http://www.youtube.com/v/0x38rbfg3Ds (**** ตัวเอียงคือคำพูดที่ผ่านมาแล้วในตอนก่อน ๆ นี้*******)
# 6 ผมเอย์ตั้น คุณชายของไอ้หมาปิง “เต็มถัง”
“ชำระเป็นเงินสดหรือบัตรครับ”
“เงินสด”
“1700 บาทครับพี่”
“ที่เหลือเก็บเอาไว้” ผมยื่นจ่ายใบพันไปสองใบ เด็กปั๊มโค้งคำนับให้แล้วรีบวิ่งมาโบกให้รถออกได้อย่างสวยงาม
“ไอ้เอย์แม่งนิสัยป๋าแก้ไม่หายสักทีว่ะ มึงทิปหนักเกินไปหน่อยไหม” ไอ้ฟิวส์เพื่อนสนิทที่ตอนนี้มันชิงตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถผมมาจากไอ้พวกสี่คนที่เหลือได้สำเร็จ ยักษ์พวกนั้นจึงต้องอัดกันนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
“กระเป๋ากูไม่มีใบร้อยกับใบห้าร้อยเลย”
“สัส กูไม่ได้หมายความถึงแบบนั้น อย่ามาเฉเรื่อง”
“ช่างดิ่แม่ง กูอยากให้อ่ะ กูรวยทำไม”
“ถุยไอ้คุณชาย มึงนี่มันใช้เงินจนเคยตัวสักวันไม่มีขึ้นมาจะรู้สึก”
“แล้วมันจะมีวันนั้นเหรอวะ” เสียงไอ้บีมและพรรคพวกคนอื่น ๆ ที่ด้านหลังดังขึ้นพร้อมกัน พวกเพื่อน ๆ เป่าปากพากันวี๊ดวิ๊ว
“คุณเอย์ตั้นทายาทเจ้าของบริษัทรถยุโรปนำเข้าสุดหรูชื่อดังทั้งยังเป็นทายาทเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกไม่รู้กี่สิบที่ ต่อให้มันผลาญเก่งขนาดไหน ใช้ให้ตายก็ไม่มีวันหมดหรอกสมบัติของย่ามันน่ะ”
ผั๊วะ!! ผมจัดการเบิร์ดกระโหลกมันไปที โทษฐานพูดมาก ถึงจะเป็นความจริงผมก็ไม่อยากโดนล้อนี่ แต่ก็นะพวกเราก็ขำกันไปทั้งรถนั่นแหละ
ผมเอย์ตั้น วิศวฯโยธา ปีสี่ มหาลัยเหรอครับ? มอรัฐฯแถวสยามนั่นแหละ ช่วงนี้ออกพื้นที่บ่อยมาก มีสอบนอกพื้นที่อยู่ตลอดเพราะเราต้องลงไปดูสถานที่จริง ทั้งการออกแบบตึกสูง ถนน รวมถึงสะพานและเขื่อน โครงสร้างจริงที่ไม่ใช่เฉพาะทฤษฎีเหมือนที่เรียนกันเมื่อปีก่อน ๆ อีกแล้ว วันนี้ก็ถือว่าจบไปอีกหนึ่งควิส ผมและพรรคพวกเลยออกมาหาอะไรดี ๆ กินหลังสอบเสร็จ
“ไอ้เอย์ เดี๋ยวกูพามึงไปดูอะไรดี ๆ เผื่อว่าไอ้นิสัยคุณช้ายคุณชายป๋าจ๋าของมึงจะลดๆดีกรีลงได้บ้าง”
“อะไร” ผมถาม ไอ้ฟิวส์หันไปกำลังหันไปซุบซิบอะไรสักอย่างกับไอ้พวกข้างหลัง เห็นหัวเราะกันใหญ่
“ขับไปตามที่กูบอก”
“เหี้ยเหอะ กูต้องเชื่อมึง?”
