ตอนที่ 29เจินฝูหรง“ทำไมทำหน้าแบบนั้น ฮึๆ เดี๋ยวนี้กระต่ายน้อยของพอลขี้งอนบ่อยจังน้า” น้ำเสียงและสีหน้าหยอกเย้าของคนข้างๆ กวนโมโหให้ผมยิ่งยู่หน้ายื่นปากใส่มากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จนมีมือหนายื่นมาบีบริมฝีปากผมเบาๆ พร้อมเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นกว่าเดิมนั่นแหละ ผมถึงรู้ตัว ซึ่งก็ทำเอาผมอดใจไม่ไหวฟาดมือใส่ท่อนแขนข้างนั้น แบบไม่คิดจะออมแรง
“อื้อออ...[เพียะ!]...ชอบแกล้ง! อ้อ! ฝูหรงไม่ได้งอน แค่ไม่พอใจที่พอลไม่ถามความเห็นกันก่อน อยู่ๆก็รับฝูหรงเข้าไปเป็นเลขาแบบนี้ คงมีแต่คนนินทาว่าฝูหรงใช้เส้น พอลเองก็จะเสียด้วย ถ้าวันหนึ่งฝูหรงทำงานผิดพลาดขึ้นมา”
เมื่อสองวันก่อนหลังจากผมบ่นว่าเบื่อที่ต้องอยู่บ้าน โดยไม่มีหน้าที่ใดๆต้องรับผิดชอบ เพราะไม่ได้ทำงาน ด้วยตัดสินใจลาออกเพื่อความสบายใจของพอลและทุกคนในครอบครัว จากเหตุการณ์ของอุบัติเหตุสองสัปดาห์ก่อนที่เกือบพรากเราทั้งคู่ให้จากกันตลอดกาล ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมรับปากพอลทันทีที่เจ้าตัวขอให้ผมลาออก ทั้งๆที่ก่อนหน้าผมปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอด ด้วยรักในงานที่ทำอยู่ไม่น้อย
แต่นาทีนั้นเพื่อความสบายใจและตอบแทนความรักของพอลแล้ว ผมคิดว่าการลาออกเป็นเรื่องเล็กไม่ใช่เรื่องใหญ่ของผมอีกต่อไปที่ผมจะทำเพื่อพอลได้ และทำเพื่อให้เราได้ใช้เวลาที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเหลืออีกเท่าไหร่ ให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างมีคุณค่าที่สุด แต่ต้องยอมรับว่าการอยู่เฉยๆมันเป็นเรื่องน่าเบื่ออย่างที่สุด จนผมต้องบ่นออกไปอย่างที่เล่าให้ฟัง
แต่อยู่ๆเมื่อเช้าขณะที่ผมกำลังจะแต่งตัว พอลก็บอกให้ผมเลือกเสื้อผ้าให้สมกับที่ต้องไปทำงานเป็นเลขา แรกรู้ผมยอมรับว่าจับต้นชนปลายไม่ถูก จนพอลต้องรีบขยายความว่าไม่อยากให้ผมต้องเบื่อ จึงรับผมเข้าทำงานเป็นเลขาส่วนตัวของตัวเอง โดยไม่ถามความเห็นของผมสักนิด
การที่ผมงอน ‘เอ๊ะ! เอิ่ม นั่นแหละยอมรับว่างอนก็ได้’ ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่ได้กลับไปทำงานอีกครั้ง แต่การเข้าทำงานโดยความเห็นชอบแค่คนๆเดียวมันไม่ถูกต้อง แถมยังเป็นการเปิดตำแหน่งนี้เพื่อผมโดยเฉพาะ ไม่ต่างจากที่ผมเป็นเด็กเส้นได้เข้าทำงานแบบที่ไม่ต้องผ่านการทดสอบใดๆ ซึ่งผมไม่ชอบใจเลย ด้วยไม่อยากให้คนอื่นๆในบริษัทคิดกับผม เหมือนกับที่คนของโรงแรมหวางหย่งกังคิดกับมิสเคอหลาน และมีสิ่งที่ผมกังวลที่สุดอีกอย่างคือ หากวันหนึ่งผมทำงานผิดพลาดขึ้นมา คนที่จะเสียหายที่สุดก็คือผู้ชายที่นั่งกินอาหารเช้าข้างๆผมคนนี้
“ฝูหรงอย่าคิดมากสิครับ พอลเชื่อนะว่าจะไม่มีวันนั้น ระดับอดีตเลขาคนเก่งของหวางหลี่ผิงทั้งคนนี่หน่า และเพราะประวัติงานนี้ของฝูหรงเอง พอลเชื่อว่าจะไม่มีใครนินทาฝูหรงลับหลังแน่นอน มีแต่จะยินดีและชื่นชมพอลซะด้วยซ้ำ ที่สามารถหาเลขาที่ทั้งเก่งและน่ารักมาทำงานด้วยได้” เรื่องเก่งน่ะผมไม่แย้ง แต่เรื่องน่ารักที่ได้ยินนี่สิ ช่างไม่เข้ากับคุณสมบัติของเลขาที่จำเป็นต้องมีสักนิด แต่คำๆนี้ก็ทำผมอมยิ้มกับชามอาหารตรงหน้าได้
