัวเราะร่วนกลบเกลื่อนสิ่งที่ทำลงไป แต่ทั้งผมทั้งน้องมันก็รู้ดีทั้งนั้นแหละ ว่าไอ้เสียงหัวใจเต้นแรงๆที่ดังออกมาจากหน้าอกข้างซ้ายของคนสองคนนี้มันคืออะไร

“ตัวแค่นี้ กล้าจริงนะเรา”

ผมเอ็ดมันเบาๆหลังทำโทษด้วยข้อศอกเสร็จ(?)ก่อนปลายจมูกจะก้มลงไปดมกลิ่นตุ้ยๆบนหัวน้องมัน

“ก็ทำทุกอย่างที่อยากทำ ก็กลัวไม่ได้ทำไงถึงได้กล้าทำ”

เป็นอีกครั้งที่ผมถอนหายใจ ก่อนจะจับหน้าน้องมันนิ่งๆ

“สัญญาว่าจะรักษาสัญญา”

ผมว่า

“สัญญาเช่นกันครับว่าจะรักษาสัญญา”

เจ้าตัวเล็กของผมว่า ก่อนมันจะหันมานอนซบอกผม เหมือนๆที่ชอบทำประจำในระยะหลังๆ....

....จริงๆต้องบอกว่าหลังจากวันนั้น

เปล่าครับ

ไม่ได้เป็นแฟน

ไม่ได้อะไรทั้งนั้นเลย

ในความรู้สึก แค่ผมเหมือนกับเข้าใจความต้องการ ความนึกคิด ความรู้สึกของอีกฝ่าย แล้วอีกฝ่ายเหมือนผมทุกอย่าง อารมณ์มัน
ประมาณนั้นล่ะมั้งครับ ว่าๆง่ายๆดีลกันตรงตัว...เล่นเอาผมหมดสภาพหมอโหดเลยจริงๆครับ แต่พอเป็นแบบนี้ก็ดีขึ้นนะครับ ดูแลได้ง่ายขึ้น พูดจากันผมก็รู้สึกว่ามันสนิทสนมมากขึ้น หลังจากวันนั้นแล้วทั้งผมแล้วน้องมันก็ผูกใจไว้ด้วยข้อ ‘สัญญา’

ผมขอให้ร่าเริง สัญญากับผมว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อ ‘ตัวเอง’ ส่วนน้องมันขอผมไว้ว่า....

‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าผมจะอยู่หรือไป .....พี่หมอต้องเดินหน้าต่อไป ห้ามยึดติดกับผมนะครับ’

เสียงเล็กๆบอกผมแบบนั้น ร่าเริงไม่ได้พูดในเชิงหลงตัวเองเลย เขาก็แค่พูดออกมาจากความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง จริงๆแล้วผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องมันจะเข้าใจไหมว่าคำว่ารักมันหมายความลึกซึ้งขนาดไหน และผมยิ่งไม่เข้าใจไปมากกว่าว่าทำไมตัวเองถึงได้ ‘รู้สึก’ เข้าจนได้

ทั้งๆที่ผ่านมาในชีวิตก็ผ่านอะไรมาเยอะ มาเยอะจนผมไม่คิดว่าตัวเองจะเลือกใครสักคนแล้วหยุด มีคนบอกว่าผมมัน ‘หยุดไม่เป็น’ อาจจะเพราะนิสัยกินไม่เลือกของผมล่ะมั้ง หรือไม่งั้นผมก็อาจจะแค่ไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ เอาตรงๆผมก็บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นร่าเริง

แต่เขาสอนผม....

สอนผมให้เข้าใจว่า...บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันมีเหตุผลของมัน แต่เราไม่จำเป็นต้องรับรู้ถึงเหตุผลนั้นๆนิครับ เราก็ปล่อยเหตุผลนั้นให้ไปเป็นตามเรื่องตามราวของมัน ทำใจให้ว่าง เปิดรับความสุขเท่าที่จะมีขึ้นมาได้ อีกอย่างหนึ่งผมเองก็ไม่ได้ดูแลน้องมันตลอดเวลาหรอกนะครับ เพราะคนไข้คนอื่นๆก็เยอะ นอกจากช่วงตรวจสุขภาพประจำวันแล้วกว่าจะได้เจอก็หลังจากผมออกเวร แต่ถ้าวันไหนมีก็อาจจะไม่ได้เจอกันเลยด้วยซ้ำ ร่าเริงไม่เคยเร่งรัดผม ไม่เคยร้องขออะไรที่มากไปกว่าความสุขของเด็กทั่วไปคนหนึ่ง และตลอดเวลาน้องเองก็ยังเป็นคนที่ทุกคนรัก เป็น ‘พระอาทิตย์’ ดวงน้อยที่แสนจะอบอุ่น

เพื่อพระจันทร์แบบผมกระมั้ง....

