รักที่เป็นไปไม่ได้5
หยาดน้ำค้างเกาะตัวจับบนกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อน ลมพัดไหวต้องกลีบดอกสั่นระริกเพียงน้อยนิด หอบกลิ่นดินกลิ่นฝนโชยเข้าจมูก เมื่อตอนเช้ามืดฝนตกปรอยๆทำให้อากาศเย็นตัวลง สดชื่นตั้งแต่ตื่นเช้ามา แต่มันคงจะเป็นเช้าที่สดใสมากกว่าถ้า ถ้าเพียงแต่ดอกไม้ตะกร้าใหญ่ที่วางอยู่หน้าบ้านพักไม่ใช่...
...ไฮเดรนเยีย
ดอกไม้ที่ผมชอบจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ถ้าคนๆนั้นไม่ได้เอามา มีเขาคนเดียวที่รู้ว่าผมชอบ
การ์ดใบเล็กเสียบอยู่ในกลุ่มดอกไม้ ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน
I always love you my hydrangea, and I can’t smile without you darling. เชื่อได้มากแค่ไหนกับคำรัก
เชื่อได้เหรอว่ามันจะไม่ใช่แอปเปิ้ลอาบยาพิษ หากผมเอื้อมมือออกไปหยิบมันแล้วกัดเข้าปาก
จะแน่ใจได้ยังไงว่าผมจะไม่ตายเพราะความรักของเขาอีกครั้ง
ประตูแห่งความสุขที่ผมเฝ้ารอมาตลอดห้าปีไม่เคยเปิดให้ผมเข้าไป นานจนท้อ เจ็บจนเลือกที่จะถอดใจเลือกที่จะหันหลังแล้วเดินไปหาประตูแห่งความสุขบานใหม่ที่พร้อมจะรับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เจอ ประตูบานนั้นก็เปิดออกเรียกผมให้เดินกลับไปหา ผมกำลังยืนหันหลังด้วยความลังเล
นานแค่ไหนที่ผมรอเวลานี้ แต่...ผมกลัวเหลือเกินว่า ถ้าเดินกลับไป ประตูบานนั้นจะกระแทกตัวปิดใส่หน้าผมดังปึ้ง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะที่หลอกล่อคนโง่งมอย่างผมได้
ถ้าจะใช้ความรักของผมเป็นเครื่องมือ ก็ขอเถอะ ปล่อยผมไป แม้ปลายทางผมจะไม่เจอประตูแห่งความสุขอีกเลยก็ตาม
“ดอกอะไรเนี่ย สวยเชียว” พิ้งค์ชะโงกหน้าจากในเคาน์เตอร์ออกมาดู ผมไม่รู้จะจัดการกับดอกไม้เจ้าปัญหายังไง จะให้ทิ้งก็ทำไมลง แต่จะเก็บเอาไว้ผมก็ทำไม่ได้ เจ้าของก็ไม่รู้ไปไหน หายตัวไปเหมือนจงใจไม่อยากรับคืน ทั้งที่ๆจะต้องออกมาป้วนเปี้ยนให้ผมใจสั่นขวัญแขวนว่าเขาต้องการอะไรจากผมกันแน่
“ไฮเดรนเยีย ถ้าชอบผมยกให้ก็ได้ ตั้งไว้ในร้านก็ดีเหมือนกัน” ผมบอกอย่างใจดี พิ้งค์ยิ้มกว่าไม่ถึงห้าวินาทีก็หุบยิ้มฉับ
“อะไรกัน มีคนให้มาแท้ๆ แต่กลับยกให้คนอื่นง่ายๆเหรอปลาย ใจร้ายไปหรือเปล่า”
ผมทำหน้าเหวอ พิ้งค์รู้ได้ยังไงว่ามีคนให้ดอกไม้ผมมา ในเมื่อผมไม่ได้บอก
“ไม่ต้องทำหน้างงขนาดนั้น นี่แสดงว่าไม่ได้สังเกตเลยสินะถึงได้หิ้วออกมา บนตะกร้ามีข้อความเขียนเอาไว้ด้วย
ผมเอาตะกร้าไปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะก้มมอง มีจริงด้วย ผมก็มัวแต่มองดอกไม้ไม่ได้สนใจตัวตะกร้าถักว่ามันมีข้อความน่าอายเขียนติดไว้ตัวบะเร่อ
ปลายฝนที่รัก รับดอกไม้แล้วหายโกรธสามีเถอะน้า~ “บ้าเอ้ย!” ไม่น่าล่ะ ตอนที่ผมเดินผ่านพี่วัตกับเพื่อนพี่เขาถึงได้ทำหน้ายิ้มขำ ก็คิดว่าเมาค้างเสียอีก