คำพูดจริงจังผสมหยอกเย้าของพอลทำให้ผมคลายใจไปได้บ้าง เพราะสุดท้ายผมเองก็ต้องพิสูจน์ให้คนอื่นๆได้เห็นถึงความสามารถในตำแหน่งเลขาของท่านรองประธานบริษัทอยู่ดี ดังนั้นพอพอลชวนให้ผมกินโจ๊กปูตรงหน้า ผมจึงไม่มีอิดออดยอมทำตามอย่างง่ายดาย ก่อนผมจะได้นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถไปกับเจ้านายคนใหม่เพื่อเข้างานวันแรก พอลเองก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ฮัมเพลงไปตลอดทาง จนผมพลอยอารมณ์ดีและคลายความตื่นเต้น ในการที่จะเริ่มงานใหม่กับสถานที่ทำงานใหม่ไปได้
ผมก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองซะทั้งหมด ด้วยผมดันลืมโทรศัพท์ที่หยิบขึ้นมาคุยกับแพทริคที่โทรมาระหว่างทางไปบริษัทไว้ในรถ จึงต้องเดินกลับมาเอาเอง เพราะพอลโดนเลขาของปาปาโทรตามตัวให้ขึ้นไปพบท่านด่วน ซึ่งจากสีหน้าแววตาเคร่งเครียดของพอลนั้น ทำให้ผมต้องเร่งเจ้าตัวให้รีบไปพบปาปา และปฏิเสธเสียงแข็งยามที่พอลบอกว่าจะเดินกลับมาที่รถพร้อมผม
เรื่องโทรศัพท์ไม่มีปัญหา แต่ดันมาติดปัญหาที่ผมไม่สามารถขึ้นไปยังห้องท่านรองประธานได้ เพราะโดนกักตัวไว้ตั้งแต่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของบริษัท ในเมื่อผมไม่เคยตามพอลมาที่นี่สักครั้ง ย่อมไม่มีใครรู้จักผมมาก่อน การที่อยู่ๆผมจะขอเข้าพบพอลโดยไม่มีนัดล่วงหน้า และไม่ต้องถึงขั้นขึ้นไปเดินเฉิดฉายบนนั้น โดยไม่แม้แต่มีคนรู้จักผม มันเป็นเรื่องยากที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ผมรู้ดีแก่ใจว่าตระกูลโจวให้ความสำคัญในเรื่องการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดจากระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านโจว เพราะฉะนั้นกับบริษัทจึงน่าจะมีความเข้มงวดเรื่องนี้ไม่ต่างกัน ดังนั้นผมจึงเข้าใจประชาสัมพันธ์สาวที่ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี
หลังจากผมตอบรับคำปฏิเสธของคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม จึงคิดจะโทรหาพอลเพื่อให้พูดกับเธอโดยตรง แต่ผมโทรไปเท่าไหร่เจ้าตัวก็ไม่รับสาย อาการลุกลี้ลุกลนของผมเริ่มถูกจับตา โดยที่มือก็ยังคงกดโทรออก ส่วนปากก็ยกยิ้มเป็นมิตรให้ประชาสัมพันธ์สาวตรงหน้าไปด้วย เธอเองก็ส่งยิ้มการค้ามาให้และจ้องผมไม่วางตาเช่นกัน ผมโทรจนแน่ใจแล้วว่าคนปลายสายไม่กดรับแน่ๆ จึงล้มเลิกความตั้งใจ ก่อนเดินไปนั่งยังโซฟารับรองมุมห้อง และได้แต่ภาวนาว่าตัวเองจะไม่โดนไล่ให้ออกนอกบริษัท เพราะความไม่น่าไว้ใจไปเสียก่อน
ผมได้แต่หวังให้พอลผิดสังเกตว่าทำไมผมถึงไม่ขึ้นไปหาเสียที และคิดจะโทรตามตัวกัน ซึ่งตอนนั้นพอลคงได้เห็นสายที่ผมโทรเข้า ก่อนจะจัดการอะไรสักอย่าง เพื่อให้ผมรอดพ้นไปจากสายตาจับผิดในขณะนี้ และนาทีนี้หนักข้อถึงขั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมายืนประกบผมใกล้ๆแล้วด้วย ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องเสียเวลาอยู่ตรงนี้โดยเปล่าประโยชน์
