ตอนที่ 22โจวพอล “ขอบใจนายมากที่ไม่เอาเรื่องมัน และยกให้ฉันจัดการเอง”
“ฉันเองก็ต้องขอโทษและขอบใจนายเหมือนกันว่ะโจเซฟ ที่เล่นเด็กนายซะอ่วม แถมยังเป็นการจับแพะอีก”
“อืม เอาเถอะถือว่าเป็นความซวยของอเล็กซ์ สำหรับซีอาร์...แม้จะไม่ถึงมือตำรวจ แต่นายสบายใจได้ ว่ามันได้รับบทลงโทษที่เหมาะสมกับความผิดที่ทำกับน้องนลินแล้ว”
ผมจิบเครื่องดื่มในมือพลางเหล่ตามองสองเพื่อนซี้ไปแบบเงียบๆ ซึ่งอาการผมไม่ต่างจากอาการของไอ้ไรอันนัก แถมในตอนนี้ผมกับมันดันหันมาสบตากันเอง ทำเอาต่างฝ่ายต่างสะดุ้ง ชวนขนลุกแปลกๆ แต่ก็โล่งใจไปในเวลาเดียวกัน เพราะเท่าที่ได้ยินบทสนทนาเหมือนว่าเหตุการณ์เครียดๆได้คลี่คลายลงแล้ว
ด้วยตั้งแต่ไอ้โจเซฟมาถึงร้านเบเกอรี่ชื่อดัง อยู่ข้างมหาวิทยาลัยเก่าของพวกเรา ตามนัดที่ไรอันโทรไปชวนนั้น มันก็นั่งหน้าเครียดไม่พูดไม่จากับใคร แม้ว่าจะมีผมและไรอันร่วมโต๊ะด้วยก็ตาม จนกระทั่งฝาแฝดของผู้เป็นเจ้าของร้านมาถึงนั่นแหละ มันถึงได้โอกาสเงยหน้าขึ้นจากแก้วกาแฟร้อนที่วางอยู่ตรงหน้า
หลังจากนั้นทั้งหลี่ผิงและโจเซฟนั่งจ้องตากันอยู่นาน ซึ่งผมและไรอันเองยังไม่กล้าทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นนั้นเลย ด้วยสัมผัสได้ถึงมวลอากาศหนักๆระหว่างมันสองคน เรารอจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ ทั้งคู่ถึงได้พูดประโยคข้างต้นตอบโต้กันไปมาด้วยสีหน้าจริงจัง
ผมไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากมายก็พอจะรู้ว่าเรื่องที่ทั้งคู่คุยกัน ต้องเป็นเรื่องใหญ่พอดูและคงเกี่ยวกับคนใกล้ตัวมันทั้งคู่ด้วย แต่เรื่องทั้งหมดก็จบลงแล้ว แถมมันสองคนเองก็ไม่คิดจะเอ่ยปากเล่ารายละเอียดให้ผมกับไรอันรู้ แสดงว่าคนที่ได้รับผลกระทบหลักคือน้องนลิน และเรื่องแบบนั้นย่อมสร้างความเสียให้หากเล่าต่อ ซึ่งผมกับไรอันเองก็เข้าใจจุดนี้ จึงไม่คิดซักถามเอาความ ก่อนหลี่ผิงจะเป็นคนเปิดประเด็นที่ควรจะเป็นของวันนี้
“ไรอันชีวิตช่วงนี้เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย ทำไมวันนี้นายว่างและนัดพวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ปาปาไม่ว่าเอารึไง...ฮึๆ” ประโยคนี้ของหลี่ผิงเบรกความเครียดได้ชะงัด ทำเอาพวกเราอมยิ้มหัวเราะฮึฮะไปตามคนเปิดประเด็น
มีก็แต่ไรอันเท่านั้นที่แทบสำลักชาร้อน ส่งเสียงสบถอยู่แค่ลำคอ ก่อนมันจะใช้ความเจ้าเล่ห์ส่วนตัวแกล้งร้องโอดโอย เหมือนว่าโดนชาร้อนลวกปากลิ้นพอง ยามเห็นว่าเหมยอิงเดินไปมาอยู่ในระยะสายตา ซึ่งก็ทำเอาเจ้าของร้านคนสวยเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำเย็นส่งให้ไรอัน และจากไปพร้อมรอยยิ้มหวานหยด