บ้าๆๆ โรมบ้าที่สุด
“คึคึ สามีปลายนี่โรแมนติกจังเลยน้า”
“อย่าแซวนะพิ้งค์ เราไม่มีสามีไม่มีแฟนอะไรทั้งนั้นแหละ เราโสด!” คิดแล้วก็โมโห คนก่อเรื่องก็ไม่รู้หายไปไหน ถ้าเจอหน้าจะว่าเสียให้เข็ด โทษฐานทำผมอายชาวบ้าน
ผมกระแทกตัวนั่งด้วยความหงุดหงิด แต่ถ้ามีกระจกมาตั้งตรงหน้าผมมันต้องล้อผมที่แอบอมยิ้มอยู่แน่ๆ แล้วมือนะวางลงเดี๋ยวนี้เลยนะ จะไปจับดอกไม้ทำไม บ้าๆๆ ไอ้ปลายฝนบ้า
อย่าไปหลงคารมคนเจ้าเล่ห์แบบนั้นเชียว
“บอกเจ้าของแกด้วยนะ แค่นี้เรียกความรักของปลายคืนไม่ได้หรอก”
“เอ้าๆๆ คนอะไรนั่งคุยกับดอกไม้ก็เป็น”
ปล่อยไก่อีกแล้วผม!
ผมละมือจากดอกไม้ เอ่ยขอบคุณพิ้งค์ที่ทำชาเขียวนมสดมาให้โดยที่ผมไม่ต้องบอก ก็แหงล่ะ มาทุกวันก็สั่งแบบเดียวทุกวัน ผมไม่ใช่คนโลเล ชอบอะไรก็ชอบจะแต่อันนั้น และจะชอบไปจนตาย
“ไฮเดรนเยีย มีความหมายว่าไงเหรอ” พิ้งค์หยิบดอกไฮเดรนเยียออกมาก้านหนึ่ง กลีบดอกเล็กๆน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มรวมตัวกันเป็นก้อนกลมๆ น่ารักจนผมเผลอแย้มยิ้มอย่างที่เป็นทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ที่ตัวเองชอบ
“คุณช่างเย็นชา นั่นล่ะ ความหมายของมัน”
“หืม ความหมายไม่ดีนี่ ทำไมถึงชอบล่ะ หรือว่าไปตกหลุมรักผู้ชายจอมเย็นชาที่ไหนเข้า หรือสามีปลายเย็นชา แต่คงไม่มั้ง ถึงกับเอาดอกไม้มาง้อ น่าจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมากกว่า”
อุ่นสิ อุ่นจนร้อนเลยล่ะ -_-
“เราไม่ได้ชอบมันที่ความหมาย มันไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอที่จะตัดสินคุณค่าของมันเพียงแค่ความหมายที่มนุษย์คนไหนก็ไม่รู้เป็นคนกำหนดขึ้นมา”
“ก็ไม่รู้สินะ”
“ดอกไฮเดรนเยียนี้ไม่ได้เย็นชาเลยสักนิดเดียว ออกจะเซนส์ซิทีฟบอบบาง และน่าสงสาร ไฮเดรนเยียน่ะชอบน้ำ ชอบอากาศเย็น ชอบแสงแดดอ่อนๆ ไม่ชอบอากาศร้อนๆ มันค่อนข้างเลี้ยงยาก ถ้าดูแลไม่ดีก็ตายลงได้ง่ายๆ ซึ่งคนที่สามารถเลี้ยงดูไฮเดรนเยียจนเติบโตสวยงามได้ คนๆนั้นก็ต้องเป็นคนที่รักและเอาใจใส่ไฮเดรนเยียเป็นอย่างดี”
เพราะอย่างนั้นผมถึงชอบมัน
“เหมือนปลายดีเนอะ” พิ้งค์ว่า ผมไม่ตอบ แค่ยิ้มรับเท่านั้น
...โรมก็เคยพูดแบบนั้น เขาเคยสัญญาว่าจะเลี้ยงและดูแลผมอย่างดี
...สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้ผมตายลงช้าๆ ไม่รดน้ำ ปล่อยให้แห้งตายอยู่กลางแสงแดด
ผมใช้เวลาตลอดช่วงกลางวันนั่งวาดรูปในร้านของพิ้งค์ อาการดี ฟ้าครึ้ม อากาศเย็น ฝนไม่ตก แต่คิดว่าคงไม่นานนัก แล้วก็จริง จากนั้นไม่ถึงสิบนาทีผมก็ตกซู่ น้ำฝนไหล่ลู่ผ่านกระจกลงสู่พื้น ปิดบังทัศนียภาพข้างนอก ผมวางพู่กันลง มองรูปที่วาดเสร็จพอดิบพอดีอย่างพอใจ