“เออน่า วันเดียว”
ความจริงผมไม่ได้ถนัดเรื่องหาของแปลกๆกินหรอกนะ แต่วันนี้พิเศษนิดหน่อยเลยได้รับหน้าที่เป็นสารถีให้พวกมันหนึ่งวัน จริง ๆ แล้วกลุ่มพวกผมมีรถกันทุกคนนะ แต่วันนี้เราสอบนอกพื้นที่ใช่ไหมเพราะงั้นมันเลยลงเสียงกันว่าให้เอารถผมมา เพราะถนนมันค่อนข้างทุรกันดารเผื่อรถพังขึ้นมา ผมที่บ้านทำธุรกิจนำเข้ารถอยู่แล้วถอยใหม่ได้เรื่อย ๆ ไม่มีปัญหา
เจริญเนาะ เพื่อนใครกันวะ ตรรกะไหนของมัน
“ที่นี่เหรอวะ” ผมก้าวลงจากรถแล้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ร้านส้มตำอาหารอีสานเล็ก ๆ คือถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับร้านอาหารตามโรงแรมที่ผมชอบไปนั่งบ่อย ๆ มีโต๊ะนั่งแปลก ๆ ที่ปูผ้ายางราคาถูกอยู่ห้าหกโต๊ะ กับหลังคาร้านที่มีสังกะสียื่นออกมาเพื่อกันฝน คือมันจะรันทดไปไหน ผมเห็นนี่ยังตกใจเลยนะถ้าฝนตกขึ้นมานี่มันจะรั่วไหมอ่ะ
“น้อง ๆ ออเดอร์หน่อย” เสียงไอ้ฟิวส์เรียกเด็กนักเรียนในชุดเทคนิคเทคโนอะไรสักอย่าง ให้เข้ามารับออเดอร์ ปลุกผมที่กำลังมองสำรวจสภาพร้านอย่างอึ้ง ๆ เราหกคนต่อโต๊ะแล้วนั่งลง
“ได้เลยครับพี่”
“ตำลาวปูปลาร้า จัดเต็มเผ็ดสลบ......... เสียงไอ้ฟิวส์สั่ง ๆๆ อาหารที่มันชอบ ผมเริ่มคิ้วกระตุกเพราะอาหารที่มันกำลังออเดอร์กับน้องเขาอยู่ผมกินไม่ได้เลยสักอย่าง ขณะที่เจ้าเด็กรับออเดอร์นั่นกำลังจะเดินออกไป ผมเลยเรียกมันไว้
“มีข้าวผัดกุ้งหรือเปล่า” ผมถามมัน
ผมรู้หรอก ดูมันมองหน้าผมสิ แค่ผมถามถึงข้าวผัดกุ้งในร้านที่ขายส้มตำอีสาน ถ้ามันไม่มีก็แค่บอกกันดี ๆ สิวะ ชักสีหน้าใส่ผมทำไมแถมทำหน้าตาประหลาดๆ มันนิ่งไปสักพักก่อนพูดว่า เดี๋ยวมันสั่งผัดไทยจากร้านข้าง ๆ มาให้แต่ขอคิดค่าข้ามร้านนิดหน่อย
ผมเริ่มใจชื้นขึ้นหน่อยดีใจที่อย่างน้อยก็น่าจะมีสิ่งที่ผมกินได้แม้จะไม่ค่อยชอบ หรือเป็นอาหารถูก ๆ แต่ผัดไทยก็โอเคนะสำหรับผม ทว่าพอน้องมันบอกราคาว่าจานละสี่ร้อยหกสิบเท่านั้นแหละ อารมณ์ผมนี่ดิ่งวูบลงเหวเลยนะครับ หนอยยย หน้าตาก็น่ารักดีอยู่หรอก อุตส่าห์นึกชมอยู่ในใจเห็นวิ่งเสิร์ฟอาหารช่วยแม่ เด็กดี ๆ ขยันขันแข็งแบบนี้หายากส่วนใหญ่จะอายไม่ค่อยกล้ามาอยู่ช่วยงาน แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมองมันเหรอครับ หึหึ
ในเมื่ออยากได้มากใช่ไหม สี่ร้อยกว่าบาท ผมจัดให้เลย!
“เอาดิ แค่สี่ร้อยกว่าบาท เศษตังค์!” ผมเน้นให้มันได้ยินชัด ๆ กันไปเลย
คุณเชื่อไหมตอนเจ้าเด็กมหาโหดนั่นเข้ามาเก็บเงินผมนั่งเฉยเลยนะ ปกติไปไหนผมจ่ายตลอด ผมนิ่งจนไอ้ฟิวส์ควักจ่ายเองนั่นแหละ แล้วคุณอย่าคิดว่าจะได้ทิปจากมันนะ ไอ้ฟิวส์รวยก็จริงครับแต่ไม่เคยจ่ายทิปให้ใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“พันสองร้อยยี่สิบบาทครับพี่ ผมลดให้ยี่สิบบาทละกันถือว่าขอโทษที่ทำเสื้อเพื่อนพี่เปื้อน” หึหึหึ มันว่ามันลดให้พวกผม?? แล้วกำไรค่าผัดไทยกุ้งตัวกระจิ๋วโคตรธรรมดาที่มันบวกเพิ่มไว้แล้วไม่รู้กี่ร้อยเปอร์เซนต์นั่นล่ะวะ ถ้าผมจ่ายเองนะผมให้ใบพันสองใบแน่นอนอยู่แล้วเงินทอนผมไม่เอาเพราะกะว่าจะทิปหลังจากที่ไอ้ฟิวส์มันเฉลยว่าพาผมมาที่ร้านนี้ทำไม
