ตอนที่ 35“ อิน.. อิน.. ไอ้อิน!! “ เสียงดังแหลมๆที่เอ่ยเรียกชื่อผม สะดุ้งตื่นจากอาการเหม่อทันทีก่อนจะหันมามาพบว่า แพรกับพิงค์กับยืนจ้องหน้าผมอยู่ด้วยความสงสัย ภายในโรงอาหารของโรงพยาบาลเราสามคนที่กำลังกินข้าวคงมีแค่ผมที่ข้าวยังไม่พรองลงไปเลยสักนิด
“ มีอะไร “
“ ฉันต้องถามสิ ว่าแกเป็นอะไร ทำไม เงียบ “ พิงค์เอียงหน้าเข้ามาถาม มือที่ยื่นมาจับที่หน้าผาก “ ตัวก็ไม่ร้อน ทำไมดูเหม่อๆ ตาลอยๆ “
“ หรือว่าเมื่อคือหมอถูกจัดหน้าจัดเต็มจากคุณโรม ก็จะเบลอๆมึนๆ “ แพรถามก่อนจะยิ้มกว้าง ผมหันมาหามัน ก่อนจะยกยิ้ม
“ ก็เป็นแบบนั้นเหละ “
“ ว๊ายยยยยย เหรอ “
“ ตอแหล “ ผมบอก “ กูกับมันยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย “
“ หมายความว่า โกรธกันอยู่เหรอ “ พิงค์ว่า
“ เปล่า แต่คือเมื่อวานมันเกิดเรื่องช็อคกับกูนิดหน่อยกูเลยไม่ได้คุยอะไรกับมันมาก วันนี้กูเลยเบลอๆ ไม่ได้สนใจอะไรมันมากหรอก “
“ เรื่องช็อคอะไรวะ “
“ เมื่อวานกูไปเจอไฟท์กับแฟน “
“ แฟน !? “ สายตาตั้งคำถามของคนฟัง ผมพยักหน้า “ แฟนนี่ยังไง คิดไปเองรึเปล่า ว่านั่นแฟน อาจจะแค่เพื่อนร่วมงาน “
“ แฟนสิ ก็มันแนะนำว่า แฟน แถมยังเป็นผู้ชายด้วย “
“ ห๊ะ จริงดิ “ สองสาวหันมองหน้ากัน ก่อนแพรจะหันมาถามผม
“ โอเคนะ “
“ อะไรโอเคนะ “
“ ก็ความรู้สึกนะ หมออินอยากให้คุณไฟท์ทำแบบนั้นมาตลอดไม่ใช่เหรอ รับหมอเป็นแฟนนะ “
“ แพร พูดมากน่า “ พิงค์ปรามอีกคนก็ก้มหน้า
“ ขอโทษค่ะ “
“ ไม่เป็นไรหรอก “ ลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองผมถือจานอาหารไปไว้ที่เก็บ “ ไม่หิวล่ะ ไปก่อนนะ “
“ อื้ม “
ผมออกเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาล โรงพยาบาลที่ดุวุ่นวายเสมอ แต่ตัวที่กำลังเดินอยู่กับสงบนิ่ง ไม่อยากแม้จะทำงาน ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น หยุดพิงตัวเองกับระเบียง มือก็คว้าเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากด เบอร์โทรที่ผมอยากจะโทร ผมมองมันอยู่นาน นิ้วที่อยากจะกดโทรออกไป ทำได้แต่เลื่อนไปทางอื่น
ครืน ครืน ครืน สายโทรศัพท์สั่นผมรีบยกขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่า คนที่โทรมา ก็คือคนเดิมๆที่จะโทรมาหากันตลอดแต่ไม่ใช่คนที่อยากจะโทรหาเมื่อครู่ “ ว่าไงครับมึง “
“ ทำอะไรอยู่ “
“ กำลังยืนอยู่เฉยๆ “ ผมบอก อีกฝ่ายก็ยิ้ม “ มีอะไรรึเปล่า “
