B.L.O.O.D.L.I.N.E
TWENTY-EIGHT
YOSHI
เวลาล่วงผ่านเข้าเดือนที่สองนับจากกลับมาจากอเมริกา ผมและทุกคนกลับมาที่นี่...แอชยู
ยกเว้นเพียงอาซาแค่คนเดียวที่ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่นั่น ตอนที่ผมจะกลับมาเมืองไทยเขายังไม่ฟื้นเลยด้วยซ้ำ ผมกลัวจับใจว่าจะสูญเสียหัวใจของตัวเอง ร้องไห้จนนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายทำได้แค่เข้มแข็งและเชื่อมั่น
“คืนนี้ฉันไปนอนด้วยอีกคืนนะ” ผมบอกกับเติร์ดในคาบเรียนช่วงบ่าย
ผมนอนหลับคนเดียวไม่ได้อีกแล้วเมื่อไม่มีอาซาอยู่ใกล้ๆ ผมนอนฝันร้ายทุกคืน สะดุ้งตื่นกลางดึกในสภาพเหงื่อโทรมกาย หัวใจเต้นแรงแทบกระเด็นออกมานอกอก ลมหายใจติดขัดเหมือนคนจมน้ำ ฝันเหมือนเดิมซ้ำๆซากๆกับเหตุการณ์ที่ทำให้อาซาหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา ผมไม่สามารถสลัดมันออกจากห้วงความคิด แม้จะบอกตัวเองว่าทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว และอาซากำลังจะหายในไม่ช้า แต่ทุกค่ำคืนก็จะจบลงแบบเดิม สุดท้ายผมก็ต้องหอบข้าวของพาตัวเองไปนอนที่บ้านพักนากินีกับพวกฟรินน์หรือไม่ก็ไปนอนกับเติร์ด ซึ่งก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าอยู่คนเดียว
วันแรกที่กลับมาถึงแอชยูแล้วเจอกับเติร์ดที่มานั่งรอผมหน้าหอ หมอนี่น้ำตาไหลแล้วเข้ามากอดผมแน่น และผมก็เพิ่งรู้ว่า เวสตันมาลาหยุดกับอาจารย์ในคณะให้เพื่อไปตามพี่ยอร์ชและสะสางปัญหากับเอเดน โดยใช้เหตุผลว่าผมนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลเพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ พร้อมใบแพทย์ที่ไปขอซื้อจากคาร์เตอร์ (คาร์เตอร์คงได้เงินจากการใช้บริการจากพวกผมไปมากโข) ผมว้าวุ่นใจเรื่องพี่ยอร์ชและเรื่องของอาซาจนลืมเรื่องเรียนไปเสียสนิท ไม่ได้คิดเลยว่าผมหยุดเรียนไปโดยไม่ได้ลาหรือบอกกล่าวใครไว้
วันนั้นผมรู้สึกผิดจับใจที่ปล่อยให้เติร์ดเป็นห่วง เติร์ดกังวลมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาบอกว่าเสียนิกกี้ไปคนแล้วเขาไม่อยากเสียเพื่อนไปอีกคน ผมน้ำตาซึมเมื่อเขาระบายความรู้สึก เขารู้แค่ว่าผมป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่เขาติดต่อผมไม่ได้ ไม่รู้ว่าอยู่โรงพยาบาลไหนอาการเป็นอย่างไร และพวกอาซาก็ไม่มีใครอยู่ให้เขาถามสักคน ผมก็ได้แต่บอกเติร์ดว่าผมหายดีแล้ว และเอ่ยขอโทษเขาเป็นสิบเป็นร้อยรอบที่ปล่อยให้เขาเป็นห่วง