แม้ไม่มีคำพูดแสดงความห่วงใยสักคำ แต่เหมยอิงก็แสดงออกชัดว่าใส่ใจและมีไรอันอยู่ในสายตาเสมอ จนไอ้ลูกครึ่งตาฟ้าถึงกลับฉีกยิ้มหน้าบาน มองตามหลังคนสวยของมันคอแทบหัก
ไอ้มาเฟียขี้หวงผู้เป็นพี่ชายถึงกลับหุบยิ้ม และเมินสายตาหนีไปอีกทาง พาเอาผมกับไอ้โจเซฟหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ยามไรอันหันมายักคิ้วใส่เราทั้งคู่อย่างยียวน เหมือนว่ามันภูมิใจที่สามารถเอาคืนหลี่ผิงแบบไม่ต้องทำอะไรเลยได้สำเร็จ
ในเวลาต่อมาเมื่อผมได้ฟังคำตอบของคำถามหลี่ผิงจากไอ้ไรอันแล้ว ผมก็ได้แต่เห็นใจปนขำ และนึกทึ่งไปกับบททดสอบว่าที่ลูกเขยของตระกูลมาเฟีย ซึ่งเรื่องนี้เองที่สร้างความหนักใจให้ไรอัน ถึงขั้นนัดเพื่อนสนิทมาปรับทุกข์ และนาทีนี้เองที่หลี่ผิงคงถูกใจไม่น้อย และคงรู้สึกเหมือนได้เอาคืนไรอันแบบไม่ต้องทำอะไรเช่นกัน เพราะมาเฟียใหญ่ถึงกลับมานั่งหน้าระรื่นจิบกาแฟอย่างสบายใจได้อีกครั้ง มีแสยะยิ้มให้ไรอันยิ่งทำหน้าหงิกมากขึ้นไปอีก
ไอ้ไรอันเล่าว่าทุกวันนี้ นอกจากที่มันต้องคุมกิจการสถานบันเทิงของตัวเองยามค่ำคืนแล้ว มันต้องตื่นไปรายงานตัวกับปาปาหลี่จวินในช่วงสายของทุกวัน และโดนปาปาใช้งานเหมือนเป็นดั่งลูกน้องคนสนิทคนหนึ่ง ต้องคอยติดตามท่านไปทุกที่ แถมตกบ่ายของทุกวันกลางสัปดาห์ยังต้องไปรายงานตัวกับอากงไป่หลงอีก เพื่อรายงานความเป็นไปของแก๊งหวางให้อดีตหัวหน้าแก๊งหยางรับรู้ตามที่ปาปาสั่งงานมา
ทำให้วันๆหนึ่งไรอันมีเวลาส่วนตัวเพื่อพักผ่อนไม่เกินห้าชั่วโมง แต่เรื่องของหัวใจมันก็ไม่ทิ้ง เพราะยังคงโทรหาคนที่มันหมายปอง และเป็นคนเดียวกับคนที่มันทุ่มเททำทั้งหมดเพื่อเธอ เป็นผมผมก็ยอมเสียเวลาพักผ่อน วันหนึ่งขอแค่ได้ยินเสียงหวานๆของคนรักก็เปรียบเหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นกำลังใจเพื่อสู้ต่อแล้ว ซึ่งสิ่งที่ไรอันทำไปทั้งหมดเริ่มเห็นผล และผลผลิตที่ว่าก็ทรงคุณค่าไม่น้อย เห็นได้จากความห่วงใยที่เหมยอิงมีให้มันนั่นเอง
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมวันนี้ไรอันถึงปลีกตัวมาอยู่ที่นี่กับพวกเราได้นั้น เป็นเพราะปาปาหลี่จวินมีแผนพามามาเฟิงหวงไปทานกลางวันที่เกาลูน และต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการตัวเกะกะอย่างมันให้เสียบรรยากาศ ไรอันจึงได้โอกาสนัดเพื่อนสนิทอย่างพวกเราให้ออกมาเจอกันที่นี่ ก่อนจะทอดเสียงออดอ่อยด้วยท่าทางเนือยๆ ทำเอาผมและโจเซฟหัวเราะลั่น หลี่ผิงเองยังหลุดเก๊ก แม้ไม่ได้หัวเราะแต่ก็อมยิ้มหมั่นไส้เช่นกัน
เห็นแบบนี้อย่าไปสงสารไอ้ลูกครึ่งตาฟ้ามากครับ มันน่ะเจ้าเล่ห์ พวกเราเพื่อนสนิทรู้ทันมันดี พอว่างล่ะแทนที่จะเอาเวลาไปพักผ่อน แต่ดันปรี่มาหาสุดที่รักของมันถึงที่นี่ แถมยังแผนสูงเพื่อไม่ให้โดนผู้ใหญ่ทางฝั่งคนสวยของมันเขม่น และไม่ให้ดูน่าเกลียดในสายตาคนอื่นมากนัก การมีว่าที่นายใหญ่ตระกูลหวางร่วมอยู่ในสถานการณ์นี้ ย่อมไม่มีใครต่อว่าได้ ทั้งๆที่ทุกคนน่าจะรู้เหตุผลที่แท้จริงของไรอันเป็นอย่างดี เหตุผลที่ว่ามันต้องการตามเฝ้าตามดูแลคนสวยของมัน
“ฮ่าๆ อย่าคิดว่าพวกฉันรู้ไม่ทันนาย แต่เอาเถอะไรอัน...อดทนไว้เพื่อน เท่าที่นายเล่ามาทั้งหมด ฉันว่าเพราะปาปาหลี่จวินและอากงไป่หลงกำลังให้โอกาสนายพิสูจน์ตัวเองอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น ฉันว่าพวกท่านตั้งใจให้นายเรียนรู้ และเข้าใจวิถีชีวิตของแก๊งมาเฟียว่ะ นายก็น่าจะรู้แก่ใจ ไม่ใช่ว่าใครจะเดินเข้าเดินออกแก๊งมาเฟียได้ง่ายๆ ยิ่งคนนอกแก๊งอย่างนายด้วยแล้ว ถ้าไม่ใช่เหตุผลที่ว่านายได้รับความไว้วางใจจากท่านทั้งคู่ แบบนี้ก็ไม่รู้จะใช้เหตุผลอะไรแล้ว”
สิ้นคำพูดของผม ทำเอาสามเพื่อนสนิทเงียบกริบ และมองมาที่ผมแบบไม่เชื่อสายตา อ่านได้ชัดว่าผมไม่น่าจะสามารถพูดอะไรมีสาระได้เช่นนั้น ก่อนไอ้โจเซฟจะกระตุกยิ้ม และชกเข้าที่หัวไหล่ผมเบาๆอย่างถูกใจ
“ฉันเห็นด้วยกับที่นายพูดว่ะพอล นายล่ะหลี่ผิงคิดว่าไง” ไอ้ลูกครึ่งหน้าเข้มเคราดกหันไปส่งคำถามให้หลี่ผิง คนที่น่าจะยืนยันสิ่งที่ผมพูดได้ดีที่สุด
ไอ้มาเฟียใหญ่เองทำเพียงกระตุกยิ้มมุมปากและไม่ตอบเอาซะดื้อๆ แต่แค่มันไม่ปฏิเสธก็สร้างความพอใจให้ว่าที่น้องเขยของมันมากแล้ว ทำเอาไอ้ไรอันถึงกลับฉีกยิ้มปากแทบฉีก ตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
นาทีนี้ผมเองก็ได้แต่เอาใจช่วยมัน และนึกชื่นชมในความอดทนของไรอัน ร่วมกับชื่นชมในการเปิดใจยอมรับว่าที่น้องเขยของหลี่ผิงด้วย การที่มาเฟียใหญ่ขี้หวงยอมลดทิฐิและลดท่าทีกีดกันต่อไรอันลงได้ระดับนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ไรอันมีกำลังใจพิสูจน์ตัวเองต่อไป
การรวมตัวครั้งพิเศษในวันนี้ นอกจากเป็นการปรับทุกข์ให้ไรอันแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราได้รู้ความเป็นไปของเพื่อนแต่ละคนในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วย แม้เราจะเจอกันบ่อย แต่ก็หาได้ยากที่พวกเราจะมีเวลาสบายๆอย่างนี้ ช่วงเวลาที่มีแต่เพื่อนสนิทจริงๆ ได้นั่งจิบกาแฟและเล่าความเป็นไปของชีวิต ‘ไม่ต่างจากแม่บ้านที่หนีสามีมาเจอกัน ฮึๆ’ ซึ่งหนึ่งในหัวข้อสนทนามากมาย ย่อมไม่พ้นเรื่องของหัวใจ
พวกคุณต่างก็รู้ว่าผม หลี่ผิง และไรอันนั้น ชัดเจนในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะมีตัวจริงกันถ้วนหน้า แต่สำหรับไอ้โจเซฟผู้ซึ่งไร้คนข้างกายมานาน วันนี้ดันยอมรับหน้าตายว่ากำลังเดินหน้าจีบนักร้องสาวคนใหม่ในสังกัด ยามที่ผมแกล้งสะกิดหวังหยอกเย้า เพราะได้เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทด้วยตาตัวเองมาแล้ว