“ เปล่า แค่กำลังคิดถึงเฉยๆ “ ยิ้มออกมาตามคำพูดของมัน ไอ้คนขี้เต๊าะเอ้ย จะนานเท่าไหร่ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
“ มีอะไร ไม่ต้องมาตอแหลเลย “
“ มีอะไรจะบอก “
“ หื้ม อะไร “ ถามออกไป อีกคนก็ถอนหายใจ
“ ไว้จะบอกเย็นนี้ งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวกันนะ เดี๋ยวจะไปรับที่โรงพยาบาล “
“ แล้วอลิสล่ะ “ ผมถาม ทำไมรู้สึกเสียงมันแปลกๆ เหมือนกำลังมีเรื่องอะไรที่กำลังเครียดอยู่
“ ฝากที่บ้านมึงสักแปปได้มั้ย “ เงียบไปอย่างใช้ความคิด วันนี้แม่ไม่เข้าเวรก็น่าจะได้อยู่
“ ได้สิ แม่ไม่เข้าเวร งั้นวันนี้กูไปรับอลิสที่โรงเรียนแล้วกัน “
“ อื้ม “ มันตอบออกมาสั้นๆ ผมก็ขมวดคคิ้วถาม
“ เป็นอะไรรึเปล่า เสียงมึงดูไม่ดีเลยนะ วันนี้ไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทนิ ที่มหาลัยมีปัญหาอะไรรึเปล่า “
“ มี “ ถอนหายใจออกมาพร้อมคำตอบ “ แต่ เย็นนี้ค่อยคุยกันแล้วกัน “
“ ได้สิ แต่มึงโอเคจริงๆนะ “ เกิดนึกเป็นห่วงมันขึ้นมาอีก โรมไม่เคยแสดงอาการแบบนี้อาการที่บอกว่ากำลังเป็นทุกข์ “ นี่โรม “ พอเรียกมันอีกครั้งปลายสายที่ฟังก็หัวเราะออกมา
“ กูไม่ได้เป็นอะไร แค่เหนื่อยนิดหน่อย งานทุกอย่างก็ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ “
“ อื้ม “
“ เดี๋ยวกูได้กอด ได้หอมมึงสักฟอดก็คงหายแล้ว “
“ ถ้ามึงจะทำแบบนั้น งั้นก็กลับบ้านเถอะ ไม่ต้องไปกินข้าวหรอก “ บอกออกไปแบบนั้นอีกคนก็หัวเราะเสียงดังขึ้นไปอีกแต่ก็รู้ว่า กำลังกลบเกลื่อน “ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก งั้นเจอกันเย็นนี้แล้วกัน อย่าสายละ “
“ ไม่สายครับผม “ สายที่วางไป ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ
น่าแปลก ผมรู้สึกแปลกกับความรู้สึกตัวผม ทั้งๆที่มีโรมอยู่แล้ว แต่กำลังรู้สึกเสียใจ รู้สึกรับไม่ได้กับความสัมพันธ์ของไฟท์กับเต ทั้งๆที่ในสายตาก็บอกว่า เหมาะสมดี ทั้งๆที่บอกว่าเหมาะสมดี ใจกับรู้สึกไม่ชอบแบบนั้น
ผมไม่อยากให้ไฟท์มีแฟน ไม่อยากให้ไฟท์มีใคร อยากให้มันอยู่คนเดียวแบบนั้น หรือถ้ามันต้องมี ก็ขอให้มันมีแค่ผม แต่ถามว่าผมจะเลิกกับโรมแล้วกลับไปหามันมั๊ย คำตอบคือ ไม่ .. เพราะในความรู้สึก ทั้งคู่ก็สำคัญเหมือนกันหมด คนนึงเป็นเพื่อนรัก อีกคนก็เป็นคนที่ทำให้มีความสุข