เติร์ดไม่ได้โกรธอะไรผมมากนัก เขาแค่ออกอาการงอนผมเล็กน้อย
อีกคนหนึ่งที่ผมลืมไปช่วงยุ่งๆก็คือพ่อ ผมโทรไปด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ ว่าพ่อจะว่าอะไรผมไหมที่ผมหายไปไม่ติดต่อ และความจริงผมเองก็ไม่ได้รับสายจากพ่อสักสาย ทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อย พ่อดูปกติมากเมื่อรับสายผม ถามไถ่ว่าผมซื้อโทรศัพท์ใหม่แล้วเหรอ มีข้อความส่งไปบอกพ่อว่าโทรศัพท์ของผมเสียเลยอาจติดต่อไม่ได้สักสามสี่วัน ผมงุงงงแต่ก็เออออไปตามน้ำ พี่ยอร์ชที่กลับไปที่ไร่แล้วทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ แม้จะรู้ว่าผมเป็นอะไรและบอกกับพ่อว่าไม่ต้องเป็นห่วงผมเพราะพี่ยอร์ชแวะมาหาผมก่อนกลับบ้านแล้วพ่อเลยวางใจ ผมคุยกับพ่ออยู่นับชั่วโมงเพราะความคิดถึง โหยหาความอบอุ่นและกำลังใจจากพ่อจนรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้จึงรีบขอวางสายก่อนที่จะแสดงความผิดปกติให้พ่อเห็น
“ตามสบายเลย อย่าถามเหมือนว่าต้องเกรงใจอะไรขนาดนั้น มาอยู่ด้วยเลยก็ได้โยชิ บางทีอยู่คนเดียวก็เหงาวะ” เติร์ดหันมาตอบผม
“ไม่เป็นไร แค่ช่วงนี้น่ะ” ตอนที่อาซาไม่อยู่ “แต่เดี๋ยวฉันตามไปทีหลังนะ พอดีต้องไปทำธุระก่อน”
“ได้ๆ ฉันเองก็ต้องแวะไปซื้อของให้ปุยเมฆเหมือนกัน ยังไงก็เจอกันที่ห้อง”
“อืม” เติร์ดให้กุญแจสำรองกับผมไว้ เขาให้อภิสิทธิ์ผมเข้าออกคอนโดได้ทุกเมื่อ ช่วงนี้ผมไปบ่อยจนยามและพนักงานทุกคนจำผมได้
เลิกเรียนผมแยกกับเติร์ดที่หน้าคณะ หมุนกายเดินไปทางด้านหลังของมหาวิทยาลัย ตอนนี้ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของแอชยูเต็มตัว มหาวิทยาลัยนานาชาติชื่อดังติดหนึ่งในห้าอันดับของโลก มหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งเพื่อให้พวกมนุษย์กลางร่างร่ำเรียน แต่ก็ยังมีมนุษย์ธรรมดาปะปนเพราะทางสถาบันไม่อาจแบ่งแยกไม่อย่างนั้นก็จะถูกเพ่งเล็งและตั้งข้อสงสัย
และเมื่อผมกลายร่างเป็นงูได้ เวสตันก็พาผมไปลงทะเบียนรายงานตัวการมีตัวตนของผมในฐานะนากินี เพื่อจะได้จำแนกความสามารถและทักษะต่างๆที่ต้องเรียนหลังเลิกเรียนคลาสปกติตามสายพันธุ์ พร้อมสวัสดิการอื่นๆ อาทิเช่น...เลือด
สิ่งหนึ่งในร่างกายผมที่เปลี่ยนไปนั่นก็คือ ผมกระหายเลือดแทนความรู้สึกหิวอาหาร
