B.L.O.O.D.L.I.N.E
TWENTY-FOUR
Yoshi
เวลาสองทุ่มเรามารวมตัวกันในห้องของเวสตัน เพื่อวางแผนการจัดการกับเอเดน สิ่งที่เราพอจะคาดเดาได้ถึงความต้องการของเอเดนที่เอาตัวพี่ยอร์ชมานี่เพื่อเป็นตัวล่อให้เรามาหา ก็เพราะว่าเอเดนต้องการตัวอาซา เขาต้องการสิ่งสำคัญของอาซาที่จะทำให้เขากลายเป็นใหญ่เหนือใคร
“นายมีแผนอะไรว่ามาเลยอาซา” เวสตันพูด สีหน้าเหมือนไม่เป็นกังวลกับศึกหนักที่กำลังเผชิญ
“เอเดนจับตัวพี่ชายของโยชิไปเป็นตัวประกัน ก่อนอื่นเลยเราต้องเอาตัวพี่ยอร์ชมาก่อน”
“ก็ออกบุกชิงตัวมาเลย”
“ทำแบบนั้นไม่ได้”
“พรุ่งนี้ฉันนัดพี่ยอร์ชให้ออกมาพบที่ร้านดอกไม้ตรงหัวมุมถนน”
“นายคิดว่าพี่ชายนายจะออกมาได้เหรอ จะหลบออกมายังไงไม่ให้เอเดนรู้”
“เธอตั้งคำถามได้ดีจูเลียต สิ่งแรกที่เราต้องทำในวันพรุ่งนี้ก็คือ ล่อเอเดนกับพวกไปที่อื่น”
“แล้วถ้าหมอนั่นลากพี่ชายโยชิไปด้วยล่ะ”
“ไม่น่าเป็นไปได้ เอเดนยังไม่รู้ว่าพี่ยอร์ชรู้เรื่อง เขาไม่มีทางพายอร์ชไปด้วยแน่ และจังหวะนั้นยอร์ชก็น่าจะออกมาหาโยชิได้ ทันทีที่เราได้ตัวยอร์ชมาแล้ว ฉันจะไปเคลียร์กับเอเดนด้วยตัวเอง”
“อาซา”
“เรื่องนี้มันต้องจบลงโยชิ”
“นายจะเคลียร์กับเขายังไง” ปารีสถามในสิ่งที่ทุกคนก็อยากรู้
“ก็คงต้องสู้กันซึ่งๆหน้า”
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรออาซา”
“เอเดนไม่คิดจะใช้ไม้อ่อนกับฉันหรอกโยชิ ถ้าเขาจะทำคงทำไปนานแล้ว ไอ้การที่จะเดินมาบอกว่าขอหัวใจของแนเถอะนะ แล้วฉันส่งให้ง่ายๆ ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องคงจบไม่นานแล้ว แต่ก็อยากที่เห็น เขาดึงดันจะเอา และวิธีที่จะเอามันไปจากฉันก็คงต้องใช้กำลังเข้าแย่ชิง วิธีเดียวเท่านั้นที่เขาจะเอามันไปจากฉันได้ ถ้าฉันแพ้”
“แต่ถ้านายมีหัวใจบาซิลิกส์ที่ทำให้นายแข็งแกร่งกว่าใครก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวนี่” ฟรินน์เอนหลังลงกับเก้าอี้บุนวมที่ค่อนข้างเก่าคล้ายวางใจ
“ไม่หรอก” อเล็กซ์เอ่ยขึ้น พวกเราหันไปมองเขา “อาซามีหัวใจบาซิลิสก์แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งอยู่ที่โยชิ ถ้าไม่เต็มดวงก็ไม่ส่งผลอะไรมากหรอก” อเล็กซ์อธิบายความจริงซ้ำอีกครั้ง