“สวยจัง” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูไม่ทันได้ตั้งตัว ผมสะดุ้งหันหน้ามองด้วยความตกใจ แต่เป็นการกระทำที่ผิดพลาดที่สุด เพราะแก้มผมหันไปชนกับริมฝีปากสวยสีอ่อนของคนบ้าจอมตื้อเข้าอย่างจัง
ฟอดด~
“หอมจังเลย”
“ถอยออกไปเลยนะ!” ผมขึ้นเสียงแก้เขิน ยกมือเช็ดแก้มตัวเอง จะลุกหนีแต่โรมกักตัวผมเอาไว้ คนในร้านที่มีประปรายมองผมกับโรมด้วยความสนใจ ผมเลยนั่งนิ่งที่เดิม ไม่อยากกระโตกกระตากให้ได้รับความสนใจเข้าไปอีก
“อย่าดื้อนะที่รัก เป็นเด็กดีนะ”
ดูเขาพูดนะ มันน่าโมโหไหมล่ะ
“อย่ามาพูดกับฉันแบบนี้นะ” ผมกัดฟันพูดเสียงเบา ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน เสียงลากเก้าอี้ดังใกล้ๆ คนตัวโตคงลากมานั่งข้างหลังผม แถมนั่งอย่างเดียวไม่พอ เอาคางมาเกยไหล่ผมอีกด้วย
แล้วทำไมผมไม่ลุกหนี นั่งให้เขาแสดงความใกล้ชิดทำไม
“ขอเวลาโรมสักห้านาทีนะ”
“...”
“ที่โรมบอกเลิกปลายเพราะว่าบ้านโรมรู้เรื่องของเรา พ่อกับแม่บังคับให้โรมเลิกกับปลาย บอกว่าถ้าไม่เลิก ท่านจะมาคุยกับปลายเอง และจะย้ายโรมไปเรียนต่างประเทศ ตอนนั้นโรมก็ยังเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยังคิดอะไรไม่เป็น โรมพยายามพูดให้พ่อกับแม่เข้าใจว่าโรมรักปลาย แต่พวกท่านไม่รับฟัง พ่อกับแม่โกรธมาก โรมไม่รู้จะทำยังไง โรมกลัวที่จะต้องอยู่ห่างจากปลาย”
“โรมก็เลยบอกเลิกกับปลายง่ายๆแบบนั้นเหรอ” มันบอกไม่ถูกนะว่าผมควรรู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆ...ผมน้อยใจ
มือหนาของโรมเลื่อนมากอบกุมมือผมไว้ ผมดึงมืออกแต่เขาดื้อดึงจับมือผมจนได้ บีบแน่นแต่ไม่เจ็บแบบที่เขาทำเพื่อสร้างความมั่นคงให้ผม แต่สำหรับผม มันอึดอัดมากในตอนนี้
“โรมรู้ว่าโรมโง่งี่เง่าที่ตัดสินใจทำแบบนั้น แต่โรมรู้ว่าถ้าพ่อกับแม่โรมได้คุยกับปลาย ก็คงเป็นปลายที่ขอเลิกกับโรม จริงไหม”
เขาพูดถูก...ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมก็คงบอกเลิกกับเขาแน่ๆ แต่...สิ่งที่โรมทำโหดร้ายกับผมเกินไป
“แล้วเรื่องที่โรมต้องแต่งงาน โรมไม่เคยบอกปลายว่าโรมมีแฝด ผมกับน้องชายไม่ค่อยถูกกัน ริวถูกส่งตัวไปเรียนต่อเมืองนอก แต่พอกลับมาก็ทำผู้หญิงท้อง แล้วแอบเอาชื่อโรมไปอ้าง และมันก็ปฏิเสธว่าจะไม่รับผิดชอบ เราคิดหาวิธีว่าจะทำยังไงดี ทางฝ่ายผู้หญิงต้องการให้ริวแต่งงานกับบัว แค่ชั่วเวลาหนึ่งก็พอ แค่ไม่ให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน ริวก็ยังเป็นริว สุดท้ายโรมก็ต้องรับผิดชอบแทนเพราะแม่ขอเอาไว้ แม่เสียใจกับสิ่งที่ริวทำถึงกับล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล โรมไม่มีทางเลือก ก็แค่แต่งงานไม่ต้องจดทะเบียนสมรส แค่ปีเดียวเท่านั้นที่โรมจะเป็นอิสระจากทุกอย่าง”
“...”