ผมค่อยๆขยับตัวเองออกจากเตียงเบาๆหลังจากมองนาฬิกาแขวนผนัง ตอนนี้ถึงเวลาเข้าเวรของผมแล้ว ผมประครองศีรษะของร่าเริงวางไว้บนหมอนหนุนใบเล็ก ก่อนผมจะปรับแอร์ขึ้นแล้วห่มผ้าห่มให้น้องมันดีๆ ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือรอยยิ้มของน้องมันที่ยิ้มออกมา

หากมีพรสักข้อให้ผมขอผมก็อยากจะขอ

ขอแค่นานกว่านี้

สักหนึ่งปี

หนึ่งเดือน

หนึ่งวัน

หรือแม้กระทั้งหนึ่งวินาทีก็ตามแต่


......หากแต่ระยะเวลาที่ผมจะได้สัมผัสและอยู่กับเด็กคนนี้มันยืดยาวมากขึ้น

ผมก็ยอม.....

ผมขอแค่นั้นจริงๆ.....




   ...


วันนี้ทั้งวันผมขึ้นวอร์ดและผลัดเวรกับหมอศัลย์เฉพาะทางอีกสองคน เล่นเอาเหนื่อยแทบตายไปเลย พอพี่หมออีกคนลาหยุดงาน แต่ก็นั้นแหละครับใช่ว่าอาชีพเราๆจะลากันได้บ่อยแค่ไหน มีแค่ไม่กีโอกาสเท่านั้นแหละครับเราถึงจะได้หยุดพักกันจริงๆเห็นแก่ว่าพี่แกเพิ่งพีเวดดิ้งหรอกนะ ผมกับหมออีกสองท่านเลยไม่ได้ว่าอะไร แต่รวมๆวันนี้ทั้งวันผมยุ่งจนไม่ได้ไปหาร่าเริงเลย ได้ยินแค่แว่วๆว่าน้องปลื้มกับเพื่อนมาหาก็เท่านั้น

ร่าเริงเคยเล่าให้ฟังว่าเขามีพี่ชายที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันคนหนึ่งคือน้องปลื้ม เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นๆ ม.ปลายครับ  หน้าตาน่ารักออกแนวเด็กเรียนๆหน่อยก็เท่านั้นเอง แต่น้องน่ารักครับ ผมเห็นมาเยี่ยมเจ้าร่าเริงประจำ บางวันก็แบกกีต้าร์มาดีดมาร้องเล่นกันในห้อง

ผมถอดเสื่อกราวน์ออกก่อนจะเดินตัวปลิวขึ้นในบนตึกผู้ป่วยใน พอเดินออกมาจากลิฟธ์ผมก็เดินต่อไปที่ห้องริมระเบียง เอาจริงๆนอนในห้องกับน้องมันบ่อยกว่ากลับหอพักตัวเองอีกด้วยซ้ำไป....

แต่ที่ผมแปลกใจวันนี้คือท่าทางของร่าเริงมากกว่า....

ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อนจะเห็นน้องมันนั้งนิ่งๆ แต่สายตาสองข้างมองออกไปนอกหน้าตา...

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ?”

อธิบายไม่ถูก แต่รู้ว่าน้องมันโอเคมากขึ้นร่าเริงหันมายิ้มหน่อยให้กับผมก่อนจะยกมือขึ้นมาสองข้าง

“พี่หมอ....”

“.........”

“วันนี้ผมไปเดินสวนมา....”