“ อิน มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ “ หันไปตามเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ตินที่เดินเข้ามาใกล้ ผมส่ายหน้า แต่อีกคนก็เลิกคิ้วถามเหมือนบังคับให้ตอบ
“ ไม่มีอะไรหรอก แค่มาคุยโทรศัพท์กับไอ้โรม “ เอามือถือใส่ในกระเป๋า ตินเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ
“ ทะเลาะกันเหรอ หน้าตาบอกบุญไม่รับเลยนะ “
“ เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ “
“ แล้วทำไม ทำหน้าตาแบบนั้น “
“ แค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย แล้วไม่ทำงานรึไง “ เชิดหน้าไปถาม อีกคนก็ยิ้ม
“ พักบ้างสิ “ ว่าแบบนั้น มืออุ่นๆก็ยกขึ้นลูบหัว “ คิดอะไรอยู่กันแน่ จะไม่ยอมบอกกันจริงๆรึไง “
“ หัดเป็นคนยุ่งเรื่องของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ “
“ คนอื่นที่ไหนก็น้องตัวเอง “ ผมถอนหายใจออกมาตอนที่ตินพูดคำนั้น “ มีอะไร ไหนเล่ามาสิ “
“ ติน มึงว่ากูผิดรึเปล่า “
“ ผิดเรื่องอะไร “
“ กูรู้สึกว่า กูรักผู้ชายอยู่สองคนว่ะ กูอยากได้มันทั้งคู่เลย ไม่อยากเสียใครไปทั้งนั้น อยู่กับอีกคนก็มีความสุข แต่กับอีกคนก็ไม่อยากให้ไปเป็นของใคร วันนี้ที่กูเสียมันไปแล้ว กูถึงมาเข้าใจว่าที่กูเลือกไม่ได้เพราะอะไร เพราะกูรักมันต้องคู่ก็เลยเลือกไม่ได้ “
“ มึงคงหมายถึง ไฟท์ กับ โรม สินะ “
“ อื้ม กูเลวมากเลยว่ะ ทั้งๆที่ไม่เคยมีความสุขเวลาอยู่กับไฟท์ ถึงไม่อยากจะอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่อยากให้มันมีใคร กูหวง กูไม่อยากให้ใครได้มันทั้งนั้น ไม่อยากให้ใครเข้ากับมันได้ อยากให้มีแค่กูคนเดียวที่เป็นคนเข้าใจมัน แต่กับโรม กูก็มีความสุขที่ได้อยู่ด้วย ทั้งๆที่มีความสุขเวลาอยู่กับโรมขนาดนั้น แต่พอกูมารู้ว่า ไฟท์มีคนที่รัก กูกลับรู้สึกไม่ดีเลย ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ว่ายังไงก็เลิกกับโรมไม่ได้กูทิ้งความสุขของกูเองไม่ได้ แต่ว่า ทั้งๆที่ตัวเองครอบครองไม่ได้ ใจก็ไม่อยากจะให้มันไปรักคนอื่น “
“ เห็นแก่ตัวจังนะ “ ตินบอกก่อนจะบีบไหล่ของผมแน่น “ แต่คนเราก็แบบนี้ ใครจะโง่จมอยู่กับความทุกข์ว่ะ ทุกคนก็หวังจะมีความสุขทั้งนั้น ถึงจะดูเห็นแก่ตัว แต่ทุกคนก็หวังแบบนั้น “
“ กูไม่รู้จะจัดการความรู้สึกของตัวกูยังไง จะทำหน้ายังไงตอนที่เจอไฟท์กับแฟนมัน ตอนที่อยู่กับโรมกูจะมีความสุขเหมือนเดิมได้อีกมั้ย “