ปารีสอธิบายให้ผมฟังว่า มนุษย์กลายร่างที่เพิ่งกลายร่างได้ก็จะมีอาการเช่นนี้ บางคนถึงขนาดควบคุมตัวไม่อยู่ออกฆ่าคนเพื่อดื่มเลือดตามสัญชาติญาณ เป็นงานหนักที่พวกนากินีรับผิดชอบอยู่เบื้องหลังนอกจากทำตัวเป็นเหมือนครูฝ่ายปกครองที่คอยดูแลมนุษย์กลายร่างหน้าใหม่ๆทุกสายพันธุ์
แต่ที่ผมเพิ่งเกิดอาการแทนที่จะเป็นตั้งแต่กลายร่างได้ก็เพราะว่าตอนนั้นสภาพจิตใจและร่างกายผมแปรปรวนจากความโกรธ ความกลัวและความเสียใจ ทำให้สภาวะของร่างกายทำงานผิดปกติ เมื่อทุกอย่างคงที่ ความต้องการเลือดก็เล่นงานผมเข้าโครมใหญ่
เมื่อกลางวันที่กินข้าวกับเติร์ด ผมรู้สึกอยากดื่มเลือดมากจนสายตาเอาแต่จดจ้องอยู่ที่เส้นเลือดที่นูนขึ้นจากผิวหนังของเพื่อน สายตาของผมสามารถมองเห็นความร้อนในร่างกายและอาหารอันโอชะไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาจนเติร์ดสงสัยว่าผมมองเขาทำไม กว่าจะกลั้นใจได้ก็แทบแย่
ผมเร่งฝีเท้าจนกลายเป็นวิ่งกลับไปที่บ้านของอาซา วิ่งด้วยความเร็วแต่ไม่ทันใจต้องกลายเป็นงูแล้วเลื้อยไปที่ครัวให้เร็วที่สุด
“วู้วววว กลับมาแล้วเหรอ รู้ได้เลยว่านายหิวมากโยชิ” ฟรินน์ที่นอนบนเก้าอี้เอนตรงเฉลียงหน้าบ้านเอ่ยแซวผม ผมกลับคืนสู่ร่างมนุษย์มองค้อนเขา
“แหม ใครกันนะที่เกลียดงูยิ่งกว่าอะไรในโลก” ฟรินน์ยังล้อเลียนไม่เลิก ผมเดินเข้าไปใกล้เขาด้วยดวงตาดุๆ ฟรินน์ยกมือยอมแพ้หัวเราะท้องแข็ง
“อย่ามาแซวฉันนะ อยากเจอดีเหรอไง” คนยิ่งหงุดหงิดเพราะหิวอยู่
“อย่าไปแหย่โยชิน่าฟรินน์ ถ้านายยังไม่อยากเสียเลือด” ปารีสเดินออกมาพร้อมสิ่งที่ผมต้องการในมือ ผมไม่สนใจฟรินน์อีกต่อไป กระโจนเข้าหาปารีสคว้าแก้วที่บรรจุของเหลวสีแดงเข้มข้นหนืดขึ้นดื่มอึกใหญ่ไม่กี่อึกก็หมดเกลี้ยง
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวสำลัก” ปารีสพูดยิ้มๆอย่างอบอุ่นเหมือนแม่ เขาดูแลผมทุกอย่างเป็นอย่างดีเมื่อเรากลับมาถึงที่นี่โดยไร้เงาอาซา
“เฮ้อ ฉัน...ฉันนึกว่าจะไม่รอดแล้ว ถ้าหิวมากกว่านี้ฉันอาจคว้าคอใครสักคนมากัดให้จมเขี้ยวได้” ผมบ่นเมื่อดื่มเลือดของสัตว์สักชนิดหมดแก้ว ไม่ค่อยเติมเต็มความยากเท่าไหร่ แต่ผมโอเคกับมัน เพราะผมไม่เคยดื่มเลือดมนุษย์
จูเลียตว่า ถ้าผมได้ลอง ผมจะคลุ้มคลั่งและจะพยายามหาหนทางให้ได้ดื่มมันอีก เพราะมันหอมหวานยิ่งกว่าอะไรในโลก ฟังแล้วผมก็เกิดความกระหาย แต่ผมต้องข่มความต้องการลึกๆในใจให้ได้ แต่เวสตันบอกว่า เราจะได้รับสิทธ์ให้ดื่มเลือดมนุษย์ได้ปีละสองครั้ง และเลือดมนุษย์ก็ได้มาจากการบริจาค แต่เป็นเลือดที่ตรวจแล้วนำไปใช้การไม่ได้ ทางผู้บริหารแอชยูเลยติดต่อขอซื้อมาเพื่อพวกมนุษย์กลายร่างอย่างพวกเราในปกครอง