ผมตกใจนิดหน่อยแต่ก็พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้ตื่นตกใจจนร่าเริงกลัว(เพราะมันจะส่งผลกระทบกับจิตใจน้อง) ร่าเริงยิ้มก่อนจะเล่าต่อ

“พี่ปลื้มพี่เกียร์พาไปนะครับ”

ชื่อแปลกๆที่ผมไม่รู้จักชื่อหนึ่งถูกพูดขึ้นมา ก่อนน้องมันจะเล่าต่อ

“วันนี้พี่ปลื้มมาเยี่ยมผม แล้วก็แฟนพี่ปลื้มอิอิ น่ารักมากเลยครับพี่หมอ”

“เหรอครับ ? แล้วไปเดินมาเป็นไงมั้งตัวเล็ก”

“ก็ดีครับ...อากาศสบายดี”

“..........”

“..........”

“วันนี้ร่าเริงได้คำตอบแล้วนะ”

“คำตอบ ?”

ผมว่าก่อนจะนั้งลงข้างๆน้องมัน สายตาของผมก็ทอดยาวมองออกไปนอกหน้าตาด้วยเช่นเดียวกัน วันนี้ด้านนอกเมฆปลอดโปร่ง อากาศเย็นสบายจนผมรู้สึกหายเหนื่อยไปบ้าง

“คำตอบ ที่เอาจริงๆร่าเริงก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แค่รู้สึกว่าตัวเอง ‘ปลดอะไรหนักๆ’ สักอย่างลงไป....”

ผมไม่ขัดน้อง ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี หัวเล็กๆเอนลงมาซบกับแขนของผมก่อนจะพูดต่อ

“ได้เข้าใจแล้วจริงๆ ว่าการที่ใครสักคนที่เขาอยู่เพื่อเรา มันดีแค่ไหน....”

“............”

“ผมไม่เหมือนเด็กคนอื่น...และไม่มีวันเหมือนด้วยพี่หมอ ผมเป็นเด็กที่ขาด ผมขาดทุกอย่างเลย กระทั้งในเวลาที่มีคนเดินเข้ามาเติม ‘ความรัก’ ให้กับผม ทำให้ผมยิ้มออกมาได้แม้มันจะบ้าบอขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนเดิม พระเจ้าก็ยังอยากจะพราก
ผมไปอยู่ดี....”

“............”

“สองสามวันมานี้....ผมเหนื่อยจนไม่อยากขยับ แต่ถ้าไม่ขยับผมคงไม่มีอะไรค้างคามากพอจะ ‘อยู่ต่อ’....เมื่อก่อนผมไม่เคยเรียกร้องการมีชีวิตเลย ผมไม่เคยคิดว่าทำไมวันพรุ่งนี้ผมถึงอยากจะเห็นแสงตะวัน แต่ผมรู้แล้วล่ะ ว่ามันมีค่าขนาดไหน การได้มองเห็นคนที่เรารักเต็มๆตา”

ร่าเริงกำลังจะขยับตัวลุกขึ้น

...ก่อนร่างทั้งร่างจะทรุดลงไปกับพื้น ผมใจหายรีบลงไปประครองร่างน้องมัน ร่าเริงสูดลมหายใจแรงขึ้นก่อนจะพูดต่อ เพียงแค่ลมหายใจเริ่มขาดช่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้ ผมเข้าใจว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น
....ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่กลั่นน้ำตาไว้ ไม่ให้มันไหลออกมา

“ผม...รั..กพี่หมอ...นะครับ”

“ไม่ต้อง...พูดอะไรแล้วครับ”

ผมจับนอนมันเอนตัวลงที่นอน ร่าเริงพยายามยิ้มออกมาให้ผมสบายใจ สองมือเล็กๆยกขึ้นมือเหมือนๆอยากจะซับน้ำตาผมเอาไว้

“พี่หมอ..อย่า...ร้อง..นะครับ”

คำพูดที่เริ่มเหนื่อยอ่อนดังออกมา ผมพยักหน้ารับก่อนจะประครองน้องขึ้นไปนอนบนเตียง มือข้างหนึ่งกุมมือเล็กๆอุ่นๆนั้นไว้แน่นๆ ก่อนจะบอกเบาให้ร่าเริงนอนหลับลงไป ร่าเริงพยักหน้า หยดน้ำตาใสๆไหลออกมาก่อนจะหลับลงไป
อย่าเพิ่งได้ไหม....