“ อย่ายึดติดกับมันให้มากนัก มันไม่มีอะไรดีหรอก ทำใจให้มันสบายๆ อยู่กับปัจจุบันของมึงไปเถอะ “
“ พูดมันง่ายนะมึง แต่ทำมันยาก “ เพราะคนกระทำกับคนพูดไม่ใช่คนเดียวกัน คนพูดจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่คนกระทำ ทำไม่ได้ทุกสิ่ง เพราะงั้น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงต่างกัน
“ จะจมอยู่ก็ได้ ไม่มีใครว่ามึงหรอก เพราะมันเป็นตัวของมึง แต่คิดให้ดี ว่าตัวเองจะจมอยู่ทำไม ถ้าเลือกไฟท์มึงก็เดินตรงไปหา ถ้ามึงไม่เลือก มึงก็ปล่อยมันไป อย่าเห็นแก่ตัว เก็บเอาไว้ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ใช้ มึงอย่าลืมว่าถ้ามันทำตามความต้องการของมึง มึงยังมีโรม แต่ไฟท์ไม่มีใครนะ “
“ แต่ตอนนี้ก็มีแล้วนิ “
“ นิสัยอยากได้อะไรก็ต้องได้ตั้งแต่ตอนเด็กๆของมึง ยังไงก็แก้ไม่หาจริงๆนะ “ มันไหล่ผมเบาๆ ตินถอนหายใจออกมา “ ไม่มีอะไร ถูกใจมึงไปหมดหรอก “ ตินเดินจากผมไป หลังจากพูดประโยคนั้น อาจจะจริงที่ว่า ไม่มีอะไรถูกใจไปหมด แต่จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจนั่นได้
ผมก้มลงดูเวลาตรงนาฬิกาข้อมือ อีกสามชั่วโมงต้องออกไปรับอลิสแล้ว สะบัดหัวของตัวเองสองสามครั้งเรียกสมาธิให้ตัวเอง ผมเดินตรงไปที่ห้องทำงาน “ ตั้งใจทำงานก่อนแล้วกัน “
ขับรถออกมาจากโรงพยาบาลหลังจากออกเวรของโรงพยาบาล วันนี้ต้องไปรับอลิสมาฝากไว้กับแม่ จอดรถที่ลานจอดรถของโรงเรียนตอนที่เดินลงไป ผมพบว่ามีรถคันคุ้นตาจอดอยู่ป้ายทะเบียนที่จำได้ดี “ รถไฟท์นี่หว่า “
เดินตรงเข้าไปในโรงเรียน ผู้ชายร่างสูงในชุดลำรองธรรมดากำลังยืนล้วงกระเป๋ามองตรงไปข้างหน้า แม้ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเลิก
“ ไฟท์!! “
“ อ้าว มึง “ ใบหน้าที่หันมาทัก ผมยิ้มออกมา
“ มารับใคร อัลเลนเหรอ “
“ อื้ม กูจะพาอัลเลนไปกินข้าวที่บ้าน “
“ จะพาไปเปิดตัวกับแม่แล้วเหรอ “ ผมหมายถึงเต ไฟท์ยิ้มก่อนจะส่ายหน้า
“ เปล่า ไม่พาไปหรอก เตมันรู้กูไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น “ ดูเข้าใจดีกันจังเลยนะ ผมได้แต่เม้มริมฝีปาก ไฟท์ก็หันไปทางอื่นสีหน้าของมันเหมือนกำลังหนักใจ
“ ไปคบกันตอนไหนวะ “
“ กูมีอะไรบางอย่างที่ต้องบอกมึง “ ไม่ได้ตอบคำถามของผม แต่กลับหันมาจ้องหน้าแทน
“ ทำไมอยู่ๆ มึงต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นว่ะ “