แต่แล้วเสียงลิฟต์เปิดที่ดังขึ้น ได้เรียกความสนใจของผมให้หันไปมอง ในใจก็หวังว่าให้เป็นพอลที่ลงมาตามตัวผมด้วยตัวเอง ซึ่งผมก็ต้องผิดหวัง เมื่อกลุ่มคนตรงนั้นที่เดินออกมาไม่คุ้นตาสักคนเดียว แต่ด้วยใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่สมกับหน้าตาอันแสนน่ามองนั้น ทำให้ผมติดใจมองคนๆนั้นที่เดินนำหน้ากลุ่มคนในชุดดำไม่วางตา
จากการสังเกตยังแววตาคู่นั้นของผม พบว่าเขาน่าจะมีอายุเลยวัยกลางคนไปไม่น้อย เพราะมีดวงตาที่ยากจะหยั่งถึงความนึกคิดภายใน แต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง และท่าทางก็ดูคล่องแคล่ว บวกการประเมินจากบรรยากาศรอบตัว ผมก็พอรู้ว่าเขาไม่ธรรมดา น่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งเลยล่ะ
การจับจ้องแบบไม่ละสายตาของผม ทำให้เขารู้สึกตัวว่ามีคนมองอยู่จนได้ ทันทีที่ดวงตาคมกล้าตวัดสายตามองมาทางนี้ ผมถึงกลับสะดุ้งด้วยไม่ทันตั้งตัว และรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยามที่เขาคนนั้นยกยิ้ม แม้ภายนอกจะดูน่ามอง แต่แววตาติดนิ่งที่อ่านไม่ออกคู่นั้น กลับไม่สอดคล้องไปด้วยสักนิด ยิ่งเขาที่ทำเพียงแค่ยืนนิ่งและส่งยิ้มมาให้ผม ได้เดินมาทางมุมห้องที่ๆผมนั่งอยู่นั้น ทำเอาผมไม่สบายใจกับท่าทางเหมือนถูกคุกคามนี้ จนกระทั่งเขามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมรอยยิ้มเดิมๆ
“ตัวจริงน่าเอ็นดูอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ...ตระกูลโจวถึงเป็นเดือดเป็นแค้นขนาดนั้น” หลังประโยคนี้รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าน่ามองก็หายไป แบบที่ผมจินตนาการไม่ออกว่าเคยมีมันอยู่ และเหลือเพียงแววตาขุ่นๆแฝงความไม่พอใจที่จ้องผมไม่วางตา
เมื่อผมกลายมาเป็นฝ่ายถูกจับจ้องด้วยสายตาที่แสดงออกชัดเจนว่าเขาคนนี้ไม่พอใจผมอยู่ ทำให้ผมเกิดความรู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจ ว่าทำไมคนที่ผมมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน ถึงมีทีท่าคุกคามและไม่พอใจผมมากขนาดนี้ด้วย แต่ที่แน่ๆเขาต้องรู้จักผมผ่านคนในครอบครัวโจวอย่างแน่นอน ซึ่งจะรู้จักในทางไหนผมก็สุดรู้ ไหนจะท่าทางที่เหมือนว่าเขายืนข่มผมที่นั่งอยู่อีกล่ะ
ผมจึงเกิดอาการลุกลี้ลุกลนและมองหาตัวช่วย ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เคยยืนใกล้ๆ ก็ดันเดินไปคุยกับประชาสัมพันธ์สาวตรงนู้น ก่อนทั้งคู่จะหันมามองผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมจึงได้แต่หวังให้พอลลงมาตามตัวกันซะนาทีนี้ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนประจันหน้า แม้ใจจะสั่นแต่ผมก็พยายามควบคุมสติให้มากที่สุด
“ขอโทษนะครับ เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า” จากประโยคคำถามที่ผมพยายามใช้น้ำเสียงเป็นมิตรและสุภาพที่สุดจบลง