“แล้วเอากลับเข้าไปใส่ตัวอาซาให้มันเป็นดวงเดียวไม่ได้เหรอ ตอนนายเอาออกไปให้โยชินายทำยังไง”
อาซาส่ายหน้า “ไม่รู้ รู้อีกทีครึ่งหนึ่งก็ไปอยู่ที่โยชิแล้ว”
“เป็นการเคลื่อนย้ายผ่านความรู้สึกน่ะ เรื่องนี้มันพูดยาก ฉันก็ไม่เข้าใจ ตั้งแต่ฉันเกิดมาจนจำความได้ ฉันก็ฝันถึงคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาตลอดกับความหมายของปานที่มีมาติดตัว ไม่มีใครบอกได้เหรอว่าจะทำให้หัวใจบาซิลิสก์รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันดันเดียวกับเหมือนเดินได้ยังไงนอกจาก...” อเล็กซ์เว้นช่วงในขณะที่ทุกคนตั้งใจฟัง
“เว้นแต่อะไร” จูเลียตถาม
“ทายาทของพ่อมดเฮอร์โปร์” อาซาเป็นคนตอบคำถาม
“ใช่ และการที่เอเดนเลือกมาในที่ๆเขาผู้นั้นอยู่ก็แสดงว่าเขาต้องการเปิดศึกกับนายอย่างเห็นได้ชัด” อเล็กซ์สบตาจริงจังกับอาซา อาซาพยักหน้าเข้าใจ
“งั้นก็ตามนี้ พรุ่งนี้เช้าเราจะทำการล่อเอเดนออกจากรังของมันแล้วให้ยอร์ชออกมาหาโยชิ แล้วใครจะไปเป็นเพื่อนโยชิ” เวสตันหันมามองผมก่อนจะกวาดตามองทุกคน “อาซา นายอยู่กับโยชิไม่ได้ พวกนั่นอาจเดาเกมออก”
“งั้นฉันอยู่กับโยชิเอง” อเล็กซ์เอ่ยอาสา
“ก็ดีนะ” ฟรินน์เห็นด้วย
“ฉันยังไงก็ได้” ผมบอก
“โอเค ตกลงตามนี้ แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ศึกใหญ่รอเราอยู่” เวสตันปรบมือก่อนจะลุกขึ้นยืน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน
ผมและอาซากลับมาที่ห้องพัก ผมเปิดโทรศัพท์ดูอีกรอบเผื่อว่าพี่ยอร์ชจะส่งข้อความอะไรกลับมา แต่ไม่มี ผมจึงส่งข้อความไปหาเพื่อยืนยันการนัดหมายของเราอีกครั้ง
‘อย่าลืมนะพี่ยอร์ช พรุ่งนี้แปดโมงเช้าที่ร้านขายดอกไม้ ผมจะไปรอพี่ต้องมาให้ได้นะ’
“นอนเถอะ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” อาซาดันตัวผมให้นอนลงกับเตียง เขาทิ้งตัวนอนเคียงข้าง ตวัดผ้าห่มห่มกายเราเอาไว้ ผมหันเข้าหาเขา กอดเอวสอบพลางซุกหน้าลงกับอกเปลือย
“ฉันไม่อยากให้นายไปสู้กับเอเดนเลย” ผมบอกเสียงสั่น ผมกลัว กลัวว่าความฝันจะเป็นจริง กลับอาซาจะเป็นอะไรไป
“ถ้าฉันไม่สู้ เราก็จะแพ้ เอเดนไม่ปล่อยฉันไว้แน่ๆ ฉันรู้ว่าเขาเอาจริง”
“ไม่มีวิธีอื่นที่จะหยุดยั้งเขาไว้จริงๆน่ะเหรอ”
“ไม่มีหรอก เขาไม่ฟังใครนอกจากตัวเอง”
“ฉันกลัวว่านาย...”