“ ไปนั่งตรงนู้นกันเถอะ “ ผมพยักหน้า ตอนที่ไฟท์ออกเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ ผมก็เดินตาม
“ มีอะไร “
“ คือว่า กูจะบอกเรื่องเต “
“ อื้ม “ หันไปมองทางอื่น คนข้างหน้าที่ถอนหายใจออกมา ไฟท์คงกำลังหนักใจ แค่พูดกับกูมึงต้องหนักใจขนาดนี้เลยเหรอว่ะ ถามกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะยื่นมือไปจับไหล่มัน “ ก็แค่มึงชอบเค้า ไม่เป็นไรหรอก มึงมีความสุขนั่นก็ดีแล้ว “ ไม่ใช่คำพูดที่อยากจะพูด แต่คิดว่านั่นเป็นคำพูดที่ควรจะพูดที่สุดแล้ว แต่ก็ดูเหมือนคำพูดของผมไม่ใช่คำพูดที่มันอยากจะฟัง
“ มีอะไรกันแน่วะ “
“ เต มันเป็นแฟนเก่าโรม “ ทุกอย่างเงียบ ผมเองก็นิ่งค้าง ลดมือลงจากไหล่ของมันมาเป็นนั่งนิ่งๆแทน มองหน้าไฟท์ที่หันมามองหน้าผม มือของมันเอื้อมมาจับ “ อิน “
“ แฟนเก่า ของ โรมเหรอ มึงหมายความว่า มันเป็นคนที่ทิ้งโรมไป มันเป็นคนคนนั้น คนที่ไอ้โรมรักมาก คนนั้น “
“ อื้ม “
“ แต่ แต่ว่า “ ผมส่ายหน้า “ โรมไม่ได้บอกกูเรื่องนี้เลย มันไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่เราเจอกัน แค่.. “ เรียก เต ว่า แอล เท่านั้น เท่าที่ผมจำได้
“ แค่อะไร “
“ เรียกเต ว่าแอล “ ผมก้มหน้าลงไฟท์ยื่นมือมาลูบหัว “ ทำไม มันไม่บอกอะไรกูเลย “
ทั้งๆที่เห็นคนนั้นด้วยกัน แต่ทำไม ถึงไม่เคยบอกอะไรเลย โรมได้แต่เงียบ เหมือนคนที่ใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา แค่อยากรู้ว่าทำไมถึงเงียบไป ตกใจ หรือว่าเพราะไม่อยากให้รู้กันแน่
“ ไม่พูดอะไรเลยเหรอ “
“ อื้ม แต่วันนี้ โทรมาหา ก็ทำเสียงเครียดๆ พอถามอะไรออกไปก็แค่ชวนไปกินข้าว บอกว่ามีเรื่องจะบอก “
“ ก็คงบอกเรื่องนี้เเหละ “ ผมหันไปมองไฟท์ “ กูคิดว่างั้นนะ “
“ แล้วทำไม มึงถึงรู้ ว่าเตเป็นแฟนโรม “
“ ก็เพราะว่า เค้ายังไม่เคยลืมมันมาตลอดไง “ ไฟท์ที่ยกยิ้มขึ้น “ เตยังเก็บรูปที่ถ่ายคู่กับไฟท์เอาไว้ ยังคิดถึง บางทีก็ยังร้องไห้ “
“ แล้วแบบนั้น ทำไมมึงถึงคบกับมันล่ะ ทั้งๆที่เค้ายังคิดถึงแฟนเก่าอยู่ “
“ แล้วมันต่างอะไรจากกูล่ะ “ ไฟท์หันมามองหน้าผม ที่นิ่งไปสักพัก ที่บอกว่าไม่ต่างกันมึงกำลังหมายถึงกูเหรอ
“ แล้วมีความสุขเหรอ คบกับคนนั้นนะ “
“ เหมือนเรากำลังบรรเทาความเจ็บปวดให้กันและกันอยู่เลย “
กริ้ง เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น ผมหันไปมองด้านในพร้อมกับไฟท์ที่กำลังจะก้าวเดินออกไป มือที่จับมือมันเอาไว้