“ฉันบอกให้พกไปกินด้วยก็ไม่เอา” ปารีสเคยนำให้ผมนำเลือดใส่กระบอกน้ำไปกินช่วงกลางวัน แต่ผมยังไม่กล้านำเลือดออกไปกินนอกบ้าน มันแปลก ถึงจะอยากมากจนเกือบใกล้คำว่าลงแดง แต่ผมก็ยังไม่ชิน
“ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน ฉันชินเมื่อไหร่จะลองพกเลือดไปดูดข้างนอกดู” ผมพูดขำขัน ปารีสและฟรินน์หัวเราะเสียงดัง กินอิ่มหายอยากผมก็อารมณ์ดี
“แล้ว...มีใครได้ข่าวอาซาบ้างไหม คุณจอร์จได้ติดต่อใครมาบ้างเหรอเปล่า” ผมถามคำถามเดิมๆกับพวกเขา ปารีสถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“ยังเลย ทั้งทางโทรศัพท์ อีเมล ข้อความ ไม่มีข่าวคราวอะไรสักอย่าง”
หัวใจของผมฟีบแบนอย่างลูกโป่งถูกปล่อยลมล่วงลงสู่พื้น
“ทางนู้นเป็นพื้นที่อับสัญญาณ เพื่อป้องกันการหาเจอของพวกมนุษย์ อาจจะทำให้ติดต่อเราไม่ได้ก็ได้” ฟรินน์ออกความเห็น
“แต่ที่ปราสาทของอาซาก็มีสัญญาณปกตินี่นา ถ้าหากคิดจะติดต่อมาก็ย่อมทำได้” ผมแย้ง
“บางทีคุณจอร์จอาจจะอยากแยกอาซากับฉันอีกครั้ง” ผมอดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคุณจอร์จถึงไม่ติดต่อมาบอกข่าวคราวอะไรผมเลย และไม่มีช่องทางไหนที่เราจะติดต่อเขาได้ ไม่มี
“ไม่เอาน่าโยชิ อย่าคิดมากไปเลย อาซาต้องกลับมาหานายแน่ๆ ฉันมั่นใจ” ปารีสเข้ามากอดผม ผมพยักหน้าอยู่กับไหล่ของเธอ
นายต้องกลับมาหาฉันนะอาซา ฉันรอนายอยู่ ผมมาถึงคอนโดของเติร์ดเมื่อฟ้าครึ้ม เสียงพูดคุยและเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะดังมาจากโซนครัว เติร์ดกลับมาถึงก่อนผมและกำลังลงมือทำมื้อเย็นตามกิจวัตรประจำวัน ผมคงต้องจำฝืนกินข้าวเย็นอีกแล้วสินะ ผมก็ไม่รู้จะบอกเขายังไงว่าผมไม่กินข้าวเย็น ผมกินเลือดมาจนอิ่มตื้อ พอบอกว่าไม่กินเขาก็ซักไซ้ถามว่าทำไม จะบอกว่าลดน้ำหนักก็ไม่ได้ ในเมื่อร่างผมบางจนแทบจะปลิวไปตามลม เติร์ดเลยคิดเอาเองว่าผมคิดถึงอาซาที่กลับไปเยี่ยมพ่อที่อเมริกาเลยทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ
“เมี้ยววว~”
หิวแล้วๆ “ใจเย็นๆ ใกล้เสร็จแล้ว วันนี้ไปเล่นที่ไหนมาละถึงได้หิวโซมาเชียว”
“ม๊าวว เมี้ยววว”
หิวจังเลย กินหอมจัง~ “เดี๋ยวนี้ซนเหรอ เป็นเด็กไม่ดีเหรอครับน้องปุย ถึงได้หนีเที่ยวทุกวันเลยน่ะ” เสียงดุๆของเติร์ดบ่นแมวเป็นหมีกินผึ้ง
“เมี๊ยวๆๆ แหง้ววว!”
อย่าบ่นได้ไหม ไม่ได้ออกไปเล่นซนเสียหน่อย “เหอะๆ” ผมเดินเข้าไปหาทั้งคู่ในคอ ผมฟังปุยเมฆรู้เรื่องแล้วนะ เราสื่อสารคุยกับบ่อยช่วงหลังๆมานี้ จนเติร์ดยังสงสัยเลยว่าทำไมดูเหมือนผมจะเข้าใจปุยเมฆและปุยเมฆดูจะเชื่อฟังผมมากกว่าเขา
ผมรู้ว่าปุยเมฆหายไปไหนมาทุกวัน ผมได้ติดต่อให้อาจารย์ท่านหนึ่งในคณะให้ช่วยปุยเมฆในการกลายร่าง ท่านมีชื่อเสียงในการปลุกตัวตนที่หลับใหลไม่ว่าจะได้ตัวของมนุษย์หรือสัตว์ที่มีจิตวิญญาณของมนุษย์กลายร่างให้ฟื้นคืนเป็นปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องถามความเห็นชอบจากเจ้าตัว แต่ไม่ว่าจะช้าจะเร็วก็ต้องเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา แต่บางคนเลือกที่จะยืดเวลาออกไปจนกว่าจะไร้ทางเลือก
ผมรู้ความลับอีกอย่างของปุยเมฆที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ ปุยเมฆแอบรักเติร์ด และเจ้าปุยเมฆน่ะเป็นเด็กผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง เจ้าตัวเล็กน่ะแอบชอบเติร์ดแต่ไม่กล้าเข้าหาเลยไปหานิกกี้แทนเพื่อที่บางครั้งจะได้อยู่ใกล้ๆเติร์ด ช่างเป็นแมวที่น่ารักนะว่าไหม
“วันนี้ทำอะไร” ผมถามเติร์ด นั่งลงตรงเคาน์เตอร์บ้า เติร์ดหันมองผมแต่มือก็ง่วงกับการทำอาหาร
“ทำข้าวผัดแกงเขียวหวานสำหรับเรา ส่วนเจ้านั่น วันนี้เป็นปลานึ่งกับผักต้ม”
“ปุยเมฆ มานั่งรอตรงนี้มะ” ผมเรียกปุยเมฆที่เดินพันแข้งพันขาวๆของเติร์ดไม่หยุด ผมละกลัวเติร์ดพลาดก้าวขาไปเหยียบเข้า
“เมี้ยว~” ปุยเมฆร้องยาวๆก่อนจะเดินมาหาผม กระโดดขึ้นมาบนเคาน์เตอร์อย่างง่ายดาย
“ระวังตกนะน้องปุย” เติร์ดดุอีกแล้ว แต่มีเหรอปุยเมฆจะสนใจ เข้ามาคลอเคลียให้ผมลูบหัวลูบคาง
เติร์ดกลับไปทำกับข้าวอย่างเดิม ผมลอบมองก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบกับปุยเมฆไม่ให้เติร์ดได้ยิน
“วันนี้เป็นไงบ้าง” ผมถาม ปุยเมฆต้องไปฝึกกลายร่างกับอาจารย์จอนห์นี่ทุกวัน ต้องฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะปุยเมฆไม่สามารถใช้วิธีหักดิบแบบผม แทนที่จะได้กลายร่างเป็นคน วิญญาณจะแตกสลายเสียก่อน
ก็ดีจ้ะ แต่อาจารย์บอกว่าอีกนานกว่าจะกลายร่างได้ จิตต้องแข็งกว่านี้ “สู้ๆนะ” ผมให้กำลังใจ ถ้าปุยเมฆกลายร่างได้ โอกาสที่ทั้งคูจะรักกันก็จะมีเปอร์เซ็นต์มากขึ้น ผมอยากให้เติร์ดมีความสุขสักที
ครั้งก่อนที่ปุยเมฆช่วยผมและอาซาสืบเรื่องเอเดน ของตอบแทนที่อาซาให้ปุยเมฆก็คือน้ำยากลายร่าง แต่ปุยเมฆขลาดกลัวจึงไม่กล้าใช้