“โรมไม่เคยนอนกับบัว เราแยกห้องกัน หลังจากบัวคลอดจนเด็กอายุได้หนึ่งขวบเธอก็ย้ายออกไปตามทางของเธอ เราไม่มีอะไรต้องติดค้างกัน”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ผมปากไวถามออก เห็นรอยยิ้มอุ่นจากเงากระจก แทบอยากจะตบปากตัวเอง
“โรมทำข้อตกลงกับพ่อแม่ไว้ ว่าถ้าโรมจบโทจากมหาวิทยาลัยที่พ่ออยากให้เรียน และเข้าไปทำงานแทนพ่อ โรมสามารถรักใครก็ได้ที่โรมอยากรักซึ่งคนๆนั้นก็คือปลาย พ่อกับแม่รับปาก และโรมก็ทำสำเร็จ จากนั้นโรมก็รีบสืบเรื่องจนรู้ว่าปลายหนีมาอยู่ที่เชียงราย”
“...”
“โรมไม่อยากให้เราห่างกันอีกแล้ว โรมไม่เคยยิ้มได้จากใจจริงตั้งแต่ไม่มีปลาย”
เก้าปี...ผมตั้งแต่วันที่เราเจอกันกับความรู้สึกนี้ ทั้งที่พยายามจะลืม แต่ทุกครั้งที่คิดจะทำแบบนั้นก็เจ็บปวดไปทุกครั้ง ผมไม่เคยเลิกรักเขาเลย
“โรมบอกทุกอย่างหมดแล้ว โรมรักปลายมาตลอด ไม่เคยมีวันไหนไม่รัก ไม่เคยคิดที่จะเลิกรัก ให้อภัยคนโง่อย่างโรมได้ไหม”
“ฉันไม่รู้” ผมหลบตาโรม
“ถ้าเพียงแต่นายจะบอกฉัน ฉันไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยาก แต่ไม่ใช่บอกว่าไม่รักกันแล้ว นายม่รู้หรอกว่ามันฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็นยังไง”
“ฉันขอโทษ ฉันคิดตื้นเกินไป ไม่ทันได้คิดไตร่ตรองให้ดี ตอนนั้นฉันก็แค่คนอ่อนต่อโลก ยังรับมือกับอะไรหนักๆไม่ไหว ฉันถึงได้พูดแบบนั้นออกไป เพื่อที่จะให้ปลายตัดใจจากฉัน แต่ตอนนี้ขอโอกาสให้โรมได้ไหมปลาย”
“นายคิดเองเออเองคนเดียว ถ้าบอกกันสักนิด ต่อให้เราต้องห่างกัน ฉันก็คงรู้สึกดีกว่านี้ แล้วตอนนี้ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าต่อไปนายจะไม่คิดเองเออเองคนเดียวอีก” ผมกลัวมากจริงๆนะ เขาทำให้ผมรู้สึกไม่มั่นคงไปแล้ว ความกลัวฝังแน่นเกินไป ผมคงระแวงตลอดเวลาแล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขถ้าเลือกให้โอกาสเข้าตามคำขอ
ผมรักเขา...และมันเป็นเช่นนั้น
แต่ผมไม่รู้ ผมกลัว...ผมไม่กล้าเชื่อใจเขาอีกแล้ว
“โรมเข้าใจ”
บอกว่าเข้าใจ แต่การขยับแขนมากอดเอวผมไว้นี่คืออะไร เขาสมควรทำแบบนี้กับคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างนั้นเหรอ
“ถ้าตอนนี้ปลายยังไม่ให้อภัยโรมก็ไม่เป็นไร โรมจะพิสูจน์ให้ปลายเห็นเอง ว่าทั้งชีวิตโรมต่อจากนี้ จะมีปลายเป็นเจ้าของ และโรมจะรักปลายคนเดียวจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”