“ไอ้เอย์ มึงดูไว้นะคนที่เขาลำบาก คนที่เขาเด็กกว่ามึงวิ่งทำงานสายตัวแทบขาดหาเงินช่วยแม่ มึงว่าไอ้เด็กนี่มันน่ารักไหมวะ กูโคตรจะนับถือมันอ่ะ วัยนี้มันต้องเที่ยว ดื่ม กินใช่ไหม แต่กูมาร้านนี้กับพี่สาวกูทีไรแม่งอยู่เสิร์ฟอาหารช่วยแม่ตลอด”
แล้วเป็นไงล่ะ เจ้าเด็กบ้าแทนที่มันจะได้ทิปหนัก ๆ ตั้งแปดร้อยเลย สมน้ำหน้าอยากได้เงินสี่ร้อยดีนัก เพราะงั้นแปดร้อยอดไปก่อนนะไอ้น้อง หึหึ
ติ๊ดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดด
“เอย์ มีคนกดเรียกแหน่ะ”
“หือ? ใช่เหรอ หยีหูดีจังครับ เอย์ไม่เห็นได้ยินเลย”
ผมพูดงัวเงีย นอนกอดยาหยีสาวน้อยหน้ารัก เด็กบัญชีมหาลัยเดียวกันนั่นแหละครับ พูดง่าย ๆ หยีก็หนึ่งในกิ๊กผมคนหนึ่งเหมือนกัน เจอกันไม่บ่อยหยีเองก็มีแฟนแล้ว ช่วยไม่ได้เมื่อคืนผู้หญิงเขาว้อนท์ผมเลยจัดเต็มให้อย่างไม่มีปัญหา ลากยาวกันมาจนถึงเย็นของอีกวัน
ติ๊ดดดดดดดด ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดด
“จิ๊! งั้นหยีลุกไปอาบน้ำนะครับ เดี๋ยวเอย์ออกไปจัดการเอง” ผมจิ๊ปากอย่างหัวเสียก่อนลุกจากเตียงคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่ตกเรี่ยราดอยู่ที่พื้นขึ้นมาพันเอวไว้ เดินออกไปกดถามว่าใครกันที่มากดเรียก พออีกฝ่ายบอกมาว่าเป็นคนทำความสะอาดที่ผมเคยไปติดต่อคุณป้าที่เป็นแม่บ้านประจำของที่นี่ไว้ ผมเลยบอกให้เขารอสักครู่ จำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อเช้าเจอป้าแกเอาข้าวขึ้นมาส่ง แกบอกผมไว้แล้วว่าวันนี้จะมีคนมาให้ผมพิจารณา
“อ้อ รอสักครู่” ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวหลังจากหยีอาบเสร็จไม่นาน คือรีบที่สุดแล้วนะปกติผมจะนานกว่านี้นิดหน่อย เห็นใจเหมือนกันเพราะผมปล่อยให้ใครสักคนที่มาติดต่อธุระกับผมต้องคอย แต่ทำไงได้ล่ะครับ คือผมเองก็แต่งตัวไม่เรียบร้อยเหมือนกัน จะให้เข้ามาในสภาพที่พวกผมสองคนเป็นแบบนี้ก็คงไม่ได้
“เดี๋ยวหยีออกไปเปิดให้เขาเข้ามาละกันนะเอย์” ผมติดตะขอสร้อยเส้นเล็ก ๆ ที่ทำของเธอหลุดไปเมื่อคืนให้ที่ลำคอขาวเรียว เธอหันมาจูบที่แก้มผมหนึ่งทีก่อนเดินออกไปจากห้อง ผมเองกำลังจะเดินตามออกมา
“เข้ามาสิคะ” เสียงหยีดังขึ้น ผมที่เดินตามกันไปติด ๆ ถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นว่าใครที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง
“ยืนงงอยู่ทำไม รีบเข้ามาเร็วเข้า” เรียกเข้ามาก่อนละกัน แล้วค่อยว่ากันอีกที เดี๋ยวขอดูหน้ามันดี ๆ อีกครั้งซิ ทำไมมันคุ้นหน้าจังวะ คล้ายไอ้เด็กมหาโหดร้านตำไทยตำลาววันที่ไอ้ฟิวส์มันพาไปกินเลย
พอมันเดินเข้ามาเท่านั้นแหละ หึหึ
มันใช่! มันนั่นแหละ ไอ้เด็กคนนั้น!