เขาตรงหน้าก็ยังคงจ้องมายังผมเช่นเดิม แม้นาทีนี้จะยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆอย่างน่าดู แต่ความรู้สึกที่ผมจับได้กลับไม่เปลี่ยนไปสักนิด ด้วยเขายังคงไม่พอใจในตัวผมไม่เปลี่ยน
“เธอคงไม่รู้จักฉัน แต่ฉันน่ะรู้จักเธออย่างดีเชียวล่ะ และเพราะเธอคนเดียวที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้!!” น้ำเสียงราบเรียบค่อยๆดังขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดุตะคอกในท้ายประโยค ทำเอาผมสะดุ้งและก้าวถอยหลังแบบไม่รู้ตัว จนขาชนเข้ากับโซฟา ก่อนผมจะกลับลงไปนั่งตามเดิม
ความรู้สึกผมตอนนี้บอกเลยว่าเริ่มกลัวผู้ชายตรงหน้าคนนี้ขึ้นมาไม่น้อย ยิ่งดวงตาที่เคยเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์เหมือนโกรธจัดด้วยแล้ว ผมยิ่งผวาและได้แต่คิดถึงพอล ซึ่งก่อนที่ผู้ชายชุดดำที่ล้อมตัวผมอยู่จะเข้าถึงตัว โดยที่เขาคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมนั้น เสียงที่ผมคุ้นหูก็ดังขึ้น ยิ่งได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเครียดขรึมตาวาว ผมยิ่งดีใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะรีบแหวกกลุ่มคนน่ากลัวเหล่านี้ และวิ่งเข้าหาเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยไม่เปลี่ยนทันที
“หยุด! พวกคุณคิดจะทำอะไร!!...ฝูหรงไม่ต้องกลัวนะครับ” ผมได้แต้พยักหน้าแรงๆกับอกแกร่ง แต่ยังไม่ทันคิดจะพูดหรือทำอะไร พอลก็จับไหล่ผมดันออก ให้ไปซ่อนอยู่เบื้องหลังแผ่นหลังกว้าง ปิดกั้นผมจากสายตาของเขาคนนั้น ซึ่งก็ทำให้ผมรับรู้เพียงบทสนทนาที่ตอบโต้กันไปมา
“ฮึๆ ฉันนี่นะคิดจะทำอะไรเด็กนั่นที่นี่ แค่อยากทักทายทำความรู้จักเท่านั้น...เพราะขนาดแผนที่ถูกวางไว้อย่างดียังไม่สำเร็จ ขืนทำอย่างที่แกคิด ฉันคงไม่ต่างจากคนโง่รึคนบ้าน่ะสิ” เขาพูดถึงแผนอะไร ผมไม่เข้าใจ แต่ดูท่าพอลจะถูกใจในคำพูดนี้ไม่น้อย เพราะเจ้าตัวถึงกลับกลั้วหัวเราะออกมา แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก
“ฮึๆ แต่ผมว่าคุณก็เป็น ‘คน.....’ ที่ไม่ต่างจากคำพูดตัวเองที่หน่า” พอลเว้นจังหวะเหมือนจงใจให้คนฟังได้เติมคำปริศนาเอง แต่มันคำไหนล่ะ ‘คน’ อะไร อย่าบอกว่า ‘คนโง่และคนบ้า’ นะ ซึ่งนาทีถัดมาผมก็ได้คำตอบ
“ไอ้เด็กสามหาว แกว่าฉันโง่และบ้าอยู่ใช่มั้ย!” แค่ได้ยินน้ำเสียงตะคอกใส่ ผมก็พอเดาสีหน้าเขาออกว่าจะมีสีหน้าแบบไหน ที่แน่ๆคงไม่ได้ยิ้มร่ามีความสุขแน่นอน
“ผมไม่ได้พูด คุณพูดเองทั้งนั้นนะครับ...และผมขอให้คุณถอนคำพูด ผมไม่ใช่เด็กสามหาวอย่างที่คุณว่า แต่ถ้าผมทำให้คุณคิดกับผมแบบนั้น มันก็มาจากผู้ใหญ่คิดน้อยอย่างคุณนั่นแหละ” หากผมเป็นเขาคนนั้นคงยิ่งโกรธจัดยามได้ยินประโยคนี้ของพอล ซึ่งในเสี้ยววินาทีถัดมาทำให้ผมรู้ว่า คนที่โดนกระทบกระเทียบก็รู้สึกไม่ต่างจากที่ผมคิด
“ไอ้เด็กคนนี้ แก!...จับฉันทำไม ปล่อย! ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก แค่นี้ก็ปล่อยให้มันจับตัวได้” ผมอาศัยจังหวะชุลมุนที่คนรอบตัวส่งเสียงโวยวาย ชะโงกหน้าผ่านข้างตัวพอลไปมอง