เท่าที่ผมจำได้คนที่มันเอ่ยปากยอมรับว่าเป็นแฟนนั้น มีอยู่คนเดียวคือสาวรุ่นน้องตอนที่เราเรียนเกรดสิบเอ็ดนั่นแหละ แต่ทั้งคู่ก็คบกันอยู่แค่ช่วงไฮสคูลแล้วก็เลิกกันไป หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นโจเซฟคบใครจริงจังอีกเลย ดังนั้นเรื่องที่มันสนใจใครอย่างจริงจังถึงขั้นออกตัวแรงแบบนี้ จึงเป็นเรื่องน่าตกใจของพวกเรา ยกเว้นผมที่ก่อนหน้านี้รับรู้มาบ้างแล้ว
“เฮ้ย! ชักอยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ทำให้ฤๅษีเดียวดายตบะแตกซะแล้วว่ะ” หมดเรื่องทุกข์ใจ ไอ้ลูกครึ่งตาฟ้าก็ปากดีเลยครับ
แต่นาทีนี้คนที่ได้รับฉายาฤๅษีเดียวดายไม่มีทีท่าขุ่นใจให้เห็น นอกจากการยกยิ้มมุมปากตาเป็นประกาย ไอ้แววตาแบบนี้คุ้นตาผมชะมัด ด้วยไม่ต่างจากแววตาของสองเพื่อนสนิท หรือแม้แต่ตัวผมเองยามส่องกระจก ‘แววตาของชายหนุ่มที่กำลังมีความรัก’
หลังจากนั้นโจเซฟรับปากพวกเราว่าจะพาเพื่อนสะใภ้มาเจอพวกเราอย่างเร็วที่สุด หากสาวคนนั้นยอมตกลงเป็นแฟนด้วย ก่อนจะได้เวลาแยกย้าย เมื่อต่างฝ่ายต่างมีภารกิจสำคัญระดับชาติ อย่างการไปเจอหน้าคนที่เรารัก ส่วนไอ้ไรอันแม้จะไม่ต้องไปไหน ด้วยคนๆนั้นอยู่ใกล้ตัว แต่มันเองก็จะได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่กับเหมยอิง ชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นกัน
...............................................
“พอลพาฝูหรงไปสนามบินหน่อยนะ” ผมละสายตาจากถนนเบื้องหน้า เพื่อหันมามองกระต่ายน้อยนิวลุคของตัวเองด้วยความแปลกใจ ซึ่งแววตาของผมคงบอกความรู้สึกทั้งหมดจนฝูหรงรับรู้ได้
ฝูหรงส่งยิ้มหวานเฉียบใส่ตาผม ก่อนจะยื่นมือมาเกาะแขน มียื่นหน้าเข้าหานิด และใช้ดวงตาแป๋วแหววจ้องผมไม่กระพริบด้วย ภาพตรงหน้าทำเอาใจสั่น แต่ผมก็มองภาพความน่ารักอยู่ได้ไม่นาน เมื่อต้องหันมาให้ความสนใจการจราจรบนท้องถนน แต่ภาพความน่ารักก็ยังติดตา ทำเอาผมยิ้มไม่หุบ
จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักถูกใจ ตามมาด้วยเสียงเล็กๆที่เรียกชื่อผม ทำให้ผมเริ่มสะกิดใจว่าการที่ฝูหรงขอผมไปสนามบินครั้งนี้ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ หรือมีคนพิเศษบางคนที่รออยู่ที่นั่น ซึ่งความคิดนี้ของผมถูกตอกย้ำจากประโยคต่อมาของฝูหรง
“แพทริคมาฮ่องกง วันนี้ฝูหรงเพิ่งรู้จากข้อความที่แพทริคส่งมา พอลไปรับแพทริคกับฝูหรงนะครับ” คิดว่าผมจะตอบคนน่ารักยังไงถ้าไม่ใช่การตอบรับอย่างยินยอม แม้ในใจจะไม่ยินดีเท่าไหร่ที่จะได้เจอนายแพทริคอะไรนี่
ผมรู้ว่าอย่างไรซะวันนี้ก็ต้องมาถึง วันที่ผมจะได้เห็นหน้าและทำความรู้จักกับญาติต่างสายเลือดของคนรัก