ผมบอกให้มันนั่งรอเพราะจะเดินลงไปส่งหยีด้านล่าง พอผมขึ้นมาเห็นมันนั่งหัวยุ่งทำหน้าทำตากวนประสาทคล้ายคนเสียเส้น ผมเลยจัดการสั่งๆๆแล้วก็สั่ง ยื่นการ์ดสำรองของห้องนี้ให้มัน ไม่ใช่ว่าไว้ใจอะไรหรอกครับผมเชื่อในตัวของป้าพนักงานคนนั้นมากกว่าเคยจ้างแกมาทำพิเศษอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่พักหลัง ๆ พอติดต่อไปแกชอบให้ผู้หญิงสาว ๆ มาทำแทน แล้วคนพวกนั้นชอบมาให้ท่าให้ทางคือผมก็พอจะดูออกอ่ะนะ ไม่ชอบผู้หญิงแบบนั้นเท่าไหร่ ผู้หญิงที่เหมือนให้ท่าและจ้องจะจับผมอยู่ตลอด
คืนนั้นผมมีงานการกุศลที่ต้องไปกับคุณย่า ผมออกมาตั้งแต่ตอนนั้นปล่อยห้องของตัวเองไว้กับไอ้เด็กประหลาด โดยไม่ลืมที่จะวางเงินค่าจ้างไว้ให้ห้าใบ
นั่นผมตั้งใจนะ ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะให้หมดทั้งห้าใบที่วางไว้หรอก แต่ตั้งใจจะดูว่าคนแบบเจ้าเด็กนั่นมันจะหยิบเอาไปกี่ใบกัน
ผมกลับมาถึงห้องราว ๆ ห้าหกทุ่ม คุณเชื่อไหมห้องผมสะอาดและเรียบร้อยมาก ตอนแรกคิดไว้ว่าหากใช้ให้เด็กผู้ชายมาทำความสะอาดดูแลให้ ผมคงต้องทำใจว่ามันคงจะไม่ค่อยสะอาดหรือเป็นระเบียบมากมายอะไรแต่คงจะดีกว่าถ้าต้องปวดหัวกับเรื่องผู้หญิงที่จะตามจิกตามผมอ่อยผมอยู่ตลอด
“หยิบไปแค่ใบเดียวเหรอเนี่ย ฮึ เป็นเด็กดีเหมือนกันนี่หว่า” ผมพูดพึมพำกับตัวเองทันทีที่เข้ามาถึงห้องอาบน้ำแต่งตัวแล้วนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเคลียร์รายงานต่าง ๆ ไม่มีอะไรที่ถูกรื้อ ข้าวของทุกอย่างของผมยังอยู่ในสภาพเดิม มีแต่ความสะอาดสะอ้านเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นมา
“อืมม ~ ~ ~”
ผมนอนหลับตาอมยิ้มซุกหน้าลงที่หมอนสีขาวนุ่มนิ่มใบโปรด ไม่รู้เมื่อกี้ฝันอะไรเหมือนกัน เหมือนได้ยินเสียงใครสักคนร้องเพลง อากาศเย็น ๆ จากแอร์ทำเอาผมไม่อยากตื่นเลยจริง ๆ นะ
ป๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หืม?
ป๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หืม? เสียงอะไรวะ
ป๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เฮ้ย! คราวนี้ผมลุกเลย ลองเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังลอดออกมาจากด้านนอกดี ๆ อีกครั้ง พอมั่นใจว่าเสียงแปลกประหลาดนี้น่าจะมาจากใครสักคนที่อยู่ด้านนอกแน่นอน
“เสียงอะไรวะแม่ง!!!” แค่นั้นแหละครับที่ผมสบถและหัวเสียอยู่ได้ เพราะทันทีที่ผมเห็นบุคคลที่ยืนอยู่หลังเคาเตอร์อาหารในครัว ทุกสิ่งทุกอย่างของผมเหมือนหยุดลงชั่วขณะ คุณรู้ไหมผมเพิ่งค้นพบว่าผมจ้างคนเสียเส้นมาทำงานบ้านให้ มันคืออะไรกันวะกับไอ้ชุดหลุดโลกแบบนั้น คือเห็นผมเป็นแบบนี้แต่ผมก็พอจะรู้นะว่าไอ้ชุดกันเปื้อนมันต้องคู่กับหมวกผ้าคลุมผมใช่ไหม แต่นี่มันเพี้ยนถึงขนาดเอาหมวดพลาสติกใส่อาบน้ำมาจัดเข้าชุดกันกับผ้ากันเปื้อน มันช่างคิดได้ โอ๊ยยยย พิโถ่พิถังกะละมังแตกหม้อไหทองคำ ไอ้ปิงมันบ้า มันบ๊อง มันเสียเส้น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆกร๊ากกกก โอ๊ยยยยยย กูขำ ไอ้ปึงมึงแต่งตัวอะไรของมึงเนี่ยบ้ารึเปล่า โอ๊ยยยยยย กูตลก โอ๊ยยช่วยกูด้วย อย่างฮา มึงๆ โอ๊ยยยยย กูขำมาก” ผมหัวเราะจนตัวงอเลยนั่นแหละตาย ๆ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นใครบ้าแล้วก็บ๊องได้เท่าไอ้เด็กนี่เลย ผมขำจนแทบจะร่วงกองลงที่พื้นถ้าไม่ติดว่า กำลังเอะใจว่ามันกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ผมเลยเดินเข้าไปชะเง้อดูใกล้ ๆ