ภาพที่เห็นคือเขาและลูกน้องชุดดำถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทล็อกตัวไว้ทั้งหมด สีหน้าแววตาของคนที่นาทีนี้ผมก็ยังไม่รู้จักชื่อนั้น โกรธเกรี้ยวและตะโกนอย่างหัวเสียดูน่ากลัวมาก ลดทอนใบหน้าที่แสนน่ามองที่ผมนึกชมแต่แรกไปจนสิ้น ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนกั้นกึ่งปกป้องระหว่างผมกับเขา พบว่าพอลเองก็จ้องกลุ่มคนตรงหน้าด้วยแววตาโกรธเคืองไม่ต่างกัน จนผมเผลอกระตุกชายเสื้อสูท ทำให้ใบหน้าคมเข้มชะงักนิด ก่อนก้มลงมองสบตาผม
แม้ในดวงตาคมจะเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว แต่ผมกลับเห็นร่องรอยแห่งความไม่สบายใจแฝงอยู่ในนั้น หรือพอลกำลังกลัวว่าผมจะโดนคนตรงหน้าทำร้าย แต่นาทีนี้เขาก็ไม่สามารถทำร้ายผมได้แล้วนี่หน่า และก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงไปมากกว่านี้ กลับมีเสียงเข้มกังวานแฝงอำนาจดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น!!” ปาปาฟู่สือนั่นเองครับ ท่านเดินอย่างมั่นคงก้าวย่างอย่างเชื่องช้า เข้ามาเผชิญหน้ากับเขาคนนั้นแทนพอล
คนที่เคยโวยวายกลับหุบปากสนิท เขาเลิกดิ้นเลิกขัดขืนและจ้องตอบปาปากลับอย่างเอาเรื่อง แต่ก็เป็นอยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะเบือนหน้าหนี แต่ผมกลับเห็นเป็นอาการสะบัดค้อนใส่เสียมากกว่า ซึ่งผมน่าจะตาฝาดหรือเข้าใจผิดไปเอง เพราะอาการสะบัดค้อนมันน่าจะเป็นกิริยาของคนที่งอนใส่กัน และคนคู่นั้นต้องดูเป็นมิตรต่อกัน มากกว่าผู้ใหญ่ทั้งคู่ตรงหน้าผมสิ
ผมมาได้สติและหลุดออกจากความคิดไม่เข้าท่า เมื่อรู้สึกว่าโดนพอลโอบไหล่และดึงตัวเข้าไปแนบชิดกับร่างหนา แถมสายตาปลอบโยนที่จ้องผมอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ผมยิ้มออกเพื่อสื่อว่าผมไม่เป็นอะไร เจ้าตัวจะรู้มั้ยว่าผมรู้สึกปลอดภัยทุกครั้ง ยามที่มีพอลอยู่เคียงข้างกันและโอบกอดผมไว้แบบนี้ ซึ่งพอลจะรู้ก่อนนี้หรือไม่ไม่สำคัญ เพราะแค่นาทีนี้ลูกครึ่งรูปหล่อของผมยิ้มออกผมก็พอใจแล้ว
“ฉิงเจีย...เราน่าจะคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” น้ำเสียงราบเรียบติดเบื่อหน่ายของปาปาที่ดังขึ้น ทำให้ผมสามารถละสายตาออกจากวงหน้าหล่อเหลาที่แสนน่าหลงใหลได้
ผมเพิ่งรู้ว่าเขาคนนั้นชื่อฉิงเจียและดูท่าน่าจะเป็นเพื่อนกับปาปาเสียด้วย แต่ผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อเขาที่ปาปาเรียกว่าฉิงเจียได้เม้มปากไว้จนแน่น และมีอาการที่ผมเรียกว่าสะบัดค้อนใส่ปาปา พร้อมส่งเสียงไม่พอใจอยู่เพียงลำคอ ‘ใช่เลย! คราวนี้ผมดูไม่ผิด’ คุณฉิงเจียค้อนใส่ปาปาฟู่สือ
“เหอะ! ลูกชายนายไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ก่อน ฉันโมโหก็ไม่ผิด สำคัญเรื่องที่เพิ่งคุยไป ฉันเข้าใจและซาบซึ้งดีทีเดียวล่ะ ไม่ต้องย้ำ อ้อ!...เจ้าหนูไม่ต้องกลัวไปหรอก ตอนนี้ฉันไม่มีปัญญาทำอะไรคนของแกได้หรอก สู้เอาเวลาไปฟื้นฟูธุรกิจที่เด็กอย่างแกถล่มไว้ดีกว่า ได้ประโยชน์กว่ากันเยอะ...แต่ก็อย่าเผลอแล้วกัน ฮึๆ”