ขอแค่ไม่ใช่ตอนนี้

ขอเวลาต่ออีกสักหน่อยได้ไหม

ให้ผมได้รักเขามากกว่านี้เถอะครับ....พระเจ้า

.........................................................................


“คุณหมอพักบ้างนะค่ะ”

ป้าพยาบาลพูดขึ้นมาเบาๆหลังจากเห็นสภาพของผม

สภาพของซอมบี้ที่ไม่กินไม่นอนไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป......

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหว”

ผมว่า.... ก่อนจะพยายามลากสังขารตัวเองกลับเข้าไปในห้องน้องมันอีก

ตั้งแต่วันนั้นร่าเริงเองก็ยังหายใจอยู่ เพียงแค่ขนาดระยะเวลาต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ...กันภาวะสมองตาย ผมยกมือสองข้างขึ้นมาถูใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะทำสิ่งที่ทำทุกครั้งหลังเลิกงาน ผมลากเก้าอี้มาก่อนจะนั้งกุมมือแล้วเล่าเรื่องราวหลายๆอย่างให้ฟัง
....คนที่นอนอยู่คงไม่มีสติมากพอที่จะรับรู้เรื่องราวของผม

แต่ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำยังไง

ผมแค่อยากใช้ทุกช่วงเวลาสุดท้ายของ ‘ชีวิต’ ให้คุ้มค่า เขาคงไม่อาจจะรับรู้ได้อีกแล้วว่าผมเป็นห่วง ผมรักเขา ผมอยากดูแล ผมอยากใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา แต่มันไม่มีอีกแล้ว ....

...มันไม่มีอีกแล้วจริงๆ

นาฬิกาทรายชีวิตที่นับถอยหลังอยู่ตอนนี้บีบคั่นหัวใจผมแทบจะตลอดเวลา ทุกๆครั้งทั้งตื่นและหลับ ผมปล่อยวางไม่ได้ ผมไม่สามารถจะปล่อยวางได้จริงๆ ผมสะดุ้งทุกครั้งที่เหมือนได้ยินเสียงชีพจรดับลงไป หลายๆวันมานี้เองทั้งแม่และพ่อของร่าเริงก็มาหาน้องบ่อยๆ สีหน้า แววตาของทั้งคู่ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากผม

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาทุกครั้งจนกระทั้งครั้งนี้

มันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ผมอยากจะขอเหลือเกิน ขอให้ระยะเวลามันยาวนานมากกว่านี้

ขอให้ไม่จากกันแบบนี้จะได้ไหม....

...ผมยังไม่ได้บอกรักเขาเลยนะ

“รู้ไหมเด็กดื้อ เรานอนไปแล้วไม่ยอมตื่นมายิ้มให้พี่หลายวันแล้วนะ”

ผมพูดติดตลก น้ำตาไหลออกมาทุกครั้งที่มานั้งกุมมือกัน

“เมื่อไหร่จะลุกขึ้นมาครับ...พักนานเกินไปแล้วนะ”

“แล้วไหนบอกไงว่าไม่อยากให้พี่เหงา...รู้ไหม พี่แทบไม่ได้กินไม่ได้นอนเลยนะ”

ผมพูดต่อไปเรื่อยๆ คอมันแห้งและฟืดไปหมด แต่เสียงผมยังพูดต่อไปไม่หยุด มือเล็กๆนั้นเองก็ยังอุ่นเหมือนเดิม ร่าเริงเหมือนคนที่นอนหลับไป ใบหน้าเล็กๆนั้นเหมือนจะยิ้มตลอดเวลา มันยังอบอุ่นเสมอไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหน จนกระทั้งผมรู้สึกได้ถึงใครบางคนที่มายืนข้างๆ

“แม่ ......สวัสดีครับ”

ผมยกมือไหว้แม่น้องร่าเริงกับคุณพ่อ

จริงๆแล้วผมไม่ได้บอกเล่าอะไรระหว่างผมกับร่าเริงออกไป แต่ท่านทั้งสองเองก็คงอาจจะพอเข้าใจหรือไม่ก็รับรู้และยอมรับมัน...