“นี่มึงกำลังทำอะไรเนี่ย”
“ผมกำลังทำอาหารให้พี่ทานไง ตอบแทนน่ะตอบแทน แล้วก็ไถ่โทษเรื่องที่ผมแกล้งพี่ตอนนั้นด้วย” พอผมถามว่ามันกำลังทำอะไรก็ไม่ยอมบอก บอกมาแต่ว่ารับรองอร่อยเด็ดสุดอะไรของมัน ผมเลยเดินเลี่ยงว่าจะเข้าไปอาบน้ำ พอนึกขึ้นได้เรื่องเงินค่าจ้างเลยถามดูว่าทำไมถึงหยิบไปแค่นั้น ปรากฏว่าคำตอบที่หมาปิงมันตอบมานี่ทำเอาผมแทบสำลัก
“เปล่า แต่ผมคิดค่าจ้างแค่ใบเดียวนั่นแหละ นี่ผมยังเจียดเอามาทำอาหารให้พี่ทานได้ด้วยนะ เห็นไหมว่าผมเป็นเด็กดีช่วยนายจ้างประหยัดเงินมากขนาดไหน พี่น่ะก็ประหยัด ๆ ไว้บ้างเถอะยังเรียนอยู่เลยไม่ใช่เหรอทำไมใช้เงินเกินตัวนักล่ะ” คือผมก็รู้ล่ะนะว่าตัวเองเป็นยังไงแบบไหน แต่มันคืออะไรเหรอวะที่เด็กน้อยอย่างมันมีหน้ามาสอนผมเรื่องการใช้เงินใช้ทองเนี่ย บ้านผมรวยทำไมอ่ะ ผมใช้เท่าที่ผมอยากใช้แหละ ของใช้เสื้อผ้าอะไร ๆ ผมก็มีครบ หันมองไปทางไหนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็เตรียมพร้อมไว้ให้หมด แต่บางครั้งนะผมรู้สึกเหมือนกันว่าผมขาดอะไรบางอย่างไป แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรที่ผมมีไม่พอ สิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่ามันยังไม่เติมเต็ม สิ่งที่ผมรู้สึกอยู่เสมอว่ามันขาดหายไป
ผมนั่งมองอาหารสองอย่างที่เจ้าเด็กบ๊องมันตั้งใจทำให้ผม มีข้าวเปล่าร้อน ๆ เพิ่งคดออกจากหม้ออีกหนึ่งจาน ข้าวน่ะหอมมากเลย แต่ไอ้กับสองอย่างนี่ผมสาบานผมไม่เคยกินเลยจริง ๆ มันคืออะไรเหรอครับ เจ้าปิงมันบอกว่าลาบกับเอ็นไก่ชุปแป้งทอด
ผมเงยหน้ามองใบหน้าที่กำลังจดจ้องผมราวกับกำลังลุ้นว่าผมจะตักอาหารจานไหนของมันก่อน รู้สึกผิดหน่อย ๆ เหมือนกันนะ เพราะผมคิดว่าตัวเองไม่สามารถกินลงไปได้เลยสักจาน
จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี ผมเฝ้านึกอยู่ในใจ เจ้าเด็กนี่อาจจะต้องเสียใจแน่ ๆ ความจริงปิงมันก็ทำให้ผมหัวเราะได้ มีความสุขได้ในเวลาที่ผมเครียด บางครั้งผมยังแอบสงสัยตัวเองเหมือนกัน แค่นึกถึงหน้าตากับท่าทางของมันผมถึงอมยิ้มได้ขนาดนั้นเลย
“วันนี้มึงต้องรีบกลับรึเปล่า”
“ก็ไม่ได้ไปไหนนะครับ นอกจากไปช่วยแม่ที่ร้าน”
“ไปซื้อของกับกูหน่อย เดี๋ยวจ่ายค่าล่วงเวลาเพิ่ม”
“ได้เลยครับผม” มันตอบรับด้วยใบหน้าทะเล้น ๆ ที่แสนจะเบิกบาน แน่นอนสิผมใช้เรื่องค่าแรงมาล่อมันนี่ จริง ๆ ปิงเป็นเด็กดีนะครับ เขาแค่ต้องการเงินค่าแรงของเขาไม่เคยคิดอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของ ๆ ตัวเองเลยนะ ในห้องนอนผมจะมีพวกแบงค์ปลีกย่อยต่าง ๆ ที่ผมมักไม่ชอบใช้ ยกตัวอย่างเช่นเวลาไปซื้อของที่เซเว่นหรือร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ จะมีเงินทอนใบร้อยใบยี่สิบห้าสิบหรือใบห้าร้อยรวมถึงเศษตังค์เหรียญ ซึ่งเงินพวกนี้ผมมักจะวางไว้บนโต๊ะไม่ก็ในลิ้นชักที่ไม่ได้ล็อค
ปิงทำความสะอาดให้ผมก็จริงแต่ไม่เคยหยิบอะไร ๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเองออกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว จริง ๆ ถ้าหยิบนี่ผมไม่รู้เลยนะ คิดไปคิดมาโชคดีมากที่ได้ปิงมาทำงานด้วย วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายมากไปหน่อยเดี๋ยวจะพาเจ้าติงต๊องนี่ออกไปเลี้ยงข้าวสักมื้อละกัน และที่สำคัญเพื่อไม่ให้เป็นการหักหาญน้ำใจ ต่อไปถ้ามันอยากจะทำอาหารให้ผมทานอีก จะได้ไม่ต้องมานั่งรู้สึกผิดกันทั้งคู่ มันเองก็คงรู้สึกผิดที่ทำในสิ่งที่ผมกินไม่ได้ ส่วนผมเองก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถกินในสิ่งที่มันอุตส่าห์ตั้งใจทำ เพราะอย่างนั้นผมตั้งใจจะซื้อตำราอาหารดี ๆ สักเล่มสองเล่ม เอาไว้ให้มันทำให้ผมกิน