“ฝูหรง ไอดีใจที่สุดที่ได้เจอยูอีกครั้ง ‘My cute boy’...[จ๊วบ!]...ยูเปลี่ยนแปลงตัวเอง รู้มั้ยว่าน่ารักขึ้นกว่าเดิมเป็นกองเลย” คิดว่าไง ผมจะอยู่เฉยได้มั้ยที่เห็นคนรักตกอยู่ในอ้อมกอดชายอื่น แถมด้วยการถูกขโมยจูบแก้มไปฟอดใหญ่
“ฮึ่ม!...ช่วยระวังกิริยาหน่อย ที่นี่ฮ่องกงไม่ใช่นิวยอร์ก” หลังจากได้ตัวกระต่ายน้อยกลับคืนมาสู่อ้อมกอดแล้ว ผมก็หันไปขึงตาใส่พร้อมเตือนนายแพทริคด้วยเสียงเข้มจัด
แม้เหตุผลที่ยกมาอ้างจะดูไม่เข้าท่านักก็ตาม ด้วยปัจจุบันนี้ฮ่องกงก็ไม่ต่างจากประเทศทางฝั่งตะวันตกนัก เพราะการทักทายด้วยการกอดและจูบแก้มสามารถเห็นได้ทั่วไป แต่จะให้ผมทำใจยอมรับวัฒนธรรมสากลในขณะนี้ ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะรับได้ ซึ่งไอ้ฝรั่งผมทองหน้าจืดเองก็ดูเหมือนจะรู้เท่าทันความคิดของผมเช่นกัน เพราะมันเอามือล้วงกระเป๋ายกไหล่และเบ้ปากใส่ผมอย่างยียวน ด้วยท่าทางกวนโมโหในสายตาผมอย่างที่สุด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ได้แต่กัดฟันอดทนไม่ให้เข้าไปสั่งสอนมันเท่านั้น
“เอ่อ พอลนี่แพทริคที่เล่าให้ฟัง แพทริคนี่พอลแฟนฝูหรงเอง...แพทริคมีกระเป๋าเท่านี้ใช่มั้ย...พอล เราพาแพทริคกลับกันเถอะน้า” หลังจากการแนะนำตัวที่ทำให้ผมเริ่มอารมณ์ดีขึ้น และคนในอ้อมกอดผมได้คำตอบด้วยการพยักหน้าจากอีกฝ่าย ที่กำลังจับมือทักทายกับผมด้วยใบหน้านิ่งสนิทแล้ว ฝูหรงก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้แก่ผม พร้อมชวนกันกลับด้วยเสียงอ้อนๆไม่แพ้แววตา ทำเอาผมใจอ่อนยวบยาบ
แม้ผมจะขัดใจในท่าทางของญาติต่างสายเลือดของฝูหรงไม่น้อย ผมก็ได้แต่ข่มใจไว้ ด้วยไม่อยากให้คนรักต้องหนักใจมากไปกว่านี้ แต่แล้วความอดทนของผมเกือบหมดลง เมื่อรถเข็นกระเป๋าถูกเข็นมาตรงหน้า ตามมาด้วยประโยคธรรมดาแต่ให้ความรู้สึกที่ว่าผมกำลังถูกกวนประสาท
“มันเป็นธรรมเนียมที่แขกน่าจะได้รับการบริการจากเจ้าบ้าน...ผมฝากกระเป๋าด้วย” ไม่เท่านั้น ไอ้แพทริคยังอาศัยจังหวะที่ผมมัวแต่จ้องตาเอาเรื่องมัน หันมาคว้าแขนกระต่ายน้อยที่อยู่กับอกผมออกไป และกึ่งลากกึ่งจูงพาฝูหรงเดินนำหน้า
ผมเองก็ได้แต่ฟึดฟัดและรีบเข็นรถตามหลังร่างทั้งคู่ แม้ใจจริงอยากจะทิ้งกระเป๋าเน่าๆนี่ระหว่างทางก็ตาม แต่คำว่าเจ้าบ้านและญาติของคนรักมันค้ำคอ
ระหว่างที่ผมเดินตามคนทั้งคู่ ผมก็ได้แต่ใช้ความอดทนและจดความแค้นนี้ไว้เพียงในใจ หมายมั่นว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ ผมจะเอาคืนไอ้ลูกครึ่งหน้าจืดนี่ให้สาสมจงได้ แต่ยังดีที่ฝูหรงหันกลับมามอง พร้อมส่งยิ้มส่งกำลังใจมาให้ผมเป็นระยะ ชดเชยที่ผมต้องทนเห็นชายอื่นเดินใกล้ชิดกับเมียตัวเอง
นี่ยังดีที่ไอ้แพทริคยอมปล่อยข้อมือของฝูหรง ไม่เกาะแกะให้ผมรำคาญตาคันหัวใจไปมากกว่านี้
“พอลขอบคุณน้า ฝูหรงรู้ว่าพอลอดทนและทำทุกอย่างเพื่อความสุขฝูหรง...[จุ๊บ!]...คืนนี้มีรางวัลให้” จากที่อารมณ์ผมดิ่งลงเหวขุ่นมัวขนาดหนัก คำพูดและการกระทำของกระต่ายน้อยช่างอ้อน กลับทำให้อารมณ์ผมเริ่มกระจ่างขึ้น และยอมที่จะขับรถเพียงลำพังตามหลังรถแท็กซี่ ที่มีคนรักของตัวเองกับชายอื่นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติกัน เพื่อเดินทางไปยังคอนโดเดิมที่ฝูหรงเคยพัก
ไม่ใช่ว่าผมอยากจะปล่อยกระต่ายน้อยแสนรักไปกับไอ้ลูกครึ่งหน้าจืดคนนั้น แต่ก็เป็นไปอย่างจำยอมและจำใจมากกว่า ด้วยวันนี้ผมขับรถสปอร์ตประจำตัวมา ย่อมไม่สามารถบรรทุกกระเป๋าใบใหญ่และผู้ชายไซส์ควายป่าเพิ่มได้ แต่พอนึกถึง ‘รางวัล’ ที่จะได้รับในคืนนี้ ผมจึงพอยิ้มออกได้หน่อย อย่างน้อยในความรู้สึกของผมการมาฮ่องกงของนายแพทริค เพื่อเยี่ยมฝูหรงก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด
“เฮ้อ เมื่อยชะมัด...อ้าวแล้วทำไมยูยังไม่กลับ มาส่งเสร็จก็กลับได้แล้วมั้ง”
“แพทริค!” แม้จะตกใจกับเสียงแหลมๆที่ดังแหวกอากาศเข้ามา แต่ผมล่ะสะใจกับสีหน้ากระเง้ากระงอดของไอ้แพทริคปากดี มันทำมาเป็นไล่ผม สมน้ำหน้าโดนกระต่ายน้อยดุเข้าเลย ถึงคราวที่ผมได้แสยะยิ้มเยาะเย้ยใส่มันบ้าง
“ไม่เป็นไรฝูหรง งั้นเรากลับกันดีกว่า ปาปามามารอทานข้าวอยู่” ผมระบายยิ้มใส่ตาคู่กลมที่เริ่มมีแววลำบากใจ ด้วยเจ้าของคงไม่อยากทิ้งแขกคนสำคัญไปเร็วนัก ก่อนฝูหรงจะหันไปมองแขกหน้าฝรั่งอย่างลังเล
“วันนี้ยูกลับไปกับแฟนยูก่อนเถอะ แต่พรุ่งนี้ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนไอนะ ไม่ได้มาฮ่องกงนานแล้ว ไอคิดถึงอาหารเทรดดิชั่นนอลของที่นี่” ฟังเหมือนคนพูดเข้าอกเข้าใจและนึกเห็นใจคนของผมหนักหนา แต่คุณก็ได้ยินถึงความร้ายกาจของไอ้แพทริค
วันพรุ่งนี้มันคิดจะยึดฝูหรงไปเป็นของตัวเองทั้งวัน ยิ่งได้เห็นสีหน้าเป็นต่อของมันนาทีนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งยากอุ้มฝูหรงออกจากคอนโดแห่งนี้กลับบ้านของเราให้เร็วที่สุดนักเชียว
ในความเป็นจริงผมได้แต่ยืนตีหน้าขรึมพร้อมจ้องตา คนที่นั่งเอกเขนกบนโซฟาอย่างสบายใจ ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจไปกว่านี้ที่สามารถเอาคืนผมได้สำเร็จ ส่วนคนกลางอย่างฝูหรงเองคงรับรู้บรรยากาศมาคุได้ไม่ยาก เพราะคนน่ารักมีทีท่าอึกอักทำอะไรไม่ถูก คงไม่กล้าตอบรับเพราะกลัวผมไม่พอใจ และไม่อยากปฏิเสธคำขอของญาติที่ไม่ได้เจอกันนานนั่นเอง ผมจึงตัดสินใจแทนคนรักซะเลย ด้วยไม่อยากอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับนายแพทริคนี่นานกว่านี้แล้ว