แม่น้องร่าเริงพยักหน้ารับไหว้ ก่อนจะกัดปาก เงียบไปสักพักแล้วพูดออกมา

“แม่กับพ่อ....... คิดมาได้สักพักแล้วล่ะ”

“เรื่องนั้นใช่ไหมครับ ?”

แม่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลออกมา

“ตอนนี้น้องเองก็เหมือนตายทั้งเป็น แม่ไม่อยากยื้อน้องไว้ทรมานอีกแล้ว....”

ผมยิ้มรับทั้งน้ำตา พยักหน้ายอมรับการตัดสินใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ในฐานะแพทย์เจ้าของคนไข้แล้วหน้าที่ของผมคือการพยายามรักษาน้องไว้ให้ได้นานที่สุด ตรงนั้นคือหน้าที่ ตรงนี้คือหัวใจ และตอนนี้เวลาของผมเองก็คงจะเดินมาถึงเลขศูนย์แล้ว

“ถอดเครื่องช่วยหายใจให้น้องเถอะครับ...เขาคงอึดอัดและทรมาน”

“มันคงถึงเวลาที่เราต้องให้น้องเขาไปแล้วล่ะ....”

ผมหูอื้อ ตาลายไปหมดแต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะยกแขนเสื้อมาเช็ดหน้าเช็ดตาลวกๆ แล้วเดินออกไปเอาเอกสาร ทุกอย่างมันอื้อ
ไปหมด มันทรมานไปทั้งตัวและหัวใจ ผมเดินไปหยิบใบเรซูเมนพร้อมใบรีมาร์คสีขาวออกมาจากห้องส่วนตัว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของน้องร่าเริงพร้อมจม.อีกหนึ่งฉบับเป็นจดหมายสั้งเสียที่ร่าเริงให้ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ ผมเหลือหน้าที่สุดท้ายที่
ค้างคาคือการส่งต่อจม.นั้น.....

......และเอาเครื่องช่วยหายใจออก

“รบกวน...เซ็นตรงนี้ด้วยครับ”

มือของผมมันสั่นไปหมด ผมถือใบเรซูเมนแทบหล่นด้วยซ้ำ ร่างกายปฏิเสธความจริงตรงหน้าทุกๆอย่าง  คุณแม่รับมันไปก่อนจะ
จับมือกับคนเป็นพ่อปลายปากกาน้ำหมึกสีน้ำเงินเข้มกรอกลงไปช้าๆ น้ำตาของผมยังไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง ผมเม้มปากแน่นสนิท รับใบรีมาร์คมาก่อนจะพยักหน้าช้าๆให้กับทั้งสองคน

“รับทราบคำสั้งสุดท้าย...หมอจะถอดเครื่องช่วยหายใจให้กับผู้ป่วยนะครับ”

คนเป็นแม่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา ทั้งสองคนยืนนิ่งเงียบไม่ได้ออกไปรอด้านนอก ผมพยักหน้าซ้ำอีกครั้งมือสองข้างไล่น้ำตาที่ติดค้าง ก่อนจะค่อยๆถอดเครื่องช่วยหายใจน้องออก เข็มฉีดยาเล็กๆค่อยๆบรรจงฉีดลงไปให้เบาแรงที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เสียงชีพจรที่เหมือนจะเป็นเสียงที่ดังที่สุดในห้อง ค่อยๆกระพริบดังขึ้นเรื่อยๆ....

....และค่อยๆดับลงไป

ผมยืนมองใบหน้าของน้องมันอีกครั้ง

ร่าเริงก็แค่หลับไป

เพียงแค่การหลับครั้งนี้มันยาวนานกว่าครั้งไหนๆ ยาวนานมากซะจนผมนึกหวาดหวั่นในหัวใจ ผมก้มลงปัดแก้มทั้งสองข้างของน้องมันอย่างเบามือ ก่อนจะจัดผมให้เข้าที่เข้าทาง แม้ไม่ได้ตั้งใจแต่น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลงไปเปื้อนแก้มเล็กๆนั้น นิ้วหยาบกระด้างของผมเช็ดมันออก ก่อนเสียงที่อุดตันในลำคอจะพูดออกมา

“พี่ไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรืออะไรทั้งนั้น....”

“แต่ถ้ามันมีจริงๆ.....”

“พี่ขอให้พี่ได้เจอเราอีกนะครับ...”