ตอนที่เราอยู่กันในลิฟต์มีคำพูดนึงที่ผมฟังสะดุดกึก ถึงกับต้องหันมองมันดี ๆ
“ผมใส่ชุดนี้ไปกับพี่ได้เหรอ” ปิงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาสูง วันนี้มันใส่แค่เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงกีฬาห้าส่วนจั๊มขาตัวเก่งแบบที่มาห้องผมทีไรผมเห็นมันใส่แต่แบบนี้ คือดูรู้ว่าเป็นเสื้อผ้าที่มีขายกันทั่วไปตามตลาดไม่ได้มียี่ห้อหรูหราเลย แต่ปิงเป็นคนสะอาด แน่นนอนว่าผ่านเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้ไม่อย่างนั้นผมจะไว้ใจให้มันทำอาหารให้กินได้ไงกันล่ะ
“เอาไป”
“อะไรอ่ะ” ผมยัดตำราอาหารที่เลือกหยิบมาจากชั้นส่งให้มันหน้าตามันเหรอหราแปลก ๆ คงคิดว่าอ่านยากล่ะมั้งนะ ก็แน่นอนสิอาหารดี ๆ ก็ต้องอยู่ในตำราดี ๆ มีระดับ ผมซื้อคู่มืออาหารที่เป็นภาษาฝรั่งเล่มนึงกับตำราอาหารแบบไทย ๆ อีกเล่มนึง จริง ๆ จะหยิบแบบภาษาไทยทั้งหมดผมก็ไม่มีปัญหาหรอกแต่เห็นหน้าตาเอ๋อ ๆ ของมันแล้วก็อยากแกล้งขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ยิ่งเอ๋อหนักกว่าเก่าตอนที่รู้ว่าไอ้ภาษาในตำรามันเป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ เลย(นี่ผมใจดีเลือกที่มีแบบรูปภาพส่วนผสมไว้ชัดเจนเลยนะ)
“เดี๋ยวแวะซื้อข้าว...... พอออกจากร้านหนังสือ กำลังจะบอกว่าเดี๋ยวเราแวะซื้อข้าวและของสดไปใส่ตู้ไว้กะจะให้เจ้าปิงทำอาหารให้กินเพื่อให้มันแก้มือใหม่ แต่ดันมีโทรศัพท์เข้าเสียก่อนผมเลยต้องกดรับ เป็นสายของแพรที่โทรเข้ามา
แพรก็คือหนึ่งในบรรดกิ๊กที่นาน ๆ ทีผมจะเรียกหาเธอ แต่ในเมื่อวันนี้เธอว้อนท์ประกอบกับไหน ๆ ก็พาปิงออกมาแล้วให้มันอยู่ช่วยแพรถือของเลยก็ดีเหมือนกัน
ผมกับปิงไปรับแพรที่คอนโดของเธอ แปปเดียวครับไม่นานเราทั้งสามคนก็กลับมาเดินอยู่ในห้างที่เดิมที่ผมเพิ่งจะขับรถออกมาเมื่อสักครู่
ผมรู้สึกหิวนะและคิดว่าปิงมันก็คงจะหิวด้วยเมื่อเช้ามันมาที่ห้องผมแต่เช้าและเราก็ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย กับข้าวที่มันทำให้ผมกินไม่ได้ และตัวมันเองก็ยังไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นผมจึงมุ่งไปยังร้านอาหารที่ผมชอบ
“เอย์ เอย์ให้เด็กเขารอเราอยู่ด้านนอกสิคะ แพรอยากนั่งกับเอย์แค่สองคนนะ บอกน้องเขาไปหาอะไรกินที่ศูนย์อาหารโน่นไป๊” นั่นคือครั้งที่หนึ่งที่แพรพูดในลักษณะนี้กับผม ผมสะกิจใจนะเพราะหน้าตาและท่าทางเธอเวลามองมาที่ปิงมันไม่ใช่ คือคล้ายกับว่าเธออายเหรอที่เจ้าปิงมันจะเข้าไปกับเราด้วยอะไรแบบนั้น แต่ในที่สุดเราสามคนก็เข้าไปนั่งข้างในด้วยกันเพราะการตัดสินใจของผม ปิงมากับผมเพราะงั้นผมจะไม่ทิ้งนะเราจะต้องกลับด้วยกันและไปด้วยกัน นิสัยผมเป็นแบบนั้นไม่ว่ากับใคร
“
ตาย ๆๆ เสื้อผ้าฉันเปื้อนหมดแล้ว เอาของดี ๆ ราคาแพง ๆ ไปวางกองไว้บนพื้นได้ยังไง นายรู้ไหมกระเป๋าฉันเสื้อผ้าฉันราคาเท่าไหร่ เอย์ดูสิคะเด็กคนนี้ใช้ไม่ได้เลย เอย์กลับไปไล่มันออกเลยนะ แพรไม่ชอบหน้าเลย บอกตรง ๆ” อีกครั้งที่ผมสะกิดใจ คือมันจะอะไรนักหนาเหรอครับแพรทำไมถึงต้องดีดดิ้นโวยวายขนาดนั้นและที่สำคัญ พื้น ที่เจ้าปิงมันวางถุงกระดาษต่าง ๆ ลงสะอาดดีมากไม่สกปรกเลยสักนิด