จะตาย
ผมพูดต่อท้ายไม่ออก มันตื้อไปหมด
อาซาเชยคางผมขึ้น แสงจากโคมไฟที่เปิดไว้ทำให้เห็นใบหน้าของเขาถนัดตา
“Listen to me, before I start the war, I better know what’s I’m fighting for”
มือของเขาเช็ดหยาดน้ำที่ซึมอยู่ตรงหางตาให้ ดวงตาของเขาที่จับจ้องผมสื่อทุกความหมาย ทุกความรู้สึกของเขา ผมไม่แม้แต่จะกระพริบตา อยากจ้องมองเขาให้นานแสนนาน ก่อนที่เสียงแหบต่ำของเขาจะช่วยเร่งให้น้ำตาไหลออกมา
“It’s you, Darrel. I fight for you”
“ฮึก” เสียงสะอื้นหลุดจากปาก ผมกลั้นเอาไว้ พยายามไม่ให้น้ำตาไหล เตือนตัวเองว่าจะต้องไม่อ่อนแอ
“นอนซะนะ พรุ่งนี้นายต้องปฏิบัติภารกิจสำคัญ จะตื่นสายไม่ได้หรือไหม” เขาเปลี่ยนเรื่องให้ผมเลิกคิดมาก
“บ้า” ผมบ่นกับอกเขา ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ให้อ้อมกอดของเขาร่ายมนต์ให้ผมหลับฝันดี ฝันว่าเขาชนะเอเดน ฝันว่าอาซาจะคงอยู่กับผมตลอดไป
เช้าวันถัดมา ผมตื่นตั้งแต่ยังไม่หกโมงดี คนอื่นก็เช่นกัน เพราะต่อให้พยายามจะพักผ่อนยังไง แต่ก็ไม่สามารถนอนหลับได้เต็มตา เพราะรู้ดีว่าที่นี่มีภัยรอบตัว เราไม่รู้ว่าเอเดนจะเล่นงานเราตอนไหน เขารู้อยู่แล้วว่าเรามาที่นี่ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ ในเมื่อเขาเป็นคนวางหมากให้เราเดินตามเกม แต่ในเมื่อเราต้องการพลิกกระดาน เราก็ต้องระวังตัวอีกเท่าหนึ่ง
ผมติดต่อพี่ยอร์ชไม่ได้อีกเลยตั้งแต่ข้อความสุดท้ายของเมื่อวาน เช้าตรู่วันนี้เราตื่นแต่เช้าเพราะนอนไม่หลับ ผมเป็นห่วงพี่ยอร์ชจนทานอาหารเช้าที่น่าอร่อยตรงหน้าไม่ลง
“ดูแลตัวเองด้วยนะโยชิ มีอะไรรีบโทรหาฉันทันที” อาซาบอกก่อนที่เขาและคนอื่นๆจะออกไปล่อเอเดนออกจากเพ้นท์เฮ้าส์
“อืม นายก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”
“อืม”
“ฉันฝากโยชิด้วย” อาซาหันไปบอกอเล็กซ์
“ฉันจะดูแลเขาด้วยชีวิตของฉัน”
“ขอบใจ”
อาซากับพรรคพวกตรงไปที่ลิฟต์ ก่อนที่ไปเขาหันมาสบตากับผมจากนั้นจึงก้าวเข้าไปในลิฟต์ ถึงเวลาที่ผมเองก็ต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน
ผมกลับเข้าไปหยิบหมวกในห้องมาเพื่อสวมอำพราง เสื้อผ้าก็ใส่ของที่ฟรินน์หามาให้ เสื้อผ้าฝ้ายสบายตัวกับกางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีเทาเรียบ ยังดีที่ไม่ฉูดฉาดเตะตาใครต่อใครให้หันมามอง ไม่งั้นคงได้โดนพวกเอเดนจับได้ตั้งแต่ก้าวออกจากโรงแรม
“ไม่ใส่หมวกเหรอ” ผมถามอเล็กซ์ เขาดูไม่กังวลเช่นผมที่ออกแนวหวั่นวิตกทุกคนที่เดินผ่าน
“ฉันมีแว่น” เขาชูของที่พูดในมือให้ดู ทันทีที่เราก้าวเท้าออกจากโรงแรมเขาก็สวมมัน
ผมหยุดยืนนิ่ง กดเช็คโทรศัพท์อีกรอบ แล้วก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้รับข้อความตอบกลับจากพี่ชายเสียที ผมก็คิดไปต่างๆนาๆว่าที่พี่ยอร์ชไม่ตอบกลับมาอาจเป็นเพราะเอเดนจับได้ แต่เห็นแบบนี้ก็โล่งใจได้หน่อย