“พี่รักเราเหมือนกันนะครับ ร่าเริง....”

จบคำพูดของผมเอง เหมือนน้ำตาที่กลั่นไว้มันพรันพรูออกมา ผมยืนร้องไห้ข้างๆร่างที่ไม่ได้สติก่อนประตูห้องจะถูกเปิดอย่าง
เบามือ เสียงเล็กๆที่ผมจำได้ดังเข้ามาด้านใน

“ร่าเริง พี่มาเยี่ย...”

เสียงน้องปลื้มหยุดชะงักไป แต่ผมไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ตาทั้งสองข้างของผมปนไปด้วยน้ำตาจนมองข้างหน้าแทบไม่เห็นอะไร

“อาเปรม ส...วัสดีครับ....”

 “ป้อง.....”

“.........”

“น้องไปสบายแล้วนะ”

แม่น้องร่าเริงพูดออกมา น้องปลื้มชะงักไป ก่อนน้องอีกคนจะดึงตัวเข้าไปกอด ผมพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลแล้วบังคับให้ตัวเองเดินไปทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง

 “ร่าเริงฝากไว้ให้พวกนาย เขากำชับว่าอยากให้พวกนายสองคนอ่าน”

ผมส่งจดหมายยื่นให้น้องผู้ชายคนนั้นไปเขารับมันไว้แล้วพาน้องปลื้มออกไปนอกห้อง ก่อนผมจะพาตัวเองจะเดินกลับไปที่เดิม นี้อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจริงๆที่ผมเกลียดพระเจ้า
ผมร้องไม่ออกแล้ว ผมไม่เหลือน้ำตาหรืออะไรอีกแล้ว มันจุกไปหมด

.....มันก็แค่อยากจะพูดออกไป

“พี่จะมีชีวิตต่อไป เพื่อที่สักวัน...เราอาจจะได้เจอกันอีกครั้งนะครับ”

ผมยกมือเล็กๆนั้นมาจูบซับเอาไว้ ร่างที่ไร้ลมหายใจยังคงเหมือนแค่นิทราไป...

....ก่อนที่ผมจะยอมปล่อยมือข้างนั้นไปตลอดกาล

.....ชีวิตคนจริงๆบางครั้งมันก็ไม่มีคำว่าครั้งที่สอง หรือเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มันอาจจะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป หรือจริงๆแล้วเราทุกคนก็แค่กำลังนับถอยหลังกัน ไม่ว่าจะผม พ่อ แม่ หรือใครก็ตาม มนุษย์ก็แค่สิ่งมีชีวิตที่กำลังนับถอยหลังรอเวลา ตั้งแต่เกิดทุกคนเองก็มีเวลาไม่เท่ากันแล้ว

มันไม่เหมือนในนิยาย มันไม่มีเวลามากพอให้กระทั้งผมได้พูดออกไป

มันจบแล้วจริงๆ.......





...................................................................................................



หกปีต่อมา.....
กรุงเทพมหานคร



‘ผม’
ยืนอัดนิโคตินเข้าปอดก่อนจะปล่อยใจไปกับสายลม วันนี้อากาศค่อนข้างดี ไม่ร้อนอย่างที่ควรจะเป็นในเดือนเมษาทุกๆปี สำหรับผมแล้วถือว่ามันดีไม่น้อย วันนี้ผมออกเวรตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ อาจจะเพราะว่างมากเกินไปหรือไม่ผมก็ไม่มีที่ไป สุดท้ายเตร็ดเตร่ไปมาก็มาเดินอยู่แถวริมน้ำเจ้าพระยา แสงสีทองอร่ามสะท้อนกับผิวน้ำมันล่ะเหลื่อม สีทองสวยดีครับ

ผมยืนสูบบุหรี่อีกม้วนใจผมก็ยังล่องลอยไปถึงคนที่เมื่อเช้าเพิ่งทำใส่บาตรไปให้ ขนมในนั้นจะพอไหมนะ ? แล้วน้องมันจะชอบแบบที่ผมชอบรึเปล่า แล้วบนนั้นจะเป็นยังไง ? น้องมันจะรับรู้ได้ไหมว่าผมยังคิดถึงมันอยู่ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา

....แล้วทำไมบุหรี่ผมดับว่ะ ?

ผมเพิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองจะยกนิโคตินขึ้นมาอัดแล้วพบว่าปลายบุหรี่ที่เคยมีไฟบัดนี้กับเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเปล่า

“นี้คุณ ไม่รู้หรือยังไงว่ะตรงนี้ห้ามสูบบุหรี่ ?”

เสียงแตกเนื้อหนุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆผม ก่อนผมจะหันไปเห็นขวดน้ำในมือที่เพิ่งเปิดฝาออก ถ้าให้เดาก็ไอ้คนนี้แหละที่มันดับบุหรี่ผม

“ผมไม่รู..........”

คำพูดคำสุดท้ายของผมหยุดอยู่ที่ลำคอ...หลังกลับไปมองหน้าโจยท์ของตัวผมเองชัดๆ....

“งั้นก็รู้ไว้ด้วยนะครับ ว่าถ้าอยากจะสูบควันพิษนี้ก็อย่าเพื่อแผ่ใคร เขาไม่ได้ต้องการอยากจะตายไวแบบคุณ !!!”
‘เขา’ ว่าก่อนจะเดินถือกระเป๋าเคียงผ่านผมไป ผมชะงักไปหลายนาทีก่อนจะรีบหันกลับไปมองตาม ร่างในชุดนิสิตที่จงใจเดิน
เบียดกระแทกผมไป

เดี้ยวนะ...

เมื่อกี้นี้

........ร่าเริง ?!?!!

กว่าจะรู้ตัวอีกที่ ผมก็เดินตามร่างนั้นไปแล้ว....



THE END.
[/b][/u]

ขอบคุณทุกการติดต่อในที่ชุดก็มาลงซีรีย์น้องร่าเริงจบจนได้ ถ้าหมายถึง ‘น้องร่าเริง’ จบจริงๆนะครับ....
...แต่ไม่ใช่พี่หมอนะที่จบ

Ps. กำลังทำการกู้อีเมลล์หลักนะครับ T T โดนพรบ.คอมไปรอบหนึ่งครับ รบกวนช่วยสับต่างเป็นหมื่นๆชิ้นซะนะครับ ฮื้อออออ ทำไมเป็นคนแบบนี้


         





ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ขออนุญาติดับฝันคุณหมอนิดนึงนะ //โดนตบ
หกปีผ่านไป ร่าเริงคงเกิดได้เป็นเพียงเด็กประถม
ที่คุณหมอเจอคงไม่ใช่น้องแล้วล่ะ

รอตอนต่อปายยยยยยยยยยยยยยยยย

ปอลิง: ที่หายไปนานคือเมล์หายเหรอ????

ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
 :mew1:

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
นัดบอร์ดกับสาวคอนแว่นโรงเรียนฝั่งตรงข้าม(ใครใเนี้ยช้ให้ผมติดชายล้วนล๊ะ?หึหึ)
นัดบอด Blind date
เนี่ย
ล่ะ
สะกดผิดเพียบ แค่ย่อหน้าเดียวนะเนี่ย

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
                                               การ์บ้าน ประติกิริยา  เบ๊ปาก เห้ย  ขี้เกลียด
เขียนแบบนี้ตั้งใจเอาฮาใช่มั้ย ตอบ!!!

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13


“กูขาเจ็บ แต่มือยังโอเคอยู่ งั้นเดี่ยวกูประครองรถ มึงเป็นคนเหยียบพวกคันเร่งหรือกับเบรก ตกลงไหม ?”

“อื้ม...ก็...โอเค”

สุดท้ายคือมันนั่งด้านหน้าก่อนจะยกเท้าสตาร์ทรถ ผมนั่งซ้อนท้ายแต่ยื่นแขนข้าวไหล่มันไปจับแฮนด์เอาไว้แต่ไม่ถนัด

เฮ้ยยยย ขี่อะไรกันแน่ ถ้ามอเตอร์ไซค์ทำไมเอาเท้าเหยียบเบรคเหยียบคันเร่ง? แต่ถ้าเป็นรถยนต์ทำไมมีนั่งซ้อนท้าย?
นิยายแฟนตาซีใช่มั้ย หรือเอาฮาอย่างเดียวเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด