ตอนที่ 12โจวพอล “ชิ้นนี้ นี่ด้วย หือ!? มีกางเกงขาสั้นขนาดนี้ด้วยรึไงกัน แต่เอาไปด้วยก็ดีจะได้ให้กระต่ายน้อยใส่ให้เราดูคนเดียว ฮึๆ...เอาไปหมดตู้นี่แหละ จะได้ไม่มีข้ออ้างต้องกลับมาห้องนี้อีก” ระหว่างที่ผมกำลังยุ่งวุ่นวายกับตู้เสื้อผ้าอยู่นั้น เจ้าของตู้และบรรดาข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่รอบตัวก็ส่งเสียงนำมาก่อนตัว ทำเอาผมสะดุ้งและเผลอปล่อยของที่อยู่ในมือหล่นกระจายเต็มพื้น
“พอล! ทำอะไรน่ะ” ฝูหรงเดินเข้าหาผมพร้อมแก้วนมในมือ ใบหน้าแววตาไม่ต้องพูดถึงว่าจะแสดงออกถึงความเคลือบแคลงเพียงใด ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นก้มมองเสื้อผ้าตัวเองที่เกลื่อนอยู่หน้าตู้
ผมจึงได้แต่ระบายยิ้มเอาใจใส่ตากลมๆคู่นั้น ยามตากลมๆที่เต็มไปด้วยคำถามจ้องกลับมายังผม ก่อนจะเสยื่นมือไปรับแก้วนมมาถือไว้เอง และกุมมือบางไว้แถมใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงอีกนิด เพื่อจูงเจ้าของมือนุ่มให้ออกเดินตามมายังเตียงกลางห้อง
ผมย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า และยื่นแก้วในมือไปจ่อริมฝีปากแดงสด มีพยักหน้าเชิญชวนคนน่ารักให้ดื่มนมก่อนนอน ซึ่งเป็นกิจกรรมประจำวันที่ขาดไม่ได้ของฝูหรงที่ผมเพิ่งรู้ ยามได้มานอนยังคอนโดแห่งนี้เมื่อสามวันก่อน
“ดื่มนมก่อนนะกระต่ายน้อย” แม้ในดวงตากลมๆจะยังมีแววสงสัยไม่เปลี่ยน แต่ผมเดาว่าเพราะเสียงนุ่มๆที่ผมใช้ และท่าทางเอาอกเอาใจที่ผมแสดงออกกับเจ้าตัว ทำให้ฝูหรงยอมที่จะดื่มนมตามคำชวนของผม
กระต่ายน้อยค่อยๆละเลียดนม โดยมีผมช่วยประคองแก้วไว้ ซึ่งผมอดระบายยิ้มไม่ได้ ยามเห็นลิ้นเล็กๆสีชมพูอ่อนแลบเลียกลีบปากสีสดที่เปื้อนคราบนม เมื่อฝูหรงดื่มนมจนหมดแก้วแล้ว
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่คือพฤติกรรมของชายหนุ่มอายุยี่สิบสาม ด้วยภาพตรงหน้าไม่ต่างจากเด็กชายตัวน้อยอายุไม่เกินสิบขวบ ‘ไร้ซึ่งมารยา’ และเพราะรอยยิ้มเอ็นดูในความน่ารักของผมที่มีต่อกระต่ายน้อยนั่นเอง ทำให้เจ้าตัวถึงกลับชะงัก ก่อนแก้มใสจะขึ้นสีและขึงตาใส่ผม ด้วยฝูหรงคงรู้ว่าเผลอทำตัวเป็นเด็กต่อหน้าผมเข้าแล้ว
กระต่ายน้อยน่ารักดันแก้เก้อด้วยการยกหลังมือขึ้นมาเช็ดปาก ยิ่งตอกย้ำพฤติกรรมเด็กน้อยของเจ้าตัวในความคิดของผมเข้าไปอีก
“อ่ะ!...หัวเราะไมเล่า แค่ลืมตัว ก็ไม่รู้จะจ้องทำไมนักหนา” ท้ายประโยคต่อว่าต่อขานแบบไม่จริงจังของเด็กน่ารักนั้นเบาหวิว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังเขินสายตาผมจนทำอะไรไม่ถูก
ผมจึงเอื้อมไปจับมือนุ่มๆข้างนั้นไว้ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าหาเพื่อจุมพิตบางเบา และส่งลิ้นแลบเลียคราบนม เพื่อทำความสะอาดให้เสียเอง ส่งผลให้กระต่ายน้อยขี้ตื่นมีอาการสะดุ้งน้อยๆทันที ฝูหรงพยายามชักมือกลับแต่ผมไม่คิดปล่อย ก่อนผมจะเงยหน้ากระตุกยิ้มใส่ตากลมๆที่กำลังสั่นไหว พร้อมยื่นหน้าเข้าหาใบหน้าเล็กๆอีกครั้ง ที่ยามนี้เลือดลมสูบฉีดลามเลียไปยังลำคอระหงให้ขึ้นสีชมพูระเรื่อไปทั่ว
ผมตัดสินใจแตะริมฝีปากเข้าที่มุมปากเล็ก ที่ยังคงหลงเหลือคราบนมอยู่ และแช่ค้างไว้แบบนั้น ซึ่งรับรู้ได้เลยว่าฝูหรงนั่งเกร็ง แถมยังกลั้นลมหายใจไว้ด้วย ทำเอาผมนึกเอ็นดูกระต่ายน้อยขี้ตื่นเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพราะขนาดว่าเราเคยแนบชิดและลึกซึ้งไปถึงขั้นไหนต่อไหนกันแล้ว แต่อาการขี้ตื่นขี้อายของฝูหรงก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ผมจึงเลือกที่จะผละห่างออกมา พร้อมยิ้มใส่ตากลมๆและยื่นมือไปลูบกลุ่มผมนุ่มเป็นการปลอบประโลม
“ทีนี้ก็สะอาดจริงๆแล้วนะครับ” ด้วยความสัตย์จริงที่พูดไป ผมไม่มีเจตนาจะล้อเลียนคนน่ารักสักนิด แต่ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิดไปเต็มๆ เพราะกระต่ายน้อยที่กำลังนั่งจ้องผมด้วยใบหน้าแดงเถือกนั้น ยู่หน้าทำปากจู๋เข้าใส่ผม พร้อมพึมพำเบาๆว่าผมขี้แกล้ง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
ผมจึงได้แต่ส่ายหัวอมยิ้ม แต่ยังไม่ละมือไปจากกลุ่มผมนุ่ม เพราะยังคงลูบเล่นด้วยความเพลินมือ
“ตกลง พอลตั้งใจทำอะไรกับเสื้อผ้าฝูหรง” อยู่ๆกระต่ายน้อยก็หันกลับมาจ้องตากัน พร้อมส่งคำถามดังกล่าวมาให้ ด้วยคงหันไปเห็นหลักฐานเกลื่อนกลาดที่ผมทิ้งไว้หน้าตู้เสื้อผ้าเข้า และคงเป็นคำถามคาใจตั้งแต่เจ้าตัวเข้าห้องมานั่นเอง
ผมก็ได้แต่อึกอักและเป็นฝ่ายหลบตากระต่ายน้อยบ้าง ซึ่งในนาทีนี้เหมือนว่าเจ้ากระต่ายขนปุกปุยที่เคยดูน่ารักน่าใคร่ จะกลายร่างเป็นหมีขาวตัวใหญ่ที่กำลังกางกรงเล็บ เตรียมจ้องตะปบเหยื่อเยี่ยงผมเข้าแล้ว
ส่วนเรื่องวุ่นวายที่ผมทำไว้กับบรรดาเสื้อผ้าและของใช้ของฝูหรงนั้น ด้วยผมตั้งใจจะเก็บของเหล่านั้นไปไว้ที่บ้านตัวเอง เพราะอยากได้ตัวคนน่ารักไปอยู่ด้วยกัน และขืนผมยังไม่ตอบสิ่งที่ฝูหรงอยากรู้ ไอ้ที่หวังไว้อาจจะล้มเหลวไม่เป็นท่าก็ได้
“ไม่อยากให้ฝูหรงเหนื่อย พอลเลยเตรียมเก็บเสื้อผ้าไว้ให้ฝูหรงไงครับ เพราะเชื่อว่ายังไงซะ ฝูหรงคงต้องตอบตกลงไปอยู่ด้วยกันกับพอล...ฝูหรงย้ายไปอยู่กับพอลที่บ้านนะครับ” ไหนๆก็ได้โอกาสชี้แจงแล้ว ผมถือโอกาสชวนไปซะเลยทีเดียว
พูดอย่างเดียวกลัวไม่สำเร็จ ผมจึงกอบกุมมือนุ่มไว้ พร้อมพรมจูบหลังมือและอ้อนวอนคนน่ารักไปพร้อมกัน
“นะครับฝูหรง ไปอยู่กับพอลเถอะนะ พอลเองบางครั้งก็ทำงานไม่เป็นเวลา และต้องออกนอกเมืองบ่อยๆ ไม่อยากให้ฝูหรงอยู่ที่นี่คนเดียว พอลเป็นห่วง ถ้าอยู่โน่นฝูหรงจะมีคนคอยดูแลเรื่องจิปาถะให้ มามาเองก็บ่นว่าเหงา ฝูหรงจะไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุยให้ท่านหน่อยเหรอครับ ที่สำคัญฝูหรงก็เป็นสะใภ้ตระกูลโจวเต็มตัวแล้วด้วย จะไม่ไปอยู่คฤหาสน์โจวได้ยังไงกัน ใช่มั้ยครับ” ใครจะว่าผมรวบรัดก็ช่างเถอะ ถ้าผลที่ได้คือการตอบตกลงของฝูหรงแล้วผมยอม
ผลของการโน้มน้าวอย่างเจ้าเล่ห์ของผมคือ คนน่ารักนั่งหน้าแดงตัวแดงเถือกไม่ยอมสบตา แต่ดันไม่มีคำตอบให้กัน ผมจะขอเหมารวมได้เลยมั้ยว่าฝูหรงตกลงยอมที่จะไปอยู่ด้วยกันแล้ว แถมอากัปกิริยาน่าเอ็นดูตรงหน้าก็ชวนใจสั่นไม่น้อย จนผมชักไม่อยากรอคำตอบของคนน่ารักอยู่นิ่งๆอย่างนี้อีกแล้ว
ก่อนที่ริมฝีปากผมจะแตะโดนพวงแก้มอมชมพู ฝูหรงก็เงยหน้าขึ้น มีผงะห่างด้วยความตกใจ ดวงตากลมๆที่ไร้สิ่งกีดขวางก็มีแววตื่นตระหนก แถมริมฝีปากที่เป็นจุดหมายหลักของผมก็ถูกเม้มไว้จนแน่น เหมือนรู้ว่าผมตั้งใจทำอะไร ก่อนกระต่ายน้อยที่เกือบโดนราชสีห์จับกิน จะยื่นมือสั่นๆมาดันใบหน้าผมออกอย่างช้าๆ
“เอ่อ...กะ ก็ได้ แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้นะ...ได้มั้ย อืม ปล่อยก่อน ขอฝูหรงไปเก็บเสื้อผ้าที่พอลรื้อไว้ก่อนนะ” ผมรู้หรอกว่ากระต่ายน้อยคิดจะชิ่ง และผมก็อาจจะปล่อยไป หากคำตอบของฝูหรงจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับผมมากกว่านี้
ผมจึงรั้งเอวบางของคนตัวเล็กที่เตรียมคลานหนีเอาไว้ ก่อนจะยกร่างน้อยโยนลงกับเตียง จนร่างนั้นกระเด้งกระดอนขึ้นลงเบาๆ พร้อมมีเสียงร้องอุทานเกิดขึ้น ก่อนร่างที่ผมคร่อมไว้มีทีท่าจะดิ้นหนี แถมปากแดงๆยังขยับต่อว่าต่อขานกันได้อีก และผมก็ไม่คิดปล่อยให้กระต่ายน้อยร้องตะแง้วๆอยู่นาน ด้วยประกบจูบปิดปากนุ่มนิ่มเพื่อกั้นเสียง และหลอกล่อเจ้าของลิ้นน้อยให้คล้อยตาม
กระต่ายน้อยขี้ตื่นเป็นอันหมดฤทธิ์ ได้แต่นอนระทวยอกกระเพื่อมและจ้องผมตาปรือปรอย ผมระบายยิ้มใส่ตาฝูหรง พร้อมไล้ปลายนิ้วแตะความนุ่มชื้นที่ได้มอบความหวานแก่ผม ก่อนเชยคางมนขึ้น
“กระต่ายน้อยยังต้องรออะไรอีก ห้าปียังไม่พอสำหรับเวลาที่เราต้องแยกจากกันอีกเหรอครับ” หลังประโยคของผมนั้น ฝูหรงดูอึ้งไปก่อนเจ้าของร่างน้อยจะยื่นมือมาปะกบเข้าที่แก้มผม และเรียกชื่อผมผะแผ่ว
“พอล...ถึงฝูหรงจะไม่ได้ย้ายของเข้าบ้านพอลตอนนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องแยกกันนี่ ขอเวลาฝูหรงเคลียร์เรื่องห้องก่อนนะ...นี่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องตัวจริงจะว่าไงบ้างเลย” ประโยคสุดท้ายที่ฝูหรงพึมพำเบาๆนั้นไม่ได้เล็ดลอดหูผมไปได้
ผมเองก็ไม่ปล่อยให้คาใจ ด้วยออกปากถามทันทีว่าเจ้าของห้องที่แท้จริงคือใคร ทำไมถึงดูมีอิทธิพลต่อเจ้าตัวนัก จะเดาว่าฝูหรงเช่าห้องนี้อยู่ก็ไม่น่าใช่ ในเมื่อเจ้าตัวครอบครองทรัพย์สินจำนวนมหาศาล อย่าว่าแต่จะให้ฝูหรงซื้อห้องนี้เลย เพราะถ้าฝูหรงต้องการเป็นเจ้าของทุกห้องในคอนโดนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หลังจากการซักไซ้ของผมนั้น ฝูหรงมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะระบายยิ้มบางเบามาให้ เมื่อเห็นว่าผมจ้องเขม็งรอคำตอบไม่วางตา พร้อมกับใช้วงแขนโอบรอบคอผม และรั้งให้ลงนอนเคียงข้างกัน ผมจึงหลุดยิ้มออกจนได้ แต่อาการออดอ้อนของกระต่ายน้อยยังไม่หมดเท่านั้น ด้วยฝูหรงขยับตัวขึ้นมานอนเกยทับบนตัวผม ก่อนวางท่อนแขนทั้งคู่ลงบนแผ่นอกของผม และเกยคางลงบนหลังมือ พร้อมระบายยิ้มหวานจับจิตส่งมาให้
ผมถึงกลับอดใจไม่ไหวที่จะยื่นมือไปยีผมนุ่มๆเล่น ก่อนจะยื่นหน้าไปจุ๊บหน้าผากมนของคนทะเล้นอีกหนึ่งที แต่ในใจไม่ลืมนะครับว่าผมรอคำตอบของสิ่งที่สงสัยอยู่
“กระต่ายน้อยทำแบบนี้ พอลก็ยังไม่ลืมนะว่าเราคุยอะไรกันไว้ ตกลงใครเป็นเจ้าของห้อง อย่าบอกนะว่าเช่าอยู่ ถ้าใช่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตกลงพรุ่งนี้ย้ายเลยแล้วกัน”
“หือออ พอล! ฝูหรงต้องคุยกับแพทริคก่อน ไม่งั้นโดนโกรธแย่เลย” คุณได้ยินเหมือนผมมั้ย
หมายความว่าคนที่ชื่อแพทริคอะไรเนี่ยเป็นเจ้าของห้องใช่มั้ย แถมแฟนผมก็ยังดูกังวลและแคร์ไอ้นั่นมากๆเอาซะด้วย ไอ้แพทริคมันเป็นใครและมีความสัมพันธ์แบบไหนกับฝูหรงกันแน่
“แพทริค! หมายความว่ายังไงฝูหรง ไอ้แพทริคนี่มันคือใคร ทำไมต้องกลัวมันขนาดนี้ด้วย!” รู้ตัวเลยครับว่าเสียงโคตรแข็ง แต่อารมณ์ขุ่นๆบวกความไม่เข้าใจของผมตอนนี้ ทำให้ผมเก็บอารมณ์ไม่อยู่
ฝูหรงเองก็ดูตกใจและผวาลุกขึ้นไปนั่งข้างตัว พร้อมมองมายังผมด้วยแววตาตื่นๆ เห็นภาพคนรักที่เหมือนกำลังหวาดกลัวในพฤติกรรมของตัวเองเข้า จึงได้แต่ถอนใจและลูบหน้าตัวเองแรงๆ
ระหว่างที่ผมคลึงขมับเพื่อให้อารมณ์ผ่อนคลายลงนั้น ผมรู้สึกถึงปลายนิ้วเย็นๆที่แตะเข้าที่หลังมือ เล่นเอาผมชะงัก ก่อนมือข้างเดียวกันนั้นจะรั้งข้อมือผมออกจากใบหน้า และเอาไปกุมไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้ผมได้เห็นกระต่ายน้อยขี้ตื่น จ้องมายังผมด้วยตากลมๆออกสั่นนิดๆอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ริมฝีปากอิ่มกลับพยายามคลี่ยิ้มเอาใจส่งให้
ผมถอนใจอีกเฮือกใหญ่แต่ทำเอาอีกคนสะดุ้ง บอกก่อนว่าผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คนน่ารักของผมต้องตกใจนะ เพราะแค่รู้สึกโมโหตัวเองเท่านั้นที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ซึ่งอาการของผมกลับทำให้ฝูหรงพูดในสิ่งที่ผมอยากรู้ออกมาทันที แต่ก็พูดด้วยเสียงสั่นๆแววตาตื่นๆอย่างน่าสงสาร
“แพทริคเป็นลูกชายอังเคิลโลแกน และเป็นเจ้าของห้องนี้ ฝูหรงไม่ได้กลัวแพทริค แต่ก็ต้องบอกให้รู้!...บะ...บอกแล้ว ฮึก ทำไมต้องทำตาดุมองกัน ดะ...ด้วยเล่า” สิ้นเสียงสั่นๆ ผมก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายดึงข้อมือบางเข้าหาตัว ทำให้ร่างน้อยล้มตัวนอนซบลงบนอกผมอีกครั้ง ก่อนจะลงมือลูบแผ่นหลังบางแผ่วเบา
การกระทำของผมกลับทำให้เจ้าของร่างน้อยสะอึกสะอื้น ปล่อยน้ำตาออกมาเป็นสาย จนผมรู้สึกถึงความชื้นที่เสื้อนอน
“ชู่ว์ๆๆ ขอโทษครับ พอลมันนิสัยไม่ดี กระต่ายน้อยหยุดร้องเถอะนะ พอลก็แค่หวงที่ได้รู้ว่ามีผู้ชายคนอื่นสนิทสนมกับฝูหรงนอกจากพอล” ผมกอดปลอบกระต่ายน้อยอยู่พักหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าร่างในอ้อมกอดคลายอาการสะอื้นแล้ว ผมจึงส่งคำถามคาใจออกไปอีก ว่าทั้งอังเคิลโลแกนและไอ้แพทริคนั่น มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับฝูหรง
คนน่ารักเองกว่าจะยอมพูดออกมาก็เกือบทำให้ผมถอดใจ นาทีนี้แม้จะอยากรู้แต่ผมคงไม่กล้าซักไซ้มากกว่าที่พูดไป ด้วยไม่อยากกดดันฝูหรงจนต้องหลั่งน้ำตาออกมาอีก แต่ในเมื่อคนน่ารักยอมเปิดปากเล่า จึงไม่แปลกที่จะเห็นผมตั้งใจเก็บรายละเอียดเป็นพิเศษ
“อังเคิลโลแกนเป็นสามีของป้าไถ่อี้ ทั้งคู่ไปเจอกันเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ป้าพาฝูหรงไปอยู่นิวยอร์ก ส่วนแพทริคคือลูกชายของอังเคิล ถ้าจะนับลำดับญาติ แพทริคก็ไม่ต่างจากลูกพี่ลูกน้องของฝูหรง” แม้ไอ้แพทริคอะไรนั่นจะมีศักดิ์เป็นญาติ แต่ก็ไม่ได้มาจากสายเลือดเดียวกันอยู่ดี บวกกับสิ่งที่ฝูหรงบอกเล่าต่อจากนั้น ยิ่งทำให้ผมไม่ไว้ใจญาติผู้พี่แต่เพียงในนามคนนี้เท่าไหร่
“ส่วนคอนโดนี้ก็เป็นของแพทริค ตอนที่ฝูหรงเลือกที่จะกลับมาอยู่ฮ่องกงหลังรับปริญญา แพทริคก็ตามมาส่งและซื้อคอนโดนี้ให้อยู่ ถ้าต้องย้ายฝูหรงก็อยากจะคุยกับแพทริคก่อน ไม่อยากให้คนที่หวังดีกับเราต้องเป็นห่วง...พอลเข้าใจใช่มั้ย” ผมที่กำลังสูดลมหายใจช้าๆ เพื่อข่มความไม่พอใจที่กำลังก่อตัวขึ้นในอก ต้องฝืนคลี่ยิ้มให้เจ้าของดวงตาแป๋วแหววที่มีร่องรอยแวววาวของหยาดน้ำตา ยามที่เจ้าของมันเงยหน้าขึ้นส่งสายตาขอความเห็นมาให้ ก่อนผมจะไล้ปลายนิ้วแผ่วเบาผ่านผิวใต้ตาช้ำๆ