“ไปกันเถอะ พี่ของฉันกำลังจะไปที่นัดหมาย” ผมหันไปบอกกับอเล็กซ์ มองซ้ายแลขวาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติแล้วจึงข้ามถนน เท่าที่สังเกตดูทุกอย่างดูปกติมาก ไม่มีใครสนใจผมกับอเล็กซ์ ทุกคนสนใจแต่กับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่
เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงร้านขายดอกไม้แบบปิด กระจกทึบมองแทบไม่เห็นข้างใน มีผ้าใบสีน้ำตาลอมส้มยืนออกมาจากหน้าร้าน ถ้าไม่ใช่เพราะป้ายร้ายขนาดใหญ่ที่เขียนเอาไว้ว่า Flowers for you กับดอกไม้หลากสีในถังไม้จำนวนหนึ่งที่ตั้งอยู่หน้าร้านก็คงไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นร้ายขายดอกไม้
“นายเข้าไปรอข้างในเถอะ ฉันจะนั่งดูลาดราวที่ร้านกาแฟนี่” อเล็กซ์พูดถึงร้านกาแฟที่อยู่ทางด้านขวาของร้านดอกไม้ที่ผมนัดพี่ยอร์ชไว้
“อืม”
ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน กลิ่นของดอกไม้ที่อบอวลอยู่ในร้านหอมจนผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อซึมซับกลิ่น เหมือนจะมีกลิ่นหอมเย็นๆช่วยให้กลิ่นของดอกไม้ไม่น่าเวียนหัวนักอยู่ด้วย แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นกลิ่นของอะไร
ดอกไม้ในร้านมีหลากหลายสายพันธุ์ทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก จัดวางเรียงติดผนังทั้งสองทั้งที่อยู่บนพื้นและอยู่บนโต๊ะไม้แบบขั้นบันได ตรงกลางก็ใช้โต๊ะแบบเดียวกันที่หันออกทั้งสองด้านที่ทำแบบนี้คงเพราะร้านไม่กว้างมากนัก จึงช่วยให้มีพื้นที่วางดอกไม้ได้เยอะขึ้น ตอนนี้ตัวผมจึงเหมือนกับถูกโอบล้อมไว้ด้วยดอกไม้ทั้งปวง
แอ๊ด~
พี่ยอร์ชหรือเปล่า!?
ผมหันไปที่ประตูเมื่อคิดว่าคนที่เข้ามาในร้านอาจเป็นพี่ยอร์ช แต่ไม่ใช่ เป็นผู้หญิงแก่วัยน่าจะสักห้าสิบได้แล้ว เธออยู่ในชุดออกแนวยุคหกศูนย์ เดรสลายดอกสีฟ้าเขียวสดใส มีผ้ากันเปื้อนผืนเล็กสีขาวผูกไว้ที่เอว เธอยิ้มให้ผมตายีจนปิดอย่างเป็นมิตร ในมือของเธอมีตะกร้าสานใบเล็ก ข้างในนั้นมีขนมปังสามสี่ชิ้นที่ยังคงร้อนเพราะกลิ่นหอมโฉยมาเข้าจมูก กลิ่นเนยและกลิ่นคาราเมล ยังมีโกโก้ร้อนในแก้วกระดาษอีกหนึ่ง ชวนหิวเสียไม่มี”
“ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะพ่อหนุ่ม” คุณยายเอ่ยทักแล้วเดินตรงมาทางผมที่ยืนงง
ยินดีต้อนรับ...อีกครั้ง?
หมายความว่ายังไง
“ทานด้วยกันไหม” เธอเอ่ยกับผม เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ วางตะกร้าลงบนนั้นก่อนจะส่งขนมปังให้ผมหนึ่งชิ้น ผมรู้แล้วคุณยายท่านนี้คงเป็นเจ้าของร้าน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอ่อ ทานมาแล้ว” ผมตอบกลับไปอย่างเกรงใจ ยังคงแปลกใจคำพูดที่เหมือนว่าเธอเคยเจอผมมาแล้วครั้งหนึ่ง