ขอบคุณนะ น้องปุยจะพยายาม จบมื้อเย็นที่ผมแทบจะอ้วกออกมาเพราะต้องฝืนกินข้าวให้พร่องครึ่งจาน เติร์ดเอาแต่บ่นว่าผมกินน้อย ผมละอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาเหลือเกินว่าช่วงนี้ผมไม่อยากอาหารของคน ผมอยากดื่มเลือด แต่จะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงเล่า
ผมเข้านอนแต่หัวค่ำ ผมอดหลับอดนอนหลายวันแต่ความเหนื่อยเพลียไม่เคยช่วยให้ผมข่มตานอนหลับได้ ผมนอนหลับตาคิดสะระตะไปเรื่อย เรื่องที่คิดก็มีแต่เรื่องเก่าๆที่ผมและอาซาอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันจนวันสุดท้ายก่อนจาก
ซี่ๆๆ
แกร๊กๆๆ
ผมดึงสติกลับเข้าร่าง ตายังปิดแต่งูเงียฟังเสียงแปลกๆที่ดังขึ้นภายในห้องนอนอีกห้องที่เติร์ดสละให้ผมอาศัยนอน เสียงเงียบหายไปแล้ว ผมคงหูฝาด แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อมีเงาทาบทับบดบังใบหน้าของผม ผมลืมตาทันที กรอกตามองข้างเตียง เงาของผู้ชายยืนจ้องผมอยู่ข้างเตียง ผมคงนึกว่าเป็นผีเป็นวิญญาณ ถ้าหากว่ากลิ่นกายที่โชยมาพร้อมผมแอร์ไม่ใช่กลิ่นของคนที่คุ้นเคย
“อา...อะ...” ผมพูดไม่ออก แค่จะเรียกชื่อคนที่บุกมายามวิกาลยังทำไม่ได้
“อะไรกัน แค่สองเดือนนี่นายลืมชื่อฉันไปแล้วเหรอดาร์เรล” มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องสว่างให้เห็นรอยยิ้มที่ผมเฝ้าคิดถึงทั้งวันทั้งคืน
“ฮึก...” ผมสะอึก น้ำตารื้อและไหลลงทางหางตาอย่างรวดเร็ว
“เอ้า ร้องไห้ซะงั้น” เสียงหัวเราะเบาๆแสดงความขบขัน
“...” ผมยังคงเงียบ เม้มปากแน่นจนเจ็บ ดวงตาพร่าเลือนแต่ไม่กระพริบ กลัวว่าภาพอาซาจะหายไป
“เซอร์ไพรส์ไหม”
“...” ผมพยักหน้า ร่างกายขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ผมนอนมองเขาน้ำตาไหลพราก เขากลับมาแล้ว กลับมาจริงๆใช่ไหม
“ใช่นายจริงๆเหรอ” ผมถามราวละเมอ กลัวว่าจะเป็นภาพหลอนที่จิตผมสร้างขึ้นเองจากความคิดถึงที่เอ่อล้น
“หึ คิดว่าฉันเป็นผีมาหลอกนายหรือไง” อาซานั่งลง น้ำหนักของเขาทำให้เตียงยวบตัว รู้ได้เลยว่าเป็นเขาจริงๆ ผมไม่ได้ฝันหรือจินตนาการไปเอง
อาซาช้อนแผ่นหลังของผมให้ลุกขึ้นนั่งแล้วกอดผมไว้แน่น ผมกวาดมือกอดอาซาแนบตัวไม่ให้ร่างกายของเราทั้งสองเหลือช่องว่าง เมื่อแน่ใจว่าเป็นอาซาจริงๆ ผมจับต้องกอดเขาได้จริงๆไม่ใช่ภาพลวงหรอก ผมก็บ่อน้ำตาแตกร้องไห้กับอกอาซายกใหญ่ เผลอคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
“ไม่ร้องไห้สิ คนเก่งที่สู้กับเอเดนได้ขี้แยแบบนี้เหรอนี่”
ผมทุบหลับอาซาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เราร้องเจ็บแต่ผมไม่หยุดทุบหยุดตี อาซาไม่ได้ห้าม ปล่อยให้ผมทำร้ายร่างกายเขาตามอำเภอใจจนผมเหนื่อยและหยุดมือเสียเอง