คุณฉิงเจียแค่นหัวเราะปิดท้ายใส่พอล ก่อนจะหันไปสบตากับปาปาอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งชั่วแวบผมเห็นแววตัดพ้อจางๆ ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว และเร็วพอๆกับที่เจ้าของแววตาประหลาดคู่นั้น จะหมุนตัวเดินนำหน้าลูกน้องตัวเองออกไป
ระหว่างที่ผมยืนสับสนกับสิ่งที่ได้เห็นนั้น พอลก็ประคองผมเดินเข้าลิฟต์ ท่ามกลางสายตาพนักงานบริษัทที่ออกมาดูเหตุการณ์ระทึกก่อนหน้า และปาปาก็พูดขึ้นมาเมื่อพวกเราสามคนมาอยู่ในลิฟต์ตามลำพัง
“แกเลิกกังวลเถอะ การที่ฉิงเจียมาต่อรองกับเราถึงที่นี่ แสดงให้เห็นว่าพวกซินจางหมดหนทางแล้ว เพราะคนๆนั้นหยิ่งในศักดิ์ศรีมากกว่าสิ่งใด ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆไม่มีทางที่จะมาขอร้องเราที่นี่แน่นอน” ปาปาพูดทั้งๆที่หันหน้าไปยังประตูลิฟต์ โดยที่ผมกับพอลยืนอยู่ด้านหลังท่าน
ผมจึงไม่รู้ว่าปาปากำลังมีสีหน้าแบบไหน แต่ที่ผมรู้คือคนข้างตัวนี่ต่างหาก ด้วยพอลมีสีหน้าขัดใจอย่างเห็นได้ชัด จนผมต้องเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังกว้างเป็นการปลอบประโลม โดยที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่อยู่ดี ผมรู้แต่เพียงว่าซินจางคือคู่แข่งสำคัญของตระกูลโจวเท่านั้น
พอลเองเหลือบตาลงมองผมนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย และพรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในดวงตาคู่คมก็ยังเต็มไปด้วยแววดื้อดึง
“ยังไงผมก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี คนๆนั้นตั้งใจขู่ฝูหรง ทั้งๆที่ฝูหรงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสักนิด” นั่นสิ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
หลังคำพูดของพอลนั้น ปาปาเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย ก่อนท่านจะเดินแยกตัวออกไป โดยที่พอลจูงผมเดินมาอีกทาง ให้เดาคงพาผมมายังห้องทำงานที่อยู่อีกฝั่งของชั้นเดียวกัน ทันทีที่เราอยู่ในห้องทำงานของพอล ผมก็ไม่คิดจะปล่อยให้ความสงสัยในใจค้างคาอยู่อีกต่อไป เอ่ยถามทันทีว่าฉิงเจียคือใคร เกี่ยวข้องอะไรกับซินจาง ตระกูลโจวมีเรื่องอะไรกับทางนั้น และทำไมฉิงเจียถึงดูโกรธเคืองผมนัก
พอลจ้องผมอยู่พักหนึ่ง ซึ่งผมก็ส่งสายตามุ่งมั่นรอคำตอบอย่างไม่คิดจะยอมแพ้ และผมก็สมใจ เมื่อพอลยกยิ้มเพลียๆพร้อมลูบแก้มผมอย่างอ่อนโยน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการยอมจำนน แต่ผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อพอลเริ่มประโยคด้วยคำว่าขอโทษ
“ขอโทษนะครับที่พอลทำให้ฝูหรงเสี่ยงอันตราย ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สักนิด...” ก่อนผมจะได้คำตอบทั้งหมดจากปากพอล ผมก็เพิ่งได้รู้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อเร็วๆนี้ มันไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยแต่เป็นความตั้งใจให้เกิดขึ้นของพวกซินจาง จนผมอดหนาวยะเยือกขึ้นมาไม่ได้ และรู้ซึ้งถึงคำว่าผลประโยชน์อย่างแท้จริง