“อากาศวันนี้ดีนะ” คุณยายต่อบทสนทนาระหว่างเรา
“ครับ ก็ดีครับ” ผมตอบครึ่งๆกลางๆ ตอนออกมาจากโรงแรมไม่ได้สังเกตหรือมีกะใจจะดื่อด่ำกับบรรยากาศเท่าไหร่เพราะใจที่พะวงถึงการนัดพบ
“เสียอย่างเดียว” คุณยายถอนหายใจ “จะมีคนที่ต้องจากไปก่อน”
“อะไรนะครับ”
“หืม ฉันก็พูดไปเรื่อย อย่าสนใจเลย จะมาเลือกดอกไม้ใช่ไหมละ ตามสบายเลยนะฉันจะคิดราคาพิเศษให้สำหรับคนพิเศษเช่นเธอ เดี๋ยวนะ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อแอนนานะ ชื่อโหลไปสักหน่อย แต่ก็จำง่ายดี จริงไหม” รอยยิ้มขี้เล่นเข้ากับร้านดอกไม้ได้ดีในความคิดของผม
“ผมชื่อ...” ผมหยุดเพราะคิดว่าไม่ควรเอ่ยชื่อให้คนแปลกหน้ารู้โดยเฉพาะในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ แต่สายตาที่คาดหวังอยากรู้ชื่อของผมก็ทำให้ผมปฏิเสธที่จะแนะนำตัวเองไม่ลง
“ชื่อดาร์เรลครับ” ไม่นับว่าเป็นการโกหก ในเมื่อดาร์เรลเป็นชื่อของผมจริงๆ แม้จะเมื่อนานมาแล้วก็ตาม
“ดาร์เรล อ่าใช่ ใช่แล้ว นั่นชื่อของเธอ ดาร์เรล”
“คุณเป็นใคร” ผมตัวชาเมื่อรับรู้ความไม่ปกติ คิดผิดหรือเปล่าที่นัดพี่ยอร์ชมาที่นี่ ที่ๆดูท่าว่าจะไม่ปลอดภัย
“เธอรู้อะไรไหม สิ่งเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่างเปลี่ยนขาวให้กลายเป็นดำ เปลี่ยนดำให้กลายเป็นขาวคืออะไร” คุณยายไม่ตอบคำถามผม เธอถามกลับมาด้วยใบหน้าอ่อนโยน
“เอ่อ ผมไม่ทราบครับ”
“ง่ายนิดเดียวเด็กน้อยเอ้ย ความรักอย่างไรล่ะ จงใช้ความรักแก้ไขทุกสิ่ง แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
“...!?” ผมไม่เข้าใจ ยังไม่ทันได้รู้เรื่องใบหน้าของหญิงชราก็แปรเปลี่ยนเหมือนไม่ได้เพิ่งจะพูดความนัยทิ้งไว้ หรือไม่ก็เป็นการกระทำที่ต้องการจะตัดบท
“เอ๋ ฉันเอาสมุดจดบัญชีไปไว้ตรงไหนน้า แหม ฉันนี่ก็แกมากแล้ว หลงๆลืมๆป้ำๆเป๋อๆ จนคนแถวนี้เขายังหาว่าฉันเป็นคนสติไม่ดี ชอบพูดจาเพ้อเจ้อ เฮ้อ ฉันนี่มันแย่จริงๆ”
ไม่หรอก คุณยายไม่ได้สติไม่ดีหรือพูดจาเพ้อเจ้อ ผมไม่คิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย
คุณยายหยั่งรู้เกินมนุษย์ปกติทั่วไปต่างหาก ซึ่งผมคิดว่าคุณยายน่าจะไม่ใช่คนปกติธรรมดา แต่ผมก็ไม่รู้ว่าคุณยายเป็นอะไร ระหว่างงู เสือ หมาป่า หรือว่าสิงโต
แอ๊ดดด~
“โยชิ”
เสียงอ่อนนุ่มทุ้มหูเรียกผม พี่ยอร์ชมาแล้ว ผมหันขวับไปทางประตู สาวเท้าเร็วจนไม่ต่างอะไรกับวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายที่รักแน่น
“พี่ยอร์ช ผมเป็นห่วงพี่แทบแย่”
พี่ชายของผมกอดผมแน่นไม่ต่างกัน “พี่ขอโทษที่ไม่เชื่อเราตั้งแต่แรก”
“ไม่เป็นไร ก็พี่ไม่รู้นี่น่า” ผมปล่อยตัวพี่ยอร์ช จับร่างสูงกว่าพลิกซ้ายและขวาเพื่อหาความผิดปกติ แต่พี่ยอร์ชดูปลอดภัยครบสามสิบสองไม่มีอาการบาดเจ็บตรงไหน
“เขาไม่รู้ใช่ไหมว่าพี่ออกมา” ผมถามเสียงเบาอย่างร้อนใจ เหลือบมองคุณยายเจ้าของร้าน ท่านฮัมทำนองเพลงในลำคอก้มหน้าทำอะไรสักอย่างอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ไม่น่าจะ ก่อนพี่ออกมาเขาบอกกับพี่ว่ามีธุระต้องออกไปข้างนอก สั่งให้พี่อยู่แต่ในบ้านอย่างเดียวห้ามออกไปไหน กำชับด้วยว่าห้ามออกไปอย่างเด็ดขาด” พี่ยอร์ชหน้าเคร่งเครียด
“อาซากับคนอื่นๆออกไปล่อให้เอเดนออกห่างจากพี่เอง พี่ยอร์ชจะได้ออกมาอย่างปลอดภัย” ผมเฉลย
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
ผมมองซ้ายขวา “เราคุยเรื่องนี้กันที่นี่ไม่ได้ โยว่าเรารีบกลับไปโรงแรมที่โยพักก่อนเถอะ แล้วโยจะเล่าทุกอย่างทุกเรื่องให้พี่ฟัง”
“ก็ดี”
“เดี๋ยวนะพี่” ผมกวาดสายตามองดอกไม้ก่อนจะเดินไปหยิบดอกไม้ชนิดหนึ่งมาหนึ่งช่อเล็ก ยิบโซฟิล่า...ผมเดินไปหาคุณยายเพื่อจ่ายเงิน เข้ามาอาศัยร้านเขาแต่ไม่คิดจะซื้ออะไรก็น่าเกลียด
“เท่าไหร่ครับคุณยาย”
“หืม อ่อ ดอกยิบโซฟิล่า เอาไปเถอะพ่อหนุ่ม ฉันให้ฟรี”
ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “อย่าเลยครับ ของซื้อของขาย ผมรับฟรีๆไม่ได้หรอกครับ”
“ฉันให้ตอบแทนที่เธอคุยเป็นเพื่อนคนสติไม่ดีอย่างฉันในเช้าวันนี้” เป็นรอยยิ้มที่จริงใจขัดกับคำพูดเคลือบแคลงที่ยังค้างคาใจในตัวตนของหญิงชรา
“แต่...” ผมรีบมาก แต่ก็ไม่อยากได้ไปฟรีๆ
“รับไปเถอะ ถือเป็นกำลังใจจากฉันก็แล้วกัน”
“กำลังใจ?” ผมทวนคำซ้ำ
คุณยายไม่ตอบ แค่ยิ้มเท่านั้น ผมทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่นานไปมากกว่านี้ ผมยกมือไหว้เป็นการขอบคุณ
“ขอบคุณครับ”
“ว่างๆก็แวะมาอีกนะพ่อหนุ่ม”
ถ้าเราทุกคนในที่นี้สามารถเอาชนะเอเดนได้ ผมสัญญาผมจะกลับมาอีกครั้งนะครับ
ผมตอบคุณยายในใจ เดินกลับไปหาพี่ยอร์ชที่ยืนมองนิ่ง เราก้าวไปที่หน้าประตูร้าน แต่ประตูกลับถูกเปิดจากด้านนอกอย่างรุนแรง ผมสะดึ้งตกใจ พี่ยอร์ชกอดไหล่ผมกระชับเข้าหาตัวพลางถอยห่างหนึ่งก้าว คนที่เปิดประตูไม่ใช่พวกของเอเดน แต่เป็นอเล็กซ์ในสภาพสีหน้าหวั่นวิตก
“รีบไปเร็ว ฉันว่าพวกเอเดนรู้แล้วว่าพี่ของนายออกมาเจอเราที่นี่”
“อะไรนะ!!!”
รู้ได้ยังไง ในเมื่อ
“ไม่มีเวลามาตกใจแล้ว ออกมาเร็ว เราต้องรีบกลับโรงแรม!” อเล็กซ์เปิดประตูกว้างขึ้นให้พวกเราเดินออกไป ก่อนจะพ้นขอบประตู ผมหันกลับไปมองคุณยายอีกครั้ง และครั้งนี้ผมแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าคุณยายไม่น่าไว้วางใจ เธอส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ ถ้าไม่มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไปหนัก สาเหตุที่เอเดนรู้เรื่องที่ผมกับพี่ยอร์ชนัดเจอกันน่าจะเป็นเพราะคุณยายเจ้าของร้านคนนี้!
ไม่อย่างนั้นเอเดนจะรู้ได้ยังไง
ออกมาจากร้าน อเล็กซ์เดินไปคนละทางกับที่มา พี่ยอร์ชเดินคู่ผม มือก็จับที่ต้นแขนของผมให้ก้าวขาตามให้ทัน ผมหันไปมองด้านหลังเป็นระยะว่ามีใครตามมาไหม ทำไมผมรู้สึกต่างจากขามา เหมือนว่ามีคนกำลังจ้องมาจากทั่วทิศ
“คิดว่าเราควรเดินริมถนนหรือตามซอยดี” อเล็กซ์หยุดเดินที่หน้าซอยๆหนึ่งเพื่อหาทางหนีกลับโรงแรมก่อนที่เอเดนจะตามมาเจอเรา
“เดินตามริมถนนใหญ่จะเป็นที่สังเกตง่ายๆ แต่ตามซอยคนน้อยอันตรายไม่แพ้กัน” พี่ยอร์ชออกความเห็นพลางลอบมองรอบตัวไปด้วย
“โยชิ เลือก” อเล็กซ์โยนสิทธิ์การตัดสินใจมาให้ผม
“ทำไมต้องฉัน” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองงงๆ
“เร็ว เลือกเลย เรามีเวลาไม่มาก ดูนู่น ฉันว่านั่นน่ะลูกน้องเอเดน” เขาชี้ชวนให้ผมกับพี่ยอร์ชมองไปทางด้านหลัง เห็นแล้วผมอยากจะสบถออกมาเป็นภาษาบ้าบออะไรก็ได้
ผู้ชายกลุ่มใหญ่กว่าสิบคนเดินมุ่งหน้าตรงมาทางเรา มองจับจ้องเราเหมือนสัตว์จ้องล่าเหยื่อ ไม่ต้องไตร่ตรองอะไรมากว่าควรไปทางไหน เพราะวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือ...หนี!
“ตรอก ฉันเลือกตรอก!” เพราะเป็นหนทางเดียวตรงหน้าที่เราสามารถเลือกและเร็วที่สุดที่จะกลับเข้าไปในโรงแรม
ผมวิ่งสุดฝีเท้า มือพี่ยอร์ชเลื่อนมาจับมือผมไว้แน่นให้รู้ว่าพี่ยอร์ชจะไม่มีทางปล่อยมือ อเล็กซ์วิ่งซ้ายขวาอย่างไม่ต้องตัดสินใจมาก ไม่รู้ว่าเขารู้ทางไหม แต่ผมกับพี่ยอร์ชได้แต่วิ่งตามโดยไร้ซึ่งความสงสัย ขาเหมือนจะลดความเร็วลงไม่ได้ยามที่เราเจอสิ่งกีดขวางเป็นรั้วเหล็กความสูงเท่าเอวขวางกั้นอยู่ตรงหน้า อเล็กซ์กระโดดข้ามไปอย่างกับนักวิ่งกระโดดข้ามรั้ว พี่ยอร์ชปล่อยมือผมแล้วก็กระโดดตามไปอย่างปลอดภัย ผมเกิดความลังเลชั่วขณะว่าผมจะทำได้ไหม แต่ขาที่ไม่ได้หยุดวิ่งและสถาณการณ์เลวร้ายที่จวนตัวทำให้ตัวของผมลอยข้ามพ้นรั่วเหล็กมาได้ ทางตรงหน้าคือทางออกสู่ถนนใหญ่ และฝั่งตรงข้ามนั่นก็คือโรงแรมที่เราพักอยู่
ผมยิ้มกว้างเหมือนรู้สึกว่าตัวเองรอด ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปเมื่อทางสว่างนั้นมืดมิดลงทันตาเพราะกลุ่มชายนับสิบยืนปิดเส้นทางออก เราสามคนหยุดวิ่งกระทันหันแบบไม่ต้องคิดจนได้ยินเสียงรองเท้าครูดกับพื้นปูน หันไปด้านหลังเพื่อที่จะวิ่งกลับทางเดิม แต่ก็มีคนกระโดดลงมาจากตึกเพื่อตัดหน้า เป็นคนที่...เรากำลังหนี
“ฉันก็สั่งแล้วน้าว่าให้นายอยู่แต่ในห้องห้ามออกไปไหน รนหาที่จริงๆเลยนะยอร์ช” .
.....................................
เหอะๆๆ เอเดนมันร้ายกาจ ใครเอาอยู่นี่สุดยอด
ไม่มีอะไรทอร์คแฮะ 
อ่านแล้วเม้นแสดงความคิดเห็นกันหน่อยนะตัวเอง เค้าอยากอ่านเป็นกำลังใจ เดี๋ยวตอนหน้าจะมาให้ไม่เกินอาทิตย์เลย
รักทุกคน จุ๊บบบ 
ป.ล. ยังมิได้แก้คำผิด พิมพ์เสร็จแล้วเอาลงเลย จะมาแก้ให้ทีหลังนะคะ ขอตัวไปพักสายตาก่อน >.<