เราเดินกันต่อก่อนที่จะมาถึงชั้นล่าง แพรอยากได้อะไรอยากกินอะไรผมจัดให้เต็มที่เลยครับนิสัยเสีย ๆ เธอออกมาให้เห็นขนาดนี้แล้วผู้หญิง ‘เยอะ’ แบบนี้ผมไม่ปลื้มนะ วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเธอที่จะได้มาเดินอยู่กับผมแบบนี้แล้วล่ะ
ที่ลานชั้นล่างเขาจัดงานโชว์ตัวอะไรสักอย่าง คงมีดารานักร้องมาร่วมงานเพราะคนเยอะมาก แล้วเจ้าปิงมันก็เป็นหนึ่งในติ่งพวกนั้น
“มึงกำลังดูบ้าอะไรอยู่ นี่กูต้องเดินกลับมาเรียกทั้งที่เดินจะถึงลิฟต์อยู่แล้ว มึงสติดีอยู่รึเปล่า เดี๋ยวกูหักเงินซะเลยนี่” “เย้ย! ไปแล้วครับ ไปๆไปเดี๋ยวนี้เลยครับ ไม่เอา ๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ ” มันรีบซุกหลังผมแล้วดัน ๆ ออกมา ปิงไม่ใช่คนตัวเตี้ยนะ ถึงมันจะตัวเล็กกว่าผมแต่ก็แค่หน่อยเดียวเท่านั้น เพราะงั้นผมที่มองดูสองไม้สองมือของมันที่เต็มไปด้วยถุงช็อปปิ้งของแพรจึงวางใจในระดับหนึ่งว่ามันคงจะอดทนได้ ไม่บ่นออกมาเพิ่มความรำคาญให้ผมอีก
ขณะที่เราสองคนกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่รถโดยที่ผมทิ้งกุญแจไว้ให้แพรไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น
‘ซีซ่าร์’ พี่ชายของผมเอง มันมาทำงานอยู่แถวนี้เห็นว่ามีเรื่องสำคัญอยากให้ผมแวะเข้าไปหา ผมรู้เลยมันมาไอ้งานโชว์ตัวที่คนเยอะ ๆ นี่แน่ ๆ ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ผมไม่อยากย้อนกลับเข้าไปเลยผมไม่ชอบคนเยอะไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ก็จำเป็นต้องเข้าไป
“พี่จะเข้าไปไหนอ่ะ นี่มันหลังเวทีนะ พี่จะเข้าไปทำไม” เสียงไอ้ปิงร้องทักไว้เมื่อเห็นผมกำลังเดินมุ่งจะเข้าไปโซนหลังเวทีของที่จัดงาน จริงสิมันคงยังไม่รู้ว่าผมเป็นน้องชายของซีซ่าร์ดารานายแบบและไอดอลคนดังของยุค
ผมคุยธุระกับซ่าร์พักเดียวก็ขอแยกออกมา มองดูหน้าคนที่มาด้วยกันนิดหน่อยเพราะดูเหมือนมันเอ๋อไปตั้งแต่รู้ว่าผมกำลังคุยอยู่กับซีซ่าร์ไอดอลที่มันปลาบปลื้ม ผมนึกสนุกเลยลองถามมันดูว่าผมกับไอ้ซ่าร์ใครจะหล่อกว่ากันซึ่งดูมันตอบกลับมานะ เข้าเป้าที่ผมตั้งไว้เป๊ะเลย
“คนเป็นถึงดารานายแบบก็ต้องหล่อดิ กับคนที่ไม่มีใครเขาจ้างไปเดินแบบถ่ายหนังนี่ก็ควรจะรู้ตัวแล้วนะครับ” ผมหัวเราะหึหึ ก่อนจะตอกกลับไปสักดอกเอาให้มันหน้าแตกไปเลย
“มึงรู้อะไรไหม คนที่ถูกทาบทามจากพี่บี้ผู้จัดการส่วนตัวของไอ้ซ่าร์เป็นคนแรกน่ะ มันกู! พอกูไม่เล่นด้วยเขาเลยไปขอร้องไอ้ซ่าร์ เป็นไง แบบนี้แสดงว่ากูก็ต้องหล่อกว่าเพราะกูโดนพี่เขาทาบทามก่อน” ได้ผลครับมันเบะปากใหญ่เลย คงคิดว่าผมโม้ แต่นี่คือเรื่องจริงนะทำไมผมต้องโม้ล่ะ ผมรักความเป็นส่วนตัวรักอิสระผมไม่สามารถเสียสละความสุขความเป็นตัวเองให้กับใคร ๆ ได้เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เลือกที่จะทำอาชีพคนของประชาชนแบบนั้น ซึ่งซีซ่าร์มันแตกต่าง มันคิดตรงข้ามกับผมทุกอย่าง ซ่าร์มันชอบงานในวงการมาก ชอบเข้าสังคม ยิ่งทำก็ยิ่งก้าวหน้าซึ่งผมเองก็ดีใจกับมันด้วยได้ทำงานที่ตัวเองรัก ขอให้มันมีความสุขก็พอแล้วจะเป็นงานอะไรขอให้สุจริตแค่นั้นพอ
“เอย์ใจร้าย เอย์ไม่รักแพรแล้ว”
“ใช่ครับ เอย์ใจร้าย
“เอย์อ่ะ เอย์ไม่รักแพรแล้ว”
“เอย์จำได้ว่า เอย์ไม่เคยพูดเลยนะว่าเอย์รักแพร”
“เอย์!”