แม้จะรู้สึกหวาดหวั่น แต่ผมไม่แสดงออกไปให้พอลรับรู้ ด้วยท่าทางของคนรักที่ยิ่งเล่าออกมาเยอะเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกว่าพอลโทษตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงกุมทับหลังมือข้างที่กุมมือผมอยู่ไว้อีกชั้น ก่อนจะออกแรงบีบกระชับให้พอลได้คลายกังวลขึ้นมาบ้าง พร้อมยิ้มหวานใส่ตาคู่คมให้พอลรู้สึกสบายใจขึ้น
“ไม่ใช่ความผิดของพอล อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ และต่อไปห้ามพูดว่าฝูหรงไม่เกี่ยวอะไรด้วยเด็ดขาด เราเป็นคนรักกัน ดังนั้นต้องเกี่ยวข้องกันในทุกๆด้านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะดีจะร้ายฝูหรงก็พร้อมจะเผชิญหน้าไปพร้อมพอล และให้เชื่อเถอะว่าฝูหรงเข้มแข็งพอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พอลเลิกกังวลเลิกคิดมากสักทีนะครับ” ความกังวลในแววตาคมเข้มค่อยๆจางหาย และส่องประกายวิบวับถูกใจเต็มหน่วยตาทันทีที่ผมพูดจบ
ผมจึงยื่นหน้ากดปลายจมูกลงบนแก้มสากเบาๆเป็นการเอาใจลูกครึ่งรูปหล่อ
“กระต่ายน้อยทำไมน่ารักแบบนี้ พอลหลงจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ฮึๆ” ไม่พูดเปล่า พอลกลับรวบกอดผมเสียแน่น และมีโยกตัวผมไปมาเหมือนกำลังมันเขี้ยวผมนักหนาด้วย ก่อนจะจบด้วยเสียงหัวเราะทุ้มแผ่วที่ดังไม่พ้นลำคอ
แม้ไม่เห็นหน้าเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่น ผมก็พอเดาได้ว่าพอลคงกำลังระบายยิ้มหล่อ ชนิดที่ว่าทำให้ผมละลายได้เลยทีเดียวล่ะ ผมปล่อยให้พอลกอดไปพักหนึ่ง ก่อนส่งคำถามที่ติดใจออกไป ซึ่งพอลก็ถอนใจบางเบา และดันผมออกจากอ้อมกอด จากการสังเกตเห็นสีหน้าแววตาหนักใจของพอล ผมรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวไม่อยากพูดเรื่องนี้นัก แต่คงทนลูกอ้อนของผมไม่ได้อยู่ดี
“ฝูหรงไม่ได้ตาฝาดหรอกครับ พอลก็เห็น...ปาปากับฉิงเจียเคยคบกันมาก่อน แต่ก็เลิกลากันไป เพราะฉิงเจียเลือกรักษาหน้าตาทางสังคมมากกว่าความรัก เพื่อไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านหาให้” ยอมรับว่าสิ่งที่ได้ยินทำเอาผมประหลาดใจอย่างที่สุด แต่ผมก็ยังมีสติพอที่จะฟังในสิ่งที่พอลเล่าต่อ
สรุปได้ว่าปาปากับฉิงเจียเคยคบหากัน แต่ก็เป็นไปอย่างลับๆ ด้วยในสมัยนั้นเรื่องการรักเพศเดียวกัน ยังไม่ถูกยอมรับและเปิดกว้างเท่าปัจจุบัน ซึ่งฉิงเจียที่เป็นลูกของคนมีหน้ามีตาในสังคม เขาเลือกที่จะสะบั้นรักปาปาทันทีที่ผู้ใหญ่ทราบเรื่อง ก่อนทางนั้นจะถูกคลุมถุงชนให้แต่งงาน ปาปาในตอนนั้นเสียใจไม่น้อย แต่ก็เข้าใจอดีตคนรักและยอมที่จะหันหลังให้เช่นกัน ในช่วงที่ปาปาหลบไปรักษาแผลใจที่อิตาลี ทำให้ท่านได้พบรักกับมามาอีลิน่า ก่อนทั้งคู่จะพากันมาใช้ชีวิตคู่ที่ฮ่องกง
เมื่อเวลาผ่านไปปาปามีพอล แต่ฉิงเจียกลับไร้ซึ่งทายาท และกลายมาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่คอยหาเรื่องขัดแข้งขัดขามาตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เพราะการกระทำที่เราไม่รู้สาเหตุแท้จริงของฉิงเจียที่คอยหาเรื่องตระกูลโจวมาตลอด บวกเข้ากับเหตุการณ์ล่าสุดที่ทางนั้นคิดจะใช้ผมแก้แค้น ส่งผลให้ซินจางกรุ๊ปแทบไม่เหลือชื่อในวงการอสังหาฯอีกเลย