“พอลจะพยายามเข้าใจนะฝูหรง...อย่าทำหน้าแบบนั้น...เฮ้อออ ฝูหรงก็ต้องเข้าใจพอลนะ เพราะเท่าที่ฟังมาทั้งหมด ญาติคนละสายเลือดคนนี้ดูจะเป็นห่วงกระต่ายน้อยของพอลมากไปหน่อย แต่เอาไว้ก่อนเถอะครับ เพราะสิ่งที่พอลอยากรู้มากกว่าเรื่องนายแพทริคอะไรนี่คือ ป้าไถ่อี้เป็นอย่างไรบ้าง ลุงเขยของฝูหรงดูแลท่านดีมั้ย...เฮ้! เป็นอะไร ร้องทำไมครับ”
สิ้นคำถามของผมนั้น อยู่ๆฝูหรงก็น้ำตาไหลแต่ไม่มีเสียงร้องให้ได้ยิน ผิดกลับเมื่อครู่ที่ออกแนวตัดพ้อเสียใจ และการหลั่งน้ำตาครั้งนี้จะออกแนวเศร้าโศกซะมากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรปฏิกิริยาของคนรักก็ทำให้ผมตกใจไม่ต่างกัน ซึ่งคำตอบต่อมาของฝูหรง ทำให้ผมเข้าใจในอาการของคนรักได้อย่างแท้จริง ก็ใครเล่าจะไม่เศร้าเสียใจกับการจากไปของญาติสนิททางสายเลือดเพียงคนเดียวที่มี
ฝูหรงเล่าว่าป้าไถ่อี้เสียชีวิตลงเมื่อสองปีก่อน ก่อนที่ฝูหรงจะเรียนจบแค่ปีเดียว ด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาได้ การจากไปของญาติสนิทเพียงคนเดียวทำให้ฝูหรงเศร้าเสียใจมาก เพราะไม่ได้เป็นประสบการณ์การสูญเสียแบบไม่ทันตั้งตัวครั้งแรกของฝูหรง แต่การเสียป้าไถ่อี้ไปก็ทำให้ฝูหรงได้รู้ว่า คนที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันก็มีความรักและความหวังดีอย่างแท้จริงให้กันได้ เพราะลุงเขยที่เจ้าตัวเรียกว่าอังเคิลโลแกนได้ดูแลหลานนอกไส้อย่างดี ไม่ต่างจากลูกชายตัวเองอย่างนายแพทริค และผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่ตัวเองสงสัย เรื่องทรัพย์สินจำนวนมากของฝูหรง
หลังจากป้าไถ่อี้เสียชีวิตนั้น ลุงเขยได้ยกสินสมรสที่ป้าไถ่อี้สมควรจะได้ให้แก่หลานชายเพียงคนเดียว ทำให้ฝูหรงกลายเป็นเศรษฐีน้อยๆไปโดยปริยาย ผมจึงอดถามไม่ได้ว่าลุงเขยของเจ้าตัวนั้นมีกิจการอะไร ถึงยกสินสมรสจำนวนไม่น้อยให้หลานชายนอกไส้ได้มากขนาดนั้น
“อังเคิลโลแกนเป็นศิลปินที่ค่อนข้างมีชื่อในนิวยอร์ก และมีแกลลอรี่แสดงภาพวาดของตัวเองด้วย ป้าไถ่อี้ได้เจออังเคิลครั้งแรกก็ในแกลลอรี่ของอังเคิลนั่นแหละ เป็นรักแรกพบ เจอปุ๊บแต่งปั๊บ แต่เสียดายที่ทั้งคู่ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันนานกว่านี้” ผมลูบหัวปลอบกระต่ายน้อยตากลมที่เสียงเริ่มสั่นในประโยคสุดท้าย
“แต่ยังดีนะกระต่ายน้อยที่ป้าไถ่อี้ได้เจอคนที่ท่านรักและรักท่านอย่างจริงใจ แม้จะมีเวลาร่วมกันไม่มากก็ตาม เพราะอะไรรู้มั้ย...มีน้อยคนนะที่จะหาคู่แท้จนเจอ และคู่แท้ที่หากันเจอ หนึ่งในนั้นคือคู่ของเราไงครับ” หลังจากผมแตะจูบเข้าที่หน้าผากมน พร้อมระบายยิ้มอ่อนโยนส่งกำลังใจไปให้นั้น