“กะ กลับมาได้ยังไง หายดีตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมปล่อยตัวอาซา เรานั่งใกล้กันมาก มือทั้งสองข้างกุมจับกันแน่น
“นั่งเครื่องบินกลับมาสิ” เขาตอบ แต่ผมว่าคำตอบของเขามันช่างกวนประสาทสิ้นดีจนผมหน้างอ “ไม่เอาน่า อย่าโมโหสิ ฉันหายดีตั้งแต่สองอาทิตย์ที่แล้ว ทีแรกก็อยากจะกลับมาหานายทันที แต่หมอประจำตระกูลบอกให้ฉันพักฟื้นและตรวจสอบร่างกายจนกว่าจะแน่ใจ เมื่อเสร็จสิ้นก็รีบมาหายนายทันที” เขาเล่า มือเย็นเชียบของอาซาลูบมือผมเล่น บีบกระชับสลับผ่อนหนักเบา
“ใจร้ายใจดำเลือดเย็นมาก” ผมต่อว่าตัวสั่น “หายดีแล้วทำไมไม่ติดต่อฉันกลับมาบ้าง รู้ไหวว่าเป็นห่วงแทบแย่ รู้ไหมว่าฉันรู้สึกแย่แค่ไหน”
“ก็ฉันอยากรู้ว่านายจะรอฉันได้เหมือนฉันที่รอนายมาทั้งชีวิตหรือเปล่า รอทั้งๆที่ไร้ความหวัง” อาซาพึมพำ การหวนคิดถึงความหลังทำให้น้ำเสียงของเขาแหบห้าว
“จะทดสอบฉันเหรอไง คิดจะแก้แค้นเหรอไง” ผมถามเสียงแข็งหน้าตึง เขายิ้มอ่อนๆ
“โนวๆๆ อย่าคิดไปไกลสิ โอเค ฉันขอโทษ” เขายอมจำนนต่อความผิดที่อาจหาญดูถูกน้ำใจและความรักของผม
“เหอะ! แต่เสียใจด้วยนะ ฉันชนะ” ผมพูดช้าๆชัดๆ
ทีนี้อาซาหัวเราะร่วน ขยี้หัวผมจนผมฟูฟ่อง “ใช่ นายชนะ ขอบคุณน่ะที่รอฉัน”
ผมเบ้หน้าใสก่อนจะอมยิ้มกับความคิดที่กำลังจะพูดออกไป “ไม่รอนายแล้วจะให้รอใคร ก็ฉันมีแต่นายคนเดียว นายยังรอฉันมาได้ตั้งนานนม แค่นี้ถ้าฉันรอไม่ได้ฉันก็ไม่เหมาะสมจะเคียงคู่นายหรอก”
ผมเก้อเขินกับประโยคเลี่ยนๆที่หลุดออกจากปาก
“หึหึ พูดจาน่ารักจังเลยน้าเมียใครกัน”
“ฉันจริงจังนะ” ผมบอกเขา อาซาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ จูบที่แก้มของผม ใช้จมูกไล้เคลียอยู่ข้างแก้มและเลื่อนลงมาที่มุมปาก
“ฉันรู้”
“ฮึก” ผมสะอื้นเพราะความตื้นตันดีใจอีกครั้ง “ฉันคิดถึงนาย อาซา ได้ยินไหม ฉันคิดถึงนาย ฉันรักนาย”
ผมโผเข้ากอดเขาอีกครั้ง แต่ไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว ผมซึมซับไอเย็นจากผิวกายและไออุ่นจากหัวใจของพ่ออสรพิษร้ายของผม โล่งเหมือนร่างไร้น้ำหนัก ไม่มีก้อนหินก้อนใหญ่ที่เคยถ่วงอยู่ในอกอีกแล้ว ผมเหมือนถูกปล่อยออกจากความทุกข์ทรมานของการรอคอย
ความทุกข์สิ้นสุดลงแล้วเมื่อเขาอยู่ตรงหน้า
“ฉันก็คิดถึงนายมาก ฉันกลับมากอดนายตามสัญญาแล้วนะดาร์เรล”
ผมชอบเหลือเกินที่เขาเรียกผมด้วยชื่อนั้น
“ต่อไปนี้เรียกฉันว่าดาร์เรลนะ” ผมเอ่ยขอ
“ได้สิ” เขาก้มหน้าลงมา หยุดนิ่งในระยะห่างไม่ถึงสิบเซนติเมตร ตาของเขาจ้องริมฝีปากของผมเขม็ง ผมรู้เขาต้องการอะไร และผมจะตอบสนองความปรารถนาของเขาด้วยความต้องการของผมเช่นกัน