“ ไฟท์ ถามจริงๆ ที่คบกับแต คงไม่ใช่เพราะว่า มันเป็นแฟนโรมใช่มั้ย “
“ ไม่ใช่ แต่ที่คบ เพราะมีอะไรบางอย่างเหมือนกัน “
“ อะไรบางอย่าง นั่นคือ “ ผมถาม
“ กำลังเจ็บปวดกับเรื่องบางอย่างเหมือนๆกันนะ “ มือที่หลุดออกจากมือของมัน ผมแค่กำลังตั้งคำถามว่า ถ้าเตกับโรมกลับมาคบกัน แล้วเราสองคนนั้นต่อจากนั้นจะเป็นยังไง แต่พอคิดว่าจะเสียโรมไป ใจผมมันก็สั่งให้หยุดปากที่เอ่ยถามคำคำนั้น
“ อาอิน อาอินมารับหนู “
“ ใช่แล้ว “ สองแขนกางออกต้อนรับเด็กน้อยตัวเล็กกับผมยุ่งเหยิงให้วิ่งเข้ามาในอ้อมกอด ผมหอมแก้มอลิซก่อนจะลุกขึ้นยืน “ วันนี้ อาอินจะพาอลิซไปหาคุณยายนะ “
“ แล้วไม่ไปหาป๊าเหรอ “ เสียงใสๆ ถามผมก็ส่ายหน้า
“ วันนี้ป๊ากับอาอินมีธุระสำคัญจะต้องไปทำ แต่ว่าถ้าปล่อยให้อลิซอยู่บ้านคนเดียว ป๊ากับอาอินต้องไม่สบายใจแน่ๆ เพราะงั้นอลิซไปอยู่กับคุณยายก่อนนะ “
“ คร่าาา ได้เลย “ คนสวยของผมพยักหน้า ตอนที่หันไปหาไฟท์มันกำลังหอมแก้มอัลเลนที่เอียงหน้าไปทางอื่นแบบไม่ให้หอม
“ อัลเลน “
“ อาหมออินสวัสดีครับ “ ยกมือขึ้นไหว้ เด็กหน้าตาน่ารักแก้มกลมๆก็ซบลงกับไหล่ของพ่อ “ พ่อกลับบ้านกันเถอะ กลับบ้านกัน “
“ ครับๆ แล้วจะไม่ให้พ่อหมอหน่อยเหรอ “
“ ไม่เอา อาไฟบอกว่า ให้คนอื่นหอมเยอะๆไม่ดี “ สะบัดหน้าลงกับไหล่ ไฟท์ก็ยิ้ม
“ อลิซ สวัสดีอาไฟท์ก่อน อาไฟท์เพื่อนอาอินค่ะ “
“ สวัสดีค่ะ “
“ สวัสดีครับ “ คนตอบรับยิ้มกว้าง มันหันมามองผม “ กลับนะ “
“ อื้ม โชคดี แล้วเจอกัน นี่..ที่กูบอก เพราะไม่อยากให้มึงต้องรู้สึกว่า ทั้งๆที่เราสนิทกันแต่ทำไมถึงไม่บอก กูกลัวว่าโรมจะไม่บอกมึง ขอโทษนะ ทั้งๆที่ไอ้โรมก็คิดจะบอกอยู่แล้ว แต่มึงดันมารู้จากปากของกูก่อน “
“ ไม่เป็นไรหรอก เพราะจะรู้ตอนไหน ยังไงก็ต้องเจ็บอยู่ดี จะช้าจะเร็วไม่สำคัญหรอก “
“ งั้นเจอกัน มีอะไรก็โทรมานะ “
“ อื้ม เจอกัน “ แผ่นหลังที่เดินออกไปจากผม ได้แต่มองเหม่อมันอยู่แบบนั้น จนกระทั่งสองแขนเล็กล้มตัวลงมากอด
“ อาอิน “
“ ครับ “
“ กลับบ้านกันเถอะ “
“ อื้ม กลับบ้านกันนะ “
“ อาอินมองออกไปไกลๆเลย อาอินมองอะไรเหรอคะ “
“ กำลังมอง สิ่งที่คว้าเอาไว้ไม่ได้นะครับ “ ผมตอบก่อนจะยิ้มออกมา อลิซเอียงหน้างง “ ช่างมันเถอะ เรากลับบ้านกันดีกว่านะ “
“ แล้วทำไมไม่วิ่งไปคว้ามันละคะ “ นั่นสินะ ทำไมตอนนั้นถึงลังเลกัน มันอาจจะไม่ผิดที่คนเราจะมองหาความสุขแต่มันก็ไม่ใข่ว่าจะดีเสมอไปสำหรับผลลัพธ์
“ กลับบ้านกันดีกว่านะ “ ตัดจบคำถามของอลิซไว้แค่นั้น ผมที่ขับรถออกจากโรงเรียนกลับมาที่โรงพยาบาลก็พบว่าคนที่นัดทานข้าวตอนเย็นขับรถมาคอยอยู่แล้ว โรมที่กำลังยืนนิ่งอยู่กับรถ น่าแปลก ที่ตอนนี้ผมกลับมองมันแปลกไป
“ ป๊า!!!! “ ขาเล็กๆวิ่งลงไปหามันทันทีที่รถจอด สองแขนที่กอดมันไว้โรมอุ้มอลิซขึ้นมากอดก่อนจะหอม
“ นางฟ้าของป๊า คิดถึงจังเลย “
“ หนูก็คิดถึงป๊า “ หอมซ้ายหอมขวากันอยู่สองคน ผมที่ลงจากรถมองภาพนั้นในสมองก็ตั้งคำถาม โรมต้องใช้ความรู้สึกแบบไหนในการรักอลิซกันนะ ความเป็นพ่อที่ไม่ได้ตั้งใจอยากจะเป็นมอบให้เด็กคนนึงที่พรากทุกอย่างไปจากมัน พรากคนที่รัก พรากอนาคต ต้องใช้ความรักเท่าไหร่ ถึงจะทำแบบนั้นได้กันว่ะ
“ เหม่ออะไรอยู่ตรงนั้น “
“ เปล่า “ ผมส่ายหน้า ตอนที่เดินเข้าไปหา แม่ที่ออกจากเวรพอดีก็วิ่งเข้ามาเรา
“ อลิซ คิดถึงจังเลยลูก “
“ คุณยาย หนูคิดถึงคุณยายจังเลยค่ะ “ สาวน้อยของผม คิดถึงทุกคนเลยสิท่า ผมยิ้ม อลิซออกจากอ้อมกอดไอ้โรมก็ดึงตัวเองไปให้แม่ผมอุ้ม
“ คิดถึงทุกคนเลยนะ เรานะ “ ผมแซว อีกคนก็หอมแก้มแม่ผม
“ ช่างอ้อนจริงๆเลยนะ “ โดนหอมแก้มไปอีกสองสามครั้งติดกัน แม่ผมยิ้มกว้าง “ ตัวเหม็นเหงื่อเชียวลูกอลิซ เดี๋ยวไปบ้านยายอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดสวยๆดีกว่า แล้วก็กินข้าวด้วยกันนะ คุณตาใกล้ออกเวรแล้ว “
“ พ่อด้วยเหรอ “ ผมได้ข่าวมา ว่าวันนี้พ่อเข้าเวร
“ ก็พออินบอกว่า จะเอาอลิซมาฝากไว้ พ่อก็ขอแลกเวรกับตินนะ “
“ ไม่ยอมกันจริงๆเลยนะ “
“ ขอบคุณครับ ที่เอ็นดูอลิซขนาดนี้ “
“ ยังไงก็ครอบครัวเดียวกันแล้วนิ จริงมั้ย “
“ ครับ “ ตอบแบบนั้นก่อนที่โรมจะหันมาหาผม
“ มองมาทำไม “
“ ก็เปล่านิ “ มันยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้า
“ เดี๋ยวป๊าไปรับนะ “
“ ค่ะ บ๊ายบาย “ อลิซยกมือขึ้นโบกบ๊ายบายเรา ที่ยกมือขึ้นบ๊ายบายเธอ ผมหันไปมองโรมที่ก็หันมามองผม
“ เราก็ไปกันได้แล้วไป “
“ อื้ม “ ผมตอบรับ ตอนที่เดินขึ้นรถของโรม ผมรัดเข็มขัดนิรภัย โรมก็สตาร์ทรถ “ นี่ มีเรื่องจะพูดด้วยใช่มั้ย ถึงจะพาไปกินข้าวนะ “
“ ก็ อื้ม “ มันพยักหน้า เกียร์ที่กำลังจะเดินหน้าผมจับมือมันเอาไว้
“ ถ้าจะพูดเรื่องของ เต แฟนใหม่ไอ้ไฟท์ที่เคยเป็นแฟนเก่ามึงละก็ ไม่ต้องพากูไปกินข้าวหรอก ยังไง ก็แดกไม่ลงอยู่แล้ว “ บอกออกไปแบบนั้น คนที่กำลังดึงเกียร์เดินหน้า มันดึงลงให้จอดนิ่งอยู่แบบนั้น