กระทั่งวันนี้ฉิงเจียยอมลดศักดิ์ศรีมาขอร้องปาปาและพอลด้วยตัวเอง เพื่อให้ยอมขายหุ้นคืนแลกกับทางนั้นจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเราตลอดกาล แต่จากคำพูดทิ้งท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่รับปากไว้
ในความเห็นของผม ฉิงเจียคงแค่ขู่และจงใจให้พอลหัวเสียเล่นเท่านั้น เพราะจริงๆคงรู้ซึ้งอย่างดีเชียวล่ะ ว่าหากอยากจะทำธุรกิจอีกครั้งไม่ควรลองดีซ้ำสอง
จากเรื่องราวทั้งหมดผมได้แง่คิดดีๆข้อหนึ่ง ว่าผมและพอลโชคดีที่สามารถครองรักกันโดยที่ไม่ถูกขัดขวางจากครอบครัว และไม่ถูกกีดกันจากสังคมให้รู้สึกแปลกแยกหรือเป็นตัวประหลาด จนต้องถูกแยกจากกันเหมือนปาปาฟู่สือและฉิงเจีย ทำให้ต้องทนทุกข์จนไม่อาจลืม ผมจึงพูดในสิ่งที่คิดออกไปให้พอลได้รับรู้ เพื่อให้เปลี่ยนมามองในมุมบวก จากเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นแทน
“นั่นสินะครับ พอลโชคดีที่ได้ฝูหรงกลับคืนมาอีกครั้ง และเราโชคดีที่ได้ครองรักกัน ท่ามกลางความเห็นชอบของคนในครอบครัว ขอบคุณที่อยู่ข้างพอลเสมอนะกระต่ายน้อย” ใบหน้าหล่อเหลาจ้องผมไม่กระพริบ พร้อมส่งยิ้มละมุมให้ผมแก้มร้อนผ่าว แต่คราวนี้ผมไม่คิดหลบตาเหมือนทุกที
“ขอบคุณพอลเหมือนกันที่ยังรอยังรักฝูหรง” หากพอลตัดใจไปตั้งแต่ห้าปีก่อน เราคงไม่มีวันนี้ คำขอบคุณที่ผมมีให้ ยังไม่เพียงพอสำหรับพอลเสียด้วยซ้ำไป
“รักกระต่ายน้อยมากนะครับ”
“อืม รักพอลเหมือนกัน”
ผมไม่เคยเบื่อที่จะได้ยินคำรักของพอล และไม่เคยอิดออดที่จะเอ่ยคำรักกลับคืน เพราะผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือความสุขและยาชูใจของคนที่รักกันได้อย่างดีที่สุด
‘จงทะนุถนอมและเติมเต็มความรักของคุณให้ยั่งยืน เหมือนที่ผมทำเพื่อความรักของผมนะครับ...ฝูหรงรักพอลที่สุด’
................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะคงมีคนตกใจบ้างอ่ะนะที่ปาปาเคยคบกับฉิงเจีย
(แอบแผ่รังสีสีม่วงและรังสีวายไปให้รุ่นใหญ่

)
ซึ่งต้นเหตุของเรื่องวุ่นๆ คงเป็นเพราะฉิงเจียยังอยาก
มีตัวตนในสายตาปาปาฟู่สือ น่าเห็นใจเหมือนกันเนอะ
แต่ก็ทำเรื่องรุนแรงเกินเหตุไป ยังดีที่ฝูหรงไม่เป็นอะไร
ส่วนคู่หวานก็ยังคงหวานคงเส้นคงวา และตอนหน้าก็เป็น
ตอนสุดท้ายแล้ว อยากขอกำลังใจให้คู่นี้ส่งท้ายด้วยค่ะ
เจอกับตอนสุดท้ายในวันพุธนะคะ+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.แจ้งรีปริ้นท์นิยายชุด “เสน่ห์รัก” และ “บ่วงรัก” ค่ะ ตามลิ้งค์ไปได้เลยน้าhttp://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43497.new#newปล2. แจ้งเปิด & โอนนิยายชุด “Lover” ตามลิ้งค์ไปได้เช่นกันค่ะhttp://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43768.new#newใครที่พลาดในรอบก่อนๆหรืออยากได้หนุ่มๆเก็บไว้ ติดต่อเข้ามานะคะ