ผมเป็นฝ่ายเคลื่อนใบหน้าเข้าหาเขาและเริ่มจูบก่อน แต่ก็ต้องยอมเป็นฝ่ายตามเมื่ออาซาโถมแรงดันผมลงนอนหงายบนเตียง ร่างสูงใหญ่ขยับขึ้นทาบทับ บดเบียดทุกส่วนเสียดสีร่างผมโดยเฉพาะริมฝีปากที่ร้อนดั่งไฟลามเลีย
“ไม่เอา ไม่เอาที่นี่” ผมร้องห้ามเมื่ออาซาเริ่มจะทำมากกว่าจูบ นี่มันคอนโดของเติร์ดนะ จะมาทำเรื่องอย่างว่าที่นี่ได้ยังไง เราควรต้องเกรงใจเจ้าของห้อง
“งั้นกลับห้องของเรากันนะ” อาซากระซิบเสียงพร่า เขากัดฟันข่มความต้องการ ผมลูบใบหน้าของเขาแผ่วเบาด้วยความสงสาร เขากำลังทรมานจากความต้องการที่อัดแน่นอยู่ในตัวของเขา ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เช้าผมอาจจะถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพราะถูกอาซาใช้งานหนักเกินไป
ผมกลืนน้ำลายลงคอเมื่อสามารถนึกถึงเหตุการณ์ร่วมรักที่ยาวนานที่สุดของเราเมื่อครั้งนานมาแล้ว
“เรามารำลึกความหลังในความรักของฉันที่มีต่อนายอีกครั้งดีไหม” อาซาล่วงรู้ความคิดของผมและเขาหยิบมาขึ้นมาทำให้ผมเขินจนร้อนไปทั้งตัว
“อยากให้ฉันตอบว่าดีหรือไม่ดีละ” ผมแกล้งทำใจกล้า ความกลัวผสมกับความตื่นเต้น
เขาไม่ตอบแค่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วดึงตัวผมพากลับหอพักอย่างเงียบเชียบแต่รวดเร็ว
…………………….
ตัดฉับ 55555555 (โดนถีบ) :z6:ไหน ใครรอหื่นแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ 
สำรองเลือดไว้ให้พร้อม ตอนหน้าจัดหนักจัดเต็ม 
พี่คนอ่านสงสัยและถามมาว่า โยชิมีความสามารถพิเศษจากอำนาจของหัวใจบาซิลิสก์เป็นปีกไว้ใช้ต่อสู้ แล้วความสามารถของอาซาคืออะไร ริริได้เขียนบอกไปแล้วไม่รู้ว่ามีใครอ่านเจอหรือเปล่า อาซามีความสามารถทุกอย่างที่บาซิลิสก์มีนะคะ ในขณะที่นากินีตัวอื่นทำได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่เหตุผลที่ทำให้อาซาพ่ายแพ้ต่อเอเดนเราจะมีเฉลยภายหลัง
คำถามที่สอง ที่ถามมาว่า เรื่องจะจบแล้ว จะไม่มีเรื่องของเอเดนกับพี่ยอร์ชเหรอ คำตอบคือมีนะคะ แต่จะเป็นตอนพิเศษ เรื่องนี้คือเรื่องของอาซาและโยชิเป็นหลัก ซึ่งนั่นก็ถึงเวลาอันเป็นสมควรที่จะจบแล้วตามพล็อต ส่วนเรื่องของเอเดนกับพี่ยอร์ช จะเป็นพาร์ทพิเศษของเรื่องนี้ รวมไปถึงคู่เติร์ดกับปุยเมฆเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว เรื่องนี้จะยังคงลงเรื่อยๆแม้ว่าพล็อตจะสมบูรณ์ตามที่วางไว้ แต่อาจจะลงไม่บ่อย เพราะริริจะได้แบ่งร่างไปแต่งพี่เสือคาร์เตอร์ด้วย ยังไงก็อยู่ด้วยกันต่อเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ เราปลื้มใจทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้น ไหนๆ มากอดแน่นๆทีสิ