ใจผมกระตุกวูบเมื่อเขาพูดถึงเรื่องความตาย
“แต่ขออย่างหนึ่งได้ไหม แทนตัวเองว่าปลายแล้วเรียกฉันว่าโรมเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ เรียกฉันกับนายแบบนี้มันห่างเหินเกินไป ฉันใจไม่ดี แล้วก็อีกอย่างนะ อย่าไปยิ้มให้ผู้ชายอื่นด้วย ฉันห่วงปลายก็รู้” เขาพูดเสียงอ้อน ผมหัวเราะหึในลำคอ ลุกขึ้นยืนยิ้มเหยียดให้โรม
“ไม่!”
“ปลาย...”
“ฉันจะไม่ทำตามที่นายบอก ปากฉัน ตัวฉัน ใจฉัน ฉันคิดเองได้ว่าควรจะพูดยังไงหรือยิ้มให้ใคร นายไม่มีสิทธิ์มายุ่ง เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
ผมไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วเราจะกลับมารักกันได้อีกไหม แต่ตอนนี้เวลานี้ผมยังไม่พร้อม ขอเวลาให้ผมหน่อย ผมก็แค่อยากก้าวเดินได้อย่างมั่งคงจริงๆเสียที
..............................
“งั้นนายช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหม นายจะเอาเวลาที่ไหนกลับมารักฉันอีกครั้ง ทั้งๆที่เราไม่ได้เจอกันเลย” จากประโยคนี้ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าโรมบอกแค่คิดถึง แต่ประโยคนี้ไม่ได้อ้างอิงว่าโรมบอกรัก แต่ต้องการสื่อว่า ปลายฝนคิดโรมไม่มีทางที่จะเกิดความรักกับตัวเองได้อีก และพูดแบบนั้นเป็นการย้ำให้ตัวเองรู้ว่า การมาของโรมไม่ได้เกิดจากความรัก จู่ๆคนที่เคยรักโผล่มาเหมือนจะง้อ บอกขอโทษ บอกว่าหย่ากับเมียเก่าแล้ว เป็นใครก็คิดว่าอีกฝ่ายยังมีใจยังรักเราอยู่ ปลายเลยพูดแบบนั้นออกไปเพื่อเตือนใจตัวเอง คือริริขอโทษที่เขียนกำกวมเกินไปนะคะและไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ต่อไปจะระวังเขียนให้มันชัดเจนขึ้นนะคะ
ต่อมาก็ การกระทำของโรมอาจจะดูงี่เง่าไม่มีเหตุผลนะคะ แต่ถ้าลองนึกย้อนไปว่าเมื่อเก้าปีสิบปีที่แล้วสังคมไทยยังไม่ได้วายจ้าขนาดสามสี่ปีที่ผ่านมานี้ ไม่แปลกที่โรมจะแคร์พ่อแม่แค่สังคม ตอนนั้นก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่เป็นความหวังของที่บ้าน ยังเรียนและอาศัยพ่อกับแม่อยู่ ยังไม่ได้เจอโลกกว้างมากพ่อที่จะรับมือกับสิ่งยุ่งยากได้ เลยตัดสินใจแบบนี้ ก็หวังว่าทุกคนจะเข้าใจพี่โรมนะคะ แม้ว่าริริจะแอบหมันไส้พระเอกของเราก็เถอะ ก็ลำเอียงอะนะ รักหนูปลายมากกว่า ฮ่าๆๆ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านแล้วเม้นให้กำลังใจนะคะ