“ปิง เอาของที่มึงถืออยู่ทั้งหมดนั่นให้คุณแพร เอย์ไม่เดินขึ้นไปส่งนะระหว่างเราจบไว้แค่วันนี้ก็แล้วกัน แพรไม่ต้องโทรหาเอย์อีกแล้วนะครับ ขอโทษด้วยจริง ๆ เอย์ว่าแพรควรลงไปได้แล้วล่ะครับ เอย์จะรีบกลับ” นั่นล่ะครับผมเลิกไปแล้วอีกคน แต่ผมเฉย ๆ นะหลังจากเธอเดินสะบัดก้นออกไปแล้วพร้อมกับข้าวของที่ผมซื้อให้ผมก็เรียกเจ้าปิงให้มานั่งแทนที่ กะว่าจะแวะซื้ออะไรบางอย่างไปที่ห้องให้มันทำไว้ให้ผมกินก่อนค่อยปล่อยให้กลับไป
จริง ๆ ผมไม่ใช่ว่าจะหิวมากมายอะไรนะครับ แต่ผมมีความรู้สึกผิดมาตั้งแต่เช้าเลยเรื่องที่ไม่ยอมกินอาหารที่มันอุตส่าห์ทำให้ ผมเลยอยากให้มันได้แก้ตัวสักหน่อย ปิงเลือกซื้อโน่นนี่หยิบใส่รถเอาเท่าที่จำเป็น เขาเป็นคนที่ไม่ฟุ่มเฟือยเลยนะทั้งที่ผมอนุญาตให้หยิบอะไรมากแค่ไหนก็ได้ แต่ปิงก็เลือกที่จะหยิบเฉพาะสิ่งที่ตัวเองจะต้องใช้ในครัว แต่สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มประทับใจมาก ๆ ก็คือตอนที่ปิงมันไปเลือกซื้อกล้วยหอม ขณะที่ผมเดินไปเลือกขนมปังที่ผมชอบ พอเดินกลับมาผมเลยถามไปว่า จะซื้อกล้วยไปทำไม แล้วดูมันตอบ
“เผื่อพี่หิวตอนกลางคืนไง กินขนมปังกับกล้วยแล้วก็นม มันจะดีกว่านะ กล้วยหอมมีประโยชน์ ผมรู้ว่าพี่ต้องกินเป็นแน่” ปิงไม่น่าจะรู้นี่ ว่ากล้วยหอมเป็นผลไม้เพียงอย่างเดียวที่ผมกินเป็น! “อาหารพี่เสร็จแล้วนะผมวางไว้บนโต๊ะนะครับ” พอกลับมาถึงห้องผมตรงเข้าไปอาบน้ำจัดการตัวเอง พอออกมาปิงก็ทำอาหารให้ผมเสร็จเรียบร้อยพอดี ผมดูท้องฟ้าผ่านทางกระจกผนังบานใหญ่ เป็นมุมที่ผมชอบมานั่งที่สุดในตอนกลางคืน ฝนทำท่าจะตกลงมาแล้ว
“แล้วมึงไม่กินด้วยกันรึไง” “ไม่อ่ะพี่ ฝนเหมือนจะตกแล้วผมรีบกลับก่อนดีกว่า” เห็นมันกำลังเดินไปหยิบกระเป๋าที่ห้องเล็กเลยเรียกให้มาเอาตังค์ ผมวางไว้ให้ห้าใบ แต่วันนี้คือกะให้ทั้งหมดจริง ๆ ไม่ได้ลองใจอะไรเหมือนวันแรกเลยนะครับ แต่ปิงก็เลือกที่จะหยิบไปใบเดียวเหมือนเดิม ผมเลยแกล้งทำหน้าดุแล้วบังคับให้มันหยิบเพิ่มไปอีก ซึ่งปิงก็เลือกที่จะหยิบเพิ่มอีกแค่ใบเดียว
ทำไมมันเป็นคนแบบนั้น? ผมนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ปิงเป็นเด็กดีมากจริง ๆ
“กลับยังไง รถเมล์ แท็กซี่” ผมถามขณะที่มองไปที่กระจกอีกครั้ง เห็นฟ้าแลบเป็นระยะแล้วแต่ฝนก็ยังไม่ตกลงมา
“มอไซด์ครับผม พี่ถามทำไมจะไปส่งผมเหรอ” คุณเชื่อไหมถ้ามันไม่ทำหน้าทำตาทะเล้นกวนตีนแล้วบอกผมว่าพี่ไปส่งผมหน่อยสิฝนจะตกแน่ ๆ เลยนี่ ผมลุกเลยนะ แต่มันดันทำหน้าตากวนประสาทดีนักผมก็เลย
“กูเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าคนยืนอยู่เฉย ๆ ก็ฝันได้ ปิงมึงนี่มหัศจรรย์จริง ๆ ” (ต่อด้านล่าง)