“ มึงรู้แล้ว “
“ ไฟท์บอกกู “
“ ไฟท์ก็รู้ “ ผมพยักหน้า โรมก็ก้มหน้าลง
“ เพราะแบบนั้นสินะ มึงถึงเรียกเค้าว่า แอล “
“ เมื่อก่อน เต ชื่อ แอล แต่มาเปลี่ยนเป็นเต เพราะไม่อยากให้กูตามหาเจอ “
“ แล้วทำไม ไม่บอกตั้งแต่เมื่อวาน “ นั่นเป็นคำถามที่ผมอยากรู้ แค่อยากรู้ว่าทำไมมันถึงไม่บอก ผมไม่อยากได้ยินจากปากไฟท์ แต่อยากได้ยินจากปากมันมากกว่า
“ ขอโทษ คือ เมื่อวานมัน “
“ มึงคงตกใจสินะ ที่อยู่ๆ คนที่ตามหามาตลอด กลับมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วก็กลับมาเป็นเฟนของเพื่อนกู “
“ ก็คงแบบนั้น “ มันตอบออกมาเสียงเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลงกับพวงมาลัยของเรา “ ตั้งตัวแทบไม่ทันเลย ตั้งตัวแทบไม่ทันจนทำอะไรไม่ถูก “
“ โรม “
“ กูไม่รู้ว่ากูควรรู้สึกยังไง กูไม่รู้ว่ากูควรทำยังไง กูไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่กูควรทำตอนนี้ “
“ ยังรักเค้าอยู่เหรอ “ คำถามที่ผมถามออกไป โรมหันมามองหน้าผม
“ เปล่า “
“ แต่อยากจะคุยด้วยกันดีๆสักครั้ง อยากอธิบายเรื่องที่เคยไม่ได้อธิบาย กูไม่ได้อยากกลับไปเป็นแบบเดิม เพราะรู้ว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่กูอยากทำ คืออยากจะขอให้มันเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันกับกู “
“ มันยากนะ การเปลี่ยนความรู้สึกจากคนพิเศษมาเป็นเพื่อนนะ ไม่เก่งจริงคงทำไม่ได้หรอก “ และนั่นคือเหตุผลที่ผมรู้ว่าตลอดว่า ทำไมไฟท์ถึงปฎิเสธผม
“ ขอโทษที่บอกช้าเกินไป ขอโทษ “ โรมดึงตัวผมไปกอด มันที่ก้มลงมาจูบที่ไหล่ของผม “ ขอโทษอิน ขอโทษ “
“ ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณที่บอกกูนะ “ ผมบอกมันออกไปแค่นั้น ทั้งๆที่มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด มึงกำลังโกหกกูรู้ ความรู้สึกรักที่แสดงออกมาจากแววตาที่เจ็บปวดของมึง มันโกหกกูไม่ได้หรอก โรม
นี่กรรม กำลังจะตามสนองกูแล้วเหรอ ...
ต้องเจ็บปวดจากคนรักจากคนที่รักจริงๆ แล้วใช่มั้ย
....................................................
ขอโทษที่ลงนิยายช้าคร่า

และขอฝากไว้หนึ่งประโยค " ไม่มีอะไร ได้ดั่งใจเราไปหมดหรอก แม้กระทั่งชีวิตของเรา เพราะงั้นจะหวังอะไรกับชีวิตของคนอื่นที่มันจะได้ดั่งใจเรา "
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ฝากแท็ก #Choiceต้องเลือก ด้วยนะคร่าา