ฝูหรงที่มีน้ำตาคลอหน่วยตา แก้มใสกลับค่อยๆขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู และจ้องตาผมไม่กระพริบ ซึ่งกิริยาที่ทำให้ความอดทนของผมในค่ำคืนนี้หมดลง คือแววตาหวานๆที่เคลื่อนลงต่ำมาจับจ้องยังริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มของผม กระต่ายน้อยไม่พูดผมก็รู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ ‘ชักแก่แดดใหญ่แล้วนะเนี่ย’
ผมก็ปล่อยให้ฝูหรงจ้องไป ก่อนจะแกล้งเลียริมฝีปากช้าๆ ทำเอาตากลมๆยิ่งเบิกกว้าง และคงนึกรู้ว่าตัวเองเผลอแสดงความต้องการออกมาให้ผมรู้ ฝูหรงเหลือบตาตื่นๆขึ้นมองผมนิด และพลิกหน้าเมินหลบไปทางอื่น ผมจึงจับคางมนให้หันกลับมา
“ไม่ต้องอายกระต่ายน้อย เพราะพอลก็อยากจูบฝูหรงเหมือนกัน ความจริงอยากได้มากกว่าจูบ...ได้มั้ย ให้พอลรักฝูหรงได้มั้ยครับ”
แม้ไม่มีเสียงตอบรับจากกระต่ายน้อยใต้ร่าง แต่อาการหลับตาพริ้มพร้อมวงแขนที่โอบรอบคอ ยามที่ผมเคลื่อนใบหน้าลงต่ำเพื่อประทับจูบนั้น แปลความได้อย่างเดียวว่ากระต่ายน้อยยินยอมพร้อมใจ ให้สิงห์เจ้าป่าเยี่ยงผมได้เชยชม ซึ่งเนื้อกระต่ายก็ยังหวานไม่แพ้ครั้งแรกที่ผมได้ชิม แถมดูเหมือนว่ายิ่งกินเท่าไหร่ผมก็ยิ่งติดใจไม่รู้เบื่อ ทั้งจากสัมผัสเนียนลื่นของผิวกายยามฝ่ามือวาดผ่าน ทั้งจากเสียงครางหวานๆผสมการออดอ้อนดังต่อเนื่องที่ลอยมาเข้าหู สำคัญที่ความอบอุ่นกระชับแน่นยามผมขับเคลื่อนส่งผ่านความสุขให้แก่เรา เรียกได้ว่ากระต่ายน้อยน่ารักคนนี้ทำให้สิงห์เจ้าป่าเยี่ยงผมยอมสยบให้ทั้งตัวและหัวใจ
กว่าค่ำคืนแสนหวานของเราจะผ่านพ้น ทั้งผมและฝูหรงก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่กลับสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นขึ้น พร้อมก่อเกิดความสุขเปี่ยมล้นไปทั้งกายและใจของเราทั้งคู่
.........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะอุต๊ะ!! คุยเรื่องอดีตกันอยู่ดีๆ ทำไมถึงจบด้วยเรื่องบนเตียงได้ล่ะเนี่ย
และดูเหมือนว่าครั้งนี้กระต่ายน้อยจะเริ่มก่อนซะด้วยสิ

ตอนนี้และตอนที่ผ่านๆมา ใครพอจะรู้บ้างว่าตัวป่วนของเรื่องมีกี่คน
ลองนับเล่นๆกันดูนะคะ เพราะทุกตัวป่วนจะทยอยมาสร้างเรื่องยุ่งๆ
ให้คู่นี้กันค่ะ หากหวานอย่างเดียว เดี๋ยวจะไม่สมกับชื่อเรื่อง
แต่ก็เอาแค่กรุบกริบพอมีรสชาติล่ะน้า
ตอนหน้าตัวป่วนเบอร์หนึ่งจะมาสร้างสีสันแก่คู่นี้แล้วนะคะ จะเป็นใคร
และมารูปแบบไหน ต้องติดตามในวันอังคารค่ะ+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