“ตกลงพรุ่งนี้เจอกัน กลับกันครับฝูหรง” ผมฉวยโอกาสที่ฝูหรงมีทีท่าไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ผมพูดอยู่นั้น เข้าคว้าเอวบางก่อนพาเดินออกมาจากห้องพร้อมกัน โดยไม่คิดแม้แต่จะล่ำลาเจ้าของห้องที่แท้จริง
จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในลิฟต์ด้วยกันแล้วนั่นแหละ กระต่ายน้อยขี้สงสัยจึงเอ่ยปากถาม ว่าผมนั้นยอมให้เจ้าตัวไปเที่ยวกับแพทริคได้จริงๆเหรอ ไม่เพียงแต่ผมจะพยักหน้าตอบรับ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ฝูหรงแล้ว ผมยังระบายยิ้มใส่ดวงตากลมโตคู่ที่มีแววไม่เชื่อถือคู่นั้นด้วย แต่รอยยิ้มของผมคงสื่อถึงความในใจมากไปหน่อย ว่าผมนั้นได้วางแผนการบางอย่างไว้ดัดหลังไอ้ลูกครึ่งหน้าจืดคนนั้นแล้ว
“พอลคิดจะทำอะไรกันแน่” สุดท้ายกระต่ายน้อยน่ารักก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่จนได้ ผมจึงตัดสินใจกอบกุมดวงหน้าใสไว้ในอุ้งมือ
“บอกก่อนกระต่ายน้อยก็อดสนุกน่ะสิ แต่เชื่อใจพอลนะ ว่าไม่ได้คิดร้ายต่อญาติสนิทของฝูหรงสักนิด ก็แค่...ฮึๆ” แค่คิดก็สนุกแล้ว จนผมเองยังหลุดหัวเราะออกมา
“หึ! อย่าทำอะไรรุนแรงนะพอล แพทริคก็ได้ชื่อว่าเป็นญาติพอลเหมือนกัน” กระต่ายน้อยนี่ช่างคิดช่างพูดชะมัด โยงนายแพทริคมาเป็นญาติผมจนได้ แต่ก็เป็นความจริง ในเมื่อนายนั่นมีฐานะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฝูหรง ฝูหรงเองก็เป็นคนรักของผม นายนั่นจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมไม่ต่างกัน
ความจริงที่ว่านี้ไม่มีผลต่อแผนการที่ผมวางไว้สักนิด ด้วยมันยังจะต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน ‘หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง’ ญาติตัวร้ายต้องเจอญาติตัวแสบดูสักตั้ง ดูสิว่าใครจะเหนือกว่าใคร!?
แต่ตอนนี้ผมขอกลับไปทวงรางวัลจากกระต่ายน้อยก่อนนะครับ ไอ้รางวัลที่ว่าเนี่ยต้องสมน้ำสมเนื้อกับความอดทนของผมด้วย ไม่งั้นผมไม่ยอม!?
....................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะแพทริคที่เองเนอะที่เป็นตัวป่วนเบอร์ 3 แต่ดูท่าพอลเองก็ร้ายใช่เล่น
หาทางตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อทีเดียว แต่ผลจะเป็นอย่างไร
คงต้องติดตามกันต่อไปค่ะ
ส่วนตอนหน้ามาดูกันว่ากระต่ายจะทำตามสัญญามั้ย
หรือพอลจะมีวิธีทวงสัญญาอย่างไร
เจอกันในวันพุธนะคะ+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.แจ้งรีปริ้นท์นิยายชุด “เสน่ห์รัก” และ “บ่วงรัก” ค่ะ ตามลิ้งค์ไปได้เลยน้า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43497.new#newใครที่พลาดในรอบก่อนๆหรืออยากได้หนุ่มๆเก็บไว้ ติดต่อเข้ามานะคะ
